เก็บความทรงจำ..(^_^)..ความสนใจ โลกส่วนตัว ที่เราสร้างเอง
Group Blog
 
 
พฤษภาคม 2555
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
22 พฤษภาคม 2555
 
All Blogs
 
ขุนศึก ตอนที่ 7-2 , 7-3

ขุนศึก ตอนที่ ๗ (ต่อ) 

สี่ห้าวันต่อมาที่ตำหนัก เรไรกำลังคุยกับดวงแขด้วยสีหน้าเคร่งเครียด โดยมีบัวเผื่อนอยู่ใกล้ๆ

       “พรึ่งนี้ก็จะเป็นงานแต่งแล้ว ขุนศึกยังไม่มาอีกรึ” เรไรถามขึ้น
       “ฉันก็ทำตามที่แม่เรไรบอกทุกประการ แต่ก็ยังเห็นเงียบอยู่ หรือบรรดาศิษย์จะหาตัวขุนศึกไม่พบ”
       “ไปราชการ ไม่ได้ไปอยู่ในป่าในดงจะหาตัวยากกระไรหนักหนา แลฉันรู้มาว่าออกขุนศึกไม่ได้ไปไกล เดินทางแต่หนึ่งวันหนึ่งคืนก็ถึงแล้ว ป่านฉะนี้ ควรรู้ข่าวของแม่เรไรแล้ว” บัวเผื่อนว่า
       เรไรยิ่งร้อนใจหนัก ไม่รู้จะตามหาตัวเสมาที่ไหน
       ดวงแขแสร้งถอนใจทำเป็นหวังดีแต่ประสงค์ร้าย
       “อย่าหาว่าฉันปากพล่อยเลย แต่ถึงขุนศึกรู้ข่าวก็ยากจะแก้ไขแล้ว ด้วยในงานมีทั้งออกญาผู้ใหญ่หลายท่านแลขุนทหารมากมาย หากคิดล้มงานแต่งคงไม่แคล้วต้องโทษเป็นแน่ ลางที ออกขุนอาจกลัวโทษทัณฑ์จนละสัตย์แล้วก็เป็นได้”
       เรไรหน้าเสียกลัวเสมาทิ้ง
       บัวเผื่อนสีหน้าหมั่นไส้แล้วบอก
       “ข้อนี้ฉันไม่เชื่อดอก หากเป็นพี่ชายแม่ดวงแขฉันคงหาแปลกใจไม่ แต่ขุนศึกไชยชาญเสี่ยงคุกเสี่ยงตายมามาก มีรึ จะกลัวโทษทัณฑ์แต่เพียงนี้”
       ดวงแขทิ้งค้อนบัวเผื่อน
       “ฉันก็เพียงแต่พูดเพราะหวังดี ที่ผ่านมาก็ช่วยจนสุดปัญญาแล้ว สุดแต่แม่เรไรจะคิดเห็นเช่นไรเถิด”
       ดวงแขแอบยิ้มร้ายๆแล้วเดินเชิ่ดจากไปสวนกับศรีเมือง ที่เดินเข้ามาหาเรไรด้วยความร้อนใจ ดวงแขแอบทิ้งค้อนมองตามให้อีกขวับ ศรีเมืองต้องรีบเดินเลี่ยงหลบเร็วขึ้นด้วยความเกรง
       “พรึ่งนี้แม่หญิงเรไรจะแต่งงานกับหมื่นชาญรึ เหตุใดไม่บอกกันบ้าง ฉันเพิ่งรู้เมื่อครู่นี้เอง” ศรีเมืองว่า
       เรไรกำลังหงุดหงิดเลยพาลขึ้น
       “ แม่ศรีเมืองคงดีใจกระมังที่ฉันออกเรือนไปเสียได้ ต่อไปภายหน้าคงไม่มีผู้ใดขวางแม่กับขุนศึกไชยชาญแล้ว”
       เรไรสะบัดหน้าเดินเลี่ยงไปอีกทางปล่อยให้ศรีเมืองมองตามอย่างงๆ บัวเผื่อนยิ้มขำๆแล้วว่า
       “ อย่าถือกันเลยแม่ศรีเมือง แม่เรไรกำลังร้อนรุ่มนักด้วยจะออกเรือนกับผู้ที่มิได้ชอบพอ แต่ผู้ชอบพอกลับหาตัวมิได้ว่าอยู่ที่ใด”

       ศรีเมืองมองตามเรไรไปด้วยความสงสาร ยิ่งรู้ว่าเสมาไม่รู้เรื่องก็ยิ่งไม่สบายใจ

       โถงบ้านขันยามเช้า ถูกประดับประดาอย่างสวยงามเต็มไปด้วยดอกไม้สวยงาม สมกับที่กำลังจะจัดพิธีแต่งงาน ขันแต่งตัวหล่อ เตรียมจะยกขบวนขันหมากไปสู่ขอเรไร พุฒเดินขึ้นเรือนมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส เพราะมาร่วมงานแต่งของขัน ขันหันไปยิ้มให้พุฒ
       “หมื่นทรงมาพอดี เรื่องอ้ายเสมาเป็นอย่างไรบ้างเล่า”
       พุฒยิ้มเจ้าเล่ห์
       “มิต้องห่วงดอก ฉันให้คนไปสืบแล้ว อย่างไรเสียอ้ายเสมาก็มาล้มงานแต่งไม่ได้เป็นแน่ แต่ถึงมันจะมา ก็มีออกญาผู้ใหญ่อยู่หลายท่าน หากมันกล้าเป็นได้เข้าไปนอนในคุกแน่”
       ขันขำชอบใจ
       “เพราะปัญญาหมื่นทรงโดยแท้ ในที่สุด ฉันจึงมีวันนี้จนได้”
       “เราท่านเป็นเกลอกันมานาน ไม่ช่วยท่านแล้วจะช่วยผู้ใดเล่าแต่เมื่อหมื่นชาญสมหวังแล้ว คงไม่ลืมสัญญาของเรากระมัง”
       “เรื่องแม่ดวงแขน่ะรึ มิต้องห่วงดอก ฉันเป็นพี่ชายมีอำนาจรองลงมาจากพ่อ หากฉันให้แต่งกับใคร แม่ดวงแขจะขัดได้รึ”
       พุฒหัวเราะชอบใจมีความสุขที่เรื่องใกล้สำเร็จแล้ว ขันปั้นยิ้ม แต่พอเบือนหน้าไปทางอื่นก็เบะปากรังเกียจพุฒ ไม่ยอมให้คู่กับน้องสาวแน่

       ศรีเมืองชะเง้อมองอย่างกระวนกระวายอยู่บริเวณท่าน้ำ ซักพักก็เห็นเรือของเสมาแจวมา โดยที่มีสิน และสมบุญนั่งอยู่ในเรือด้วยก็ดีใจมาก พอเรือเสมาจอดเทียบท่าศรีเมืองก็รีบเข้าไปหาทันที
       “แม่ศรีเมือง จะข้ามฟากรึ ให้ทหารพี่ไปส่งหรือไม่”
       “ฉันไม่ได้ข้ามฟากดอกจ้ะ ฉันเสี่ยงดวงมาดักรอพี่เสมาต่างหาก พระท่านคุ้มครองแท้ มิคิดว่าพี่จะกลับมาพอดี”
       เสมาชักเอะใจ
       “รอพี่ มีกระไรรึ”
       “แม่หญิงเรไรกำลังจะเข้าพิธีแต่งงานกับหมื่นชาญณรงค์แล้ว พี่เสมาเร่งคิดหาทางเข้าเถิด”
       เสมาตกใจอย่างที่สุด หน้าซีดเผือดไปทันที

       เสมาสะพายดาบสองมือคู่ชีพ เดินลิ่วมาด้วยหน้าตาถมึงทึง สิน สมบุญ และศรีเมืองรีบตามติดมาด้วยความร้อนใจ
       “พี่เสมา รอก่อนพี่เสมา พี่เสมา”
       สินและสมบุญรีบวิ่งไปดักหน้าเสมาไว้
       “หากเอ็งสองคนรักข้าจงถอยไป ข้าจะไปหาแม่หญิงเรไร” เสมาตวาด
       “ไม่ทันแล้วพี่ ท่านขุนรามกับอ้ายขันเตรียมการมารัดกุมนัก หากมิใช่เราเสร็จราชการเร็วเลยกลับมาก่อน คงไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่า แม่หญิงจะแต่งวันนี้” สมบุญว่า
       “แล้วเอ็งจะยอมให้ข้าทนเห็นแม่หญิงเรไรเป็นของชายอื่นรึ ข้ารู้ว่า หากข้าไปย่อมร้ายมากกว่าดี แต่ข้าขอตายเสียดีกว่าให้หัวใจถูกเหยียบย่ำเช่นนี้”
       ศรีเมืองตามมาถึงด้วยความเป็นห่วงเสมาสุดๆ
       “ใจเย็นก่อนเถิดพี่เสมา ฉันมาบอกพี่ก็ด้วยสงสารพี่กับแม่หญิงนัก แต่พี่หาทางอื่นเถิด มุทะลุเช่นนี้หามีประโยชน์อันใดไม่”
       “ช้าไปแล้วศรีเมืองเอ๋ย หากรู้ก่อนหน้ายังพอมีทาง แต่ประเดี๋ยวนี้จะหาทางใด นอกจากบุกชิงตัวแม่หญิงเท่านั้น”
       “ถ้าเช่นนั้นก็ให้ฉันไปด้วย อย่างมากก็ตายเสียด้วยกัน” สินบอก
       “ฉันด้วยพี่เสมา” สมบุญว่า
       เสมาตบบ่าสินกับสมบุญฃ
       “ขอบน้ำใจเอ็งสองคนมากนัก แต่ข้าไม่อาจให้พวกเอ็งต้องเดือดร้อนไปกับข้า ถ้าพวกเอ็งรักข้า ก็ขอให้ดูแลพ่อแม่แลน้องข้าก็พอแล้ว”
       พูดจบ เสมาก็เดินเลี่ยงไป
       “พี่เสมา”
       สมบุญจะตามไปเพราะความเป็นห่วง แต่สินจับบ่าสมบุญบีบเอาไว้ แล้วส่ายหน้าห้าม
       “พี่เสมาได้ลั่นวาจาฝากฝังแล้วอย่าได้ขัดใจพี่เสมาเลยสมบุญ”
       สมบุญได้แต่ถอนใจออกมา ทั้งสิน สมบุญและศรีเมืองต่างรู้ว่า ห้ามเสมาไม่ได้แน่ ก็ได้แต่มองตามด้วยความเป็นห่วงจับใจ

       พิณกำลังช่วยเรไรแต่งตัวชุดไทยสวยงามอยู่ภายในของห้องเรไรเพื่อให้สมกับเป็นว่าที่เจ้าสาว
       แต่เรไรมีสีหน้าซึมเศร้าไร้ความสุข พิณยิ้มแย้ม
       “งามเหลือเกินเจ้าค่ะแม่หญิง”
       เรไรถอนหายใจสีหน้าขรึม
       “ยังไม่ได้ข่าวขุนศึกอีกรึ”
       “ยังเจ้าค่ะ ถึงเพลานี้แล้ว แม่หญิง”
       “พิณ ออกไปบอกพ่อท่าน ว่าสักครู่ฉันจะออกไป” เรไรตัดบท
       “เจ้าค่ะ”
       พิณออกจากห้องไป เรไรเอื้อมมือไปเปิดกล่องๆหนึ่งที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง พอเปิดออกก็เห็นมีดเล่มหนึ่งวางอยู่ในกล่อง เรไรหยิบมีดออกมา แล้วชักมีดออกจากฝัก หน้าสลดลงพลางตัดพ้อว่า
       “ฉันไม่เคยคิดจะผิดคำสัตย์ แล้วเหตุใดเสมามาทิ้งฉันไปเช่นนี้”
       เรไรน้ำตาท่วมด้วยความผิดหวัง

       บรรยากาศบนเรือน เต็มไปด้วยความคึกคัก แขกเหรื่อทยอยกันมาเรื่อยๆ ขุนรามเดชะและลำภูคอยพูดคุยต้อนรับแขกเหรื่อด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ขณะที่บัวเผื่อนและดวงแขก็คอยช่วยงานดูแลแขกเหรื่อและสั่งงานบ่าวไพร่
       ดวงแขคอยชะเง้อมองหาขบวนขันหมากของขัน บัวเผื่อนมองตามดวงแข
       “มองหาขบวนขันหมากหมื่นชาญรึ แม่ดวงแข”
       “ใช่จ้ะ นี่ก็จวนได้ฤกษ์แล้ว เหตุใดพี่ขันกับแม่ท่านยังไม่มาเสียที”
       บัวเผื่อนยิ้มขำ
       “หรือจะเกิดเหตุใดล้มงานแต่งเสียก็ไม่รู้ งานของแม่เรไรกับหมื่นชาญยิ่งมีอาถรรพ์ เคยล้มมาแล้วเสียด้วย”
       ดวงแขเหล่มองบัวเผื่อนด้วยความไม่พอใจ เพราะไม่ชอบนิสัยไม่รู้จักกาลเทศะ ปากเสีย ดวงแขเดินเลี่ยงไปทางอื่นไม่พูดด้วย บัวเผื่อนยิ้มเหยียดๆ ตามไป
       พันอินเดินขึ้นเรือนมา พันอิน ขุนราม และลำภู ยกมือไหว้ทักทายกันด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
       “ฉันกำลังบ่นกับแม่ลำภูอยู่เทียว ว่าเหตุใดยังไม่มา หวั่นใจนักว่าพ่อจะมาไม่ได้” ขุนรามเดชะพูดขึ้น
       “งานแต่งหลานสาวทั้งที จะไม่มาได้กระไร แล้วแม่เรไรเล่า...” พันอินถาม
       “เมื่อครู่บ่าวมาบอกว่าแต่งตัวเสร็จแล้ว สักครู่คงออกมาจ้ะ” ลำภูว่า
       พันอินเหลือบไปเห็นเรไรเข้าพอดี
       “นั่นปะไร มาพอดี”
       ทุกคนหันไปมองตาม พิณเดินนำเรไรที่อยู่ในชุดไทยสวยงามมากเดินเข้ามา เรไรยกมือไหว้แขกเหรื่อและทักทายอย่างอ่อนน้อม ก่อนจะเดินเข้าไปหาพ่อแม่ ท่ามกลางความชื่นชมของทุกคน
       เรไรไหว้พันอิน พันอินก็รับไหว้ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มก่อนจะหันไปพูดกับขุนรามเดชะ
       “จำเริญสุขเถิดแม่เรไร … เดิมทีก็งามอยู่แล้ว วันนี้ยิ่งงามจับตานัก หากหมื่นชาญเห็นเข้าคงตะลึงดังต้องมนต์เป็นแน่”
       “นี่ฉันก็รออยู่ ป่านฉะนี้ ขบวนขันหมากของหมื่นชาญคงใกล้ถึงแล้วกระมัง”
       พันอิน ขุนรามเดชะและลำภู ยิ้มแย้มแจ่มใสคุยกันถูกคอ เรไร สีหน้าเครียดขรึมลงไปเพราะตัดสินใจเด็ดขาดแน่นอนแล้ว

       เสมาวิ่งลัดเลาะลอบเข้ามาทางท้ายเรือนขุนรามเดชะเห็นแขกเหรื่อคุยกันอย่างยิ้มแย้มแจ่มใสและทยอยกันขึ้นไปบนเรือน เสมาขบกรามแน่น ก่อนจะชักดาบออกมา
       ขันนั่งคู่กับเรไรต่อหน้าพระยาผู้ใหญ่ที่เป็นเหมือนประธานในพิธี โดยมีผู้ใหญ่ฝ่ายชายคืออำพันนั่งอยู่ใกล้ๆขัน ส่วนผู้ใหญ่ฝ่ายหญิงคือขุนรามเดชะและลำภูนั่งอยู่ใกล้ๆเรไร
       “ได้เพลาฤกษ์แล้ว เริ่มพิธีเถิดออกขุน” พระยาซึ่งเป็นประธานพิธีกล่าวขึ้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
       เรไรแอบยื่นมือเข้าไปในชายพก จับด้ามมีดไว้แน่น
       “ขอรับท่านเจ้าคุณ” ขุนรามเดชะรับคำก่อนหันไปพูดกับเรไรและขัน
       “แม่เรไร พ่อขัน...”
       ทันใดนั้น เสมาก็ถือดาบวิ่งขึ้นมาบนเรือน ท่ามกลางความตกใจของทุกคน
       “ช้าก่อนพระคุณ ฟังข้าพระเจ้าก่อนเถิด”
       “เสมา” เรไรเรียกขึ้นพลางจะเดินลุกไปหาเสมา แต่ลำภูรีบจับข้อมือไว้
       “ นี่มึงกล้าถือดาบขึ้นเรือนกูเชียวรึอ้ายเสมา” ขุนรามเดชะตวาดเสียงดัง
       “เมตตาฟังก่อนเถิดขอรับพระคุณ ข้าพระเจ้าไม่ได้คิดหยามหมิ่นพระคุณเลย แต่ด้วยจวนตัวแล้วจึงจำต้องทำ”
       พันอินเห็นท่ากลัวเรื่องจะบานปลายหนักจึงว่า
       “จะด้วยเหตุกระไร ก็วางดาบก่อนเถิด ค่อยพูดค่อยจากันก็ยังไม่สาย”
       ขัน และพุฒ หันไปสบตากันถือว่าได้โอกาสงามที่กำจัดเสมา
       พุฒพูดสวนขึ้นทันที
       “ถึงขั้นนี้แล้ว ยังจะต้องพูดกระไรกันอีก”
       พุฒตะโกนเรียก
       “เหวย มีใครอยู่บ้างวะ ขึ้นมาจับอ้ายเสมาโดยเร็ว”
       ขาดคำ ลูกน้องขันนับสิบคนก็ถือดาบขึ้นเรือนมาล้อมเสมาไว้
       เสมากระชับดาบแน่นเตรียมสู้เต็มที่
       “งานมงคล ยังตระเตรียมผู้คนแลอาวุธครบมือเช่นนี้ อุบายครานี้ของท่านร้ายนักหมื่นชาญณรงค์”
       “รีบเก็บดาบซีพ่อขัน งานมงคลจะให้มีเลือดตกยางออกได้อย่างไร” อำพันบอก
       “แม่ท่านอย่าหลงกลอ้ายเสมามัน ต่อหน้าออกญาผู้ใหญ่หลายท่านมันยังกล้าเหิมเกริมถือดาบขึ้นมาบนเรือน แล้วจะละไว้ได้อย่างไรกัน”
       ขันสั่งลูกน้อง
       “เฮ้ย จับตายมัน”
       เรไรดึงมือออกแล้วชักมีดออกมา พูดเสียงเข้มว่า
       “หากขุนศึกไชยชาญตาย ฉันก็ขอตายตาม”
       ทุกคนพากันตกใจมากกว่าเดิม ที่เห็นเรไรชักมีดออกมา ขุนรามเดชะและลำภูตกใจมาก คิดไม่ถึงว่าเรไรจะรักเสมามากขนาดยอมสละชีวิต บัวเผื่อนยิ้มขำๆ หันไปพูดกับดวงแข
       “ผิดปากฉันหรือไม่เล่าแม่ดวงแข นึกแล้วว่างานแต่งแม่เรไรต้องล้ม”
       ดวงแขโมโห
       “รู้จักเวล่ำเวลาบ้างเถิดแม่บัวเผื่อน”
       ดวงแขเดินไปพูดกับเรไร
       “เก็บมีดก่อนแม่เรไร ไม่เห็นแก่ฉัน ก็นึกถึงหน้าตาของท่านอาขุนรามบ้างเถิด”
       เรไรหน้าเสียพอคิดถึงพ่อแม่ก็รู้สึกผิดสุดๆ
       “แม่เรไร วางมีดลงก่อนเถอะลูก”
       ทันใดนั้นเองพระยาอีกคนหนึ่งก็เดินขึ้นมาบนเรือน พร้อมกับทหารตามหลัง ทหารคนหนึ่ง ถือม้วนพระราชโอการด้วย พระยาพูดเสียงดัง
       “มีพระบรมราชโองการ ผู้ใดไม่เก็บดาบ ถือเป็นกบฏทั้งสิ้น”
       เสมา และทุกคนพากันตกใจที่จู่ๆก็มีพระบรมราชโองการมา เสมารีบวางดาบ แล้วคุกเข่าลงพนมมือ
       พระยาหันไปรับม้วนพระราชโองการจากทหารมาแล้วจบหัวก่อนจะเปิดออกอ่าน
       “มีพระบรมราชโองการ ให้บรรดาทหาร ขุนนาง อำมาตย์ อีกทั้งข้าหลวงนางในทั้งปวง จงเร่งกลับเข้าสู่เขตพระราชฐานโดยพลัน แลรายล้อมพระราชวังไว้ มิให้ผู้ใดเข้าไปได้โดยเด็ดขาด ผู้ใดมิทำหน้าที่ของตนให้ประหารเสีย”
       พระยาเอาพระบรมราชโองการจบหัวแล้วส่งคืนให้ทหารรับไป เสมาและเรไรหันมาชำเลืองมองกันคิดตรงกันว่า พระบรมราชโองการมาทันเวลาพอดี เรไรจึงพ้นจากงานแต่งงานได้อย่างหวิดหวิด แถมไม่ต้องมีเรื่องด้วย ขันนึกเจ็บใจที่ไม่ได้แต่งกับเรไรอีกแล้ว
       “เหตุใดต้องไปโดยพลัน รอสักชั่วครู่ชั่วยามไม่ได้เทียวรึ ข้าพระเจ้ากำลังประกอบพิธีแต่งงานอยู่นะขอรับท่านเจ้าคุณ”
       พระยาสีหน้าเศร้าลง
       “ฉันรู้ แต่ล้มเลิกพิธีก่อนเถิด ด้วยเพลานี้ สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวเสด็จสู่สวรรคาลัยแล้ว”
       ทุกคนตกใจที่สมเด็จพระมหาธรรมราชาเสด็จสวรรคต ต่างคนต่างหน้าเศร้า นึกไม่ถึง ทุกคนพากันหันหน้าไปทางทิศที่พระราชวังตั้งอยู่ แล้วก้มลงกราบถวายบังคมลาโดยพร้อมกัน

       ในตลาด … ทหารคนหนึ่งขี่ม้าเข้ามา พร้อมกับตะโกนบอกข่าวการสวรรคต
       “ พ่ออยู่หัว เสด็จสู่สวรรคาลัยแล้ว...พ่ออยู่หัวเสด็จสู่สวรรคาลัยแล้ว...พ่ออยู่หัว เสด็จสู่สวรรคาลัยแล้ว”
       บรรดาชาวบ้านชาย-หญิงที่รู้ข่าวข่าวต่างตกใจ บางคนก็จับกลุ่มคุยกันเรื่องการสวรรคตของ
       พระมหาธรรมราชา ชาวบ้านแต่ละคนมีหน้าตาเศร้าหมอง บางคนก็ถอนใจด้วยท่าทางสลดหดหู่ บ้างก็คุกเข่าหันหน้าไปทางพระมหาราชวังแล้วถวายบังคม

       ท้องพระโรงกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระนเรศวรในชุดทรงแบบกษัตริย์เต็มยศ บนพระเศียรสวมพระมหาพิชัยมงกุฎเสด็จผ่านเหล่าขุนนาง ข้าหลวง มหาดเล็ก ที่ต่างนั่งคุกเข่าหมอบกราบอยู่กับพื้น
       สมเด็จพระนเรศวรเสด็จมาถึงหน้าบัลลังก์ พระเอกาทศรถทรงลุกขึ้นแล้วคุกเข่าลงถวายบังคม
       สมเด็จพระนเรศวรทรงนั่งลงบนบังลังก์ ใต้เศวตฉัตรเก้าชั้นอย่างสง่างามสมกับเป็นมหาราชเหนือกษัตริย์ทั่วไป

       สมเด็จพระมหาธรรมราชา เสด็จสวรรคต เมื่อวันอาทิตย์ แรม 13 ค่ำ เดือน 8 พุทธศักราช 2133 พระชนมายุ 75 พรรษา หลังจากนั้น สมเด็จพระนเรศวร ได้ทรงขึ้นครองราชย์ เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 2 แห่งราชวงศ์สุโขทัย ทรงพระนามว่าสมเด็จพระสรรเพชญที่ 2 ขณะมีพระชนมพรรษาได้เพียง 35 พรรษา

       สมเด็จพระนเรศวรทรงตรัสกับสมเด็จพระเอกาทศรถในท้องพระโรง
       “บัดนี้อโยธยาก็มั่นคงเป็นปึกแผ่นดีแล้ว ทั้งเสบียง เงินทองแลกองทัพก็พร้อมสรรพ พี่จึงเห็นควรว่าจะยกทัพไปตีเมืองละแวก เพื่อแก้คืนครั้งที่ละแวกซ้ำเติมเรา คราศึกหงสาประชิดพระนคร น้องเห็นว่าเป็นเช่นไร”
       “รี้พลอโยธยาในเพลานี้มีเรือนแสน นับว่าเข้มแข็งไม่แพ้ครั้งสมเด็จตา หากยกไปก็หาลำบากไม่ แต่ข้าพระพุทธเจ้าเกรงว่าหงสาจะฉวยโอกาสนี้บุกตีเรา”
       “หงสาพ่ายศึกคราก่อนบอบช้ำไม่น้อย แลหลายปีที่ผ่านมาต้องออกศึกปราบปรามบรรดาเมืองใหญ่น้อยที่ตั้งแข็งเมือง ไพร่พลจึงไม่เข้มแข็งดังก่อน คงไม่กล้ายกทัพมาตีเราในเพลานี้ดอก”
       “แต่...”
       “หากน้องกังวล ก็ให้เจ้าพระยาจักรีอยู่รักษาพระนคร เกลือกหงสายกมาก็ตั้งรับให้ได้หนึ่งเดือน เพลานั้นเราคงกลับมาช่วยทัน แต่หากเราไม่ตีละแวก ยามมีศึกเมื่อใด ละแวกก็ซ้ำเติมเราอยู่เช่นนี้ จะเป็นภัยยิ่งกว่า”
       “ตรัสถูกแล้ว พระพุทธเจ้าข้า”
       สมเด็จพระนเรศวรทรงยิ้มอย่างมั่นใจตั้งใจจะแก้คืนเมืองละแวกให้จงได้

       เจ็ดแปดวันต่อมา ในเวลากลางคืน ในท้องพระโรงเมืองหงสาวดี พระเจ้านันทบุเรงกำลังพิโรธพระมหาอุปราชาต่อหน้าขุนนางทุกคนเป็นการใหญ่
       “อโยธยาเพิ่งผลัดแผ่นดิน ลางทีอาจเกิดความวุ่นวาย ชิงแผ่นดินกันเอง ระหว่างองค์พระนเรศกับองค์พระเอกาทศรถก็เป็นได้ นับว่าเป็นโอกาสอันงาม เหตุใดเจ้าจึงบ่ายเบี่ยง ไม่ยอมทำการศึกเล่า”
       “ขอเดชะ มิใช่ว่าลูกจะเกียจคร้านการศึก แต่ด้วยโหรหลวงทำนายว่า พระชันษาข้าพระพุทธเจ้าร้ายนัก มิควรไปศึกในเพลานี้ ขอสมเด็จพ่อทรงพระกรุณาโปรดด้วยพระพุทธเจ้าข้า”
       “พระมหาธรรมราชาไม่เสียแรงมีบุตร การสงครามไม่พักให้พระราชบิดาต้องใช้เลย ต้องคอยห้ามเสียด้วยซ้ำ แลเจ้าว่าตนเองมีเคราะห์ร้าย เช่นนั้นก็อย่าไปเลย เอาผ้าผ่อนสตรีนุ่งเสียเถิด จักได้สิ้นเคราะห์”
       พระมหาอุปราชาอับอายสุดๆ แทบแทรกแผ่นดินหนีที่พ่อประชดว่าตนต่อหน้าเหล่าขุนนาง จนในที่สุดก็ต้องยอมออกศึกครั้งนี้

       เจ็ดแปดวันต่อมา เสมาในชุดทหารพร้อมออกศึก กำลังก้มลงกราบพระครูขุนแห่งวัดพุทไธสวรรย์ โดยพระครูขุนกำลังพรมน้ำมนต์พร้อมให้ศีลให้พร
       “ศึกครานี้ ขอให้เอ็งจงกลับมาอย่างปลอดภัย อย่าได้มีภัยใดมาแผ้วพานเลย”
       เสมาเอามือไหว้จบหัวรับพร
       “ศึกละแวกครานี้ ไม่น่าห่วงกระไร ทัพชัยของพระเจ้าอยู่หัวชำนะแน่ สำคัญแต่เอ็ง สิ้นศึกละแวกแล้ว จะก่อศึกในอโยธยาอีกหรือไม่” พระครูขุนว่า
       เสมาถึงกับหน้าจ๋อยไป
       “พิโธ่ หลวงพ่อขอรับ ใช่ข้าพระเจ้าอยากมีเรื่องมีความแต่วาสนาน้อย ศัตรูมาก จนใจเหลือเกินขอรับ”
       “ไม่มีสิ่งใดเหนือกรรมไปได้ดอก หากเอ็งตั้งมั่นในกรรมดีสักวัน เอ็งก็จะได้ผลที่ดีตอบแทน”
       เสมายกมือไหว้จบหัว รับพรหลวงพ่อ สินกับสมบุญเดินเข้ามาหาและคุกเข่ากราบพระครูขุน
       เสมาแปลกใจจึงถามขึ้น
       “ เหตุใดพวกเอ็งมาเร็วนัก ท่านเจ้าคุณให้มาตามรึ”
       “ ไม่ใช่ดอกพี่เสมา พวกเราไม่ต้องไปศึกละแวกแล้ว” สินพูดหน้าเครียด
       “ทำไมรึ”
       “หงสาวดียกทัพเข้ามาตีเราแล้ว เห็นว่าครานี้พระมหาอุปราชาทรงเป็นจอมทัพ พระเจ้าแปรแลพระราชบุตรตองอูก็มาด้วย เป็นทัพกษัตริย์ถึงสามทัพ พลกว่าสองแสนสี่หมื่นเทียว” สมบุญบอก
       “พวกเรามัวแต่จะทำศึกละแวกจึงไม่ระวัง บัดนี้ทัพหงสาผ่านด่านเจดีย์สามองค์ ใกล้ถึงพระนครแล้ว”
       เสมาตกใจมาก ไม่คิดว่าศัตรูสำคัญมาจ่อคอหอยเร็วขนาดนี้

       สมเด็จพระนเรศวรเสด็จพระราชดำเนินมากับสมเด็จพระเอกาทศรถ ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
       “เพราะพี่ไม่ฟังคำน้อง กระทำการโดยประมาท คิดแต่จะตีละแวกฝ่ายเดียว จึงถูกหงสาตีตลบหลัง ตามที่น้องว่าไว้ไม่มีผิด”
       “อย่าทรงโทษองค์เองเลย พระมหาอุปราชายกทัพมาครานี้ รวดเร็วดังลมพัด มิว่าผู้ใดก็คิดไม่ถึงดอกพระพุทธเจ้าข้า”
       “แต่จตุรงคบาทช้างทรงของพี่น่ะซี ปลดไปสิ้นด้วยสูงวัยแล้ว ศึกละแวกครานี้ พี่วางแผนจะล้อมเมืองมิได้รบกลางแปลง จึงมิได้คัดเลือกผู้ใดมาแทน หากต้องรบกลางแปลงกับหงสาคงเสียเปรียบนัก”
       “เช่นนั้นก็จัดคัดเลือกเสียในเพลานี้เถิดพระพุทธเจ้าข้า ไพร่พลเรามีเรือนแสนคงหาคนดีมีฝีมือไม่ยากนัก”
       “มีพระบรมราชโองการลงไปให้ทหารที่ชำนาญดาบสองมือทั้งปวง จงมาประลองฝีมือเพื่อคัดเลือกเป็น
       จตุรงคบาทแห่งเรา”

       ภายในตำหนัก ขณะที่เรไรกำลังห่อหมากเป็นคำๆแล้วจัดใส่พาน เพื่อเอาไปให้บรรดาข้าหลวง เรไรได้ยินเสียงเสมาดังขึ้น
       “หากแม่หญิงเมตตา ขอหมากให้ข้าพระเจ้าสักคำได้หรือไม่”
       เรไรหันกลับไปเห็นเสมาก็ตกใจมาก
       “มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ที่นี่เป็นเขตพระราชฐานชั้นใน หากไม่มีรับสั่ง ผู้ใดเข้ามาโทษถึงตัดคอเชียว”
       เสมายิ้มขำๆ
       “มิต้องกังวลดอกแม่หญิง ข้าพระเจ้ามาตามรับสั่งด้วยจักมีการประลองดาบเพื่อคัดเลือกจตุรงคบาท เสมาจึงได้มีวาสนาเข้าวังใน”
       “เช่นนี้เอง ฉันพอได้ยินมาบ้าง จตุรงคบาทช้างทรงของพระพุทธเจ้าอยู่หัวถือเป็นที่สุดของผู้ร่ำเรียนดาบสองมือแล้ว ฉันขออวยพรให้เสมาจงมีชัยชำนะเถิด”
       เสมายิ้มกรุ้มกริ่มอีก
       “พรแม่หญิงนี้สำคัญนัก แต่เสมาอยากขอหมากอีกสักคำเพื่อจักได้เป็นมงคลแก่ตัว”
       “โลภมากนัก เท่าใดมิเคยพอ” เรไรพูดพลางมองค้อน
       เรไรหยิบหมากคำหนึ่งให้เสมา เสมาหยิบผ้าเช็ดหมากออกจากชายพก แล้วเอาห่อหมากที่เรไรให้ไว้
       เสมามองเรไรด้วยสายตารักใคร่ แม้เรไรจะเขินอาย แต่ก็มองเสมาด้วยสายตารักใคร่ไม่ต่างกัน

       ลานกว้างในวัง สมเด็จพระนเรศวรและสมเด็จพระเอกกาทศรถ ทรงประทับอยู่ โดยมีเสมา ขัน สมบุญ และทหารอีกมากมายที่ชำนาญดาบสองมือ นั่งคุกเข่าอยู่กับพื้นเพื่อเตรียมคัดเลือก ส่วนทหารอื่นเช่นพุฒ สิน ขุนรามเดชะ พันอิน ซึ่งไม่ได้คัดเลือก ก็นั่งคุกเข่าอยู่ใกล้ๆที่ประทับ
       สมเด็จพระนเรศวรทรงตรัสว่า
       “อีกไม่ช้าจะมีศึกใหญ่ การเปรียบฝีมือครานี้ จึงขอให้สู้กันแต่เพียงรู้แพ้แลชำนะ อย่าได้ถึงบาดเจ็บล้มตาย แลอย่าได้ผูกพยาบาทกันต่อไปภายหน้า”
       เสมา และทหารที่คัดเลือกพร้อมกันถวายบังคม
       “รับด้วยเกล้า พระพุทธเจ้าข้า”
       “เริ่มการประลองเปรียบฝีมือได้” สมเด็จพระเอกาทศรถตรัส

       เสมากำลังสู้กับทหารคนหนึ่งทั้งคู่สู้กันซักพัก เสมาก็กระแทกดาบคู่ต่อสู้หลุดแล้วเอาดาบจ่อคอ เป็นการพิสูจน์ผลแพ้ชนะ เสมากับทหารคนนั้น คุกเข่าลง ต่างไหว้ซึ่งกันและกันไม่ติดใจอีก สิน และสมบุญ ยืนมองเสมาด้วยความดีใจที่เสมาผ่านได้อย่างง่ายดาย
       สมบุญสู้กับทหารอีกคน ทั้งคู่สู้กันดุเดือดผลัดกันรุกรับ แต่ในที่สุด สมบุญก็เอาชนะได้ เสมาและ สิน ต่างดีใจที่เห็นสมบุญชนะเช่นกัน
       ขันกำลังสู้กับทหารอีกคน ขันลงมือหนัก คู่ต่อสู้ตั้งรับไม่ทันโดนขันต่อยจนปากแตกล้มลงกับพื้น ขุนรามเดชะ และพันอินมองฝีมือขันด้วยความพอใจ
       พุฒ มองมาทางกลุ่มของเสมาที่ยิ้มแย้มแจ่มใส ด้วยสายตาเจ้าเล่ห์มีแผนการ

       เสมา สมบุญ และทหารคนอื่นๆที่ผ่านเข้ารอบกำลังพักผ่อนกันอยู่ โดยที่สินคอยบีบนวดให้เสมาอยู่
       “อ้ายสิน ข้าก็ลงเปรียบฝีมือเหมือนกัน เหตุใดเอ็งนวดให้พี่เสมาผู้เดียวไม่นวดให้ข้าบ้างวะ” สมบุญถาม
       “หนอย น้ำมะหน้าอย่างเอ็ง จะให้ข้านวดให้รึ ไว้เป็นจัตุรงคบาทก่อนเถิดโว้ย ข้าอาจจักเมตตานวดให้” สินว่า
       สมบุญชี้หน้าสิน
       “เอ็งจำคำเอ็งไว้อ้ายสิน หากข้าได้เป็นจริง เอ็งต้องนวดให้ข้าอย่าบิดพลิ้วเชียว”
       “เลิกต่อล้อต่อเถียงกันเสียทีเถิด ประเดี๋ยวอ้ายสินนวดให้ข้าเสร็จ ข้าจะนวดให้เอ็งบ้างก็แล้วกัน” เสมาว่า
       “นวดให้มันทำกระไร อย่างไรเสียมันก็แพ้แน่พี่เสมา เพียงแค่ผ่านมาจนเหลือแปดคน ก็เกินวาสนามันแล้ว” สินบอก
       สมบุญหมั่นไส้เลยหยิบฝักดาบไล่ตีสิน สินก็คอยหลบแล้วหยิบฝักดาบอีกอันขึ้นสู้จนวุ่นวายไปหมดจน เสมาต้องร้องห้ามคอยปราม
       ขัน และพุฒที่แอบดูอยู่
       “ประลองมาจนเหลือแปดคน อีกคราเดียวก็จะได้ตัวจตุรงคบาทครบสี่แล้ว เหตุใดต้องเจออ้ายเสมาด้วย”
       “กล่าวเช่นนี้ เหมือนหมื่นชาญถอดใจยอมแพ้เสียแล้ว”
       ขันขบกรามแน่นด้วยความเจ็บใจ
       “แม้ฉันจะมีฝีมือรุดหน้าขึ้นมาก แต่อ้ายเสมาก็เหนือกว่าเดิมถึงจะแค้นใจเพียงใดแต่ก็คงต้องรับว่า ในเพลานี้จะหาผู้มีฝีมือในเชิงดาบสองมือเสมอด้วยอ้ายเสมายังยาก อย่าว่าแต่เหนือกว่าเลย” ขันว่า
       “ถ้าสู้ด้วยฝีมือดาบคงใช่ แต่หากสู้ด้วยปัญญาคงไม่แน่ดอก”
       ขันหันไปมองพุฒด้วยความสงสัย พุฒยิ้มเจ้าเล่ห์อย่างมีแผน

       มุมหนึ่งในวัง ขัน และพุฒกำลังยืนคุยกับพันอินโดยที่ลูกน้องขันยืนถือถาดใส่คนโทน้ำสมุนไพร
       กับจอกดื่มอยู่ พันอินถามขึ้นอย่างแปลกใจ
       “น้ำสมุนไพรรึ”
       ขันปั้นยิ้มแล้วว่า
       “ ใช่ขอรับ ข้าพระเจ้าได้น้ำสมุนไพรมา ดื่มแล้วชุ่มคอชื่นใจมีกำลังวังชานัก จึงอยากจะฝากไปให้ขุนศึกไชยชาญบ้าง แต่ข้าพระเจ้ากับออกขุนไม่ถูกกัน จึงขอไหว้วานท่านพันอินเอาไปให้แทน”
       “แล้วนึกกระไรขึ้นมา จู่ๆถึงจะฝากไปให้เล่า” พันอินถาม
       “ไม่มีกระไรดอกท่าน ฉันกับหมื่นชาญเห็นว่าเราหมางใจกันมานานแล้วจึงอยากผูกไมตรีด้วย อย่างไรเสีย เราก็เป็นข้าพระพุทธเจ้าอยู่หัวเช่นกัน หาควรไม่ที่จะโกรธเคืองกันเช่นนี้” พุฒว่า
       “หากพ่อทั้งสองคิดได้เช่นนั้นจริงก็เป็นกุศลนัก แต่อีกไม่กี่อึดใจ หมื่นชาญต้องประลองกับขุนศึก หากเอาของกินไปให้ตอนนี้คงไม่ควร”
       “ท่านพันอินคงเกรงว่าฉันจะวางยากระมัง” ขันว่า
       ขันหันไปหยิบจอก ก่อนจะเทน้ำสมุนไพรจากคนโทลงไป แล้วยกจอกขึ้นดื่มจนหมด แสดงความบริสุทธิ์ใจ
       “นอกจากฉันอยากผูกไมตรีแล้ว ฉันก็อยากประลองกับขุนศึก อย่างเป็นธรรมด้วย น้ำสมุนไพรนี้ดีนัก แม้จะประลองมาแล้วนับสิบรอบ แต่ก็หาเหน็ดเหนื่อยไม่ ฉันจึงอยากให้ขุนศึกได้ดื่มบ้าง จะได้ไม่เอาเปรียบกัน” ขันว่า
       พันอินคิดอยู่ครู่นึง เห็นขันจริงใจก็พยักหน้ารับ
       “เมื่อหัวหมื่นทั้งสองมีน้ำใจเผื่อแผ่เช่นนี้ ฉันก็จะเป็นธุระให้”
       พันอินรับถาดใส่คนโทจากลูกน้องขันมา แล้วเดินเลี่ยงไป
       ขัน และพุฒ มองตามแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์
       “ยาที่ฉันกินเมื่อครู่ ไม่มีผลแน่รึหมื่นทรง” ขันถามขึ้นอย่างลังเล
       “ไม่ดอก ฉันให้หมื่นชาญกินยาถอนไว้ก่อนแล้ว ต่อให้ดื่มจนหมดก็หาเป็นกระไรไม่ แต่กับอ้ายเสมาแล้ว... “ พุฒหัวเราะอย่างสะใจ
ขันแสยะยิ้มสะใจ งานนี้เสมาต้องแพ้เพราะหลงกลแน่ๆ
เวลาเย็นต่อมา ภายในศาลาในวัง เสมากำลังดื่มน้ำสมุนไพรอยู่ โดยมีพันอินยืนอยู่ใกล้ๆ เสมายิ้มแย้มดีใจ

       “รสดี ดื่มแล้วยังชุ่มคอนักขอรับพ่อพันอิน”
       เสมายื่นคืนจอกให้พันอิน พันอินยิ้มรับจอกมา
       “เช่นนี้ก็ดีแล้ว ถึงเพลาประลองเมื่อใดก็ขอให้เจ้าสู้ให้เต็มฝีมือ หากเจ้าได้เป็นจตุรงคบาทก็จะได้เป็นเกียรติแก่ตัวเจ้าเอง”
       “ขอบพระคุณขอรับ เสมาขอถือพรของพ่อเป็นมงคลคุ้มครองตัวข้าพระเจ้าต่อไปขอรับ”
       พันอินพยักหน้าพอใจ สินเดินเข้ามาหาเสมาแล้วบอก
       “ได้เพลาแล้วพี่เสมา รีบไปเถิด”
       เสมาพยักหน้ารับแล้วหันมาคุยกับพันอิน
       “ถ้ากระนั้นข้าพระเจ้าไปก่อนนะขอรับ”
       “ไปเถิด”
       พันอินอดมองตามเสมาไปด้วยความชื่นชมไม่ได้ เสมาเดินตามสินไป ใครจะไปคิดว่า พันอินจะกลายเป็นเครื่องมือให้กับพุฒและขันวางยาเสมา

       ลานกว้างในวัง สมเด็จพระนเรศวร กับ สมเด็จพระเอกาทศรถทรงทอดพระเนตรการประลองอยู่ที่พระที่นั่ง โดยขุนรามเดชะและกลุ่มทหารที่ไม่ได้ประลองจะนั่งอยู่ที่พื้นใกล้ๆพระองค์
       ทหารสองคนกำลังใช้ดาบสองมือสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย แม้สมเด็จพระนเรศวรจะทรงบอกให้สู้กันแต่รู้ผลแพ้ชนะแต่พอมาถึงรอบนี้ก็ไม่มีใครยอมใคร
       พระเอกาทศรถแย้มพระสรวลเล็กน้อยแล้วถวายบังคมพระเชษฐาธิราชพลางตรัสว่า
       “เก่งกาจพอกันทั้งคู่ คาดเดาไม่ออกว่าผู้ใดจะชำนะเลยพระพุทธเจ้าข้า”
       “ถึงแพ้ก็ควรตบรางวัลให้อย่างงาม ผู้มีฝีมือเช่นนี้ นับว่าหาตัวจับยากนัก” สมเด็จพระนเรศวรตรัส
       ทหารทั้งคู่สู้กันอย่างพลิกแพลงไปมาจนถึงช่วงแตกหัก ทหารคนหนึ่งดาบหลุดจากมือทั้งสองเล่ม แต่กลับพลิกตัวหลบแล้วเตะไปที่ข้อมือฝ่ายตรงข้ามจนดาบหลุด ก่อนจะรับดาบไว้ แล้วจ่อไปที่ท้องของฝ่ายตรงข้าม พลิกแพ้กลับมาชนะได้อย่างงดงาม
       ขุนรามเดชะ พันอิน และทหารคนอื่นๆต่างหันไปมองกันด้วยรอยยิ้ม พอใจในฝีมือของทหารคนนี้มาก
       คู่ต่อไป... สมบุญกำลังสู้กับทหารอีกคนหนึ่งอย่างดุเดือด ฝีมือสูสีจนเดาไม่ถูก เสมาและสินคุยกันอยู่
       “อ้ายสมบุญชำนะแน่พี่เสมา แม้เพลานี้จะก้ำกึ่ง แต่ออกขุนโยธาอายุมากกว่าถึงสิบปี หากสู้นานเข้า ย่อมแพ้แรงอ้ายสมบุญเป็นแน่”
       เสมาส่ายหน้าช้าๆแล้วบอก
       “ยังบอกยาก แม้สมบุญจะหนุ่มกว่า แต่ขุนโยธาผ่านศึกมามากนัก ใช่จักประมาทได้”
       สมบุญโหมตะลุยรุกไล่จนทหารคนนั้นต้องถอยร่น สมบุญใช้ท่าไม้ตายบุกเข้าใส่จนฝ่ายตรงข้ามเริ่มไม่เป็นกระบวน แต่เพียงชั่วพริบตา ทหารคนนั้นก็พลิกแพลงสวนเข้าให้อย่างรวดเร็ว แต่ใช้เพียงสันดาปเคาะไปที่คอของสมบุญเบาๆ ก่อนจะฉากหลบออกมา เรียกว่าถ้าใช้คมดาบ คอสมบุญต้องขาดไปแล้ว สมบุญยืนอึ้งอยู่ครู่นึง ก่อนจะคุกเข่าลงไหว้ทหารคนนั้นเป็นการยอมรับความพ่ายแพ้
       “พิโธ่เอ๋ย เกือบจะชำนะแล้ว เหตุใดชะล่าใจเช่นนี้วะ” สินบ่นเสียดายแทนเพื่อน
       “อย่าเสียดายเลย แพ้แล้วยอมรับว่าแพ้ นี่ต่างหากที่สมกับเป็นชายชาตินักสู้” เสมาบอกสินและยิ้มภูมิใจในตัวสมบุญ
       ฝ่ายขุนรามเดชะและพันอินยิ้มพอใจ
       “ทาสเก่าในเรือนออกขุนไม่ใช่รึ ชะรอยภายหน้า จะได้เป็นขุนศึกขุนพลคนหนึ่งเช่นกัน”
       ขุนรามเดชะพยักหน้าพอใจ
       “ครูมันดี จึงสั่งสอนมันได้ถึงเพียงนี้” พูโล้วขุนรามเดชะก็หันไปมองหน้าเสมา
       เสมานั่งนิ่งๆ แต่สีหน้าแววตาเต็มไปด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม จนได้เวลาประลอง เสมาและขันเดินถือดาบคู่มือเข้ามาที่กลางลาน ทั้งคู่ตั้งท่า ไม่นานนักก็บุกตะลุยเข้าใส่กันทันที สู้กันมาหลายครั้ง ไม่ต้องดูเชิงให้เสียเวลา ขันบุกตะลุยไม่ยั้ง เสมารับได้พักหนึ่งก็บุกกลับ จนขันถอยร่น หน้าตาซีดเผือด แต่ขันก็ไม่ยอมแพ้ บุกลุยเข้ามาอีก แต่ก็เจอเสมาบุกกลับจนต้องตั้งรับฝ่ายเดียว
       “หมื่นชาญช่างโชคร้าย หากสู้กับผู้อื่นยังคู่คี่ แต่กับอ้ายเสมายังห่างชั้นกันอยู่มากนัก” พันอินพูดขึ้น
       ขุนรามเดชะถอนหายใจ
       “เสียดายฝีมือดาบมันนัก หากมิใช่มันคิดคดใฝ่สูงจนเกินศักดิ์ก็คงมิต้องตกในสภาพเช่นนี้”
       เสมาบุกเข้าใส่ขัน ใช้ไม้ตายโหมฟันเข้าไปหลายทีจนขันต้องตั้งรับเป็นพัลวัน ใกล้จะแพ้เต็มที
       “ไม่รอดแน่อ้ายขัน” สินพูดกับสมบุญ
       ไม่คาดคิด...ทันใดนั้น เสมาก็มีอาการวิงเวียนขึ้นมา เสมาเห็นขันและทุกอย่างเบลอไปหมด ขันหันไปมองพุฒ พุฒพยักหน้าเป็นเชิงบอกว่ายาออกฤทธิ์แล้ว ขันร้องลั่นแล้วบุกตะลุยใช้ท่าไม้ตายใส่เสมาไม่ยั้ง เสมาตกใจตั้งรับแล้วถอยร่นอย่างไม่เป็นกระบวน
       “เหตุใดเป็นเช่นนี้วะ” สมบุญถามขึ้นด้วยความแปลกใจ
       สินเองก็งุนงงกับภาพที่เห็น ทางด้านขุนรามเดชะและพันอินก็กำลังคุยกันในเรื่องนี้อยู่เช่นกัน
       “กระไรกัน เมื่อครู่ยังได้เปรียบอยู่ โหมบุกไม่กี่อึดใจก็ชำนะแล้ว” พันอินว่า
       “อ้ายเสมาคงประมาทจงใจอ่อนข้อเพื่อหยอกพ่อขันเล่นกระมัง ช่างไม่สมเป็นชายชาติทหารเอาเสียเลย” ขุนรามเดชะพูดอย่างมีอคติกับเสมา
       เสมาเริ่มเวียนหัวไม่มีเรี่ยวแรงในการตอบโต้ ฝ่ายขันก็ชิงบุกหนักทันทีและฟันใส่ เสมาพลิกตัวหลบไปได้หวุดหวิด แต่ก็โดนดาบฟันใส่ที่ต้นแขนจนเลือดออกแต่ไม่ลึกมากนัก”
       สมเด็จพระนเรศวรซึ่งทอดพระเนตรการประลอง ทรงตรัสขึ้นอย่างไม่พอพระทัย
       “ว่าให้แต่พอรู้แพ้แลชำนะ เหตุใดลงมือหนักเช่นนี้”
       “หากสู้ต่อเกรงว่าจะเจ็บหนัก สั่งหยุดดีหรือไม่พระพุทธเจ้าข้า” สมเด็จพระเอกาทศรถกราบบังคมทูล
       สมเด็จพระนเรศวรทรงลังเลพระทัยว่าจะเอายังไงดี
       ขณะที่เสมาโดนขันบุกหนักจนถูกฟันที่ต้นขาเลือดออกไปอีก
       “หยุด...” สมเด็จพระนเรศวรทรงตรัสไม่ทันจบ
       ขณะนั้น เสมาก็ใช้มือตัวเองจับคมดาบแล้วดึงออกเพื่อ ให้ดาบบาดฝ่ามือ เสมาร้องลั่นอย่างเจ็บปวดเพื่อเรียกสติกลับมา เสมากัดฟันระดมบุกใส่ขันอย่างบ้าคลั่ง ขันตกใจเลยได้แต่ตั้งรับเป็นพัลวัน เสมาระดมไม้ตายประเคนใส่กะเอาชนะขันให้ได้ก่อนที่ตนจะล้มลง
       ในที่สุด เสมาก็ใช้แรงเฮือกสุดท้ายบุกหนักโหมฟันจนดาบของขันหลุดมือ แล้วใช้ดาบจ่อคอขันเอาไว้จนได้ สิน สมบุญและบรรดาทหารต่างเฮกันลั่น สะใจที่เสมาเป็นผู้ชนะ ขันหน้าเสียทั้งเจ็บทั้งอาย พุฒยิ่งเจ็บใจมากเพราะทุกอย่างผิดแผนไปหมด
       สมเด็จพระนเรศวร กับ สมเด็จพระเอกาทศรถ ทั้งสองพระองค์แย้มพระสรวลให้กันอย่างดีพระทัย
       ที่มีทหารเก่งกาจแบบนี้ในบ้านเมือง

       เวลาต่อมา มั่นและบุญเรือนประคองเสมาที่มีอาการมึนงงจากฤทธิ์ยาและบาดเจ็บ แผลที่ได้รับบาดเจ็บถูกพันด้วยผ้าห้ามเลือดไว้อย่างหลวมๆ ฝ่ายสินกับสมบุญถือดาบห่อผ้าของเสมาตามหลังมา เอื้อยแตงเดินถือหม้อข้าวดินเผาออกมาจากในเรือน พอเห็นเสมาบาดเจ็บก็ตกใจ รีบวางหม้อข้าวแล้วเข้าไปหาเสมาทันที
       “นี่เจ็บถึงเพียงนี้เชียวรึพี่เสมา เกิดกระไรขึ้น” เอื้อยแตงถามขึ้น
       “ฝีมืออ้ายขันน่ะซี แต่แปลกนักทุกทีมันแพ้ฝีมือพี่เสมา แต่เหตุใดครานี้ถึงได้เก่งกาจนัก” สินบอก
       “อย่าเพิ่งพูดเลย รีบพาอ้ายเสมาไปพักก่อนเถิด” บุญเรือนพูดด้วยความเป็นห่วงลูก
       ทุกคนช่วยกันพาเสมาเข้ามาในบ้านแล้วประคองนั่งลงพักผ่อน มั่นจับหน้าผากเสมาก็รู้สึกแปลกใจ
       “เหตุใดตัวเย็นเช่นนี้เล่า เสมาเป็นกระไรบ้าง”
       เสมาพยายามจะตอบ แต่อาการวิงเวียนศีรษะทำให้ไม่มีแรงจนในที่สุดก็สลบเหมือดไป
       ทุกคนต่างตกใจ ทั้งเรียกทั้งเขย่าตัวเสมากันยกใหญ่ แต่เสมาก็สลบไสลไม่ได้สติ

       ในบ้านของพันอินเมื่อตอนหัวค่ำ พันอินและศรีเมืองซึ่งยืนอยู่ใกล้ตกใจมากที่สินกับสมบุญบอกว่า เสมาโดนวางยา
       “เช่นนี้มันหาเรื่องกันแล้ว อ้ายเสมามันเจ็บป่วยได้ไข้ เหตุใดถึงมาโทษฉันเล่า” พันอินพูดขึ้นอย่างโมโห
       “หากได้ไข้ทั่วไปก็ไม่กระไรดอก แต่หมอบอกว่า พี่เสมาถูกวางยา เพลานี้ยังไม่ฟื้นเลย”
       “โดนวางยารึ เป็นไปได้กระไร ก็พี่เสมาชำนะประลองจนได้เป็นจตุรงคบาทไม่ใช่รึ” ศรีเมืองถามขึ้นอย่างตกใจ
       “ที่ชำนะก็เพราะพี่เสมาอดทนดอก แต่กว่าจักชำนะก็หนักหนานัก แม่ศรีเมืองลองไปดูพี่เสมาที่เรือนก็จักเห็นเอง”
       ศรีเมืองชำเลืองมองพันอินด้วยความเป็นห่วงเสมาแต่ไม่กล้าแสดงออกนอกหน้ามาก
       พันอินถอนใจหน้าเครียดพลางถาม
       “แล้วผู้ใดที่วางยาเสมา พวกเอ็งรู้หรือไม่”
       “ยังจะถามอีกรึพ่อพัน ทั้งวันพี่เสมากินกระไร ฉันก็กินเช่นนั้น มีแต่ตอนที่พ่อพันเอาน้ำสมุนไพรนั่นให้พี่เสมากินเท่านั้นหล่ะแล้วจะไม่ให้ฉันมาถามพ่อพันได้รึ” สินว่า
       “นี่พวกเอ็งหาว่าข้าวางยารึ หยามกันเช่นนี้ก็อย่านับถือกันต่อไปเลย”
       “แต่มันก็น่าระแวงไม่ใช่รึ เพราะพ่อพันอินรังเกียจพี่เสมา หันไปคบค้าสนิทกับหมื่นชาญ หมื่นทรงอยู่นานแล้ว หากจะเข้าข้างหมื่นชาญก็หาแปลกไม่” สมบุญว่า
       “เมื่อพวกเอ็งเห็นพันอินทราชเป็นคนเช่นนั้น ก็ไปแจ้งนครบาลมาจับกุมซีวะ หาไม่แล้วก็ไปให้พ้นเรือนข้าประเดี๋ยวนี้”
       สินและสมบุญมองพันอินด้วยสายตาโกรธเคือง แต่ไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่านี้เพราะพันอินเป็นพ่อบุญธรรมของเสมาจึงพากันเดินลงจากเรือนไป
       ศรีเมือง ถามขึ้นด้วยความแปลกใจ
       “น้ำสมุนไพรกระไรหรือจ๊ะพ่อ”
       พันอินนิ่งเงียบไป แต่พอคิดดีๆก็ชักระแวงขึ้นมา หรือพันอินจะขันกับพุฒถูกหลอกใช้เข้าให้แล้ว

       ภายในบ้านของขันในเวลาต่อมา ขันและพุฒกำลังคุยกับพันอินอยู่
       “ฉันก็กินน้ำนั่นให้ดูต่อหน้าแล้ว เหตุใดท่านพันยังมาสงสัยฉันอีก” ขันว่า
       “ก็เพราะเช่นนั้น ฉันถึงมาถามก่อนไงเล่า หมื่นชาญกับเสมามีความแค้นกันมานานนัก แลต้องประลองกันอีก หากจะลอบทำร้ายกันโดยหลอกใช้ฉันจะแปลกอันใด”
       “ถ้ารู้เช่นนี้ ฉันไม่ให้น้ำสมุนไพรนั่นไปดอก ทำคุณบูชาโทษแท้” ขันแกล้งพูดด้วยความโมโห
       “อ้ายเสมาหาใช่คนดีไม่ ท่านพันอินก็เคืองมันอยู่ไม่ใช่รึ แล้วจะมาถามแทนมันเพื่อกระไร” พุฒว่า
       “ถึงฉันจะไม่ชอบที่อ้ายเสมามันเนรคุณ แต่เรื่องต่ำช้าถึงขั้นลอบทำร้ายทำลายคนอื่นลับหลัง ฉันไม่เคยคิด หากหัวหมื่นทั้งสองทำจริงก็บอกมา หนักจะได้เป็นเบา” พันอินว่า
       “ฉันขอสาบาน หากฉันวางยาอ้ายเสมาก็ขอให้บั้นปลายต้องเสื่อมลาภวาสนา กลายเป็นคนพิกลพิการเถิด” พุฒสาบานไปตามเรื่อง
       “ฉันก็ขอสาบานเช่นกัน เช่นนี้พ่อพันอินพอใจหรือไม่” ขันว่า
       “เมื่อสัตย์สาบานด้วยถ้อยคำสาหัสเช่นนี้ ฉันก็ไม่ติดใจแล้ว”
       เมื่อพันอินเดินเลี่ยงลงจากเรือนไป ขันมองตามด้วยความหงุดหงิดพลางว่า
       “อ้ายเฒ่าสู่รู้มากนัก”
       “แต่การนี้ก็ผิดคาดไปมากนัก ไม่คิดว่าอ้ายเสมาจะอดทนถึงเพียงนี้ เป็นผู้อื่นคงสลบไปกลางการประลองแล้ว” พุฒว่า
       “อ้ายเสมา มึงเกิดมาเป็นมารขวางกูโดยแท้ ทั้งหัวใจ ทั้งยศศักดิ์ ชาตินี้ไม่เป็นทีของกูบ้างก็ให้มันรู้ไป” ขันพูดด้วยสีหน้าเจ็บแค้นใจอย่างที่สุด

       ภายในห้องนอนของเสมา ประตูห้องถูกเปิดไว้เพื่อไม่ให้เป็นที่ครหา เอื้อยแตงกำลังเช็ดตัวให้เสมาอยู่ สีหน้าของเอื้อยแตงเต็มไปด้วยความสุขที่ได้ดูแล เสมามีอาการไข้ขึ้นและละเมอ
       “น้ำ...ขอน้ำให้ฉัน...”
       เอื้อยแตงเทน้ำจากเหยือกใส่จอก แล้วค่อยๆประคองเสมาขึ้นมาเพื่อจิบน้ำ ก่อนจะประคองให้นอนลงไป เอื้อยแตงยิ้มอย่างมีความสุข
       “นอนเช่นนี้แม้จะน่าสงสาร แต่ก็มีข้อดีอยู่ คือมิต้องไปเจ้าชู้กับหญิงอื่นอีก”
       เอื้อยแตงบีบจมูกเสมาเล่น ขณะนั้น สินกำลังจะเข้าไปเยี่ยมเสมา แต่พอเห็นเอื้อยแตงกำลังหยอกล้อเสมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มก็อึ้งไป ก่อนจะเดินเลี่ยงออกมาด้วยสีหน้าเจื่อนไป
       เอื้อยแตงเช็ดตัวให้เสมาอย่างมีความสุขต่อไป เสียงเสมาละเมอขึ้นอีก
       “แม่หญิง แม่หญิงเรไร...”
       เอื้อยแตงหน้าจ๋อยลงไปทันทีที่เสมาละเมอชื่อเรไรออกมาแสดงว่าในใจเสมามีแต่เรไรเท่านั้น เอื้อยแตงอดน้อยใจปนหมั่นไส้ไม่ได้จึงกางผ้าขนหนูคลุมหน้าเสมาแล้วค้อนใส่
       “หายใจไม่ออกตายไปเลยยิ่งดี”

       ผ่านเวลาเล็กน้อย สินนั่งหงุดหงิด โมโหหึงอยู่ที่ท้ายเรือน เอื้อยแตงเดินถืออ่างกับผ้าที่เช็ดตัวเข้ามาพอดี เอื้อยแตงเทน้ำทิ้งแล้วตักน้ำจากโอ่งเปลี่ยนให้ ก่อนจะเอาผ้าไปซัก สินเห็นเอื้อยแตงดูแลเสมาอย่างดีก็ยิ่งหงุดหงิดกระฟัดกระเฟียด เอื้อยแตงเหล่มองสินแล้วว่า
       “เป็นกระไรของเอ็งออสิน มืดค่ำแล้วยังไม่กลับบ้านกลับช่องอีกรึ”
       สินทนไม่ไหว เดินเข้ามาหาเอื้อยแตง
       “เลิกหวังเสียทีเถิด พี่เสมาคิดกับเอ็งเช่นน้อง ไม่มีวันมองเอ็งเป็นอื่นดอกแม่เอื้อย”
       “พูดกระไรของเอ็ง เป็นบ้ารึอ้ายสิน”
       “เออ ข้าบ้า ทั้งที่เอ็งไม่เคยชอบพอข้า ข้าก็ยังบ้ารักเอ็ง แต่เอ็งก็บ้าเช่นกัน รู้ว่าใจพี่เสมามีแต่แม่หญิงเรไร เอ็งก็ยังไม่เลิกหวัง เหตุใดเอ็งไม่มองคน...”
       พูดไม่ทันจบ เอื้อยแตงก็ตบหน้าสินเข้าเต็มๆแล้ว ตวาดใส่ทั้งน้ำตาคลอ
       “ข้าจะเป็นเช่นไร ชอบผู้ใดมันก็เรื่องของข้า เอ็งไม่ต้องมาสอด”
       เอื้อยแตงหยิบอ่างใส่น้ำกับผ้าแล้วเดินลิ่วหนีกลับเข้าไปด้วยความโมโห สินได้แต่มองตามด้วยความเสียใจที่ไม่น่าพูดแบบนั้นเลย คิดแล้วตบปากตัวเองไปมาแล้วบ่นด้วยความหงุดหงิด
       “ปากเสียนักอ้ายสิน”

       เช้าวันรุ่งขึ้น เสมาค่อยๆลืมตาตื่นขึ้น พอตื่นขึ้นมาก็เห็นเอื้อยแตงนั่งหลับ หัวพิงข้างฝาด้วยความอ่อนเพลียเพราะเฝ้าไข้เสมาทั้งคืน
       “เอื้อยแตง”
       เอื้อยแตงรู้สึกตัวตื่นแล้วรีบเข้ามาหาเสมาพลางจับที่เนื้อตัว
       “ ฟื้นแล้วรึพี่เสมา เป็นกระไรบ้าง ตัวเย็นแล้ว ดีจริง”
       “นี่เอ็งเฝ้าไข้พี่ทั้งคืนเลยรึ”
       เสมาจับมือเอื้อยแตงด้วยความรู้สึกขอบใจ
       “ขอบน้ำใจนักเอื้อยแตงเอ๋ย”
       เอื้อยแตงเห็นเสมาจับมือตนก็ยิ้มเขิน
       ขณะนั้นเอง มั่นและบุญเรือนก็เข้ามาในห้อง เสมารีบปล่อยมือจากเอื้อยแตง บุญเรือนดีใจ รีบเข้ามาหาลูก
       “หายไข้แล้วรึเสมา”
       “จ้ะแม่ ดีขึ้นมากแล้ว นี่ยามกระไรแล้วจ๊ะแม่ ใกล้เพลาไปศึกแล้วหรือไม่”
       “นี่เอ็งยังคิดจะไปศึกอีกรึ เจ็บเพียงนี้จะไปทำกระไร”
       “ไม่เจ็บเท่าใดดอกแม่ ฉันสู้อดทนจนได้เป็นจตุรงคบาทแล้ว จะให้พลาดศึกครานี้ได้อย่างไร”
       บุญเรือนและมั่นหันไปมองหน้ากันด้วยความอ่อนใจ
       “เมื่อเอ็งคิดเช่นนั้น ก็ตามใจเถิด ขอให้เอ็งจงปลอดภัยมีชัยชำนะต่อข้าศึกทั้งปวง” มั่นบอก
       เสมาคุกเข่าก้มลงกราบรับพรจากพ่อ

       ยามสาย … สมเด็จพระนเรศวรกับสมเด็จพระเอกาทศรถขึ้นช้างทรงพร้อมด้วยเหล่าทหารมากมายตามหลังเพื่อไปทำศึก ราษฎรสองข้างทางหมอบกราบอยู่กับพื้นเพื่อส่งเสด็จ ที่ท้ายขบวนบรรดาชาวบ้านมาส่งทหารที่ไปศึก บ้างก็เอาของให้ บ้างก็ร่ำลากัน ฯลฯ
       เสมาในชุดเครื่องแบบทหารขี่ม้าอยู่ ศรีเมืองกำลังมอบพวงมาลัยดอกรักให้กับเสมา
       “ฉันห่วงใยพี่นัก เกรงว่าพี่จักเจ็บหนัก แต่เห็นพี่แข็งแรงเช่นนี้ก็ให้ดีใจเหลือเกิน”
       “ขอบน้ำใจเจ้านักศรีเมือง พี่จักเก็บมาลัยของเจ้าไว้ เป็นมงคลแก่พี่”
       ศรีเมืองเขินอาย
       “แล้วพี่รู้หรือไม่ ว่ามาลัยดอกรักนี้...”
       ขณะนั้น เสมาเหลือบไปเห็นเรไร ศรีเมืองหันมองตามทางสายตาเสมาไป ศรีเมืองหน้าจ๋อยไปทันที เสมารีบตัดบท
       “พี่ต้องไปแล้ว ขอให้เจ้าจำเริญเถิดศรีเมือง”
       “ขอให้พี่แคล้วคลาดจากภยันตรายทั้งปวงนะจ๊ะ”
       เสมาไม่ทันฟังศรีเมืองจนจบคำก็ขี่ม้าเหยาะๆ ไปหาเรไรทันที เล่นเอาศรีเมืองจ๋อยสนิท เสมารีบลงจากม้าพลางยิ้มแย้มให้เรไรอย่างดีใจ
       “แม่หญิงเรไร ข้าพระเจ้าโชคดีนักที่ได้เห็นหน้าแม่หญิง”
       เรไรเหล่พวงมาลัยในมือเสมาแล้วหันไปมองศรีเมืองนิดนึงแล้วกล่าวว่า
       “คราแรกฉันรู้ข่าวว่าขุนศึกท่านเจ็บไม่น้อย แต่เห็นเช่นนี้ก็ให้เสียดายนัก ไม่น่ารีบร้อนออกจากวังมาเลยเทียว”
       เสมาทำยิ้มกรุ้มกริ่ม
       “หากแม่หญิงจะออกจากวัง แต่เฉพาะที่เสมาเจ็บหนัก เสมาก็ขอเจ็บเจียนตายเพื่อให้ได้เห็นหน้าแม่หญิงอยู่ทุกวัน”
       เรไรตีแขนเสมาเบาๆแล้วทำหน้าดุ
       “ปากพล่อยนัก จะไปศึกสงคราม พูดเช่นนี้ได้อย่างไร”
       เรไรเหลือบปลายตาไปที่พวงมาลัย
       “มาลัยดอกรักนี้งามนัก ดอกไม้อื่นคงสู้มิได้ ฉันคงไม่ต้องให้แล้วกระมัง”
       เสมาหน้าเจื่อนไป
       “มาลัยนี้แม่ศรีเมืองเป็นผู้ให้ เสมือนน้องอวยพรพี่จะเปรียบกับแม่หญิงได้กระไร”
       เสมาไม่เห็นเรไรเตรียมอะไรมาเลยจึงแอบน้อยใจ
       เรไรหยิบดอกจำปีจากชายพกขึ้นมา
       “ฉันมีดอกจำปีติดมาดอกเดียว มิรู้จะสู้มาลัยดอกรักได้หรือไม่”
       เสมาดีใจมากรีบรับดอกจำปีมาแล้วว่า
       “จะหาดอกไม้ใด เป็นมงคลแก่ข้าพระเจ้าเท่าดอกจำปีนี้เป็นไม่มีแล้ว”
       เรไรแอบทิ้งค้อนอย่างงอนๆ เสมายิ้มสู้มองเรไรด้วยสายตากรุ้มกริ่มจนเรไรได้แต่เขินอายแอบอมยิ้มอย่างมีความสุข
       ดวงแขยืนถือมาลัยที่ร้อยอย่างสวยงามมากพวกหนึ่งอยู่ท่ามกลางกลุ่มคน แต่เมื่อเห็นเสมาและเรไร แสดงความรักห่วงใยต่อกันอยู่ก็ริษยาจนออกนอกหน้า ดวงแขสะบัดหน้าพรืดเดินแทรกกลุ่มคนหายไปทันที
       เหตุการณ์ทั้งหมดก็ไม่พ้นสายตาของศรีเมือง ศรีเมืองมองตามดวงแขไป ด้วยสีหน้าติดใจสงสัยในความรู้สึกของดวงแขที่มีต่อเสมา

       ศรีเมืองกำลังเดินอยู่คนเดียวเพื่อจะกลับเข้าไปในวัง ขณะนั้นเอง เรไรก็เดินผ่านมาเห็นศรีเมืองเข้าพอดี พิณถือข้าวของเดินตามเรไรอยู่ข้างหลัง
       “แม่ศรีเมือง” เรไรทัก
       ศรีเมืองหันกลับไปมองตามเสียง พอเห็นเรไรก็เดินเข้าไปหาและยกมือไหว้
       “ฉันไหว้จ้ะแม่หญิง”
       เรไรรับไหว้
       “จะกลับวังหรือไม่แม่ศรีเมือง ถ้ากลับก็ไปเรือฉันซี ไม่ต้องเดิน”
       “อย่าเลยจ้ะ ฉันเกรงใจแม่หญิง”
       “ไม่ต้องเกรงใจดอก ฉันมีเรื่องอยากคุยกับแม่ศรีเมืองด้วย”
       ศรีเมืองรู้สึกแปลกใจในเรื่องที่เรไรจะคุยด้วย

       บนเรือกลางลำคลอง ทาสชายกำลังพายเรือให้เรไร ศรีเมือง และพิณซึ่งนั่งอยู่
       “ว่าจะพูดหลายวันแล้วก็ยังหาโอกาสมิได้ ฉันอยากขอบน้ำใจแม่ศรีเมืองนัก ที่ไปบอกขุนศึกไชยชาญ ว่าฉันจะเข้าพิธีแต่งงานกับหมื่นชาญ”
       “พิโธ่ นึกว่าเรื่องกระไร ไม่ต้องขอบอกขอบใจดอกจ้ะ เรื่องเพียงนี้เอง”
       เรไรมีบางเรื่องซึ่งคาใจมานานจึงตัดสินใจถามศรีเมืองตรงๆ
       “แต่ถ้าฉันออกเรือนไปเสีย แม่ศรีเมืองก็มีหวังในตัวขุนศึกมากขึ้นไม่ใช่รึ”
       พิณซึ่งนั่งอยู่สะดุ้งตกใจเพราะไม่คิดว่าเรไรจะกล้าพูด
       “แม่หญิงเจ้าคะ เหตุใดพูดเช่นนี้เล่าเจ้าคะ”
       ศรีเมืองหัวเราะแล้วว่า
       “ไม่เป็นไรดอกแม่พิณ แม่หญิงเรไรพูดตรงเช่นนี้ ฉันชอบ...แม่หญิงเจ้าคะ ฉันรักชอบพี่เสมา แม่หญิงก็แจ้งใจอยู่ แต่ฉันขอถามสักคำว่ารักของแม่หญิงคือกระไรเล่าเจ้าคะ”
       เรไรแปลกใจกับคำถามของศรีเมืองจนต้องคิดอยู่ครู่หนึ่ง
       “รักของฉันคือกระไรงั้นรึ เรื่องรักชอบก็มีอยู่ในตัวทุกผู้คน ฉันไม่เห็นจะผิดแผกแต่งต่างกันอย่างไรนี่จ๊ะ”
       “ผิดแผกแตกต่างซีเจ้าคะ เพราะรักของศรีเมืองคือ อยากเห็นคนที่ศรีเมืองรักเป็นสุข”
       เรไรชะงักไปเล็กน้อย
       “ศรีเมืองรู้ว่า ใจพี่เสมามีแต่แม่หญิงเพียงผู้เดียว หากต้องเสียแม่หญิงไป พี่เสมาจะเสียใจมากขนาดไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อเลยเทียว ศรีเมืองจึงไปบอกพี่เสมาเพื่อหาทางช่วยแม่หญิงไงเล่าเจ้าคะ”
       เรไรอึ้งไปทันที ไม่คิดว่าศรีเมืองจะคิดอะไรแบบนี้ ต่างจากตัวเองที่เอาแต่หึงหวงเสมาไม่ยอมให้ใคร ความต่างนี้ทำให้เรไรไม่กล้าสู้ตาศรีเมืองจนต้องเบือนหน้ามองไปทางอื่นแทน

       ยามบ่ายในเวลาต่อมา ภายในตำหนัก บัวเผื่อนกำลังหัวเราะร่วนชอบใจ
       “เออ พิกลนัก ไม่เคยได้ยินว่า ผู้ใดคิดเช่นแม่ศรีเมืองมาก่อน ชะรอยว่า บ้านที่แม่เรือนยอมให้ผัวมีเมียน้อยแต่กลับไม่มีเรื่องหึงหวงร้อนใจ คงคิดเช่นนี้กันกระมัง”
       “ฉันไม่ได้พูดให้เห็นเป็นขำนะแม่บัวเผื่อน แม่ศรีเมืองพูดเช่นนี้ เหมือนฉันเป็นหญิงร้าย ใจแคบ หึงหวงชายจนหน้ามืดตามัว ไม่คิดถึงว่าเค้าจะสุขหรือไม่” เรไรพูดหน้าตึง
       “แม่เรไรไม่ได้หึงหวงชายอื่นนี่นา หึงหวงแต่ขุนศึกเพียงผู้เดียว หาเป็นกระไรไม่ดอก”
       เรไรทิ้งค้อนใส่บัวเผื่อน
       “อย่าใส่ใจเลย ต่างคนต่างจิตต่างใจ จะให้แม่เรไรคิดเช่นแม่ศรีเมืองกระไรได้ สำคัญที่ขุนศึกคิดเช่นไรมากกว่า แต่ถ้าขุนศึกไชยชาญคิดเช่นแม่ศรีเมือง ก็น่าหวั่นใจอยู่ดอก”
       “เช่นไรรึ”
       “ก็แม่ศรีเมืองมิใช่สาวรุ่นเช่นตอนเพิ่งเข้าวัง หากแต่เป็นสาวเต็มตัวแลงามจับตานัก ซ้ำยังใจกว้างเช่นนี้ ชายใดบ้างเล่าจะไม่สิเหน่หา แม่เรไรเพื่อนฉันคงต้องเจอศึกหนักครานี้เป็นแน่” บัวเผื่อนแกล้งแหย่
       เรไรหน้าเครียดเข้าทางบัวเผื่อนขึ้นมาทันที เรไรยอมรับว่าศรีเมืองเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวกว่าเอื้อยแตงซะอีก

       ในเวลาเดียวกัน ศาลาภายในสวนของตำหนัก ดวงแขนั่งถือมาลัยอยู่ด้วยใบหน้าเซื่องซึม อยากจะเอามาลัยพวงนี้ให้เสมาแต่ก็ทำไม่ได้ ศรีเมืองถือกระจาดใส่ดอกไม้ที่เก็บมาได้เดินผ่านมา พอเห็นดวงแขนั่งใจลอยมือถือพวงมาลัยก็ฉุกใจคิดกับภาพที่เห็นเมื่อเช้าสาย
       ศรีเมืองใช้ความคิดเล็กน้อยก่อนจะปั้นยิ้มเดินเข้าไปหาดวงแขเพื่อหยั่งเชิง
       “แม่หญิงดวงแข ทำกระไรอยู่หรือจ๊ะ”
       ดวงแขชะงักไปเล็กน้อย
       “เปล่า ฉันเพียงแต่มานั่งหลบแดดชั่วครู่”
       ศรีเมืองแกล้งมองไปที่มาลัยของดวงแข
       “อุ๊ย มาลัยนี้แม่หญิงดวงแขร้อยเองหรือจ๊ะ ช่างงามนัก”
       “ใช่” ดวงแขพูดเสียงห้วน
       “นี่คงร้อยถวายเสด็จพระองค์หญิงกระมัง ขอฉันดูสักนิดได้หรือไม่จ๊ะ”
       ดวงแขเสียไม่ได้เลยส่งมาลัยให้ศรีเมืองไป ศรีเมืองรับมาลัยมาดู ก่อนจะแอบเหล่มองดวงแข และจงใจพูดแทงใจดำเพราะความอยากรู้ใจดวงแข
       “สมเป็นแม่หญิงดวงแขหาที่ติไม่ได้เลย”
       ดวงแขนั่งเชิ่ดคอตั้งอย่างภูมิใจและมั่นใจ
       “นี่ถ้าฉันร้อยได้งามสักครึ่งของแม่หญิงก็คงดี พี่เสมาจะได้หวงเก็บไว้ดูนานๆ”
       ดวงแขดึงมาลัยจากมือศรีเมืองแล้วขยำขยี้ทิ้งในทันที เล่นเอาศรีเมืองตกใจเพราะนึกไม่ถึง
       “แม่หญิงดวงแข เหตุใดทำเช่นนั้นเล่า”
       “มาลัยนี้ฉันร้อยเอง จักทำเช่นใดก็ได้ เมื่อร้อยมาแล้วจะให้ผู้ใดก็ไม่ได้ ต้องเก็บไว้ชื่นชมคนเดียว จะมีค่าอันใด ทำลายทิ้งเสียยังดีกว่า” ดวงแขโมโหด้วยเสียงริษยาจับใจ
ดวงแขสะบัดหน้าจากไปปล่อยให้ศรีเมืองมองตามด้วยติดใจสงสัยดวงแขมากยิ่งขึ้น
//www.manager.co.th/Drama/ViewNews.aspx?NewsID=9550000055515&Page=3



Create Date : 22 พฤษภาคม 2555
Last Update : 22 พฤษภาคม 2555 12:08:22 น. 0 comments
Counter : 2033 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

atitaya_t
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




สวัสดีค่ะ ขอร่วม gang ด้วยคนค่ะ
Friends' blogs
[Add atitaya_t's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.