เก็บความทรงจำ..(^_^)..ความสนใจ โลกส่วนตัว ที่เราสร้างเอง
Group Blog
 
 
พฤษภาคม 2555
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
22 พฤษภาคม 2555
 
All Blogs
 
ขุนศึก ตอนที่ 10-4


ภายในบ้าน เรไรกำลังคุยกับพิณ โดยมีลำภูนั่งหน้าบึ้งตึงอยู่ใกล้ๆ
       “ไม่ผิดแน่นะพิณ ไม่มีการประหารเกิดขึ้นแน่นะ”
       “เจ้าค่ะ บ่าวสืบมาอย่างดีแล้ว ไม่มีผู้ใดถูกประหารทั้งนั้น เพียงแต่หลวงโจมถูกปลดต้องไปเป็นตะพุ่นหญ้าช้างเท่านั้นเจ้าค่ะ”
       “เอาเถิด อย่างไรก็ยังดีกว่าตายมากนัก”
       “เป็นตะพุ่นน่ะรึดี ที่แม่เรไรเคยมีใจให้ช่างเหล็กแม่ก็แทบอกแตกตายมาคราหนึ่งแล้ว นี่คงไม่คิดมีใจให้ตะพุ่นหญ้าช้างอีกดอกนะ” ลำภูปรามเล่นเอาเรไรหน้าเสีย
       “ไม่ดอกเจ้าค่ะแม่ท่าน ลูกเพียงแต่ดีใจที่ไม่มีใครต้องตายเพียงนั้น แต่ลูกรับปากแม่กับพ่อท่านแล้ว ว่าจะหมั้นกับขุนณรงค์ ลูกไม่ผิดคำพูดดอกเจ้าค่ะ”
       ลำภูยิ้มอารมณ์ดีขึ้นแล้วพลางนึกขึ้นได้
       “ได้เช่นนั้นก็ดี เอ๊ะ พูดถึงพ่อเจ้าแล้วเหตุใด ป่านฉะนี้พ่อเจ้ายังไม่กลับ มีผู้ใดรู้บ้างว่า คุณหลวงไปที่ใด”
       เรไรหันไปมองพิณ พิณส่ายหน้า
       “ไม่ทราบได้เจ้าค่ะ” เรไรว่า
       ลำภูแปลกใจ ที่จู่ๆสามีก็หายไป

       บริเวณกลางป่า ลูกน้องของพุฒกับลูกน้องของขุนรามเดชะกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด พุฒยืนคุมเชิงดูลูกน้องอยู่ แต่เนื่องจากพวกพุฒมีคนน้อยกว่าสู้กันได้ซักพักก็เริ่มเสียเปรียบ พุฒคุมเชิงทนไม่ไหวเลยชักกระบี่คู่มือออกไล่ฟาดฟันลูกน้องขุนรามเดชะ ขณะนั้นเอง รามเดชะกับลูกน้องอีกกลุ่มก็เดินเข้ามาสมทบแล้วตวาดลั่น
       “หยุดประเดี๋ยวนี้ ล้วนเป็นทหารสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทั้งสิ้น ห้ามสู้กันเองเป็นอันขาด”
       ลูกน้องทั้งสองฝ่ายได้ยินรามเดชะตวาดห้าม เลยต่างถอยออกมาคุมเชิง
       “นึกว่าโจรจากที่ใด ที่แท้ ก็ออกหลวงรามเดชะนี่เอง” พุฒว่า
       ขุนรามเดชะไม่พอใจที่พุฒพูดเช่นนั้น
       “ระวังปากไว้บ้างขุนวิเศษ อย่านึกว่าฉันไม่รู้ว่าอ้ายเสมามันตั้งใจยกดาบแสนศึกพ่ายให้ฉันเพื่อสนองคุณอยู่แล้ว แต่เจ้ากลับใช้เล่ห์ชิงตัดหน้าไปเยี่ยงนี้ ผู้ใดเป็นโจรกันแน่”
       “ออกหลวงกล่าวอ้างเอง มีพยานรึ แต่อ้ายเสมายกดาบให้ฉัน คนในคุกหลวงเห็นกันทั้งสิ้น”
       “เจ้าใช้กระบี่เป็นอาวุธ แล้วจะเอาดาบสองมือไปทำกระไร”
       “ออกหลวงก็ใช้ดาบมือเดียว แล้วจะเอาไปทำกระไรเล่า”
       ขุนรามเดชะและพุฒต่างมองหน้ากันด้วยความโมโหแบบไม่มีใครยอมใคร ขุนรามเดชะพยายามสงบสติอารมณ์
       “พูดกันเช่นนี้ ก็รังแต่จะวิวาทกันเปล่าๆ เอาเช่นนี้เถิด เราแบ่งดาบกันคนละเล่ม เจ้าเห็นเป็นเช่นไร” ขุนรามเดชะว่า
       พุฒไม่พอใจ แต่รู้ว่าทะเลาะกันไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น
       “เช่นนั้นก็ได้ ต่างเป็นทหาร ฉันก็ไม่อยากทะเลาะกันให้มีผิดติดตัวดอก”
       ขุนรามเดชะยิ้มพอใจก่อนจะเดินไปที่หลุมซึ่งพวกพุฒขุดค้างไว้อยู่
       “เฮ้ย พวกเอ็งเร่งมาช่วยขุนวิเศษขุดหาดาบซีวะ”
       ลูกน้องรามเดชะ ลูกน้องพุฒรีบเข้ามาช่วยกันขุด
       พุฒ และขุนรามเดชะมองดูลูกน้องช่วยกันขุดด้วยสีหน้ายิ้มแย้มมีความหวัง อยากได้ดาบแสนศึกพ่ายสุดๆ

       พันอินกำลังหัวเราะชอบใจและกำลังคุยกับเสมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
       “สมน้ำมะหน้านัก ต้องตรากตรำไปไกลถึงป่าโตนดแล้วยังต้องขุดดินกันเสียทั้งคืนอีก สงสัยป่านฉะนี้หลวงรามเดชะกับขุนวิเศษ คงเอวยอกเอวเคล็ดไปแล้วกระมัง”
       “เป็นเพราะพ่อท่านเตือนข้าพระเจ้าไว้ก่อน ข้าพระเจ้าจึงคิดแผนนี้ขึ้นดัดหลัง แต่แรกกะจะแกล้งอ้ายพุฒเท่านั้น ไม่คิดเลยว่าออกหลวงรามจักต้องมาลำบากไปด้วย”
       พันอินยิ้มแย้มแล้วว่า
       “ดีแล้ว เสียทีเป็นผู้ใหญ่กลับไม่ละความโลภ ต้องโดนเสียบ้าง”
       ศรีเมืองเดินยิ้มแย้มถือดาบแสนศึกพ่ายมาให้เสมา
       “นี่จ้ะพี่เสมา ดาบแสนศึกพ่ายของพี่”
       เสมารับดาบมา
       “ขอบน้ำใจเจ้านัก แม่ศรีเมือง”
       เสมาดึงดาบออกมาดู แล้วยิ้มพอใจที่ดาบคู่มือได้กลับมาสู่มือตนอีกครั้ง

       เสมา นึกถึงเหตุการณ์เมื่อสองวันก่อน ...
       เสมาก้มลงกราบพันอิน โดยมีศรีเมืองยืนหน้าเศร้าๆอยู่ใกล้ๆ
       “บาปกรรมอันใดที่ข้าพระเจ้าได้ล่วงเกินพ่อท่านไว้ ขอจงเมตตาอภัยให้เสมาเถิด”
       พันอินเศร้าใจลูบหัวเสมาด้วยความเอ็นดู
       “พ่ออโหสิสิ้นแล้ว ไม่เช่นนั้น คงไม่มาหาเจ้าถึงในคุกดอก เสมาเอ๋ย แต่เดิมเรารักใคร่นับถือกันดีแต่ต้องมาผิดใจกันเพราะเรื่องเจ้าศรีเมือง หากไม่นับเรื่องนี้ เจ้าเป็นบุตรที่นำแต่ความปีติมาให้พ่อโดยแท้ ไม่ควรต้องจบชีวิตลงเช่นนี้เลย”
       ศรีเมืองดินเข้าไปคุกเข่าไหว้เสมา น้ำตาคลอ
       “พี่เสมาจงเป็นสุขด้วยใจสงบเถิด ศรีเมืองนี้หาคาดไม่ จึงอนาถนักว่าพี่จะต้องมาด่วนตาย” ศรีเมืองร้องไห้สะอึกสะอื้น
       เสมายิ้มบางๆ แล้วว่า
       “แม่อยู่หลังจนจำเริญยิ่งๆเถิด อนึ่ง พ่อท่านนับวันจะชรานักแลว้าเหว่ขาดผู้ปรนนิบัติอยู่ พี่คงต้องฝากเจ้าดูแลแล้ว หากสองเราจักเคยขุ่นข้องหมองใจอยู่ด้วยสถานใดก็อโหสิเสีย”
       “น้อยหนึ่งก็หามีมิได้นะพี่เสมาเอ๋ย ขอพี่วางใจเถิด”
       เสมาหันไปพูดกับพันอิน
       “พ่อท่าน ฉันไม่มีสมบัติใด นอกจากดาบแสนศึกพ่าย จึงอยากจะยกให้พ่อท่าน”
       พันอินรีบปรามและมองไปรอบๆ จนแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่จึงพูดเบาๆกับเสมา
       “อย่าอึงไปเสมา พ่อมีเรื่องจะบอกเกี่ยวกับดาบแสนศึกพ่าย”
       เสมาแปลกใจว่า พันอินจะบอกตนเรื่องอะไร

       เสมายิ้มแย้มเก็บดาบเข้าฝัก แล้วยื่นดาบให้พันอิน
       “ข้าพระเจ้าต้องไปเป็นตะพุ่นหญ้าช้าง ไม่รู้อีกนานเท่าใดจะได้ใช้ดาบคู่นี้อีก รบกวนฝากไว้กับพ่อท่านก่อนเถิด”
       พันอินรับดาบมาสีหน้าเครียด
       “ตะพุ่นหญ้าช้างเป็นงานหนักนัก เจ้าเองอดทนให้มากไว้ หากยังไม่สิ้นวาสนาคงได้กลับมาเป็นทหารฉลองคุณชาติอีก”
       “ข้าพระเจ้าไม่หวังกระไรมากแล้วด้วยผิดที่นำไพร่พลไปตายนั้นหนักนัก เพียงแต่เป็นตะพุ่นหญ้าช้างก็ถือว่าดีมากแล้ว” เสมาพูดหน้าเศร้า
       “แต่ขุนณรงค์ยังไม่ละอาฆาต ขนาดพี่เสมามีศักดิ์เหนือกว่ายังจ้องทำร้ายเช่นนี้ แล้วเป็นตะพุ่นหญ้าช้างจะโดนเพียงใด นี่ฉันก็ได้แต่ภาวนาว่าหากขุนณรงค์หมั้นกับแม่หญิงเรไรแล้ว จะลดริษยาลงได้บ้าง”
เสมามีสีหน้าเศร้าสลดขึ้นมาทันทีเมื่อนึกถึงเรื่องนี้
ภายในบ้านขุนรามเดชะ ลำภูกับทาสหญิงคนหนึ่งกำลังช่วยกันประคองขุนรามเดชะที่อยู่ในอาการเอวเคล็ดเนื่องจากการไปขุดดินหาดาบคู่ของเสมา เดินออกมาหาขันและอำพันที่นั่งรออยู่

       “ออกหลวง นี่เจ็บป่วยได้ไข้รึ เป็นกระไรเล่า” อำพันพูดด้วยน้ำเสียงตกใจ
       “เอวเคล็ดน่ะแม่อำพัน ฉันขุดดินมากไปจนทั้งยอกทั้งได้ไข้”
       “แปลกนัก ขุนวิเศษก็ขุดดินจนได้ไข้เช่นกัน มิรู้ว่าเหตุใดต้องมาขุดดินพร้อมกันเพลานี้” ขันพูดขึ้นอย่างแปลกใจ
       ขุนรามเดชะหน้าเจื่อนไปก่อนจะรีบเปลี่ยนเรื่องพูดคุย
       “เอ่อ แล้วพ่อขันกับแม่อำพันมีกระไรรึ ถึงมาเยือนฉันถึงเรือน”
       อำพันสีหน้ายิ้มแย้ม
       “ฉันได้ฤกษ์หมั้นของพ่อขันกับแม่เรไรมาแล้ว จึงมาถามความเห็นออกหลวงกับแม่ลำภูว่าเห็นควรประการใด”
       “จะต้องมาถามกระไรอีก ฉันอยากให้หมั้นวันนี้ พรุ่งนี้เสียด้วยซ้ำ” ลำภูพูดแล้วยิ้มแย้ม
       ขันมีสีหน้าลุ้นยิ้มดีใจ
       “แล้วแม่หญิงเรไรเล่าขอรับ ท่านอาหญิงพอจะรู้หรือไม่ ว่าแม่หญิงเรไรคิดเห็นเช่นไร

       ยามบ่าย เรไรนั่งอยู่ที่ท่าน้ำบ้านขุนรามเดชะ สีหน้าดูเศร้าสร้อยคุยกับพิณอยู่
       “ฉันจะคิดเช่นไรได้ เมื่อรับปากพ่อท่านแล้วฉันก็คงต้องหมั้น”
       “แต่แม่หญิงไม่ได้รักขุนณรงค์ไม่ใช่หรือเจ้าคะ”
       “ฉันเคยตามใจตัว ดื้อรั้นกับพ่อแม่ท่าน เพื่อชายที่ฉันรักมามากแล้ว แต่สุดท้าย มิเพียงได้ชั่วติดตัวยังชักนำภัยมาสู่พ่อท่านอีก แล้วฉันยังจะดื้อรั้นได้อีกรึพิณ”
       “แม่หญิงอโหสิให้หลวง... เอ่อ ตะพุ่นเสมาแล้วไม่ใช่หรือเจ้าคะ แล้วเหตุใดยังคิดถึงเรื่องเก่าอีกเล่าเจ้าคะ”
       “อโหสิคือไม่เคียดแค้นชิงชัง แต่ไม่ใช่ลืมนะพิณ อย่างไรเสีย เสมาก็เป็นคนให้ร้ายพ่อท่านให้ต้องโทษ พ่อท่านก็ยืนยันเอง แลเสมายังทำตัวเจ้าชู้หลายใจอีกแล้วจะให้ฉันไว้ใจได้อีกรึ”
       “แต่...”
       “พอเถิด ฉันรู้ว่าเจ้ารักฉัน ไม่อยากให้ฉันออกเรือนกับคนที่ไม่ได้สมัครใจรักใคร่ แต่ฉันทำให้พ่อแม่ท่านได้ทุกข์มามากแล้ว ขอให้ฉันได้แสดงกตัญญูด้วยการออกเรือนกับคนที่พ่อแม่ท่านเห็นควรเถิด” เรไรพูดตัดบท
       พิณไม่เห็นด้วย แต่เห็นเรไรแน่วแน่ก็ได้แต่นิ่งเงียบไป สีหน้าเห็นอกเห็นใจนายหญิงมาก เรไรมีสีหน้าเศร้าหมองลงไปอีก แต่เรไรตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว

       ในเวลาเดียวกันที่วัดพุทไธสวรรย์ เสมา สินและสมบุญ กำลังก้มลงกราบพระครูขุน
       “ขอบพระคุณหลวงตาเหลือเกินขอรับ หากไม่ได้หลวงตาช่วย ป่านฉะนี้อ้ายเสมาคงหัวขาดไปแล้ว” เสมาพูดขึ้น
       “มิใช่เพราะข้าคนเดียวดอก แต่เพราะพระเมตตาของสมเด็จแต่ละพระองค์ด้วย เออ แล้วเอ็งยังผูกสมัครรักใคร่กับบุตรสาวหลวงรามเดชะอยู่อีกหรือไม่”
       “คงไม่แล้วขอรับ” เสมาหน้าเศร้าลง
       “อ้าว ก็พี่บอกว่าแม่หญิงอโหสิให้แล้วไม่ใช่ว่าคืนดีกันแล้วรึ” สินถามขึ้นด้วยความแปลกใจ
       “เปล่าดอก เพียงแต่ไม่ติดใจอาฆาตกันแล้ว แต่คงกลับไปเป็นเช่นเดิมไม่ได้อีก ยิ่งเพลานี้ข้าเป็นเพียงตะพุ่นหญ้าช้างศักดิ์เสมอทาส แล้วยังจะกล้าใฝ่ปองแม่หญิงให้มัวหมองได้กระไร”
       พระครูขุนพยักหน้ารับ
       “เอ็งรู้การควรแลไม่ควรเช่นนี้ก็ดีแล้ว ถึงเอ็งจะเป็นตะพุ่นหญ้าช้าง แต่ก็ใช่จะร้ายไปเสียหมดด้วยเอ็งทำงานเพียงกึ่งเดือน เพลาว่างมีมากขึ้น ถ้าอย่างไรก็มาฝึกปรือเพลงอาวุธเพิ่มกับข้าเถิด จะได้ชำนาญยิ่งขึ้น”
       “อย่างพี่เสมา ยังต้องฝึกอีกหรือขอรับหลวงตา”
       “นอกจากดาบสองมือแล้ว อาวุธอื่นเพียงนับว่าเข้าขั้น แต่ยังไม่นับว่าเจนจบดอก ครานี้ข้าจะได้ถ่ายทอดให้สิ้นความรู้เสียที”
       “ถ้ากระนั้น ข้าพระเจ้ากับอ้ายสิน ขอฝึกปรือเพิ่มได้หรือไม่ขอรับหลวงตา” สมบุญว่า
       “ได้ซี แต่เอ็งสองต้องฝึกอาวุธคู่มือให้ลึกซึ้งกว่านี้เสียก่อน ข้าถึงจะถ่ายทอดวิชาอาวุธอื่นให้”
       เสมา สิน และสมบุญดีใจรีบก้มลงกราบพระครูขุน

       เวลาผ่านมา .เสมาฝึกปรือการใช้อาวุธต่างๆ ทั้งดั้ง เขน ทวน กระบี่ ฯลฯ แม้กระทั่งมวยไทยก็มีทบทวนฝึกปรือเพิ่มเติม โดยเสมาฝึกต่อหน้าพระพุทธรูปใหญ่ ดูเข้มขลัง จริงจัง
       เสมา สิน และสมบุญหาบน้ำไปเทใส่โอ่งของวัดเพื่อฝึกความแข็งแรงของร่างกาย โดยมีพระครูขุนคอยดูแล
       เสมาฝึกกระบอง สินฝึกทวน สมบุญฝึกดาบสองมืออยู่ที่หน้าน้ำตก
       ที่ลานวัด เสมาใช้ผ้าปิดตา แล้วให้สิน สมบุญรุมเข้ามาเป็นการฝึกต่อสู้ในที่มืดซึ่งไม่เห็นคู่ต่อต่อสู้
       เสมา สิน และสมบุญ ฝึกวิชามวยกับครูมวยพร้อมศิษย์จำนวนมากที่ลานศักดิ์สิทธิ์สวยงามของวัดอย่างตั้งอกตั้งใจ โดยมีพระครูขุนยืนดูการฝึกอย่างพอใจ

       เจ็ดแปดวันผ่านไป ในเวลากลางวันที่ท้องพระโรงหงสาวดี มีพระเจ้าแปร และขุนนางสำคัญเข้าเฝ้าเต็มไปหมด บนบัลลังก์กลับว่างเปล่า เพราะพระเจ้านันทบุเรงไม่ได้ออกว่าราชการ พวกขุนนางต่างมองหน้ากัน ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ยิ่งพระเจ้านันทบุเรงไม่ออกว่าราชการ หงสาวดีก็ยิ่งตกต่ำลงทุกที
       ขุนนางคนหนึ่งทนไม่ไหวกล่าวว่า
       “นี่พระพุทธเจ้าอยู่หัวยังไม่เสด็จออกว่าราชการอีกรึ หงสาวดีจะลุกเป็นไฟอยู่แล้ว”
       “ท่านอย่ากล่าวเช่นนั้นเลย พระองค์ทรงพระประชวร การสิ่งใดอดทนได้ก็อดทนไปก่อน” ขุนนางคนที่สองเอ่ยขึ้นอย่างหน้าเครียด
       “แต่เพลานี้อำนาจของอโยธยากล้าแข็งขึ้นทุกที ทั้งหัวเมืองล้านนา สิบเก้าเจ้าฟ้าไทยใหญ่ แม้กระทั่งพระเจ้าเชียงใหม่ก็ยังหันไปพึ่งพระบารมีขององค์สมเด็จพระนเรศ หากปล่อยไว้หงสาวดีต้องมีภัยเป็นแน่” ขุนนางอีกคนบอก
       พระเจ้าแปรลุกขึ้น ปรามทุกคนว่า
       “ พวกท่านไม่ต้องกังวล เรายังอยู่ ไหนเลยจะยอมให้ราชบัลลังก์ของสมเด็จพ่อมีอันตราย นับแต่นี้ต่อไป หากมีเรื่องเร่งด่วนกระไร จงมาบอกเรา”
       พวกขุนนางหันไปมองหน้ากันต่างดีใจที่พระเจ้าแปรออกหน้าแทน ขุนนางทุกคนต่างถวายบังคม
       “รับด้วยเกล้าพระพุทธเจ้าข้า”
       พระเจ้าแปรทรงแย้มสรวลพอใจที่เรียกความเชื่อมั่นของเหล่าขุนนางได้

หมายเหตุ พระเจ้าแปรเป็นลูกภรรยาน้อยของพระเจ้านันทบุเรง อายุน่าจะน้อยกว่าพระนเรศวร

       ภายในห้องพระบรรทม พระเจ้านันทบุเรง ทรงประชวรหนักจนเพ้อเพราะพิษไข้
       “ลูกพ่อ...อย่าเพิ่งไป รอพ่อด้วย...เจ้า เจ้าทำร้ายลูกข้า ข้าจะฆ่าเจ้า ฆ่าให้หมดสิ้น”

       หลังจากที่พระมหาอุปราชาสิ้นพระชนม์ พระเจ้านันทบุเรงทรงเสียพระทัยมาก ทรงประชวรต่อเนื่อง ขาดการออกว่าราชการ จนเป็นเหตุให้อำนาจของหงสาวดีตกต่ำลงไปเรื่อยๆ บรรดาเมืองขึ้นต่างคิดตั้งตนเป็นอิสระ จนนำความแตกแยกครั้งใหญ่มาสู่อาณาจักรพุกามอีกครั้ง

       พระเจ้าแปรกำลังเดินคุยมากับสมิงมะตะเบิดอยู่ภายในสวนของกรุงหงสาวดี
       “สมเด็จพ่อทรงรักเจ้าพี่มังกะยอชวามาก ถึงกับส่งข้าไปปกครองเมืองแปร เพื่อไม่ให้เป็นเสี้ยนหนามกับเจ้าพี่ แต่เพลานี้ไม่มีเจ้าพี่แล้ว สมเด็จพ่อก็ทรงประชวรบ่อย แล้วแผ่นดินจะควรเป็นของผู้ใด ถ้าไม่ใช่ข้า” พระเจ้าแปรว่า
       สมิงมะตะเบิดยิ้มเห็นด้วย
       “แต่ข้าพระพุทธเจ้าได้ยินมาว่า เมืองอังวะกับเมืองตองอูก็คิดตั้งตนเป็นใหญ่เช่นกัน ดูท่า หมดอำนาจหงสาเมื่อใดคงไม่มีผู้ใดยอมอยู่ใต้อำนาจผู้อื่นเป็นแน่”
       “ถ้ากระนั้น ข้าก็ต้องมีชัยเหนือองค์พระนเรศแห่งอโยธยาให้จงได้ ด้วยทุกผู้คนต่างหวาดกลัวองค์พระนเรศเหมือนหนูกลัวแมว ถ้าข้าเอาชำนะองค์พระนเรศได้ ทุกเมืองย่องต้องอยู่ภายใต้พระราชอำนาจแห่งข้า”
       “ข้าพระพุทธเจ้าขออาสา ลอบปลงพระชนม์องค์พระนเรศ เมื่ออโยธยาสิ้นองค์พระนเรศเมื่อใด พระองค์ก็ทรงกรีธาทัพบุกอโยธยา ย่อมเอาชัยได้อย่างง่ายดาย”
       พระเจ้าแปรหัวเราะชอบใจ
       “สมิงมะตะเบิดเจ้าเป็นทหารเอกคู่บารมีข้า เมื่อเจ้าอาสาข้าก็หมดห่วงด้วยแผ่นดินนี้จะหาผู้ใดมีฝีมือเสมอด้วยเจ้าเป็นไม่มี”
       สมิงมะตะเบิดยิ้มภูมิใจ เพราะตั้งแต่ออกศึกมายังไม่เคยแพ้ใครมาก่อนเหมือนกัน

       เสมาพร้อมด้วยตะพุ่นหญ้าช้างคนอื่นๆ กำลังช่วยกันเกี่ยวหญ้าให้ช้างกิน ท่ามกลางแดดร้อนเปรี้ยงๆ งานตะพุ่นหญ้าช้างเป็นงานหนัก เพราะช้างศึกมีนับพันเชือก และช้างแต่ละเชือกก็กินเยอะ ตะพุ่นแต่ละคนจึงต้องทำงานหนักมาก
       เสมาเกี่ยวหญ้า เหงื่อโทรมกาย แต่ก็ไม่ได้หยุดพักผ่อน
       เสมาเอาหญ้า กล้วย อ้อยที่หาได้จำนวนมากแบกใส่บ่ามาให้ช้างกิน ขณะกำลังดูแลช้างก็เห็นทหารกลุ่มหนึ่งกำลังฝึกเพลงดาบกันอยู่
       เสมายืนมองทหารด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย คิดถึงชีวิตทหารสุด แต่คงยากที่จะกลับไปเป็นทหารอีกครั้ง
       เสมากำลังขี่ช้างพาไปอาบน้ำ ขณะนั้นสายตาก็เหลือบไปเห็นตะพุ่นหญ้าช้างคนอื่นมีคนรัก ลูกเมีย เอาข้าวห่อใบตองมาให้กินด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส เสมามองคนอื่นมีความสุข แต่ตนเองกลับอ้างว้างเดียวดาย ไม่มีใครข้างกาย
       ที่โรงเลี้ยงช้างตอนกลางคืน เสมานอนเฝ้าช้างศึกสีหน้าเต็มไปด้วยความทุกข์ใจกับชะตาชีวิตที่็ตกต่ำ เสมาน้อยใจในวาสนาของตัวเอง ความอัดอั้นตั้นใจที่มีอยู่ทำให้น้ำตาลูกผู้ชายไหลซึมออกมา เสมาปาดน้ำตาออกอย่างรวดเร็ว ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนหนุนกองหญ้ากองฟางด้วยสีหน้าหม่นหมองอมทุกข์

       ผ่านเวลาไปอีกเจ็ดแปดวัน ระหว่างที่เสมากำลังขนหญ้ามาให้ช้างกินอยู่ก็มีคนๆหนึ่งมายืนตรงหน้าตน
       เสมาเงยหน้าขึ้น ดวงแขยืนอยู่ตรงหน้านั่นเอง ดวงแขพูดอย่างน้อยใจสุดๆ
       “รู้หรือไม่ว่าฉันดีใจเพียงใดที่รู้ว่าเสมารอดตายมาได้ แล้วเหตุใด เสมาถึงปล่อยให้ฉันรอเกือบกึ่งเดือน ยังไม่ยอมมาให้เห็นหน้ากันบ้าง”
       เสมาหน้าจ๋อยๆไป
       “ขอบน้ำใจแม่หญิงนักที่เมตตาข้าพระเจ้า แต่เพลานี้ข้าพระเจ้าเป็นเพียงตะพุ่นหญ้าช้าง หาใช่หลวงโจมจัตุรงค์ดังแต่ก่อนไม่ แม่หญิงอย่ามาใกล้ชิดข้าพระเจ้าให้มัวหมองเลย”
       “นี่เสมาเห็นฉันเป็นคนถือยศถือศักดิ์ ดูถูกเสมาในคราตกต่ำรึ เมื่อเสมามองฉันเป็นคนเช่นนั้น ฉันจักได้รู้ไว้” ดวงแขพูดน้ำตาคลอเบ้า
       “หามิได้แม่หญิง ข้าพระเจ้าไม่เคยคิดชั่วเช่นนั้น แต่ข้าพระเจ้าทูนแม่หญิงไว้ในที่สูงมาแต่ไหนแต่ไร จึงไม่อยากให้เสื่อมเสีย”
       “หากคิดแต่ร่วมสุขแล้วทอดทิ้งกันยามทุกข์ ยังจะถือว่าจริงใจต่อกันได้รึ ฉันเกิดเป็นหญิงจะพูดสิ่งใดจากปากก็ยากนัก แม้จะแย้มให้เป็นนัยก็ยังอายเหลือ แต่ขอให้เสมารู้ไว้เถิด ว่าฉันมีแต่ใจที่จริงแท้ให้เสมา”
       เสมาซึ้งใจ ค่อยๆจับมือดวงแขไว้
       “เป็นบุญของข้าพระเจ้านัก ในยามที่ข้าพระเจ้าสิ้นยศศักดิ์มีแต่คนดูแคลน ยังมีแม่หญิงดวงแขอีกหนึ่งคนที่เป็นดั่งดวงประทีปให้ข้าพระเจ้า”
       เสมาค่อยๆดึงดวงแขเข้ามากอดอย่างทะนุถนอม ดวงแขซบออกเสมาด้วยความสุขใจ ดวงแขคิดว่า ความเพียรพยายามมานานในที่สุดก็ได้ใจเสมามาเป็นของตัวเองเสียที รอยยิ้มเจือบนริมฝีปากดวงแขอย่างมีความสุข
       “เสมาไม่ต้องกลัว ฉันจะไม่ทำเช่นแม่เรไรเป็นอันขาด”
       เสมาชะงักไป
       “ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น ฉันก็จะไม่มีวันทอดทิ้งเสมาเป็นเด็ดขาด”
       พอดวงแขพอพูดถึงเรไร เสมาก็หน้าเสียทันที เพราะถึงอย่างไรก็ยังไม่อาจตัดใจจากเรไรได้ เสมาผละออกจากกอดดวงแข ยิ้มขอบคุณบางๆก่อนเลี่ยงไปขนหญ้าให้ช้างกินต่อด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
       ดวงแขมองตามเสมาไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้มปลาบปลื้มใจ

       เอื้อยแตงเก็บของกำลังจะลงจากเรือนโดยมีแต้มยืนซึมๆอยู่ที่หน้าเรือน
       “เหตุใดยืนตัวเปล่า ไม่มีข้าวของรึพ่อ”
       “ข้าวของข้ามีไม่กี่ชิ้น ทยอยขนไปเรือนอ้ายเสมาจนสิ้นแล้ว จักเหลืออะไรอีกวะ”
       แต้มถอนหายใจแล้วพูดต่อ
       “แต่แรก หวังจะพึ่งพาอ้ายเสมา แต่มันกลับตกไปเป็นตะพุ่นหญ้าช้างยังต่ำกว่าข้าเสียอีก ไม่รู้เวรกรรมกระไรของข้า”
       “เหตุใดพูดเช่นนี้เล่าพ่อ ถึงเค้าจักตกต่ำปานใด แต่เราก็เป็นฝ่ายไปอาศัยเรือนเค้าอยู่ แล้วดูถูกเจ้าเรือนเช่นนี้จะถูกรึ”
       แต้มหงุดหงิดที่เอื้อยแตงขัดคอเลยเดินเลี่ยงไปด้วยความไม่พอใจ
       แต้มเดินมาถึงหน้าบ้าน เห็นชาวบ้านกลุ่มหนึ่งกำลังจับกลุ่มคุยกันจึงเดินเข้าไปหา
       “มีกระไรกันรึ” แต้มถามขึ้นอย่างสนใจ
       “ก็คุณหลวงที่ได้พระราชทานที่ดิน จนพวกเราต้องย้ายออกจากเรือนน่ะซี มาเดินตรวจตราที่ดิน” ชาวบ้านคนหนึ่งบอก
       แต้มมองตามอย่างไม่พอใจ เห็นรามเดชะกับลูกน้องกำลังเดินตรวจตราที่ดินซึ่งได้พระราชทานมาเป็นศักดินา
       “อ้อ อ้ายนี่เองรึ ที่ทำให้ข้าต้องย้ายออกจากเรือน ขอดูหน้าให้เต็มตาทีเถิดวะ”
       แต้มเดินเมียงๆมองๆเข้าไป จังหวะนั้นเอง รามเดชะหันมามองแต้ม ทั้งคู่ต่างชะงักไปคลับคล้ายคลับคลาว่า เคยเห็นอีกฝ่ายที่ไหน
       แต้มชะงักหยุดกึก ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าใครแล้วมองขุนรามเดชะด้วยสีหน้าโกรธเคือง ก่อนจะรีบเดินหนีไปทันที ขุนรามเดชะมองตามด้วยความแปลกใจปนคลับคล้ายคลับคลา ขุนรามเดชะหันไปสั่งลูกน้อง
       “พวกเอ็งรอข้าอยู่ที่นี่ ประเดี๋ยวข้ามา”
       ขุนรามเดชะรีบเดินตามแต้มไปทันทีด้วยมีเรื่องความติดใจสงสัยค้างคาใจ

       แต้มเดินหนีมาที่ท้ายสวน น้ำตาคลอเบ้าด้วยความคับแค้นใจสุดๆ ขุนรามเดชะเดินตามหลังมา
       “ประเดี๋ยวก่อน เอ็งเป็นผู้ใดกัน กลับมาคุยกับข้าก่อน” เสียงขุนรามเดชะดังขึ้น
       แต้มขบกรามแน่นด้วยความคับแค้น ก่อนจะหันกลับมาจ้องหน้าขุนรามเดชะด้วยตาแดงกล่ำ ขุนรามเดชะเพ่งมองหน้าแต้ม แล้วก็ต้องตกใจสุดๆ เมื่อจำได้ว่าแต้มเป็นใคร
       “พ่อแต้ม นี่พ่อแต้มเองรึ”
       “ออกหลวงยังจำข้าพระเจ้าได้อีกรึ ช่างเป็นบุญของข้าพระเจ้าหนักหนา” แต้มพูดน้ำตาคลอด้วยความแค้นใจ
       ขุนรามเดชะถึงกับหน้าเสีย
       “พ่อแต้มอย่าประชดประชันพี่เลย น้องคงโกรธที่พี่ทิ้งเจ้าไปกระมัง”
       แต้มถอนใจแรงๆ พร้อมเบี่ยงหน้าหนี ขุนรามเดชะพยายามอธิบาย
       “เพลานั้น พี่ออกรบจนบาดเจ็บ พอรักษาตัวหายพี่ก็รีบกลับเรือน แต่เรือนเราก็ไหม้เป็นเถ้าไปแล้ว พี่เพียรหาเจ้ากับพ่อแม่ท่านอยู่หลายปีจนนึกว่าพวกเจ้าตายไปหมดสิ้นแล้ว”
       “ออกหลวงท่านนึกไม่ผิดดอก ตอนกรุงแตก ฉันต้องพาพ่อแม่ท่านหลบหนี ทั้งลำบากทั้งหวาดกลัวเหลือ พ่อแม่ท่านล้มป่วยฉันก็หาหยูกยาไม่ได้จนพ่อแม่ท่านต้องตาย เหลือเพียงฉันที่ต้องเร่ขายเศษเหล็กเลี้ยงตัวทำเสื่อมเสียศักดิ์ตระกูลเพียงนี้ก็ไม่ต่างจากตายดอก”
       ขุนรามเดชะพูดน้ำตาคลอด้วยสงสารน้องกับพ่อแม่จับใจ
       “พี่ขอขมาเถิดพ่อแต้ม พี่รู้ตัวว่าชั่วนักที่ปล่อยให้เจ้ากับพ่อแม่ท่านต้องลำบากได้ยาก แล้วเพลานี้น้องอยู่ที่ใดรึ พี่จะได้ดูแลเจ้าเป็นการไถ่โทษ”
       “เรือนข้าพระเจ้าก็ถูกยึดเป็นบำเหน็จศึกของออกหลวงนั่นปะไร ออกหลวงเดินตรวจตราที่ดินเป็นนาน ยังไม่เห็นอีกรึ” แต้มพูดด้วยความเจ็บใจ
       ขุนรามเดชะถึงกับหน้าเสียแล้วรีบปั้นยิ้ม
       “ถ้ากระนั้น น้องก็ย้ายไปอยู่ที่เรือนพี่ซี บ้านพี่มีเรือนหลายหลัง น้องไปเลือกเอาสักเรือนเถิด ต่อไปภายหน้า พี่จะดูแลน้องให้อยู่สบายสมกับที่น้องต้องลำบากยากเข็ญมานาน”
       แต้มชะงักไป พอเห็นความสุขสบายอยู่แค่เอื้อมก็เริ่มโลภ จงใจมองข้ามความโกรธ ความน้อยใจในตัวขุนรามเดชะไป

       ภายในบ้านของเสมา ทุกคนกำลังคุยกันระหว่างกินข้าวกันเมื่อตอนเที่ยง สินตกใจที่รู้ข่าวจากเอื้อยแตง
       “แม่เอื้อยแตงน่ะรึ เป็นหลานของหลวงรามเดชะ”
       สิน สมบุญ จำเรียง และมั่นทุกคนคิดไม่ถึง
       “ฉันเองก็เพิ่งรู้เมื่อครู่นี้เอง ถึงตอนนี้ยังไม่อยากจะเชื่อเลย” เอื้อยแตงบอก
       “ถ้ากระนั้น แม่เอื้อยก็เป็นลูกผู้พี่ผู้น้องกับแม่หญิงเรไรน่ะซี” จำเรียงว่า
       เอื้อยแตงถอนหายใจอย่างเซ็งๆ ไม่รู้ว่าเรื่องราวของพลิกไปเป็นอย่างงี้ได้ไร ขณะนั้น แต้มก็เดินวางมาดขึ้นเรือนมาแล้วพูดเสียงดัง
       “นังเอื้อยแตงใช้ให้มาเก็บข้าวของแค่นี้ เหตุใดนานนักวะ”
       เอื้อยแตงเดินเข้าข้างในไปอย่างเซ็งๆ แต้มหันมามองมั่น แล้ววางมาดข่ม
       “อ้อ อยู่ด้วยรึพี่มั่น ฉันนึกว่ายังไม่กลับมาจากโรงเหล็กเสียอีก ที่แล้วมาฉันขอบน้ำใจพี่มากนะ”
       “ไม่เป็นกระไรดอก แล้วนี่เอ็งจะย้ายไปอยู่เรือนหลวงรามวันนี้เลยรึ” มั่นถามขึ้น
       “วันนี้ซีพี่ พี่หลวงของฉันท่านใจร้อนอยากให้มาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันเร็วๆ บ้านพี่หลวงรามมีเรือนหลายหลัง ท่านยกให้ฉันอยู่ต่างหากหลังหนึ่ง แล้วยังมีข้าทาสให้ใช้สอยอีก แหม ถ้ารู้ตัวเร็วกว่านี้ ฉันคงไม่ทนอยู่เรือนเก่าๆ แล้วก็เร่ขายเหล็กขึ้นสนิมพวกนี้ดอก” แต้มบอก
       มั่น จำเรียง สมบุญ และสินแทบกินข้าวไม่ลงเมื่อเห็นนิสัยของแต้มที่เริ่มเชิ่ดใส่ทุกคน กร่างเต็มที่และมองไปรอบๆเรือนของมั่นด้วยสายตาดูถูก ก่อนจะลงจากเรือนไป สมบุญคันปากหันไปพูดกับสิน
       “ขนาดยากจนต้องพึ่งพิงคนอื่น ปากคอยังร้ายกาจแล้วร่ำรวยขึ้นมาเช่นนี้ จะเป็นเช่นไรวะอ้ายสิน”
       สินรู้สึกกระอักกระอ่วนสุดๆ แต่อีกใจก็...
       “แต่ฉันสงสารแม่เอื้อยแตงมากกว่า เคยอยู่อย่างใจทำกระไรก็ได้ แล้วต้องไปอยู่ในบ้านเจ้าบ้านนาย พิธีรีตรองมากมายเช่นนั้นจะมีความสุขรึ”
สินพูดแล้วก็ถอนใจเฮือก


จบตอนที่ ๑o



Create Date : 22 พฤษภาคม 2555
Last Update : 22 พฤษภาคม 2555 12:26:00 น. 0 comments
Counter : 2255 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

atitaya_t
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




สวัสดีค่ะ ขอร่วม gang ด้วยคนค่ะ
Friends' blogs
[Add atitaya_t's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.