เก็บความทรงจำ..(^_^)..ความสนใจ โลกส่วนตัว ที่เราสร้างเอง
Group Blog
 
 
พฤษภาคม 2555
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
22 พฤษภาคม 2555
 
All Blogs
 
ขุนศึก ตอนที่ 3-1

ขุนศึก ตอนที่ ๓

เรไรกับพวกนางข้าหลวงกำลังเลือกซื้อของใช้ต่างๆ เรไรมีสีหน้าเบื่อๆ ก่อนจะเดินเลี่ยงออกมา พอเรไรอยู่คนเดียว เสมาก็โผล่ออกมาหาทันที พอเรไรเห็นเสมาก็หงุดหงิดจะเดินหนีไปอีก เสมารีบขวางหน้าไว้
       “รอก่อนเถิดแม่หญิง อ้ายเสมาผิดกระไร แม่หญิงก็แจ้งมาให้เสมารู้ แต่อย่าหนีหน้าเช่นนี้เลย” 
       เรไรจะเดินหนีไปอีกทาง เสมารีบคว้ามือเรไรไว้ทันที เรไรสะบัดมือออก
       “โอหังอีกแล้ว หรือต้องให้ฉันกล่าวโทษ จนถูกถอดไปเป็นตะพุ่นหญ้าช้างจึงจะสำนึก”
       “เสมาผิดที่มือไว แต่หาใช่จะสบประมาทหมิ่นหรือกำเริบล่วงเกินแม่หญิงไม่ แลน้ำใจสุจริตของข้าพระเจ้านั้น ย่อมประจักษ์แก่แม่หญิงอยู่”

       “ฮะ เจ้าเอ๋ย กรากมาจับข้อมือแล้วก็ประสมกล่าวเอาว่าน้ำใจสุจริต แสนขันนักหนา อันกิริยาชอบหาเล็กน้อยเป็นกำไร เห็นจะเคยตัวมาจากหญิงอื่นกระมัง แต่ฉันหาใช่นางนั่งตลาดอย่างนางเอื้อยแตงไม่ อย่ามาบังอาจล่วงเกินเช่นนี้อีก”
       “แม่หญิงกล่าวถึงเอื้อยแตงเป็นหนสองแล้ว ข้าพระเจ้าไม่เข้าใจว่าเป็นเรื่องกระไรกัน”
       “อย่าแสร้งโง่แสร้งเขลาทำเป็นไม่รู้ความเลย เรื่องเจ้าชู้ของเจ้านั้นรู้กันทั่วแล้ว แม้นแต่พ่อฉันก็รู้ เพราะพันฤทธิ์ พันจบ เล่าให้ฟังจนหมดความ ว่าคนไม่รักศักดิ์ถึงกับลวนลามแลแย่งหญิงกลางตลาดเป็นเยี่ยงไร”
       “ที่แท้เป็นเพราะฝีปากอ้ายขันเองรึ อ้ายขันมันชังข้าพระเจ้า แม่หญิงก็แจ้งใจอยู่ แล้วเหตุใดแม่หญิงยังเชื่อคำมันมากกว่าคำข้าพระเจ้าเล่า”
       เรไรหน้าเจื่อน ยอมรับว่าเสมาพูดถูก แต่ทิฐิไม่ยอมแพ้จึงสะบัดหน้าไปทางอื่น เสมาเห็นเรไรไม่เชื่อตน ก็ยิ่งน้อยใจปนโมโห
       “เอาเถิด เมื่อแม่หญิงไม่เชื่อน้ำใจอ้ายเสมาเสียแล้ว ก็ตามใจเถิด แต่ข้อที่อ้ายขันมันใส่ความ ข้าพระเจ้าจะไปแก้ให้พระคุณฟังเอง”
       เสมาจะเดินเลี่ยงไป เรไรเห็นเสมาโมโหก็ชักเป็นห่วง
       “จะไปทำกระไร พ่อท่านกำลังเคืองประเดี๋ยวก็ต้องโทษอีกดอก”
       “อย่าว่าแต่จำคุกใส่กรวนเหมือนคราวก่อนเลย ต่อให้ตัดหัวเสียบประจาน อ้ายเสมาก็ต้องไป ดีกว่าให้อ้ายขันมันกล่าวโทษเล่นตามแต่ใจ เหมือนอ้ายเสมาเป็นคนขลาดไม่กล้าสู้คน เลยต้องยอมให้มันอยู่ร่ำไป”

       เสมาเลี่ยงไปด้วยความโมโห เรไรตกใจไม่คิดว่าเรื่องจะบานปลายจนอดห่วงเสมาไม่ได้

       เวลาต่อมา ที่ลานกว้างบ้านรามเดชะ สมบุญถูกขันเตะร่วงล้มคว่ำลงกับพื้น ปากคอแตกเลือดกบปาก “นี่รึซ้อมดาบพันฤทธิ์ หากจักทำร้ายกันก็พูดมาตรงๆเลยเถิด จะมาอุบายชวนข้าซ้อมดาบทำกระไร”
       “อย่าโกรธกันเลยวะอ้ายสมบุญ ข้าเพิ่งหัดแม่ไม้ดาบสองมือจากครูบ่ายมาใหม่ยังมิใคร่ชำนาญ จึงหนักมือไปสักหน่อย” ขันบอก
       “ครูเอ็งเป็นศิษย์วัดพุทไธสวรรย์มิใช่รึ เหตุใดเพลงดาบเอ็งอ่อนด้อยถึงปานนี้วะ ท่าครูเอ็งจะหวงวิชา หรือไม่ สำนักวัดพุทไธสวรรย์ก็มีแต่ชื่อ” พุฒสบประมาท
       สมบุญโกรธจัดที่พุฒด่าลามถึงสำนักอาจารย์ เลยร้องลั่น แล้วลุกขึ้นโถมฟันดาบใส่ขันทันที
       ขันใช้เพลงดาบสองมือของตนเข้าสู้กับสมบุญ ช่วงแรกๆยังสูสี แต่ซักพักขันก็เริ่มคุมไว้ได้หมด เพราะทั้งฝีมือและประสบการณ์เหนือกว่าสมบุญมาก
       ขันได้โอกาสพลิกตัวใช้ด้ามดาบกระทุ้งใส่สมบุญจนจุก แล้วฟันซ้ำทันที
       สมบุญฉากหลบไปได้หวุดหวิด แต่ก็โดนฟันถากเลือดไหลเช่นกัน ขันไม่ปล่อยโอกาสทอง ตรงเข้าซ้ำทันที
       สมบุญบาดเจ็บเลยยิ่งแย่ทั้งโดนฟัน โดนถีบ โดนชก จนสะบักสะบอมไปหมด
       ขันเงื้อจะฟันเผด็จศึก กะว่าถ้าสมบุญไม่ตายก็สาหัส แต่ทันใดนั้น เสมาก็กระโจนเข่าลอย กระแทกขันจากทางด้านข้างจนกระเด็นออกไป เสมารีบเข้าไปประคองสมบุญ
       “อ้ายสมบุญ เอ็งเป็นกระไรบ้าง”
       สมบุญเจ็บจุก เลือดท่วมตัว บอบช้ำจนพูดไม่ออก เสมาโมโหมาก หยิบดาบสมบุญมา ชี้หน้าขัน
       “มึงดีจริงก็มาปะดาบกับกูอ้ายขัน หากวันนี้กูให้มึงเจ็บน้อยกว่าอ้ายสมบุญ กูไม่ขอเป็นคน”
       เสมาและขันตรงเข้าฟาดฟันด้วยความเคียดแค้นชิงชัง
       พิณและพวกทาสที่ได้ยินเสียงก็เริ่มมามุงดูกัน เสมาและขันปะดาบกันได้ไม่กี่ยก ทันใดนั้น ขุนรามเดชะก็เดือดดาลเดินออกมาจากข้างใน
       “หยุดประเดี๋ยวนี้อ้ายเสมา บ้านกู มิใช่ที่ให้มึงท้าทายเสมือนเห็นเป็นกลางถนน”
       เสมาไหว้ขุนรามเดชะแล้วว่า
       “ขอขมาเถิดพระคุณ แต่อ้ายขันมันทำกับอ้ายสมบุญถึงเพียงนี้ จักให้ข้าพระเจ้าข่มใจได้อย่างไรกัน”
       ขุนรามเดชะเห็นสภาพสมบุญแล้วก็หน้าเสียพูดไม่ออก เบี่ยงประเด็น หันไปสั่งทาสทันที
       “เฮ้ย รีบพาอ้ายสมบุญไปทำแผลเร็ว”
       ทาสกลุ่มหนึ่งเข้ามาประคองสมบุญเลี่ยงไป ขุนรามเดชะหันไปพูดกับเสมา
       “กูจะไต่สวนทวนความเอง มึงกลับไปเถิดอ้ายเสมา”
       “แผลอ้ายสมบุญเห็นอยู่ตำตายังต้องไต่สวนกระไรอีกขอรับ หรือเพราะพระคุณเห็นอ้ายขันเสมอญาติ จึงต้องไต่สวน แต่ยามอ้ายเสมาถูกใส่ความกลับมีแต่คนเชื่อ ไม่มีผู้ใดไต่สวนอ้ายเสมาบ้าง”
       คำพูดของเสมาเข้าไปจี้ใจดำขุนรามเดชะทันที
       “นี่มึงกล้าด่ากูว่าลำเอียงเชียวรึ อ้ายเสมา”
       เสมาคุกเข่าก้มลงกราบ
       “ไหนเลยข้าพระเจ้าจะบังอาจด่าพระคุณได้ แต่อ้ายเสมามันน้อยใจนัก ด้วยนิ่งยอมกันมาแล้วหลายครั้ง หากจะยอมกันอีกเมื่อนี้เล่า เมื่อหน้ามันก็จักไม่มีสิ้นสุด แม้จะต้องปรึกษาวางโทษประการใดก็จะไม่ขอยอมอีก”
       “ไม่ขอยอมอีก แสดงว่าจักท้าทายกันใช่หรือไม่ จะเป็นไรมีเล่าหัวหมู่ เชิญให้พ้นบ้านท่านขุนเสียก่อนเถิด จะได้ซ้อมฝีมือกัน” พุฒว่า
       พุฒและขัน เหล่มองกันแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์ เพราะคิดว่า ฝ่ายเสมามีเพียงคนเดียวจะสู้กับฝ่ายตนที่มีสองคนได้อย่างไร
       พิณ เห็นทั้งสองฝ่ายท้าทายกันก็ชักกลัว รีบหลบออกมาไปหาเรไรทันที
       เสมาหันไปจ้องหน้าพุฒ และขันด้วยสายตาแข็งกร้าว ดูดุดันน่ากลัว
       ยามสายต่อมา เสมายืนถือดาบสองมืออยู่กลางลานกว้างกลางเมือง โดยมีขันถือดาบสองมือ ส่วนพุฒถือกระบี่ ยืนเตรียมพร้อม พวกชาวบ้านรีบมุงกันเข้ามาเต็มไปหมด เพื่อจะดูการประลอง ขณะที่เรไร และพิณ ที่เพิ่งมาถึง
       เรไรมองไปที่เสมาด้วยความห่วงใย ไม่คิดว่าการหึงหวงของตน จะเป็นชนวนมาถึงขนาดนี้ได้ เลยทำให้เรไรยิ่งเครียดหนัก ขันหันไปกระซิบกับพุฒ
       “เพลงดาบสองมืออ้ายเสมามันร้ายนักกำลังมันก็มาก แต่เห็นท่ามันจะไม่ช่ำชองเพลงกระบี่ พันจบท้าประลองกระบี่กับมันเถิด”
       พุฒยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วบอก
       “วางใจเถิดพันฤทธิ์ ฉันไม่เคยแพ้เชิงกระบี่แก่ใคร มันตายคากระบี่ฉันก่อนถึงมือพันฤทธิ์เป็นแน่” พุฒหันไปพูดกับเสมาแล้วชักกระบี่ออกมา
       “ฟังว่าวัดพุทไธสวรรย์ ชำนาญทุกศาสตร์วิชาการรบ มิรู้ว่าจะกล้าสู้ในเชิงกระบี่กับข้าหรือไม่”
       “ข้าไม่ได้พกกระบี่มา แต่จะขอใช้ดาบมือเดียวแทนกระบี่ก็แล้วกัน”
       ขาดคำ เสมาก็ขว้างดาบอีกเล่มไปปักที่ต้นไม้ แล้วถือดาบเล่มเดียวตั้งท่าในวิชาเพลงกระบี่
       พุฒใช้กระบี่ขีดเส้นที่พื้น แบ่งแดน เป็นธรรมเนียมการประลองว่าใครข้ามเส้นแบ่งแดนเข้ามาก็สู้กันได้เลย พุฒและเสมา ตั้งท่าในวิชาเพลงกระบี่หาจังหวะเข้าทำ ทั้งคู่เริ่มขยับเข้าใกล้เส้นแบ่งแดนกันมากขึ้น จนได้ระยะ พุฒก็ใช้ไม้ตายเข้าจู่โจมเสมาทันที เสมาใช้ดาบต่างกระบี่ตั้งรับ แล้วหลบรอดกระบี่พุฒไปได้หวุดหวิด เสมาทึ่งกับเพลงกระบี่พุฒ จนอดชมไม่ได้
       “ไม้นี้สูงนัก”
       พุฒกระหยิ่มลำพอง ฟันกระบี่ใส่เสมาไม่ยั้ง เสมาไม่เก่งกระบี่เท่าดาบสองมือ แถมยังใช้ดาบแทนอีกต่างหากเลยเสียเปรียบ ต้องคอยตั้งรับสถานเดียว เรไร พอเห็นเสมาถอย ตั้งรับหนักๆเข้า ก็ชักเป็นห่วง
       เสมาคอยตั้งรับแล้วหลบหลีกกระบี่ของพุฒอย่างใจเย็นจนดูเผินๆเหมือนเสียเปรียบ แต่พอได้โอกาสก็แทงสวนไปปลายดาบจ่อคอหอยพุฒทันที พุฒได้แต่ตกใจทำอะไรไม่ถูกไม่คิดว่าเสมาจะใช้วิธีนี้
       “แพ้ข้าพระเจ้าเสียเถิดพันจบ อ้ายเสมาประสงค์จะฟันพันฤทธิ์ยิ่งกว่าสู้ท่าน”
       เสมาลดดาบที่จ่อคอพุฒลง แล้วเดินหันหลังจะเตรียมสู้กับขัน แต่ทันใดนั้น พุฒฟันกระบี่มาทางด้านหลังที่ท้ายทอยเสมาทันที
       “เสมา ระวัง” เรไรร้องลั่น
       เสมาได้ยินเสียงเรไรเตือนเลยหลบได้หวุดหวิด แต่ปลายกระบี่ก็บาดท้ายทอยเป็นแผลเลือดออกพอสมควร เสมาจับแผลที่ท้ายทอยด้วยความโมโห
       “แผลหนึ่งของกู ต้องแลกสักสี่ห้าแผลของมึง”
       เสมาบุกเข้าใส่ทันที พุฒก็บุกเข้าปะทะตรงๆเช่นกัน แต่สู้กันได้ไม่นานก็สู้กำลังข้อเสมาไม่ได้ ต้องตั้งรับจนเป๋ไปเป๋มา ทันใดนั้น เสมาก็เตะตัดขาจนพุฒล้มลงกับพื้น แล้วเปลี่ยนเป็นใช้สันดาบ ฟันใส่ใบหน้า หัวไหล่ ต้นแขนของพุฒ จนเลือดซึมออกมา ถ้าใช้คมดาบคงขาดเป็นชิ้นๆไปแล้ว
       ทันใดนั้นเอง ขันก็ใช้ดาบสองมือฟันเข้าใส่เสมาเพื่อช่วยพุฒทันที ทั้งคู่สู้กันอย่างดุเดือด ขันเรียนเพลงดาบใหม่มาเลยฟันเสมาเลือดออกที่ต้นแขนแต่ไม่ลึก ฝ่ายเรไรตกใจมาก
       เสมาพยายามจะไปเอาดาบที่ตนขว้างไปปักที่ต้นไม้ แต่ขันก็พยายามขัดขวาง ทั้งคู่เกลียดชังกันอยู่แล้ว เลยใส่กันไม่ยั้ง เสมาใช้ท่าไม้ตายฟันใส่ขัน จนขันต้องผงะหลบออกไป เสมาเลยฉวยโอกาสดึงดาบที่ปักอยู่ออกมาได้ พอมีดาบครบทั้งสองมือ เสมาก็ลุยใส่ขันไม่ยั้ง แม้ขันจะได้ท่าไม้ตายใหม่มาก็สู้เสมาไม่ได้ โดนไล่ฟันจนถอยร่น
       เสมาพลิกตัวศอกกลับใส่ขันจนเลือดกลบปาก ก่อนจะฟันเต็มแรงจนดาบขันกระเด็นหลุดจากมือ พอเหลือดาบเล่มเดียวขันก็ยิ่งแย่ โดนเสมาทั้งเตะต่อย ฟันแทง จนขันสะบักสะบอมหนักกว่าสมบุญด้วยซ้ำ
       แต่ทันใดนั้นเอง ขุนรามเดชะก็คุมทหารแหวกชาวบ้านเข้ามาล้อมพวกเสมาเอาไว้ ขุนรามเดชะตะโกนลั่น
       “หัวหมู่หยุดประเดี๋ยวนี้ อย่าฆ่าทหารกันเองเป็นอันขาด ไม่แล้วต้องรบกับกู”
       เรไรเห็นพ่อมาก็หน้าซีดเผือด เสมาเห็นขุนรามเดชะคุมกำลังมาเองก็ยอมหยุด
       “หัวหมู่เอ็งวางดาบให้จับเสียโดยดี เอ็งผิดเอ็งต้องรู้ วางดาบเสียให้เห็นว่าเคารพกู” ขุนรามเดชะว่า
       “พระคุณเป็นที่เคารพของข้าพระเจ้าแต่ไหนแต่ไร อย่าว่าแต่วางดาบเปล่าเลย พระคุณหักมันเสียแล้วให้เสมากราบฝ่าเท้าก็ยังได้ แต่การนี้ถึงจะแสนผิดร้าย ข้าพระเจ้าก็จำเป็นนัก ต้องกราบลาพระคุณไปตามเรื่อง”
       “มึงจะกราบลาก็คือไม่ยอมให้จับรึ งั้นมึงก็ต้องรบด้วยกู” ขุนรามเดชะพูดแล้วชักดาบออกจากฝัก
       “มิได้พระคุณ” เสมาว่าแล้วก็หันไปมองเรไรด้วยสายตาตัดพ้อ ก่อนจะค่อยๆคุกเข่าลงแล้ววางดาบลงต่อหน้าขุนรามเดชะแล้วว่า
       “เพียงแต่อ้ายเสมาขอคืนแลถอดถอนตำแหน่งต่อหน้าท่าน แต่นี้อ้ายเสมาไม่ใช่ทหารแล้ว ขอกราบลาพระคุณท่านประเดี๋ยวนี้”
       เสมาก้มลงกราบเท้าขุนรามเดชะ ขุนรามเดชะมองเสมาด้วยสายตาโกรธเคือง เพราะเมื่อเสมาลาออกแล้วจะจับอีกก็จะดูทุเรศเกินไป เรไรมองเสมาด้วยน้ำตาคลอเบ้า ทั้งสงสารและรู้สึกผิดที่ตนเป็นต้นเหตุทั้งหมด เสมาลุกขึ้นหันมามองเรไรอีกครั้ง ก่อนจะเดินแหวกทหารและชาวบ้านเลี่ยงหนีไป โดยไม่มีใครขัดขวาง

       ยามบ่ายวันเดียวกัน บุญเรือนกำลังระเบิดอารมณ์ใส่มั่นโดยมีจำเรียงสะอึกสะอื้นอยู่ใกล้ๆ
       “อ้ายลูกคนนี้นำพาแต่ความเดือดร้อนมาให้ ฉันบอกพี่แล้วว่าอย่าให้มันเป็นทหาร พี่ก็หาฟังฉันไม่”
       จำเรียงสะอึกสะอื้นด้วยความห่วงขันแบบสุดๆ
       “พี่เสมานะพี่เสมา ทำกับพี่พันฤทธิ์ถึงสาหัสแล้วยังหนีหน้าไปอีก พ่อแม่คอยดูเถิดหากพี่พันฤทธิ์เป็นกระไรไป ฉันจะโกรธพี่เสมาไปชั่วชีวิต”
       “หากพันฤทธิ์เป็นกระไรไปจริง โทษจะมาถึงเราหรือไม่พี่มั่น” บุญเรือนถาม
       มั่นหน้าเครียดขึ้นทันที
       “ถึงหรือไม่ข้าไม่รู้ แต่ตอนนี้ข้าห่วงลูกชายข้ามากกว่า เอ็งสองคนก็ช่างกระไรเลย คนหนึ่งเป็นแม่ คนหนึ่งเป็นน้อง อ้ายเสมาจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่รู้ ไม่คิดจะถามถึงบ้างเลยรึ”
       จำเรียงหน้าจ๋อยไปที่ถูกพ่อดุเลยสำนึกได้ว่าห่วงแฟนมากกว่าพี่ บุญเรือนทิ้งค้อนใส่มั่น
       “ฉันเป็นแม่มีรึจะไม่ห่วงใย แต่หากเราต้องรับโทษเพราะความหุนหันพลันแล่นของมันจริง พี่ตอบฉันทีรึว่าเราสามคนจะทำเยี่ยงไร”
       มั่นสีหน้าเคร่งเครียดเพราะถ้าต้องรับโทษจริงก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน

       ตอนหัวค่ำวันเดียวกัน ขันกัดผ้าแน่นด้วยความเจ็บปวด ขณะที่พวกทาสชาย หญิง กำลังช่วยกันทายาให้ขัน โดยที่ดวงแขยืนดูด้วยความเป็นห่วงพี่ พอทายาเสร็จ ดวงแขก็เอาผ้าออกจากปากพี่ชายในขณะที่พวกทาสช่วยกันพันผ้าพันแผลให้ขัน ขันเจ็บปวดมากทั้งยังแค้นสุดๆ
       “อ้ายเสมา หากหาตัวมึงเจอเมื่อใด กูจักฟ้องร้องเอามึงขึ้นตะแลงแกงให้จงได้ ให้สมกับที่มึงทำกับกู”
       “พวกพี่ท้าประลองกันเองจะฟ้องร้องเอาผิดกระไรได้” ดวงแขว่า
       “นี่แม่ดวงแขเข้าข้างมันรึ”
       “น้องมิได้เข้าข้างใครแต่น้องพูดตามธรรมเนียม พี่ขันก็แจ้งใจอยู่”
       “ไม่ต้องมาย้อนพี่ คดีเก่าของน้องกับอ้ายเสมายังมิได้ชำระกัน อย่านึกว่าพี่จะลืม แต่นี้ต่อไปน้องอย่าข้องเกี่ยวกับอ้ายศัตรูของพี่คนนี้อีก ไม่เช่นนั้นก็อย่ามานับถือเป็นพี่เป็นน้องกันอีกเลย”
       ดวงแขมีสีหน้าหนักใจขึ้นมาทันทีเพราะดวงแขชอบเสมาแต่ก็ดันมามีเรื่องแบบนี้ แล้วต่อไปจะทำยังไง

       เช้าวันต่อมา ขุนรามเดชะ พันอิน และพระพิชัยสงครามกำลังคุยกันด้วยสีหน้าเคร่งเครียดอยู่ที่ชานบ้านขุนรามเดชะ
       “ฉันไม่รู้จริงๆ ว่าอ้ายเสมามันหนีไปที่ใด ตั้งแต่เกิดเรื่องมันยังไม่ได้กลับมาที่เรือนฉันเลย” พันอินว่า
       “เรือนมันเองก็ไม่กลับ เรือนพันอินก็ไม่มี แล้วฉันจะ กราบเรียนท่านเจ้าคุณผู้ใหญ่ได้อย่างไรกัน” พระพิชัยสงครามพูดขึ้น
       “หากพระคุณต้องการตัวอ้ายเสมามัน ก็ตั้งด่านจับดีหรือไม่ขอรับ” ขุนรามเดชะเสนอความเห็น
       “จับรึ ข้อหากระไรล่ะท้าประลองกันเองจะเอาผิดก็มิได้ แลอ้ายเสมาก็ออกจากทหารแล้วจะบังคับมันได้กระไร เพราะออกขุนโดยแท้ เสียแรงเป็นผู้หลักผู้ใหญ่กะอีแค่ทหารในสังกัดผิดใจกันก็จัดการมิได้” พระพิชัยสงครามบอก
       ขุนรามเดชะถึงกับหน้าสลดไป เพราะลึกๆแล้วโกรธเสมาที่ทำให้โดนด่าไปด้วย
       “เหตุใดพระคุณ ถึงอยากได้ตัวอ้ายเสมามันนักขอรับ” พันอินถาม
       “อีกไม่นานจะมีศึกใหญ่ แล้วฝีมืออ้ายเสมาก็ประจักษ์แล้วครั้งศึกบางเกี่ยวหญ้า ฉันจึงเสียดายนัก หากต้องขาดคนดีมีฝีมือเยี่ยงมันไป”
       ขุนรามเดชะได้ยินเรื่องศึกครั้งใหม่ก็ตกใจ
       “จะมีศึกอีกหรือขอรับ ก็พวกข้าศึกเพิ่งแตกพ่ายกลับไปไม่นานแล้วมันยังมีกำลังมาต่อตีกับพวกเราอีกหรือขอรับ”
       “มีแน่ออกขุน หงสานั้นยิ่งใหญ่นักแตกพ่ายไปเพียงครั้งหาทำให้กำลังลดน้อยถอยลงไปไม่ มีแต่จะบุกกลับมาด้วยกำลังที่ใหญ่ยิ่งกว่าเดิม”

       พระพิชัยสงครามคาดการณ์ไว้มิผิด ในช่วงเวลาเดียวกัน พระเจ้านันทบุเรงประทับอยู่บนบัลลังก์ ในขณะที่พระมหาอุปราชากับพระเจ้าเชียงใหม่ประทับอยู่บนตั่งลดระดับลงมา ทั้งหมดกำลังปรึกษาความกันอยู่ในท้องพระโรงเมืองหงสาวดีอันตระการตายิ่งใหญ่
       “มีพลเรือนแสนแต่กลับพ่ายพลแค่หยิบมือเดียว เจ้ายังมีสายเลือดของสมเด็จพระราชบิดาอยู่อีกหรือไม่มังนรธาช่อ” พระเจ้านันทบุเรงพูดอย่างบันดาลโทสะ
       พระเจ้าเชียงใหม่อยู่ในอาการกลัวพระเจ้านันทบุเรงจึงพนมมือแล้วยอมรับผิดว่า
       “ข้าพระพุทธเจ้าผิดไปแล้ว ขอพระองค์เมตตาให้ข้าพระพุทธเจ้ากระทำการแก้ตัวอีกสักครั้งหนึ่งเถิด”
       “มันก็ควรจักเป็นเช่นนั้นอยู่แล้วมิใช่รึ หากเจ้าไม่เฉื่อยช้า ยกทัพไปตามกำหนดให้ทันทัพสมเด็จอา พระยาพสิมรุมตีกระหนาบทั้งสองด้านมีหรือจะพ่ายแพ้แก่สมเด็จพระนเรศได้”
       พระมหาอุปราชาพนมมือถวายบังคมแล้วกล่าวว่า
       “ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้าขอพลห้าหมื่นไปตั้งทัพ ณ เมืองกำแพงเพชรเพื่อสะสมเสบียงอาหาร เกลือกว่าสมเด็จอามังนรธาช่อเสียทีอีกจะได้มีกำลังไว้ทำศึกครั้งต่อไปพระพุทธเจ้าข้า”
       พระเจ้านันทบุเรงยิ้มพอใจ
       “ชอบแล้ว สมกับที่เจ้าเป็นบุตรเรามังกะยอชวา” จากนั้นทรงหันไปเล่นงานพระเจ้าเชียงใหม่
       “เจ้าจงยกพลเชียงใหม่ หนึ่งแสนไปทำศึก หากพ่ายแพ้ก็ไม่ต้องมาให้เราเห็นหน้าอีกต่อไป”

       หลายวันต่อมา เมื่อยามสาย พุฒซึ่งยังมีอาการบาดเจ็บเดินมาส่งบัวเผื่อนที่มาเยี่ยมและกำลังจะกลับ
       “พันจบกลับไปพักผ่อนเถิด มิต้องออกมาส่งฉันดอก”
       “ได้กระไรกัน แม่หญิงบัวเผื่อนจะจากฉันไปแล้ว มิรู้ต้องรออีกนานเท่าใดจะได้เห็นหน้ากันอีก ขอให้ฉันได้เห็นหน้าแม่หญิงนานขึ้นอีกสักครู่เถิด” พุฒพูดพลางส่งสายตาออดอ้อน
       บัวเผื่อนเขินอายที่ถูกพุฒจีบซึ่งหน้า ขณะนั้นเอง ดวงแขพร้อมด้วยข้าทาสถือของฝากของพุฒ เดินขึ้นเรือนมาพอดี เพราะใจจริงของพุฒนั้นหลงรักดวงแขอยู่ เพียงแต่จีบบัวเผื่อนสนุกๆเท่านั้นเอง
       “แม่หญิงดวงแข”
       “ฉันไหว้จ้ะพี่พุฒ พี่ขันให้ฉันเอาหยูกยาแลผลหมากรากไม้มาให้พี่พุฒจ้ะ”
       ดวงแขหันไปพูดกับบัวเผื่อน
       “แม่บัวเผื่อนมานานแล้วรึ”
       บัวเผื่อนกำลังจะตอบ แต่พุฒรีบชิงพูดขึ้นก่อน
       “แม่หญิงบัวเผื่อนกำลังจะกลับแล้วจ้ะ เชิญแม่หญิงดวงแขข้างในเถิดตรงนี้แดดมันแรงนัก”
       พุฒรีบกุลีกุจอต้อนรับดวงแขเดินนำเข้าข้างในไป บัวเผื่อนยืนอึ้งอยู่ครู่นึงก่อนจะมองพุฒและดวงแขที่เดินไปด้วยความเจ็บใจปนหมั่นไส้ ไม่คิดว่าพุฒจะเจ้าชู้ขนาดนี้

       ยามบ่ายต่อมา เรไร จำเรียงและนางข้าหลวงอีกคนกำลังช่วยกันแกะสลักขิงดองอยู่ เมื่อแกะสลักเสร็จก็เอาไปล้างน้ำให้สะอาด ก่อนจะเอาไปใส่โถดอง จำเรียงมีท่าทีเหม่อลอย จนในที่สุดมีดแกะสลักก็บาดนิ้วเข้าจนได้
       “อุ๊ย” จำเรียงอุทานขึ้นเมื่อมีดบาดนิ้ว
       “ตายจริง มีดบาดรึ” เรไรพูดก่อน หันไปพูดกับนางข้าหลวงอีกคน
       “ชบาไปหยิบยามาให้จำเรียงหน่อยเถิด”
       “เจ้าค่ะแม่หญิง”
       เมื่อนางข้าหลวงเดินออกไปคงเหลือแต่เรไรกับจำเรียงสองคน เรไรเข้าไปดูแผลให้จำเรียง
       “ลึกเสียด้วย เหตุใดเลินเล่อเช่นนี้เล่าจำเรียง”
       จำเรียงน้ำตาคลอขึ้นมาทันที เพราะเก็บกดมาหลายวัน
       “เป็นกระไรไป เจ็บมากรึ”
       “ไม่ใช่ดอกเจ้าค่ะแม่หญิง จำเรียง...จำเรียงอยากเห็นหน้าพี่พันฤทธิ์ นับแต่พี่เสมาทำร้ายพี่พันฤทธิ์ จำเรียงก็ไม่เคยได้ปะหน้าพี่พันฤทธิ์อีกเลย ไปเยี่ยมที่เรือนพี่พันฤทธิ์ก็ไม่ยอมให้ขึ้นเรือน คงจะโกรธ เพราะเหตุที่จำเรียงเป็นน้องพี่เสมาเป็นแน่เจ้าค่ะแม่หญิง” จำเรียงพูดพลางสะอึกสะอื้นและปล่อยโฮออกมา
       เรไรนึกสงสารได้แต่ปลอบโยน
       “อย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้เลย พันฤทธิ์อาจจะยังป่วยอยู่ ไม่สะดวกจะปะหน้าผู้คนก็เป็นได้ หากจำเรียงเป็นห่วงพันฤทธิ์ ฉันจะถามไถ่จากดวงแขให้”
       “ขอบน้ำใจแม่หญิงมากเจ้าค่ะ ที่เป็นเช่นนี้เพราะพี่เสมาโดยแท้ หากกลับมาจำเรียงจะไม่พูดด้วยอีกเลย”
       “นี่เสมายังไม่กลับอีกรึ”
       “ยังเลยจ้ะแม่หญิง”
       “ตามตัวทั่วแล้วหรือไม่”
       “ไม่มีที่ไปก็คงกลับมาเองดอกค่ะ”
       “บางที อาจจะอยู่บ้านคู่รักที่ชื่อเอื้อยแตงกระไรนั่นก็ได้”
       “เอื้อยแตงไม่ใช่คู่รักของพี่เสมาดอกจ้ะ ถึงคนอื่นจะนินทาอย่างไร ข้อนี้จำเรียงก็หาเชื่อไม่”
       “จริงรึ แน่ใจได้อย่างไร”
       “เอื้อยแตงเกิดปีเดียวกับจำเรียง เราโตด้วยกันมาแต่เล็กแต่น้อย หากพี่เสมาชอบพอเอื้อยแตงจริง คงผูกข้อไม้ข้อมือไปเสียนานแล้วจ้ะ”
       เรไรนิ่งคิดขึ้นมาว่าเข้าใจเสมาผิดไป

       เย็นวันนั้นขณะที่เอื้อยแตง และมั่นกำลังช่วยกันเก็บของเพื่อปิดร้าน เรไรแกล้งเดินมาที่แผงขายเหล็กและทำเป็นหาซื้อของ
       “เก็บของแล้วรึ ฉันอยากได้พร้าสักเล่มพอจะมีหรือไม่”
       “มีจ้ะ” เอื้อยแตงตอบ แต่ครั้งเห็นหน้าเรไรชัดๆก็จำได้ จึงอึ้งไปหันไปหยิบมีดเล่มใหญ่ มาวางให้ตรงหน้า
       “เล่มนี้ใช่ฝีมือของเสมารึไม่” เรไรถาม
       เอื้อยแตงแอบเหยียดปากด้วยความหมั่นไส้แต่สงวนท่าทีไว้แล้วบอก
       “ไม่น่าใช่..นับแต่วันที่พี่เสมาท้าประลองกับอ้ายพวกนั้น ฉันยังไม่ได้เห็นหน้าอีกเลย”
       เรไรมีสีหน้าขรึมไปเล็กน้อย
       “เสียดาย ที่ไม่ได้ไปดู อยากเห็นอ้ายพันจบรณรงค์ มันโดนพี่เสมาตีนัก”
       “เอ็งไม่ไปน่ะดีแล้ว จะไปให้ถูกครหาว่าเป็นต้นเหตุให้ชายวิวาทกันรึ” แต้มพูดแทรกขึ้น
       “พ่อก็พูดไปได้ อ้ายพันจบมันลวนลามฉัน พี่เสมาเข้ามาช่วยจึงผิดใจกับมัน จะหาว่าฉันเป็นต้นเหตุได้กระไร ต้นเหตุคือความชั่วของอ้ายพันจบมันตะหาก”
       เรไรดีใจที่ได้รู้ความจริงว่า เสมาไม่ใช่คนเลว แต่ยังตีหน้าตายถามต่อ
       “มีเรื่องเช่นนี้รึ พันจบรณรงค์ถึงกับกล้าลวนลามกลางตลาดเชียวรึ”
       “จ้ะ ชาวตลาดละแวกนี้เห็นกันแทบทุกคน อ้ายสมบุญศิษย์พี่เสมาก็เป็นพยานได้จ้ะ”

       สมบุญกำลังนั่งคุกเข่าคุยกับเรไร โดยมีพิณนั่งพับเพียบอยู่ใกล้ๆ ตรงบริเวณหน้าเรือนตอน
       หัวค่ำ
       “เป็นความสัตย์จริงขอรับแม่หญิง อ้ายพันจบมันคงคิดแค้นจึงใส่ร้ายพี่เสมา แล้วอ้ายขัน เอ่อ พันฤทธิ์ยังทำร้ายข้าพระเจ้าอีก พี่เสมาเลยทนมิได้ต้องท้าประลองกับพวกมันขอรับ”
       เรไรหน้าเครียด ยิ่งสมบุญพูดตรงกับเอื้อยแตง ยิ่งทำให้เรไรรู้สึกผิดที่หูเบา พิณเหล่มองสีหน้าเรไร ก่อนจะหันไปพูดกับสมบุญ
       “แล้วเอ็งกราบเรียนให้ท่านขุนทราบแล้วหรือไม่ว่าพ่อเสมาไม่ใช่คนผิด”
       “พิโธ่ แม่พิณ เหตุใดฉันจะไม่พูด แต่ท่านขุนทำเฉยเสียด้วยเหตุที่พันฤทธิ์เป็นบุตรของเกลอเก่า แลมั่งมีกว่าช่างตีเหล็กอย่างพี่เสมามากนัก พี่เสมาจึงน้อยใจต้องออกจากทหารหนีไป”
       “ฉันผิดเอง” เรไรพูดขึ้น
       “แม่หญิงผิดเรื่องกระไรกันเจ้าคะ” พิณถามขึ้นด้วยความแปลกใจ
       เรไรรีบตัดบท
       “ไม่มีกระไรดอก เอ่อ เจ้าสมบุญ เจ้าได้ข่าวครูเจ้าบ้างหรือไม่”
       สมบุญมองไปรอบๆ อย่างระแวดระวังเพราะกลัวคนอื่นได้ยิน
       “ได้ขอรับ แต่ข้าพระเจ้าไม่กล้าพูดไป กลัวพันฤทธิ์กับพันจบมันตามไปทำร้ายขอรับ”
       “จริงรึ งั้นตอนนี้เสมาอยู่ที่ใดเล่า”

       เวลาผ่านไปหลายเดือนจนถึงเช้าวันหนึ่ง ภายในวัดแห่งหนึ่งในเมืองวิเศษไชยชาญ เสมากำลังซ้อมเพลงดาบสองมืออยู่ต่อหน้าพระพระพุทธรูปองค์ใหญ่ เสมาร่ายรำเพลงดาบอย่างพลิ้วไหว แต่ก็แฝงไปด้วยความเข้มแข็งดุดัน ลมจากการร่ายรำดาบของเสมา พัดไหวไปทั่วบริเวณ จนต้นไม้ ดอกไม้ถูกพัดไหวตามไปด้วย เสมาร่ายรำเพลงดาบจนจบกระบวนเพลง
       พระครูขุน กับ พระภิกษุอีกรูปยืนมองเสมาด้วยสายตาชื่นชม เสมาเหลือบไปเห็นเข้าพอดีจึงรีบเข้าไปกราบพระภิกษุทั้งสองทันที
       “ข้าพระเจ้าไม่ทราบว่าหลวงพ่อจะมา มิเช่นนั้นคงไปรอกราบเสียนานแล้ว”
       พระครูขุนยิ้มบางๆ อย่างภูมิใจในตัวเสมาแล้วว่า
       “มิเป็นไรดอก ข้าอยากดูเพลงดาบของเอ็งมากกว่า อ้ายเสมาเอ๋ยมิผิดข้าในวัยฉกรรจ์เลย”
       “เห็นเช่นนี้แล้วก็เสียดายนัก ฝีมือของเอ็งน่าจะได้ฉลองคุณชาติ คุณแผ่นดิน มิใช่หลบอยู่ในวัดดั่งคนขลาดเช่นนี้” พระภิกษุอีกรูปพูดขึ้น
       เสมาหน้าเศร้าลงแล้วว่า
       “ข้าพระเจ้ามิใช่ไม่อยากกลับไปดอกขอรับหลวงน้า แต่ท้อใจในราชการนัก แม้นทำดีเท่าใดก็สู้อ้ายพวกประจบสอพลอมิได้ พอไม่ยอมมันก็กลับกลายเป็นคนผิดเสียอีก คิดดังนี้แล้วก็อยากวางเฉยเสียไม่อยากข้องเกี่ยวกับผู้ใดแล้ว”
       พระครูขุนกับหลวงน้าหันมาสบตากันเพราะรู้ว่า เสมาน้อยใจจนไม่อยากรับราชการอีก
       “เอ็งรู้จักสงครามช้างเผือกหรือไม่วะ อ้ายเสมา” หลวงน้าพูดขึ้น
       “รู้ขอรับ พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองอยากได้ช้างเผือกจากพ่ออยู่หัวพระองค์ก่อนเลยยกทัพเข้ามาตีใช่หรือไม่ขอรับ”
       “ใช่ แต่ก่อนที่จะยกทัพมา พระเจ้าบุเรงนองได้ส่งพระราชสาสน์มายังกรุงอโยธยาก่อน”
       หลวงน้าพูดแล้วหยิบจดหมายใบลานฉบับหนึ่งออกจากย่ามแล้วว่า
       “นี่เป็นเนื้อความในพระราชสาสน์ที่ได้แปลอักขระแลคัดลอกไว้ เอ็งลองอ่านดูเถิด”
       เสมาไหว้ ก่อนจะรับจดหมายใบลานมาด้วยความแปลกใจไม่เข้าใจว่า หลวงน้าต้องการสื่ออะไร
       เสมานั่งพับเพียบลงอ่านจดหมายใบลานเบื้องหน้าพระครูขุนและหลวงน้า
       “หม่อมฉันได้ยินข่าวที่เล่าลือไปถึงกรุงหงสาวดี ว่าสมเด็จ พระเชษฐามีบุญญาธิการมากนัก...ทรงมีช้างเผือกเข้ามาสู่พระบารมีมากถึงเจ็ดช้าง แต่ทางกรุงหงสาวดียังหามีช้างเผือกสำหรับพระนครไม่ ขอให้สมเด็จพระเชษฐาเห็นแก่ไมตรี ขอประทานช้างเผือกให้แก่ข้าพระเจ้าผู้เป็นอนุชา ไว้เป็นศรีแห่งนครสักสองช้าง ทางพระราชไมตรีทั้งสองพระนคร จะได้จำเริญวัฒนาการสืบไป...”
       เสมาอ่านจบก็ครุ่นคิดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
       “อ้ายเสมา เป็นเอ็งจะให้ช้างเผือกหรือไม่” พระครูขุนถาม
       “ตอบยากเหลือเกินขอรับหลวงพ่อ พระเจ้าบุเรงนองทรงมีพระราชสาสน์อย่างอ่อนน้อมนัก แลมีช้างถึงเจ็ดช้าง ให้ไปเสียสองช้างเพื่อไม่ต้องรบให้เสียชีวิตไพร่พล ก็น่าจะควรอยู่ แต่...”
       “แต่ช้างเผือกเป็นของมงคลหามีธรรมเนียมที่เมืองอันมีศักดิ์เสมอกันจะยกให้แก่กัน ใช่หรือไม่วะ” หลวงน้าถาม
       “ขอรับ”
       พระครูขุนถอนใจแล้วว่า
       “นี่คือพระสติปัญญาของพระเจ้าบุเรงนอง ในครั้งนั้นฝ่ายขุนนางก็มีทั้งเห็นด้วยแลไม่เห็นด้วยเช่นกัน ที่สุดแล้วพระมหาจักรพรรดิไม่ทรงยกให้จนต้องเกิดศึกกันขึ้น บรรดาขุนนางต่างโทษว่ากันเองจนแตกสามัคคี ไม่เพียงแต่จะแพ้ศึกครั้งนี้แต่ยังผลมาถึงการเสียกรุงในกาลต่อมาด้วย”
       “ที่ข้ายกเรื่องนี้ขึ้นมากล่าวก็หวังเตือนใจเอ็ง ให้เห็นถึงความสามัคคีเป็นที่ตั้ง ข้ารู้ว่าเอ็งท้อใจในราชการ แต่หากเอ็งไม่ละวาง บ้านเมืองก็ต้องขาดคนดีมีฝีมือไปอีกคนหนึ่ง” หลวงน้าบอก
       พระครูขุนหยิบห่อผ้าห่อใหญ่ยื่นให้เสมา
       “ที่ข้ามาหาเอ็งถึงวิเศษไชยชาญก็เพื่อจะเอาของที่เอ็งไปทิ้งไว้ให้ข้ามาคืนแก่เอ็ง เอ็งรับไปเถิดอ้ายเสมา รับไปแล้วจะกระทำการใดต่อก็สุดแต่ใจเอ็ง”
       เสมาไหว้ก่อนจะรับห่อผ้ามาเปิดออก...
       “ดาบแสนศึกพ่าย”
       เสมาชักดาบออกมาดู สายตาเริ่มเป็นประกายขึ้นเรื่อยๆเมื่อเห็นดาบคู่มือ เลือดทหารกล้าแห่งกรุงศรีอยุธยาฉีดพุ่งเมื่อได้จับดาบอีกครั้ง

       ขุนฤทธิ์พิชัยกำลังนั่งจิบน้ำชาอยู่โดยมีเสมานั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้า บรรยากาศยามบ่ายช่างคึกคัก ในจวนของขุนฤทธิ์พิชัยมีชาวบ้านมาอาสาคัดเลือกเพื่อไปออกรบมากมาย คนที่เป็นทหารอยู่แล้วก็จับคู่กันฝึกซ้อมเพลงอาวุธ ขุนฤทธิ์พิชัยมองเสมาด้วยความพอใจ
       “เอ็งอยากเป็นทหารรึ รูปร่างเข้าทีชื่อกระไรเล่า”
       “เสมาขอรับพระคุณท่านแม่กอง”
       “ชื่อเสียงก็ได้ฤกษ์เป็นมงคลดี อยากอยู่ทัพใดเล่า”
       “กองทะลวงฟันขอรับ”
       ขุนฤทธิ์พิชัยตบเข่าฉาดด้วยความถูกใจ
       “บ๋า ทะลวงฟันเชียวรึ หายากนัก ได้ซี ข้ากำลังขาดคนอยู่ แต่ต้องสอบฝีมือเอ็งเสียก่อน”
       “ขอรับ”
       เสมาหน้าขรึมลงแล้วพูดต่อ
       “เอ่อ แต่ข้าพระเจ้ามีเรื่องต้องกราบเรียนท่าน แม่กองก่อนขอรับ ด้วยข้าพระเจ้าเป็นคนผิดหนีพระนครบาลมาแต่ในกรุง แลขาดเกณฑ์พระราชพิธีท่าน จึงขอสารภาพรับผิดไว้ สิ้นศึกเมื่อใดก็ขอเมตตาพระคุณแม่กองนำเฝ้าท่านแม่ทัพ พอได้เป็นพยานความดีมั่งเถิดขอรับ”
       “เท่านั้นเองดอกรึ อย่าวิตกเลย ข้าจะช่วยเพราะรักในน้ำใจเอ็งนักที่มาบอกเล่าให้รู้แต่โดยจริง... โทษภัยเพียงนี้...”
       ขณะนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวาย ดังลั่นมาจากท้ายจวน
       “อ้ายสิน อ้ายสินวิวาทอีกแล้ว เร็ว รีบจับมันเร็ว” ทหารคนหนึ่งตะโกนขึ้น
       พวกทหารในจวนต่างรีบรุดไปช่วย ขุนฤทธิ์พิชัยรีบลุกไปดูเหตุการณ์ทันที
       “อ้ายสิน” ขุนฤทธิ์พิชัยเรียกชื่อด้วยน้ำเสียงโมโห
       เสมาแปลกใจเลยรีบตามไปดูเหตุการณ์อีกคน

อ่านต่อหน้า ๒

เกร็ดความรู้เกี่ยวกับขุนศึก

๑๗. หงสาวดี เป็นเมืองของชาวมอญมาก่อนในอดีต ก่อนที่ พระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้จะยึดครองได้ในปีพ.ศ.2082 และสถาปนาเป็นศูนย์กลางอำนาจของราชวงศ์ตองอู รุ่งเรืองถึงขีดสุดในรัชสมัยพระเจ้าบุเรงนอง

๑๘. เมืองวิเศษไชยชาญ สันนิษฐานว่าตั้งขึ้นระหว่างปีพุทธศักราช 2122 ถึง ปีพุทธศักราช 2127 โดยเป็นชัยภูมิสำคัญในการทำสงครามสมัยสมเด็จ พระนเรศวรมหาราชหลายครั้ง ปัจจุบัน เป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดอ่างทอง
//www.manager.co.th/Drama/ViewNews.aspx?NewsID=9550000052142



Create Date : 22 พฤษภาคม 2555
Last Update : 22 พฤษภาคม 2555 11:44:40 น. 0 comments
Counter : 2397 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

atitaya_t
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




สวัสดีค่ะ ขอร่วม gang ด้วยคนค่ะ
Friends' blogs
[Add atitaya_t's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.