เก็บความทรงจำ..(^_^)..ความสนใจ โลกส่วนตัว ที่เราสร้างเอง
Group Blog
 
 
พฤษภาคม 2555
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
22 พฤษภาคม 2555
 
All Blogs
 
ขุนศึก ตอนที่ 5-2 , 5-3

ขุนศึก ตอนที่ ๕ (ต่อ)

บ้านรามเดชะกลายเป็นศูนย์อพยพย่อยๆไป ยามกลางคืนมีชาวบ้านมาหลบภัยมากมาย บางคนบาดเจ็บก็ช่วยกันทายา บางคนหิวข้าวก็ทานอาหารที่พวกทาสบ้านเรไรคอยหาให้ โดยมีพิณคอยช่วยดูแลทุกคนอีกที พิณตะโกนสั่ง

       “ข้าวปลา หยูกยา ขนมาอีกซิโว้ย ไม่เห็นรึว่าคนออกโข”
       เอื้อยแตงกำลังทำแผลให้สินที่ถูกฟันมาแต่ไม่ลึกนัก โดยมีแต้ม มั่น และบุญเรือนอยู่ใกล้ๆ เอื้อยแตงทำแผลมือหนัก สินจึงร้องลั่นด้วยความเจ็บ
       “โอ๊ย เบาๆมือหน่อยเถิดแม่เอื้อยแตงจ๋า ฉันโดนอ้ายข้าศึกมันฟัน ยังไม่เจ็บเท่าแม่ทำแผลให้ฉันเลย”
       “ถ้ากระนั้นก็ไปให้มันฟันซ้ำซี มาให้ฉันทำแผลหากระไรเล่า” เอื้อยแตงตวาดแว๊ดขึ้น
       เอื้อยแตงทุบแผลสินซ้ำ จนสินร้องลั่นบ้าน
       “อ้ายนี่ ร้องดังกว่าควายถูกเชือดเสียอีก เป็นทหารได้กระไรวะ” แต้มพูดขึ้นด้วยความรำคาญก่อนจะหันไปพูดกับมั่น และบุญเรือน
       “ฉันจะไปเอาข้าวเอาแกงมากินเสียหน่อย พี่มั่นกับแม่บุญเรือน จะเอากระไรบ้างล่ะ”
       “ไม่เอาดอกพ่อแต้ม ฉันห่วงจำเรียงมัน กินกระไรไม่ลงดอก”
       ขณะนั้นเอง สมบุญก็พาจำเรียงเข้ามาหา
       “พ่อ แม่” จำเรียงรีบเข้าไปไหว้พ่อแม่ แล้วกอดแม่ทันที บุญเรือนกอดจำเรียงแน่น
       “ลูกเอ๋ย บุญรักษาแล้ว ลูกแม่”
       “แล้วอ้ายเสมาเล่าสมบุญ ไม่ได้มาด้วยกันรึ”
       “นี่พี่เสมายังไม่มาอีกรึ ...เราแยกกันหนีจ้ะพ่อลุง ฉันนึกว่าพี่เสมาจะเข้ากำแพงมาก่อนฉันเสียอีก เพราะฉันมัวแต่อ้อมอยู่เสียนาน กว่าจะหลบอ้ายข้าศึกเข้ามาได้ เหตุใดพี่เสมายังไม่มา หรือจะไปพักที่เรือนอื่น”
       เอื้อยแตงได้ยินดังนั้นก็มีท่าทางห่วงใยเสมาขึ้นมาทันที สินสังเกตสีหน้าเอื้อยแตงแล้วแอบหึง
       “หน้าถอดสีเชียวรึ เป็นห่วงพี่เสมามากสิท่า”
       เอื้อยแตงรำคาญ เงื้อมือจะทุบสินอีก สินผงะหนี กลัวเอื้อยแตงยิ่งกว่าหนูกลัวแมวซะอีก
       บนเรือนเรไรและลำภู กำลังช่วยกันประคองอำพันที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นมานั่งพัก
       “ป่านฉะนี้ ไม่รู้แม่ดวงแขจะเป็นกระไรบ้าง คนอื่นหนีเข้ามาหมดแล้ว เหตุใดแม่ดวงแขยังไม่มา”
       “อย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้เลย แม่ดวงแขอาจจะไปพักที่เรือนอื่นก็เป็นได้ เพลานี้ ในพระนครก็เต็มไปด้วยคนที่หนีเข้ามาทั้งสิ้นไม่ได้มีเรือนฉันเพียงเรือนเดียวดอกพี่อำพัน” ลำภูปลอบใจ
       “แต่ตอนที่พลัดหลงกัน มีเพียงหมื่นศึกอาสาแต่ผู้เดียว ที่คอยคุ้มกันแม่ดวงแข แล้วจะต้านทหารพม่ารามัญที่มีออกโขได้รึ”
       “นี่หมื่นศึกอาสาเป็นคนช่วยดวงแขไว้หรือจ๊ะแม่ป้า”
       ลำภูเหล่มองเรไรและพูดดักคอขึ้น
       “ได้ยินเช่นนี้เลยเป็นห่วงขึ้นมารึแม่เรไร ห่วงแม่ดวงแขหรือห่วงหมื่นศึกกันเล่า”
       พอนึกถึงเสมา เรไรก็หน้าเครียดขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง

       คืนนั้น เสมาจูงมือดวงแขมานั่งพักที่ใต้ต้นไม้ ดวงแขมีท่าทางเหนื่อยอ่อน หลังจากหนีมาหลายชั่วโมง
       “แม่หญิงไม่ควรลำบากกับข้าพระเจ้าเลย หากหนีไปพร้อมจำเรียง ป่านฉะนี้ก็ได้เข้าไปอยู่ในพระนครแล้ว”
       “ก็ฉันเป็นห่วง...”
       ดวงแขพูดอย่างลืมตัว แต่เมื่อนึกขึ้นได้ จึงรีบเปลี่ยนคำพูดทันที
       “ เอ่อ ฉันกลัวจนหนีไม่ทันน่ะซี แล้วนี่เหตุใดเราไม่กลับเข้าไปในกำแพงเมืองกันเล่า”
       “หงสาเข้าตีหนักนัก แต่ไม่อาจตีกำแพงอโยธยาแตกได้ ดึกนี้จึงน่าจะเข้าตีอีก คงต้องรอรุ่งสางก่อน เราถึงจะกลับเข้าไปได้ขอรับ”
       ดวงแขขยับจะพูดอีก แต่ทันใดนั้นเสมากลับดึงตัวดวงแขเข้ามากอดแล้วหมอบราบอยู่กับพื้นทันที ดวงแขตกใจสุดๆแถมโดนเสมาปิดปากให้เงียบอีกตะหาก
       เสมาหมอบราบ สายตาคอยจ้องเขม็งไปที่ทหารพม่ากลุ่มหนึ่งที่ลาดตระเวนผ่านมา เสมาอาศัยต้นไม้กับความมืดพรางตัว ค่อยๆรอให้ทหารพม่ากลุ่มนี้ผ่านไป ดวงแขแนบอกเสมาอยู่ รับรู้ถึงความอบอุ่น ปลอดภัยอย่างประหลาด จนเผลอแนบหน้ากับแผ่นอกเสมาแล้วหลับตาพริ้มอย่างมีความสุข
       พวกทหารพม่า ค่อยๆตรวจมาทางต้นไม้ที่เสมาซ่อนอยู่ เสมากระชับดาบแน่น เตรียมสู้ตาย แต่ทันใดนั้น พวกทหารพม่าเกิดเปลี่ยนใจ เดินเลี่ยงไปทางอื่นแทน เสมามองตามจนกว่าจะแน่ใจว่าปลอดภัยจริงๆ
       ดวงแขยังคงแนบหน้ากับแผ่นอกเสมาฉวยโอกาสสถานการณ์พาไปกอดเสมาเอาไว้ไม่ยอมปล่อย ด้วยสีหน้าปลาบปลื้มมีความสุข

       กลางดึกคืนเดียวกัน เอื้อยแตงห่วงเสมาจนนอนไม่หลับ เลยออกมาเดินเล่นจนถึงหน้าบ้านเพื่อรอเสมาด้วยความเป็นห่วง ทันใดนั้น เอื้อยแตงก็เห็นเรไรยืนรออยู่ก่อนแล้ว เอื้อยแตงอดหมั่นไส้ไม่ได้จึงแขวะเรไรทันที
       “รอผู้ใดอยู่รึ แม่หญิงเรไร”
       เรไรสะดุ้งตกใจเล็กน้อยก่อนจะหันไปพูดกับเอื้อยแตง
       “ไม่ได้รอผู้ใดดอก ฉันแจ้งมาว่าพวกพม่ารามัญ บุกเข้าตีประตูเมืองอีก จึงออกมาดูเพราะเป็นห่วงนัก”
       “สมเด็จพระราชโอรสทั้งสองพระองค์ ทรงบัญชาการรบด้วยพระองค์เอง ถึงอย่างไร พวกข้าศึกก็เข้ามาไม่ได้ดอก”
       เอื้อยแตงแกล้งยั่วโมโหเรไรอีก
       “ห่วงก็แต่พี่เสมา จนป่านฉะนี้ยังไม่ได้ปะหน้าไม่รู้จะเป็นตายร้ายดีเช่นไรเป็นห่วงแสนห่วง จนข่มตานอนไม่หลับ”
       เรไรหน้าบึ้งแอบหึงแต่แสร้งปั้นยิ้มแล้วว่า
       “แม่เอื้อยแตง โตมากับหมื่นศึกเสมือนเป็นน้องสาวอีกคนหนึ่ง ควรแล้วที่จะต้องห่วงใยเช่นนี้”
       เอื้อยแตงและเรไรเหล่มองหน้ากันด้วยสีหน้านิ่ง ต่างฝ่ายต่างดูเชิงกันไม่หึงออกนอกหน้า
       “แม่หญิงพูดถูกแล้ว ฉันโตมากับพี่เสมา ไม่มีผู้ใดจักรู้จักพี่เสมาดีเท่าฉันอีก ดึกมากแล้ว ฉันคงต้องไปนอนก่อน เชิญแม่หญิงห่วงใยบ้านเมืองต่อเถิด”
       เอื้อยแตงแอบทิ้งค้อนแล้วเดินเลี่ยงกลับเข้าข้างในไป เรไรมองตามด้วยความไม่พอใจ
       “หญิงกระไรกัน ปากคอช่างเลาะร้ายนัก”

       เช้าวันรุ่งขึ้น ดวงแขก้มลงกราบแทบตักอำพัน ท่ามกลางความดีอกดีใจของอำพัน ลำภู จำเรียง และพิณ ที่เห็นดวงแขปลอดภัย อำพันลูบหัวดวงแข
       “คุณพระคุณเจ้าคุ้มครองแท้ แม่ดวงแขของแม่ แม่ดีใจเหลือเกินที่ลูกปลอดภัย”
       “ลูกก็ดีใจที่ได้กลับมาหาท่านแม่เจ้าค่ะ”
       “แล้วเหตุใดแม่หญิงไม่กลับมาเสียแต่เมื่อคืนเล่าเจ้าคะ บ่าวเป็นห่วงแม่หญิงนักเกรงว่าจะมีภัย” จำเรียงว่า
       “ข้าศึกบุกตีทั้งคืน ฉันจึงต้องซ่อนตัวอยู่แถวชายป่า รอจนข้าศึกล่าถอยเมื่อรุ่งสาง จึงกลับเข้าพระนครได้”
       “ตายจริง นี่แม่ดวงแขอยู่ในป่าทั้งคืนเลยรึ ช่างน่าหวาดกลัวนัก” ลำภูร้องขึ้นด้วยความตกใจ
       “ไม่ดอกเจ้าค่ะท่านอาหญิง หมื่นศึกอาสาคุ้มครองหลานอยู่ ไม่มีอันตรายดอกเจ้าค่ะ”
       ลำภูได้ยินก็ผงะไปเล็กน้อย
       “อ้าว นี่หมื่นศึกมาส่งแม่หญิงหรือเจ้าคะ แล้วเหตุใดไม่เข้ามาเยี่ยมเยียนพ่อแม่กับแม่จำเรียงบ้างเล่าเจ้าคะ” พิณถามขึ้น
       ดวงแขเหล่ๆลำภูที่หน้าจ๋อยๆอยู่
       “ได้ยินหมื่นศึกว่า ท่านอาขุนรามเดชะห้ามเป็นคำขาดไม่ให้หมื่นศึกเหยียบเข้าแม้เขตบ้านอีก จึงไม่ได้เข้ามาจ้ะ”
       ทุกคนหันไปมองลำภูเป็นตาเดียว ลำภูกระอักกระอ่วนแต่ก็ทำเฉยๆไม่พูดอะไร

       เมื่อเสมามาส่งดวงแข ก็ได้แต่ยืนอยู่ที่หน้าบ้านขุนรามเดชะ เสมามองอยู่ครู่หนึ่งแล้วทอดถอนใจแล้วเดินหันหลังกลับไป แต่ทันใดนั้น เสียงเรไรก็เรียกขึ้น
       “เหยียบเข้าบ้านไม่ได้ ก็เลยจะกลับแล้วรึ หมื่นศึกอาสา”
       เสมาหันกลับมาเห็นเรไรยืนอยู่
       “แม่หญิงเรไร”
       เรไร และเสมาเดินเข้ามาหากัน ต่างฝ่ายต่างมองกันด้วยความรัก ความห่วงใย ซึ่งมีให้กันและกันเต็มเปี่ยม ดวงแขยืนแอบมองอยู่จากบนเรือนด้วยสายตาแอบริษยา

       เสมาพายเรือให้เรไรนั่งคุยกันมาเรื่อยๆ ท่ามกลางบรรยากาศริมแม่น้ำ สวยงาม สงบร่มเย็น เสมาออดอ้อนทันที
       “เมื่อคืนนี้หนักหนานัก คิดว่าจะไม่ได้กลับมาเห็นหน้าแม่หญิงแล้ว ดีแต่ว่าแหวนปากโมกน้อยที่แม่หญิงประทานให้คุ้มครองข้าพระเจ้าอยู่ เสมาจึงได้กลับมาหาแม่หญิง”
       เรไรมองค้อนแล้วว่า
       “ฉันมิใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ แลแหวนนี้ก็ไม่ใช่เครื่องรางของขลังจะคุ้มครองได้อย่างไร หมื่นศึกอย่ากล่าวให้เกินจริงนักเลย”
       “กินจริงที่ใด แม่หญิงเป็นมงคลของเสมาเสมอเพียงแต่นึกถึงหน้าแม่หญิง เสมาก็มีกำลังใจต่อสู้กับข้าศึกมิพรั่นพรึงแล้ว”
       “ฉันคงต้องกลับแล้วล่ะ หมื่นศึกไปราชการต่อเถิด”
       “อยู่อีกสักครู่ไม่ได้หรือแม่หญิง อย่าเพิ่งกลับเลย หัวใจเสมานี้รอนๆจะขาด เพราะคิดถึงแม่หญิงนักแล้ว”
       “พ่อแม่ฉันไม่ยินดีให้เราพบปะกัน เสมาก็รู้ เผอิญว่าศึกประชิดกรุง ฉันจึงพอปลีกมาปะหน้าได้บ้าง แต่หากหายมานาน แม่ท่านคงสงสัยฉันก็คงไม่พ้นผิดอีก”
       “เสมานำเดือดร้อนมาสู่แม่หญิงโดยแท้ เสมาจะขอก้มหน้ามานะทำราชการต่อไป ให้สมกับที่แม่หญิงอุปการะหัวใจเสมาอยู่”
       “ที่ฉันต้องทนทุกข์ลำบาก แม้ได้อาย ก็เพราะปรารถนาจักอุปการะน้ำใจพ่อนี้”
       เสมายิ้มปลาบปลื้ม เรไรเอียงอาย หยิบดอกจำปีออกมาจากชายพกแล้วยื่นให้เสมา
       “ถือเป็นค่าเรือ รีบพาฉันกลับเข้าฟังแต่โดยเร็วเถิด”
       เสมารับดอกจำปีพร้อมจับมือเรไรพร้อมดอกไม้ไว้ไม่ยอมปล่อย บรรจงก้มลงหอมดอกไม้เลยไปยังมือของเรไรพร้อมช้อนสายตามองด้วยสายตากรุ้มกริ่ม เรไรยิ้มเอียงอายไปมาๆ ใจหวามหวั่นอย่างบอกไม่ถูก

       ศรีเมืองเดินลงจากเรือนเพื่อรับเอื้อยแตง มั่น บุญเรือน และแต้ม
       “ฉันไหว้จ้ะ พ่อลุง แม่ป้า”
       แต้ม มั่น และบุญเรือน รับไหว้ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
       “จำเริญสุขเถิดหลาน พวกลุงมารบกวนหลานโดยแท้ มีเรือนก็อยู่ไม่ได้ ต้องเร่ร่อนหนีภัยจากข้าศึกมัน” มั่นบอกแล้วพลางถอนใจ
       “เพลานี้ยังรอดอยู่ก็ถือว่าบุญหนักหนาแล้ว ยังจะห่วงเรือนกระไรอีกเล่าพี่มั่น” แต้มบอก
       “ฉันจัดสำรับคาวหวานไว้บนเรือนพร้อมแล้ว หิวกันหรือยังจ๊ะ” ศรีเมืองเอ่ยขึ้น
       “หิวซีถามได้” แต้มว่า
       “งั้นเชิญบนเรือนเลยจ้ะพ่อลุง”
       แต้มรีบเดินขึ้นเรือนนำไปทันทีจนเอื้อยแตงอายแทน
       “พ่อหนอพ่อ ทำกระไรไม่คิดถึงหน้าลูกบ้างเลย”
       ศรีเมืองยิ้มขำหันไปเห็นบุญเรือนหน้าเศร้าๆ ผิดปกติ
       “แม่ป้าเป็นกระไรไปหรือจ๊ะ สีหน้าไม่สู้ดีเลย เจ็บป่วยได้ไข้หรือไม่”
       “เปล่าดอกหลาน ป้าคิดถึงจำเรียง ยามศึกเช่นนี้กลับไม่ได้อยู่ด้วยกัน มันน่าอนาถใจนัก”
       “จำเรียงมันเป็นทาสต้องคอยรับใช้นาย จะมากับเราได้อย่างไร แลจำเรียงมันก็อยู่ที่เรือนขุนรามเดชะท่าน สุขสบายกว่าเราเสียอีก แม่บุญเรือนอย่าห่วงเลย” มั่นพูดปลอบใจ
       บุญเรือนพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินขึ้นเรือนไปโดยมีมั่นตามขึ้นไปอีกคน
       ศรีเมืองไม่เห็นเสมา เอื้อยแตงเห็นท่าทางของศรีเมืองจึงพูดดักคอขึ้นทันที
       “พี่เสมาต้องออกรับศึก แม่ศรีเมืองไม่ต้องมองหาดอก”
       ศรีเมืองเขินอายเล็กน้อยพลางบอก
       “แล้วใครว่าฉันมองหาพี่เสมาเล่า แม่เอื้อยแตงก็พูดไปได้”
       เอื้อยแตงทิ้งค้อนด้วยความหมั่นไส้
       ทันใดนั้นเอง เสียงปืนใหญ่ดังกึกก้อง ก่อนจะมีเสียงปืนใหญ่และปืนยาวดังแว่วมาเต็มไปหมด ศรีเมือง และเอื้อยแตงตกใจที่พวกข้าศึกบุกอีกแล้ว
       “ข้าศึกบุกอีกแล้วรึ เพิ่งถอยกลับไปเมื่อรุ่งสางแท้ๆ” ศรีเมืองพูดขึ้น
       “มิรู้จะมีคนตาย แลบ้านเรือนถูกเผาทำลายอีกเท่าใดกัน” เอื้อยแตงถอนใจแล้วพูดด้วยสีหน้าเครียด
       ทั้งศรีเมืองและเอื้อยแตงไม่รู้ศึกครั้งนี้จะจบลงเมื่อไหร่

       ขณะที่ชาวบ้านหนีตายกันอลหม่าน ฝ่ายทหารไทยเข้าต่อสู้กับทหารพม่าอย่างหนัก ทหารพม่าจุดไฟเผาบ้านเรือน ทำลายตลาดจนข้าวของร้านรวงต่างๆพังยับเยิน การสู้รบลามมาจนถึงบริเวณบ้านของเสมา ทหารพม่าคนหนึ่งจุดไฟเผาเรือนของเสมา เปลวไฟเริ่มลุกไหม้อย่างหนัก ร้านตีเหล็กมั่นถูกไฟเผาจนเสียหาย

       เวลาบ่ายที่ค่าย พระเจ้านันทบุเรงทรงเป็นคนตบพนักเก้าอี้ด้วยความกริ้ว
       “ไม่ใช่แต่หงสา แต่สิ้นคนดีทั้งพุกามแล้วหรือกระไร บุกเข้าตีอโยธยาหลายครา เหตุใดทำลายได้แต่บ้านเรือนนอกกำแพง ไม่อาจบุกเข้าไปในพระนครได้เสียที”
       “ขอเดชะ พระอาญาไม่พ้นเกล้า กำแพงเมืองอโยธยาก่อด้วยอิฐตามแบบพวกตะวันตก แลพระมหาธรรมราชาทรงสร้างป้อมปืนใหญ่ขึ้นอีกถึงสิบหกป้อม นับได้ว่าแข็งแกร่งมั่นคงยิ่งนัก หากจะตีให้แตกจำต้องใช้กลอุบายดังเช่นสมัยพระราชบิดาของพระองค์ พระพุทธเจ้าข้า” ขุนนางผู้หนึ่งพนมมือบังคมทูลรายงาน
       “เจ้าจะให้ส่งไส้ศึกเข้าไปอีกรึ แผนการเช่นนี้หลอกได้ครั้งเดียว ไหนเลยอโยธยาจะหลงกลซ้ำสอง อีกทั้งเราไม่มีคนเช่นพระยาจักรีด้วย แล้วจะส่งใครเข้าไปเล่า”
       “ไม่ต้องใช้คนอย่างพระยาจักรีดอกพระพุทธเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้าได้คัดทหารจำนวนหนึ่ง ให้ฝึกพูด อ่าน เขียนภาษาไทยมานานปี แล้วให้ปะปนกับพวกชาวบ้านหนีเข้าไปในพระนครแล้วพระพุทธเจ้าข้า รอแต่พวกมันจะก่อการขึ้นในพระนคร ทัพของเราก็จักฉวยโอกาสบุกตีเข้าไปพระพุทธเจ้าข้า”
       พระเจ้านันทบุเรงยิ้มอย่างพอพระทัย มั่นใจในแผนการคราวนี้มาก

       เอื้อยแตงกำลังสอยมะม่วง ขณะที่ศรีเมืองกำลังช่วยเอามะม่วงมาใส่กระจาด
       “พอเถิดแม่เอื้อยแตง เพียงเท่านี้ก็กินไม่หมดแล้ว”
       “กินไม่หมดก็ดองไว้ซี เพลานี้เป็นยามศึก กระไรกินได้นานวันก็ทำไว้เถิด”
       เอื้อยแตงสอยเก็บมะม่วงมาใส่กระจาดเพิ่มอีก แต่พอเงยหน้าขึ้นมา ก็เห็นผู้ชายเกือบสิบคนแต่งตัวเหมือนชาวบ้านยืนล้อมอยู่ ผู้ชายกลุ่มนี้เป็นทหารพม่าปลอมตัวมาปะปนกับคนไทย
       ศรีเมือง และเอื้อยแตง เห็นรูปร่างหน้าตาของแต่ละคนดูน่ากลัวก็ชักหวาดๆ เอื้อยแตงรีบบังศรีเมืองเอาไว้
       “ไม่ต้องกลัวดอกแม่น้องสาว พวกฉันเพียงแต่อยากจะขอซื้อหมากผลพวกนี้บ้าง แต่หนีข้าศึกเข้ามา พวกฉันยังไม่ได้กินอะไรเลย”
       ศรีเมืองถอนใจโล่งอกพลางบอก
       “พิโธ่พิถัง นึกว่ากระไร ไม่ต้องซื้อดอก พี่ชายอยากได้เท่าใดก็เอาไปเถิด ยามศึกเช่นนี้ย่อมต้องช่วยเหลือกัน”
       “ขอบน้ำใจมากแม่น้อง”
       พวกทหารพม่าเข้าไปเอามะม่วงในกระจาดไปคนละผลสองผล จนหายไปกว่าครึ่ง เอื้อยแตงยังระแวงอยู่ พอพวกพม่าเอามะม่วงไปจนเสร็จก็รีบหอบกระจาดเอามะม่วงส่วนที่เหลือ แล้วรีบพาศรีเมืองเดินหนีไปทันที
       “หญิงอโยธยาช่างงามนัก หากไม่ติดว่าต้องทำศึก คงจะดีไม่ใช่น้อย” คนหนึ่งพูดขึ้น
       “แต่นี่เป็นเพลาศึก อย่าคิดกระไรที่จะทำให้เสียการ มิเช่นนั้นคอเอ็งจะหลุดจากบ่า”
       แต่ทหารพม่าที่ปลอมเป็นคนไยก็ยังอดที่จะมองตามเอื้อยแตง และศรีเมืองไปไม่ได้อยู่ดี

       เมื่อยามหัวค่ำ ดวงแขเดินขึ้นเรือนขุนรามเดชะเห็นว่า เรไรกำลังยืนมองต้นจำปีอยู่บนเรือนด้วยความคิดถึงเสมา
       “มืดค่ำแล้ว ยังไม่นอนอีกรึแม่เรไร”
       “ฉันเพิ่งเสร็จงานในครัวจ้ะเลยยืนรับลมก่อน ประเดี๋ยวค่อยเข้านอน”
       “เพราะพวกฉันมารบกวนแม่เรไรโดยแท้ แม่เรไรจึงต้องเหนื่อยเพิ่ม”
       “อย่าพูดเช่นนั้นเลย เราเป็นเพื่อนกันมาแต่เล็กแต่น้อย อีกทั้งเป็นยามศึก แม้นไม่รู้จักกันมาก่อนก็ต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน”
       “ฉันอยากสิ้นศึกเร็วๆเหลือเกิน จะได้กลับเรือนไปอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา แต่แม่เรไร คงไม่อยากให้สิ้นศึกเร็วนักกระมัง พี่ชายฉันจะได้ไม่มากวนแม่เรไรอีกพักใหญ่” ดวงแขพูดหยั่งเชิง
       “เรื่องพี่ขัน ฉันหาทางออกไว้แล้วจ้ะ”
       “จริงรึ วิธีใดกัน”
       “แม่ดวงแขรู้แล้วอย่าบอกผู้ใดเชียวนะ ฉันตกลงกับหมื่นศึกไว้แล้ว ให้หมื่นศึกตั้งใจทำราชการให้ดี หากมีความชอบมากก็จะได้ขอพระราชทานตัวฉัน ถ้ามีพระบรมาชโองการลงมา แม้พ่อท่านก็ขัดไม่ได้ดอก”
       ดวงแขชะงักหน้าเสียไปก่อนจะปั้นยิ้ม
       “เช่นนี้เอง มิน่าเล่า หมื่นศึกถึงได้รบพุ่งโดยไม่กลัวแก่ความตาย เอ่อ แล้วแม่เรไร จะไม่ให้ของใดเป็นขวัญแก่หมื่นศึกบ้างรึ หมื่นศึกจักได้มีกำลังใจสู้เพื่อแม่เรไรสืบต่อไป”
       เรไรขวยเขินก่อนตอบ
       “ฉันเคยให้แหวนแก่หมื่นศึกแล้ว”
       ดวงแขชะงักไปเล็กน้อย อดรู้สึกหมั่นไส้ปนอิจฉาไม่ได้
       “แลเพลานี้พ่อแม่ท่านชังหมื่นศึกนัก ยากเหลือที่จะได้ปะหน้ากันสักครา” เรไรพูดแล้วก็ซึมไป
       “ก็ฝากฉันไปให้ซี ฉันจะกำชับบ่าวไพร่ไม่ให้แพร่งพราย ยามชายไปรบ จะมีกระไรสำคัญกว่ากำลังใจจากหญิงที่ตนรักอีกเล่า แม้นไม่มีของให้ดูต่างหน้า เพียงข้อความไม่กี่คำ ก็มีค่านัก”
       เรไรมีสีหน้าครุ่นคิด ใจนึงก็อยากทำตามที่ดวงแขบอก แต่อีกใจก็กลัวว่าพ่อแม่จะรู้เรื่อง ดวงแขแอบเหลือบตามองเรไร แม้จะดูนิ่งๆ แต่เห็นแววริษยาในดวงตา

       ดวงแขกำลังใช้พู่กัน เขียนจดหมายเลียนแบบลายมือของเรไรอยู่ โดยกางจดหมายเรไรวางเทียบอยู่ข้างๆ พอเขียนเสร็จก็เอาจดหมายของเรไรกับของตนมาเทียบกันใกล้ๆอีกที ดวงแขยิ้มพอใจที่สามารถเลียนแบบลายมือเรไรได้เหมือนเปี๊ยบ สร้างความเข้าใจผิดให้เสมา และเรไรได้แน่นอน

       เสมากำลังอ่านจดหมายของเรไรอยู่ริมถนนด้วยสีหน้ายิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างมีความสุข สินและสมบุญ เดินเข้ามาหาเสมาแล้วยิ้มแซว
       “อ่านเสียจนกระดาษจะทะลุแล้ว ยังไม่เบื่ออีกรึพี่เสมา” สมบุญถาม
       “ท่าจะมีกระไรดี ถึงได้อ่านไม่ยอมเลิก ให้ฉันอ่านบ้างได้หรือไม่ล่ะพี่” สินถาม
       เสมารีบพับจดหมายเก็บทันที
       “ทะลึ่งแล้วอ้ายสิน สาสน์นี้แม่หญิงเรไรส่งถึงข้า เรื่องกระไรข้าต้องให้เอ็งอ่านด้วย”
       “ไม่อ่านก็ได้ เพียงแค่นัดเจอกันริมกำแพงเมืองคืนนี้เท่านั้น ฉันไม่เห็นอยากรู้เลย” สินว่า
       “อ้ายสิน นี่เอ็งแอบอ่านไปแล้วรึ”
       “ไปโว้ยอ้ายสมบุญ”
       สินและสมบุญรีบวิ่งหนีทันที เสมาจะไล่เตะก็ไม่ทัน ได้ยินแต่เสียงหัวเราะเยาะเย้ยของทั้งคู่ดังลอยกลับมา เสมามองตามแล้วก็ขำๆกับความทะเล้นทะลึ่งของทั้งคู่

       เรไรกำลังคุยกับดวงแขอยู่ในศาลาท่าน้ำ เรไรลังเลและลำบากใจ
       “หมื่นศึกนัดฉันไปพบคืนนี้ มีกระไรรึ”
       “ฉันไม่รู้ดอก หมื่นศึกเพียงแต่ฝากบ่าวมาบอก แต่ไม่ได้แจ้งว่ามีกระไร แต่คงสำคัญกระมัง มิฉะนั้น คงไม่นัดไปพบค่ำๆมืดๆดอก”
       “แต่หญิงลอบไปพบชายนอกชายคาเรือนเพลามืดค่ำ มีแต่จะโดนครหา เหตุใดหมื่นศึกจึงนัดเช่นนี้”
       “หากแม่เรไรเห็นว่าไม่ควร ฉันจะให้บ่าวไปแจ้งแก่หมื่นศึกเอง แต่หากเป็นข้อสำคัญ คงน่าเสียดายนัก”
       เรไรลังเลและหนักใจ ดวงแขแอบเหล่มองด้วยสีหน้าลุ้นให้แผนการสำเร็จ

       ลำภูโกรธจัดที่ได้ข่าวการนัดหมายของเสมา โดยมีดวงแขและอำพันนั่งอยู่อยู่ใกล้ๆ
       “นี่ถึงขั้นนัดพบกันนอกเรือนเลยรึ คงเห็นฉันตายแล้วกระมัง ถึงได้กล้าทำเหิมเกริมกันถึงเช่นนี้”
       ดวงแขปั้นหน้าเศร้าเล่าความเท็จ
       “ท่านอาอย่าโกรธแม่เรไรเลยนะเจ้าคะ ผู้ที่นัดคือหมื่นศึกหาใช่แม่เรไรไม่”
       “แต่หากแม่เรไรไว้ตัวเสียบ้าง มีรึที่อ้ายไพร่ต่ำสกุลจะกล้าถึงเพียงนี้ หมื่นศึกอาสาชาตินี้อย่าเดินร่วมดินเดียวกันอีกเลย”
       “ใจเย็นก่อนเถิดแม่ลำภู เรื่องนี้มิใช่เรื่องเล็กน้อย แลหากความรู้ถึงหูออกขุนรามเดชะ แม่เรไรคงไม่แคล้วต้องกรวนอีกเป็นแน่ เราค่อยคิดหาทางผ่อนปรนจักเหมาะควรกว่า” อำพันว่า
       “จริงเจ้าค่ะ แม่เรไรเป็นคนรั้น ยิ่งต้องโทษก็จักยิ่งมุมานะ เอ่อ หลานพอมีอยู่ทางหนึ่ง แต่ท่านอาอย่าบอกแม่เรไรนะเจ้าคะว่ามาจากปัญญาหลาน”
       “แม่ดวงแขวางใจเถิด อาหัวสองสีแล้ว ไม่พูดกระไรให้แม่ดวงแขต้องเดือดร้อนดอก”
       “ขอบพระคุณเจ้าค่ะ อุบายของหลานคือให้แม่เรไรไปพบกับหมื่นศึกตามนัดเจ้าค่ะ”
       “อ้าว เหตุใดเป็นเช่นนั้นเล่า” อำพันแปลกใจ
       “เพื่อที่เราจะได้จับให้ได้คาหนังคาเขาไงเล่าเจ้าคะ แม่เรไรเป็นคนรักศักดิ์ หากถูกผู้อื่นจับได้ย่อมต้องอับอาย ภายหน้าก็จะไม่กล้าพบปะหมื่นศึกเพียงลำพังอีก ส่วนทางหมื่นศึกเราก็แจ้งโทษเสีย โทษเช่นนี้ไม่หนักกระไร แต่พอที่จะลบความดีความชอบในการศึกเสียได้ หมื่นศึกก็คงไม่กล้าขอพระราชทานแม่เรไรอีกเจ้าค่ะ”
       ลำภูและอำพันหันไปมองหน้ากัน แล้วพยักหน้าเห็นด้วยกับแผนการ ดวงแขอมยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผน

       เสมาค่อยๆย่องลงจากเรือนของพันอินอย่างเงียบๆเมื่อยามฟ้ามืด มองซ้าย มองขวาจนแน่ใจว่า ไม่มีใครเห็นก็รีบเดินหนีลงจากเรือนเพื่อจะไปพบเรไรตามนัด เอื้อยแตงและศรีเมืองแอบดูอยู่
       “เป็นตามคำที่อ้ายสินแลอ้ายสมบุญบอกโดยแท้ มืดค่ำป่านนี้ทั้งยังติดศึกสงคราม ยังมีแก่ใจไปลอบพบกันอีก” เอื้อยแตงพูดขึ้นด้วยความหึงหวง
       “แต่ถึงอย่างไรก็หาใช่กงการกระไรของเราไม่ แม่เอื้อยแตงอย่าไปยุ่งเกี่ยวด้วยเลย”
       “ไม่ยุ่งเกี่ยวได้เยี่ยงไร หากไม่ใช่เพราะแม่หญิงเรไรคนนี้ พี่เสมาจะต้องโทษแลเพาะศัตรูถึงเพียงนี้รึ หญิงที่นัดพบชายยามมืดค่ำ ถึงจะเกิดในตระกูลสูงแต่ก็ต่ำด้วยกิริยา แล้วจะให้พี่เสมาหลงงมงายอยู่ได้กระไร”
       “แต่...”
       “หากแม่ศรีเมืองไม่ไป ฉันก็จักไปคนเดียว”
       ขาดคำ เอื้อยแตงก็เดินฉับๆสะกดรอยตามเสมาไปทันที ศรีเมืองตกใจเลยรีบตามเอื้อยแตงไปทันที

       สมาเดินลิ่วๆ ไปตามนัดโดยไม่ได้ระแวงว่ามีเอื้อยแตงและศรีเมืองเดินตามหลังมา ทั้งคู่เดินตามเสมามาด้วยความลำบากยากเย็น เพราะเสมาเดินเร็วแถมมืดค่ำเดินลำบากครั้นจะจุดไฟก็ไม่ได้เพราะเสมาจะรู้ตัว
       “ไต้ก็ไม่จุด มืดก็มืด เหตุใดยังเดินเร็วปานนี้” เอื้อยแตงพูดอย่างเหนื่อยหอบ
       “พี่เสมาชำนาญทาง แลรบในป่ามาก็มาก เราคงยากจะตามทันแล้วแม่เอื้อย”
       เอื้อยแตงยืนพิงต้นไม้ข้างทางหอบอยู่ ทันใดนั้นเอง ก็เหลือบไปเห็นเงาดำๆตะคุ่มๆ เคลื่อนไหวอยู่ในดงไม้
       “ใครกันรึ...”
       พูดไม่ทันจบ ทหารพม่าก็กรูกันออกมาจับตัวเอื้อยแตง และศรีเมืองไว้ แล้วปิดปากไม่ให้ส่งเสียง ครั้นเห็นอาวุธในมือของทหารพม่าแล้วก็ยิ่งกลัวหนักขึ้นไปอีก

       เสมาเดินมาถึงริมกำแพงเมืองที่นัดไว้ พอมาถึงก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งยืนหันหลังให้ในเงามืด
       “แม่หญิง มานานแล้วรึ” เสมาพูดขึ้น พร้อมกับกอดเรไรไว้ทางด้านหลัง
       ทันใดนั้นเอง บรรดาทาสของลำภูพร้อมด้วยอาวุธครบมือก็กรูกันออกมาล้อมเสมาไว้ ลำภูเดินฉับๆตามออกมาทันที ลำภูตวาดแว๊ดเสียงดัง
       “งามหน้าแล้วแม่เรไร นัดพบชายมืดค่ำเช่นนี้ ยังเห็นว่าแม่เป็นแม่อยู่หรือไม่”
       เสมาตกใจสุดๆที่เห็นลำภู ทรุดลงคุกเข่าพนมมือ
       “เมตตาด้วยเถิดขอรับพระคุณ หากจะลงโทษก็ลงโทษข้าพระเจ้าแต่ผู้เดียวเถิด”
       “หยุดปากเสียหมื่นศึก เจ้าเองต้องรับโทษเป็นแน่ แต่ฉันจะพูดจากับลูกฉันเสียก่อน” ลำภูหันไปพูดกับเรไร
       “ว่ากระไรเล่าแม่เรไร ถึงเพียงนี้แล้ว ไม่ออกมาให้แม่ดูหน้าหน่อยรึ”
       ผู้หญิงที่เดินออกจากเงามือกลับเป็นจำเรียง พอทุกคนเห็นว่าเป็นจำเรียงก็ตกใจไม่คิดว่าจะผิดตัวแบบนี้ จำเรียงนั่งพับเพียบยกมือไหว้
       “บ่าวเองเจ้าค่ะแม่นาย หาใช่แม่หญิงเรไรไม่”
       เสมาก็แปลกใจ ลำภูตกใจนึกไม่ถึง
       “จำเรียง เหตุใดเจ้ามาอยู่ที่นี่”
       จำเรียงปั้นหน้าเศร้า
       “บ่าวนัดพี่เสมาออกมา เพื่อไต่ถามสารทุกข์สุกดิบเจ้าค่ะ บ่าวห่วงพ่อแม่นัก ด้วยที่ต้องรับใช้แม่นายอำพันจึงไม่ได้ไปอยู่กับพ่อแม่ แลพี่เสมาก็ถูกห้ามไปเหยียบเรือนท่านขุนรามเดชะ บ่าวจึงต้องนัดเจอเช่นนี้เจ้าค่ะ”
       “แล้วเหตุใดไม่นัดเพลากลางวันเล่า”
       “กลางวันบ่าวต้องรับใช้แม่นายกับแม่หญิงดวงแขนี่เจ้าค่ะ”
       ลำภูอึกอักไม่รู้จะพูดอะไรดีเลยสะบัดหน้าเดินกลับไป พวกทาสเห็นลำภูเดินกลับไปก็ไม่กล้าอยู่ต่อ รีบตามลำภูกลับไปทันทีเช่นกัน เสมาถอนใจโล่งอก ก่อนหันไปพูดกับจำเรียง
       “เหตุใดจึงเป็นเอ็งได้จำเรียงแล้วแม่หญิงเรไรเล่า”
       “แม่หญิงเห็นว่าไม่งามที่จะรับนัดพี่ยามค่ำคืน จึงให้ฉันมาแทนเผื่อพี่จะมีเหตุสำคัญจ้ะ”
       “ข้าน่ะรึนัดแม่หญิง แม่หญิงเรไรต่างหากที่เขียนสาสน์ไปนัดข้า ข้ายังคิดว่ามีเหตุสำคัญเป็นแน่ จึงรีบมา”
เสมาและจำเรียงมองหน้ากันด้วยความแปลกใจ ต่างคนต่างไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

อ่านต่อหน้า ๓

ความรู้เกี่ยวกับขุนศึก

๓๔. พุกาม เป็นชื่ออาณาจักรโบราณของพม่า โดยรวมเมืองตลอดจนดินแดนของพม่าและ
มอญเอาไว้ด้วยกัน ตั้งขึ้นในพุทธศักราช 1587 โดยพระเจ้าอโนรธามังช่อ และล่มสลายใน
ปีพุทธศักราช 1830
ขุนศึก ตอนที่ ๕ (ต่อ)

เอื้อยแตงและศรีเมืองมีท่าทีหวาดกลัวเมื่อถูกกลุ่มทหารพม่าคุมตัวเข้ามาในสวน โดยเฉพาะศรีเมืองกลัวจนร้องไห้ พม่ามองไปรอบๆแล้วคนหนึ่งก็กล่าวว่า

       “ไม่มีผู้ใดแล้ว จัดการเสียที่นี่เถิด”
       ทั้งเอื้อยแตงและศรีเมืองรีบโผเข้ากอดกันทันทีด้วยความกลัวที่จะถูกฆ่า แต่เอื้อยแตงยังใจดีสู้เสืออยู่ “เพลานี้เป็นยามศึก การปล้นมีโทษร้ายแรงถึงบั่นคอ พี่ชายทั้งหลายกลับใจเสียเถิดแลเราเป็นคนอโยธยาเช่นกันจะเข่นฆ่ากันไปไย”
       พม่าอีกคนหัวเราะชอบใจ
       “พวกข้าไม่ได้เป็นคนอโยธยา แต่เป็นคนหงสาแลไม่ได้คิดปล้น หากแต่คิดจะตีอโยธยาต่างหาก”
       เอื้อยแตงและศรีเมืองยิ่งตกใจหนักขึ้นเพราะไม่คาดคิดมาก่อน
       “ปากพล่อยนักเรื่องเช่นนี้เป็นความลับ เอามาพูดเล่นได้รึ” ทหารพม่าคนหนึ่งเตือนเพื่อน
       “จะเป็นกระไรไปเล่า อีกไม่อึดใจพวกนางก็หาชีวิตไม่แล้ว”
       พม่าคนหนึ่งถอนใจส่ายหน้าเงยหน้ามองท้องฟ้า
       “จวนได้เพลาแล้ว รีบไปลงมือเถิด... เอ็งฆ่านางสองคนนี้เสีย แล้วรีบตามไปสมทบโดยเร็ว”
       พม่าคนหนึ่งรีบพาพวกที่เหลือจากไปทันที เหลือเพียงพม่าอีกคนกับเอื้อยแตงและศรีเมืองที่ยังอยู่
       “อย่าฆ่าแกงพวกเราเลยจ้ะ เมตตาพวกเราด้วยเถิด” ศรีเมืองร้องไห้ปล่อยโฮ
       เอื้อยแตงจ้องทหารพม่าเขม็งด้วยความ เกลียดชัง
       “จะให้เมตตารึ แล้วเอ็งทั้งสองมีสิ่งใดมาแลกเปลี่ยนเล่า หากสมน้ำสมเนื้อ ข้าจักลองคิดดู”
       เอื้อยแตงสีหน้าเจ้าเล่ห์แสร้งคุกเข่ากอดขาพม่าทันที
       “สิ่งใดก็ได้จ้ะ ฉันยอมสิ้นแล้ว ขอแต่ไว้ชีวิตพวกฉันเถิด”
       พม่าหัวเราะชอบใจด้วยความหลงลำพองสุดๆ เอื้อยแตงแอบเอื้อมมือไปหยิบก้อนหินบนพื้นขึ้นมาไว้ที่มือ เมื่อพม่าผู้นั้นเชยคางเอื้อยแตงแล้วก้มลงมามองใบหน้าชัดๆก่อนที่จะพูดว่า
       “ถ้าเช่นนั้น ข้าก็ขอดูของแลกเปลี่ยนของเอ็งก่อนเถิด”
       ขาดคำ...เอื้อยแตงใช้ก้อนหินทุบเข้าเต็มหน้าพม่าคนนั้นทันที พม่าร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะทรุดลงกับพื้น
       “หนีเร็วแม่ศรีเมือง ไปคนละทางอย่าให้มันจับได้”
       ศรีเมืองตั้งสติได้รีบวิ่งหนีทันที เอื้อยแตงวิ่งหนีไปอีกทาง พม่ากุมใบหน้าที่อาบด้วยเลือดแล้วหยิบดาบลุกขึ้นไล่ตามเอื้อยแตงไป ศรีเมืองวิ่งหนีกระเซอะกระเซิงหนีมาด้วยความหวาดกลัวจนไปชนเข้ากับคนๆหนึ่งอย่างจัง ศรีเมืองผงะออกมาด้วยความตกใจ
       เอื้อยแตงวิ่งหนีพม่าที่ตามไล่ฆ่าอยู่จนสะดุดหกล้ม พม่าเงื้อดาบมาฟัน แต่เอื้อยแตงหลบได้หวุดหวิด พร้อมกับหยิบเศษดินขึ้นมากำหนึ่ง พม่าจะเข้าไปซ้ำ เอื้อยแตงขว้างดินใส่หน้าของพม่าจนเคืองตาเลยซ้ำไม่ได้ เอื้อยแตงรีบลุกขึ้นจะวิ่งหนี แต่ทันใดนั้น พม่าก็ฟันไปที่แผ่นหลังของเอื้อยแตงจนสะดุ้งเฮือกด้วยความเจ็บปวดก่อนจะทรุดลงไป หลังพม่าปัดเศษดินที่หน้าตาออกจนหมดแล้วก็หมายจะเข้าฟันเอื้อยแตงซ้ำ
       แต่ทันใดนั้น ก็มีมือข้างหนึ่งมาจับมือพม่าไว้แล้วบิดข้อมือจนร้องลั่น พม่าสะบัดหลุดมือนั้นจนหลุด
       เสมา...เข้ามาช่วยเอื้อยแตงไว้ ขณะที่ศรีเมืองยืนอยู่ห่างออกไปจากจุดปะทะด้วยความหวาดกลัว
       พม่าเข้าไปฟันเสมา แต่เสมาฉากหลบแล้วเตะสวนไปที่ข้อมือของพม่าจนดาบหลุด เสมาพลิกตัวรับดาบเอาไว้ แล้วฟันใส่พม่าจนตายคาที่
       ศรีเมืองรีบเข้าไปหาเอื้อยแตงทันที
       “แม่เอื้อย”
       มือที่ศรีเมืองสัมผัสกับแผ่นหลังของเอื้อยแตงรู้สึกลื่นๆ เมื่อยกมือขึ้นดูปรากฏว่าเลือดเต็มมือ ศรีเมืองตกใจสุดขีดพลางร้องเรียก
       “พี่เสมา ช่วยแม่เอื้อยด้วย”
       เสมารีบเข้ามาประคองและร้องเรียก “เอื้อยแตง”
       เอื้อยแตงมองหน้าเสมาก่อนจะคอพับหมดสติไปเพราะเสียเลือดมาก ศรีเมืองตกใจร้องเรียก “แม่เอื้อย” อย่างสุดเสียง
       ทหารพม่ากลุ่มเดิมซึ่งปลอมปะปนเข้ามาในเมืองพร้อมอาวุธและคบไฟครบมือออกมากันพร้อมหน้าเตรียมตัวจะก่อความวุ่นวาย พม่าคนหนึ่งบอกว่า
       “เผาบ้านเรือนละแวกนี้เสีย เกิดความวุ่นวายเมื่อใด จงรีบฉวยโอกาสเปิดประตูเมืองรับทัพของพวกเราเข้ามา”
       พวกพม่าที่เหลือแยกย้ายกันไปทำตามคำสั่งทันที
       ขณะที่พม่าคนหนึ่งกำลังจ่อคบไฟเตรียมจะเผา แต่ทันใดนั้นก็มีดาบเล่มหนึ่งเข้ามาจ่อคอพม่าคนนั้นไว้ พม่าตกใจเมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็ปรากฏว่าสมบุญที่เอาดาบจ่อคอ
       สินคุมทหารไทยจำนวนหนึ่งออกเล่นงานพวกพม่าที่ปลอมตัวเข้ามา สู้กันได้ไม่เท่าไหร่ ก็จัดการได้หมดสิ้น

       วันรุ่งขึ้น เอื้อยแตงนอนคว่ำอยู่บนเตียงภายในบ้านพันอิน เอื้อยแตงค่อยๆลืมตาฟื้นขึ้นมาเห็นแต้มนั่งเฝ้าอยู่ พอเอื้อยแตงฟื้นแต้มก็ดีใจยกใหญ่
       “นังเอื้อยแตงฟื้นแล้ว”
       ศรีเมือง มั่น และบุญเรือนได้ยินเสียงเลยรีบเข้ามาในห้อง
       “แม่เอื้อย แม่เอื้อยเป็นกระไรบ้าง” ศรีเมืองถามขึ้น
       พอเอื้อยแตงขยับตัวก็เจ็บแผลที่หลังขึ้นมาจนต้องโอดโอย
       “ช้าๆซีวะ นังม้าดีดกะโหลกนี่ เอ็งเพิ่งโดนดาบฟันหลังมา บุญรักษาเท่าใดแล้วที่ไม่ตาย”
       “แหมพ่อ พอฉันฟื้นมาก็ด่าขรมเชียว”
       เอื้อยแตงนึกขึ้นได้รีบถามขึ้น
       “แล้วอ้ายข้าศึกเล่า มันก่อการสำเร็จหรือไม่แม่ศรีเมือง”
       “ไม่ดอก พี่เสมาพาพวกไปจับมันไว้ได้ เอ้อ คนที่ช่วยแม่เอื้อยแตงไว้ ก็คือพี่เสมา ไม่รู้ว่าแม่เอื้อยแตงได้ทันเห็นก่อนเป็นลมล้มพับไปหรือไม่”
       เอื้อยแตงที่คิดจะจับผิดเสมา แต่เสมากลับช่วยชีวิตไว้
       “แล้วพี่เสมาเล่าอยู่ที่ใดกัน ฉันจักขอบพระคุณสักหน่อย”
       “เสมาออกไปแต่เช้ามืดแล้ว คงไปพบแม่หญิงเรไรอีกห้ามเท่าใดก็ไม่ฟังจริงๆ”
       “อ้ายเสมาบอกว่าสิ้นศึกครานี้ จะขอพระราชทานแม่หญิง ดูท่ามันคงรักมั่นแม่หญิงเรไรแน่แท้” มั่นพูดขึ้นพลางส่ายหน้าช้าๆ
       เอื้อยแตงมีสีหน้าซึมจ๋อยลงทันทีที่ไม่สามารถเปลี่ยนใจเสมาได้ เช่นเดียวกับศรีเมืองที่ตกอยู่ในหัวอกเดียวกันแบบไม่ตั้งใจ

       ยามเช้า เสมานั่งอยู่บนเรือ โดยกำลังคุยกับเรไรที่เตรียมตักบาตรอยู่ที่ศาลาท่าน้ำ
       “แผลของเอื้อยแตงไม่ลึกเท่าใดดอกแม่หญิง แต่คงตกใจจนสลบไปเสียมากกว่า พักไม่กี่เพลาก็คงจะหาย”
       เรไรรู้สึกโล่งอก
       “เช่นนี้ฉันก็เบาใจแม่เอื้อยแตงไม่เป็นกระไรก็ดีแล้ว พระเสื้อเมือง พระทรงเมืองคุ้มครองโดยแท้ หากไม่เกิดเหตุกับแม่เอื้อยแตง ป่านฉะนี้ อโยธยาอาจจะแตกอีกคราก็เป็นได้”
       “แต่ข้าพระเจ้ายังสงสัยเรื่องของเราอยู่ ในเมื่อแม่หญิงไม่ได้นัดข้าพระเจ้า ข้าพระเจ้าก็ไม่ได้นัดแม่หญิง แล้วเป็นฝีมือของผู้ใดกัน”
       “ฉันถามแม่ดวงแขแล้ว แม่ดวงแขก็ตกใจไม่น้อย คาดว่าบ่าวมันคงรู้เห็นเป็นใจด้วยแม่ท่านเป็นแน่”
       เสมาสงสัยรู้สึกว่า เรื่องนี้มีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ แต่ยังคิดไม่ออก
       ขณะนั้นเอง พระภิกษุก็พายเรือบิณฑบาตผ่านมา
       “พระท่านมาแล้ว เสมารีบไปเถิด”
       เสมามองเรไรตาละห้อย
       “เมื่อใดอ้ายเสมาจะได้มีวาสนาได้ใส่บาตรพร้อมกับแม่หญิงบ้างหนอ”
       “ยังจะพิรี้พิไรอยู่อีก ประเดี๋ยวแม่ท่านก็มาเห็นเข้าอีก ครานี้จะหาคำใดมาแก้ ก็คงไม่รอดดอก” เรไรทำเสียงดุใส่
       เสมายิ้มแย้ม ก่อนจะพายเรือจากไป เรไรมองตามแล้วอมยิ้ม ก่อนจะหันไปนิมนต์พระรับบาตร ดวงแขยืนแอบดูภาพบาดตาบาดใจอยู่ด้วยความริษยาที่เพิ่มพูนมากขึ้นทุกที

       ดวงแขมาทำบุญกับลำภูและอำพัน ต่างเดินคุยกันมาโดยมีพวกทาสถืออาหารและของที่ใช้ทำบุญตามหลังมา ลำภูพูดขึ้นด้วยความเจ็บใจ
       “อาก็เสียดายนักที่จับไม่ได้ไล่ไม่ทัน ไม่เช่นนั้นอ้ายหมื่นศึกคงโดนดีเป็นแน่ แต่ก็ยังมีข้อโล่งใจอยู่บ้าง ที่แม่เรไรไม่ได้หลงเพลินจนเสียศักดิ์ ยอมไปพบกับชายยามมืดค่ำ”
       “แต่หากเป็นเช่นนี้หมื่นศึกคงทำความชอบขอพระราชทานแม่เรไรได้สักวัน ท่านอาจะยอมได้รึเจ้าคะ” ดวงแขแสร้งยุแยงอยู่ในที
       ลำภูแสดงท่ารังเกียจเสมาจนออกนอกหน้า
       “ให้ดินกลบหน้าอาก่อนเถิด ที่จะยอมมีเขยเป็นอ้ายช่างตีเหล็กต่ำสกุลเช่นนั้น”
       ลำภูหันไปพูดกับอำพัน
       “เห็นทีพ่อขันกลับจากศึกละแวกเมื่อใด เราคงต้องจัดงานแต่งกันเสียแล้วพี่อำพัน”
       อำพันถอนหายใจแล้วว่า
       “ข้อนั้นฉันไม่ขัดดอก เพราะฉันก็รักแม่เรไรเสมอลูกอยู่แล้ว แต่หากแม่เรไรไม่ยอมเล่าฉันก็จนปัญญา”
       “แม้ไม่ยอมก็ต้องบังคับ ไว้รอพี่ขุนรามกลับมาก่อนเถิด แล้วจะได้เห็นกัน” ลำภูทำเสียงขึงขังขึ้นมา
       ดวงแขแอบยิ้มพอใจ

       บ่ายวันเดียวกัน เอื้อยแตงยังนอนคว่ำอยู่บนฟูกที่ชานบ้านเพราะเจ็บแผลที่หลัง เสมาเดินขึ้นเรือนมา พอเห็นเอื้อยแตงนอนคว่ำก็หัวเราะชอบใจจนเอื้อยแตงเกิดอาการงอน
       “ขำกระไร ไม่เคยเห็นคนนอนคว่ำรึ”
       “ปากเอ็งนี่มันคมกว่าดาบหงสาเสียอีก ถึงขนาดฟันเข้ากลางหลังยังหยุดให้เอ็งด่ามิได้” เสมาพูดปนหัวเราะ
       เอื้อยแตงหงุดหงิดพยายามยันตัวลุกขึ้นนั่งเลยเจ็บแผลอีก
       “โอ๊ย”
       เสมาเป็นห่วงรีบเข้าไปประคอง
       “เจ็บแผลรึแล้วจะลุกขึ้นมาทำกระไร ทำไมไม่นอนเสีย”
       เอื้อยแตงยังงอนอยู่จึงปัดมือเสมาออกแล้วทิ้งค้อนตามประสาหญิง
       “สนใจด้วยรึ นึกว่าสนใจแต่แม่หญิงเรไรคนงามเสียอีก ออกไปหาแต่รุ่งสางกลับเอาบ่ายคล้อย คงมีเรื่องพูดคุยกันมากสิท่า”
       “เอ็งอย่าพูดเช่นนี้ไป ใครได้ยินเข้าแม่หญิงเรไรจะมัวหมอง ข้าได้ปะหน้าแม่หญิงเพียงชั่วครู่ คุยกันไม่กี่คำเท่านั้นดอก จากนั้นข้าก็ไปหาออกญาเดโช เพื่อเล่าแจ้งเรื่องเมื่อคืนแก่ท่าน จึงเพิ่งกลับมา”
       ศรีเมืองเดินถือชามใส่ยาออกมาจากข้างใน
       “แม่เอื้อยแตง ถึงเพลาพอกยาแล้วจ้ะ”
       “มา ข้าช่วย”
       เสมาทำท่าจะถอดเสื้อเอื้อยแตงที่ตกใจจนต้องรีบถอยหนีด้วยความตกใจและอาย
       “จะทำกระไร”
       เสมาไม่ได้คิดอะไร ได้แต่ถามกลับด้วยความงงๆ
       “ก็จะพอกยาที่หลังให้เอ็งซิ ไม่ถอดเสื้อแล้วจะพอกได้อย่างไร”
       “ฉันถอดเองเป็นดอก พี่ไม่ต้องวุ่นวาย โน่น ลงเรือนไปได้แล้ว” เอื้อยแตงตวาดแว๊ดทันที
       “แล้วเหตุใดข้าต้องลงจากเรือนด้วย หรือว่าเอ็งอายข้า เอ็งอายข้ารึเอื้อยแตงจะอายกระไร ข้าเห็นเอ็งแก้ผ้ามาแต่เล็กแต่น้อย ข้าเห็นเสียจนนับไม่ถ้วน ไฝแดงไฝดำมีตรงไหนบ้าง ข้าจำได้หมด” หลังเสมาฉุกคิดขึ้นได้แล้วก็หัวเราะลั่น จนเอื้อยแตงหน้าแดงด้วยความอาย
       “อ้ายเสมา”
       เอื้อยแตงหยิบของใกล้มือขว้างใส่เสมา ศรีเมืองได้แต่ขำขันไปมา เสมาเอามือปัดของพัลวัน
       “เฮ้ย”
       ครั้นเอื้อยแตงจะหยิบอะไรกว้างปาอีกก็มีอาการเจ็บแผลขึ้นมาจนร้อง “โอ๊ย”
       ขณะนั้นเอง สินวิ่งหน้าตาตื่นขึ้นมาบนเรือนด้วยความเป็นห่วง
       “แม่เอื้อยแตง เป็นกระไรบ้าง เจ็บที่ใดบอกฉันเถิด พิโธ่เอ๋ย ฉันเพิ่งรู้เรื่องจึงมาช้าไป แต่ฉันห่วงแม่
       เอื้อยแตงเสียแทบขาดใจ แม่เอื้อย”
       เอื้อยแตงกรี๊ดลั่นใส่หน้า จนสินสะดุ้งตกใจ ผงะถอยออกไปทันที
       “ฉันพูดกระไรผิดรึ” สินหันไปมองเสมาเป็นเชิงถาม
       ศรีเมืองถอนใจแล้วว่า
       “หัวหมู่สิน ยาของแม่เอื้อยจวนหมดแล้ว วานไปตำยาเพิ่มสักหน่อยเถิด ตัวยาอยู่ด้านใน หัวหมู่เข้าไปก็เห็นเอง”
       “ได้ซีแม่ศรีเมือง”
       สินรีบเข้าไปข้างในทันที
       “พอกยาเถิดแม่เอื้อยแตง” ศรีเมืองบอก
       เอื้อยแตงมองเหล่ๆมาที่เสมา เสมายิ้มกวนๆแต่ก็เบือนหน้าไปทางอื่น
       เสียงครกดังสนั่นออกมาจากด้านใน สินบ้าพลังตำยาแบบไม่ยั้งด้วยความเป็นห่วง เอื้อยแตงหงุดหงิดหัวใจอยู่เลยพาลตะโกนใส่
       “เบาหน่อยเถิดอ้ายสิน หูข้าจะแตก”
       ศรีเมืองเข้ามาช่วยปลดผ้าทายาที่หลังให้เอื้อยแตง เสมาก็แกล้งทำเป็นเหล่ๆ มอง เอื้อยแตงจับเสื้อกันโป๊ตลอดเวลา สายตาคอยชำเลืองมองเสมา ทั้งอายทั้งเขินสุดๆ

       ผ่านเวลาไป เจ็ดแปดวัน ที่ค่ายพระยาศรีไสยณรงค์ ขันและพุฒกำลังเลี้ยงเหล้า เลี้ยงอาหารทหารกลุ่มหนึ่งอย่างสนุกสนาน ฉลองกันเต็มที่
       “กินเลย กินให้พอ ไม่พอก็ขนมาอีก พวกละแวกมันแตกพ่ายไปสิ้น ไม่กล้ามาเหิมเกริมกับอโยธยาอีกแล้ว เราจึงต้องฉลองกันให้สาสมใจ” พุฒพูดพลางหัวเราะร่วน
       ทหารคนหนึ่งเมามายเสียงอ้อแอ้หัวเราะตามแล้วบอก
       “ขอบน้ำใจพี่พุฒพี่ขันนัก ออกศึกมานานเดือนเพิ่งจักได้กินดีก็วันนี้เอง”
       “อุบ๋า เอ็งพูดกระไรวะ พวกข้าทำความดีความชอบได้เป็นหมื่นชาญณรงค์กับหมื่นทรงเดชะแล้ว เอ็งยังกล้าเรียกชื่อข้าอีกรึ” ขันเมาโมโหพูดขึ้น
       “ขอขมาเถิดจ้ะพี่หัวหมื่นทั้งสอง ฉันผิดไปแล้วอภัยให้ฉันเถิด”
       ขัน พุฒ และพวกทหารคนอื่นๆก็กินเหล้าฉลองกันต่อ เฮฮาเสียงดังลั่น
       พันอินเดินผ่านมา เหล่มองขันและพุฒด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยาม พลางส่ายหน้าอย่างระอา
       “พอสิ้นศึกก็ตั้งวงสุรา”
       พันอินจะเดินไปอีกทาง แต่ขันเหลือบเห็นเข้าเลยรีบเข้าไปหา
       “ท่านลุงพันอิน จะไปที่ใดกันเล่า สิ้นศึกแล้ว เรามากินสุราให้สำราญใจกันเถิด”
       ขันดึงแขนพันอินจะลากมา พันอินดึงมือขันออกอย่างไม่พอใจ
       “เชิญหมื่นชาญณรงค์เถิดฉันไม่สันทัดเรื่องเครื่องดองของเมา เสร็จศึก ขอพักให้สบายแก่ตัวก็พอแล้ว”
       พันอินจะเดินเลี่ยงไป ขันไม่พอใจถึงกับด่าตามหลัง
       “หักหน้ากันเช่นนี้ เพราะถือว่ามีลูกบุญธรรมเป็นหมื่นศึกอาสาใช่หรือไม่ อ้ายเสมาเป็นหัวหมื่น ฉันก็หัวหมื่นเสมอกัน หากลัวมันดอก”
       พุฒเดินเมาแอ๋เข้ามาสมทบกับขัน
       “ลูกบุญธรรมเช่นอ้ายเสมาจะมีคุณวิเศษกระไรกัน รอมันสนองคุณด้วยแม่ศรีเมืองก่อนเถิด ข้าจะหัวเราะสมน้ำมะหน้าให้”
       “อีกแล้วรึ พูดเช่นนี้อีกแล้วรึ วิสัยชายชาติทหารมีกระไรก็พูดกันโดยตรง ใส่ไคล้หมื่นศึกลับหลังเช่นนี้หาสมเป็นทหารไม่”
       “พวกฉันไม่ได้ใส่ไคล้ อ้ายเสมามันเป็นคนเนรคุณ กินบนเรือนขี้รดบนหลังคา หากไม่เชื่อ พันอินก็ไปถามท่านอาดูเถิด ที่อ้ายเสมาเป็นหัวหมื่นแล้วยังยากจนหาศักดินาได้ไม่ก็เพราะความเนรคุณของมันเอง”
       พันอินชะงักติดใจกับคำพูดประโยคหลังของขันขึ้นมาทันที

       ขุนรามเดชะกำลังคุยกับพันอินด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
       “ฉันยอมรับว่าไม่ได้ใส่ชื่ออ้ายเสมาเข้าสังกัดมูลนาย มันจึงเป็นได้แต่ทหารอาสา ไร้ซึ่งศักดินา”
       “เหตุใดออกขุนท่านทำเช่นนี้เสียแรงที่ฉันฝากฝังลูกไว้กับออกขุน แต่กลับรังแกเด็กมันถึงเพียงนี้”
       ขุนรามเดชะถอนใจหนักๆ
       “ฟังฉันก่อนเถิดพี่พันอิน คราแรกฉันตั้งใจจะเกื้อหนุนมัน แต่มันกลับลบหลู่ฉัน คิดเหิมเกริมหมายปองแม่เรไร แล้วจักให้ฉันเลี้ยงมันไว้อีกรึ”
       “ฉันรู้ว่า ออกขุนถือยศศักดิ์ แต่เรื่องรักใคร่ใช่จะห้ามกันได้ แลเสมาก็มีความชอบในราชการเป็นหัวหมื่นแล้วสักวันต้องได้เป็นขุนศึกขุนพลเป็นแน่ แล้วออกขุนจะรังเกียจเดียดฉันท์ไปทำไมกัน”
       “หากมันประพฤติตามธรรมเนียม แลรอวาสนาตัวจนได้เป็นขุนพลแล้ว ฉันก็คงไม่รังเกียจดอก แต่มันกลับลักลอบพบปะแม่เรไรเป็นหลายครา พูดไปก็อับอายนัก เอาเป็นว่าหากอ้ายเสมามันกระทำบัดสีกับแม่ศรีเมืองถึงบนเรือนของพี่พันอินบ้าง พี่พันอินยังจะเลี้ยงมันไว้อีกหรือไม่เล่า”
       พันอินชะงักไปทันทีชักโน้มเอียง เพราะโดนทักเรื่องนี้บ่อยเข้าก็เลยไม่กล้าเข้าข้างเสมาอีก

       ห้าเดือนต่อมา สมเด็จพระนเรศวรบุกตีค่ายพระมหาอุปราชาด้วยกำลังทหารไทยซึ่งน้อยกว่าฝ่ายพม่า รบพุ่งเก่งกว่า ทหารพม่าเริ่มแตกพ่ายไปเรื่อย
       เสมาบุกทะลวงจนทหารพม่า 5-6 คนแตกกระเจิงจนไปถึงธงของทัพหงสาวดี เสมาร้องลั่น ก่อนจะฟันเสาธงของทัพหงสาเต็มแรงเกิด จนเสาธงหักสะบั้นลง

       กองทัพหงสาวดีได้ล้อมกรุงศรีอยุธยานานถึง 5 เดือนเศษ ก็ยังไม่สามารถเอาชนะได้ แถมยังถูกปล้นทัพ รื้อค่ายบ่อยครั้งจนได้รับความลำบากอย่างยิ่ง แม้กระทั่งค่ายของพระมหาอุปราชาก็ยังต้องแตก ถอยร่นจากขนอนบางตะนาวไปอยู่ที่บางกระดาน ทำให้พระเจ้านันทบุเรงทรงท้อพระทัย ยกทัพกลับไปในที่สุด

       บรรยากาศยามเช้าในค่ายของพระเจ้านันทบุเรง บรรดาทหารต่างเก็บของ อาวุธ เสบียง ฯลฯ เพื่อถอยทัพกลับหงสาวดี บนพลับพลา พระเจ้านันทบุเรงทรงประทับอยู่ผู้เดียวด้วยสีพระพักตร์เต็มไปด้วยความท้อแท้สิ้นหวัง ขุนนางคนหนึ่งเดินเข้าไปในพลับพลา แล้วคุกเข่าลงพนมมือถวายบังคมพระเจ้านันทบุเรง
       “ขอเดชะ พระอาญาไม่พ้นเกล้า จวนได้เพลาฤกษ์แล้ว ขอเชิญพระองค์เสด็จเถิดพระพุทธเจ้าข้า”
       “ข้าไม่เข้าใจ ยกทัพมาครานี้ เป็นทัพกษัตริย์ถึงสามทัพ แลยังมีรี้พลจากหัวเมืองประเทศราชอื่นอีก ยิ่งใหญ่ไม่แพ้คราวสมเด็จพระราชบิดา แต่ข้างอโยธยานั้น ไพร่พลน้อยกว่าครั้งพระมหินทราธิราชมากนัก แล้วเหตุใดข้าจึงไม่อาจเอาชำนะได้”
       “พระองค์อย่าทรงวิตกเลยพระพุทธเจ้าข้า อย่างไรเสียอโยธยาก็มีรี้พลน้อยกว่าเรานัก รบขับเคี่ยวกันไปหลายคราย่อมหมดกำลังไปเอง ชัยชำนะย่อมตกเป็นของพระองค์เป็นแน่ พระพุทธเจ้าข้า”
       “ขับเคี่ยวหลายครารึ เจ้าจักบอกว่า ทหารหงสาสู้ทหารไทยไม่ได้ ต้องใช้กำลังมากกว่าเข้ารบ จนข้าศึกสิ้นแรงไปเองกระนั้นรึ”
       “มิใช่ทหารหงสาสู้ไม่ได้ดอกพระพุทธเจ้าข้า แต่องค์พระนเรศทรงกล้าหาญในการศึกแลบังคับบัญชาทหารเด็ดขาดนัก เหล่าทหารกลัวสมเด็จพระนเรศยิ่งกว่ากลัวความตาย จึงสู้รบถวายชีวิตทุกครา แม้รี้พลน้อยก็เหมือนมีมากพระพุทธเจ้าข้า”
       พระเจ้านันทบุเรงคิดตามแล้วก็ถอนใจหนักๆ ยอมรับว่า ขุนนางพูดไม่ผิดจริงๆ

       ภายในบ้านของขัน อำพันกำลังสั่งงานบรรดาทาสหญิงจนพวกทาสวิ่งวุ่นกันยกใหญ่ เพื่อรับใช้ขันที่เพิ่งกลับมาจากศึกละแวก
       “เร็วๆเข้า มีน้ำท่า ของคาวหวานใด ยกมาให้พ่อหมื่นลูกข้าประเดี๋ยวนี้”
       อำพันสั่งงานเสร็จก็เดินเข้าไปหาขันซึ่งสวมชุดเครื่องแบบอยู่ ดวงแขนั่งคุยอยู่ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
       “พ่อขันรอสักครู่เถิด หนีภัยศึกไปอยู่เรือนออกขุนรามเสียห้าเดือน เพิ่งกลับมาได้ไม่กี่วัน กระไรก็ยังไม่เข้าที่เข้าทางนัก”
       “ไม่เป็นกระไรดอกจ้ะแม่ เพียงแค่เรือนเรายังดีอยู่ ไม่วายวอดเหมือนเรือนอื่น ก็ถือว่าบุญหนักหนาแล้ว”
       “เทวดาท่านปกปักรักษาพวกเรานัก ไม่เพียงแต่บ้านเรือนยังอยู่ดี พี่ขันไปศึกละแวกกลับมานอกจากจะพ้นโทษเก่าแล้วยังได้ความชอบเป็นถึงหมื่นชาญณรงค์อีก” ดวงแขว่า
       “ ศึกละแวกครานี้ไม่หนักเท่าใด สบายกว่ารับศึกหงสามากนัก ได้ยินว่าศึกหงสาครานี้บาดเจ็บล้มตายกันมากไม่ใช่รึ”
       “จ้ะ พวกพม่ารามัญล้อมอโยธยาเสียห้าเดือนเศษ ไม่เพียงอาณาประชาราษฎร์จักเดือดร้อน ทหารบาดเจ็บล้มตายเท่านั้น แม้แต่สมเด็จเจ้าฟ้าวังหน้าท่านยังต้องอาวุธข้าศึกเสียหลายครา”
       “เสียดายนัก”
       “เสียดายกระไรรึ”
       “เสียดายที่อ้ายเสมาไม่ตายน่ะซี หากมันตาย ต้องถือว่าพี่กลับจากศึกละแวกครานี้ มีแต่ข่าวดีทั้งสิ้น แต่มันยังอยู่ก็มีข้อดีเช่นกัน มันจะได้เห็นวาสนาของพี่ เพลานี้พี่เป็นหัวหมื่นเสมอมันแล้ว ไม่นานนักพี่ต้องอยู่เหนือมันให้จงได้”
       สีหน้าแววตาของขันเต็มไปด้วยเหิมเกริม กร่างเต็มที่ ในขณะที่ดวงแขไม่สบายใจเพราะแค่เรื่องเรไรก็หนักพอแล้วที่ดวงแขหมายจะช่วงชิงเสมามาครอบครองไว้ นี่ยังมีเรื่องบาดหมางระหว่างขันกับเสมาซ้อนเข้ามาอีกเรื่อง

       สมเด็จพระนเรศวรประทับอยู่บนบัลลังก์ แทนพระมหาธรรมราชาซึ่งทรงทรงประชวรหนัก ส่วนสมเด็จพระเอกาทศรถทรงประทับบนตั่งลดระดับลงมา ทั้งสองพระองค์ทรงแวดล้อมด้วย ขุนนาง อำมาตย์มากมาย ขุนนางคนหนึ่งเข้าถวายบังคมทูลรายงาน
       “ขอเดชะ พระอาญาไม่พ้นเกล้า บัดนี้ ผู้ที่ได้รับการเลื่อนศักดิ์เป็นขุนทั้งแปด ได้มารอเข้าเฝ้าแล้ว พระพุทธเจ้าข้า”
       “ให้เข้ามาได้”
       ขุนนางหันไปตะโกนสั่ง
       “ขุนศึกทั้งแปด เข้าเฝ้า”
       สักครู่หนึ่งก็มีชายวัยสี่สิบกว่าๆเดินเรียงกันเข้ามาถึง7 คน จนถึงคนสุดท้ายคือเป็นเสมาซึ่งมีลำดับอายุน้อยสุด ขุนศึกใหม่ทั้งแปด นั่งคุกเข่าลง แล้วถวายบังคมต่อสมเด็จพระนเรศวร ทรงมีรอยยิ้มชื่นชมต่อทหารกล้ามีฝีมือทั้งแปดคน ฝ่ายเสมาปลาบปลื้มภาคภูมิใจที่สุดของชีวิต

       ภายในตำหนัก บัวเผื่อนกำลังคุยกับเรไรด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ในขณะที่เรไรคุยไปร้อยมาลัยไปด้วย
       บัวเผื่อนยิ้มแย้มอวยเต็มที่
       “มิเสียแรงที่แม่เรไรเฝ้าสมัคร ผู้อื่นกว่าจักได้เป็นขุนก็เกินสี่สิบแล้ว แม้แต่สามสิบต้นยังหายาก แต่ขุนศึกไชยชาญของแม่เรไรยังไม่ทันจะเบญจเพสเลย”
       “ดูพูดเข้าแม่บัวเผื่อนของฉันกระไรกัน ใครได้ยินเข้า ฉันจะเอาหน้าไปไว้ที่ใด”
       “ไม่ต้องอายดอกแม่เรไร ฉันก็ดีใจพลอยด้วย ดูเถิด ใครอื่นสิ หยามเค้าบัดนี้เรไรแม่สมควรจักเอ่ยได้แล้วว่าขุนพลทหารเจ้าฟ้าท่านนี้ คือเสมาช่างตีเหล็กทาสรักแม่หญิง”
       “พิลึกแล้วแม่บัวเผื่อน ไฉนจักให้ฉันไปเที่ยวพูดโพนทะนาด้วยเล่า เราเป็นหญิง พูดไปจะควรรึ อนึ่งพ่อแม่ท่านก็ชังเสมานัก”
       “ใครหนอจักชังขุนศึกทหารสมเด็จองค์เจ้าฟ้านเรศได้ แม้จักมีถือชัง ก็ต้องยอมลงด้วยพระบรมราชโองการเป็นแน่ จริงหรือไม่เล่าแม่เรไร”
       บัวเผื่อนทำพูดดีประจบไป แต่คล้อยหลังก็แอบเหยียดปากหมั่นไส้ปนอิจฉาอยู่ในที

       เสมายืนกระวนกระวายอยู่หน้าวัง รอลุ้นว่า จะได้พระราชทานเรไรหรือเปล่า ขณะนั้นเอง ขันกับพุฒก็เดินคุยกันด้วยสีหน้ายิ้มแย้มผ่านมา พอเห็นเสมา ทั้งคู่ก็เข้าไปกร่างใส่ทันที
       “เหยียบเรือนมิได้ก็มาเฝ้ารอหน้าวังเชียวรึหมื่นศึกอาสา ช่างน่าเวทนานัก” ขันว่า
       เสมาไม่อยากต่อล้อต่อเถียงด้วยจึงนิ่งเสีย พุฒยิ้มเยาะเสมา
       “รอไปก็หาเป็นประโยชน์อันใดไม่ หัวหมื่นยากจนมีน้องสาวเป็นทาสต้องเร่ตีดาบขาย ไหนเลยจะมาสู้หมื่นชาญณรงค์ผู้มั่งมีได้เล่า”
       “หมื่นทรงเดชะพูดตรงนัก เสียดายที่ยังมีคนไม่เจียมกะลาหัวคิดเผยอจะแข่งวาสนากับฉันอีก”
       ทั้งคู่หัวเราะชอบใจ ขณะนั้นเอง บัวเผื่อนพร้อมด้วยนางข้าหลวงสองสามคนก็เดินออกมาจากในวังมาพอดี บัวเผื่อนแกล้งทักพุฒทันที
       “อ้าว ท่านขุนศึกไชยชาญ มาทำกระไรตรงนี้รึ”
       “ใครกันแม่บัวเผื่อน ขุนศึกไชยชาญ ทักผิดคนแล้วกระมัง” พุฒพูดอย่างแปลกใจ
       บัวเผื่อนยิ้มหยันพลางมองไปทางเสมา
       “ ไม่ผิดดอก ขุนศึกไชยชาญก็ยืนอยู่ที่นี่ยังไงเล่า เพิ่งจักได้พระราชทานยศขุนวันนี้เอง ฉันขอดีใจด้วย”
       ขันและพุฒตกใจหน้าเสียทันทีที่รู้ว่าเสมาได้รับพระราชทานตำแหน่งขุนก่อนพุฒและขัน
       “ขอบน้ำใจแม่หญิงบัวเผื่อนนัก ในเมื่อแม่หญิงร่วมดีใจกับฉันแล้ว ก็ขอแม่หญิงเอาใจช่วยฉันอีกเรื่องเถิด ฉันเพิ่งขอพระราชทานแม่หญิงเรไรจากสมเด็จเจ้าฟ้าวังหน้าท่าน ป่านฉะนี้แล้ว ยังไม่รู้เป็นประการใดเลย”
       บัวเผื่อนได้ทียิ้มแย้ม ย้ำเยาะขันกับพุฒทันที
       “ขอพระราชทานแม่เรไรแล้วรึ ควรแล้ว ศึกหงสาครานี้ท่านขุนมีความชอบนัก เพียงแค่ขอพระราชทานแม่เรไร พระองค์ต้องทรงโปรดเป็นแน่”
ขันขบกรามแน่นแค้นแทบกระอักเลือด จ้องหน้าเสมาเขม็งก่อนเดินฉับๆ ไปอย่างหัวเสีย
พุฒถึงขนาดหน้าถอดสี เพราะถ้าเรไรไม่ได้แต่งกับขัน ก็เป็นอันว่า พุฒอาจจะหมดหวังเรื่องดวงแขไปด้วย จึงเดินอย่างหงุดหงิดตามขันไปอีกคน บัวเผื่อนเหยียดปากตามใส่อย่างสะใจ เสมายิ้มปลื้มใจมีความหวังเต็มเปี่ยม


อ่านต่อ หน้า ๔

ความรู้เกี่ยวกับขุนศึก

๓๕. พระเสื้อเมือง คือเทวดาที่มีหน้าที่คุ้มครองเมืองทั้งทางบกและทางน้ำ คุมกำลังไพร่พล และรักษาบ้านเมืองให้ร่มเย็นเป็นสุขปราศจากศัตรูมารุกราน พระทรงเมือง คือเทวดาที่มีหน้าที่รักษาการปกครอง และ กระทรวง ทบวง กรมต่างๆ ทั้งดูแลทุกข์สุขของประชาชนให้ร่มเย็นเป็นสุข
//www.manager.co.th/Drama/ViewNews.aspx?NewsID=9550000053717&Page=3



Create Date : 22 พฤษภาคม 2555
Last Update : 22 พฤษภาคม 2555 11:58:54 น. 0 comments
Counter : 725 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

atitaya_t
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




สวัสดีค่ะ ขอร่วม gang ด้วยคนค่ะ
Friends' blogs
[Add atitaya_t's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.