เก็บความทรงจำ..(^_^)..ความสนใจ โลกส่วนตัว ที่เราสร้างเอง
Group Blog
 
 
พฤษภาคม 2555
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
28 พฤษภาคม 2555
 
All Blogs
 
ขุนศึก ตอนที่ 13-2


คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น




ขุนศึก ตอนที่ ๑๓ (ต่อ)


ขันกำลังคุยกับดวงแขอยู่ที่ประตูท้ายวังเมื่อเวลาเย็น

       “แน่ใจหรือแม่ดวงแขว่า อ้ายเสมาไม่ระแคะระคายแน่”
       ดวงแขนึกรำคาญในความขี้ขลาดของขัน
       “ไม่ต้องกลัวไปดอก น้องลองหยั่งเชิงแล้ว เสมาไม่รู้แน่ เพลานี้พี่ขันอย่าหาความอีกก็เป็นใช้ได้ ท่านอาหลวงกลับมาเมื่อใดก็เร่งสู่ขอแม่เรไรเข้าเถิด”
       “ข้อนี้พี่ก็กังวลนักเกรงท่านอากับท่านอาหญิงจะเอาผิดพี่ หากความถึงออกญาผู้ใหญ่ซึ่งเป็นนาย พี่คงไม่แคล้วถูกถอดเป็นแน่”
       “น้องบอกแล้ว ว่าท่านอากับท่านอาหญิงเกรงเสียหน้ายิ่งกว่าสิ่งใด หาไม่ คงรับเสมาเป็นเขยเสียนานแล้ว การที่พี่ทำยังร้ายกาจกว่ามีเขยเป็นช่างตีเหล็กมากนัก แล้วจะแพร่งพรายถึงหูออกญาได้อย่างไรกัน”
       ขันเจอดวงแขดุเข้าก็จ๋อยไป เพราะถึงแม้ขันจะเจ้าเล่ห์ อันธพาล แต่ส่วนลึกแล้วมีความเข้มแข็งน้อยกว่าดวงแขมาก ในขณะที่ดวงแขมองขันด้วยความหงุดหงิดไม่ได้อย่างใจเลย

       เอื้อยแตงเดินประคองแต้มที่อยู่ในอาการเมามายมากออกมาจากบ้านหลังใหม่ของเสมาเมื่อเวลาค่ำ โดยมีเสมาและมั่นเดินตามออกมาส่ง ในขณะที่สินยืนรออยู่ที่หัวบันได
       “วันหลังเถิดพี่มั่น วันหลังฉันจักมากินเหล้ากับพี่อีก ฉันจะชวนพวกที่ตลาดมาด้วยเอาให้ครึกครื้นเลยเชียว” แต้มพูดอย่างเมามายพลางหัวเราะร่วน
       เอื้อยแตงอายผู้คนที่มีพ่อเป็นคนขี้เมา
       “จักชวนมาทำกระไรกันพ่อ เกรงใจพ่อลุงบ้างเถิด ฉันอายเหลือเกินแล้ว”
       “เอ็งจะอายทำกระไรวะ เราไม่ใช่อื่นไกลกัน คนสนิทชิดเชื้อกันแท้ๆ” แต้มพูดเสียงอ้อแอ้ก่อนจะ หันไปพูดกับเสมา
       “จริงหรือไม่พ่อเสมา”
       “จริงจ้ะ”
       แต้มหัวเราะแล้วจับมือเสมากับเอื้อยแตงขึ้นมาแล้วเอามือเอื้อยแตงให้เสมาจับไว้
       “ได้ยินหรือไม่นังเอื้อยแตง พ่อเสมา ฉันฝากนังเอื้อยแตงไว้กับพ่อด้วย ฉันมีลูกคนเดียว พ่ออย่ารังแกมันเชียวนา”
       เสมาอึกอักทำอะไรไม่ถูก
       ขณะที่สินเกิดอาการหึงสุดๆ แต่เกรงใจเสมาเลยไม่โวยวาย ฝ่ายเอื้อยแตงทั้งโกรธทั้งอาย
       “พ่อ ถ้าไม่หยุดพูด ฉันจะไม่พาพ่อมาที่เรือนพี่เสมาอีกแล้ว”
       เอื้อยแตงดึงมือออกแล้วเดินเลี่ยงนำลงไปก่อน แต้มงง
       “กระไรของมันวะ”
       มั่นกลัวเรื่องจะบานปลายจึงปั้นยิ้มไกล่เกลี่ย
       “แม่เอื้อยแตงเป็นสาวแล้ว พ่อแต้มพูดเช่นนี้จักไม่อายได้อย่างไร เอ่อ นี่ก็มืดค่ำแล้วให้พ่อสินกับพ่อสมบุญไปส่งที่เรือนเถิด อย่ากลับกันเองเลย”
       “ได้เลยจ้ะ ฉันจะไปส่งให้ถึงเรือนเลย” สินรับคำอย่างดีใจ
       เอื้อยแตงหันกลับมาตวาดทันที
       “ไม่ต้อง ข้ากับพ่อกลับเองได้ เอ็งไม่ต้องวุ่นวาย”
       สินหน้าบึ้งด้วยความน้อยใจ
       “ถูกของแม่แล้ว ข้ามันวุ่นวายไปเอง”
       สินเดินด้วยอาการเซ็งๆ แซงลงจากเรือนไปก่อน เอื้อยแตงหน้าเสียไม่คิดว่า สินจะเสียใจแบบนี้เลยมองตามด้วยความรู้สึกผิดอยู่เหมือนกัน

       เอื้อยแตงเดินถือโคมไฟประคองแต้มที่เมาเป๋ไปเป๋มา ส่วนปากยังพล่ามด้วยความเมาไม่ยอมหยุด
       “อ้ายเสมามันเป็นราชองครักษ์เชียวนานังเอื้อยแตง ตำแหน่งนี้มีแต่ผู้คนอยากเป็นเพราะได้ถวายรับใช้ใกล้ชิด” แต้มพูดขึ้น
       สินแอบเดินตามหลังมาห่างๆด้วยความเป็นห่วง
       “ต่อไปจะมั่งมีกว่าลุงหลวงรามของเอ็งเสียอีก เอ็งได้ผัวดีเช่นนี้จักเล่นตัวหากระไรอีกวะ”
       เอื้อยแตงเริ่มหงุดหงิด
       “หากพ่อยังไม่หยุดพูด ฉันจะปล่อยให้พ่อหาทางกลับเรือนคนเดียวเสียเลย”
       “อีนังนี่ ตอนมันตีเหล็กขายเอ็งกลับชอบพอมัน แต่พอมันเป็นขุนเอ็งกลับเล่นตัว นังบ้า”
       แต้มเดินโซซัดโซเซไปที่พงหญ้าข้างทาง
       “พ่อจะทำกระไร”
       “ข้าจะเยี่ยว เอ็งรอก่อน”
       เอื้อยแตงยืนหันหลังให้พ่อแบบเซ็งๆ
       แต้มปลดผ้าขาวม้าที่คาดเอวเตรียมจะปัสสาวะ แต่ทันใดนั้นก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อมีอะไรบางอย่าง
       กัดเข้าที่ข้อเท้าตน
       “โอ๊ยๆ งูกัดข้า” แต้มทรุดลงนั่งทันที
       เอื้อยแตงตกใจสุดๆ รีบเข้าไปดูพ่อ
       “งูกัดรึ งูกระไรกัน”
       แต้มทั้งกลัว ทั้งปวดแผล
       “ข้าจะไปรู้รึนังเอื้อย โอ๊ยๆ”
       เอื้อยแตงตกใจมือไม้สั่นทำอะไรไม่ถูก
       ทันใดนั้นเอง สินก็วิ่งเข้ามาหาแล้วเอาผ้าขาวม้าของตน มัดเหนือปากแผลของแต้มไว้ก่อนจะใช้มือบีบเค้นเลือดที่แผลของแต้มออกมา เอื้อยแตงนึกไม่ถึงว่าจู่ๆ สินจะโผล่มาช่วยในยามหน้าสิ่วหน้าขวาน

       แต้มนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง เรไรและเอื้อยแตงคอยดูแลแต้ม โดยมีพิณคอยบดยาอยู่ใกล้ๆ
       “ยานี้ชะงัดนัก พอกติดกัน 3 วัน ไม่ว่าพิษงูกระไร ก็หายได้ทั้งสิ้น”
       เรไรหันไปพูดกับพิณ
       “พิณ ประเดี๋ยวให้บ่าวไพร่ผลัดกันเฝ้าอาแต้มไว้ หากเป็นงูพิษ คืนนี้อาแต้มคงได้ไข้เป็นแน่” เรไรบอก
       “เจ้าค่ะแม่หญิง บ่าวจักให้คนเฝ้าแลเปลี่ยนยาตามที่แม่หญิงเคยสอนไม่ให้ผิดพลาดเจ้าค่ะ”
       “ฉันจักเฝ้าพ่อด้วย ประเดี๋ยวแม่พิณช่วยสอนฉันว่าต้องทำกระไรบ้าง” เอื้อยแตงบอก
       “เจ้าค่ะ”
       เอื้อยแตงหันไปไหว้เรไร
       “ขอบพระคุณแม่หญิงนัก หากไม่ได้แม่หญิงครานี้ พ่อคงไม่รอดเป็นแน่”
       เรไรรับไหว้แล้วบอก
       “ไม่ต้องขอบพระคุณฉันดอก อย่างไรอาแต้มก็เป็นอาฉันควรที่ฉันต้องช่วยเหลืออยู่แล้ว หากจักขอบพระคุณ แม่เอื้อยก็ไปขอบพระคุณพันทิพเถิด ถ้าไม่ได้พันทิพช่วยไว้ก่อนถึงยาจะดีเพียงใดก็ช่วยไม่ได้ดอก”
       เอื้อยแตงหน้าขรึมลงรู้สึกผิดกับสินที่ชอบดุด่าสินเป็นประจำ แต่สินกลับเป็นคนช่วยแต้มไว้

       เวลาต่อมา บริเวณหน้าห้องนอนของแต้ม สินรออยู่หน้าห้องด้วยความเป็นห่วง เอื้อยแตงเปิดประตูห้องออกมา
       “อาแต้มเป็นกระไรบ้าง แม่เอื้อยแตง” สินถาม
       “ได้ยาแม่หญิงเรไรก็น่าจักเย็นใจได้แล้ว เอ่อ ขอบน้ำใจเอ็งมากนะอ้ายสิน พอข้ารู้ว่าพ่อถูกงูกัด ข้าก็ลนลานจนทำกระไรไม่ถูก โชคดีเหลือที่เอ็งผ่านมา”
       สินหน้าขรึมลง
       “ฉันไม่ได้ผ่านไปดอก แต่ฉันอดเป็นห่วงแม่เอื้อยแตงไม่ได้จึงแอบตามหลังมาติดๆ”
       เอื้อยแตงได้ฟังแล้วก็อึ้งไปครู่นึงแล้วหน้าก็เจื่อนลงอีก
       “เอ็งอย่าดีกับข้าเช่นนี้เลย ยิ่งเอ็งดี ยิ่งทำให้ข้าสำนึกตัวว่าชั่วนัก ที่ทำให้คนดีเช่นเอ็งต้องเสียน้ำใจ”
       “นี่แม่เอื้อยแตงยังหวังในตัวพี่เสมาอีกรึ”
       “แล้วเหตุใดข้าจะหวังไม่ได้ ในเมื่อพี่เสมาไม่มีผู้ใดแล้ว”
       “ต่อให้ไม่มี พี่เสมาก็เห็นแม่เอื้อยเป็นเพียงน้องเสมอด้วยแม่จำเรียงเพียงนั้น เชื่อฉันหรือไม่ว่า พี่เสมาไม่มีทางรับรักแม่เอื้อยแตงดอก” สินบอก
       เอื้อยแตงหน้าตาบึ้งตึง จ้องหน้าสินด้วยความไม่พอใจ

       ภายในตำหนักยามเช้า ข้าหลวงคนหนึ่งได้ยื่นกำไลกับจดหมายให้ดวงแข โดยมีบัวเผื่อนยืนอยู่ใกล้ๆ ด้วยความสอดรู้สอดเห็นเต็มที่
       “พวกองครักษ์ฝากฉันมาให้แม่หญิงดวงแขจ้ะ แต่ไม่กล้าเอามาให้เองเพราะเกรงผิดกฎฝ่ายใน จึงยืนรออยู่ที่หน้าตำหนักจ้ะ” นางข้าหลวงบอก
       ดวงแขยิ้มดีใจ
       “องครักษ์ผู้ใดหรือแม่”
       บัวเผื่อนขำแล้วแกล้งเย้า
       “รู้แล้วยังแกล้งถาม ราชองครักษ์แม้มีมากโข แต่ที่กล้าฝากของมาให้แม่ดวงแข คงมีแค่คนเดียว”
       ดวงแขยิ้มอายๆ ก่อนเปิดจดหมายออกอ่าน ความนั้นเป็นกลอนเกี้ยวพาราสี ดวงแขก็ยิ่งเขินอายหนักขึ้น
       บัวเผื่อนถือโอกาสแอบมาชะโงกอ่านจดหมายจากด้านหลังของดวงแข
       “นึกไม่ถึงว่า ขุนแสนศึกพ่ายก็เขียนกลอนเกี้ยวผู้หญิงเป็นกับเค้าด้วย”
       ดวงแขหน้าบึ้งตึง รีบเก็บจดหมายทันที
       “เสียกิริยานักแม่บัวเผื่อน มาแอบอ่านจดหมายของผู้อื่นได้กระไร”
       ดวงแขค้อนใส่แล้วเดินเลี่ยงไปแต่พอคล้อยหลังก็อดยิ้มดีใจไม่ได้

       ดวงแขออกมาที่หน้าตำหนักแลมองหาเสมาแต่ไม่เห็น
       ขณะนั้นเอง หมื่นจิตรเสน่หาที่รอดวงแขอยู่ พอเห็นดวงแขออกมาก็ดีใจรีบเดินเข้าไปหาทันที
       “แม่หญิงดวงแข”
       “หัวหมื่นรู้จักฉันหรือ” ดวงแขถามอย่างแปลกใจก่อนฉุกคิดแล้วยิ้มบางทักทาย
       “หรือหมื่นท่านอยู่ในสังกัดขุนแสนศึกพ่าย แล้วออกขุนท่านเล่า”
       “ข้าพระเจ้าอยู่ในสังกัดออกขุนแสนจริง แต่ออกขุนไม่ได้มาด้วยดอก”
       หมื่นจิตรเสน่หาพูดแล้วก็มองไปที่มือดวงแขที่ถือกำไลกับจดหมายอยู่ก็ยิ้มอย่างดีใจ
       “แม่หญิงได้กำไลแลจดหมายของข้าพระเจ้าแล้ว เห็นเป็นเช่นใดหรือ”
       ดวงแขตกใจ คิดไม่ถึงว่าจะเป็นกำไลและจดหมายรักของหมื่นจิตรก็โมโห
       “เห็นเป็นเช่นใด ฉันก็จะเอามาคืนหัวหมื่นกระไรเล่า แล้วคราหน้า อย่าได้เอากระไรมาให้ฉันอีก หาไม่แล้ว ฉันจะทูลเสด็จให้ลงโทษหัวเหมื่นเสีย” ดวงแขพูดแล้วก็ยัดกำไลกับจดหมายใส่มือหมื่นจิตรเสน่หาทันที
       ดวงแขเดินหงุดหงิดกลับไป หมื่นจิตรเสน่หาหน้าเจื่อนลงไปทันที ไม่คิดว่าดวงแขจะโกรธขนาดนี้

       ยามสายที่บริเวณท้ายวัง หมื่นจิตรเสน่หากำลังคุยกับเสมาด้วยสีหน้าเซื่องซึม
       “ฉันหาเข้าใจไม่ท่านขุน ว่าเหตุใดแม่หญิงดวงแขต้องโกรธเคืองถึงเพียงนี้ หรือแม่หญิงดวงแขชังน้ำมะหน้าฉัน”
       “คนเพิ่งเจอกัน จักชังน้ำมะหน้ากันได้เช่นไร หมื่นจิตรอย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้เลย ฉันบอกแล้ว ว่าแม่หญิงดวงแขเป็นคนไว้ตัวนัก มิใช่จะมีใจให้ผู้ใดโดยง่ายดอก”
       เสมาพูดแล้วก็ตบบ่าหมื่นจิตรเสน่หาเป็นเชิงให้กำลังใจ
       “ของใดที่ได้มายาก ย่อมสูงค่าไม่ใช่หรือ”
       หมื่นจิตรเสน่หาคิดตามที่เสมาพูดแล้วยิ้มดีใจ
       “จริงดังคำออกขุนท่าน ฉันไม่บังควรท้อใจเลย น่าจะพากเพียรเพื่อให้ได้หญิงเช่นนี้มาเป็นศรีเรือนมากกว่า”
       เสมายิ้มรับ เอาใจช่วยหมื่นจิตรเสน่หาสุดๆ
       ทันใดนั้นเอง สินก็วิ่งกระหืดกระหอบหน้าตาตื่นเข้ามาหาเสมา
       “พี่เสมา มีเหตุแล้วพี่เสมา”
       “กระไรวะ”
       “โจรมันฉวยที่หลวงรามไม่อยู่ บุกปล้นเรือนแลพาตัวแม่หญิงเรไรกับแม่เอื้อยแตงลงเรือหนีไปแล้ว อีกไม่ช้านาน มันคงขึ้นฝั่งที่ท่าตะโก แล้วพาหนีลงทางใต้เป็นแน่” สินพูดอย่างเหนื่อยหอบ
       เสมาตกใจสุดๆ ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องร้ายแรงขนาดนี้ยามกลางวันแสกๆ

       เสมาสะพายดาบคู่มือควบม้าสุดชีวิตเพื่อไปช่วยเรไรให้ได้

       โจรคลุมหน้า 2-3 คน คนหนึ่งกำลังพายเรือมีประทุน โจรทั้งหมดใช้ผ้าคลุมหน้าไว้ไม่เห็นหน้าตา เอื้อยแตงโผล่หน้าออกมาจากประทุนเรือกวาดตามองหา สีหน้าร้อนใจ โจรคลุมหน้าตัวหัวหน้าดันเอื้อยแตงกลับเข้าไปในประทุน

       เสมายังคงควบม้าอย่างไม่คิดชีวิต ต่อให้ตัวตายก็ต้องช่วยเรไรให้ได้

       กลุ่มโจรคลุมหน้าพายเรือเข้ามาจอดเทียบแล้วคุมตัวผู้หญิงสองคนที่ถูกคลุมหน้าคลุมตาลงมาจากเรือ...เอื้อยแตงดิ้นรนจนผ้าคลุมหน้าหลุดออก ไม่คาดคิดว่าจะเห็นเสมายืนจังก้าขวางทางอยู่
       “พี่เสมา” เอื้อยแตงร้องเรียกด้วยความดีใจ
       เสมาชักดาบคู่ออกจากฝัก แล้วตะโกนก้องพร้อมกับกระโจนเข้าใส่ทันที โจรคลุมหน้าตัวหัวหน้าชักดาบสองมือของตนออกมา รับมือเสมาทันที ส่วนโจรคลุมหน้าอีก2คนก็จับสองสาวเป็นตัวประกันไว้
       ทั้งคู่สู้กันอย่างดุเดือด ครู่นึงเมื่อโจรเห็นท่าไม่ดีเลยรีบดึงเอาเอื้อยแตงมาเป็นตัวประกัน
       เสมากลัวว่าเรไรกับเอื้อยแตงเป็นอันตราย
       “เอ็งต้องการกระไรก็บอกข้าจะหามาให้ ขอแต่ปล่อยแม่หญิงทั้งสองไปเถิด”
       “เอ็งห่วงใยนังสองคนนี่นัก ดูท่าคงเป็นเมียเอ็งกระมัง เช่นนั้นก็ได้ข้าจะปล่อยนังนี่คนใดคนหนึ่ง เอ็งเลือกเอาเถิดว่ารักผู้ใดมากกว่ากัน” โจรคลุมหน้าพูดด้วยน้ำเสียงแปล่งราวกับคนต่างถิ่น
       เสมาขบกรามแน่นด้วยความเจ็บใจ แต่หาช่องว่างเข้าไปช่วยไม่ได้ บุ่มบ่ามเข้าไปก็กลัวเรไรและเอื้อยแตงจะเป็นอันตราย
       “เอ็งรักษาสัตย์หรือไม่”
       “ถึงข้าเป็นโจร ก็มั่นคงในวาจานัก เอ็งอย่าห่วงเลยเลือกมาเถิดว่าจะช่วยผู้ใด”
       เสมาหันไปมองสองสาวด้วยสีหน้าเคร่งเครียดอย่างใช้ความคิด
       เสมาชี้ไปที่เอื้อยแตง
       “เอ็งปล่อยแม่หญิงผู้นี้ไปเถิด”
       เอื้อยแตงดีใจสุดๆ เพราะคิดว่าเสมารักตน
       “ที่แท้เอ็งรักนางคนนี้”
       “ข้ารักเอื้อยแตงเสมอด้วยน้องจึงไม่อยากเห็นมันมีภัย”
       เอื้อยแตงหน้าเสียทันที
       เสมามองที่หญิงถูกคลุมหน้าอีกคนนิ่ง
       “แต่ข้ารักแม่หญิงเรไรเสียยิ่งกว่าชีวิตของข้า ข้าไม่อาจให้แม่หญิงละสายตาไปได้แม้ชั่วอึดใจ หากพวกเอ็งพาแม่หญิงไปข้าก็จะไปด้วย หากพวกเอ็งทำร้ายแม่หญิงข้าจะฆ่าพวกเอ็งเสีย แล้วฆ่าตัวตายตามเพราะหากไม่มีแม่หญิงเรไร ข้าก็ไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้”
       ทุกคนอึ้งกันไปหมด
       เอื้อยแตงน้ำตาคลอเบ้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวในหัวใจ เพราะเนื้อแท้ในใจของเสมาไม่เคยเอื้อยแตงเป็นอย่างอื่นเลยนอกจากน้องสาวทั้งยังคงรักมั่นต่อเรไรไม่เสื่อมคลาย
       “เห็นแจ้งแล้วกระมังแม่เอื้อยแตง” เสียงของสินดังมาจากพุ่มไม้ด้านหลัง
       เสมาหันไปมองตามเสียง ทั้งตกใจและแปลกใจ
       “อ้ายสิน”
       “ฉันพูดผิดหรือไม่ พี่เสมาไม่เคยคิดกับแม่เอื้อยแตงเป็นอื่นดอก”
       เอื้อยแตงร้องไห้โฮออกมา เสมาหันกลับไปมองทางกลุ่มโจร สมบุญและจำเรียงเปิดโม่งและผ้าคลุมออก...ทหารในสังกัดสมบุญก็เปิดโม่งต่อมา
       เสมาตกใจมาก นี่มันอะไรกัน !!
       เอื้อยแตงวิ่งร้องไห้หนีไปทันที อกหักเสียใจสุดๆ เสมาจ้องทุกคนด้วยสีหน้าโกรธจัด

       เวลาต่อมา เสมากำลังโวยวายลั่นใส่จำเรียง สิน และสมบุญอยู่ที่บ้าน
       “พวกเอ็งเห็นข้าเป็นเด็กอมมือถึงได้รวมหัวหลอกกันเล่นเช่นนี้ นี่ลับหลังข้าคงเยาะความโง่เง่าของข้ากันสนุกเลยกระมัง”
       สิน สมบุญ และจำเรียงหน้าเจื่อนจ๋อยกันเป็นแถว สมบุญปั้นยิ้มประจบ
       “พิโธ่พิถังพี่เสมา ใครจักกล้าเห็นพี่โง่เง่ากัน เพียงแต่พี่ไว้ใจอ้ายสินแลห่วงแม่หญิงเรไร จึงหลงกลอ้ายสินมันโดยง่าย หากพี่ไต่สวนทวนความกันเสียหน่อย น้ำมะหน้าอย่างอ้ายสินหลอกพี่ไม่ได้ดอก”
       สินมองเหล่สมบุญ
       “อ้าว อ้ายสมบุญ เอาตัวรอดก่อนเลยนะเอ็ง”
       “อย่าเคืองไปเลยจ้ะพี่เสมา ที่พวกฉันทำไปก็เพื่ออยากให้แม่เอื้อยแตงตัดใจจากพี่เท่านั้น ไม่เช่นนั้น แม่เอื้อยก็ยังรอพี่อยู่ร่ำไป” จำเรียงบอก
       “แล้วทางอื่นไม่มีแล้วรึ”
       “ไม่มีดอกพี่ แม่เอื้อยแตงแอบชอบพี่มานานนักพี่ก็รู้ไม่ใช่หรือ หากพี่มีใจตอบ ป่านฉะนี้คงออกเรือนกันไปเสียนานแล้ว แต่แม่เอื้อยหายอมรับไม่จึงต้องทำเช่นนี้ เจ็บคราเดียวดีกว่าเรื้อรังไม่ใช่หรือพี่”
       เสมาถอนใจหนักๆ แต่ในใจยอมรับว่าสินพูดถูก

       เรไรเดินผ่านศาลาท่าน้ำเมื่อตอนเย็น แลเห็นเอื้อยแตงนั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่คนเดียวในศาลา เรไรรีบเดินเข้าไปหาด้วยความตกใจ
       “แม่เอื้อยแตงร้องไห้ทำไม เกิดกระไรขึ้นรึ”
       เอื้อยแตงรีบเช็ดน้ำตาแล้วบอก
       “เปล่าดอก ไม่มีกระไร”
       เรไรเข้าไปปลอบใจเอื้อยแตง
       “อย่าปิดฉันเลย เราไม่ใช่อื่นไกลกันเป็นญาติกันแท้ๆ มีกระไรก็บอกมาเถิด ฉันจะได้ช่วยเหลือ”
       เอื้อยแตงมองหน้าสัมผัสได้ถึงความมีน้ำใจของเรไร
       “เหตุใดมองหน้าฉันเช่นนี้ มีกระไรหรือ”
       “ฉันบอกแล้วว่าหามีกระไรไม่ ฉันเพียงแต่นึกถึงแม่เท่านั้น เพลานี้ฉันสุขสบาย ฉันจึงคิดถึงแม่ที่ด่วนสิ้นบุญไปเร็วนัก”
       เรไรยิ้มบางๆแล้วกอดเอื้อยแตงไว้
       “มิน่าเล่า ถ้าแม่เอื้อยแตงคิดถึงท่านอาหญิง วันพรึ่งก็ไปทำบุญให้ท่านอาซี ประเดี๋ยวฉันไปด้วย”
       “แม่หญิงมีน้ำใจงามมีแต่ความเมตตาให้ผู้อื่นอย่างนี้นี่เล่า ถึงมีแต่คนรุมรัก แลไม่อาจตัดใจจากแม่ได้สักคน”
       เอื้อยแตงมองหน้าเรไรแล้วน้ำตาพาลไหลพรากก่อนจะรีบลุกเดินหนีไป เรไรได้แต่มองตามเอื้อยแตงไปด้วยความงงๆ

       หลวงรามเดชะเดินกลับขึ้นเรือนมาเมื่อเวลากลางคืนด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ลำภูและพิณเดินออกมาต้อนรับ
       “เหตุใดกลับเร็วนักเล่าเจ้าคะคุณหลวง เห็นว่าครานี้ต้องไปถึงกึ่งเดือนไม่ใช่หรือเจ้าคะ”
       “เสบียงแลตัวยาที่จะใช้ในการศึกรวบรวมได้เร็วเกินคาด ฉันจึงได้กลับมาก่อน แต่เช่นนี้ก็ดี ฉันตั้งใจจะให้แม่เรไรออกเรือนกับขุนณรงค์เสียเลย เพราะอีกไม่นานคงมีศึกอีกจะได้ไม่ต้องเนิ่นช้าไปกว่านี้”
       ลำภูหน้าเครียดขึ้นมาทันที หันไปสั่งพิณ
       พิณ เอ็งไปตามแม่เรไรกับแม่เอื้อยแตงมาให้ข้าที
       “เจ้าค่ะแม่นาย”
       ลำภูหันไปพูดกับหลวงรามเดชะ
       “คุณหลวงเจ้าคะ ฉันมีเรื่องจะกราบเรียนเจ้าค่ะ แต่ต้องพูดกันตามลำพัง”
หลวงรามเดชะมองหน้าลำภูด้วยความแปลกใจ


ขันก้มลงกราบรามเดชะด้วยสีหน้ายิ้มแย้มในตอนเช้าวันรุ่งขึ้น
       “ข้าพระเจ้าดีใจเหลือที่ท่านอากลับมาเร็วเช่นนี้ แสดงว่ากองทัพชัยของพระพุทธจ้าอยู่หัวพร้อมออกศึกแล้วใช่หรือไม่ขอรับ”
       หลวงรามเดชะปั้นยิ้ม
       “ใช่ คงอีกไม่นานดอก ขุนณรงค์เตรียมตัวเถิด ศึกนี้มิรู้ว่าจะนานเพียงใด อาจึงอยากพูดเรื่องงานแต่งของขุนณรงค์แลแม่เรไรเสียเลย”
       ขันดีใจจนออกนอกหน้า
       “ข้าพระเจ้าพร้อมแล้วขอรับ ฤกษ์ยามก็มงคลนัก สุดแต่ท่านอาจะเลือกขอรับ”
       “อาอยากให้เลื่อนงานแต่งออกไปก่อน”
       “เหตุใดเล่าขอรับ” ขันตกใจด้วยความคิดไม่ถึง
       หลวงรามเดชะมองหน้าขันด้วยสายตาเอาเรื่อง
       “ขุนณรงค์ก็รู้แก่ใจไม่ใช่หรือหยามน้ำมะหน้ากันถึงบนเรือนเช่นนี้ ถ้าจะให้ออกเรือนอีกคงต้องคิดให้รอบคอบกว่านี้เสียหน่อยแล้ว”
       ขันหน้าเสียทันทีที่รู้ว่า หลวงรามเดชะรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว
       “ท่านอาฟังคำข้าพระเจ้าก่อน ข้าพระเจ้าผิดนักที่เผลอคิดชั่วไป แต่เพราะอ้ายเสมามันกระทำบัดสีก่อน ข้าพระเจ้าเคืองนัก จึงขาดสติ ขอท่านอาอภัยให้ข้าพระเจ้าเถิด”
       “เพราะอาก็คิดเช่นนั้นจึงเพียงแต่เลื่อนงานแต่งออกไป หาไม่คงถอนหมั้นไปแล้ว ไม่เรียกขุนท่านมาพูดคุยด้วยเช่นนี้ดอก”
       “แต่ท่านอาขอรับ...”
       “วิสัยทหารเมื่อผิดก็ยอมรับเสียอย่าดื้อดึงอีกเลย เสร็จศึกครานี้เมื่อใดค่อยมาว่ากันอีกที” หลวงรามเดชะพูดสวนขึ้น
       ขันเจอตัดบทก็พูดไม่ออกได้แต่เจ็บใจที่งานแต่งต้องถูกเลื่อนอีกแล้ว

       ตอนสาย ขันเดินคุยอยู่กับพุฒที่ตลาด
       “ฉันเตือนแล้วว่า ให้หาทางกำจัดหลวงรามเดชะเสีย ท่านก็หาฟังไม่ มาถึงเพลานี้คงแจ้งในคำฉันแล้วกระมัง”
       “อย่าซ้ำกันอีกเลยขุนวิเศษ มาช่วยกันคิดเถิดว่าทำอย่างไร ท่านอาถึงจะหายเคืองฉัน” ขันพูดเสียงเครียด
       พุฒยิ้มเยาะแล้วบอก
       “ช่วยกันคิดก็ย่อมได้ แต่ขุนณรงค์ยกแม่หญิงดวงแขให้ฉันก่อนเป็นไร แล้วฉันจะหาอุบายให้”
       “นี่ขุนวิเศษฉวยโอกาสหาคุณเข้าตัวรึ ฉันบอกแล้วว่าหากฉันได้ออกเรือนกับแม่หญิงเรไรเมื่อใด จึงจะยกแม่ดวงแขให้ หากขุนวิเศษไม่ช่วยฉัน ก็หาทางเกี้ยวพาราสีแม่ดวงแขเอาเองเถิด”
       “ท่านอย่ามาใช้เล่ห์ลิ้นหลอกฉันไว้ใช้หน่อยเลย ไม่ใช่ว่าฉันไม่รู้เท่าว่าขุนท่านหาได้มีใจอยากได้ฉันเป็นน้องเขยไม่ ไม่เช่นนั้นคงบังคับแม่ดวงแขให้ออกเรือนกับฉันเสียนานแล้ว บอกไว้ก่อนนาออกขุน ว่าหากฉันไม่ได้แม่ดวงแขก็จะไม่มีแผนการใดหลุดจากปากฉันอีกเป็นแน่”
       ขันเห็นพุฒเอาจริงก็ขบกรามแน่นด้วยความเจ็บใจ

       เจ็ดแปดวันผ่านไป ภายในท้องพระโรง สมเด็จพระนเรศวรกำลังว่าราชการ โดยสมเด็จพระเอกาทศรถทรงประทับนั่งอยู่ห่างออกมาเล็กน้อย
       เสมา พระราชมนู และขุนนางคนอื่นๆ เข้าเฝ้ากันพร้อมหน้า
       สมเด็จพระนเรศวรตรัสว่า
       “บัดเดี๋ยวนี้ถึงเพลาแล้วที่อโยธยาจะได้แก้คืนแก่เมืองละแวก ศึกครานี้ มิใช่เพื่อศักดิ์ศรีของอโยธยาเท่านั้น แต่ยังเพื่อความมั่นคงของบ้านเมืองสืบไป พระราชมนู ขุนแสนศึกพ่าย”
       พระราชมนู และเสมา คลานออกไปถวายบังคม
       “ศึกละแวกคราก่อน เจ้าสองนำทัพพ่ายศึก ครานี้จงแก้ตัวอย่าให้พ่ายอีก ข้าจะให้พวกเจ้าเป็นทัพหน้า บุกเข้าตีละแวก”
       พระราชมนูและเสมาถวายบังคมขึ้นพร้อมกัน
       “รับด้วยเกล้า พระพุทธเจ้าข้า”
       “ขอเดชะ พระอาญาไม่พ้นเกล้า ศึกครานี้ข้าพระพุทธเจ้าขออยู่กองทะลวงฟัน แลขอเป็นคนแรกที่เข้าต่อสู้กับข้าศึก ควรมิควรแล้วแต่จะโปรดพระพุทธเจ้าข้า” เสมากราบทูล
       สมเด็จพระนเรศวร และสมเด็จพระเอกาทศรถสบพระเนตรกัน พอพระทัยในความกล้าหาญของเสมา
       พระเอกาทศรถแย้มสรวลแล้วตรัสว่า
       “เจ้ามีศักดิ์เป็นถึงขุนแล้ว ยังคิดอยู่กองทะลวงฟันย่อมเห็นถึงใจที่หมายจักแก้ตัว เอาเถิด ข้าจะให้ตามที่เจ้าขอ”
       เสมาถวายบังคม
       “เป็นพระมหากรุณาธิคุณ อย่างหาที่สุดมิได้พระพุทธเจ้าข้า”
       เสมาสีหน้าเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นหมายต้องการล้างอายจากศึกเมื่อคราวก่อน

       สมเด็จพระนเรศวรทรงยกทัพไพร่พลหนึ่งแสน บุกเข้าตีเมืองละแวก และได้รับชัยชนะอย่างงดงาม จนสามารถล้อมเมืองละแวกไว้ได้ทั้งสี่ทิศ และในที่สุด กองทัพของพระราชมนูก็บุกเข้าสู่เมืองละแวกได้สำเร็จเป็นทัพแรก การตีเมืองละแวกคราวนี้ เป็นการเพิ่มความมั่นคงให้กรุงศรีอยุธยาและทำให้หัวเมืองด้านตะวันออกสงบสุขในที่สุด

       หกเดือนต่อมา สมบุญในชุดยศหมื่น เดินขึ้นเรือนของเสมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มดีใจ จำเรียงเดินออกมาพอดี พอเห็นสมบุญก็รีบเข้าไปหากุมมือของกันและกันไว้ทันที สมบุญยิ้มดีใจ
       “ฉันดีใจนักที่ได้กลับมาเห็นหน้าแม่จำเรียงอีก แม่อยู่ทางนี้จำเริญสุขดีหรือ”
       “ฉันมีสุขดี หัวพัน...”
       ครั้นจำเรียงเห็นชุดของสมบุญก็พูดขึ้น
       “ได้เป็นหมื่นแล้วรึ”
       “ไม่ใช่แต่ฉันดอก อ้ายสินก็ได้เป็นหมื่นแล้ว ส่วนพี่เสมาทำความชอบใหญ่หลวง ได้ขึ้นเป็นจมื่นแสนศึกสะท้านแล้ว เช่นเดียวกับพระราชมนู ท่านได้ขึ้นเป็นเจ้าพระยามหาเสนาบดี สมุหพระกลาโหม”
       จำเรียงดีใจมาก
       “พี่เสมาเป็นถึงจมื่นเชียวรึ เช่นนี้ก็เทียบได้กับเป็นคุณพระน่ะซี เอ่อ แล้วพี่เสมาเล่าเหตุใดยังไม่กลับ”
       สมบุญหน้าขรึมลงแล้วบอกว่า
       “พระยาศรีไสยณรงค์ก่อกบฏขึ้นที่เมืองตะนาวศรี พระพุทธเจ้าอยู่หัวทรงเสียพระทัยนัก เพราะเป็นทหารตามเสด็จมานานปีจึงมีรับสั่งให้พระพุทธเจ้าอยู่หัววังหน้าทรงยกทัพไปเกลี้ยกล่อม หากไม่เป็นผลจึงค่อยรบชิงตะนาวศรีกลับมาพี่เสมาต้องตามเสด็จ แต่ฉันต้องนำของแลเชลยศึกกลับอโยธยาก่อน”
       จำเรียงพยักหน้ารับ
       “แล้วท่านหมื่นรับข้าวปลามาแล้วหรือไม่ ฉันจะได้สั่งบ่าวไพร่ให้จัดหา”
       สมบุญจับมือจำเรียง มองด้วยสายตากรุ้มกริ่ม
       “อย่าเพิ่งเลยแม่จำเรียง ขอฉันได้มองแม่จำเรียงให้หายคิดถึงหน่อยเถิด หลายเดือนมานี้ฉันเฝ้าแต่คิดถึงแม่จำเรียงทุกคืนวัน รอว่าเมื่อใดจักได้กลับมาเห็นแม่จำเรียงสุดรักของฉันอีก”
       จำเรียงเขินอาย สมบุญค่อยๆดึงจำเรียงเข้ามาเพื่อจะกอด
       ทันใดนั้นเอง มั่นก็เดินออกมาจากข้างในพร้อมกระแอมเสียงดัง
       สมบุญและจำเรียงตกใจรีบผละออกจากกันทันที มั่นมองสมบุญตาเขียวปั้ดด้วยความหวงลูกสาว ในขณะที่สมบุญเห็นสายตามั่นก็หวาดกลัวยิ่งกว่าเจอศัตรูอีก

       เวลาหัวค่ำ ที่หน้าบ้านหลวงรามเดชระ สินโดนแต้มกับเหล่าทาสชายสาดน้ำใส่จนตัวเปียกต้องวิ่งหลบหนีทุลักทุเล สินรีบหลบไปตั้งหลักแล้วโวยวายลั่น
       “เฮ้ย กระไรกันวะ เอาน้ำสาดข้าทำกระไร”
       “ก็สาดไล่น่ะซีวะ หนอย จะมาหาลูกสาวข้ามืดค่ำ คิดหยามกันรึ” แต้มตะคอก
       “พิโธ่ หยามกระไรกัน ฉันกลับมาถึงตอนค่ำ คิดถึงแม่เอื้อยแตงนักจึงมาหาเพียงเท่านั้น เราหาใช่คนอื่นไกลกันไม่ แลชีวิตของพ่อลุงแต้ม ฉันก็เป็นคนช่วยไว้ ยังทำกันได้”
       “ชะช้า ทวงบุญคุณหรือวะ”
       แต้มหันไปสั่งพวกทาส
       “เฮ้ย สาดเข้าไป อย่าให้อ้ายบ้าสินมาเหยียบเรือนเป็นอันขาด”
       ขาดคำ พวกทาสก็ระดมสาดน้ำใส่สินจนต้องวิ่งหนีโวยวายไปรอบบ้าน

       เรไร และเอื้อยแตงยืนมองพ่อกับสินทะเลาะกันอยู่บนเรือน เห็นแล้วเอื้อยแตงก็หงุดหงิดพลางส่ายหน้าอย่างระอา
       “พ่อหนอพ่อ”
       เรไรยิ้มขำพลางว่า
       “แต่หมื่นสินผู้นี้ก็มั่นคงดีนักเพียรรักแม่เอื้อยแตงมานานปี ดูทีรึ กลับจากศึกก็ยังรีบมาหา”
       เอื้อยแตงชะงักไปเล็กน้อย ทั้งที่ลึกๆเริ่มแอบพอใจสิน แต่ต้องรีบทำหงุดหงิดกลบความรู้สึกไว้
       “ฉันล่ะเกลียดเหมือนจะตาย น่ารำคาญนัก”
       เรไรมองเอื้อยแตงแล้วยิ้มแบบรู้ทัน)
       “รำคาญ แต่ก็ยังปล่อยให้เกี้ยวไม่ใช่รึ เช่นนี้รำคาญแน่หรือแม่เอื้อยแตง”
       เอื้อยแตงทิ้งค้อนแล้วเดินกลับเข้าข้างในไป เรไรได้แต่มองตามไปอย่างขำๆ เอ็นดู

       เวลาบ่ายที่ค่ายสมเด็จพระเอกาทศรถ เสมานำตัวพระยาศรีไสยณรงค์เข้ามาในกระโจม สมเด็จพระเอกาทศรถประทับยืนคอยอยู่ในกระโจม โดยมีพันอินยืนอยู่ใกล้ๆ พระยาศรีไสยณรงค์คุกเข่าลงถวายบังคม
       พระเอกาทศรถถอนพระทัยแล้วตรัสว่า
       “เหตุใดเจ้าทำเช่นนี้ที่สมเด็จพี่ตั้งเจ้าเป็นเจ้าเมืองตะนาวศรีก็เพราะไว้วางพระราชหฤทัยยิ่งกว่าผู้อื่น แลแม้เจ้าจะกบฏแต่ความชอบก็มีเกินความผิดนัก หากเจ้ายอมแพ้ เรายังทูลขอให้ละเว้นโทษได้ แต่เจ้ากลับต่อสู้จนต้องพินาศเช่นนี้”
       พระยาศรีไสยณรงค์หน้าสลดลง
       “พระองค์ทรงมีพระเมตตากับข้าพระพุทธเจ้านัก แต่ถึงข้าพระพุทธเจ้าจะทุรยศก็หาใช่ขาดสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณไม่ แต่ด้วยเกิดเป็นชายย่อมหวังเป็นใหญ่แลสร้างชื่อให้ปรากฏไว้ หาใช่สิ่งผิดไม่”
       “ก่อกบฏ ยังไม่ผิดอีกหรือขอรับท่านเจ้าคุณ”
       เสมาพูดอย่างไม่พอใจ เช่นเดียวกับพันอิน
       “ท่านเจ้าคุณพูดเช่นนี้เหมือนไม่ยอมรับผิด หาใช่วิสัยทหารไม่”
       “พวกเจ้าจะติกระไรก็ติไปเถิด แต่หากพวกเจ้าเป็นเช่นข้าก็จักเข้าใจเอง ข้าเกิดเป็นชายมีปัญญาแลฝีมือเป็นที่ประจักษ์ เหตุใดจะเป็นใหญ่ในแว่นแคว้นหนึ่งมิได้”
       “ความเป็นใหญ่ของเจ้ามันสำคัญกว่าความกตัญญูกระนั้นหรือ ความเป็นใหญ่ที่ขาดธรรมมีกระไรให้ชื่นชม อย่าว่าแต่เมืองตะนาวศรีเพียงนี้เลยต่อให้เจ้าได้แผ่นดินกว้างใหญ่เช่นสมเด็จพี่ หรือพระเจ้าชำนะสิบทิศ ก็เป็นเพียงแผ่นดินที่ได้มาเพราะความทุรยศแลเล่ห์กล รังแต่จะมีเสียงสาปแช่งตามมาเท่านั้น แต่หามีศักดิ์ศรีไม่”
       พระยาศรีไสยณรงค์หน้าเจื่อนลงเพราะสิ่งที่สมเด็จพระเอกาทศรถตรัส ล้วนเป็นความจริงที่เถียงไม่ออกซักคำ
       เสมา มองสมเด็จพระเอกาทศรถด้วยความชื่นชม สิ่งที่พระองค์ตรัสตรงกับใจของเสมาทั้งสิ้น

       เวลาหัวค่ำ เสมากำลังเดินคุยอยู่กับพันอินอยู่ในบริเวณค่ายของสมเด็จพระเอกาทศรถ
       “ข้าพระเจ้าฟังรับสั่งของพระพุทธเจ้าอยู่หัววังหน้าครานี้ หวนนึกถึงตัวเองนัก ด้วยข้าพระเจ้าก็เชื่อในฝีมือแลหวังสร้างชื่อเฉกเช่นพระยาศรีไสยณรงค์ แต่เพราะข้าพระเจ้ายึดถือกตัญญูเป็นที่ตั้ง จึงไม่ได้หลงกระทำชั่วไป” เสมาพูดบอกพันอิน
       พันอินยิ้มบางตอบว่า
       “เพราะเช่นนั้น คราที่เจ้าตกต่ำลงถึงได้มีผู้คอยช่วยเหลืออย่างไรเล่า ลูกเอ๋ย เกิดเป็นผู้คนย่อมหวังความจำเริญรุ่งเรืองกันทั้งสิ้น แต่ก็อย่าให้สิ่งเหล่านี้อยู่เหนือธรรมแลกตัญญูกตเวทีไปได้”
       “ขอรับพ่อท่าน ข้าพระเจ้าจักจำใส่ใจไว้ ไม่ลืมเป็นอันขาด”
       ขณะนั้นเอง ทั้งเสมาและพันอินเหลือบเห็นสมเด็จพระเอกาทศรถเสด็จพระราชดำเนินผ่านมา ทั้งคู่ตกใจรีบเข้าไปคุกเข่าทันที
       พันอินถวายบังคม
       “ขอเดชะ พระอาญาไม่พ้นเกล้า พวกข้าพระพุทธเจ้าไม่ทราบว่าพระองค์จะเสด็จออกมาจากกระโจม จึงไม่ได้ตามเสด็จถวายรับใช้ ขอจงทรงลงพระอาญาด้วยพระพุทธเจ้าข้า”
       พระเอกาทศรถแย้มสรวล
       “เรื่องเท่านี้ไม่เป็นกระไรดอก เรานอนไม่หลับจึงออกมาเดินเล่นด้วยสลดใจเรื่องพระยาศรีไสยณรงค์นัก ไม่คิดเลยว่าคนที่ตามเสด็จเรากับสมเด็จพี่มาแต่ครั้งยังเยาว์ ต้องมีบั้นปลายเช่นนี้”
       ทหารกลุ่มหนึ่งกำลังคุมตัวเชลยกลุ่มหนึ่งเข้ามา เชลยศึกคนหนึ่งมองไปที่สมเด็จพระเอกาทศรถด้วยสายตาอาฆาต ก่อนจะเอาตัวกระแทกทหารที่คุมอยู่ จนเสียหลักเซไป แล้วแย่งหอกมาพุ่งใส่สมเด็จพระเอกาทศรถทันที
       เสมาเหลือบสายตาเห็นเข้าพอดีจึงรีบเอาตัวเข้าบังสมเด็จพระเอกาทศรถไว้ หอกเลยพุ่งปักทรวงอกเสมาเข้าเต็มๆ พวกทหารรีบชักดาบฆ่าเชลยศึกคนนั้นทันที
       เสมาทรุดร่วงลงท่ามกลางความตกใจของทุกคน เหล่าทหารรีบกรูเข้าคุ้มกันพระเอกาทศรถพาเข้ากระโจมไปทันที พันอินรีบเข้าไปประคองเสมาไว้ด้วยความตกใจ
       “เสมา เสมาลูกพ่อ”
       เสมาโดนหอกปักเข้าที่กลางอก ทนความเจ็บปวดไม่ไหวจนสลบหมดสติไป

       เวลาผ่านไปเจ็ดแปดวัน เช้าวันหนึ่งที่บ้านหลวงรามเดชะ บรรดาทาสกำลังทยอยยกสำรับอาหารเช้ามาให้เรไร หลวงรามเดชะและลำภู
       หลวงรามเดชะยิ้มอารมณ์ดีแล้วว่า
       “ไปศึกเสียนานเดือน คิดถึงกับข้าวกับปลาฝีมือแม่ลำภูนัก กลับมาครานี้ต้องกินให้อ้วนท้วนเชียว”
       “ได้เลื่อนเป็นพระรามเดชะครานี้ ปากหวานขึ้นนะเจ้าคะ”
       พระรามเดชะ ลำภู และเรไรยิ้มแย้มแจ่มใส
       ขณะนั้นเอง บัวเผื่อนก็เดินขึ้นเรือนมา เรไรยิ้มทักทาย
       “อ้าว แม่บัวเผื่อนมาได้อย่างไรกันจ๊ะ กินกระไรมาหรือยัง มากินด้วยกันซี”
       “ยังจักกินลงอีกหรือแม่เรไร นี่แสดงว่ายังไม่รู้ข่าวที่ตะนาวศรีหล่ะซี”
       “มีกระไรรึแม่บัวเผื่อน หรือพระพุทธเจ้าอยู่หัวพระองค์น้อยทรงเป็นอันตราย” พระรามเดชะถามขึ้น
       “ไม่ใช่ดอก แต่เป็นเสมา จมื่นแสนศึกสะท้านต่างหาก เหล่าทหารที่ไปส่งเสบียงที่ตะนาวศรี กลับมาเล่าให้ฟังว่า จมื่นเสมาต้องคมอาวุธของศัตรูจนสิ้นชีพแล้ว”
       เรไรตกใจสุดๆ
       “เป็นไปไม่ได้ แม่บัวเผื่อนฟังผิดหรือไม่”
       “ไม่ผิดดอก เห็นว่ามีผู้ลอบปลงพระชนม์”
       ลำภูยกมือขึ้นทาบอกด้วยความตกใจที่มีคนคิดลอบปลงพระชนม์ ฝ่ายพระขุนรามเดชะเองก็หน้าเสียไปเหมือนกัน
       “แต่เสมาเอาตัวเข้ารับอาวุธแทน จนเจ็บหนักถึงตายไปแล้วหล่ะเรไร”
       เรไรตกใจสุดขีดก่อนจะเป็นลมล้มพับหมดสติไป
       “ว้าย แม่เรไร” บัวเผื่อนร้องขึ้น
       พระรามเดชะและลำภูตกใจรีบเข้าไปดูอาการเรไรทันทีด้วยความเป็นห่วงลูก

       เอื้อยแตงเข้ามาในห้องนอนเรไรด้วยท่าทีตื่นตกใจด้วยความเป็นห่วงเรไร เรไรยังนอนหลับไม่ได้สติอยู่บนเตียง โดยมีบัวเผื่อนกับลำภูคอยดูแลและพิณคอยเช็ดตัวให้เรไรอยู่
       “แม่หญิงเป็นกระไรบ้างเจ้าคะ ป้าท่าน” เอื้อยแตงถามขึ้น
       ลำภูถอนใจหนักๆก่อนตอบ
       “คงเสียใจเรื่องจมื่นแสนศึกสะท้านเลยสิ้นสติสมประดีไป ลูกเอ๋ย”
       ลำภูลูบหัวเรไรด้วยความสงสารจับใจ
       “น่าสงสารแม่เรไรนัก แต่การเช่นนี้ก็ต้องทำใจด้วยจมื่นแสนศึกสะท้านเป็นราชองครักษ์ ย่อมมีหน้าที่ปกป้องพระพุทธเจ้าอยู่หัวอยู่แล้ว” บัวเผื่อนว่า
       เอื้อยแตงหมั่นไส้แล้วพูดเน้นเสียง
       “หากญาติพี่น้องของแม่หญิงบัวเผื่อนเป็นราชองครักษ์ก็ควรต้องตระเตรียมใจไว้เผื่อตายด้วยใช่หรือไม่เจ้าคะ”
       บัวเผื่อนชักสีหน้าไม่พอใจที่ถูกย้อน หันไปพูดกับลำภู
       “แม่ป้าเจ้าคะ บัวเผื่อนขอกลับก่อนนะเจ้าคะ”
       บัวเผื่อนไหว้ลา ลำภูรับไหว้ ก่อนที่บัวเผื่อนจะออกจากห้องไป เอื้อยแตงทิ้งค้อนตามหลังบัวเผื่อน ก่อนจะหันไปพูดกับลำภู
       “แม่ป้าเจ้าคะ ประเดี๋ยวเอื้อยแตงดูแลแม่หญิงเรไรเอง แม่ป้าไปพักเถิดเจ้าค่ะ”
       “ฝากด้วยเถิด แม่เอื้อยแตง”
       ลำภูออกจากห้องไป พอลำภูออกไป เรไรก็ค่อยๆได้สติขึ้นมา เอื้อยแตงรีบเข้าไปดูอาการ
       “เป็นอย่างไรบ้างแม่หญิง”
       เรไรพอตั้งสติได้ก็นึกถึงเรื่องที่เสมาตายพลางร้องไห้ออกมา
       “แม่เอื้อยแตง เสมาตายแล้ว”
       เอื้อยแตงน้ำตาคลอแต่ยังไม่ปักใจเชื่อ
       “ข้าศึกเรือนหมื่นเรือนแสน พี่เสมาก็ฝ่ามาได้ แต่เพียงเท่านี้จักตายได้อย่างไร หากไม่เห็นศพกับตา ฉันไม่เชื่อดอก”
       “แต่แม่บัวเผื่อนยืนยันหนักแน่น คงไม่ผิดพลาดแล้ว”
       “จะเอากระไรกับแม่หญิงบัวเผื่อนเล่าเจ้าคะ คำจากปากแม่หญิงบัวเผื่อนน่ะฟังได้ แต่เชื่อเสียทั้งหมดไม่ได้ดอกเจ้าค่ะ” พิณบอก
       “แม่พิณกล่าวถูกแล้ว แม่หญิงอดใจรอสักหน่อยเถิด ทัพขององค์พระพุทธเจ้าอยู่หัวกลับมาเมื่อใดก็คงได้รู้กัน”
       เรไรยิ่งคิดก็ยิ่งร้อนใจ
       “ฉันรอไม่ไหวดอก มันเหมือนไฟสุมอกจนจักมอดไหม้อยู่แล้ว ฉันจะไปดูให้เห็นกับตาที่ตะนาวศรีว่าเสมาตายแล้วจริงหรือไม่”
       พิณตกใจ
       “ตะนาวศรีไม่ใช่ใกล้นะเจ้าคะ แม่หญิงจักไปได้อย่างไร”
       เรไรจับมือพิณและเอื้อยแตงไว้
       “พิณแลแม่เอื้อยแตงก็ไปกับฉันซี นึกเสียว่าเอาบุญเถิดนะ หากฉันไม่รู้แน่ว่าเสมายังอยู่หรือไม่ ฉันคงไม่มีวันเป็นสุขไปได้ดอก”
       เอื้อยแตงและพิณหนักใจ ใจนึงก็อยากรู้เรื่องเสมา แต่จะไปไกลถึงตะนาวศรีก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
       “ไปกับฉันเถิดนะแม่เอื้อย”
       เอื้อยแตงตัดสินใจพยักหน้ารับคำ เรไรดีใจมากจนน้ำตาไหลจับมือเอื้อยแตงบีบไว้แน่น
       “ขอบน้ำใจแม่มาก”

       เรไรและเอื้อยแตงหอบห่อผ้าจะเดินไปที่เรือเพื่อจะล่องเรือไปตะนาวศรี
       “แม่เอื้อยแตงไปตะนาวศรีถูกแน่รึ”
       “ฉันก็ไม่เคยไปดอก แต่เคยฟังจากพวกพ่อค้าที่เคยไปค้าขายที่ตะนาวศรี หากแม่หญิงอยากไปจริงก็ต้องเสี่ยงดู”
       “ถึงขั้นนี้แล้ว อย่างไรฉันก็จักไป”
       ทั้งคู่เดินมาถึงเรือเห็นพิณนั่งพับเพียบอยู่ที่ศาลา
       “แม่พิณเหตุใดมานั่งอยู่ที่นี่ ไม่ลงเรือเล่า”
       พิณหน้าเสียท่าทางหวาดกลัว แต่ไม่ยอมพูดอะไร
       ขณะนั้นเอง พระรามเดชะก็เดินออกมาหาเรไรส่งเสียงดุ หน้าตาถมึงทึง
       “แม่เรไร”
       เรไรและเอื้อยแตงสะดุ้งเฮือก พอหันกลับไปเห็นพระรามเดชะก็ยิ่งกลัวจนหน้าถอดสี

       ภายในห้องนอนของเรไรในเวลาต่อมา พระรามเดชะกำลังดุเรไรที่นั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ในห้องนอน โดยมีลำภู เอื้อยแตง และพิณยืนมองตาปริบๆอยู่ใกล้ๆ
       “เป็นหญิงแต่จะไปถึงตะนาวศรีก็กล้าเกินงามแล้ว แต่นี่เจ้ายังมีคู่หมั้นคู่หมายติดตัวอยู่อีก แล้วจะให้พ่อเอาหน้าไปไว้ที่ใด”
       “อย่าตำหนิแม่หญิงเรไรเลยจ้ะเป็นความคิดฉันเอง หากจักดุด่าลุงท่านก็ดุด่าฉันเถิด” เอื้อยแตงบอก
       เรไรร้องไห้แล้วหันไปพูดกับพระรามเดชะ
       “แม่เอื้อยแตงอย่าออกรับแทนฉันเลย ลูกเป็นต้นคิดเองเจ้าค่ะด้วยลูกอยากรู้ว่าเสมาตายจริงหรือไม่”
       พระรามเดชะได้แต่ถอนใจส่ายหน้า เรไรพนมมือ
       “พ่อท่านเจ้าขา หากเสมาตายจริงก็ขอให้ลูกได้เห็นศพกับตาเถิดเจ้าค่ะ ไม่เช่นนั้น ลูกคงหาเป็นสุขไม่”
       “แล้วเจ้าจะให้พ่อตอบหลวงณรงค์ว่ากระไร คู่หมั้นของตนไปดูศพชายอื่นถึงตะนาวศรี ชายใดจักทนได้ เจ้าสิ้นรักพ่อแม่แล้วหรือ แม่เรไรถึงได้กระทำย่ำยีหัวใจพ่อเช่นนี้” พระรามเดชะพูดแล้วก็ตบที่หน้าอกตัวเอง
       เรไรร้องไห้เสียใจถึงอยากจะเห็นศพเสมาขนาดไหน แต่เมื่อพระรามเดชะพูดขนาดนี้ก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองผิดมาก
       “แม่เรไรคงไม่ได้คิดถึงเช่นนั้นดอกเจ้าค่ะคุณพระ คุณพระอย่าถือโทษโกรธเคืองลูกเลยนะเจ้าคะ” ลำภูพูดขึ้น
       พระรามเดชะโกรธจัดเลยเดินออกจากห้องไป ลำภูรีบตามไปเพื่อปลอบให้สามีใจเย็นลง พิณได้แต่ร้องไห้สงสารเข้าไปกอดเรไร
       “แม่หญิงเจ้าขา ทูนหัวของบ่าว”
       ระหว่างความรักกับความกตัญญู มักจะสวนทางกันให้เรไรต้องเจ็บปวดเสมอ เอื้อยแตงได้แต่มองดูเรไรด้วยความสงสารจับใจ แต่ก็แอบชื่นชมในความรักของคนคู่นี้อย่างสุดหัวใจ

       ในยามบ่าย ที่บ้านของขัน ดวงแขกำลังเถียงกับพุฒคอเป็นเอ็นด้วยความโกรธจัด
       “อย่ามามุสาหน่อยเลย ฉันไม่เชื่อดอก เสมาจักตายได้อย่างไร”
       ขันยืนยิ้มกริ่มอยู่ใกล้ๆ พุฒยิ้มเยาะ
       “หากไม่เชื่อก็ไปถามพวกที่กลับจากตะนาวศรีเอาเองเถิด ข่าวนี้ไม่มีพลาดดอก ป่านฉะนี้ อ้ายเสมาเป็นผีเฝ้าเมืองตะนาวศรีไปเสียแล้ว” พุฒพูดขำๆเย้ย
       “ไม่จริง ไป ลงจากเรือนฉันไปประเดี๋ยวนี้เลย”
       “เสียกิริยาจริงแม่ดวงแข ขับไล่หลวงวิเศษเช่นนี้ได้กระไร แลพี่มีการต้องหารือกับหลวงวิเศษอยู่ หากน้องมีกิจกระไรก็ไปทำก่อนเถิด”
       “นี่พี่ขันไม่เข้าข้างน้อง แล้วยังไล่น้องอีกรึ”
       ดวงแขมองหน้าพี่ชายด้วยความโกรธเคือง ก่อนจะสะบัดหน้าเดินหนีไป พุฒมองตามด้วยสายตาเยาะเย้ย
       “บัดเดี๋ยวนี้ อ้ายเสมาก็แพ้บุญเราสองจนตายไปเสียแล้ว เหตุที่เคยผิดน้ำใจกัน หลวงวิเศษท่านก็ลืมไปเสียเถิด”
       “หากฉันไม่ลืม ฉันจะมาแจ้งข่าวอ้ายเสมาถึงเรือนหลวงณรงค์ท่านหรือ เรื่องแม่หญิงดวงแขฉันรอได้ ขอเพียงหลวงท่านไม่บิดพลิ้วเท่านั้น แต่ที่มาครานี้ ด้วยกิจสำคัญอื่นต่างหาก”
       “กิจใดหรือ”
       “อ้ายเสมาตาย ตำแหน่งราชองครักษ์เอกก็ว่างลง ฉันอยากรับหน้าที่นี้แทน หลวงท่านช่วยฉันได้หรือไม่”
       “ฉันสนิทสนมกับเหล่าขุนทหารวังหน้าอยู่หลายคน เหตุใดจักช่วยท่านไม่ได้ แต่เพลานี้ พระราชมนูได้เลื่อนเป็นเจ้าพระยามหาเสนาบดี สมุหพระกลาโหมกำลังรุ่งเรืองนัก ฉันอยากย้ายไปสังกัดท่าน หลวงวิเศษมีวิธีหรือไม่”
       “จะยากกระไร พระรามเดชะเป็นทหารในสังกัดเจ้าพระยาท่าน หากผู้ใดได้เป็นเขยของพระรามเดชะ ย่อมย้ายมาสังกัดท่านเจ้าพระยาได้โดยง่ายอยู่แล้วไม่ใช่หรือ”
       ขันฉุกคิดขึ้นแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์ เพราะเมื่อเร่งรัดแต่งงานกับเรไรก็จะได้ย้ายสังกัดเป็นของแถมด้วย ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว

       ในบ้านพระรามเดชะ เมื่อเวลาเย็น ขันวางพานบายศรีแล้วก้มลงกราบขอขมาพระรามเดชะและลำภู โดยมีอำพันอยู่ใกล้ๆ
       “ข้าพระเจ้าตั้งใจจักขมาท่านอาแลท่านอาหญิงอยู่นานแล้ว แต่ด้วยติดศึกอยู่นานเดือน แลเกรงว่าท่านอายังไม่หายโกรธเคือง จึงรอถึงป่านฉะนี้ ขอท่านอาจงอภัยให้ข้าพระเจ้าเถิด”
       พระรามเดชะพยักหน้ารับแล้วว่า
       “เมื่อรู้ผิด อาก็จักอภัยให้แต่คราหน้าก็อย่าได้กระทำเช่นนี้อีก”
       “ขอรับ” ขันรับคำด้วยสีหน้ายิ้มแย้มดีใจ
       “พ่อขันเล่าให้ฉันฟังหมดสิ้นแล้ว ฉันเองก็ได้ตำหนิติเตียนไปมากอยู่ เชื่อว่าต่อไปภายหน้า พ่อขันคงไม่กล้าแล้วหล่ะจ้ะ” อำพันว่า
       “ดีแล้ว เราสองไม่ใช่อื่นไกลกัน หาควรต้องผิดน้ำใจกันไม่”
       ขันมองอำพันเป็นเชิงเร่งรัดให้รีบพูด อำพันเห็นสายตาขันก็เข้าใจ
       “หากคุณพระกับแม่ลำภูไม่ถือโทษแล้ว ฉันก็อยากให้พ่อขันกับแม่เรไรออกเรือนเสียที ด้วยหมั้นกันมานานนักจนผู้คนพากันติฉินนินทาไปทั่ว คุณพระกับแม่ลำภูเห็นเป็นเช่นใด”
       หลวงรามเดชะและลำภูหันไปสบตากัน เรไรเพิ่งก่อเรื่องอยากจะไปตะนาวศรี ยิ่งอยากให้ลูกแต่งงานเร็วขึ้น
       “ฉันย่อมเห็นด้วยกับแม่อำพันอยู่แล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างก็พร้อมสิ้น ขาดแต่ฤกษ์พานาทีเท่านั้น ได้เร็วที่สุดเมื่อใดก็ตามนั้นเถิด”
ขันยิ้มดีใจ แค่ให้อำพันออกหน้าก็เป็นไปตามแผนทุกอย่าง อย่างไรเสีย ขันก็คงจะได้แต่งงานกับเรไรในเร็ววันนี้แน่นอน

จบตอนที่ ๑๓



Create Date : 28 พฤษภาคม 2555
Last Update : 28 พฤษภาคม 2555 9:05:15 น. 0 comments
Counter : 1702 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

atitaya_t
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




สวัสดีค่ะ ขอร่วม gang ด้วยคนค่ะ
Friends' blogs
[Add atitaya_t's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.