เก็บความทรงจำ..(^_^)..ความสนใจ โลกส่วนตัว ที่เราสร้างเอง
Group Blog
 
 
พฤษภาคม 2555
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
22 พฤษภาคม 2555
 
All Blogs
 
ขุนศึก ตอนที่ 4-2

ขุนศึก ตอนที่ ๔ (ต่อ)

จำเรียงเดินลิ่วมาด้วยความโกรธ หึงหวง สมบุญรีบตามมาแล้วดึงแขนจำเรียงไว้ จำเรียงสะบัดแขนออกด้วยความโกรธ

       “รอก่อนแม่จำเรียง”
       “พี่อย่ามาห้ามฉัน ฉันจะไปฟังคำพี่พันฤทธิ์ หากไม่จริงทุกคนจะได้รู้ ไม่กล่าวร้ายพี่พันฤทธิ์อีก”
       “แล้วแม่จะพบตัวพันฤทธิ์ได้กระไร ไปหาที่บ้านมาหลายคราแล้วไม่ใช่รึ ก็มิได้เห็นหน้าสักคราเดียว”
       จำเรียงหน้าเสียเพราะลืมคิดข้อนี้ไป สมบุญถอนหายใจ
       “หากอยากเจอตัวพันฤทธิ์ก็มากับฉันเถิด ครั้งเป็นทาสออกขุนรามท่าน ฉันเคยไปที่เรือนพันฤทธิ์หลายคราพอจะรู้ลู่ทางอยู่บ้าง”
       “เช่นนั้นพี่ก็นำฉันไปเถิด ฉันอยากพูดคุยกับพี่พันมานานแล้ว”
       “ตามมาทางนี้”
       สมบุญเดินนำไป จำเรียงยิ้มดีใจรีบเดินตามสมบุญไปติดๆ

       เวลาต่อมา สมบุญพาจำเรียงลอบเข้ามาในบ้านขัน สมบุญมองไปรอบๆเพื่อความแน่ใจ ก่อนจะรีบพาจำเรียงเข้าใต้ถุนเรือนทันที ขณะนั้นเองก็ได้ยินเสียงขันดังออกมาจากบนเรือน
       “แม่พูดเช่นนี้ เหมือนจะให้ลูกตัดใจจากแม่หญิงเรไรเสีย”
       บนเรือน ขันกำลังคุยกับอำพันและดวงแขอยู่
       “ก็แล้วพ่อขันจะให้แม่ตากหน้าไปสู่ขออีกรึ หญิงเค้าไม่รักถึงขั้นยอมถูกโบยแล้ว ถ้าแม่ยังไปอีก ก็เป็นดั่งอันธพาลข่มเหงน้ำใจกันแล้ว” อำพันว่า
       “ฉันรู้ใจแม่เรไรดี พี่ยิ่งถืออำนาจ แม่เรไรยิ่งไม่ยอมเฉกเช่นไม้ใหญ่ยอมถูกลมพายุโค่น แต่ไม่ยอมลู่ตามลมดังต้นอ้อ เสียดายที่ฉันอยู่ในตำหนักเพิ่งรู้ความ หาไม่แล้ว ฉันคงไม่ยอมให้พี่ทำเช่นนั้นเป็นแน่” ดวงแขว่า
       “อย่ากล่าวโทษพี่เลยแม่ดวงแข ใครเล่าจะรู้ว่าแม่หญิงเรไรจะดื้อรั้นถึงปานนี้ หากรู้ พี่คงใช้วิธีอื่นไปเสียแล้ว”
       “แม่ว่าพ่อขันตัดอกตัดใจเสียเถิด หญิงอื่นที่คู่ควรด้วยพ่อขันยังมีอีกมาก อย่างแม่จำเรียงนั่นปะไร หน้าตารึก็สะสวย กิริยาก็งาม แม้สกุลไม่สูง แม่ก็หารังเกียจเดียดฉันไม่”
       ขันถึงกับเบะปากอย่างดูถูก
       “นังจำเรียงรึขอรับ ชาติไพร่ต่ำสกุลเช่นนั้น จะให้ลูกคว้ามาเป็นศรีเรือนได้เช่นไรที่ลูกเกี้ยวพาราสี ก็เพียงแต่จักหยามน้ำมะหน้าอ้ายเสมามันเท่านั้น”
       จำเรียงได้ยินเต็มสองหูถึงกับน้ำตาร่วงเผาะด้วยความเสียใจอย่างสุดๆ สมบุญมองจำเรียงด้วยความสงสาร ครั้นจะปลอบใจก็ไม่สะดวกเนื่องจากอยู่ใต้ถุนเรือนบ้านขัน
       “เช่นนั้นพี่ขันก็มองหญิงอื่นเถิด อย่างไรเสีย แม่เรไรก็เจ็บทั้งกายแลใจเพราะพี่ คงสิ้นหนทางจะครองคู่กันได้แล้ว”
       ขันไม่ยอมละทิฐิที่จะเอาชนะเรไร
       “พี่ไม่ยอม ถึงอย่างไรพี่ก็ไม่ยอม พี่ปองรักแม่หญิงเรไรมานานปีแล้ว หากมิใช่เพราะอ้ายเสมา แม่หญิงคงรับรักพี่ไปเสียนานแล้ว”
       จำเรียงเอามือปิดปากร้องไห้ไม่ให้เสียงดัง แต่ทนฟังต่อไม่ไหวจนต้องวิ่งหนีออกไป สมบุญรีบตามไปด้วยความเป็นห่วงทันที

       ที่กลางป่า เวลากลางคืน เสมานั่งผิงไฟอยู่คนเดียว มือซ้ายลูบลำแหวนของเรไรที่นิ้วก้อยขวาไปมาอยู่ตลอดเวลา ขณะที่พันอินกับทหารคนอื่นๆ จับกลุ่มพูดคุยกัน บางคนก็นอนหลับรอบกองไฟ พันอินเหลือบไปเห็นเสมานั่งอยู่คนเดียวจึงเดินเข้าไปหา
       “หักใจเสียบ้างเถิดลูกเอ๋ย พ่อให้คำมั่นแก่เจ้าว่า สิ้นราชการเมื่อใด พ่อจักไปออกปากช่วยแม่เรไร หากขุนรามไม่เห็นแก่หน้า พ่อก็จักไปขอออกญาผู้ใหญ่ท่านอื่นให้ช่วยเหลือ”
       เสมายกมือไหว้
       “ขอบพระคุณพ่อพันอินขอรับ ลูกห่วงแม่หญิงเรไรนัก หากไม่ติดราชการ ลูกคงไม่ยอมจากมาเช่นนี้เป็นแน่”
       พันอินตบบ่าเสมาเป็นเชิงเห็นใจและเข้าใจ
       ขณะนั้นเอง สินก็วิ่งกระหืดกระหอบมาถึง สินพูดอย่างเหนื่อยหอบหายใจหายคอแทบไม่ทัน
       “พี่เสมาๆ พ่อพันอิน ฉัน...ฉันเจอทัพข้าศึกแล้ว แต่... แต่..” สินหอบแฮ่ก
       “แต่กระไรวะ อ้ายสิน...” เสมาถามด้วยความแปลกใจ แววตาสงสัย

       ในเวลาต่อมา เสมา สินและพันอิน ทั้งสามคนซุ่มดูอยู่จากระยะไกลเห็นค่ายทหารพม่าใหญ่โตมาก มีกระโจมนับพันหลัง ทหารเดินกันเต็ม จุดคบไฟสว่างไสวเหมือนตอนกลางวันไม่มีผิด พันอินเห็นแล้วก็อึ้งไป

       “รบมาจนแก่ ไม่เคยเห็นทัพใดใหญ่โตปานนี้มาก่อน”
       สินเครียดหนักหันไปพูดกับเสมา
       “เพียงแค่แสงจากคบไฟ ก็สว่างดั่งกลางวันแล้ว ไพร่พลคงเรือนแสนเป็นแน่ จะทำเช่นใดดีพี่เสมา”
       เสมานิ่งขรึมลงยิ่งเห็นความใหญ่โตของทัพศัตรูก็ยิ่งต้องใช้ความคิดให้รอบคอบที่สุด

       ผ่านเวลา 7-8 วัน สมเด็จพระนเรศวร และสมเด็จพระเอกาทศรถ เดินผ่านประตูในวังออกมาในตอนกลางวันด้วยสีพระพักตร์เคร่งขรึมเอาจริงโดยมีทหารจำนวนมากถืออาวุธครบมือยืนตั้งแถวรอรับ สมเด็จพระนเรศวรทรงตรัสดังพระสุรเสียงดัง กึกก้อง เฉียบขาด
       “สั่งการลงไป ให้เจ้าพระยากำแพงเพชร สมุหกลาโหม จงยกทัพออกหยั่งเชิงข้าศึก ณ ทุ่งชายเคือง แลเตรียมทัพให้พร้อม เราจะรับศึกพระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรง”

       ขุนรามเดชะ และขุนนางคนอื่นๆทยอยกันออกมาจากวัง หลังจากเสร็จงานราชการ ขันและพุฒยืนรออยู่ พอเห็นขุนรามเดชะ ก็รีบเข้าไปไหว้ทันที ขุนรามเดชะรับไหว้แล้วยิ้มรับ
       “นี่รออาอยู่รึ พ่อพันฤทธิ์ พ่อพันจบ”
       “ขอรับ ข้าพระเจ้ากับพันจบต้องไปทัพท่านเจ้าพระยากำแพงเพชร จึงให้เป็นห่วงแม่หญิงเรไรนัก”
       ขุนรามเดชะแปลกใจ
       “ห่วงเรื่องกระไร หรือพันฤทธิ์อยากให้อาปลดปล่อยแม่เรไร แต่ถ้ากระทำเช่นนั้น แม่เรไรคงไม่รู้ผิดชอบชั่วดี ข้องแวะกับอ้ายเสมาให้อาเคืองใจอีกเป็นแน่”
       “เพราะเช่นนี้ดอกขอรับ ข้าพระเจ้าจึงห่วงแม่หญิงนัก กลัวว่าระหว่างศึก อ้ายเสมาจะมาทำให้แม่หญิงมัวหมองอีก จึงอยากขอเมตตาท่านอาตบแต่งแม่หญิงพอเป็นพิธีไว้เสียก่อน สิ้นศึกเมื่อใด ค่อยส่งเข้าหอตามธรรมเนียมต่อไป”
       “ใช่ว่าอาไม่เมตตาดอกนะ แต่พ่อขันก็เห็นกับตาแล้วว่า แม่เรไรนั้นดื้อรั้นนัก แม้ลงหวายทุกวันยังไม่ยอมรับคำ แล้วจักให้อาทำเช่นใด”
       พุฒยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วว่า
       “ข้าพระเจ้ามีหนทางขอรับ แต่ไม่ทราบว่าพระคุณจะเห็นดีด้วยหรือไม่”
       ขุนรามเดชะมองพุฒด้วยความแปลกใจ ไม่รู้ว่าพุฒมีแผนอะไรถึงจะทำให้เรไรยอมแต่งกับขันได้

       เรไรนอนซมทั้งยังถูกล่ามขาไว้อีก เมื่อใดที่ขยับตัวเป็นต้องเจ็บปวดแผลที่แผ่นหลังจนต้องร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ขณะนั้นเอง ก็มีเสียงก๊อกๆแก๊กๆดังขึ้นที่หน้าต่าง เรไรหันไปมองตามเสียง
       “ใครกัน”
       ทันใดนั้นเอง หน้าต่างก็ถูกเปิดออก เสมาที่ปีนหน้าต่างเข้ามาและรีบเข้ามาหาเรไรทันที
       “แม่หญิง”
       “หมื่นศึก ท่านกลับจากลาดศึก”
       เรไรพูดไม่ทันจบ เสมาก็ดึงเรไรเข้ามากอดด้วยความห่วงใย สงสารจับใจ เรไรอึ้งไปครู่รู้ว่าไม่ดี แต่อ้อมกอดของเสมาอบอุ่นและเต็มไปด้วยความห่วงใย โดยปราศจากการลวนลามจนเรไรได้แต่นิ่งอึ้งในอ้อมกอดของแสมา ก่อนจะค่อยๆกอดเสมาตอบ แล้วหลับตาพริ้มอย่างมีความสุข
       “โอ๊ย” เรไรเจ็บแผลที่หลังขึ้นมาจนต้องร้องออกมา
       เสมาตกใจเมื่อเห็นแผลจากรอยหวายบนหลังของเรไรทั้งที่หายแล้วเหลือรอยจางๆ กับแผลใหม่ที่เพิ่งถูกเฆี่ยนไม่ต่ำกว่า 8-9 แผล เสมาสงสารจับใจ
       “แม่หญิง นี่แม่หญิงโดนถึงเพียงนี้เลยรึ”
       เรไรน้ำตาคลอเบ้าเบี่ยงตัวหลบแผลทั้งน้อยใจเสียใจที่พ่อทำกับตนแบบนี้ เสมาเช็ดน้ำตาให้เรไรอย่างทะนุถนอม
       “เรไรแม่เอ๋ย จงนิ่งเสียเถิด เสมาได้เห็นแม่มื้อนี้แล้วหัวใจสั่นนัก เสียทัพต้องล่าแก่ตองอูร้อยครั้ง มิช้ำหัวใจเหมือนบัดนี้เลย”
       “ฉันก็เช่นกันเสมา แต่อีกใจก็ปลาบปลื้มนักที่พ่อยังไม่ลืมฉัน”
       “ความตายเท่านั้นดอก ที่จะพรากเสมาจากแม่ได้”
       เสมาเหลือบเห็นโซ่ตรวนที่ขาเรไรยิ่งแค้นจัดจับโซ่ตรวนขึ้นมาแล้วกล่าวว่า
       “โซ่เช่นนี้ อย่าเก็บมันไว้เป็นเสนียดแก่ข้อเท้าแม่เลย”
       เสมาออกแรงด้วยความแค้น ง้างปอกเหล็กที่ตรวนจนหัก แล้วโยนโซ่ทิ้ง
       “อ้ายเสมาขอสาบาน แม้เสร็จศึกแล้ว อ้ายเสมามิได้ความดีมาถวายสมเด็จพระราชโอรสท่านจนปลดแม่หญิงได้ อ้ายช่างตีเหล็กนี้แหละแม่เอ๋ยจะเชือดคอตัว แต่อรินั้นก็จะประหารเสียมิให้เหลืออยู่ข่มเหงใจแม่หญิง”
       เรไรน้ำตาคลอด้วยความปลื้มใจ
       “เช่นนั้น ฉันก็จักขอตายด้วยคมมีดในอโยธยานี้ แม้ฉันมีญาติก็เหมือนไร้แล้ว หากเสมาสิ้นอีก ฉันก็มิสมควรที่จะอยู่”
       “แม่หญิง ยอดใจเสมาเอ๋ย”
       เสมาและเรไรต่างกอดกันด้วยความรักอันเต็มเปี่ยม ยิ่งถูกขัดขวางเท่าไหร่ ความรักของทั้งคู่ก็มั่นคงมากขึ้นทุกที
       ขณะนั้นเองก็มีเสียงก้อนหินปามาที่หน้าต่างเป็นการส่งสัญญาณว่ามีคนมา
       “อ้ายสิน อ้ายสมบุญ ปาหินเตือนว่ามีคนมาแล้ว”
       “เช่นนั้นก็รีบไปเถิด อย่าให้มีเรื่องวิวาทแก่พ่อท่านอีกเลย”
       เสมามองเรไรนิ่งอยู่ครู่นึงก่อนจะดึงเรไรเข้ามาสวมกอดอีกครั้ง เรไรรีบผละตัวออกด้วยความเป็นห่วงเสมา
       “เจ้ารีบไปเถิด”
       เสมามองหน้าเรไรอย่างตัดใจแล้วรีบปีนหน้าต่างหนีไปตามที่เรไรบอก เรไรมองตามเสมาไปแล้วน้ำตาก็เอ่อคลอขึ้นมา

       สักครู่หนึ่งต่อมา พิณเดินนำเรไรขึ้นเรือนมา เรไรตกใจที่เห็นขุนรามเดชะ ลำภู ขัน พุฒ และ พระยาท่านหนึ่งนั่งรออยู่ก่อนแล้ว ฝ่ายเสมา สิน และสมบุญ ลอบเข้ามาที่ใต้ถุนบ้านเพื่อแอบฟังการสนทนา
       ลำภูรีบเข้าไปหาเรไรด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
       “แม่เรไรของแม่ มาพอดีเทียว ไปกราบท่านเจ้าคุณผู้ใหญ่ก่อนเถิดลูก”
       เรไรเดินเข้าไปกราบพระยา
       “หลานขอกราบท่านเจ้าคุณเจ้าค่ะ”
       “จำเริญสุขเถิดแม่เรไร เห็นมาแต่น้อย ไม่คิดเลยว่าจะได้มาผูกข้อไม้ข้อมือให้แม่เรไรวันออกเรือนเช่นนี้” พระยายิ้มแย้มพลางเอ่ยชึ้น
       เรไรตกใจสุดๆ ไม่คิดว่าพ่อแม่จะจับตนมัดมือชกแต่งงานกับขัน

       บริเวณใต้ถุนเรือน ทุกคนต่างรู้สึกแปลกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น
       “กระไรกันพี่เสมา เหตุใดแม่หญิงของพี่ถึงจะออกเรือนเสียเล่า” สินว่า
       เสมาไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

       บนเรือน ขุนรามเดชะยิ้มแย้มพลางยกมือไหว้พระยา
       “เป็นพระคุณเหลือเกินขอรับ ที่ท่านเจ้าคุณเมตตาแก่แม่เรไรแลพ่อพันฤทธิ์”
       ขุนรามเดชะหันไปพูดกับเรไร และขัน
       “จวนได้ฤกษ์แล้ว แม่เรไร พ่อพันฤทธิ์ ไปให้ท่านเจ้าคุณผูกข้อไม้ข้อมือเสียเถิด”
       “แต่...”
       ขุนรามเดชะพูดเบาๆ ปรามเรไร
       “ลูกจะเนรคุณพ่อกับแม่ให้ต้องเสื่อมเสียหน้ารึ พ่อนับถือท่านเจ้าคุณมานาน หากต้องหมางใจกัน แม่เรไรก็อย่าเรียกพ่อว่าพ่ออีกเลย”
       “เหตุใดพ่อท่าน ทำกับลูกเช่นนี้”
       ขันปั้นยิ้มแล้วรีบตัดบท
       “แม่หญิงเรไรคงเห็นว่างานพิธีไม่สมหน้าสมตากระมัง แต่ข้าพระเจ้าต้องไปศึกแต่คืนนี้จึงจำต้องทำพอเป็นพิธีไปก่อน สิ้นศึกเมื่อใดจักจัดงานให้สมศักดิ์แม่หญิงเป็นแน่”
       “จวนได้ฤกษ์แล้ว รีบเถิดแม่หญิง หากเสียฤกษ์ไปจะไม่เป็นมงคล” พุฒว่า
       เรไรหันไปมองหน้าขุนรามเดชะที่กำลังถลึงตาจ้องกลับเป็นเชิงบังคับ

       ใต้ถุนเรือน
       “ทำกระไรดีพี่เสมา จะผูกข้อไม้ข้อมือกันแล้วนา” สมบุญถามขึ้นอย่างร้อนใจ
       “บุกชิงตัวเลยดีหรือไม่พี่เสมา ผิดนักก็แค่ตาย” สินว่า
       เสมาคิดหนักก่อนจะรีบวิ่งออกจากใต้ถุนไปทางท้ายเรือนทันที
       “จะไปไหนพี่เสมา” สมบุญร้องถาม
       “ตามไปซีวะ” สินว่า
       สิน และสมบุญแปลกใจ แต่ก็รีบตามเสมาไปทันทีเช่นกัน

       บนเรือน เรไรเห็นสายตาพ่อแล้วก็หันไปมองลำภูซึ่งหลบตาไม่ยอมมอง เรไรได้แต่เบือนหน้า น้ำตาท่วม แต่ก็ยอมคลานเข่าไปนั่งคู่กับขัน แล้วก้มลงกราบพระยาที่นั่งเป็นประธานในพิธี ขันยิ้มปลาบปลื้มใจหันมองเรไรซึ่งน้ำตาร่วงอย่างกลั้นเอาไว้ไม่อยู่ ท่านพระยากำลังจะให้พร
       “ขอให้คุณพระ...”
       ทันใดนั้น ก็มีเสียงเอะอะดังลั่นขึ้นที่ด้านหลังเรือน
       “ไฟไหม้ ไฟไหม้เรือนแล้ว เจ้าข้าเอ๊ย ไฟไหม้” ทาสชายคนหนึ่งร้องขึ้น
       ขัน พุฒ และขุนรามเดชะตกใจรีบตรงไปที่หลังเรือนทันที ปล่อยให้เรไร ลำภู พิณ พระยา ยืนตกใจอยู่บนเรือนงงไปหมดว่าไฟไหม้ได้ยังไง

       พวกทาสชายหญิงกำลังช่วยกันดับไฟที่โหมไหม้หลังเรือนของขุนรามเดชะกันอย่างอลหม่าน ขัน พุฒ และขุนรามเดชะวิ่งตามออกมาดูเห็นไฟกำลังลุกโชติช่วง พุฒตะคอกถามทาสที่อยู่ใกล้ๆว่า
       “ปล่อยให้ไฟไหม้เรือนได้เยี่ยงไรกันวะ พวกเอ็งไปมุดหัวอยู่ที่ใด”
       ทาสที่ถูกถามพนมมือด้วยความกลัว
       “ขอประทานโทษขอรับ พวกบ่าวได้ยินว่าจะมีพิธีสำคัญ จึงหลบกันอยู่ที่เรือนหลัง ไม่กล้าเข้าใกล้เรือนใหญ่ ถ้าไม่มีคำสั่งจากท่านขุนขอรับ เลยหารู้ไม่ ว่าไฟไหม้ได้อย่างไรขอรับ”
       “ไม่มีคนอยู่ แล้วไฟจะไหม้ได้เช่นไร ต้องมีคนวางเพลิงเผาเรือนเป็นแน่ขอรับท่านอา” ขันว่า
       “ล้อมไว้ให้ทั่วบ้านประเดี๋ยวนี้ กูจักจับ อ้ายคนจุดเพลิงประหารเสีย ไม่ให้มันมาหยามดูแคลนกูได้” ขุนรามเดชะว่า
       พวกทาสส่วนนึงดับเพลิงต่อ อีกส่วนก็ไปขนอาวุธออกมาแจกจ่ายเพื่อล้อมบ้านตามคำสั่งขุนรามเดชะทันที ขันกำลังมองไปที่กองไฟ ทันใดนั้น สายตาก็เหลือบไปเห็นเสมา สิน และสมบุญ วิ่งหนีไปทางด้านหลังบ้าน
       “พันจบ ตามฉันมา” ขันบอก
       ขันเข้าไปหยิบดาบจากพวกทาส แล้วตามล่าเสมาทันที

       เสมา สิน และสมบุญกำลังวิ่งหนีกันมา ต่างคนต่างวิ่งไปพูดไป
       “กำลังสนุกเชียวไม่น่ารีบหนีเลย น่าอยู่ดูก่อนว่า ไฟจักไหม้ถึงเพียงใด” สินว่า
       “อ้ายบ้าสิน เพลานี้เป็นยามศึก โทษวางเพลิงต้องตัดคอสถานเดียว เอ็งจะอยู่รอความตายรึ” สมบุญว่า
       ทั้งสามคนวิ่งมาจนถึงสระบัวแห่งหนึ่ง รอบด้านเต็มไปด้วยกอหญ้า ต้นไม้ ขึ้นเต็มไปหมด
       “เอากระไรดีพี่เสมา”
       “เอ็งสองคนแยกกันไปคนละทาง ข้าจักหาทางรอดเอง แล้วพบกันที่ตลาด” เสมาว่า
       “ระวังตัวด้วย พี่เสมา” สินบอก
       สิน และสมบุญแยกย้ายกันไปคนละทางตามที่เสมาสั่ง เสมาหันไปมองเห็นพวกขันกำลังไล่เข้ามา เสมามองไปรอบๆ แล้วฉุกคิดอุบายได้ เลยแกล้งเดินถอยหลังทิ้งรอยเท้าไว้ตามพื้น เป็นทางยาว ก่อนจะถอยหลังลงสระบัวแล้วดำน้ำหายไป ขัน และพุฒ ตามมาถึงก็ไม่เห็นใครซักคน ขันเอาดาบฟันใส่กอหญ้าข้างทางด้วยความแค้น
       “ออกมาซีวะอ้ายเสมา กูรู้ว่าเป็นมึง ออกมา”
       พุฒมองไปรอบๆเห็นรอยเท้าบนพื้น
       “พันฤทธิ์ ดูรอยเท้านี่ก่อนเถิด”
       ขันตามเข้ามาดูเห็นรอยเท้าลุยผ่านกอหญ้าแล้วหายไป
       “มันไปทางนี้เป็นแน่ ตาม”
       พวกขัน และพุฒตามรอยเท้าไปทันที โดยไม่เฉลียวใจเลยว่าเสมา แกล้งเดินถอยหลังให้ตามไป แต่ตัวจริงดำน้ำหลบอยู่ใกล้ๆนั่นเอง เสมาค่อยๆ โผล่ตัวพ้นน้ำขึ้นมา มองตามพวกขันและพุฒไป

       พิณกำลังจัดที่นอนหมอนมุ้งให้เรไรด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส เรไรเดินกลับเข้ามาในห้องนอน
       “คุณพระคุ้มครองแท้ๆ แม่หญิงของบ่าว มิเพียงได้ปลดกรวนออกจากเรือนทาส ยังไม่ต้องออกเรือนไปกับพันฤทธิ์อีก สงสารก็แต่พันฤทธิ์ วางอุบายเสียมาก แต่ไม่ได้กระไรกลับไปเลย”
       พิณหัวเราะคิกคักด้วยความชอบใจ จนเรไรต้องปราม
       “อย่าพูดมากเลยพิณ พ่อท่านกำลังขุ่นเคืองที่งานต้องล้มเพราะเสียฤกษ์ หากความไปเข้าหูท่าน พิณจะเดือดร้อน”
       พิณยิ้มแหยๆแล้วถามต่อ
       “เอ่อ แล้วจับคนวางเพลิงได้หรือไม่เจ้าคะแม่หญิง”
       เรไรเดินไปเปิดหน้าต่างเพื่อระบายอากาศ เรไรมองออกไปนอกหน้าต่าง
       “จับไม่ได้จ้ะ”
       “ไม่รู้ว่าผู้ใดนะเจ้าคะ ที่หาญกล้ามาทำการหยามหน้าท่านขุนได้เพียงนี้”
       เรไรพูดโดยมองไปนอกหน้าต่างไม่หันหน้ากลับมาได้แต่ยิ้มขำๆคนเดียว
       “ คนบ้าเท่านั้นดอกจ้ะ ถึงวางเพลิงเผาเรือนผู้อื่นเช่นนี้ได้ หากมิใช่คนบ้า ใครเล่าจักคิดทำได้”
       เรไรพอจะเดาออกว่า งานนี้เป็นฝีมือของเสมาแน่ๆ ได้แต่ถอนใจส่ายหน้ากับความห่ามระห่ำของเสมา

       เสมา สิน และสมบุญกำลังทานข้าวห่อใบตองโดยมีเอื้อยแตงยืนอยู่ใกล้ๆ
       “คิดแล้วให้เสียดายนัก หากไม่หนีมาเสียก่อน ป่านฉะนี้คงเผาวอดเสียทั้งเรือนแล้ว ไม่เพียงแค่นี้ดอก” สินว่าพลางหัวเราะชอบใจ
       ขาดคำ เอื้อยแตงก็เอามือตบปากสินทันที
       “แม่เอื้อยแตง เหตุใดตบปากฉันกันจ๊ะ”
       เอื้อยแตงตาเขียวปั้ดแล้วหยิบกระบอกน้ำไม้ไผ่มาจะฟาดสิน
       “ตบปากยังน้อยไป มันน่าใช้กระบอกฟาดให้ฟันร่วงหมดปากนัก โทษวางเพลิงยามมีศึก ต้องตัดหัวสถานเดียว แล้วยังจะแหกปากให้คนรู้ทั้งตลาดอีกรึ โง่แท้”
       สินจ๋อยลงไปทันทีด้วยความกลัวเอื้อยแตง จนสมบุญต้องหัวเราะเยาะ
       “สมน้ำมะหน้า คนบ้าอย่างเอ็ง ต้องเจอเช่นนี้”
       เอื้อยแตงตวาดแว๊ดใส่สมบุญอีก
       “พี่ก็เช่นกัน ไปด้วยกันแทนที่จักห้าม กลับช่วยเหลือกันเสียนี่”
       เล่นเอาสมบุญจ๋อยไปอีกคน
       “อย่าด่าว่าอ้ายสินกับอ้ายสมบุญเลยเอื้อยแตง พวกมันทำไปเพราะรักข้า ใจจริง ข้าก็ไม่อยากทำดอก แต่มันเข้าตาจนแล้ว หากไม่ทำ แม่หญิงเรไรคงต้องออกเรือนไปกับอ้ายขันเป็นแน่”
       เอื้อยแตงเบะปากหมั่นไส้
       “ใจพี่จะขาดรอน จึงต้องเสี่ยงอาญาถึงตัดหัวว่ากระนั้นเถิด”
       เสมาจ๋อยไปอีกคน เอื้อยแตงค้อนประหลับประเหลือกอยู่ไปมา

       ยามบ่ายในเวลาต่อมา ขันโกธจัดคุยกับดวงแข โดยมีอำพันนั่งหน้าเครียดอยู่ใกล้ๆ
       “หากพี่ไม่ได้นังจำเรียงมาเป็นทาส หักหน้าอ้ายเสมามัน พี่ไม่มีวันถอนแค้นครั้งนี้ไปได้ดอก”
       “จะได้อย่างไรกันพี่ขัน เสมาเพิ่งให้ดอกเบี้ยแก่เรา หากเรายังบังคับจำเรียงมาเป็นทาส ก็เป็นดั่งอันธพาลแล้ว”
       “แล้วทีอ้ายเสมามันเผาเรือนทำลายพิธีจนเสียฤกษ์เล่า ไม่ถือเป็นอันธพาลรึ”
       อำพันถอนใจพลางว่า
       “พ่อขันเพียงแต่ติดใจสงสัย จับตัวก็มิได้ แล้วจักแน่ใจได้อย่างไรว่าเป็นหมื่นศึก อีกประการ พ่อขันใช้เล่ห์บังคับใจแม่เรไรเช่นนี้ แม่กลับโล่งใจที่ไม่ได้ผูกข้อไม้ข้อมือกัน หาไม่แล้ว คงหาความจำเริญสุขในการออกเรือนมิได้”
       “แม่อย่าเพิ่งติเตียนลูกเลย เพลานี้ ลูกต้องการให้นังจำเรียงมันมาเป็นทาสให้จงได้ หากไม่มีใครช่วยลูก ลูกก็จักไปลากตัวมันด้วยตัวลูกเองประเดี๋ยวนี้”
       ดวงแข และอำพันหันไปมองหน้ากันด้วยความหนักใจกับนิสัยขันที่ไม่ยอมฟังใครเลย

       เวลาเย็นต่อมา จำเรียงกำลังร้องไห้สะอึกสะอื้น โดยมีเสมายืนอยู่ใกล้ๆ เสมาสงสาร จึงเข้าไปปลอบใจ “นิ่งเสียเถิดจำเรียง เอ็งรู้สันดานอ้ายขันก็ประเสริฐแล้ว ถูกหลอกเพียงนี้ถือว่าเสียค่าครูเถิด”
       “ถึงอย่างไรฉันก็ต้องขอขมาพี่ หากฉันเชื่อคำพี่ก็คงไม่ได้ชั่วจนต้องเจ็บอายถึงเพียงนี้ดอก พี่เสมาให้อภัยในความโง่ของฉันด้วยเถิด”
       “ข้าไม่ถือโทษโกรธเอ็งดอกจำเรียงเอ๋ย อย่างไรเสีย เราก็เป็นพี่น้องคลานตามกันมา ขอเพียงเอ็งเข้าใจว่าข้าไม่ได้คิดร้ายก็พอแล้ว”
       “แต่ฉันทำให้พี่แลพ่อแม่ต้องเดือดร้อน ไม่เพียงแต่อับอาย ยังต้องเป็นหนี้อีกมากโข”
       “ช่างเถิด จะเป็นหนี้เพียงใด ข้าก็จัก...”
       เสมาพูดยังไม่ทันขาดคำ เสียงขันก็ดังขึ้น
       “อ้ายเสมา นังจำเรียง พวกเอ็งออกมาประเดี๋ยวนี้ เป็นหนี้ข้าแล้วคิดจะหลบหน้า คดโกงไม่ชดใช้รึ”
       เสมาเลือดขึ้นหน้ารีบหยิบดาบคู่มือแล้วเดินออกไปทันที โดยมีจำเรียงตามติดไปด้วยความเป็นห่วง

       เสมาและจำเรียงตามออกมาเห็นขันกับลูกน้องถืออาวุธครบมือยืนท้าอยู่หน้าบ้าน โดยมีดวงแขยืนหน้าเครียดอยู่ใกล้ๆ
       “ออกมาแล้วรึ ข้านึกว่าเอ็งจะเก่งแต่ลอบกัดเผาเรือนผู้อื่น แต่ไม่กล้าสู้หน้านายเงินเจ้าหนี้เสียอีก”
       “หมาที่ใดเห่าหอนวะ มันน่าเตะปากให้คอหักนัก”
       “อ้ายเสมา...”
       ดวงแขรีบปรามแล้วว่า
       “พี่ขัน น้องบอกแล้วไม่ใช่รึ ว่าน้องเจรจาเองมิให้วิวาทกัน อีกประการ พี่ขันต้องไปศึกแต่คืนนี้ หากเสียราชการเพราะการวิวาทจะต้องรับโทษใด”
       ขันกัดเขี้ยวเคี้ยวฟัน พยายามระงับอารมณ์เต็มที่ ดวงแขเดินขึ้นเรือนไปคุยกับเสมาและจำเรียง
       “หมื่นศึก จำเรียง ที่ฉันมาก็มิได้เต็มใจเลย แต่จนใจที่ต้องมาทวงหนี้สินที่ค้างกันอยู่”
       “แม่หญิงดวงแขเอ๋ย ข้าพระเจ้าเพิ่งให้ดอกเบี้ยไป หากทวงต้นเงินอีก คงสุดปัญญาที่จักหามาให้ได้ ขอผันผ่อนไปสักกึ่งเดือนมิได้รึ” เสมาว่า
       “เมตตาสักครั้งเถิดแม่หญิงดวงแข พ่อกับแม่กำลังเร่งกู้ยืมเงินอยู่ แต่เพลานี้เป็นยามศึก ยากนักที่จักหามาได้ทัน” จำเรียงบอก
       “ใช่ว่าฉันจะไร้น้ำใจดอกนะจำเรียง เราสองคนก็เป็นเพื่อนข้าหลวงกันมาแต่ก่อน หากแต่พี่พันฤทธิ์จักเร่งเอาต้นเงินให้ได้ แม้ไม่ได้ก็ขอจำเรียงไปรับใช้ ฉันก็เพียรห้ามแล้ว แต่ก็จนใจ”
       “เฮ้ย จักผิดสัญญาหรือกระไรวะอ้ายเสมา หากเอ็งไม่มีต้นเงินคืนข้า ก็เอาน้องเอ็งมา... ไปพานังจำเรียงมาประเดี๋ยวนี้” ขันตะโกนสั่งทาส
       เสมาโมโหมากชักดาบคู่ออกมาทันที
       “ก็เข้ามาซีวะ ที่นี่เรือนกู นี่น้องกู ใครลุแก่อำนาจก็ต้องข้ามศพกูไปก่อน”
       เสมากระโดดลงจากเรือนเข้ามาขวางหน้าพวกลูกน้องขันไว้ พวกลูกน้องเห็นเสมาเอาจริง ก็ไม่มีใครกล้าซักคน ดวงแขกลัวมีเรื่อง
       “ขอเสียเถิดพี่พันฤทธิ์ หมื่นศึก อย่าให้ถึงวิวาทเลย ค่อยพูดจากันโดยดีก็ยังจะพอพูดได้”
       ขันไม่ฟังหันไปด่าลูกน้อง
       “เฮ้ย พวกมึงกลัวอ้ายเสมายิ่งกว่าพันฤทธิ์นายมึงกระนั้นรึ ไป เข้าไปจับอีทาสนั่นมา”
       พวกลูกน้องขันไม่มีทางเลือกรุมเข้าไปหาเสมาทันที เสมากำลังโกรธเลยลุยใส่กลับไป ลูกน้องขันแต่ละคนโดนเล่นงานกระเด็นกระดอนไปหมด เรียกว่าถ้าเสมาไม่ยั้งมือคงตายหมดแล้ว
       ขันโมโหมากชักดาบสองมือออกมา แล้วโหมฟันเข้าใส่เสมาซึ่งสู้ไม่ยอมถอย ต่างฝ่ายต่างสู้กันอย่างดุเดือด ขันใช้ไม้ตายใหม่ที่เพิ่งเรียนมาเล่นงานเสมา เสมาหลบรอดไปได้ชนิดเส้นยาแดงผ่าแปด จนต้องถอยฉากออกไปตั้งหลัก
       “นี่รึ เพลงดาบบ้านเผาข้าวที่ไปร่ำเรียนมา มิน่าเล่า พันฤทธิ์ท่านถึงลำพองใจ กล้ามาเหยียบถึงเรือนอ้ายเสมา”
       ขันกระหยิ่มยิ้มย่องด้วยความมั่นใจ
       “วันนี้หละอ้ายเสมา มึงแพ้กูแน่”
       ขันโหมบุกใส่เสมาอย่างไม่ยั้ง เสมาสู้ไม่ถอย สู้กันได้ซักพัก ขันก็ใช้ไม้ตายใหม่อีกท่า แต่คราวนี้เสมาป้องกันได้ ขันใช้อีกท่า เสมาก็ป้องกันได้อีก แถมฟันสวนกลับอีกต่างหาก จนขันต้องถอยร่น
       เสมาบุกลุยไม่ยั้ง จนขันต้องถอยกรูดติดๆกัน ก่อนจะใช้ท่าไม้ตาย กระแทกดาบขันจนหลุดจากมือ แล้วใช้ดาบอีกเล่มชี้ใส่หน้าขัน จนขันไม่กล้าขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย
       “อันเพลงดาบ มิว่าสำนักใด ใครเรียนครบกระบวนก็ใช้ได้ทั้งสิ้น อยู่ที่ผู้ใดจักพลิกแพลงเลือกใช้ได้สูงกว่ากัน แม้เพลงดาบเอ็งจะกล้าแข็งหาได้ยากในอโยธยา แต่ยังห่างชั้นจากข้าอีกมากนัก”
       ขันมองเสมาด้วยความเคียดแค้น มองปลายดาบที่เสมาชี้หน้าแล้วก็หวาดกลัวถึงกับกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ดวงแขห่วงพี่ชายจึงพูดกับเสมาว่า
       “เมตตาเถิดหมื่นศึก รู้แพ้ชนะแล้ว อย่าได้เป็นเวรสืบกันไปเลย พ่อจะขอผัดผ่อนต้นเงินไม่ใช่รึ ฉันยอมรับปากแล้ว”
       “พันฤทธิ์เป็นนายเงินมิใช่แม่หญิง แล้วแม่หญิงจะรับปากแทนได้รึ”
       ดวงแขชะงักไปก่อนจะหันไปพูดกับขัน)
       “พี่ขัน”
       ขันขบกรามแน่นด้วยความแค้นใจ
       “ได้ ข้ายอมให้เอ็งผัดผ่อน”
       “เช่นนี้ก็แล้วกันไปเถิดพี่เสมา พันฤทธิ์ต้องไปศึกอีก อย่าให้เสียราชการสงครามเลย” จำเรียงว่า
เสมาได้คิดเลยลดดาบ แล้วเดินเลี่ยงกลับขึ้นเรือนไป ขันหันไปมองตามด้วยความแค้นที่สู้เสมาไม่ได้ ดวงแขแอบมองตามเสมาไป อมยิ้มปลื้มๆ ชื่นชมในความมีเหตุผลของเสมา

อ่านต่อ หน้า ๓

เกร็ดความรู้เกี่ยวกับขุนศึก

๒๗. พิธีแต่งงาน เป็นพิธีกรรมที่มีมาแต่โบราณ เพื่อประกาศความเป็นสามีภรรยากันอย่างถูกต้อง โดยการแต่งงานแบบไทยจะมีขั้นตอนหลักๆ 3 ขั้นตอน คือ การสู่ขอ การหมั้น และ พิธีแต่งงาน ซึ่งจะมีรายละเอียดแตกต่างกันตามแต่ละท้องถิ่น และเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย


Create Date : 22 พฤษภาคม 2555
Last Update : 22 พฤษภาคม 2555 11:52:52 น. 0 comments
Counter : 2188 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

atitaya_t
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




สวัสดีค่ะ ขอร่วม gang ด้วยคนค่ะ
Friends' blogs
[Add atitaya_t's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.