เก็บความทรงจำ..(^_^)..ความสนใจ โลกส่วนตัว ที่เราสร้างเอง
Group Blog
 
 
พฤษภาคม 2555
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
24 พฤษภาคม 2555
 
All Blogs
 
ขุนศึก ตอนที่ 13-1

ขุนศึก ตอนที่ ๑๓


วันรุ่งขึ้น เสมาเดินถือถาดใส่ดอกไม้มากับจำเรียงและดวงแข บรรยากาศในวัด ด้วยสวยงาม สงบ น่าศรัทธาเลื่อมใส จำเรียงสีหน้ายิ้มแย้ม

       “น่ายินดีนักที่ได้มาทำบุญทำกุศลพร้อมกันเช่นนี้ คราหน้าเรามาด้วยกันอีกนะจ๊ะ แม่หญิง พี่เสมา”
       “ฉันอยากมาทำบุญกับแม่จำเรียงอยู่แล้ว แต่ท่านขุนแสนศึกพ่ายมีราชการมากนัก คงไม่ว่างกระมัง”
       “เอ็งก็บอกมาก่อนเถิดจำเรียง ถ้าพี่ไม่ติดกระไรพี่ก็จะมาด้วย”
       จำเรียงยิ้มๆที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผน
       “เมื่อครู่ฉันเจอแม่จันทร์ ขอแวะไปทักทายสักหน่อยนะจ๊ะ พี่กับแม่หญิงรอฉันสักครู่เถิด”
       จำเรียงรีบเดินเลี่ยงเปิดโอกาสให้เสมากับดวงแขทันที
       เสมา และดวงแขเหล่มองกัน เสมายิ้มทักทาย
       “นับจากเสร็จศึกเมืองแปรก็ไม่ได้พบแม่หญิงเลย แม่หญิงอยู่จำเริญสุขดีกระมัง”
       ดวงแขมีท่าทางงอนเล็กน้อยด้วยความน้อยใจ
       “นึกว่าท่านขุนจักจำฉันไม่ได้เสียแล้ว วังหน้ากับตำหนักที่ฉันอยู่ก็ไม่ได้ไกลกัน แลมีราชการร่วมกันอยู่ แต่กลับไม่เคยเห็นท่านขุนเลย”
       “มีหรือที่ข้าพระเจ้าจะจำแม่หญิงผู้มีคุณไม่ได้ หากไม่ได้ยาของแม่หญิง เสมาคงไม่ได้ออกศึกจนเป็นขุนแสนศึกพ่ายเช่นนี้ดอก คุณของแม่หญิงอยู่ในใจเสมา มิเคยลืมเลย”
       ดวงแขยิ้มดีใจก่อนจะแกล้งปั้นหน้าบึ้ง
       “จริงรึอยู่ในวัดในวา ถ้าปดก็ระวังบาปกรรมเถิด”
       “เสียแต่ข้าพระเจ้ากลัวตาย ไม่เช่นนั้นคงผ่าหัวใจให้แม่หญิงดูแล้ว ว่าข้าพระเจ้าปดหรือไม่”
       “ราชองครักษ์ฝ่ายขวา พูดคำว่ากลัวตาย ช่างหน้าไม่อายเสียบ้างเลย” ดวงแขพูดขำๆ
       จำเรียงแอบดูเสมาและดวงแขอยู่เห็นว่า ทั้งคู่กำลังยิ้มขำก็ดีใจ เพราะอยากจับคู่ให้พี่ชายกับดวงแขจะได้ลืมเรไรเสีย

       ภายในบ้านพันอิน มั่นและพันอินกำลังกินหมากที่ศรีเมืองจัดมาให้อยู่ เสมาเดินขึ้นบันไดมาพอดี
       “อ้าว เจ้าเสมา มาแล้วรึ” มั่นทักขึ้น
       เสมาเดินเข้าไปคุกเข่า กราบที่ตักมั่นและพันอิน
       “ฉันไหว้จ้ะ พ่อ พ่อขุนพิมาน”
       “จำเริญสุขเถิดขุนแสนลูกพ่อ” พันอินพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
       ศรีเมืองไหว้เสมา เสมารับไหว้ เสมาหันไปคุยกับมั่น
       “เมื่อคืนพ่อหลับดีหรือไม่จ๊ะ”
       “ไม่ค่อยได้หลับเท่าใดดอก มัวแต่คุยเรื่องเก่าๆกับท่านขุนพิมานเสียจนดึกดื่น”
       มั่นหันไปสบตาพันอินก่อนจะพูดต่อ
       “วันนี้ไม่มีราชการไม่ใช่รึ อยู่กินข้าวกับท่านขุนพิมานแลแม่ศรีเมืองก่อนแล้วค่อยกลับเรือนเราเถิดนะ”
       “จ้ะพ่อ แต่ขากลับฉันรับปากไปเอาของให้จำเรียงที่ตลาด พ่อกลับเรือนพร้อมบ่าวไพร่ได้หรือไม่”
       “ได้ๆ ไม่เป็นกระไรดอก”
       พันอินสบจังหวะรีบเปิดโอกาสให้ศรีเมืองทันที
       “พี่มั่น เครื่องลายครามที่ฉันได้มาใหม่จากเมืองจีน พี่ยังไม่เห็นกระมัง ระหว่างรอสำรับข้าว เราไปดูกันก่อนเถิด”
       พันอินหันไปพูดกับเสมา
       “ขุนแสนไม่ต้องไปดอกนะลูก อยู่รอที่นี่คุยกับศรีเมืองไปก่อน”
       พันอินและมั่นพยักหน้าให้อย่างรู้กันแล้วเดินเข้าข้างในเพื่อเปิดโอกาสให้เสมาและศรีเมือง เสมานึกแปลกใจพูดกับตัวเองเบาๆ
       “รออีกแล้ว วันนี้พิกลนักมีแต่คนให้รอ”
       ศรีเมืองยิ้มแย้มแล้วยื่นพานใส่หมากให้
       “พี่เสมาจ๊ะ กินหมากสักคำซีจ๊ะ”
       “ขอบน้ำใจนักศรีเมือง”
       เสมาหยิบหมากที่ห่อเป็นคำๆในพานขึ้นเคี้ยวไปมา รสชาติอร่อยแปลกลิ้น
       “แปลกนัก พี่ไม่เคยลิ้มรสหมากเช่นนี้เลย”
       “พี่เสมาชอบหรือไม่”
       “ชอบซีถามได้”
       ศรีเมืองยิ้มปลื้มใจ
       “ฉันเพียรถามแม่ป้าอิ่มที่เป็นข้าหลวงประจำครัวอยู่นานแรมเดือน จนแกทนรำคาญไม่ไหวถึงได้เคล็ดลับมา”
       “ถ้าเช่นนั้นหากพี่อยากกินหมากรสนี้ขึ้นมาอีกจะทำเช่นใด มิต้องให้เจ้าไปอยู่ที่เรือนพี่รึ”
       ศรีเมืองเขินอายตีแขนเสมาเบาๆ
       “พี่เสมา พูดกระไร”
       เสมางงๆไม่เข้าใจว่าพูดอะไรผิด ในขณะที่ศรีเมืองคิดไปไกลแล้ว ได้แต่ขวยเขิน

       เสมากำลังเดินเลือกซื้อของอยู่เมื่อตอนบ่าย แต้มเดินทักทายคนในตลาดผ่านมา พอเห็นเสมาก็รีบเข้าไปหาทันทีแล้วยิ้มทักทาย
       “พ่อขุนแสน พ่อขุนแสนศึกพ่ายหลานอา แหมเป็นถึงราชองครักษ์ฝ่ายขวาแล้ว ยังมาเดินตลาดอีกรึ”
       เสมายกมือไหว้
       “ฉันไหว้จ้ะอาแต้ม”
       แต้มรับไหว้อย่างดีอกดีใจ
       “อาเพิ่งรู้ว่าพ่อขุนมาเป็นแม่กองฝึกทหารที่เรือน ไม่เช่นนั้น คงได้ทักทายกันเสียแต่เมื่อวานแล้ว นัง... เอ่อ เอื้อยแตงบ่นคิดถึงพ่อขุนนัก อยากพบปะเจอหน้าพ่อขุนเหลือ พ่อขุนว่างเมื่อใด อาจักได้ให้น้องไปหาที่เรือน”
       เสมารู้สึกประหลาดใจกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของแต้ม เพราะปกติแต้มเป็นคนเห็นแก่ตัว แต่วันนี้กับดีใจหาย
       “เอื้อยแตงก็ไปๆ มาๆเรือนฉันแต่ไหนแต่ไรแล้ว ไม่เห็นต้องรอฉันว่าง”
       “แต่ก่อนกับประเดี๋ยวนี้จะเหมือนกันได้อย่างไร เอาเช่นนี้เถิดอาจักให้เอื้อยแตง ไปหาพ่อขุนที่เรือนทุกวันก็แล้วกัน”
       “ทุกวัน” เสมาพูดด้วยเสียงตกใจปนงงเล็กน้อย
       “มีกระไรรึ”
       “เปล่า เปล่าจ้ะ”
       “ถ้ากระนั้น อาไปก่อนนะพ่อขุนแสน”
       เสมาไหว้ลา แต้มรับไหว้แล้วเดินเลี่ยงไปอย่างมีความสุข เสมามองตามด้วยสายตางุนงง
       ทันใดนั้น สินและสมบุญก็เดินเข้ามาหาเสมา
       “พี่เสมา ฉันตามหาพี่เสียทั่ว มาอยู่ที่นี่เอง” สินว่า
       “มีกระไรวะอ้ายสิน”
       สมบุญรีบชิงพูดขึ้นก่อน
       “พี่จำแม่หญิงน้อยที่เป็นนางข้าหลวงของพระมเหสีได้หรือไม่ ฉันรู้มาว่าพระเทพประสิทธิ์บิดาแม่หญิงน้อย พึงพอใจในตัวพี่นัก พี่ไปพบคุณพระกับแม่หญิงพร้อมฉันเถิด” สมบุญพยายามดึงแขนเสมาจะให้ไปด้วยกัน
       ฝ่ายสินก็รีบดึงแขนเสมาอีกข้างไว้แล้วบอก
       “อย่าพี่เสมา ไปกับฉันดีกว่า จีนเตียวที่เป็นพ่อค้าสำเภา มีลูกสาวคนเดียวชื่อแม่เฮียง ฉันแอบไปดูมาแล้ว งามนัก แลเค้าลือกันว่าจีนเตียวร่ำรวยมหาศาล มีทองคำฝังดินเป็นไหๆ แต่เฉพาะเรือก็ใหญ่โตราวเรือนท้าวพระยา พี่เสมาไปหาแม่เฮียงกับฉันเถิด”
       สมบุญไม่ยอมดึงแขนเสมาไว้
       “ข้าชวนพี่เสมาก่อนนะอ้ายสิน”
       สินยื้อยุดดึงแขนเสมาอีกข้าง
       “แต่ข้ามาถึงก่อนโว้ย”
       สมบุญและสินต่างฉุดแขนเสมาไปมา ไม่มีใครยอมใครจนเสมาชักฉุน
       “หยุด หยุดประเดี๋ยวนี้”
       สินและสมบุญแหยไปทันที แล้วยอมปล่อยแขนเสมา เสมาจ้องมองสินกับสมุบญตาเขียว

       ยามบ่าย ที่บ้านหลังใหม่ เสมากำลังโวยวายใส่สิน สมบุญ จำเรียง และมั่นทุกคนพากันจ๋อยไปหมด
       “ฉันสังหรณ์แล้วว่าต้องมีกระไรสักอย่าง นี่ริจะทำตัวเป็นพ่อสื่อแม่ชักกันหมดเลยรึ”
       “ไม่ใช่เรื่องผิดกระไรนี่ เพลานี้ เอ็งเป็นถึงขุนแสนศึกพ่าย มีศักดินาแลทรัพย์สมบัติมากมาย อย่างไรเสียก็ต้องหาแม่เรือนมาช่วยดูแล แล้วพ่อก็ไม่เห็นผู้ใดเหมาะควรไปกว่าแม่ศรีเมืองอีก แลขุนพิมานก็เห็นชอบด้วย ครานี้เอ็งไม่ต้องกลัวแล้ว” มั่นว่า
       “มิใช่แม่ศรีเมืองไม่ดีดอกนะพ่อ แต่ฉันเห็นว่าพี่เสมาควรจักได้เมียที่มีปัญญา จะได้เกื้อหนุนกันต่อไปในภายหน้าซึ่งจะหาใครดีเท่าแม่หญิงดวงแขเป็นไม่มี” จำเรียงว่าแย้ง
       “จะได้อย่างไร แม่หญิงดวงแขเป็นน้องอ้ายขันแลเจ้าเล่ห์แสนกลน่ากลัวนัก ที่พี่เสมาต้องแตกกับแม่หญิงเรไร ก็ไม่ใช่เพราะแม่หญิงดวงแขดอกรึ” สินสวนทันควัน
       “มีผู้ใดบ้างไม่เคยกระทำผิด มัวแต่ถืออาฆาตเช่นนี้จักถูกรึพันทิพ”
       “แต่ฉันว่าอย่างไรแม่หญิงน้อยก็ดีที่สุด พี่เสมา...” สมบุญพูดขึ้น
       “พอๆๆ ข้าไม่แต่งกับผู้ใดทั้งนั้น ที่เค้าเห็นข้าดี เพราะข้าเป็นขุนแสนศึกพ่ายต่างหาก หากข้าเป็นอ้ายเสมาช่างตีเหล็กหรือตะพุ่นหญ้าช้างซี จักมีคนเห็นหัวข้าหรือไม่ เช่นนี้ข้าไม่แต่งดอก” เสมาพูดตัดบท
       จำเรียงยิ้มกริ่ม มองเย้ยสิน สมบุญแล้วพูดขึ้น
       “ถ้ากระนั้นก็ไม่มีใครเหมาะควรเท่าแม่หญิงดวงแขแล้ว เพราะแม่หญิงชอบพอพี่แต่ครั้งพี่ยังตีเหล็กขายแสดงว่ามีใจจริงกับพี่”
       เสมาหน้าเจื่อน เถียงจำเรียงไม่ออก
       “แม่ศรีเมืองก็เช่นกัน ข้าไม่เคยเห็นแม่ศรีเมืองจะรังเกียจกระไรอ้ายเสมาเลย ไม่ว่าอ้ายเสมาจะเป็นช่างเหล็กหรือตะพุ่น” มั่นว่า
       “พ่อ จำเรียง เลิกพูดเรื่องนี้ทีเถิด ฉันยังไม่คิดออกเรือนดอก” เสมาว่า
       “ไม่คิดหรือยังตัดใจจากแม่หญิงเรไรไม่ได้กันแน่ พี่คงไม่ลืมดอกนะว่า แม่หญิงเรไรหมายหมั้นไปแล้ว ฉันไม่อยากให้พี่กับขุนณรงค์ต้องวิวาทกันอีกเพราะผู้หญิงคนเดียว” จำเรียงพูดขึ้น
       เสมาถึงกับหน้าเสียที่จำเรียงพูดจี้ใจดำ
       “ไม่เกี่ยวกับแม่หญิงดอก หากข้าตัดใจไม่ได้จริงจะไปอวยพรถึงเรือนรึ ข้ารำคาญจักพูดเรื่องนี้แล้ว ไปดูเทือกสวนไร่นาดีกว่า ได้บำเหน็จมาเป็นแรมเดือนยังไม่เคยเดินดูเลย”
       เสมาพูดตัดบทแล้วรีบเดินหนีลงจากเรือนไป
       จำเรียง มั่น สิน สมบุญหันมาเหล่มองกัน ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมแพ้ในเรื่องหาเมียให้เสมา

       ทาสชายกำลังพายเรือพาเรไรและเอื้อยแตงอยู่ในริมคลองที่ดูสงบร่มรื่น
       “หยุดๆ เทียบเรือตรงนี้ ฉันจะลงแล้ว”
       “แล้วเหตุใดจะลงตรงนี้ อีกไม่นานก็ถึงท่าน้ำหน้าบ้านแล้ว”
       “ไม่เอาดอก ฉันจะเข้าทางสวนด้านหลังจะได้ไม่ต้องเจอพวกหมื่นทะลุทะลวง พันสีแดงสีเขียวกระไรนั่น”
       “ตายแล้วแม่เอื้อย พูดกระไรเช่นนั้น เค้าชื่อหมื่นทะลวงศึกกับพันศรีเทพเรียกให้ถูกซี แล้วเค้าไปทำกระไรให้รึ แม่เอื้อยแตงถึงไม่อยากพบหน้า”
       “ก็ไม่ได้ทำกระไรดอก แต่มองฉันด้วยสายตาพิกล แลยังพูดจาเป็นเชิงเกี้ยวอีก ฉันไม่ชอบ”
       “หัวหมื่นหัวพันทั้งสองคงชอบพอแม่เอื้อยแตงเข้ากระมัง ทั้งสองอยู่ในสังกัดพ่อท่าน หากแม่มีใจตอบผู้ใด ก็บอกพ่อท่านได้”
       เอื้อยแตงโวยลั่น
       “มีใจตอบกระไร ฉันรำคาญเหลือ พอรู้ว่าวันนี้จะมาที่เรือนอีก ฉันถึงได้ออกไปกับแม่หญิงแต่เช้าอย่างไรเล่า”
       เอื้อยแตงพูดแล้วหันไปดุทาสชาย
       “เอ้า เทียบเรือซี ฉันบอกตั้งนานแล้ว ไม่ได้ยินรึ”
       ทาสชายไม่รู้ทำไงเลยเบนหัวเรือขึ้นฝั่ง
       “แม่เอื้อยแตงไปกับฉัน แล้วไม่ได้กลับพร้อมกันเช่นนี้ แล้วฉันจะตอบแม่ท่านอย่างไรเล่า”
       เอื้อยแตงไม่สน พอเรือใกล้ฝั่งก็กระโจนขึ้นทันที
       “แม่หญิงอยากตอบว่ากระไรก็ตอบไปเถิด ฉันไปหล่ะ”
       เอื้อยแตงเดินหนีไปทันที เรไรตกใจ
       “ไม่ได้นะแม่เอื้อยแตง แม่ท่านใช้ให้ฉันดูแลแม่เอื้อยแตงหากทำเช่นนี้ฉันก็โดนตำหนิซี กลับไปด้วยกันก่อนแม่เอื้อยแตง”
       เอื้อยแตงไม่สน เดินลิ่วๆไปอย่างสบายใจ
       “จะทำประการใดดีขอรับแม่หญิง” ทาสชายถามขึ้น
       เรไรถอนใจออกมาก่อนจะใช้ความคิดว่าจะทำยังไงดี

       เวลาต่อมา เรไรเดินมาตามท้องร่องสวนเพื่อตามหาเอื้อยแตงไปรอบๆพร้อมตะโกนเรียก
       “แม่เอื้อยแตงหนีเร็วจริง ไม่ทันกระไรก็หายไปเสียแล้ว”
       ทันใดนั้นเอง เสมาในสภาพนุ่งโจงกระเบนตัวเดียวหาปลาอยู่ก็โผล่ออกมาจากคูน้ำ ห่างจากเรไรไปนิดเดียว เสมาดีใจที่เจอเรไร
       “แม่หญิง”
       เรไรตกใจที่เห็นสภาพเสมาเปลือยจนเกือบหมดเหลือโจงกระเบนตัวเดียวจนต้องร้อง “ว๊าย” แล้วเบียนหน้าหนีทันที
       “เป็นกระไรไปแม่หญิง”
       “ยังมีหน้าถามอีกรึ มาอยู่ทำกระไรที่นี่”
       “ข้าพระเจ้ามาเดินดูสวนบำเหน็จเลยนึกสนุกดำน้ำหาปลาไปปิ้งกิน เมื่อก่อนที่ข้าพระเจ้าเป็นครูฝึก ก็ทำเช่นนี้แทบทุกวัน คิดแล้วให้คิดถึงเรื่องวันวานนัก”
       เรไรหันกลับไปมอง พอเห็นสภาพเสมาก็เบือนหน้าหนีทันทีด้วยความอาย
       “แต่เพลานี้ท่านเป็นถึงขุนแสนศึกพ่ายแล้ว มาทำเช่นนี้ได้อย่างไร”
       พูดแล้ว เรไรก็กระโดดข้ามไปท้องร่องอีกฝั่งเพื่อหนีเสมาจนเสมาแปลกใจ
       “แล้วเหตุใดแม่หญิงต้องกระโดดหนีข้าพระเจ้าด้วย”
       เสมากระโดดตามเรไรไป เรไรรีบกระโดดหนีกลับไปท้องร่องอีกฝั่งทันที

“ฉันไม่ได้หนี แต่เราหาควรคุยกันในสภาพเช่นนี้ไม่” เรไรบอก
ขุนศึก ตอนที่ ๑๓ (ต่อ) 
เสมาก็กระโดดตามอีก เรไรก็กระโดดหนีอีก ทั้งคู่โดดหนีโดดตามสลับฟันปลากันไปมาตามท้องร่องสวน เสมาพูดไปกระโดดไปด้วยความน้อยใจ

       “ข้าพระเจ้ารู้ ว่าแม่หญิงมีคู่หมั้นคู่หมายแล้วหาได้คิดชั่วไม่ เพียงแค่อยากพบปะพูดคุยเท่านั้น”
       “ฉันไม่ได้หมายความเช่นนั้น”
       “แล้วแม่หญิงหมายความเช่นไร”
       “เลิกตามฉันเสียทีเสมา ประเดี๋ยวค่อยพูดกัน”
       “แม่หญิงก็เลิกกระโดดหนีข้าพระเจ้าซี จักได้คุยกัน”
       “เสมานั่นหล่ะ อย่าตามมา”
       “แม่หญิงก็อย่าหนีซี”
       เสมาพยายามจะขวางไม่ให้เรไรหนี เลยเอื้อมมือคว้าชายสไบของเรไรไว้ แต่เป็นจังหวะที่เรไรกระโดดหนีพอดี สไบของเรไรเลยถูกเสมาดึงติดมือมา เรไรเหลือแต่ผ้าพันกายอยู่เท่านั้น เรไรอายสุดๆรีบเอามือปิดแล้ววิ่งไปหลบหลังต้นไม้ทันที เสมาตกใจจนทำอะไรไม่ถูก
       “ขอขมาเถิดแม่หญิง ข้าพระเจ้าหาตั้งใจไม่”
       เสมากระโดดข้ามไปอีกฝั่งเพื่อจะเอาสไบไปคืนเรไร
       ทันใดนั้นเสียงขันก็ดังขึ้น
       “มึงกล้าทำเช่นนี้เชียวรึ อ้ายเสมา”
       เสมาตกใจหันกลับไปมองตามเสียง เห็นขันยืนหน้าตาถมึงทึงด้วยความโกรธจัดอยู่ เสมาหน้าเสียทำอะไรไม่ถูก เพราะสไบของเรไรก็อยู่ในมือแถมเสมายังนุ่งโจงกระเบนตัวเดียวอีกต่างหาก
       ขันโกรธสุดๆแต่ไม่ได้พกดาบมา เลยหันไปหยิบไม้มาสองท่อนแทนดาบสองมือแล้วไล่ฟาดเสมา
       “มึงตายเสียเถิดอ้ายเสมา”
       ขันไล่ฟาดเสมา เสมาก็หลบซ้ายหลบขวา
       เรไรจะออกไปห้าม แต่เห็นสภาพตัวเองที่มีแต่ผ้าแถวพันกายก็อายเลยได้แต่ตะโกนห้ามอยู่หลังต้นไม้ “อย่าขุนณรงค์ ไม่ใช่อย่างที่ท่านคิด อย่าวิวาทกัน”
       ขันไม่ฟังไล่ตีเสมาไม่ยั้ง
       “อ้ายโจรชั่ว มึงอย่าอยู่เป็นคนอีกเลย”
       เสมาพูดไปหนีไป
       “ที่นี่เป็นสวนของกู มึงเข้ามาเอาไม้ไล่ตีกู ผู้ใดเป็นโจรกันแน่วะ”
       ขันไล่ตีจนเสมาจวนตัวจึงเอาสไบของเรไรขึ้นรับไม้ขัน ก่อนจะถีบขันจนตกท้องร่องสวน เสมายิ้มขำ ก่อนจะหันไปพูดกับเรไรว่า
       “สไบนี้ช่วยข้าพระเจ้าไว้ ใจจริงอยากเก็บไว้นัก แต่เกรงว่าแม่หญิงจะต้องหลบอยู่หลังต้นไม้ตลอดวัน จึงขอคืนให้แม่หญิงเถิด”
       เสมาโยนสไบไปให้เรไรรับ ขันตะเกียกตะกายจะขึ้นจากท้องร่องไปเอาเรื่องเสมาอีก
       “ไม่มีสไบเป็นอาวุธแล้ว ข้าพระเจ้าต้องขอลาแม่หญิงไปก่อน”
       ขันตะกายขึ้นมาจากท้องร่อง เนื้อตัวเปียกโชก
       “อ้ายเสมา มึงอย่าหนี มึงเป็นชายจริง มึงอย่าหนี”
       ขันจะรีบวิ่งตามเสมาไปพลาดตกร่องน้ำไปอีกเลยโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง เรไรอดขำๆขันออกมาไม่ได้ ก่อนจะก้มมองดูสไบในมือแล้วยิ้มปนอาย

       ภายในบ้านหลวงรามเดชะเมื่อตอนหัวค่ำ ขันกำลังโกรธจัด เสียงดังโวยวายฟ้องลำภู โดยมีเรไรนั่งอยู่ใกล้ๆ และมีพิณคอยรับใช้
       “อ้ายเสมามันบังอาจนัก มันแจ้งอยู่แก่ใจว่าแม่หญิงเรไรมีคู่หมั้นแล้ว ยังกล้าทำบัดสีอีก”
       “ฉันเพียรบอกหลายครั้งแล้วว่าเพียงประจวบเหมาะเท่านั้น หาใช่ตั้งใจไม่ถึงกับสาบานด้วยถ้อยคำสาหัสแล้ว ยังไม่พอใจอีกรึ” เรไรน้ำเสียงไม่พอใจ
       “ไม่ใช่ข้าพระเจ้าไม่เชื่อคำแม่หญิง แต่ข้าพระเจ้าไม่เชื่ออ้ายเสมาต่างหาก นี่หากไม่ใช่เพราะคุณพระคุณเจ้าคุ้มครองดลให้ข้าพระเจ้าไปเก็บดอกเบี้ยละแวกนั้น อ้ายเสมาอาจกระทำชั่วไปแล้วก็เป็นได้”
       “ขุนณรงค์เห็นว่าฉันจักยอมให้กระทำชั่วได้โดยง่ายหรือ คนอย่างฉันยอมตายเสียดีกว่ายอมถูกหยามหมิ่น”
       “เอาเถิดๆ อย่าทะเลาะกันเองเลย ขุนณรงค์พูดไปก็ด้วยความห่วงใย แม่เรไรอย่าถือโทษพี่เค้าเลย” ลำภูรีบปราม
       “ขอบพระคุณท่านอาหญิงที่เข้าใจข้าพระเจ้าขอรับ”
       เรไรทิ้งค้อน ขันเห็นท่าทีของเรไรก็ยิ่งหงุดหงิด
       “ท่านอาหญิงขอรับ เพลานี้ท่านอาไปราชการหัวเมือง ข้าพระเจ้าเป็นห่วงท่านอาหญิงกับแม่หญิงเรไรนัก ใคร่อยากจะขอมาค้างที่เรือนเพื่อปกป้องดูแลขอรับ”
       พิณอดรนทนไม่ไหวจึงพูดขึ้น
       “ในเรือนมีบ่าวมากมาย ใครจักกล้าคิดชั่วกัน ขุนท่านอย่าลำบากยากกายไปเลยเจ้าค่ะ”
       “นังพิณ หาใช่เรื่องของเอ็งไม่” ลำภูว่า
       พิณหน้าจ๋อยไป ขันยิ้มอย่างสะใจ
       “อาก็ห่วงเรื่องนี้เช่นกัน ถ้าขุนณรงค์เต็มใจ อาก็ขอบน้ำใจมากแล้ว”
       ขันยิ้มแย้มก่อนจะหันไปมองเรไร เรไรสีหน้าบึ้งตึงไม่พอใจ ก่อนจะลุกขึ้นเดินหนีไป ขันมองตามคิดอยากจะเอาชนะให้ได้

       ในเวลากลางคืน เรไรกำลังก้มลงกราบหมอน เพื่อจะสวดมนต์ก่อนนอน ขณะนั้นเองก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
       “ใครกัน”
       “ข้าพระเจ้าเองแม่หญิง” ขันแกล้งทำเสียงร้อนใจ
       เรไรไม่พอใจ ลุกเดินไปพูดใกล้ๆ ประตู
       “มืดค่ำเช่นนี้ ขุนณรงค์มาเคาะประตูห้องฉันหมายความว่ากระไร”
       “อย่าเพิ่งโกรธเคืองข้าพระเจ้าเลยแม่หญิง เพลานี้ท่านอาหญิงเป็นลม ยังไม่ฟื้นเลย ข้าพระเจ้าจึงรีบมาแจ้ง”
       เรไรตกใจเล็กน้อย แต่ก็ยังระแวงขันอยู่
       “เมื่อหัวค่ำแม่ท่านยังดีอยู่เลย”
       “เรื่องเช่นนี้ข้าพระเจ้าจะพูดปดได้รึ”
       เรไรมีสีหน้าลังเล ขันพูดต่ออยู่ที่หน้าห้องด้วยสีหน้าแววตาเจ้าเล่ห์
       “ข้าพระเจ้าพักอยู่ใกล้ห้องท่านอาหญิง พลันจะเคลิ้มหลับ ก็ได้ยินเสียงเหมือนของตก พอเปิดประตูไปดู ก็เห็นท่านอาหญิงเป็นลมล้มพับไปเสียแล้ว แม่หญิงไปดูเองเถิด”
       เรไรห่วงลำภูมากเมื่อได้ยินขันเล่าเป็นเรื่องเป็นราวเลยไม่สงสัยเปิดประตูห้องทันที เพื่อจะไปหาแม่
       ทันทีที่ประตูเปิดออก ขันที่ยืนอยู่หน้าประตูก็ผลักเรไรกลับเข้าห้องไป พร้อมกับรีบเข้ามาในห้อง แล้วลงกลอนลั่นดาล ไม่ให้คนข้างนอกเข้ามา เรไรตกใจคิดว่า ขันจะทำมิดีมิร้ายแน่
       “นี่ท่านถึงกับเอาท่านแม่มาลวงหลอกฉันเชียวรึ เลวเกินไปเสียแล้ว”
       ขันมองเรไรด้วยสายตาถมึงทึง
       “ข้าพระเจ้าควรจะเลวเสียเช่นนี้นานแล้ว แม่หญิงจะได้ไม่ไปปันใจ กระทำบัดสีกับอ้ายเสมา”
       “ฉันไม่ได้ทำ”
       “ไม่เชื่อ เห็นตำตายังจักมุสาอีก แม่หญิงรู้หรือไม่ว่าข้าพระเจ้าหลงรักแม่หญิงมานานเพียงใด แต่แม่หญิงมิเพียงไม่เห็นหัว ยังไปฝากรักกับอ้ายช่างเหล็กย่ำยีหัวใจข้าพระเจ้า แม้แต่หมั้นแล้ว ก็ยังไม่วายไปหามันอีก ดูทีรึว่าหากเปลี่ยนจากคู่หมั้นเป็นผัวแล้ว ยังจะกลับไปหาอ้ายเสมาอีกหรือไม่” ขันตะคอกใส่
       ขันโผเข้าปล้ำเรไรทันที เรไรตื่นตระหนกด้วยความกลัวสุด พยายามจะร้อง แต่ขันก็ปิดปากไว้ไม่ให้ร้อง เรไรขัดขืนอย่างเต็มที่

       ภายในห้องนอน เสมาเปิดหีบขนาดใหญ่ที่วางไว้ภายในห้องออก เสมาเอื้อมมือลงไปหยิบกล่องเล็กๆขึ้นมาใบหนึ่ง ก่อนจะเปิดกล่องออก ภายในกล่องใบนั้นล้วนแล้วแต่เป็นของๆที่เกี่ยวกับเรไรทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นดอกจำปีที่เรไรให้ตน ซึ่งตอนนี้แห้งเหี่ยวจนเหลือขั้วดอกแห้งๆเท่านั้น แหวนที่เรไรให้ ผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กๆ จดหมายที่เรไรเคยเขียนถึงตน ฯลฯ ซึ่งทุกอย่างเก็บไว้อย่างดี
       เสมาหยิบแหวนขึ้นมาขึ้นมองดูแล้วรำพึงด้วยสีหน้าซึมเศร้าว่า
       “ข้าพระเจ้าจะออกเรือนกับหญิงอื่นได้กระไร ในเมื่อหัวใจของข้าพระเจ้าให้แม่หญิงไปสิ้นแล้ว”

       ภายในห้องนอนเรไร ขันจับเรไรเหวี่ยงไปบนเตียง ขันตามเข้าไปปล้ำ ขันใช้มือปิดปากไว้ไม่ให้เรไรร้อง เรไรจึงกัดมือ ขันร้องด้วยความเจ็บปวด เรไรสะบัดหลุดจะวิ่งไปที่ประตู แต่ยังไม่ทันร้องขอความช่วยเหลือ ขันก็ตามมาปิดปาก แล้วรวบตัวเรไรมาที่เตียงอีกครั้ง
       “ร้ายกาจนัก สมกับเป็นบุตรสาวของหลวงรามเดชะเสียจริง”
       เรไรพยายามดิ้นสู้ แต่ก็สู้แรงขันไม่ไหวครั้นจะร้องก็โดนมือขันปิดปากอยู่
       ทันใดนั้นเองก็มีเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น
       “แม่หญิงเจ้าคะ” เสียงพิณดังขึ้นที่นอกห้องนอนของเรไร
       ขันชะงักและหยุดฟัง
       “บ่าวเห็นเงาคนลอบขึ้นเรือนมา แม่หญิงเปิดประตูให้บ่าวเข้าไปสักหน่อยได้หรือไม่เจ้าค่ะ”
       ขันตกใจหน้าเสีย เรไรได้ที พยายามดิ้นเต็มที่ แต่ก็โดนขันจับตัวเอาไว้
       พิณเคาะประตูและถามอีก
       “แม่หญิง หลับแล้วหรือเจ้าคะ เอาอย่างไรดีเจ้าคะแม่หญิงเอื้อยแตง”
       “ถึงหลับก็ต้องปลุก โจรรึเปล่าก็ไม่รู้ พิณเจ้าเคาะประตูไปก่อน ฉันจะไปตามพวกบ่าวไพร่ชายมา หากมีโจรจริง จะได้จับมันส่งนครบาลเสีย” เอื้อยแตงบอก
       ขันได้ยินเข้าก็กลัวหนักเพราะถ้าถูกจับได้ต้องโดนหนักแน่ๆ จึงพยายามคิดหาทางเอาตัวรอดอย่างเต็มที่ ขันเหลือบมองไปที่หน้าต่าง ฉุกคิด แล้วตัดสินใจปล่อยเรไร แล้ววิ่งไปเปิดหน้าต่าง ก่อนจะปีนหนีไปทันที
       เรไรหลุดจากการจับกุมรีบวิ่งไปเปิดประตูห้องทันที พอเปิดออกก็ต้องแปลกใจ เมื่อเห็นพิณ และเอื้อยแตง ยืนยิ้มอยู่หน้าห้อง
       “ทันการพอดีใช่หรือไม่แม่หญิง เสียดายที่พิณมาบอกช้าไป หาไม่จะให้พวกบ่าวไพร่ดักอยู่ที่ใต้หน้าต่าง ครานี้ได้ดูขุนณรงค์วิชิตถูกแห่ประจานเป็นแน่”
       เรไรรู้ว่า เมื่อครู่เป็นแผนเอื้อยแตงก็ยิ้มออกมาอย่างโล่งอก
       “แม่หญิงมิได้ถูกล่วงเกินอันใดนะเจ้าคะ” พิณถามด้วยความเป็นห่วง
       เรไรส่ายหน้า
       “เรื่องครานี้ใหญ่หลวงนัก ถึงจะเป็นคู่หมั้นคู่หมายก็เถิด แม่หญิงอย่ายอมโดยง่ายเชียว” เอื้อยแตงบอก
       เรไรพอหายตกใจก็มีสีหน้าขึงขังไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด

       เช้าวันรุ่งขึ้น เรไรและเอื้อยแตงกำลังฟ้องลำภู โดยมีแต้มอยู่ใกล้ๆ ลำภูถึงทราบเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น
       “เป็นไปได้อย่างไร อีกไม่นานแม่เรไรก็ต้องออกเรือนไปกับขุนณรงค์แล้ว ขุนณรงค์จะทำการเช่นนั้นไปเพื่อกระไร”
       “แม่ท่านเห็นว่าลูกกับแม่เอื้อยแตงมุสาเช่นนั้นหรือ”
       ลำภูมีท่าทีอึกอักไม่รู้จะตอบเรไรอย่างไร
       “หากป้าท่านไม่เชื่อ ก็ตามขุนณรงค์มาพิสูจน์ซีเจ้าคะ เมื่อคืนแม่หญิงเรไรกัดมือขุนณรงค์ไป อย่างไรเสียก็คงมีรอยแผลเหลืออยู่เป็นแน่” เอื้อยแตงว่า
       “คงตามไม่ได้เสียแล้ว เพราะเมื่อรุ่งสาง ป้าตื่นขึ้นมาเห็นประตูห้องขุนณรงค์ปิดไม่สนิท พอเข้าไปดูจึงรู้ว่าไม่อยู่ ชะรอยจักหนีไปเสียแต่เมื่อคืนแล้ว”
       แต้มตบเข่าฉาดด้วยความเจ็บใจ
       “มันคงกลัวผิดล่ะซีถึงได้รีบหนี ยอมไม่ได้เชียวพี่ลำภู เช่นนี้ต้องแจ้งนครบาลมาลากคอมัน”
       “ไม่ได้นะพ่อแต้ม แม่เรไรเป็นหญิงหากเรื่องนี้แพร่ออกไปมีแต่เสื่อมเสีย จักให้ผู้อื่นรู้มากกว่านี้ไม่ได้เป็นอันขาด” ลำภูว่า
       “แล้วป้าท่านจักยอมให้ขุนณรงค์ลอยหน้าเหนือความผิดอยู่เช่นนี้หรือเจ้าคะ”
       ลำภูลำบากใจ ไม่รู้จะทำอย่างไรเลยพาลโกรธขัน
       “ขุนณรงค์นะขุนณรงค์ รอแค่คุณหลวงกลับจากราชการก็จะได้ออกเรือนแล้ว เหตุใดต้องทำหยามกันเช่นนี้ด้วย”
       “นั่นก็เพราะขุนณรงค์หึงหวงลูกกับขุนแสนศึกพ่าย แลไม่เคยเชื่อใจลูกกับพ่อท่านมาก่อน แม้จะหมั้นแล้วก็ยังระแวงอยู่ร่ำไป ถึงได้คิดชั่วเช่นนี้”
       ลำภูจนแต้มพูดอะไรไม่ออกจึงยิ่งโกรธขันมากขึ้น

       ทางด้านขันกำลังคุยกับดวงแขด้วยสีหน้าเคร่งเครียดอยู่ที่ท่าน้ำในบ้าน
       “เรื่องแต่เพียงนี้พี่ขันก็ทำไม่สำเร็จ”
       “เพราะพี่ทำตามคำแม่ดวงแขต่างหาก จึงต้องเป็นเช่นนี้แล้วยังจักตำหนิพี่อีกรึ เพลานี้ควรช่วยพี่คิดดีกว่าว่า หากท่านอากับท่านอาหญิงรู้เรื่องเข้าจะทำเช่นใด มิรู้จักโกรธเคืองถึงขั้นถอนหมั้นเลยหรือไม่”
       “ข้อนั้นลืมไปเถิด วิสัยของท่านอากับท่านอาหญิงรักหน้านัก หากต้องถอนหมั้นด้วยเรื่องเช่นนี้ คงอับอายไปทั่วอโยธยา เพลานี้ พี่เพียงแต่อยู่ห่างท่านอาไว้ รอหายเคืองเมื่อใดค่อยเข้าไปสารภาพผิดก็พอ”
       “แม่ดวงแขแน่ใจใช่หรือไม่ ว่าจักไม่ลุกลามไปกว่านี้”
       ดวงแขชักหงุดหงิดที่ขันไม่ได้อย่างใจ
       “มิน่าเล่า พี่ขันถึงต้องคอยพึ่งพาขุนวิเศษเพราะมัวลังเลหวาดกลัวอยู่เช่นนี้เอง เสียดายนักที่ฉันไม่ใช่ชาย”
       “เอาเถิดๆ พี่จะทำตามคำแม่ดวงแขก็แล้วกัน”
       “ถ้าเช่นนั้น ฉันจะกลับเข้าวังก่อนจะได้หยั่งท่าทีของแม่เรไรกับขุนแสนว่ามีประการใดบ้าง”
       “เรื่องกระไรต้องดูท่าทีอ้ายเสมาด้วย พี่เป็นคู่หมั้นกับแม่หญิงเรไรไม่ใช่มัน”
       “แต่เพลานี้ขุนแสนศึกพ่ายกำลังรุ่งเรือง หากราชองครักษ์ฝ่ายขวาหาเรื่องกลั่นแกล้งพี่ ก็หาใช่รับมือง่ายไม่”
       ขันหน้าเสีย แล้วก็หงุดหงิดเจ็บใจ ที่ตอนนี้เป็นรองเสมาจริงๆ

       ยามบ่าย ภายในวัง ดวงแขและบัวเผื่อนเดินคุยพร้อมถือโถใส่ขนมมา บัวเผื่อนยิ้มอย่างรู้ทัน
       “หากแม่ดวงแขอยากมาวังหน้าบอกฉันตรงๆก็ได้ ไม่ต้องอาสาช่วยดอก ฉันเกรงใจนัก”
       “แม่บัวเผื่อนรู้หรือไม่ ว่าแม่ทั้งสะสวย ทั้งมีปัญญายากจะหาหญิงใดในตำหนักเสมอได้”
       บัวเผื่อนยิ้มเขินพลางว่า
       “นึกกระไรขึ้นมาถึงมายกยอฉันเช่นนี้”
       “ฉันไม่ได้ยกยอ แม่บัวเผื่อนเป็นเช่นนั้นจริง เสียแต่ปากร้ายนักชอบพูดจาที่ผู้อื่นไม่อยากฟังอยู่ร่ำไป”
       บัวเผื่อนหน้าตึงไม่พอใจขึ้นมาทันที แต่ยังไม่ทันตอบก็เป็นจังหวะที่เสมากำลังเดินคุยกับพันจิตรเสน่หาที่ได้เลื่อนขั้นเป็นหมื่นจิตรเสน่หาผ่านมาพอดี
       “ท่านขุนแสน” ดวงแขยิ้มทักทาย
       หมื่นจิตรเห็นหน้าดวงแขชัดๆ ก็ตะลึงก็หลงรักทันทีตั้งแต่แรกพบ
       “แม่หญิงทั้งสองนี่เอง มาถึงวังหน้ามีกระไรรึ” เสมาว่า
       บัวเผื่อนยังสีหน้าบึ้งตึง
       “เสด็จท่านทำขนม ให้ฉันนำมาถวายเจ้าฟ้าสุทัศน์ท่าน แต่ผู้อื่นจะมาด้วยเหตุใด ขุนแสนคงพอเดาออกกระมัง”
       หมื่นจิตรแอบลอบมองดวงแขอยู่เรื่อยๆ ด้วยสายตาปลาบปลื้มชื่นชม ดวงแขทำไม่รู้ไม่ชี้ ปั้นยิ้ม
       “ท่านขุนต้องเป็นแม่กองฝึกทหารไม่ใช่หรือ เหตุใดป่านฉะนี้ยังไม่ไปเล่า”
       “เป็นแม่กองไม่ต้องไปทุกวันดอก พันเทพพันทิพก็เป็นครูฝึกอยู่ หากมีกระไรเหลือบ่ากว่าแรง ข้าพระเจ้าถึงค่อยไป”
       ดวงแขเริ่มเลียบๆเคียงๆว่าเสมารู้เรื่องเมื่อคืนแค่ไหน
       “ถ้ากระนั้น ท่านขุนก็ไม่ได้พบเจอคนที่บ้านออกหลวงรามเดชะหล่ะซี”
       เสมาหน้าเสียคิดว่าดวงแขหึงหวง
       “เหตุใดแม่หญิงถามเช่นนี้เล่า”
       “ไม่มีกระไรดอก ฉันได้ยินว่ามีโจรชิงสไบอาละวาดอยู่แถบเรือนท่านอาหลวงราม หากท่านขุนได้พบคนที่เรือนคงพอรู้ข่าวบ้าง แต่เมื่อไม่ได้พบปะผู้ใดก็ช่างเถิด”
       เสมาหน้าเสียเหมือนมีอะไรติดคอพูดไม่ออกซักคำ
       “ไปกันเถิดแม่บัวเผื่อน”
       ดวงแขแน่ใจว่าเสมายังไม่รู้เรื่องเลยเดินไปกับบัวเผื่อนอย่างอารมณ์ดี เสมาถอนหายใจอย่างโล่งอก
       “เจ้าคารมยอกย้อนนัก”
       หมื่นจิตรที่ชอบดวงแขทันทีที่เห็นหน้าถามเสมาขึ้นทันที
       “ท่านขุน แม่หญิงที่พูดคุยกับท่าน ชื่อกระไรลูกเต้าเหล่าใคร บ้านเรือนอยู่ที่ใดรึ”
       “มีกระไรหรือท่านหมื่นจิตร” เสมาถามด้วยความแปลกใจ
       “เอ่อ ฉันเห็นหน้าคราแรกก็ให้ถูกชะตานัก หากมิใช่คนรักของท่านขุนก็ไหว้วานท่านขุนช่วยเหลือฉันสักหน่อยเถิด”
       เสมานึกไม่ถึง
       “หมื่นจิตร นี่ท่านพึงใจแม่หญิงดวงแขรึ”

เสมาฉุกคิดขึ้นแล้วยิ้มบางๆที่เริ่มมองเห็นทางแก้ปัญหาเรื่องดวงแขให้พ้นตัวเสียที





Create Date : 24 พฤษภาคม 2555
Last Update : 25 พฤษภาคม 2555 12:38:08 น. 0 comments
Counter : 3706 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

atitaya_t
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




สวัสดีค่ะ ขอร่วม gang ด้วยคนค่ะ
Friends' blogs
[Add atitaya_t's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.