เก็บความทรงจำ..(^_^)..ความสนใจ โลกส่วนตัว ที่เราสร้างเอง
Group Blog
 
 
พฤษภาคม 2555
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
22 พฤษภาคม 2555
 
All Blogs
 
ขุนศึก ตอนที่ 11-3 , 11-4


ขณะนั้นเอง ช้างตัวหนึ่งก็เดินเยื้องย่างออกมาจากป่า ที่แท้เป็นพ่อพลายแสนพลพ่ายที่สมเด็จพระนเรศวรจะทรงประทับ เรไรนึกไม่ถึง
       “นั่นช้างทรงนี่เสมา”
       เสมายิ้มดีใจพลางลูบหัวช้างด้วยความเอ็นดู
       “พ่อพลายแสนพลพ่ายคงจะเตลิดหนีมาเป็นแน่ ข้าพระเจ้าให้หญ้าให้อ้อยมาเป็นแรมเดือน พ่อพลายได้ยินเสียงข้าพระเจ้าเลยจำได้จึงเข้ามาหา ขอบน้ำใจนักพ่อพลายเอ๋ย”
       เรไรยิ้มแย้มลูบหัวช้างด้วยความเอ็นดูและรักใคร่เช่นกัน
       เสมาชำเลืองมองหน้าเรไรทอดความห่วงหาผ่านทางสายตา
       “ข้าพระเจ้าดีใจเหลือที่แม่หญิงปลอดภัย”
       เรไรชำเลืองมองเสมาแล้วสบตากัน
       “ขอบน้ำใจเสมานักที่เสี่ยงตายมาช่วยฉัน”
       “ชีวิตเสมามอบให้แล้วแต่แม่หญิง เสมาพร้อมสละสิ้นเพื่อปกป้องแม่หญิงผู้เป็นดวงใจของเสมา” เสมาบอกพลางส่งสายตาหวานเชื่อมและรอยยิ้ม
       เรไรหลบสายตาไปด้วยความเอียงอาย
       พ่อพลายแสนพลพ่ายเดินช้าๆมาในป่าโดยมีเสมา และเรไรขี่อยู่บนหลังช้างในเวลาต่อมา เรไรพันผ้าทำแผลให้เสมาบนหลังช้าง เสมาจับมือเรไรแล้วมองด้วยสายตากรุ้มกริ่ม เรไรเขินอาย หลบสายตาเสมา

       เรไร และเสมากำลังกินกล้วยป่าแล้วป้อนให้ช้างกินด้วยเพื่อประทังความหิว ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส หยอกล้อกัน

       บริเวณน้ำตกใหญ่สวยงาม เรไรกำลังอาบน้ำชำระตัวอยู่ที่น้ำตก เสมากำลังพาช้างอาบน้ำอยู่ใกล้ๆ เสมาแอบชำเลืองมอง เรไรรีบวักน้ำใส่หน้าเสมาจนเปียกไปทั้งหน้า ช้างก็ช่วยเรไรพ่นน้ำใส่น้ำเสมาอีกแรง

เสมาหน้าแหยไป รีบเบือนหน้าไปทางอื่น เรไรยิ้มขำๆ แล้วว่ายน้ำหนีไป เสมามองตามเรไรไปด้วยสายตาสิเน่หา
ยามค่ำคืน ณ ค่ายที่พัก...ทหารกำลังทำหน้าที่ จูงช้าง จูงม้าที่เตลิดหนีไปกลับมา บางคนก็เดินเวรยาม บางคนคอยดูแลเพื่อนที่บาดเจ็บ ฯลฯ หลวงรามเดชะกำลังยืนหน้าเครียดด้วยความเป็นห่วงเรไรอยู่ รอข่าวการค้นหาเรไรอยู่อย่างกระวนกระวายใจ

       พันอินเดินเข้ามาหาขุนรามเดชะด้วยความเป็นห่วง
       “คุณหลวง เหน็ดเหนื่อยมามากแล้ว พักก่อนเถิด ประเดี๋ยวฉันดูแลต่อเอง”
       “ฉันข่มตาหลับไม่ลงดอกท่านขุน ห่วงแม่เรไรนัก มิรู้ป่านนี้จะเป็นเช่นใดบ้าง”
       ขณะนั้นเอง ขันและพุฒก็พาทหารกลับมาจากการตามหาเรไรด้วยสีหน้าเคร่งเครียด หลวงรามเดชะดีใจ รีบเข้าไปหาขัน
       “เป็นกระไรบ้างขุนณรงค์ เจอร่องรอยแม่เรไรบ้างหรือไม่”
       ขันหงุดหงิด
       “ไม่เลยขอรับ แต่ข้าพระเจ้าให้ม้าเร็วไปแจ้งข่าวตามหัวเมืองแล้ว ถ้าพวกมันคิดจะหนีออกนอกแดน คงไม่ง่ายนัก”
       พุฒถอนใจแล้วพูดขึ้นลอยๆ
       “ถึงเจอตัว ป่านฉะนี้คงไม่แคล้วต้องมัวหมอง”
       หลวงรามเดชะโมโหมาก
       “พูดเช่นนี้หมายความว่ากระไรขุนวิเศษ คิดหยามหมิ่นลูกสาวฉันกระนั้นรึ”
       “ข้าพระเจ้าพูดจริงไม่ได้หยามหมิ่น หรือคุณหลวงเห็นว่าหญิงซึ่งถูกชายลักพาไปข้ามวันข้ามคืน จะกลับมาโดยไร้มลทินรึ”
       “ปากโสมมเช่นนี้ ก็อย่ามีไว้เลย” หลวงรามเดชะพูดแล้วก็ชักดาบออกมา
       ขันตกใจ รีบห้าม
       “ใจเย็นก่อนขอรับท่านอา เพลานี้อย่ามีเรื่องกันเองเลย”
       พันอินฟังแล้วก็ยังโกรธแทนหลวงรามเดชะ
       “แล้วขุนณรงค์เล่าเห็นเช่นใด เรไรเป็นคู่หมั้นของขุนณรงค์ เห็นว่า คราวเคราะห์ของแม่เรไร จะเป็นมลทินหรือไม่”
       ขันหน้าเสีย อึกๆอักๆ ไม่กล้าสู้สายตา ใจจริงก็นึกระแวงแต่ไม่กล้าพูด
       “เอ่อ ข้าพระเจ้าหาใส่ใจเรื่องนี้ไม่ขอรับ ท่านอาอย่ากังวลเลย”
       หลวงรามเดชะ และพันอิน เห็นสีหน้าท่าทางขันแสดงก็รู้ว่า ขันไม่เชื่อใจเหมือนกัน ยิ่งสร้างความขุ่นเคืองมากยิ่งขึ้น

       กองไฟเล็กๆ ที่จุดโดยเสมาให้ความร้อนและความสว่างในป่าลึก เสมาก่อกองไฟนั่งคุยกับเรไรอยู่
       “ฉันผิดนักที่ไม่เชื่อคำเสมา จนทำให้หลงกลต้องหมั้นกับขุนณรงค์ ผิดนี้ แม้ตายก็ไม่อาจลบล้างได้” เรไรว่า
       “เรื่องผ่านไปแล้วจะรื้อฟื้นไยกัน ชีวิตคนก็ดั่งเนื้อเหล็ก หากไม่ถูกตีจะเหนียวจะแกร่งได้เช่นไร” เสมาบอก
       “แล้วพ่อท่านเล่า เสมาโกรธพ่อท่านหรือไม่”
       เสมายิ้มบางๆ จับมือเรไรไว้
       “พระคุณมีคุณกับข้าพระเจ้า แลเป็นพ่อของแม่หญิง ผู้เป็นยอดดวงใจของเสมา อย่าว่าแต่วางกลอุบายเพียงนี้เลย ต่อให้ตัดคอข้าพระเจ้าก็ไม่ถือโทษโกรธเคืองดอก”
       เรไรยิ้มรับทั้งน้ำตารื้นโล่งอกที่ปรับความเข้าใจกันได้ เสมาค่อยๆดึงตัวเรไรเข้ามากอด เรไรซบอกเสมาด้วยรู้สึกอบอุ่น มั่นคง
       “ฉันจักผิดหรือไม่เสมาที่ไม่อยากออกไปพ้นป่านี้เลย ที่นี่ไม่มีศักดิ์ตระกูล ไม่มีเกียรติยศใดให้แบกไว้ ไม่ว่านางข้าหลวง ขุนศึก ไพร่ หรือ ทาส ก็หามีความสำคัญไม่”
       เสมากอดเรไรไว้ด้วยความรักสุดหัวใจ
       “แม่หญิงคิดไม่ผิดจากใจข้าพระเจ้าเลย ที่นี่ มีแต่ชายชื่อเสมากับหญิงชื่อเรไรซึ่งมีหัวใจรักต่อกันเพียงนั้น”
       เสมาบรรจงจูบหน้าผากเรไรอย่างทะนุถนอม ก่อนจะจูบแก้ม เรไรหลับตาพริ้ม อารมณ์รักที่สะกดไว้มานาน ได้ปลดปล่อยออกมาจนยากจะยับยั้งแล้ว เสมาพาร่างเรไรนอนลงกับพื้น ทั้งคู่จับจ้องตากันอย่างไม่ละสายตา ไฟปรารถนาลุกโชน แสงจากกองไฟฉาบผิวเรไรให้ดูสวยเย้ายวน เสมาห้ามใจไว้ไม่อยู่ค่อยๆ โน้มหน้าเข้าใกล้หมายจะจุมพิตเรไร แต่เรไรเป็นฝ่ายเรียกสติกลับมาได้ก่อนแล้วผลักเสมาออกไป เสมาเสียหลักล้มไปนั่งข้างๆ ด้วยสีหน้าตกใจ ได้สติ เรไรรีบลุกขึ้นนั่งแล้วหันหลังหนี จัดแจงเสื้อผ้าของตนให้เรียบร้อย เสมาตั้งสติได้ ก็เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ
       “ข้าพระเจ้าคงฝันละเมอไปความจริงมิอาจเปลี่ยนได้ แม่หญิงคือบุตรีหลวงรามเดชะ ส่วนข้าพระเจ้าเป็นเพียงตะพุ่นหญ้าช้าง”
       เรไรหันกลับมามองเสมาด้วยสีหน้าเจ็บช้ำน้ำตาคลอ
       “อย่าตัดพ้อเช่นนี้เลย ฉันมิได้รังเกียจเสมา แต่ฉันอยู่ในศักดิ์ของคู่หมั้นขุนณรงค์วิชิต หากฉันปล่อยให้ทุกอย่างเกิดไปตามใจก็คงได้ชื่อว่าเป็นหญิงชั่วสองใจ แม้ผู้อื่นจะอภัยให้ แต่ฉันจะไม่มีวันอภัยให้ตัวเองเป็นเด็ดขาด”
       เสมาฟังแล้วเข้าใจเรไรมีสีหน้ารู้สึกผิด
       “ข้าพระเจ้าช่างโง่เขลานัก เพียงนี้ก็ไม่อาจหักห้ามใจเจียนทำให้แม่หญิงต้องเสื่อมเกียรติ”
       “อย่าตำหนิตัวเองอีกเลยเสมา ฉันเข้าใจเสมาดี” เรไรน้ำตาท่วมพูดด้วยเสียงสั่นเครือ
       เสมาเลื่อนมือไปซับน้ำตาให้เรไรแล้วว่า
       “อย่าเสียน้ำตาให้คนต่ำช้าอย่างข้าพระเจ้าอีกเลยแม่หญิงสุดรักของเสมา”
       เรไรปล่อยโฮออกมาสวมกอดเสมาเอาไว้แน่นพลางร้องไห้สะอึกสะอื้น เสมาสวมกอดเรไรไว้แน่ กระชับ หวงแหนราวกับจะไม่ยอมปล่อยให้จากไปไหนอีก เสมาเองก็เผลอปล่อยให้น้ำตาไหลซึมออกมาด้วยความอัดอั้นตันใจ

       สมบุญกำลังโวยลั่นที่หน้าค่ายพักยามเช้า
       “ จะกลับไปได้อย่างไร ยังไม่เจอแม่หญิงเรไรกับพี่เสมาเลย
       สินและสมบุญ กำลังเถียงกับขันและพุฒ โดยมีหลวงรามเดชะ พันอิน ยืนหน้าเครียดอยู่ใกล้ๆ
       “หากกึ่งเดือนยังหาไม่เจอตัว พวกเอ็งก็จะอยู่ตามหาเช่นนี้รึ พวกเอ็งไม่เกรงเสียราชการก็ช่าง แต่ข้าไม่อยากมีผิดไปด้วย” พุฒพูดอย่างหงุดหงิด
       “บรรดาช้างม้าที่เตลิดหนีไปก็ตามกลับมาเกือบครบแล้ว เป็นหน้าที่ที่เราต้องพากลับ พวกเอ็งอย่าดื้อรั้นอีกเลย” ขันว่า
       “ทีช้างม้าเอ็งจะพากลับ แต่คู่หมั้นเอ็งกลับไม่สนใจ นี่เอ็งรักแม่หญิงเรไรจริงหรือไม่วะอ้ายขัน”
       ขันโมโห หันไปพูดกับหลวงรามเดชะ
       “อย่าไปฟังอ้ายสินนะขอรับท่านอา ข้าพระเจ้าเห็นว่ากำลังเรามีน้อย ยากจะตามตัวแม่หญิงได้ จึงแจ้งต่อบรรดาหัวเมืองไปแล้ว หากมีข่าวเราค่อยระดมคนออกไปช่วยอีกที”
       หลวงรามเดชะหน้าเคร่งเครียด ไม่รู้จะตัดสินยังไงดี
       “ฝ่ายหนึ่งมีน้ำใจ อีกฝ่ายก็มีข้อราชการ ต่างมีเหตุผลด้วยกันทั้งสิ้น คุณหลวงตัดสินเองเถิด” พันอินว่า
       หลวงรามเดชะถอนหายใจหนักๆแล้วตัดสินใจ
       “ เอาเช่นนี้เถิด...”
       หลวงรามเดชะพูดยังไม่ทันจบ เสียงพวกทหารก็โห่ร้องอย่างยินดี ทุกคนหันกลับไปมองตามเสียงก็ เห็นเสมาและเรไรนั่งอยู่บนหลังช้างพลายแสนพลพ่ายเดิน ช้างกำลังเดินช้าๆเข้ามาในค่ายพัก
       “พี่เสมา แม่หญิง” สมบุญโพล่งขึ้นอย่างดีใจ
       สิน สมบุญ หลวงรามเดชะ และพันอินดีใจมาก รีบเข้าไปรับเสมาและเรไรทันที ในขณะที่ขันและพุฒมีสีหน้าบึ้งตึง พุฒไม่พอใจ เพราะอยากให้เสมาไปตายๆซะ แต่ขันหึงหวงที่เห็นเสมากลับมากับเรไร ขันกำหมัด ขบกรามแน่น จ้องมองไปที่เสมาที่อยู่เคียงคู่เรไรด้วยความชิงชัง

       ศรีเมืองจูงมือเรไรที่เพิ่งกลับมาเข้ามาในตำหนักเมื่อตอนบ่าย โดยมีพวกข้าหลวงล้อมหน้าล้อมหลังด้วยความดีอกดีใจ
       “พวกฉันดีใจเหลือเกินจ้ะที่แม่หญิงปลอดภัย รู้หรือไม่ว่าฉันบนไว้ตั้งห้าวัด ถ้าแม่หญิงกลับมาช้ากว่านี้ ฉันคงบนถึงสิบวัดเป็นแน่” ศรีเมืองว่า
       “ขอบน้ำใจแม่ศรีเมืองกับทุกคนมากนะจ๊ะ ตอนที่ฉันถูกจับตัวไปคิดว่าจะสิ้นวาสนาได้กลับมาพบหน้าทุกคนอีกแล้ว”
       “แล้วแม่หญิงเรไร รอดกลับมาได้อย่างไรจ๊ะ เล่าให้พวกฉันฟังหน่อยซี” ข้าหลวงคนหนึ่งพูดอย่างตื่นเต้นอยากรู้
       พวกข้าหลวงต่างอยากฟังพากันสนับสนุน แต่บัวเผื่อนเดินเข้ามาหาก่อน
       “จะเล่าจะคุยกระไรก็ไว้รอเสร็จงานก่อนเถิดแม่คุณ งานการในตำหนักมีมากโข ไม่คิดจะทำกันเลยรึ” บัวเผื่อนว่า
       พวกข้าหลวงหน้าจ๋อยต่างแยกย้ายกันไปจนหมด เหลือเรไร บัวเผื่อน และศรีเมือง สามคนเท่านั้น บัวเผื่อนถามเรไรด้วยความอยากรู้มากเหมือนกัน
       “แล้วที่ลือกันว่า ตะพุ่นเสมาบุกฝ่าไปช่วยแม่เรไรออกมาเป็นความจริงหรือไม่ล่ะ”
       เรไร และศรีเมืองหลุดขำออกมาที่บัวเผื่อนอยากรู้มากกว่าคนอื่นเสียอีก
       “เอาไว้รอทุกคนเสร็จงานก่อนเถิด ฉันจะได้เล่าครั้งเดียว” เรไรว่า
       บัวเผื่อนทิ้งค้อนไม่พอใจที่เรไรไม่ยอมเล่า
       “ ไม่เล่าฉันก็หางอนง้อไม่ ประเดี๋ยวฉันไปฟังจากคนอื่นก็ได้”
       “ผู้อื่นรึแม่หญิงจะมีผู้ใดรู้เรื่องนี้มากไปกว่าแม่หญิงเรไรอีกเล่า” ศรีเมืองถามอย่างแปลกใจ
       บัวเผื่อนยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะบอก
       “ก็แม่ดวงแขนั่นปะไร ป่านฉะนี้ คงซักถามตะพุ่นเสมาเสียละเอียดละออ ราวกับซักถามนักโทษเชียวหล่ะ” บัวเผื่อนทิ้งหางตาเย้ยหยันใส่เรไร
       เรไรอดหน้าเจื่อนๆ ไม่ได้

       เวลาเย็น ดวงแขกำลังหงุดหงิดใส่เสมา ในขณะที่เสมากำลังขนหญ้าเลี้ยงช้างทำหูทวนลมใส่ดวงแข
       “เล่ามาให้หมดประเดี๋ยวนี้เลยเสมา เหตุใดช่วยแม่เรไรได้แล้ว ยังต้องไปค้างอ้างแรมในป่าด้วยเล่ามาซี”
       “ข้าพระเจ้าไม่มีกระไรจะเล่า แม่หญิงกลับไปเถิด” เสมาพูดไปทำงานไป
       “พูดเช่นนี้หมายความว่าไปกระทำบัดสีมาใช่หรือไม่ ถึงไม่กล้าเล่า”
       ดวงแขพูดแล้วก็เข้าไปทุบตีเสมา
       “บอกมาซี บอกมาประเดี๋ยวนี้เชียว”
       เสมาจับข้อมือดวงแขไว้ด้วยความโมโห
       “แม่หญิงวางแผนชั่วให้ผู้อื่นแตกกันได้ ก็อย่าหมายว่าผู้อื่นจะใจบาปกระทำชั่วได้ดุจกัน”
       ดวงแขผงะไปที่เสมารู้เรื่องแต่ก็ไม่แปลกใจอะไรมาก เสมาจ้องดวงแขด้วยสายตาโกรธ
       “ข้าพระเจ้าแม้จะเป็นเพียงตะพุ่นหญ้าช้าง แต่ก็ยังรู้จักผิดแลชอบมากกว่าผู้เกิดในตระกูลสูงเช่นแม่หญิง”
       ดวงแขดึงมือออกจากเสมาทำหน้าปั้นปึง ตีหน้าเศร้าด้วยความน้อยใจ
       “นี่คงไปฟังแม่เรไรใส่ร้ายฉันมาล่ะซี แม่เรไรริษยาฉันมานานนัก จึงปั้นเรื่องใส่ไคล้ปรักปรำฉัน ไม่คิดเลยว่า มิตรเก่ากันมาจะทำกันได้ เสมาอย่าได้หลงเชื่อเชียวนะ ฟังฉันชี้แจงก่อน”
       “ข้าพระเจ้าฟังคำแม่หญิงมามากแล้ว แลเคยวางแม่หญิงไว้ในที่สูง แม้จะผิดใจกับพี่ชายแม่หญิง ก็หาเคยคิดร้ายกับแม่หญิงไม่ หากข้าพระเจ้าคิดระแวงเสียบ้าง คงไม่ได้ตกทุกข์ได้ยากเหมือนเช่นทุกวันนี้ดอก” เสมาพูดพลางถอนใจอย่างเหนื่อยหน่าย
       เสมาเดินเลี่ยงไปทำงานต่อโดยไม่สนใจดวงแขอีก ดวงแขมองตามเสมาไปด้วยความรู้สึกน้อยใจที่เสมาเย็นชาใส่ตนขนาดนี้

       ดวงแขเปิดประตูห้องพักเรไรแล้วเดินเข้ามาด้วยสีหน้าบึ้งตึง ขณะที่เรไร บัวเผื่อน ศรีเมืองกำลังพูดคุยกันอย่างยิ้มแย้มแจ่มใส
       “อ้าว แม่ดวงแข ไม่เห็นหน้าเลยเสียทั้งวัน มีกระไรรึ ถึงมาหากันมืดค่ำป่านฉะนี้” บัวเผื่อนถาม
       “ฉันก็มาเยี่ยมเยียนแม่เรไรน่ะซี แม่เรไรมีศักดิ์เป็นว่าที่พี่สะใภ้ฉัน เมื่อปลอดภัยกลับมาฉันก็ดีใจนัก” ดวงแขว่า
       เรไรยิ้มแบบรู้ทัน
       “ขอบน้ำใจแม่ดวงแข ชะตาฉันยังไม่ถึงฆาต แม่ไม่ต้องกังวลใจไปดอก”
       “จะได้เยี่ยงไร แม่เรไรถือเป็นคนในบ้านฉันไปครึ่งค่อนตัวแล้ว จะทำสิ่งใดย่อมเกี่ยวพันถึงศักดิ์ตระกูลฉันทั้งสิ้น” ดวงแขว่า
       “พูดกำกวมเช่นนี้ หากแม่ดวงแขเห็นฉันทำสิ่งใดไม่ควร ก็พูดมาตามตรงเถิด” เรไรพูดหน้าตึงด้วยความไม่พอใจ
       ดวงแขจ้องหน้าเรไรเขม็ง
       “แม่เรไรกระทำสิ่งใดย่อมรู้อยู่แก่ใจ หายไปกับชายอื่นเสียทั้งคืน คงไม่ต้องให้ฉันพูดอีกกระมัง”
       เรไรจ้องหน้าดวงแขกลับด้วยความโมโหที่ถูกดวงแขดูถูก ศรีเมืองโกรธแทนเรไรจนออกนอกหน้า
       “ พูดเช่นนี้จะไม่เป็นการหยามกันไปหน่อยรึ แม่หญิงดวงแข”
       เรไรพนมมือพูดสวนขึ้น
       “ฉันขอสาบาน หากฉันได้กระทำสิ่งใดเป็นการไม่รักษาศักดิ์ของตนแลศักดิ์ตระกูลของแม่ดวงแขแล้วก็ขอให้ฉันตายอย่างทรมานในสามวันนี้เถิด”
       บัวเผื่อนและศรีเมืองอึ้งไปไม่คิดว่าเรไรจะกล้าสาบานรุนแรงเช่นนี้ ดวงแขปั้นหน้านิ่งแต่ก็แอบยิ้มพอใจ แสดงว่าเสมาและเรไรไม่ได้เกินเลยต่อกัน
       “ถึงเช่นนี้แล้ว แม่หญิงดวงแขคงพอใจแล้วกระมังจ๊ะ” ศรีเมืองว่า
       ดวงแขทิ้งค้อนให้ขวับหนึ่งก่อนตั้งท่าจะเดินออกจากห้องเรไร
       “ประเดี๋ยวก่อนเถิดแม่ดวงแข”
       ดวงแขหันกลับมามองเรไร
       เรไรหน้านิ่งๆ แต่สายตาเอาจริง
       “แม่ดวงแขถือว่าฉันเป็นว่าที่พี่สะใภ้ใช่หรือไม่”
       “ใช่ มีกระไรรึ” ดวงแขพูดพลางจ้องหน้าเรไร
       “เช่นนั้น ศักดิ์ฉันย่อมสูงกว่าแม่ดวงแข เมื่อแม่ดวงแขกล่าวล่วงเกินฉันควรต้องไหว้ขมาฉันเสียก่อน”
       ดวงแขตกใจ ไม่คิดว่าเรไรจะย้อนมาเล่นงาน บัวเผื่อนขำหัวเราะชอบใจ
       “ควรหนักหนาแล้ว เพลานี้แม่ดวงแขมีศักดิ์เสมอน้อง เมื่อพูดจาไม่ควรย่อมต้องไหว้ขอขมา หากไม่ยอมย่อมถือว่าแม่ดวงแขจงใจหยามหมิ่น ไม่อยากได้แม่เรไรเป็นพี่สะใภ้อีก”
       บัวเผื่อนหันไปพูดกับเรไร ยุแกล้งดวงแข
       “แม่เรไรก็ไปถอนหมั้นกับขุนณรงค์เสียเถิด” บัวเผื่อนพูดต่อ
       ดวงแขหน้าเสียเจอบัวเผื่อนรับลูกนี้เข้า เลยหาทางออกไม่เจอ เรไรยังจ้องดวงแขนิ่งรอการขอขมา
       ดวงแขขบกรามแน่นด้วยความแค้น แต่ถ้าถอนหมั้นหมายความว่า เรไรจะกลับไปหาเสมา หากเป็นเช่นนั้นดวงแขย่อมเป็นฝ่ายเสียหายกว่า จึงจงจำใจยกมือไหว้ขมาดวงแข
       “ ฉันขอขมาด้วยเถิดแม่เรไร”
       เรไรรับไหว้อ่อนช้อยด้วยสีหน้าเรียบเฉย ศรีเมืองแอบอมยิ้มสะใจ บัวเผื่อนแกล้งหลุดขำยกมือขึ้นปิดปาก ดวงแขเจ็บใจทิ้งค้อนให้บัวเผื่อนก่อนจะสะบัดหน้าพรืดออกจากห้องไป ท่ามกลางรอยยิ้มเยาะของบัวเผื่อน และศรีเมือง เรไรได้แต่ถอนใจยาวออกมาอย่างหนักใจ

       เรไรเดินขึ้นเรือนมาตอนเช้า โดยมีพิณและบรรดาทาสช่วยกันขนข้าวของตามหลังมา ลำภูเดินเข้ามารับเรไรด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เรไรไหว้แม่ก่อนจะเข้าไปกอดลำภูซึ่งกอดลูกด้วยความรัก ห่วงใย
       “ขวัญเอ๊ยขวัญมาลูกแม่ แม่โกรธพ่อเจ้าเหลือเกินที่ปิดความไว้ไม่ส่งคนมาบอกให้แม่รู้ เพิ่งจะมาบอกต่อเมื่อเจ้าปลอดภัยกลับมาแล้ว”
       “พ่อท่านคงเกรงว่าแม่จักทุกข์ใจเพราะห่วงลูกน่ะจ้ะ อย่าถือโกรธพ่อท่านเลย”
       เรไรมองไปรอบเรือนซึ่งเงียบผิดปกติ
       “วันนี้เรือนเราเงียบนัก บ่าวไพร่ไปที่ใดกันหรือเจ้าคะ” เรไรถาม
       “คุณหลวงให้บ่าวไพร่ส่วนหนึ่งไปรับใช้อาแต้มของเจ้าน่ะ เรือนใหญ่ก็เลยมีบ่าวน้อยลง” ลำภูว่า
       “ท่านอาแม่หญิงรับใช้ง่ายเจ้าค่ะ กินข้าวเสร็จก็นอน ตกเย็นก็กินสุรา ตื่นเอาเกือบเที่ยงน่ะเจ้าค่ะ” พิณรายงาน
       “นังพิณ” ลำภูส่งเสียงปราม
       พิณถึงกับหน้าจ๋อยไป
       “แล้วแม่เอื้อยแตงล่ะเจ้าคะ วันๆทำกระไรบ้าง” เรไรถามอย่างอยากรู้
       ลำภูมีสีหน้าเคร่งเครียด หนักใจขึ้นมาทันทีเมื่อเรไรพูดถึงเอื้อยแตง

       เอื้อยแตงกำลังขายมีด ขายจอบ ฯลฯ ในตลาดเหมือนเดิม เพียงแต่คราวนี้แต่งตัวสวยผิดจากแม่ค้าอื่น
       “เอ้า เข้ามาเร็ว เข้ามาเลือกดู เหล็กเนื้อดี ทั้งเหนียว ทั้งทน ใช้ไปถึงลูกถึงหลาน ไม่มีหักมีบิ่น เข้ามาซื้อเข้ามาหาเร็ว” เอื้อยแตงตะโกนขายของเสียงแจ๋ว
       ชาวบ้านที่ผ่านไปผ่านมาที่สนใจก็เข้าไปแวะดู ขณะนั้นเอง เรไรและพิณก็เดินเข้าไปหาเอื้อยแตงที่หันไปให้เรไร
       “อ้าว กลับมาจากวังแล้วหรือจ๊ะแม่หญิงจะรับมีดรับพร้าไว้ใช้สักเล่มสองเล่มหรือไม่จ๊ะ เป็นญาติกันฉันไม่คิดแพงดอกจ้ะ”
       เรไรหน้าขรึมลงแล้วพูดขึ้น
       “เหตุใดแม่เอื้อยแตงมาเร่ขายของในตลาดเช่นนี้ รู้หรือไม่ว่าแม่ฉันทุกข์ใจนัก ด้วยผู้คนเอาไปนินทาว่าท่านไม่มีปัญญาเลี้ยงหลานต้องให้มาเร่ขายของในตลาด”
       “อุ๊ย ปากคน จะสนใจไปไย ฉันไม่ได้ไปปล้นไปฆ่าผู้ใดเสียหน่อย เหตุใด ต้องอับอายด้วย ขายของเช่นนี้ ฉันก็ได้เบี้ยได้อัฐมาใช้ ไม่ต้องแบมือขอ ยังไม่ดีอีกรึ” เอื้อยแตงพูดแล้วก็หันไปขายของต่อโดยไม่สนใจเรไร
       “บ่าวบอกแล้ว ว่าแม่หญิงเอื้อยแตงไม่ยอมเลิกดอกเจ้าค่ะ บ่นอยู่ทุกวันว่า นั่งๆนอนๆรำคาญหนักหนา แลยังบอกอีกนะเจ้าคะว่าพวกหญิงชาววัง เอาแต่ร้อยมาลัยทำกับข้าว หาคุณกระไรได้ไม่” พิณว่า
       เรไรมองเอื้อยแตงด้วยสีหน้าใช้ความคิดถึงวิธีการก่อนบอกกับตัวเองว่า
       “ก็ให้รู้กันไปว่าฉันจะเอาชำนะน้องสาวคนนี้ไม่ได้”

       เมื่อตอนหัวค่ำ เอื้อยแตงเดินกลับเข้าเรือนมาหลังจากขายของเสร็จ เอื้อยแตง เปิดประตูห้องของแต้ม ภายในห้องห้องว่างเปล่า
       “ไปกินเหล้าอีกล่ะซี” เอื้อยแตงพึมพำ
       เอื้อยแตงกำลังจะเดินไปหาอะไรกินในครัว เพราะกำลังหิวก็เหลือบเห็นสำรับกับข้าวตั้งอยู่บนโต๊ะที่ชานเรือน เอื้อยแตงเข้าไปดูเห็นอาหารน่ากินก็ท้องร้องขึ้นมาทันที
       “น่ากินทั้งนั้นเลย”
       เอื้อยแตงรีบคดข้าว จุ่มน้ำล้างมือแล้วเปิบข้าวกินอย่างเอร็ดอร่อย เรไรก็เดินเข้ามาหา
       “อร่อยรึ”
       เอื้อยแตงกลัวเสียหน้าจุงทำหน้าปั้นปึ่ง
       “กำลังหิว กินกระไรก็อร่อยทั้งนั้นหล่ะ”
       “จริงรึ ฉันตั้งใจว่าจะทำให้กินเช่นนี้ทุกวันจนกว่าจะกลับเข้าวัง รับรองว่าทุกวันไม่มีซ้ำกัน แต่เมื่อแม่เอื้อยแตงพูดเช่นนี้ก็หาเป็นกระไรไม่”
       เอื้อยแตงรู้สึกเสียดายเพราะอาหารอร่อยมาก
       “ฉันไม่อยากให้แม่หญิงเสียน้ำใจ เมื่อแม่หญิงตั้งใจแล้วก็ทำไปเถิด”
       “แต่ถ้าฉันกลับเข้าวังเมื่อใด แม่เอื้อยแตงก็ต้องอดกินอีก ใจจริง ฉันอยากจะสอนแม่เอื้อยแตงทำกับข้าวสักสองสามอย่าง แต่ดูท่า แม่เอื้อยแตงคงเรียนไม่ได้ดอก”
       เอื้อยแตงโมโห เกิดทิฐิขึ้นมาทันที
       “ทำไมจะไม่ได้ เพียงแค่ทำกับข้าวเท่านั้นจะยากเย็นกระไรหนักหนา”
       “แต่แม่เอื้อยแตงต้องไปขายของในตลาดไม่ใช่รึ แล้วจะเรียนได้อย่างไร เรียนครึ่งๆกลางๆก็เสียชื่อฉันหมด อย่าเลย แม่เอื้อยแตงคงไม่มีวันทำกับข้าวได้ดีเท่าฉันดอก”
       “ไม่ทะนงตัวเกินไปหน่อยหรือ ฉันจะทำให้ดู ทำให้ดีกว่าแม่หญิงด้วยซ้ำ ขอเพียงแต่แม่หญิงตั้งใจสอน อย่าปิดบังวิชาก็แล้วกัน”

เรไร แอบอมยิ้ม เพียงแค่นี้ ก็ดึงเอื้อยแตงไม่ให้ขายของในตลาดได้แล้ว ที่เหลือก็ค่อยๆ สอนกันไป
เจ็ด - แปดวันผ่านไป ทหารไทยกับทหารพม่ากำลังสู้รบกันอย่างดุเดือด ฝีมือทหารไทยเหนือกว่าทหารพม่าสู้กันได้ซักพักก็ไล่ฟันไล่แทงจนทหารพม่าถอยร่น

       ขณะนั้น สมิงมะตะเบิดในชุดทหารถือทวนเดินออกมา พวกทหารไทยเห็นสมิงมะตะเบิดเดินออกมาคนเดียวก็ชะงัก ทหารไทยคนหนึ่งร้องลั่นแล้วควงดาบเข้ามาฟันใส่ สมิงมะตะเบิดใช้ทวนปัดดาบ แล้วแทงสวน ทหารไทยคนนั้นก็ล้มคว่ำ ขาดใจตายไปอย่างง่ายดาย

       ทหารไทยคนอื่นที่เห็นเหตุการณ์อึ้งไปก่อนจะกรูกันเข้ามาเข้ารุมสมิงมะตะเบิด
       สมิงมะตะเบิดต่อสู้อย่างรวดเร็วว่องไวควงทวนทั้งแทงทั้งฟาดเพียงพริบตาเดียว ทหารไทยทั้งหมดก็ถูกฆ่าลงจนหมดราวกับใบไม้ร่วง ทหารไทยที่เหลืออยู่รีบวิ่งหนีด้วยความกลัวไปทันที
       พระเจ้าแปรขี่ม้าออกมา พร้อมด้วยทหารพม่าอีกจำนวนหนึ่ง สมิงมะตะเบิดคุกเข่าลงถวายบังคม
       พระเจ้าแปรหัวเราะชอบใจพลางตรัสว่า
       “ฝีมือของเจ้าเป็นหนึ่งในพุกามประเทศแล้ว มีเจ้าอยู่ข้าก็เหมือนมีกองทัพนับหมื่น ไม่ต้องกลัวผู้ใดอีก” “ขอบพระทัยพระพุทธเจ้าข้า”
       “แม้จะลอบปลงพระชนม์องค์พระนเรศไม่สำเร็จก็หาเป็นกระไรไม่ ข้าจะกวาดต้อนผู้คนรวบรวมไพร่พล ไม่ขึ้นกับผู้ใดทั้งสิ้น ไม่ว่าอโยธยาหรือหงสาวดี เมื่อถึงเพลานั้น สิ่งที่พระมหาอุปราชากระทำไม่สำเร็จ ข้าจะทำให้ทุกผู้คนเห็นเอง ข้าจะเป็นพระเจ้าชำนะสิบทิศองค์ที่สองให้จงได้”
       สีพระพักตร์พระเจ้าแปรมุ่งมั่น ทะเยอทะยาน

       ผ่านเวลาไปสองสามวัน สมเด็จพระนเรศวรกำลังออกว่าราชการในท้องพระโรง โดยมีสมเด็จพระเอกาทศรถ และเหล่าขุนนางเข้าเฝ้า
       “เรากับพระเจ้าแปรไม่เคยผิดใจกัน แล้วควรรึที่จะยกทัพมากวาดต้อนผู้คนของเราไปเป็นเชลยศึกเช่นนี้”
       “การเป็นเช่นนี้ แสดงว่าการช่วงชิงอำนาจในพุกามประเทศเริ่มขึ้นแล้ว พระเจ้าแปรจึงเร่งกวาดต้อนผู้คนไปเมืองแปร เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ตน จำเราต้องยกทัพไปปราบเสียแต่ต้นมือ เมืองอื่นจะได้ไม่กล้าทำเช่นนี้อีก” สมเด็จพระเอกาทศรถทรงตรัสขึ้น
       “เช่นนั้นจงจัดทัพหนึ่งแสน พี่จะยกทัพไปด้วยตัวเอง”
       “ทัพแปรไม่ได้ใหญ่กระไร แลเพียงแต่ยกมากวาดต้อนผู้คนไม่ได้ชิงเอาเมือง มิบังควรให้สมเด็จพี่ต้องออกรบด้วยองค์เองดอกพระพุทธเจ้าข้า”
       “แต่พี่ต้องการให้ทุกเมืองเห็นความเข้มแข็งของอโยธยา หากเราต้องการเป็นเมืองอันไร้ศึกให้สมดังชื่อ เราก็ต้องมีกองทัพที่เข้มแข็ง มิให้ผู้ใดเหิมเกริมคิดรังแกเราได้เป็นอันขาด”
       สมเด็จพระนเรศวรตรัสด้วยสีพระพักตร์แข็งกร้าว

       พุฒกำลังคุยกับขันด้วยสีหน้าเคร่งเครียดในตอนสาย
       “อีกไม่นานก็ต้องไปศึกอีก แล้วเมื่อใดฉันจักได้ออกเรือนกับแม่ดวงแขเสียที ขุนณรงค์อย่าบ่ายเบี่ยงอีกเลย ยกแม่ดวงแขให้ฉันเสียทีเถิด” พุฒเสียงหงุดหงิดไม่พอใจ
       “ใช่ว่าฉันจะบ่ายเบี่ยง แต่เพลานี้แม่หญิงเรไรรู้ความจริงหมดแล้ว อย่าว่าแต่พูดจาเลย แม้แต่มองหน้ากันยังไม่มี แล้วขุนวิเศษจะทวงสัญญาได้กระไร อดใจรออีกสักหน่อยเถิด” ขันพูดอย่างหนักใจ
       “แต่ขุนณรงค์สัญญาแล้ว ว่าถ้าฉันช่วยให้ได้หมั้นกับแม่หญิงเรไร ขุนณรงค์จะยกแม่ดวงแขให้ฉัน หรือจะรอให้ได้ น้องเขยเป็นตะพุ่นหญ้าช้างก่อนเล่า”
       ขันชักไม่พอใจ
       “ขุนวิเศษนี่พูดไม่รู้ความ ก็อ้ายเสมายังอยู่ หากฉันยกแม่ดวงแขให้ แล้วแม่หญิงเรไรกลับไปหาอ้ายเสมาเล่า ฉันจะทำเช่นใด”
       “ก็ฉันบอกแล้วว่าให้หาเรื่องอ้ายเสมา จะได้ใส่ความแล้วหาเหตุฆ่ามัน เพลานี้มันเป็นตะพุ่นศักดิ์เสมอทาส ไม่มีผู้ใดสนใจดอก”
       “แล้วฉันไม่ทำรึ แต่อ้ายเสมามันเหมือนนกรู้ ไม่ว่าจะทำกระไร มันก็ยอมหลบ ยอมลงให้ฉันตลอดผิดจากที่แล้วมาแล้วฉันจักหาเหตุกระไรได้”
       “เมื่อมันยังทนได้ ก็ต้องเล่นงานมันให้หนักเท่าทวีคูณ ดูเทียวรึ ว่าอ้ายเสมาจะทนไปได้สักเท่าใด” พุฒพูดด้วยสายตาเต็มไปด้วยความเกลียดชังและร้ายกาจที่อยากจะเอาชนะ

       ทหารจำนวนมากพร้อมอาวุธครบมือกระจายกำลังล้อมเสมากับตะพุ่นคนอื่นๆไว้ ท่ามกลางการสั่งงานของขัน และพุฒ ตะพุ่นคนอื่นๆกลัวจนตัวสั่น แต่เสมาก้าวออกมาด้วยหน้าตาเฉย
       “นี่มันกระไรกันออกขุน พวกฉันทำผิดกระไร ถึงได้ให้ทหารมาล้อมกันเช่นนี้” เสมาถาม
       “เอ็งยังมีหน้ามาถามอีกว่าทำผิดกระไร รู้หรือไม่ว่าช้างที่ออกไปฝึกวันนี้ ขี้เหลวทุกช้าง พวกเอ็งให้กินกระไรผิดสำแดงถึงได้เป็นเช่นนี้” พุฒพูดตะคอก
       “ก็กินเหมือนเช่นทุกวัน จะผิดสำแดงได้กระไร” เสมาว่า
       “เอ็งยังกล้าเถียงอีกรึ อีกไม่นานจะมีศึก ช้างทุกช้างล้วนสำคัญนัก พวกเอ็งดูแลไม่ดี เห็นทีจะมีพวกข้าศึกปลอมตัวมาอีกกระมัง ทหาร จับตัวพวกมันไปให้หมด” ขันตะคอก
       พวกทหารตั้งท่า แต่ทันใดนั้น สิน และสมบุญก็ถืออาวุธเข้ามาก่อน
       “ผู้ใดกล้าแตะต้องพี่กูก็ต้องปะมือกับกูก่อน” สินตวาดลั่น
       พวกทหารฝ่ายขันรู้ฝีมือของสมบุญกับสินดีและเห็นเรื่องชักจะบานปลายก็ลังเล
       “อ้ายพันเทพ พันทิพ นี่พวกเอ็งคิดกบฏรึ” ขันว่า
       “มากไปเสียแล้ว เพียงแค่ช้างขี้เหลวก็ยัดข้อหากบฏ ถ้าออกขุนทั้งสองเห็นว่าผิดนัก ก็เชิญท่านออกญาทรงมาตัดสินเถิด ไม่ใช่จับกุมลงโทษกันเองเช่นนี้” สมบุญบอก
       “เรื่องเพียงนี้ จะกวนใจท่านออกญาไยกัน” พุฒพูดขึ้น
       “ชะช้า อ้ายพุฒ เอ็งร้องออกลั่นว่ามีกบฏบ้าง มีข้าศึกปลอมตัวบ้าง แต่พอจะตามท่านออกญากลับว่าเป็นเรื่องเล็ก” สินว่าอย่างรู้ทัน
       ขัน และพุฒเหล่มองกันเห็นว่าคงยัดข้อหาไม่ได้ง่ายๆเสียแล้ว
       “ถ้าเช่นนั้น ไม่ต้องไต่สวนเรื่องข้าศึกปลอมตัวก็ได้ แต่ช้างขี้เหลวพวกตะพุ่นต้องรับโทษ”
       ขุนพูดแล้วก็หันไปสั่งทหาร
       “ทหาร โบยพวกมันตามกฎคนละสิบที”
       พวกตะพุ่นรู้ว่าจะถูกโบยก็กลัวจับใจ สินชักโมโห
       “ นี่เอ็งคิดจะโบยพี่เสมาเชียวรึอ้ายขัน เอาวะ กบฏก็กบฏ ก่อนกูจะถูกบั่นคอ ขอตัดหัวมึงก่อนเถิด” ว่าแล้วสินก็ตั้งท่าเตรียมพร้อมสู้ เสมาร้องห้ามแล้วหันไปพูดกับขัน
       “อย่าอ้ายสิน หากเอ็งรักข้าอย่าทำเช่นนี้ … ผู้ให้หญ้าช้างตอนเช้าเป็นฉันเอง ถ้าจะโบยก็โบยฉันคนเดียวเถิด”
       สมบุญตกใจแล้วพูดขึ้น
       “ พี่เสมา ไม่ต้องกลัวพวกฉันเดือดร้อนดอก อย่ายอมพวกมันเช่นนี้อีกเลย”
       “ว่ากระไรเล่าขุนณรงค์” เสมาถาม
       ขันยิ้มเจ้าเล่ห์
       “อย่างไรก็ต้องรับโทษร่วมกัน หากเอ็งจะออกหน้าก็ต้องรับโทษโบยในส่วนของอ้ายตะพุ่นอื่นด้วย”
       “ได้”
       สิน และสมบุญกัดฟันเจ็บใจ แต่เสมาใจสมัครยินยอมเองก็ไม่รู้จะว่ายังไง
       เสมานอนลงกับพื้น ทหารขันเอาหวายมาให้ ขันยิ้มร้ายๆ แล้วโบยเสมาเต็มแรงด้วยความสะใจ เสมาขบกรามแน่น ไม่ร้องแม้แต่คำเดียวปล่อยให้ขันโบยตามใจ
       พันจิตเสน่หาทหารรุ่นเดียวกับสินและสมบุญ ยืนมองเหตุการณ์อยู่ห่างออกไปด้วยสายตาความชื่นชม แล้วยิ้มออกมาอย่างพอใจในจิตใจลูกผู้ชายเลือดนักสู้ของเสมา

       สิน และสมบุญประคองเสมาที่ถูกโบยจนเจ็บหนักมานั่งพักที่หน้ากระท่อมสมบุญเมื่อเวลาเย็น
       “พี่ไม่น่ายอมมันเลย พวกเรา3 คนก็เกินพอที่จะหักหนีแล้ว” สินบอก
       สมบุญเห็นด้วยกับสิน
       “นั่นซีพี่ พวกอ้ายขันต้านไม่อยู่ดอก”
       “หนีได้แล้วมีกระไร ต้องหลบๆซ่อนๆเหมือนที่ข้าเคยทำกระนั้นรึ เชื่อข้าเถิดที่อ้ายขัน อ้ายพุฒทำเช่นนี้ ก็เพื่อหาเหตุใส่ความจักฆ่าข้า ยอมเจ็บแต่เพียงนี้ แต่รักษาชีวิตเอาไว้เถิด” เสมาว่า
       “พ่อพูดต้องใจฉันนัก”
       เสียงหนึ่งดังขึ้น เสมา สมบุญและสินหันไปมองด้วยความประหลาดใจ พันจิตเสน่หาเดินยิ้มแย้มเข้ามาหาเสมา แล้วพูดเตือนว่า
       “คนเราหากลุแก่โทสะโดยง่าย คงต้องหลงกลผู้อื่นอยู่ร่ำไป”
       สมบุญมองเขม่นแล้วถาม
       “เอ็งเป็นใครวะ”
       “ฉันชื่อพันจิตเสน่หา เป็นทหารในพระพุทธเจ้าอยู่หัวพระองค์น้อย”
       เสมา สมบุญ และสินมองพันจิตด้วยท่าทีเป็นสงสัย
       “เมื่อตอนบ่าย ฉันผ่านไปที่โรงเลี้ยงช้าง จึงเห็นเหตุทั้งหมดเข้า พ่อตะพุ่นมีน้ำใจแลความอดทนนัก ฉันจึงนึกเสียดายที่พ่อต้องเกี่ยวหญ้าเลี้ยงช้างต่อไป จึงอยากมาชวนพ่อไปรับราชการเป็นทหารด้วยกัน”
       “ชวนไปเป็นทหารรึ รู้หรือไม่..” สมบุญพูดแล้วหัวเราะ
       เสมารีบพูดแทรกสมบุญขึ้น
       “ขอบน้ำใจหัวพันมากนัก แต่ฉันมีศักดิ์เสมอทาสไม่คู่ควรเป็นทหารดอก”
       “พระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์ ทรงใช้คนตามฝีมือ หาใช่ศักดิ์ตระกูลไม่ หากพ่อตะพุ่นอยากเป็นทหารจริง อีกไม่กี่วัน จะมีการประลองคัดคนเข้าเป็นทหารของสมเด็จพระอนุชาธิราช พ่อก็ลองไปดูเถิด หากมีวาสนา ก็จะได้เป็นทหารสมใจ”
       สมบุญเริ่มตื่นเต้น
       “ ได้เป็นทหารของสมเด็จพระอนุชาธิราชเชียวรึ เช่นนี้ก็ไม่ต้องสังกัดมูลนายอื่นน่ะซี”
       พันจิตหัวเราะ
       “จะต้องสังกัดทำกระไร ได้ขึ้นตรงแต่สมเด็จพระอนุชาธิราชประเสริฐกว่าสังกัดมูลนายอื่นมากมายนัก”
       สินและสมบุญตื่นเต้นดีใจแทนเสมา ขณะที่เสมาเริ่มมีรอยยิ้ม ความหวังที่จะได้กลับเป็นทหารอีกครั้ง อยู่อีกไม่ไกลแล้ว

       เอื้อยแตงเป็นคนวางสำรับกับข้าวซึ่งถูกจัดและตกแต่งไว้อย่างสวยงามลงต่อหน้าเรไร เอื้อยแตงทำท่าเชิ่ดๆ มองเรไรด้วยสายตาท้าทาย เรไรยิ้มบางๆ ก่อนจะชิมกับข้าวในสำรับ เอื้อยแตงมองลุ้นๆว่า หลังจากเรไรชิมแล้วจะเป็นอย่างไร
       เรไรพยักหน้ารับแล้วบอก
       “ถือว่าใช้ได้”
       เอื้อยแตงตบเข่าฉาด ในที่สุดก็เอาชนะเรไรได้
       “เป็นกระไรเล่า ฉันบอกแล้วว่าแค่ทำกับข้าวจะยากกระไรนัก”
       “ฉันสอนเสียเกือบสิบวันเพิ่งทำเข้าขั้นได้สองสามอย่าง ก็คุยโตแล้วรึ แม่เอื้อยแตง”
       เอื้อยแตงยิ้มแหยๆ
       “พรึ่งนี้ฉันต้องกลับเข้าวังแล้ว แม่เอื้อยอยู่ทางนี้ ก็ตั้งใจฝึกฝนตามที่ฉันสอนให้ดี ออกจากวังคราหน้า ฉันจะทดสอบอีก”
       “ใช่ว่าฉันรู้ไม่เท่าดอกนะ ที่เคี่ยวเข็ญสอนฉันทำกับข้าวก็เพื่อที่ฉันจะได้ไม่ว่างไปเร่ขายของในตลาดใช่หรือไม่” เอื้อยแตงหน้าบึ้งตึงถามขึ้น
       เรไรยิ้ม ไม่ตอบว่าอย่างไร
       “ฉันหาเข้าใจไม่ว่า เหตุใดต้องรังเกียจคนค้าขายถึงเพียงนี้ ไม่ว่าฉันหรือพี่เสมาก็ไม่ได้กระทำชั่วช้า แต่กลับถูกตั้งข้อรังเกียจเดียดฉันท์”
       เรไรหน้าขรึมลงเมื่อเอื้อยแตงพูดถึงเสมา เพราะเหตุที่เรไรกับเสมาลงเอยกันไม่ได้ก็เพราะเรื่องที่เสมาเป็นช่างตีดาบนี่แหละ

       เรไรกำลังเดินคุยกับเอื้อยแตงอยู่ในสวน
       “ฉันไม่ได้รังเกียจคนค้าขายดอก แต่ขุนน้ำขุนนางหากต้องตากหน้าง้องอนใคร ก็ถือว่าเสียเกียรตินัก พ่อแม่ท่านจึงไม่ยินดีที่แม่เอื้อยแตงไปเร่ขายของ”
       “เสียเกียรติ ถ้ากระนั้นพวกขุนนางก็อย่าซื้อของซี อยากได้กระไรก็ให้บ่าวไพร่มันทำให้เสียทุกเรื่องเป็นเช่นไร”
       “อย่าประชดประชันเลย ถึงพ่อแม่ท่านไม่สบายใจ ก็ไม่เคยออกปากห้ามแม่เอื้อยแตงไม่ใช่รึ นั่นก็เพราะท่านรักเมตตาแม่เอื้อยว่าเป็นหลาน ถึงไม่ถูกใจแต่ก็ยอมลงให้อย่างไรเล่า”
       เอื้อยแตงหน้าขรึมลง
       “แม่หญิงเรไรพูดเช่นนี้จะให้ฉันเลิกขายของใช่หรือไม่”
       เรไรยิ้มแย้มเข้าทาง
       “แม่เอื้อยแตงเป็นคนฉลาด ฉันไม่ได้บังคับใจดอกนะ แต่แม่เอื้อยลองตรองดูเองเถิด”
       “ฉันก็ไม่อยากให้ท่านลุงกับท่านป้าไม่สบายใจดอก แต่ฉันเบื่อหน่ายที่ต้องอยู่เรือนเฉยๆ ที่นี่มีบ่าวไพร่พรั่งพร้อมจนฉันไม่รู้จะทำกระไรแล้ว”
       “ถ้าเบื่อหน่ายก็เรียนทำกับข้าวหรือทำงานเรือนกับฉันซี แม่เอื้อยแตงเคยหมิ่นว่าชาววังทำแต่งานพวกนี้ หาคุณกระไรไม่ได้ บัดนี้คงรู้แล้วกระมัง ว่างานพวกนี้หาได้ง่ายดายไม่”
       เอื้อยแตงเริ่มลังเลตัดสินใจไม่ถูกว่าจะเอาไงดี
       ขณะนั้นเอง พิณก็เข้ามาหาเรไรแล้วคุกเข่าลง
       “แม่หญิงเอื้อยแตงเจ้าคะ พันทิพศักดิ์มาขอพบเจ้าค่ะ”
       “ เย็นป่านฉะนี้แล้ว อ้ายสินมาทำกระไรอีก มันบอกหรือไม่แม่พิณ”
       “พันทิพบอกว่าตะพุ่นเสมาต้องโทษโบยหวายเจ้าค่ะ เพลานี้ปวดระบมจนได้ไข้ แต่มียาไม่พอจึงมาขอปันยาไปรักษาตะพุ่นเจ้าค่ะ”

เรไรและเอื้อยแตงต่างตกใจมากที่รู้ว่า เสมาโดนโบยจนไข้ขึ้น เรไรห่วงใยเสมาจับใจ แต่ก็ทำอะไรมากไม่ได้
จบตอนที่ ๑๑



Create Date : 22 พฤษภาคม 2555
Last Update : 22 พฤษภาคม 2555 12:29:51 น. 0 comments
Counter : 1781 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

atitaya_t
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




สวัสดีค่ะ ขอร่วม gang ด้วยคนค่ะ
Friends' blogs
[Add atitaya_t's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.