เก็บความทรงจำ..(^_^)..ความสนใจ โลกส่วนตัว ที่เราสร้างเอง
Group Blog
 
 
พฤษภาคม 2555
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
22 พฤษภาคม 2555
 
All Blogs
 
ขุนศึก ตอนที่ 12-1 , 12-2

ขุนศึก ตอนที่ ๑๒


กระท่อมสมบุญตอนหัวค่ำ เสมานอนบนใบตองที่ปูรองไว้บนพื้นเรือน ไข้ขึ้นสูงไม่ได้สติอยู่ จำเรียงกำลังใช้ผ้าเช็ดตัวให้เสมา โดยมีเอื้อยแตง และสิน คอยดูเสมาอยู่ใกล้ๆ

       “ต้องโทษโบยหรือคิดจะฆ่ากันแน่” เอื้อยแตงพูดด้วยความเจ็บใจ
       “ถ้าอ้ายขันมันทำได้ มันก็คงจะทำไปแล้ว” สินพูดด้วยความแค้นใจ
       สมบุญยกยาหม้อเข้ามาให้เสมาแล้วรินยาใส่ถ้วย
       “ทั้งยากินยาทาก็หมดสิ้นแล้ว แม่เอื้อยแตงมีเพียงเท่านี้เองรึ”
       “เพียงเท่านี้ ก็ได้แม่หญิงเรไรฝากมาดอก ฉันเองหามีไม่ ประทังไปก่อนเถิด เช้าเมื่อใดค่อยไปหาซื้อ” เอื้อยแตงว่า
       จำเรียงรับถ้วยยาจากสมบุญ แล้วประคองเสมาขึ้นดื่ม
       “แต่ฉันเป็นน้องพี่เสมามา ไม่เคยเห็นพี่เสมาเจ็บหนักเหมือนครานี้เลย แล้วนี่จะหายทันคัดเลือกทหารหรือ” จำเรียงพูดด้วยสีหน้าเป็นห่วง
       “คัดเลือกทหารกระไรกัน” เอื้อยแตงถาม
       “พระพุทธเจ้าอยู่หัวองค์น้อย ทรงมีรับสั่งจะคัดทหารรักษาวังเพิ่ม พี่เสมาตั้งใจจะไปคัดเลือกด้วย” สมบุญว่า
       “ฝีมือเยี่ยงพี่เสมา หากไม่เจ็บไข้ ย่อมต้องได้คัดเลือกเป็นแน่ ครานี้ก็จะได้กลับไปเป็นทหารพ้นจากตะพุ่นเสียที อ้ายขันอ้ายพุฒจะกลั่นแกล้งไม่ได้อีก” สินบอก
       เสมายังคงนอนไร้สติเพราะพิษไข้ ไม่รู้จะหายทันคัดเลือกหรือไม่

       เรไรรออยู่บนเรือนหลวงรามเดชะด้วยความกระวนกระวายใจ เอื้อยแตงเดินกลับขึ้นเรือนมา เรไรเข้าไปหาทันทีด้วยความเป็นห่วงเสมา
       “เป็นกระไรบ้าง”
       “ฉันรึ ก็สบายไม่เจ็บไม่ไข้กระไร” เอื้อยแตงแกล้งยั่ว
       “ แม่เอื้อยแตง”
       เอื้อยแตงยิ้มขำๆแล้วบอกว่า
       “พี่เสมาโดนโบยเสียหลังแตกยับ ได้ไข้ตัวร้อนเป็นไฟ ตอนฉันกลับยังไม่ฟื้นเลย”
       เรไรหน้าเสียห่วงเสมาจับใจ เอื้อยแตงพอเห็นสีหน้าเรไรก็ใจอ่อน
       “ พี่เสมาแข็งแรงกว่าคนทั่วไป แลมีคนเฝ้าไข้อยู่หลายคน พรึ่งนี้ได้ยาก็คงดีขึ้น แม่หญิงไม่ต้องกังวลไปดอก แต่ที่ฉันหาเข้าใจไม่ คือเมื่อแม่หญิงห่วงพี่เสมาเช่นนี้ เหตุใดเมื่อครู่ถึงไม่ตามไปด้วยกันเล่า”
       เรไรหน้าขรึมลง
       “ฉันมีคู่หมั้นคู่หมายแล้วจะทำกระไรก็ต้องนึกถึงเกียรติของตนแลคู่หมั้น แม้จะไปเยี่ยมไข้ แต่ก็เป็นชายที่เคยมีใจด้วย หาเหมาะควรไม่”
       “แต่แม่หญิงถูกหลอกไม่ใช่รึ เหตุใดไม่ถอนหมั้นเล่า”
       “หากถอนหมั้น พ่อแม่ท่านต้องเสียหน้านักฉันทำไม่ได้ดอก”
       เอื้อยแตงได้แต่ถอนใจแล้วส่ายหน้า
       “เป็นแม่หญิงนี่ลำบากแท้ จะทำสิ่งใดก็ต้องกลัวเสียเกียรติ เสียหน้าตาอยู่ร่ำไป”
       “หากแม่เอื้อยแตงเคยทำให้พ่อแม่ทุกข์ใจมามากเช่นฉัน ก็จักเข้าใจ ว่าเหตุใดฉันต้องทำเช่นนี้”
       เรไรหน้าเศร้าด้วยความอัดอั้นตันใจ เอื้อยแตงมองเรไรนิ่ง เป็นครั้งแรกที่รู้สึกเห็นใจเรไร และเริ่มเข้าใจเรไรมากขึ้น

       เช้าวันรุ่งขึ้น ขันและพุฒพร้อมด้วยทหารจำนวนหนึ่งกรูกันเข้ามาในกระท่อมสมบุญ ขณะที่จำเรียงกำลังดูแลเสมาที่นอนป่วยไม่ได้สติอยู่ ขันตวาดลั่น
       “เฮ้ย เอาตัวมันไป”
       พวกทหารกรูกันเข้ามาจะดึงตัวเสมาไป ทั้งๆที่เสมายังป่วยหนัก จำเรียงตกใจมากร้องถาม
       “จะทำกระไรกัน คนป่วยเจียนตายไม่เห็นรึ”
       จำเรียงจะเข้าไปช่วยเสมาก็ถูกทหารผลักออกมา
       ทันใดนั้น สมบุญก็เข้ามาในกระท่อมด้วยความโกรธจัด ชักดาบคู่มือเตรียมสู้ พุฒตะคอกขู่
       “มึงคิดกบฏรึอ้ายสมบุญ”
       “มึงอย่ามาใส่ความกู พวกมึงบุกมาถึงเรือนกู แล้วยังทำร้ายพี่เสมาอีก จะมาหาว่ากูกบฏได้อย่างไร”
       “กูไม่ได้ทำร้ายอ้ายเสมา แต่กูจะเอามันไปทำงาน มันเป็นตะพุ่นหญ้าช้างมีหน้าที่เกี่ยวหญ้าให้ช้างกิน จนป่านฉะนี้แล้วมันยังไม่ทำงาน จะไม่ให้กูมาตามได้กระไรวะ”
       “พี่เสมาเจ็บหนักได้ไข้สูงเพียงนี้ ยังจะให้ไปเกี่ยวหญ้าอีกรึ” จำเรียงว่า
       “ถ้ามันไม่ตายก็ต้องไป ช้างศึกไม่มีหญ้ากิน รู้หรือไม่ว่าโทษสถานใด” ขันบอก
       “ตะพุ่นไม่ได้มีพี่เสมาคนเดียว ให้คนอื่นทำแทนก่อนก็ได้”
       “ตะพุ่นคนอื่นก็ต้องเลี้ยงช้างตัวอื่น ใครจะว่างมาทำแทนกัน เอ็งไม่รู้กระไร ก็หุบปากไปเถิดนังจำเรียง”
       สมบุญเก็บดาบเข้าฝักด้วยความแค้นใจ
       “ถ้ากระนั้นกูจะเกี่ยวหญ้าเลี้ยงช้างแทนพี่เสมาเอง เช่นนี้แล้ว พวกมึงคงหมดข้ออ้างแล้วใช่หรือไม่”
       ขันและพุฒหันไปสบตากัน ไม่คิดว่า ยศขนาดสมบุญจะยอมลดตัวไปทำงานทาส ใจจริงอยากเล่นงานเสมามากกว่า แต่เมื่อสมบุญอ้างแบบนี้ก็จำต้องยอม
       ขันและพุฒเดินหัวเสียนำทหารกลับออกไป จำเรียงชำเลืองมองสมบุญด้วยสายตาเป็นห่วง
       “ ไม่ต้องเป็นห่วงข้า ดูแลพี่เสมาให้ดีเถิด”
       จำเรียงมองตามสมบุญที่เดินตามขันและพุฒออกไปด้วยความซาบซึ้งใจในน้ำใจจนน้ำตาคลอขึ้นมา

       สินเดินถือห่อยาใหญ่สองห่อมาอย่างอารมณ์ดี เพื่อจะไปขึ้นเรือของตนที่ผูกเอาไว้ที่ท่าเรือ ขณะนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงคนทักดังขึ้นที่ด้านหลัง
       “ประเดี๋ยวก่อนอ้ายน้องชาย”
       สินหันกลับไป เห็นขุนจำนงซี่งเป็นขุนวังสนองพระโอษฐ์ของสมเด็จพระเอกาทศรถยืนอยู่ด้านหลัง ตัวขุนจำนงนั้นเป็นคนหยิ่งยโส มีฝีมือเพลงทวนเป็นเลิศ
       “พี่ชายมีกระไรรึ” สินถาม
       ขุนจำนงชี้ไปที่ห่อยา
       “ยาสองห่อนั่นเป็นยาสมานแผลแลรักษาบอบช้ำของขุนรักษาใช่หรือไม่”
       “ใช่จ้ะ ฉันเพิ่งซื้อมาเมื่อครู่เอง”
       “ขายต่อให้ข้าเถิด ข้าตั้งใจจะไปซื้อกับขุนรักษาแต่หมดเสียก่อน ต้องรออีกสองสามวันกว่าที่ปรุงใหม่จะเสร็จ ข้าไม่อยากรอ จักขอซื้อต่อเอ็ง”
       “พี่ชายจะเอาไปรักษาคนรึ ถ้ากระนั้นฉันปันให้ก็ได้ ไม่ต้องซื้อดอกจ้ะ”
       ขุนจำนงวางมาดข่ม
       “เปล่าดอก ข้าไม่ได้เอาไปรักษาใคร แต่ข้าเป็นทหาร อ้ายพวกที่อยู่ในสังกัดข้ามันซ้อมมือบาดเจ็บกันอยู่เนืองๆ ข้าจึงต้องมีเตรียมไว้”
       “ถ้าเช่นนั้นก็ไม่ได้เร่งด่วนกระไร ฉันคงขายให้พี่ชายไม่ได้ดอกจ้ะ เพราะฉันจะเอาไปรักษาคน”
       “พูดไม่รู้ความรึก็ข้าบอกว่า ข้าอยากได้ ไม่เช่นนั้น ข้าจะตามเอ็งมาจากเรือนขุนรักษาทำไม”
       “จะตามมาจากที่ใดฉันก็ไม่ขาย แล้วก็ไม่ต้องเอายศศักดิ์ทหารมาขู่ฉัน ฉันหากลัวไม่”
       “ เอ็งพูดเช่นนี้ ท้าทายข้ารึ”
       ขุนจำนงพุ่งเข้าแย่งห่อยาจากสินทันที สินฉากหลบออกไป ขุนจำนงตามต่อย สินก็โยกหัวหลบออกไปได้อย่างสวยงาม
       “ ฝีมือไม่เลว” ขุนจำนงว่า
       ขุนจำนงเห็นไม้ไผ่ที่ปักอยู่ริมน้ำเลยดึงไม้ออกมาใช้ต่างทวนคู่มือ หวดเข้าใส่สินทันที สินเจอขุนจำนงรุกไล่ไม่กี่กระบวนก็เสียท่า ขุนจำนงใช้ไม้ไผ่ตวัดโดนข้อมือ จนห่อยาหลุดจากมือกระเด็นตกน้ำไป สินโมโหที่ห่อยาตกน้ำทำให้ไม่มียาไปรักษาเสมาเลยหันไปคว้าพายจากในเรือ เข้ามาสู้กับขุนจำนง
       ทั้งคู่สู้กันในเชิงเพลงทวนอย่างดุเดือด ต่างฝ่ายต่างร้ายกาจพอกัน กินกันไม่ลงทั้งคู่ พวกชาวบ้านเริ่มเข้ามามุงดูการต่อสู้มากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งคู่สู้กันอยู่พักหนึ่งเห็นชาวบ้านมากันเยอะ กลัวมีเรื่องตามมาเลยผละออกจากกัน
       “ฝีมือเอ็งร้ายกาจนัก มิน่าเล่าจึงได้โอหังเช่นนี้... มีคนมามุงโขอยู่ ข้าไม่อยากมีเรื่องถึงนครบาลให้เดือดร้อน ไว้คราหน้าหากเจอกัน เอ็งกับข้ามาทำสัญญาประลองกันตามธรรมเนียมเถิด จะได้ไม่มีผู้ใดยุ่งเกี่ยวได้”
       “ถึงครานั้น ก็อย่าลืมเตรียมอาวุธคู่มือมาด้วยเล่า หากว่าแพ้จะได้ไม่ยกมาเป็นข้ออ้างได้”
       ขุนจำนงมองสินด้วยตาอาฆาตก่อนจะเดินเลี่ยงไป สินรีบไปเขี่ยห่อยาเก็บขึ้นมาด้วยความรู้สึกหงุดหงิดปนเสียดาย

       เวลาต่อมา เอื้อยแตงไล่ตีสิน สินวิ่งหนีตายกระเจิดกระเจิงมาถึงหน้ากระท่อม
       “อย่าแม่เอื้อยแตง ฉันกลัวแล้วจ้ะ กลัวแล้ว” สินพูดไปหนีไป
       เอื้อยแตงยังคงโมโหแล้วตีไม่ยั้ง
       “กลัวรึอ้ายสิน เอ็งทำยาตกน้ำไปเช่นนี้ พี่เสมาจะเอายากระไรกินเล่า”
       สินจะฉากหนี แต่เอื้อยแตงไวกว่า ดึงหูสินไว้ได้ทันจนสินร้องลั่น ทั้งเจ็บทั้งกลัวจับใจ
       “โอ๊ยๆ หูข้าขาดแล้ว”
       สินยกมือไหว้เอื้อยแตง
       “ฉันขอขมาเถิดจ้ะแม่เอื้อยแตง ประเดี๋ยวฉันจะไปซื้อยาใหม่มาให้จ้ะ”
       “ยาอื่นยังพอว่า แต่ยาสมานแผลแลรักษาบอบช้ำ จะมีผู้ใดเก่งเกินขุนรักษาอีกเล่า ไม่เช่นนั้นแม่หญิงเรไรจะย้ำหนักหนา ให้ไปซื้อบขุนรักษารึ” เอื้อยแตงตวาดแว๊ด
       เอื้อยแตงดึงหูทิ้งทวน เล่นเอาสินร้องจ๊ากสะดุ้งโหยงและรีบคลำหู
       “ถ้ากระนั้นแม่เอื้อยแตงจะให้ฉันทำเช่นไรเล่าจ๊ะ เพื่อไถ่โทษ ฉันยอมทำทุกอย่างเลยจ้ะ”
       “เอ็งต้องยอมอยู่แล้ว ลองไม่ยอมซีเป็นได้เห็นดีกัน”
       สินจ๋อยสนิท กลัวเอื้อยแตงจับใจ
       “หากไม่มียา อาการพี่เสมาคงหนักลงอีกเป็นแน่ แล้วนี่จะเอาแรงกระไรไปคัดเลือกทหารกัน”
       สิน และเอื้อยแตงหน้าเครียดด้วยกันทั้งคู่ พอคิดถึงเรื่องนี้ก็ยิ่งห่วงเสมามากขึ้น

       สมบุญกำลังขนหญ้ามาเลี้ยงช้างอยู่ ด้วยความเหน็ดเหนื่อย
       “เวรแท้อ้ายสมบุญ พ้นจากทาสมาได้ ก็ต้องกลับไปทำงานทาสอีก หนีไม่พ้นเลยกู”
       “บ่นกระไรรึสมบุญ” เสียงจำเรียงดังขึ้น
       สมบุญตกใจ หันไปเห็นจำเรียงที่ถือกระบอกน้ำกับข้าวห่อใบบัวยืนอยู่ทางด้านหลัง
       “แม่จำเรียงน่ะเองมาไม่ให้สุ้มให้เสียงเลย”
       “ฉันเห็นว่าบ่ายคล้อยแล้ว สมบุญยังไม่ได้กินกระไร เลยเอาข้าวเอาน้ำมาให้ แต่ถ้าสมบุญติฉันเช่นนี้ ฉันกลับก็ได้” จำเรียงทิ้งค้อนอย่างน้อยใจแล้วหันหลังกลับ
       สมบุญรีบขวางไว้
       “พิโธ่พิถัง แม่จำเรียงจ๋า อย่าเพิ่งโกรธกันเลย ฉันหาได้หมายความเช่นนั้นไม่”
       สมบุญจับมือจำเรียงไว้แล้วยิ้มกรุ้มกริ่ม
       “แม่จำเรียงเอาข้าวเอาน้ำมาให้ มีรึ ฉันจะติได้ มีแต่จักดีใจเท่านั้น”
       สมบุญจับมือจำเรียงขึ้นมาจะจูบ แต่จำเรียงดึงมือออกก่อน สมบุญเลยพลาดไปด้วยความเสียดาย
       “ถ้าเช่นนั้น ก็รีบมากินข้าวกินปลาเถิด จะได้กลับไปเฝ้าไข้พี่เสมาเสียที พี่เสมาเจ็บครานี้หนักนัก ฉันเป็นห่วงเหลือเกิน”
       ขณะนั้นเองก็มีคนๆหนึ่งเดินเข้ามายืนอยู่ทางด้านหลังของจำเรียง เมื่อรู้สึกตัว จำเรียงหันกลับไปมอง ปรากฏว่าเป็นดวงแขนั่นเอง
       “เสมาเจ็บหนัก เป็นกระไร”
       สมบุญ และจำเรียงต่างนึกไม่ถึงว่าจะเจอดวงแขที่นี่

       ดวงแขกำลังนั่งมองเสมาที่นอนป่วยอยู่ด้วยน้ำตาไหลอาบแก้ม ดวงแขเอื้อมมือไปจับใบหน้าที่ร้อนผ่าวด้วยพิษไข้สูงนึกสงสารเสมาจับใจ สมบุญยืนอยู่ใกล้ๆเมื่อเห็นดวงแขร้องไห้ก็แปลกใจ
       “แม่หญิง เหตุใดถึงร้องไห้เล่า สงสารพี่เสมารึ”
       “สงสารก็ข้อหนึ่ง แต่น้อยใจก็เป็นอีกข้อหนึ่ง คิดดูเถิดเสมาเจ็บหนักถึงเพียงนี้ แต่ฉันกลับไม่รู้เลย ไม่ว่าฉันเพียรพยายามเท่าใด เสมาก็หาเคยเห็นฉันในสายตาไม่” ดวงแขพูดพลางเช็ดน้ำตา
       ดวงแขร้องไห้ออกมาอีกอย่างกลั้นไม่อยู่ เบือนหน้าหลบสายตาสมบุญ ซับน้ำตาไปมา สมบุญจับตามองดวงแขอย่างจับสังเกต

       เอื้อยแตงมองห่อยาห่อใหญ่สองห่อในมืออย่างชั่งใจ เป็นความรู้สึกเดียวกับจำเรียงและสิน
       “ฉันว่าเอายาพวกนี้ไปทิ้งเถิด แม่หญิงดวงแขมากเล่ห์แสนกลนัก ดูแต่มิตรรักอย่างแม่หญิงเรไรซี แม่หญิงดวงแขยังทำได้ลงคอ แล้วจักไว้ใจให้พี่เสมากินยาพวกนี้ได้กระไร” สินพูดอย่างระแวง
       จำเรียงลังเลในคำพูดของสิน
       “แล้วแม่หญิงดวงแขจะทำร้ายพี่เสมาไปเพื่อกระไรเล่า ในเมื่อแม่หญิงมีใจให้พี่เสมา”
       “ก็ไม่แน่ดอก ไม่เคยได้ยินรึ รักมากยิ่งแค้นมาก หากแม่หญิงดวงแขเห็นว่าไม่อาจได้ใจพี่เสมาแล้วอาจพาลทำร้ายเอาก็เป็นได้” เอื้อยแตงว่า
       สินรีบสนับสนุนทันที
       “แน่แล้ว แม่เอื้อยแตงพูดถูกแน่แล้วทิ้งยาไปเสียเถิด”
       “แต่เพลานี้พี่เสมาเจ็บหนักทั้งแผลแลพิษไข้ หากไม่กินไม่ทายาแล้วจะหายได้กระไร หรือแม่เอื้อยแตงกับพ่อสินหายาให้พี่เสมาได้เล่า” จำเรียงถาม
       “หากหาได้ พวกเราจะหนักใจเช่นนี้หรือจำเรียง” เอื้อยแตงพูดอย่างหนักใจ
       จำเรียงดึงห่อยามาจากมือเอื้อยแตงแล้วตัดสินใจ
       “ถ้ากระนั้นฉันจะให้พี่เสมากิน”
       “แต่..” สินอึกอัก
       “ถ้าพี่เสมาไม่หายก็ไปคัดทหารไม่ได้ อย่างไรเราก็ต้องเสี่ยง” จำเรียงพูดตัดบท
       สินและเอื้องแตงชำเลืองมองหน้ากันด้วยสีหน้าไม่สบายใจ เพราะยังระแวงในตัวดวงแขอยู่
       “ฉันเคยเป็นทาสรับใช้แม่หญิงดวงแขมาก่อน แม่หญิงมีน้ำใจกับฉันนัก ฉันเชื่อว่าอย่างไรเสียก็ไม่คิดร้ายกับพี่เสมาดอก”
       จำเรียงเดินเลี่ยงไปทางหลังกระท่อม เพื่อต้มยาให้เสมา เอื้อยแตงและสินมองหน้ากัน ถึงจะไม่ค่อยเห็นด้วยแต่ก็ยอมรับว่าต้องเสี่ยงอย่างที่จำเรียงพูด

       สมบุญกำลังประคองเสมาลุกขึ้นนั่งเพื่อดื่มยากลางดึก ขณะที่สินคอยทายาที่แผลด้านหลังให้เสมา
       “เป็นกระไรบ้างพี่เสมา”
       เสมา พยักหน้าช้าๆด้วยความอ่อนเพลีย
       “ดีขึ้นมากแล้ว”
       “ยานี้ชะงัดนักกินเพียงสามครา ตกดึกก็ได้สติถึงกับลุกขึ้นนั่งกินยาได้เอง” สมบุญพูดด้วยสีหน้าดีใจ
       “ยาทาก็ดีเช่นกัน ไม่ทันไรแผลก็แห้งแล้ว” สินบอก
       “ขอบน้ำใจพวกเอ็งนักที่หาหยูกยาแลดูแลข้าเช่นนี้ หากไม่ได้พวกเอ็งมิแน่ว่าครานี้ข้าอาจไม่รอดแล้ว” เสมาพูดด้วยน้ำเสียงเนือยๆด้วยความอ่อนเพลีย
       สินและสมบุญหันไปสบตากัน
       “เรื่องดูแลไม่ผิดดอก แต่ยาพวกฉันไม่ได้เป็นคนหามาดอกจ้ะ” สินบอก
       “แล้วผู้ใดให้มาเล่า” เสมาถามด้วยความแปลกใจ
       “แม่หญิงดวงแขจ้ะ ยาพวกนี้เป็นของแม่หญิงดวงแขให้มาทั้งสิ้น” สมบุญบอก
       เสมาหน้าขรึมลง และรู้สึกผิดทันทีเพราะคิดได้ว่าถึงดวงแขจะร้ายอย่างไรแต่ก็ดีกับตนเสมอมา

       เวลาผ่านไปสองสามวัน ที่บริเวณท่าเรือท้ายวังในยามเช้า ดวงแขกำลังนั่งอยู่ที่ท่าน้ำเพื่อเตรียมใส่บาตร เสมาค่อยๆ เดินมาด้านหลังดวงแขแล้วนั่งลงข้างๆ ดวงแขหันกลับไปมอง นึกไม่ถึงว่าจะเป็นเสมา จึงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เสมายิ้มบางๆ
       “มิทราบว่าแม่หญิง จะเมตตาให้ข้าพระเจ้าใส่บาตรด้วยสักคนได้หรือไม่”
       “นี่เสมาหายแล้วรึยังไม่ถึงสามวันเลย” ดวงแขพูดอย่างดีใจ
       “ยังไม่หายสนิทดอก แต่ข้าพระเจ้าต้องไปคัดทหาร หากยังมีบุญอยู่บ้างก็คงได้กลับมารับใช้บ้านเมืองอีกครา”
       “แล้วเสมาหายเคืองฉันแล้วหรือ”
       “ข้าพระเจ้าจะโกรธเคืองผู้ที่ช่วยข้าพระเจ้าไว้ได้อย่างไร แม่หญิงมีคุณกับข้าพระเจ้านัก หากไม่ได้ยาของแม่หญิง อย่าว่าแต่ไปคัดทหารเลย แม้ชีวิตยังไม่รู้จักรักษาไว้ได้หรือไม่”
       ดวงแขรู้สึกดีใจที่เห็นว่าเสมามีความรู้สึกดีๆกับตัวเอง
       “ถ้ากระนั้น เสมาก็คงรู้แล้วว่าผู้ใดมีใจจริงให้เสมา”
       เสมาหน้าขรึมลงนิ่งเงียบไม่พูดอะไร ดวงแขหน้าบึ้งตึงขึ้นทันที
       “เหตุใดไม่ตอบ เสมาคงไม่ลืมดอกนะว่าแม่เรไรต้องออกเรือนกับพี่ขัน แล้วยังจะหวัง..”
       ดวงแขพูดยังไม่ทันจบ พระภิกษุรูปหนึ่งก็พายเรือผ่านมาทีท่าน้ำพอดี เสมาได้โอกาสรีบตัดบททันที
       “นิมนต์ขอรับ”

เสมากุลีกุจอเตรียมตัวใส่บาตร โดยไม่พูดกับดวงแขอีก ดวงแขรู้ว่า เสมายังตัดเรไรไม่ขาดแต่ต่อหน้าพระก็ไม่กล้าพูดอะไรมาก ได้แต่ยกมือไหว้พระแต่สีหน้ายังมีร่องรอยของความขุ่นเคืองอยู่
เช้าสายวันเดียวกัน ขันและพุฒผลักประตูออกมาจากกระท่อมของสมบุญ หลังจากที่เข้าไปแล้วไม่เจอเสมาโดยมีสมบุญ กับจำเรียงยืนรออยู่หน้ากระท่อม

       “อ้ายเสมาอยู่ที่ใด พวกเอ็งซ่อนตัวมันไว้รึ” พุฒตะคอกใส่ทันที
       สมบุญยิ้มกวนๆแล้วว่า
       “เหตุใดต้องซ่อน พี่เสมามีขาจะเดินไปที่ใดก็สุดแต่ใจพี่เสมา ข้าจะห้ามได้กระไร”
       “ถ้าอ้ายเสมาหายแล้วก็ต้องไปเกี่ยวหญ้าเลี้ยงช้าง”
       “ถ้าเอ็งอยากจับตัวพี่เสมาก็ไปตามจับตัวที่วังหน้าเถิด” สมบุญพูดแล้วยิ้มเยาะ
       “วังหน้า อ้ายเสมาไปทำกระไรที่วังหน้า” ขันถามขึ้นอย่างแปลกใจ
       จำเรียงยิ้มแย้มแล้วบอกสีหน้าระรื่น
       “พระพุทธเจ้าอยู่หัวองค์น้อย ทรงมีรับสั่งให้คัดเลือกทหาร พี่เสมาก็เลยไปร่วมคัดด้วย หากได้เป็นทหารก็เสมือนได้พ้นโทษไม่ต้องเป็นตะพุ่นอีกต่อไป คงไม่ต้องรบกวนออกขุนทั้งสองมาตามไปเกี่ยวหญ้าอีกแล้ว”
       ขันและพุฒตกใจกลัวว่าเสมาจะกลับมาเป็นทหารเลยจะรีบไปตามจับตัวทันที
       แต่ทันใดนั้น สมบุญก็เป่าปากให้สัญญาณ ทหารกลุ่มหนึ่งพร้อมอาวุธครบมือก็ออกจากที่ซ่อนมาล้อมขัน และพุฒไว้ทันที ขันและพุฒรีบชักอาวุธออกมาทันที
       “นี่มึงทำกระไรอ้ายสมบุญ พวกกูเป็นขุนมึงเป็นแค่หัวพันคิดจะทำร้ายกูเชียวรึ สั่งทหารของมึงหลบไปประเดี๋ยวนี้” ขันตะคอก
       “หลบได้อย่างไร ทหารของข้าต้องจับกบฏก่อน”
       “พวกกูน่ะรึกบฏ มึงปากพล่อยไปแล้วอ้ายสมบุญ” พุฒว่า
       “ก็พวกเอ็งคิดจะไปขัดขวางไม่ให้พี่เสมาคัดทหารไม่ใช่รึ”
       “ทุกคราออกขุนทั้งสองต้องมีทหารมาด้วย แต่วันนี้กลับมาแค่สองคน ย่อมแสดงว่าฟ้าดินอยากให้ออกขุนทั้งสองพักอยู่ที่นี่สักครู่ เสร็จการคัดเลือกเมื่อใดก็ค่อยกลับเถิด”
       ขันและพุฒแค้นมากที่เจอสมบุญและจำเรียงย้อนเอาเช่นนี้ แต่พวกตนอยู่ท่ามกลางวงล้อมของทหารสมบุญ และสมบุญเองก็เก่งไม่เบาจะตีหักออกไปก็ไม่ใช่เรื่องง่ายจึงต้องยอมจำนนแต่โดยดี

       ที่บริเวณหน้าวัง ยามสาย ชายหนุ่มมากมายถืออาวุธเตรียมจะมาคัดเลือกเป็นทหาร พันจิตรกำลังคุยกับสินอยู่
       “กฎก็ไม่มีกระไรมากดอก เพียงแต่สู้กับทหารรักษาวังให้ได้หนึ่งยก เพียงเท่านี้ก็ได้เป็นทหารแล้ว” พันจิตรบอก
       สินยิ้มดีใจแล้วบอก
       “เช่นนั้น พี่เสมาของฉันได้เป็นทหารแน่”
       “อย่าเพิ่งดีใจไปพันทิพ ทหารรักษาวังแต่ละคนฝีมือร้ายนัก ยิ่งขุนจำนงรักษาด้วยแล้ว ถือเป็นยอดฝีมือของวังหน้าเลยเทียว”
       ขณะนั้นเอง ขุนจำนงก็เดินเข้ามาหาพันจิตร
       “พันจิตรเสน่หา เจ้ามาทำกระไรที่นี่ เหตุใดไม่ไปจัดเตรียม..” ขุนจำนงถาม
       ขุนจำนงชะงักไปเมื่อเจอสิน ทั้งคู่ต่างจำกันได้ เลยเขม่นกันทันที ขุนจำนงเห็นเครื่องแบบของสินเลยรู้ว่าเป็นทหารพลางยิ้มเล็กน้อยทักทาย
       “เป็นหัวพันนี่เองมิน่าเล่า ฝีมือถึงดีเช่นนี้”
       “แล้วที่ท้าไว้เล่าจะประลองกันเมื่อใดดี” สินพูดพลางยิ้มท้าทาย
       “วันนี้ข้าเป็นคนคัดเลือกทหารคงไม่เหมาะนัก แต่เอ็งไม่ต้องกังวลไป เมื่อเป็นทหารเช่นกัน ย่อมได้เจอกันอีกเป็นแน่ ถึงเวลานั้นเอ็งอย่าหนีก็แล้วกัน”
       ขุนจำนงพูดแล้วก็เดินเลี่ยงไป
       “นี่พันทิพรู้จักขุนจำนงรักษาด้วยรึ” พันจิตรถามขึ้นด้วยความแปลกใจ
       สินยิ้มเล็กน้อยแล้วบอก
       “นี่หรือขุนจำนงรักษา ควรแล้วที่เป็นยอดฝีมือของวังหน้า แต่ฝีมือก็เพียงคู่คี่กับฉันเท่านั้นดอก ยังห่างชั้นจากพี่เสมานัก”
       สีหน้าของสินพอใจและมั่นใจว่าเสมาต้องชนะแน่

       ในยามบ่าย ณ บริเวณฝึกดาบ ชายหนุ่มคนหนึ่งที่มาคัดเลือกกับทหารที่เป็นคนสอบต่างคุกเข่าถวายบังคมสมเด็จพระเอกาทศรถ ที่ประทับนั่งอยู่ในพลับพลาชั่วคราว สมเด็จพระเอกาทศรถ ทรงจิบน้ำดูการประลองด้วยพระพักตร์ยิ้มแย้ม ดีพระทัยที่มีคนสนใจอยากเป็นทหาร
       ทหารคนหนึ่งเอากะลาเจาะรูวางในอ่างน้ำ … การประลองเริ่มต้นนับแล้ว ชายหนุ่มที่มาคัดเลือกกับทหารนคนสอบต่างลุกขึ้นประลองฝีมือคัดทหารกันอย่างดุเดือด ผลการประลองฝีมือ ทหารที่เป็นคนสอบเล่นงานชายหนุ่มที่มาคัดเลือ จนถอยร่น ก่อนจะเอาดาบพาดคอชายหนุ่ม ทำให้ชายหนุ่มแพ้ไป
       ทหารคนที่เอากะลาวางในอ่างน้ำพูดเสียงดังขึ้น
       “ไม่ครบยก คัดไม่ผ่าน”
       ทหารกับชายหนุ่มคุกเข่าลงถวายบังคมก่อนจะเดินเลี่ยงไป ชายหนุ่มเดินไปด้วยท่าทีซึ่งเสียดายมาก
       ผ่านเวลาการคัดเลือกแบบนี้อีกหลายครั้ง โดยเปลี่ยนทหารหมุนเวียนกันมาทดสอบ บางคนก็ผ่าน
       หลายคนก็ตกไป แต่พอขุนจำนงเป็นคนสอบจะใช้ทวนเป็นอาวุธและลงมือหนักจนชายหนุ่มที่เข้าคัดเลือก เลือดตกยางออก บาดเจ็บไปตามๆกัน
       เสมามองขุนจำนงอย่างไม่พอใจที่ลงมือหนักเหมือนรังแกกัน ขณะนั้นเอง พันจิตรก็เดินเข้ามาหาเสมาด้วยสีหน้าเครียด
       “โชคไม่ใคร่ดีนัก เจ้าต้องสู้กับขุนจำนงรักษา ยอดฝีมือแห่งวังหน้า”
       “ขุนจำนงรักษา คนที่ใช้ทวนน่ะรึ” เสมาถาม
       “ถูกแล้ว ฝีมือทวนของขุนจำนงนับเป็นเอก เจ้าต้องสู้ด้วยอาวุธอื่นอย่าใช้ทวนสู้ด้วยเป็นอันขาด”
       เสมาพยักหน้ารับแล้วว่า
       “ฝีมือทวนท่านขุนผู้นี้นับว่าเป็นเลิศจริง แต่ลงมือหนักนัก ผู้ที่สู้ด้วยไม่มีใครคัดผ่านแม้แต่คนเดียว”
       ขณะนั้นผู้ที่เข้าคัดเลือกก็แพ้ไปอีกคน
       “ไม่ครบยกคัดไม่ผ่าน คนต่อไปตะพุ่นหญ้าช้างเสมา ผู้สอบขุนจำนงรักษา” ทหารพูดเสียงดัง
       พอบอกว่าเป็นตะพุ่นหญ้าช้างมาทดสอบก็เรียกเสียงหัวเราะครึกครื้นไปทั่ว เพราะทุกคนต่างดูถูกอาชีพนี้พลางคิดกันว่า เสมาไม่เจียมตัวเป็นแค่ตะพุ่นกลับมาทดสอบเป็นทหาร
       เสมาและขุนจำนง เดินออกไปหน้าที่ประทับ แล้วคุกเข่าถวายบังคม
       “อ้ายตะพุ่น เอ็งจักใช้อาวุธกระไรรึ” ขุนจำนงถาม
       “ทวนขอรับ”
       ขุนจำนงกระหยิ่มยิ้มย่องที่เสมาใช้อาวุธที่ตนถนัดมาสู้กับตน พันจิตรถอนใจส่ายหน้าทันทีที่เสมาไม่เชื่อในคำพูดที่แนะนำไว้
       ทหารเอาทวนมาให้เสมากับขุนจำนง ทหารวางกะลาลงในอ่างน้ำ ทั้งคู่ถวายบังคมอีกครั้ง ก่อนจะเริ่มสู้กันทันที
       เสมาชิงบุกก่อนควงทวนรุกไล่ขุนจำนง ขุนจำนงประมาทเจอเสมาบุกหนัก เลยต้องตั้งรับเป็นพัลวัน พอตั้งหลักได้ก็บุกสู้ทันที แต่เสมาฝีมือเหนือกว่า สู้กันด้วยเพลงทวนไม่กี่กระบวน เสมาก็รุกไล่จนขุนจำนงต้องหนีเอาตัวรอดอย่างทุลักทุเล
       ขุนจำนงยิ่งโมโหหนักใช้ท่าไม้ตายบุกใส่ชนิดเลือดเข้าตา เสมาบุกสู้กลับต่างฝ่ายต่างไม่มีใครยอมถอย แต่สู้กันได้ซักพัก เสมาก็ใช้ทวนของตน ปัดทวนของขุนจำนงจนหลุดจากมือ ก่อนจะใช้ปลายทวน
       ชี้หน้าขุนจำนงเป็นการแสดงชัยชนะ ท่ามกลางความเงียบกริบ เพราะไม่มีใครคิดว่าเสมาจะชนะ
       ทหารรีบดูกะลา ปรากฏว่ากะลายังไม่จม ขุนจำนงเป็นฝ่ายแพ้ทั้งๆที่ไม่ครบยกด้วยซ้ำ เล่นเอาทหารงงเพราะไม่เคยเจอแบบนี้
       “ไม่ครบยก คัดผ่าน”
       เสมาคุกเข่าก้มลงไหว้ขุนจำนงเป็นการขอขมา
       “เอ็งอำพรางฝีมือ หากข้าไม่ประมาท ข้าไม่แพ้เอ็งดอก” ขุนจำนงพูดด้วยความแค้น
       “แต่แรก ข้าพระเจ้าไม่คิดเอาชำนะ ตั้งใจสู้ให้ครบยกเพื่อเป็นทหารเท่านั้น แต่ขุนท่านลงมือหนักนัก ทำร้ายคนบาดเจ็บหลายคน ข้าพระเจ้าจึงจำต้องสำแดงฝีมือให้ปรากฏไว้ ขอขุนท่านอภัยด้วยเถิด”
       เสมาไหว้ขมาอีกทีก่อนจะลุกขึ้นเดินเลี่ยงไป ขุนจำนงมองตามด้วยแววตาแห่งความเจ็บแค้นเต็มเปี่ยม
       สมเด็จพระเอกาทศรถทรงแย้มสรวลด้วยความพอพระทัย ในฝีมือของเสมาอย่างมาก

หมายเหตุ - กะลาเจาะรูวางลงในอ่างน้ำ เป็นการจับเวลาหนึ่งยกในสมัยโบราณ ถ้าน้ำซึมเข้ากะลาจนจมลงสู่ก้นอ่างเมื่อไหร่ ถือว่าเป็นหนึ่งยก

       สมเด็จพระนเรศวรกำลังตรัสกับสมเด็จพระเอกาทศรถด้วยสีพระพักตร์แจ่มใส โดยมีพันจิตรเสน่หาคุกเข่าอยู่ใกล้ๆ เมื่อเพลงเย็นในพระราชวัง สมเด็จพระนเรศวรทรงพระสรวลเสียงดัง
       “พี่เคยเห็นดาบสองมือของอ้ายตะพุ่นมาแล้ว แต่ไม่นึกว่าเชิงทวนของมันก็ร้ายกาจไม่เบา มิเสียแรงที่น้องเมตตาช่วยเหลือมัน”
       “นั่นเป็นเพราะพระราชมนู ทูลเรื่องคราต้องโทษให้ฟัง ข้าพระพุทธเจ้าจึงแน่ใจว่าข่าวที่อ้ายตะพุ่นเสมาเป็นคนอกตัญญูเป็นเพียงเรื่องมุสาเท่านั้น”
       พระนเรศวรพยักพระพักตร์ด้วยความเข้าพระทัย
       “แลอ้ายเสมาต้องไปเป็นตะพุ่นหญ้าช้างได้รับความลำบากยากแค้นไม่น้อย คงได้คิดขึ้นบ้าง ข้าพระพุทธเจ้าจึงเห็นควรที่จักช่วยเหลือสักครา” สมเด็จพระเอกาทศรถตรัส
       พันจิตรยิ้มแหยแล้วกราบบังคมทูล
       “ใต้ฝ่าพระบาท น่าจะบอกข้าพระพุทธเจ้าก่อน ว่าเจ้าตะพุ่นเสมา เป็นคนเดียวกับหลวงโจมจัตุรงค์ที่ร่ำลือกัน ข้าพระพุทธเจ้าเผลอเป็นห่วง แลแนะเชิงการต่อสู้ไปไม่น้อย คิดแล้วอายนัก”
       “ข้าต้องปิดเจ้าไว้เพราะอยากดูน้ำใจอ้ายเสมา แลจักยืมมือมันสั่งสอนเจ้าขุนจำนงสักครา เจ้าขุนจำนงมีฝีมือแลความซื่อสัตย์ แต่หยิ่งยโสนัก ควรที่จักมีคนปราบให้ละพยศเสียบ้าง”
       สมเด็จพระนเรศวรตรัสว่า
       “น้องทำถูกแล้ว ครานี้เราได้คนดีมีฝีมือมาเพิ่มไม่น้อย ควรที่จะให้พระเจ้าแปรได้รู้ฝีมือคนอโยธยาเสียบ้าง”

       ภายในตำหนัก เมื่อเวลาหัวค่ำ เรไรกำลังสนทนาอยู่กับบัวเผื่อนด้วยความดีใจ
       “ว่ากระไรนะ เสมาได้กลับเป็นทหารแล้วรึ”
       บัวเผื่อนยิ้มดูถูก
       “ได้ยินไม่ผิดดอก เสมาพ้นจากตะพุ่นได้กลับเป็นทหารแล้ว แต่เพียงแค่ทหารเลวเทียมนั้น แลยังต้องเกี่ยวหญ้าให้ช้างกินระหว่างศึกอีก หาได้ดีกว่าเดิมสักเท่าใดไม่”
       “เพียงแค่นี้ก็ดีมากแล้ว อย่างน้อยก็ไม่ต้องมีศักดิ์เสมอทาสอีก”
       ขณะนั้นเอง ดวงแขก็เดินเข้ามาหาเรไร
       “อย่ามัวคำนึงถึงศักดิ์ผู้อื่นจนลืมศักดิ์ของตนเสียเล่าแม่เรไร หญิงจักงามก็ด้วยความสัตย์ซื่อ แม่คงรู้ดีกระมัง”
       เรไรชักสีหน้าไม่พอใจ
       “แล้วฉันทำสิ่งใดให้แม่ดวงแขเห็นว่าไม่สัตย์ซื่อรึ”
       “หากไม่มีก็ดี เพราะอีกไม่นานแม่เรไรก็ต้องออกเรือนกับพี่ชายฉันแล้ว ฉันไม่อยากให้ผู้ใดนินทาว่าร้ายเอาได้”
       “นี่ได้ฤกษ์แต่งแล้วหรือ แหม เพิ่งหมั้นไปไม่นานนัก หวังว่าแต่งครานี้คงไม่ล่มอีกกระมัง” บัวเผื่อนพูดด้วยความอยากรู้อยากเห็น
       “ไม่ดอก เพราะได้แก้เคล็ดตามคำท่านอาขุนรามแล้ว งานแต่งครานี้ต้องราบรื่นเป็นแน่” พูดแล้วดวงแขก็ใช้หางตาเหล่ๆ มองมาทางเรไร
       เรไรสีหน้าเครียดหนัก แม้จะทำใจไว้แล้วแต่ก็ยังไม่อยากแต่งงานกับขันอยู่ดี

       ในเวลาเช้า หลวงรามเดชะกำลังคุยกับขันด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสโดยมีลำภูนั่งอยู่ใกล้ๆ
       “ฤกษ์ครานี้สะดวกด้วยกันทั้งสองฝ่าย แล้วอาจะขัดได้อย่างไรเสร็จศึกเมืองแปรคราวนี้ พ่อขันก็เตรียมงานได้เลย”
       ขันดีใจมากรีบไหว้หลวงรามเดชะทันที
       “ขอบพระคุณท่านอามากขอรับ ข้าพระเจ้าจะเตรียมงานให้ใหญ่โต สมศักดิ์แม่หญิงเรไรเลยขอรับ”
       “ข้อนั้นอาไม่ห่วงดอก ขอเพียงดูแลน้องให้ดี อาก็ดีใจมากแล้ว แล้วเหตุใดพ่อขันถึงได้เร่งรีบมาบอกเรื่องฤกษ์แต่เช้าเช่นนี้เล่า หรือเพิ่งได้ฤกษ์มา” ลำภูพูดยิ้มแย้ม
       ขันหน้าเสียทันที
       “นั่นก็ข้อหนึ่งขอรับ แต่ที่เป็นสำคัญคืออ้ายเสมาได้กลับเป็นทหารแล้ว”
       หลวงรามเดชะและลำภูผงะไปเล็กน้อย
       “ข้าพระเจ้าเกรงว่าอ้ายเสมาจะไม่ละอาฆาต ทำให้งานล่มอีก จึงอยากเร่งให้เสร็จโดยเร็วขอรับ”
       หลวงรามเดชะและลำภู ชำเลืองมองหน้ากันด้วยความนึกไม่ถึงว่า เสมาที่ตกต่ำลงไปเป็นตะพุ่นหญ้าช้างจะได้กลับมาเป็นทหารอีกครั้ง

       เสมารับดาบแสนศึกพ่ายจากมือพันอิน โดยมีศรีเมืองอยู่ใกล้ๆ
       “จักมีสักกี่คนกันที่ตกต่ำไปเป็นตะพุ่นหญ้าช้างแล้วได้กลับมาเป็นทหารอีก นี่ถ้าพ่อไม่เห็นกับตาคงไม่เชื่อเป็นอันขาด”
       ศรีเมืองพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้มดีใจ
       “นั่นซีจ๊ะพ่อ พี่เสมาเกิดมาเพื่อเป็นทหาร มิว่าจะตกต่ำไปเป็นกระไรก็ตามก็ต้องกลับมาเป็นทหารอยู่ดี”
       เสมายิ้มรับแล้วชักดาบแสนศึกพ่ายออกมาดู รู้สึกเหมือนเจอเพื่อนสนิทอีกครั้ง เสมายิ้มบางๆ เก็บดาบเข้าฝักแล้วพูดหยันตัวเอง
       “ยังเป็นเพียงแต่ทหารเลวเท่านั้นดอก หามียศศักดิ์เหมือนแต่ก่อนไม่”
       “พ่อเองก็ไต่เต้ามาจากนั้นเช่นกัน จนได้เป็นขุนพิมานมงคลเช่นวันนี้ เจ้าเองอย่าได้ท้อใจเลย จงพากเพียรไปเถิด สักวันคงได้ยศศักดิ์กลับคืนมา” พันอินบอก

       เสมาคุกเข่าลงกราบที่ตักพันอิน
       “พระคุณที่พ่อช่วยเหลือแลสอนสั่งลูกนั้นหาที่สุดมิได้แล้ว เสมาหาได้สนใจในยศศักดิ์ไม่ จะขอออกรบเพื่อฉลองคุณชาติแลฉลองคุณของพ่อท่านสืบไป”
       พันอินลูบหัวเสมาด้วยความปลาบปลื้มใจ ศรีเมืองมองเสมาด้วยความชื่นชม ดีใจกับเสมาไปด้วย

       ในเวลาต่อมา ศรีเมืองเดินมาส่งเสมาซึ่งสะพายดาบแสนศึกพ่ายมาถึงหน้าเรือนแล้วพูดด้วยความเป็นห่วงพันอิน
       “ถ้าอย่างไรฉันฝากพ่อท่านด้วยนะจ๊ะพี่เสมา พ่อท่านสูงวัยแล้วใจจริงฉันไม่อยากให้ไปศึกเลย”
       “จะต้องฝากกระไรกันพ่อเจ้าคนเดียวเสียที่ไหน พ่อขุนพิมานก็เป็นพ่อของพี่ด้วยเช่นกัน”
       ศรีเมืองค่อยๆ ถอดแหวนออกยื่นให้เสมาด้วยท่าเขินอาย
       “พี่เสมาจ๊ะ ฉันให้จ้ะ แหวนนี้พ่อท่านได้จากพระธุดงค์เมื่อตอนไปศึกคราแรก ท่านให้ฉันใส่ติดตัวไว้แต่เล็กเพื่อคุ้มครองฉัน ฉันจึงอยากให้พี่ใส่ไว้จักได้คุ้มครองพี่อีกคน”
       “ขอบน้ำใจเจ้านักแม่ศรีเมือง”
       เสมารับแหวนมาก็หน้าจ๋อยลงเมื่อนึกถึงความหลัง
       “แม่หญิงเรไรก็เคยถอดแหวนให้พี่เช่นนี้ พี่ยังเก็บไว้เพื่อเป็นมงคลแก่ตัว นึกไม่ถึงเลยว่าวันหนึ่งต้องมาหมางเมินกันไปเช่นนี้”
       ศรีเมืองหน้าจ๋อยลงไปทันที ไม่ว่าจะทำอะไรเสมาก็คิดถึงเรไรตลอดเวลา จนศรีเมืองอดน้อยใจไม่ได้ ที่บนเรือน พันอินยืนมองทั้งคู่อยู่ด้วยสีหน้าเคร่งขรึมอย่างใช้ความคิด

       ศรีเมืองเดินซึมๆ กลับขึ้นเรือนมา
       “เจ้ามีใจให้เสมาใช่หรือไม่”
       เสียงพันอินที่ดังขึ้นทำให้ศรีเมืองตกใจเล็กน้อย พันอินจ้องหน้าศรีเมืองนิ่ง
       “ตอบพ่อมาตามจริงเถิด”
       ศรีเมืองหน้าขรึมลงก่อนจะพยักหน้าช้าๆ
       “ลูกมีใจชอบพอพี่เสมามานานแล้ว แต่พี่เสมาเห็นลูกเป็นเพียงน้องสาว แม้จะคลาดจากแม่หญิงเรไร แต่ในใจของพี่เสมาก็ยังคงมีแต่แม่หญิงเพียงคนเดียว”
       “ถ้ากระนั้นพ่อถามอีกข้อ เหตุที่เสมาลวนลามเจ้าเมื่อหลายปีก่อน เป็นเสมามันเหิมเกริมจนทำชั่วหรือเจ้าพร้อมใจเอง”
       ศรีเมืองตกใจ
       “มิใช่นะจ๊ะ มิใช่ทั้งสองข้อ เรื่องนี้พ่อท่านเข้าใจผิดแต่ต้น พี่เสมาไม่ได้กระทำชั่ว แลลูกก็ไม่ได้ทำเช่นกัน จะให้ลูกไปสาบานที่ใดก็ได้จ้ะ”
       “ไม่ต้องสาบานดอก พ่อเชื่อคำเจ้า เพราะเรื่องนี้พ่อจึงผิดใจกับเสมาเสียนาน พ่อคลายสงสัยแล้วไม่มีกระไรแล้วหล่ะ เจ้าไปเถิด” พันอินพูดพลางถอนหายใจ
       “เจ้าค่ะ”
       ศรีเมืองเดินเลี่ยงไป พันอินหน้าขรึมลงและมองตามศรีเมืองไปด้วยความเป็นห่วง
       “พ่อจะอยู่ดูแลเจ้าได้อีกสักเท่าใดกัน ขอให้พ่อได้ชดเชยให้เจ้าบ้างเถิดศรีเมือง”
       สีหน้าของพันอินกำลังใช้ความคิดจะทำอะไรบางอย่าง

       เรไรยืนอยู่คนเดียวที่ศาลาท่าน้ำในยามบ่าย ชั่วอึดใจดวงแขก็เดินเข้ามาในศาลา ทั้งคู่หันไปมองกัน ต่างฝ่ายต่างชะงัก ดวงแขปั้นยิ้ม
       “คิดไม่ถึงว่าจะเจอแม่เรไรที่นี่ จะไปที่ใดรึ”
       “ฉันรอแม่บัวเผื่อนอยู่ เสด็จรับสั่งให้ฉันกับแม่บัวเผื่อนไปช่วยงานบุญเรือนคุณหญิงเกื้อ”
       ดวงแขหน้าเสียทันที
       “แม่บัวเผื่อนไปงานเรือนคุณหญิงแสแล้ว เสด็จเลยให้ฉันไปแทน แต่ฉันหารู้ไม่ว่าแม่เรไรจะไปด้วย”

เรไรอึ้งไปเหมือนกันต่างกระอักกระอ่วนที่ต้องร่วมงานกัน





Create Date : 22 พฤษภาคม 2555
Last Update : 22 พฤษภาคม 2555 12:31:39 น. 0 comments
Counter : 2141 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

atitaya_t
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




สวัสดีค่ะ ขอร่วม gang ด้วยคนค่ะ
Friends' blogs
[Add atitaya_t's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.