เก็บความทรงจำ..(^_^)..ความสนใจ โลกส่วนตัว ที่เราสร้างเอง
Group Blog
 
 
พฤษภาคม 2555
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
22 พฤษภาคม 2555
 
All Blogs
 
ขุนศึก ตอนที่ 1-1

ขุนศึก ตอนที่ ๑

อาณาเขตของกรุงหงสาวดีในปี พ.ศ.๒๑๑๒ กว้างใหญ่ไพศาล ประกอบด้วยเมือง หงสาวดี เมาะตะมะ พสิม ตองอู แปร อังวะ ยะไข่ เชียงใหม่ พิษณุโลก กรุงศรีอยุธยา ฯลฯ

       ในวันอาทิตย์ แรม ๑๑ ค่ำ เดือน ๙ ปีมะเส็ง พุทธศักราช ๒๑๑๒ กรุงศรีอยุธยา ได้สูญเสียเอกราชให้แก่กองทัพของพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง คนไทยต้องตกอยู่ใต้อำนาจของกรุงหงสาวดีนานนับสิบปี
       จนกระทั่ง... ในปีพุทธศักราช ๒๑๒๔ พระเจ้าบุเรงนองเสด็จสวรรคต พระมหาอุปราชามังไชยสิงห์ ขึ้นครองราชย์สืบต่อ ทรงพระนามว่า พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรง สถานการณ์ของกรุงศรีอยุธยากับหงสาวดียิ่งตึงเครียดหนักขึ้น เมื่อพระเจ้านันทบุเรงทรงระแวงว่าคนไทยจะก่อการกบฏ เพราะสมเด็จพระนเรศวร มหาอุปราชกรุงศรีอยุธยาทรงพระปรีชาสามารถ และเก่งกาจในการศึกสงครามยิ่งนัก

       ต่อมาในปีพุทธศักราช ๒๑๒๗ กรุงอังวะแข็งเมือง พระเจ้านันทบุเรงสบโอกาสจึงมีรับสั่งให้สมเด็จพระนเรศวรยกกองทัพขึ้นไปปราบ และได้เตรียมแผนลอบปลงพระชนม์สมเด็จพระนเรศวรไว้ที่เมืองแครง

       รอบค่ายทหารของสมเด็จพระนเรศวรในเวลากลางคืนที่เมืองแครง มีทหารเดินรักษาเวรยามอย่างเข้มงวด แต่ทันใดนั้นเอง ก็มีลูกดอกอาบยาพิษพุ่งเข้าปักคอทหารไทยคนหนึ่ง ทหารผู้นั้นไม่ทันได้ร้องซักแอะ ก็ล้มลงขาดใจตายทันที เพื่อนทหารอีกคนเห็นเพื่อนตายไปต่อหน้าต่อตาก็ตกใจ แต่ไม่ทันจะทำอะไร ก็ถูกมือสังหารของหงสาซึ่งสวมใส่ชุดรัดกุม โพกผ้าปิดบังใบหน้า ลอบมาแทงด้านหลัง ขาดใจตายไปอีกคน เหล่ามือสังหารอีก 5-6 คนกรูกันออกมา แล้วลอบเข้าไปในกระโจมหลังที่มีธงปักอยู่ กระโจมหลังนั้นมีขนาดใหญ่โตกว่ากระโจมอื่นโดยรอบ ซึ่งเป็นกระโจมที่ประทับของสมเด็จพระนเรศวร มือสังหารวิ่งฝ่าเข้าไปอย่างแผ่วเบาเพื่อลอบสังหารพระองค์ในทันที
       พวกมือสังหารบุกเข้าไป เห็นแท่นพระบรรทมซึ่งมีมุ้งกางคลุมอยู่ ภายในมุ้งหลังนั้น มีคนนอนหลับสนิทอยู่ มือสังหารคนหนึ่งตลบมุ้งเปิดขึ้น แล้วฟันดาบลงไปทันที แต่ผู้ที่นอนอยู่นั้น ไวกว่า พลิกตัวเอาปืนยิงสวน จนมือสังหารกระเด็นออกไปตายคาที่ เหล่ามือสังหารที่เหลือตกใจ ผู้ที่อยู่บนเตียงนั้นลุกขึ้นยืน … ที่แท้เป็น “พระราชมนู” ที่ปลอมตัวมานอนแทน
       ทันใดนั้นทหารจำนวนมากซึ่งถืออาวุธครบมือ กรูกันเข้ามาในกระโจม
       “วางอาวุธเสีย แล้วกูจะไว้ชีวิตพวกมึง” พระราชมนูบอกด้วยน้ำเสียงเข้มเด็ดขาด
       เหล่าพวกมือสังหารไม่ฟังเสียง กรูกันเข้าไป ทั้งสองฝ่ายสู้กันอย่างดุเดือด มือสังหาร 2-3 คนหลุดรอดออกมาจากกระโจมได้ แต่ “สมเด็จพระนเรศวรและสมเด็จพระเอกาทศรถ” ยืนประทับรออยู่ก่อน ทั้งสองพระองค์แวดล้อมไปด้วยเหล่าทหารหาญทั้งขุนรามเดชะ พันอิน และทหารอีกมากมาย
       มือสังหารไม่ยอมแพ้ ตรงเข้าต่อสู้อย่างดุเดือด ขุนรามเดชะ พันอิน ชักดาบออกเข้าร่วมกับพวกทหารจะจับเป็นมือสังหารให้ได้ มือสังหารคนหนึ่ง แหวกวงล้อมของเหล่าทหารออกมาได้ ตรงเข้าหาสมเด็จพระนเรศวร เงื้อดาบขึ้นฟันสุดแรงหมายจะปลงพระชนม์ให้ได้ แต่สมเด็จพระนเรศวรทรงชักดาบออก แล้วฟันสวนกลับทันที
       ดาบของสมเด็จพระนเรศวร ฟันใส่ดาบของมือสังหารจนสะเก็ดไฟแลบปลาบ ดาบของมือสังหารหักสะบั้นลง พร้อมกับที่มือสังหารถูกฟันตายคาที่ทันทีอยู่ตรงนั้น
       มือสังหารอีกคนถูกล้อมจับได้ แต่ทันใดนั้น มือสังหารคนนั้นก็ชักดาบปาดคอตัวเองตาย มือสังหารคนอื่นๆที่ยังเหลือก็ชิงปาดคอตัวเองตายตามกันจนหมด

       พระราชมนูคุกเข่าถวายบังคมรายงานสมเด็จพระนเรศวรและสมเด็จพระเอกาทศรถ
       “ พวกมือสังหารปลิดชีพตัวเอง ไม่เหลือรอดซักคนพระพุทธเจ้าข้า”
       พระเอกาทศรถตรัสด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
       “เป็นไปตามคำเตือนของพระยาเกียรติ พระยาราม แลมหาเถระคันฉ่องทุกประการ ย่อมประจักษ์แจ้งแล้ว ว่าพระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรงหมายจะลอบปลงพระชนม์สมเด็จพี่”
       สมเด็จพระนเรศวรตรัสด้วยน้ำเสียงโกรธจัด
       “เรายกทัพมาตีกรุงอังวะโดยสัตย์ พระเจ้าหงสาวดีกลับประพฤติพาลต่อเรา”
       พระองค์ทรงปาดาบในมือปักพื้นดินอย่างแรง

       ในวันต่อมายามกลางวัน สมเด็จพระนเรศวรทรงประทับยืนอยู่ในพลับพลากลางแจ้ง ในพระหัตถ์ถือสุวรรณภิงคาร โดยสมเด็จพระเอกาทศรถประทับนั่งอยู่บนแท่นซึ่งต่ำกว่าสมเด็จพระนเรศวรเล็กน้อย โดยมีพระราชมนู ขุนรามเดชะ พันอิน และทหารทุกคนหมอบกราบอยู่กับพื้น ทรงประกาศก้องด้วยเสียงอันดัง
       “ขอปวงเทพยดาฟ้าดินจงเป็นพยาน ตั้งแต่นี้ต่อไป กรุงอโยธยาขาดไมตรีกับกรุงหงสาวดี มิได้เป็นสุวรรณปัถพีเดียวกันประดุจดังแต่ก่อน ขาดจากกันแต่วันนี้สืบไปเท่ากัลปวสาน”
       หลังประกาศทรงหลั่งอุทกธาราจากสุวรรณภิงคารลงสู่พื้นดิน เพื่อประกาศอิสรภาพ
       สิ้นคำประกาศอิสรภาพ เหล่าทหารก็ส่งเสียงไชโยโห่ร้อง“ทรงพระเจริญๆๆ” ดังก้องไปทั่วบริเวณจนแผ่นดินสะเทือนเลื่อนลั่น
       สมเด็จพระเอกาทศรถยิ้มบางๆบนพระพักตร์ พระราชมนู ขุนรามเดชะ ต่างร่วมโห่ร้องถวายพระพรกันดังลั่นเหมือนพวกทหาร ในขณะที่พันอินน้ำตาคลอด้วยความปลาบปลื้มใจ
       สมเด็จพระนเรศวรทรงประทับยืนอย่างองอาจ ไม่ได้หวาดหวั่นแม้แต่น้อย แม้จะต้องทำศึกกับหงสาวดี ที่มีกองทัพใหญ่กว่าไทยนับสิบเท่า
       เสียงโห่ร้อง “ทรงพระเจริญ” ยังดังก้องต่อไป

       ยามเช้าที่ร้านตีเหล็กของนายมั่น … เสมากำลังกระหน่ำใช้ค้อนกระหน่ำตีลงบนเหล็กแดง ด้วยเลือดลมอันพลุ่งพล่าน ทว่าสีหน้าปลาบปลื้ม ฮึกเหิมหลังจากได้ยินมั่น และพันอินคุยกันถึงเรื่องที่สมเด็จพระนเรศวรทรงประกาศอิสรภาพ
       “ได้ยินท่านพันอินเล่าแล้ว ฉันปลาบปลื้มจนน้ำตาพาลจะไหล ต่อไปจะได้เป็นไท ไม่ต้องเจ็บใจที่เป็นเมืองออก (หมายถึง เมืองสวามิภักดิ์) หงสาอีก” มั่นบอกอย่างปลื้มใจ
       พันอินสีหน้ายิ้มแย้มแล้วบอก
       “ที่ฉันเล่า มันยังน้อยกว่าความจริงอีกพี่มั่น ตอนที่พระองค์ท่านยกทัพกลับ สุรกรรมาแม่ทัพหงสา ยกทัพตามมาทันที่แม่น้ำสะโตง พระองค์ทรงพระแสงปืนต้นถูกสุรกรรมาตายซบคอช้าง พี่มั่นตรองดูเถิด แม่น้ำสะโตงกว้างใหญ่เพียงไร ถ้าไม่ใช่เพราะบุญญาธิการกับพระปรีชาแล้ว จะทำได้รึ”
       เสมาได้ยินคำสนทนานั้นก็ยิ่งฮึกเหิม กระหน่ำตีเหล็กแบบไม่ยั้งมือ
       มั่นได้ยินเสียงตีเหล็กแปลกไปก็เอะใจหันกลับไปดู
       “อุบ๋า เสมาเอ๋ย กระหน่ำตีเยี่ยงนี้ ประเดี๋ยวก็หักดอก”
       เสมาดูเหล็กในมือ ยิ้มแหยๆพลางบอก
       “หักแล้วจ้ะ”
       เสมาพูดแล้วก็โยนเหล็กหักทิ้งลงไปในถังน้ำ แล้วเดินเข้ามาร่วมกลุ่มพูดคุย
       “ฉันได้ยินพระคุณคุยกับพ่อ เลยฮึกเหิมจนลืมตัว ตีเสียเหล็กหักเลย”
       พันอินยิ้มอย่างเข้าใจความรู้สึกของเสมา สีหน้าของเสมาเคร่งขรึมลงอย่างจริงจัง
       “ฉันอยากไปได้ยิน ได้เห็นกับตาว่า สายน้ำรดลงแผ่นดินเมืองแครงแบ่งประเทศเป็นเช่นไร พระคุณเอ๋ย หัวใจอ้ายเสมานี้คับแค้นมานานนักหนา พอได้รู้ว่าไม่ต้องเป็นเมืองออกเมืองขึ้นอีกก็อดฮึกเหิมไม่ได้”
       พันอินพยักหน้าอย่างพอใจ หันไปพูดกับมั่น
       “อ้ายหนุ่มนี่เป็นใครกันพี่มั่น ฉันไม่เคยเห็นหน้าค่าตา”
       “อ้ายเสมา ลูกชายฉันเอง ส่งไปอยู่กับพระครูขุนวัดพุทไธสวรรย์แต่เล็ก เพิ่งจะกลับมา” มั่นบอก
       “อ้อ ศิษย์ท่านพระครู งั้นก็คงได้เรียนวิชาติดตัวมาบ้างสิท่า” พันอินถามขึ้น
       “ขอรับ ได้หัดดาบสองมือมาหลายปี หมายมั่นจะเป็นทหารได้ออกศึกสักครั้ง แม้ตายก็ไม่เสียดายเลยขอรับ” เสมาบอก
       พันอินได้ฟังแล้วก็หัวเราะชอบใจ
       “ได้เป็นแน่หลานเอ๋ย อีกไม่ช้าหงสาต้องยกทัพมาหักหาญแน่ ถ้าสมัครใจจริงก็จะฝากให้สมใจ”
       “ถ้ากระนั้น ฉันขอยกอ้ายเสมาให้เป็นลูกท่านพันแล้ว ต่อไปจะเป็นลูกศึกลูกเมืองประการใดก็ตามแต่ ขออุปการะไปเถิด” มั่นพูดด้วยความดีใจ
       “ได้ซีพี่มั่น ฉันชอบใจอ้ายลูกคนนี้อยู่แล้ว ทั้งรูปร่าง น้ำใจ สำนักเรียน ก็ได้ลักษณะพร้อม ภายหน้าต้องได้เป็นขุนศึกขุนพลเป็นแน่” พันอินพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
       เสมาดีใจสุดๆ ก้มลงกราบเท้าพันอินแล้วพูดด้วยสีหน้าแววตาส่อประกายความมุ่งมั่น
       “ขอบพระคุณขอรับ พระคุณพ่อนี้ล้นพ้นแล้ว แต่นี้อ้ายเสมาจะได้เป็นทหารฉลองคุณชาติคุณเมืองสมใจเสียที”

       ในเวลาต่อมาเสมาเดินหอบดาบ มีด จอบ เสียม ฯลฯ ที่ตนกับพ่อตีได้เพื่อจะเอาไปขายกลับมาบ้านด้วยความดีอกดีใจจะได้เป็นทหาร ขณะนั้นเอง เสมาก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเดินหันหลังดูโน่นดูนี่ อยู่ที่หน้าเรือนของตน เสมาคิดว่าเป็นจำเรียง ผู้เป็นน้องสาวจึงพูดออกไป
       “จำเรียง เอ็งกลับมาแล้วรึ พี่มีเรื่องจะเล่า”
       เรไรหันกลับมาหาเสมา เขาถึงกับตะลึงในความสวยสง่าของเรไรจนตาค้าง
       “ฉันไม่ใช่จำเรียงดอกจ้ะ จำเรียงกับแม่เอาส้มสูกลูกไม้ให้ฉันอยู่ ฉันก็เลยมาเดินรอ” เรไรพูดพลางยิ้มหวาน
       เสมารีบตั้งสติทันทีแล้วบอก
       “ถ้ากระนั้น เชิญแม่หญิงนั่งรอก่อนเถอะจ้ะ”
       เสมายกขอนไม้ท่อนหนึ่งซึ่งวางไว้หน้าเรือนมาให้เรไร แล้วใช้ผ้าขาวม้าปัดฝุ่น เอาอกเอาใจอย่างดี เรไรเห็นเสมากุลีกุจอ ก็เลยนั่งลงที่ขอนไม้นั้น เสมาใช้ผ้าบังแดดให้เรไร
       ขณะนั้นเอง บุญเรือน จำเรียง เดินถือชะลอมใส่ผลไม้เดินเข้ามา พอเห็นเสมายืนยิ้มแย้มอยู่กับเรไรก็ตกใจ บุญเรือนตวาดแว๊ดขึ้นทันที
       “เสมา นี่เอ็งทำกระไร ล่วงเกินท่านรึ”
       “ท่าน...” เสมาตกใจมองบุญเรือนด้วยสีหน้างงๆ
       จำเรียงแสดงสีหน้าไม่พอใจ
       “นี่ท่านหญิงเรไร นายของข้า พี่ประพฤติหยาบคายกระไรไปบ้าง กราบขมาโทษท่านประเดี๋ยวนี้เลย”
       เสมาตกใจ จะก้มลงกราบจริงๆ เรไรตกใจ รีบห้ามเสมาทันที
       “อุ๊ย อย่าจ้ะอย่า อย่าคุกเข่า”
       เรไรหันไปพูดกับจำเรียง
       “พี่ชายจำเรียงไม่ได้ทำอันใดผิดดอกจ้ะ เพียงแต่ยกขอนไม้ให้ฉันนั่งเท่านั้นเอง”
       “งั้นก็แล้วไปเถิดเจ้าค่ะ อ้ายลูกคนนี้มันล้นวางใจไม่ค่อยได้” บุญเรือนพูด
       “ไปกันเถอะจ้ะแม่หญิงเรไร ประเดี๋ยวฉันไปส่งที่ท่าน้ำ” จำเรียงบอกเรไร
       เรไรหันมายิ้มให้เสมาเป็นเชิงลา ก่อนจะเดินนำบุญเรือน จำเรียงที่ถือชะลอมผลไม้ตามไป
       เสมามองตามเรไร ความสวยและใจดีของเรไร จนทำให้เสมาอดเคลิ้มไม่ได้ได้แต่พึมพำเรียกชื่อ “แม่หญิงเรไร”

       ในยามบ่าย ขันซึ่งมีหน้าที่ฝึกสอนทหารใหม่ในบ้านของขุนรามเดชะกำลังฝึกซ้อมดาบกับทหารใหม่ 3 คนอยู่อย่างดุเดือด แม้จะเป็นสามรุมหนึ่ง แต่ขันก็ใช้ฝีมือที่เหนือกว่าเอาชนะได้อย่างสบาย จนพวกทหารใหม่กระเด็นกระดอนกันไปคนละทาง ขันโยนดาบที่ใช้ซ้อมให้ลูกน้องรับไป
       “พวกเอ็งซ้อมกันต่อไปก่อนประเดี๋ยวข้าจะทดสอบฝีมือพวกเอ็งอีกที”
       ขณะนั้นเอง ขันเหลือบไปเห็นทาสชายพายเรือให้เรไรมาถึงท่าน้ำ พิณและทาสคนอื่นๆรีบช่วยเรไรขึ้นจากเรือ และช่วยกันขนของที่เอามาเต็มเรือ เรไรกำลังจะเดินขึ้นเรือน แต่ขันรีบเดินไปขวางไว้ก่อน
       “ ฉันดีใจเหลือเกินที่แม่หญิงกลับมาจากในวังแล้ว ไม่ได้พบหน้าแม่หญิงเสียหลายวัน ดูแม่หญิงงดงามจับตานัก” ขันพูดพลางยิ้มกรุ้มกริ่ม
       แม้ว่าเรไรจะไม่ชอบขัน แต่ก็รักษามารยาทไว้
       “ขอบน้ำใจหัวหมู่ ฉันขอตัวไปกราบพ่อกับแม่ก่อน”
       เรไรจะเดินเลี่ยงไป แต่ขันรีบดักขวางหน้าไว้ก่อน
       “แม่หญิง อย่าเพิ่งไป”
       ลำภูผู้เป็นแม่มองเห็นเรไรจากบนเรือนก็ดีอกดีใจ
       “แม่เรไร แม่เรไรกลับมาแล้ว”
       ขุนรามเดชะรีบเดินออกมาจากข้างใน ดีใจได้เจอลูกสาว เรไรได้โอกาส เลยรีบเดินขึ้นเรือนไปทันที แล้วก้มลงกราบพ่อแม่ พ่อแม่ก็เข้าไปกอดด้วยความดีอกดีใจ ขันมองตามเรไร ด้วยสายตามุ่งมั่น อยากเอาชนะใจเรไรให้ได้

       หน้าบ้านของเสมาในตอนหัวค่ำวันเดียวกัน มั่นกับบุญเรือนกำลังเถียงกันอยู่ บุญเรือนพูดด้วยน้ำเสียงโมโห
       “พี่ก็รู้ว่าฉันไม่อยากให้อ้ายเสมาเป็นทหาร”
       “อยากหรือไม่ หากมีศึกมาประชิดพระนคร ก็ต้องเป็นอยู่ดี” มั่นบอก
       “เราเป็นช่างตีเหล็ก ตีอาวุธให้บ้านเมือง จะถูกเกณฑ์ไปรบได้อย่างไรกัน ญาติพี่น้องทั้งฝ่ายฉันฝ่ายพี่ ก็ล้วนล้มหายตายจากไปเพราะศึกสงคราม แล้วพี่ยังจะส่งลูกชายเราไปตายอีกรึ”
       “แม่บุญเรือน ฟังฉันก่อน”
       บุญเรือนไม่ยอมฟังสวนขึ้นทันควัน
       “จะต้องฟังกระไรอีก พี่ลืมความหลังไม่ได้ เลยจะให้อ้ายเสมาทำแทน ใช่หรือไม่ล่ะ”
       มั่นสีหน้าสลดลง เพราะสิ่งที่บุญเรือนพูดนั้นแทงใจตัวเองเต็มๆ

       เช้าวันรุ่งขึ้น ภายในบ้านขุนรามเดชะ เสมาก้มลงกราบขุนรามเดชะกับพื้นเรือนโดยมีพันอินนั่งยิ้มแย้มอยู่ใกล้ๆขุนรามเดชะ ในขณะที่ขันนั่งพับเพียบอยู่กับพื้นด้วยสีหน้าบึ้งตึง ขุนรามเดชะยิ้มรับแล้วมองเสมาอย่างพิจารณา
       “จำเริญสุขเถิด รูปร่างกำยำทะมัดทะแมงสมเป็นทหาร เห็นว่าหลานชายเป็นศิษย์สำนักพุทไธสวรรย์รึ”
       “ขอรับ ข้าพระเจ้ารับใช้ท่านพระครูขุนอยู่หลายปี พอจะได้เศษวิชามาคุ้มหัวบ้างขอรับ” เสมาตอบ
       สีหน้าของขันที่นั่งอยู่ด้วยในแววตาเต็มไปด้วยความริษยาอย่างเต็มเปี่ยม
       “วิชาของวัดพุทไธสวรรย์นับถือกันว่าเป็นเลิศในแผ่นดิน แม้จะเรียนรู้เพียงผิวเผินก็พอแก่การเอาตัวรอดแล้ว เสียแต่ว่าศิษย์สำนักนี้มีน้อยนัก แลมิใคร่มีใจรับราชการ น่าเสียดาย” ขุนรามเดชะพูดขึ้น
       “ลูกของฉันคนนี้ ฝึกปรือดาบสองมือมาด้วยนาท่านขุน กำลังเป็นที่ต้องการในกองทัพมิใช่รึ” พันอินบอก
       “จริงรึพี่พันอิน เหมาะแล้ว” ขุนรามเดชะว่าแล้วก็หันไปพูดกับขัน
       “พ่อหมู่ขัน พ่อก็ชำนาญในดาบสองมือหาตัวจับยากอยู่ วานทดสอบฝีมือพ่อเสมาซักหน่อยเถิด”
       ขันมองเหล่มาทางเสมาแล้วพูดขึ้น
       “ขอรับท่านอา แต่ข้าพระเจ้ามิได้เป็นศิษย์สำนักพุทไธสวรรย์ เกรงว่าจะสู้ไม่ได้ ต้องอับอายนะขอรับ”
       “ถ่อมตัวไปแล้วหัวหมู่ ฝีมือดาบพ่อ แม่ทัพนายกองทั้งปวงก็ยกเป็นครู มิฉะนั้น จะได้เป็นครูฝึกของขุนรามเดชะดอกรึ” พันอินพูดพลางหัวเราะ
       ขันแสดงท่าทีหยิ่งผยอง ข่มเสมาด้วยแววตาในทันที
       ขณะนั้นเอง เรไรเพิ่งกลับจากทำบุญที่วัดและเดินขึ้นเรือนพร้อมด้วยพิณและเหล่าข้าทาสมาพอดี
       “แม่เรไรมาพอดี มาลูก มาไหว้ท่านลุงพันอินท่านเสีย” ขุนรามเดชะบอก
       เรไรเข้าไปนั่งคุกเข่าไหว้พันอิน
       “ไหว้พระเถอะ” พันอินพูดแล้วก็หันไปแนะนำ
       “นี่พ่อเสมา ลูกบุญธรรมของลุง รู้จักกันไว้เสียสิแม่เรไร”
       เรไรหันไปมองเสมา ทั้งคู่ต่างชะงักเล็กน้อย เพราะต่างคนต่างจำกันได้ เรไรไหว้เสมาและยิ้มบางที่ริมฝีปาก
       “ฉันไหว้จ้ะ”
       เสมาดีใจที่ได้เจอเรไรอีก เสมามองเรไรอย่างไม่วางตาจนเรไรขวยเขิน ต้องหลบสายตาไป ขันเหลือบมองคนทั้งคู่อย่างจับสังเกตด้วยสีหน้าแววตาแอบริษยาหึงหวง

       บริเวณลานฝึกดาบหน้าเรือนขุนรามเดชะในเวลาต่อมา ขันดึงดาบสองมือที่ใช้ซ้อมออกมาเพื่อเตรียมจะประลองกับเสมา โดยมีขุนรามเดชะ พันอินนั่งเป็นประธาน ขณะที่สมบุญ และพวกทหารใหม่ ตลอดจนพวกทาสชายที่สนใจก็ล้อมวงเข้ามาดูการประลอง ส่วนเรไร พิณ และบรรดาทาสหญิง ต่างยืนดูกันอยู่บนเรือน
       เสมาหยิบดาบซ้อมขึ้นมา เตรียมจะประลองฝีมือกับขัน ขันใช้ดาบชี้ไปที่หน้าของเสมา
       “มาเถิดพ่อ ขอให้ฉันได้ดูเพลงดาบพุทไธสวรรย์ ของพ่อซักหน่อยเถิด ว่าจะล้ำเลิศเพียงไร”
       “ฉันขอขมานายหมู่ด้วยจ้ะ” เสมาพูดพลางคุกเข่าไหว้ขันอย่างอ่อนน้อม
       จากนั้นเสมาก็ลุกขึ้น กระชับดาบเตรียมประลองฝีมือกับขัน ขันควงดาบสองมือแล้วค่อยๆขยับเข้าหาเสมาตามชั้นเชิงเพลงดาบของตน พอได้ระยะ ขันก็บุกจู่โจมทันที เสมาตั้งรับ ขันรุกหนักจนเสมาถอยร่น ท่ามกลางเสียงเชียร์ของฝ่ายขันที่ดังขึ้น เมื่อทั้งคู่ประมือกันได้ซักพัก ขันเริ่มย่ามใจ ไม่เห็นเสมาอยู่ในสายตา
       เรไรมองเสมาด้วยความเป็นห่วง ขันร่ายเพลงดาบเข้าฟันอีก แต่คราวนี้เสมาฟันสวน ปะดาบกันไม่กี่ครั้ง ขันก็ถอยร่นไม่เป็นกระบวน หน้าซีดเผือด ไม่คิดว่าเสมาจะฝีมือร้ายกาจขนาดนี้ เพราะในช่วงแรกเสมาอยากดูเพลงดาบของขันจึงเน้นตั้งรับเพียงอย่างเดียว แต่พออ่านทางได้ก็ลุยกลับ ทั้งฝีมือ พละกำลัง เสมากินขาด
       ขันเจ็บใจ ใช้ไม้ตายเพลงดาบเข้าฟันเสมาชุดใหญ่ แต่เสมาคุมเกมได้หมด ตั้งรับอย่างใจเย็น แล้วรุกกลับจนขันสู้ไม่ได้ เมื่อเจอเสมาโหมฟันหนักๆเข้าก็ทำท่าจะแย่ แต่ทันใดนั้น เสมาก็พลิกเอาตัวบังสายตาคนอื่นไว้ แล้วใช้ดาบมือซ้ายกดดาบของขันไว้ ก่อนจะใช้สันของดาบมือขวา ฟันกระแทกลงที่ดาบของขันจนดาบตนและขันหักพร้อมกัน ขันตกใจหน้าซีดเผือด รู้ว่าเสมาเจตนาออมมือเพื่อไม่ให้ตนเสียหน้า เสมาคุกเข่าลงไหว้ขัน
       “ขอนายหมู่จงอภัย อย่าถือแก่ฉันเลย”
       พวกทหารใหม่ส่งเสียงโห่ร้องปรบมือเสียงดัง คนที่ไม่รู้ คิดว่าดาบบังเอิญหักเท่ากับฝีมือของทั้งคู่เสมอกัน เรไรยิ้มดีใจที่เสมาไม่แพ้แก่ขัน แม้แต่พันอินก็พลอยปลื้มใจกับฝีมือของเสมาไปด้วย มีแต่ขุนรามเดชะที่รู้ว่าเสมาอ่อยให้เลยยิ่งพอใจเสมามากขึ้น ที่เก่งแล้วยังมีน้ำใจ ไม่หักหน้าคนอื่น ขันสงบสติอารมณ์แล้วบอก
       “ยืนขึ้นเถิด”
       เสมายืนขึ้น แล้วเดินตามขันไปหาพันอินกับขุนรามเดชะ ขันคุกเข่าพนมมือหน้าขุนรามเดชะ แล้วเหล่สายตามาทางเสมา
       “พระคุณจะได้ทหารดีไว้รับใช้ราชการขอรับ ทั้งไหวพริบแลฝีมือก็นับว่าเจนชำนาญอยู่ เรี่ยวแรงยิ่งดีมากขอรับ”
       ขุนรามเดชะหัวเราะชอบใจแล้วหันไปทางเสมา
       “ดีแล้วๆ ต่อไปเราก็มาเป็นทหารขององค์สมเด็จพระนเรศด้วยกันเถิดนะ หลานเอ๋ย”
       เสมาดีใจสุดๆ ที่ได้ยินดังนั้นจึงก้มลงกราบขุนรามเดชะ
       “ขอบพระคุณขอรับ ข้าพระเจ้าจะตั้งใจรับราชการ ไม่ให้เสื่อมเสียมาถึงพ่อพันอินแลพระคุณเลยขอรับ”
       ทั้งพันอินและขุนรามเดชะหัวเราะชอบใจ ขันก้มหน้าแต่แอบขบกรามจนขึ้นสัน แอบเขม่นอยู่ลึกๆ เรไร ยืนมองเสมาด้วยสายตาชื่นชม เพิ่งพบกันไม่นาน ก็เห็นข้อดีของเสมาหลายอย่างซะแล้ว

       ในเวลาต่อมา เมื่อเวลาบ่าย เสมาวิ่งดีอกดีใจที่ได้เป็นทหารเข้ามาในตลาด เจอใครก็ทักทายตลอดทาง
       “น้าๆ ฉันได้เป็นทหารแล้ว...ลุงผัน ฉันเป็นทหารแล้วจ้ะ เฮ้ย ไอ้แดง ข้าเป็นทหารแล้ว อยู่กองอาสาหกเหล่าด้วยเว้ย”
       เสมาวิ่งทักคนโน้น บอกคนนี้มาตลอดทาง ทุกคนก็ยิ้มแย้มดีใจด้วย..จนถึงหน้าแผงขายเหล็ก และมีดพร้า จอบเสียมของเอื้อยแตง
       “เอื้อยแตง พี่...”
       เอื้อยแตงพูดสวนขึ้นทันที
       “ได้เป็นทหารแล้ว ฉันไม่ได้หูหนวกนาพี่เสมา พี่เล่นบอกคนแต่หัวตลาด กว่าจะมาถึงฉัน เป็นคนที่ร้อยได้แล้วกระมัง”
       เสมาเสียอารมณ์ทันที
       “เอ็งนี่ชอบขัดคอข้าเสียเรื่อย แต่เล็กจนโต ไม่เบื่อบ้างรึ”
       แต้มเดินแบกเศษเหล็กเข้ามาพอดี เสมารีบเข้าไปช่วย
       “ฉันช่วยจ้ะลุง”
       “เออ ขอบน้ำใจโว้ย” แต้มบอก
       เสมาแบกเศษเหล็กไปเก็บ แล้วรีบอวดต่อ
       “ลุงแต้ม ฉันได้...”
       “เป็นทหารแล้ว” แต้มพูดสวนขึ้น
       เสมาเก้อไปเล็กน้อย แต้ม และเอื้อยแตง ยิ้มขำๆ
       “เอ็งได้เป็นทหาร ข้าก็ดีใจแก่เอ็งด้วยอ้ายเสมาเอ๋ย คงสมใจพ่อเอ็งล่ะคราวนี้ อุตส่าห์ฝากฝังเอ็งให้วัดพุทไธสวรรย์แต่เล็กแต่น้อย แต่กะแม่เอ็ง มีหวังโกรธเป็นฟืนเป็นไฟล่ะคราวนี้” แต้มพูดขึ้น
       เสมาทำสีหน้าแปลกใจ
       “ทำไมล่ะจ๊ะลุงแต้ม ทำไมแม่ต้องโกรธด้วย”

       ในเวลาเย็นวันเดียวกัน บริเวณชานบ้านเสมา บุญเรือนกระแทกชามข้าวลงพื้นบ้านด้วยความโมโห ขณะที่ทุกคนภายในบ้านล้อมวงกินข้าวกันอยู่
       “ข้ากินไม่ลงแล้ว ใครอยากกินก็กินไป”
       บุญเรือนก้าวเดินฉับๆลงเรือนไปทันที
       “แม่ รอประเดี๋ยวสิจ๊ะ” จำเรียงร้องเรียก
       จำเรียงรีบล้างมือในขัน แล้วตามแม่ไปอีกคน เสมามองตามอย่างไม่เข้าใจ
       “นี่มันกระไรกันน่ะพ่อ ฉันได้เป็นทหาร แม่ควรจะดีใจมากกว่าโกรธเกรี้ยวถึงเพียงนี้”
       มั่นสีหน้าเคร่งเครียด หนักใจกับเรื่องนี้

       เวลาต่อมา ภายในห้องพระ เสมากับมั่น ก้มกราบพระพุทธรูปบนโต๊ะหมู่บูชาอยู่ หลังกราบเสร็จ เสมาหันไปคุยกับมั่น
       “ปู่ของฉัน เป็นถึงออกขุนเชียวรึพ่อ”
       มั่นพยักหน้ารับแล้วบอก
       “ขุนชำนะพลแสน ทหารกล้าของพระเจ้าอยู่หัวในบรมโกศท่าน”
       แล้วมั่นก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะพูดต่อ
       “เสียดาย พอปู่ของเอ็งสิ้น บ้านช่องก็ถูกข้าศึกมันทำลาย ญาติพี่น้องก็แตกกระสานซ่านเซ็น ข้าเองก็มีวิชาติดตัวแค่การตีเหล็กเลยหมดปัญญาที่จะกอบกู้ศักดิ์ศรีของปู่เอ็ง ก็ได้แต่หวังพึ่งเอ็งนี่แหละ เสมาเอ๋ย”
       “มิน่า พ่อถึงฝากฝังให้ฉันไปอยู่ที่วัดพุทไธสวรรย์แต่เล็ก เพราะพ่ออยากให้ฉันมีวิชาติดตัว เป็นทหารกล้าเหมือนปู่นี่เอง”
       “แต่แม่เอ็ง เค้าไม่อยากให้เอ็งเป็นทหาร เพราะญาติพี่น้องเค้าตายในสงครามจนหมด ทำให้แม่เอ็งต้องระหกระเหินลำบากลำบนอยู่หลายปี เค้าก็เลยกลัวว่าเอ็งจะมีอันเป็นไปอีกคน”
       เสมาพยักหน้ารับช้าๆ รู้สึกเห็นใจแม่มาก

       บุญเรือนกำลังตำหมากอยู่ที่ศาลาริมคลอง เสมาเดินเจี๋ยมเจี้ยมเข้ามาหาแม่
       “แม่จ๊ะ พ่อเล่าเรื่องปู่ให้ฉันฟังแล้ว ฉัน...”
       “เอ็งกระไรรึอ้ายเสมา รึว่าเอ็งรู้เรื่องแล้วก็ไม่อยากเป็นทหารอีก” บุญเรือนพูดสวนขึ้นด้วยสีหน้าตาบึ้งตึง
       เสมาหน้าจ๋อยไปทันที
       “พุทโธ่แม่จ๋า แม่ก็รู้ว่าฉันอยากเป็นทหารฉลองคุณเมืองมาแต่เล็กแต่น้อยแล้ว มาบัดนี้ได้เป็นสมใจ แม่จะให้ฉันเลิกได้อย่างไรกันล่ะจ๊ะ”
       “เลือดพ่อเอ็งมันแรงนัก เออ เอ็งอยากไปเป็นกระไรก็เป็นไป อย่างมากข้าก็แค่เผาศพเอ็งอีกคน” บุญเรือนพูดด้วยความเจ็บใจ
       “แม่...”
       “ ไปซิ ข้าไม่อยากเห็นหน้าเอ็ง” บุญเรือนดุสวนขึ้นอีกแล้วเบือนหน้ามองไปทางอื่น
       เสมาพูดไม่ออก ได้แต่เดินจ๋อยๆกลับไป บุญเรือนน้ำตาคลอเบ้าด้วยความคับแค้น เจ็บใจด้วยความเป็นห่วงลูก แต่ลูกดื้อ ไม่ฟังตนเอาเสียเลย

       เวลาหัวค่ำ ขันยังฝึกซ้อมดาบสองมือระบายอารมณ์อยู่กับพวกทาสชายอยู่ที่ลานกว้างหน้าเรือนด้วยความหงุดหงิด เจ็บใจที่พ่ายแพ้แก่เสมา ดวงแขยืนมองพี่ชายอยู่บนเรือน ในขณะที่อำพันแม่ของขันกำลังตรวจบัญชีของลูกหนี้ เพราะอำพันมีอาชีพออกดอกเบี้ยเงินกู้จนมีทางบ้านมีฐานะร่ำรวยกว่าขุนรามเดชะมาก
       “มืดค่ำแล้ว พี่ขันยังไม่หยุดซ้อมมืออีก ไม่รู้ไปโกรธใครมาสิจ๊ะแม่” ดวงแขพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
       “ช่างพ่อขันเถิดดวงแข ประเดี๋ยวเหนื่อยก็หยุดเอง” อำพันพูดแล้วก็หันไปพูดกับลูกหนี้รายหนึ่ง
       “ที่ฉันตรวจทานดู พ่อชดยังมิได้ใช้หนี้สินเก่าเลยมิใช่รึ แล้วจะมาเอาใหม่ได้เช่นไร”
       “ข้าพระเจ้ามีความจำเป็นจริงๆขอรับแม่นาย เมตตาซักครั้งเถิดขอรับ”
       “จำเป็นที่ต้องเล่นถั่วเล่นโปน่ะรึ พ่อชด อย่าเห็นว่าฉันอยู่แต่บนเรือน แล้วจะไม่รู้กระไรเลย ฉันคงให้พ่อชดเพิ่มไม่ได้ดอก”
       ลูกหนี้มีสีหน้าไม่พอใจ แต่ไม่กล้าทำอะไรได้แต่คลานหลบออกมา
       “วันพรุ่ง ลูกนัดกับแม่หญิงเรไรไปทำบุญที่วัดใต้ หวังว่าพี่ขันจะไปด้วย จะได้สนิทสนมกับแม่หญิงเรไรไว้ แต่ดูท่าจะคลาดกันอีกแล้วกระมัง” ดวงแขพูดพลางมองออกไปนอกเรือน
       อำพันยิ้มบางๆแล้วว่า
       “พลาดมื้อนี้ก็ยังมีมื้อหน้า หากพ่อขันออกศึกได้ยศศักดิ์เมื่อใด มีรึ ออกขุนรามเดชะจะรังเกียจ ลูกอย่างกังวลไปเลย”
       ดวงแขหนักใจที่พี่ชายตัวเองไม่ได้อย่างใจเลย

       เช้าวันต่อมา … เรไรยืนรออยู่ที่ศาลาริมน้ำ โดยมีพิณและบรรดาข้าทาสถือข้าวของเตรียมไปทำบุญ ดวงแขพร้อมบรรดาข้าทาสเดินถือของทำบุญเดินมาหาเรไรแล้วยิ้มทักทาย
       “รอนานหรือไม่จ๊ะเรไร”
       “ไม่ดอกจ้ะ ฉันเองก็เพิ่งมาถึง”
       “ความจริง ฉันจะออกมาแต่รุ่งสางแล้ว แต่รอพี่ขันเลยไม่ได้มา พี่ขันก็มัวแต่เมาตื่นไม่ไหว ก็คงจะมีแต่เรานี่ล่ะจ้ะ ที่ได้ทำบุญทำทานกัน” ดวงแขพูดอย่างเซ็งๆ
       เรไรยิ้มดีใจ เพราะในใจไม่อยากเจอขันอยู่แล้ว
       “ไม่เป็นไรดอกจ้ะ แค่แม่ดวงแขไปเป็นเพื่อน ฉันก็ดีใจมากแล้ว”
       เรไรลงเรือของตนที่เตรียมไว้ ในขณะที่ดวงแขก็ลงเรือของตนอีกลำเช่นกัน พวกข้าทาสต่างช่วยกันพายเรือทั้งสองลำออกไป

       เสมา และเอื้อยแตงช่วยกันพายเรือบรรทุกเศษเหล็กมาเต็มลำเรือ
       “เอ็งนี่โลภมากแท้เอื้อยแตง ดูทีรึ ขนเหล็กมามากมายปานนี้ พายยังแทบพายไม่ไหว ขึ้นบกแล้ว จะขนไปได้อย่างไรกัน”
       “ขนรอบเดียวไม่ได้ก็ขนหลายรอบซี แค่นี้คิดไม่ออกรึ”
       “แล้วเอ็งเคยช่วยข้าขนรึ ข้าขนคนเดียวทุกที” เสมาพูดอย่างเซ็งๆ
       เอื้อยแตงยิ้มขำๆแล้วว่า
       “เอาน่า เหล็กพวกนี้พี่เอาไปตีเป็นมีดพร้าได้กำไรก็แบ่งกัน จะบ่นไปใย”
       เสมาเซ็งๆที่โดนเอื้อยแตงหลอกเอาเปรียบอีกแล้ว ขณะนั้นเรือของดวงแข และเรไร กำลังพายมาพอดี
       บริเวณริมตลิ่ง ลูกหนี้ของอำพันพาโจร 5-6 คนมาซุ่มอยู่ พอเรือของดวงแข และเรไรผ่านมาก็รีบใช้ผ้าคลุมหน้าตาปิดบัง แล้วดำน้ำลงไปทันที ทันใดนั้น ลูกหนี้กับพวกโจรก็โผล่ขึ้นมาที่กราบเรือของดวงแข แล้วช่วยกันโยกเรือเพื่อจะคว่ำเรือของดวงแขให้ได้ ดวงแขตกใจ กรีดเสียงร้องลั่น พวกทาสก็พยายามใช้พายตีพวกโจร ส่วนเรือของเรไรได้พายนำเรือของดวงแขไปซักระยะหนึ่งแล้ว เรไรได้ยินเสียงกรีดร้องของดวงแขก็หันกลับไปเห็นเหตุการณ์ที่เรือของดวงแขกำลังชุลมุนอยู่ เรไรตกใจรีบตะโกนร้องลั่น
       “ช่วยด้วย ช่วยด้วยจ้ะ โจรดักปล้น ช่วยด้วย”
       พวกโจรช่วยกันโยกเรือดวงแขอย่างแรง จนในที่สุดดวงแขก็เสียหลักพลัดตกน้ำ เรไรกรีดร้องด้วยความตกใจและเป็นห่วงเพื่อนสุดๆ
       “ดวงแข”
       เสมา เอื้อยแตงพายเรือมาเห็นเหตุการณ์เข้าพอดี
       “โจรปล้นกลางวันแสกๆ เอาไงดีพี่เสมา” เอื้อยแตงร้องขึ้นด้วยความตกใจ
       “ช่วยคนก่อน ค่อยว่ากัน”

เสมากระโจนลงน้ำไปทันที ดวงแขว่ายน้ำไม่เป็น พยายามตะเกียกตะกายช่วยเหลือตัวเองแต่ก็ไม่ไหว ในที่สุดก็จมหายไป

อ่านต่อหน้า ๒

       ......................................................................................................

เกร็ดความรู้เกี่ยวกับขุนศึก

๑. สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ ที่ ๒ แห่งราชวงศ์สุโขทัย พระราชสมภพเมื่อปีพุทธศักราช ๒๐๙๘ ที่พระราชวังจันทน์ เมืองพิษณุโลก พระองค์ได้กอบกู้เอกราชของชาติไทย และได้ทรงทำศึกสงครามจนสามารถแผ่ขยายอาณาเขตได้อย่างกว้างใหญ่ไพศาล เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ ๒๕ เมษายน พุทธศักราช ๒๑๔๘ รวมพระชนมายุ ๕๐ พรรษา

๒. สมเด็จพระเอกาทศรถทรงเป็นพระอนุชาของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช หลังจากทรงขึ้นครองราชย์ พระองค์ทรงเห็นว่ากรุงศรีอยุธยาทำศึกสงครามมาตลอด จึงทรงหันมาเน้นด้านการปกครองบ้านเมืองแทน ส่งผลให้กรุงศรีอยุธยาเจริญรุ่งเรืองทั้งทางเศรษฐกิจการค้า และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ในรัชสมัยมีการหล่อปืนใหญ่ออกไปขายให้กับญี่ปุ่นทำรายได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ






Create Date : 22 พฤษภาคม 2555
Last Update : 22 พฤษภาคม 2555 11:26:48 น. 0 comments
Counter : 697 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

atitaya_t
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




สวัสดีค่ะ ขอร่วม gang ด้วยคนค่ะ
Friends' blogs
[Add atitaya_t's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.