เก็บความทรงจำ..(^_^)..ความสนใจ โลกส่วนตัว ที่เราสร้างเอง
Group Blog
 
 
พฤษภาคม 2555
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
22 พฤษภาคม 2555
 
All Blogs
 
ขุนศึก ตอนที่ 9-4 , 10-1


เพลาต่อมา สมเด็จพระนเรศวรและสมเด็จพระเอกาทศรถทรงประทับยืนคุยกับพระราชมนูที่นั่งคุกเข่าอยู่
       “เอ็งกับเจ้าศรีไสยณรงค์ติดตามข้ามานานนัก บัดนี้เจ้าศรีไสยณรงค์ก็ได้เป็นเจ้าเมืองตะนาวศรีแล้ว เหลือแต่เอ็ง ยังเป็นคุณพระอยู่เช่นเดิม ศึกละแวกครานี้ข้าจึงให้เอ็งสำแดงฝีมือให้เต็มที่ อย่าให้ข้าต้องผิดหวังเทียว” สมเด็จพระนเรศวรตรัส
       พระราชมนูถวายบังคมยิ้มแย้ม
       “เป็นพระคุณอย่างหาที่สุดมิได้พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้าจะกระทำศึกสุดฝีมือหากแพ้ก็ขอให้ตัดหัวข้าพระพุทธเจ้าเถิด”
       “เอ็งอย่าปากพล่อย เรื่องฝีมือแลกลศึก เอ็งนับได้ว่าเป็นหนึ่งในอโยธยา แต่น้ำใจเอ็งหุนหันพลันแล่นนักต้องระวังให้จงดี”
       “รับด้วยเกล้าพระพุทธเจ้าข้า”
       “ไปได้แล้ว”
       พระราชมนูถวายบังคมลา ก่อนจะคลานเข่าแล้วลุกขึ้นเดินเลี่ยงไป
       พระเอกาทศรถแย้มพระสรวลอย่างมีมีเลศนัยเหมือนรู้ทันพระเชษฐาธิราช
       พระนเรศวรผินพระพักตร์ไปยังสมเด็จพระเอกาทศรถ
       “เจ้ายิ้มอันใด”
       “ตำแหน่งเจ้าพระยามหาเสนาบดี สมุหพระกลาโหมว่างมานานนัก เสร็จศึกละแวกครานี้ คงมีผู้ได้ขึ้นเป็นแน่” สมเด็จพระเอกาทศรถกล่าว
       “จะหาผู้ใดรู้ใจพี่เท่าน้องเป็นไม่มี เจ้าราชมนูมันสัตย์ซื่อไว้ใจได้ พี่ถึงอยากสนับสนุน เอ่อ แต่ที่น้องจะใช้สอยเจ้าหลวงโจมจัตุรงค์ แน่ใจรึ”
       “สมเด็จพี่เห็นไม่ควรรึพระพุทธเจ้าข้า”
       “ไม่ใช่ไม่ควร แต่พี่ไม่แน่ใจนัก พี่เห็นฝีมือแลความกล้าของมันมาหลายครา นับว่าหาได้ยากยิ่งโดยเฉพาะดาบสองมือ ทอดตาดูทั่วแผ่นดินจะหาผู้เสมอด้วยยังยากนัก แต่กลับไม่มีขุนนางผู้ใหญ่คนใดใช้สอย เพราะปากต่อปากว่ามันเป็นคนอกตัญญู กินบนเรือนขี้รดบนหลังคา”
       “ข้าพระพุทธเจ้าก็ได้ยินมาเช่นกัน แต่คราศึกยุทธหัตถี เห็นหลวงโจมผู้นี้ถวายกตัญญูแล้ว จึงไม่อยากเชื่อเสียงลือนัก ข้าพระพุทธเจ้าจึงอยากลองใจดูซักครา พระพุทธเจ้าข้า”
       “ควรแล้วที่น้องรอบคอบ หากไม่เป็นจริงอโยธยาจะได้มีขุนนางผู้ใหญ่ ช่วยราชการสืบไป”

       ดวงแขกำลังคุยกับพุฒด้วยสีหน้าหงุดหงิด
       “ไหนขุนวิเศษบอกว่าต้องจำคุกเสียหลายคืน กระไรกัน ไม่กี่ชั่วยามก็ออกมาแล้ว”
       “ฉันคาดผิดไป ไม่คิดว่านังเอื้อยแตงจักมีเงินมาเสียเบี้ยปรับ แต่แม่หญิงไม่ต้องทุกข์ใจไป คราหน้านังเอื้อยแตงไม่รอดแน่” พุฒเอื้อมมือไปจับมือดวงแข ดวงแขกระชากมือออก
       “ที่นี่เป็นเรือนฉัน ทำกระไรเกรงใจกันบ้างเถิดขุนวิเศษ”
       “ไม่ใช่ฉันไม่เกรงใจแต่มันสุดหักห้ามใจแล้ว ฉันสู้อุตส่าห์ทำทุกอย่างที่แม่หญิงสั่ง แล้วแม่หญิงดวงแขจะไม่เมตตาฉันบ้างเชียวรึ” พุฒพูดเสียงออดอ้อน
       ดวงแขตีหน้าตาย
       “ฉันน่ะรึสั่งขุนวิเศษ พ่อเป็นถึงขุนพลขุนศึก หญิงเยี่ยงฉันจะสั่งกระไรพ่อได้”
       พุฒสีหน้าบึ้งตึงชักไม่พอใจ
       “แล้วเรื่องที่แม่หญิงให้ฉันใส่ความนังเอื้อยแตงจนต้องโทษจำคุกเล่า แม่หญิงลืมแล้วรึ”
       “ขุนวิเศษเอากระไรมาพูด ฉันเพียงแต่ปรารภว่า แม่เอื้อยแตงทำกิริยาจองหอง ขัดหูขัดตาฉันหลายคราแล้ว ขุนวิเศษก็เสนอขึ้นมาเองว่าจักหาเรื่องใส่ความจนได้โทษ ฉันหาได้สั่งไม่”
       พุฒโมโหที่ถูกหลอก
       “แม่หญิงดวงแข...”
       “มีผู้ใดอยู่บ้าง ขุนวิเศษสรไกรจะกลับแล้ว ช่วยไปส่งขุนท่านหน่อยเถิด” ดวงแขพูดเสียงดัง
       พุฒจ้องดวงแขด้วยความเจ็บใจ ก่อนจะเดินลงจากเรือนไปอย่างหัวเสีย ดวงแขยิ้มหยันตามหลังไป แม้พุฒจะเจ้าเล่ห์ แต่ยังไงซะดวงแขก็ทะนงว่าฉลาดกว่าอยู่ดี

       ขันและพุฒกำลังกินเหล้าไปคุยไปด้วยสีหน้าเคร่งเครียดอยู่ที่แคร่หน้าบ้านพุฒตอนหัวค่ำ
       “ฉันอยากออกเรือนกับแม่หญิงเรไรใจจะขาด แต่ท่านอาเห็นว่าคลาดกันมาหลายครา จึงจะให้หมั้นไว้ก่อน ต่อได้ฤกษ์แล้วค่อยแต่ง ถ้ากระนั้นแล้วก็รอฤกษ์แต่งเสียทีเดียวเลย”
       “ขุนณรงค์ท่านยังไม่รู้ ว่าอ้ายเสมาได้เป็นรองแม่ทัพของพระราชมนูในศึกละแวกครานี้ มิรู้ว่าสิ้นศึกจะได้เลื่อนเป็นถึงคุณพระหรือไม่ เช่นนี้แล้วท่านยังวางใจอีกรึ”
       ขันตกใจความอิจฉาแล่นขึ้นมาทันที
       “อ้ายเสมา มึงนี่เกิดมาเป็นมารผจญกูโดยแท้”
       “ถึงจะแค่หมั้น แต่ขุนณรงค์ก็ควรทำพิธีเสียก่อน เผื่อว่าอ้ายเสมารุ่งเรืองขึ้นจนมีมูลนายสังกัด หลวงรามเดชะคิดจะเปลี่ยนใจก็หาทำได้ไม่”
       “ขอบน้ำใจขุนวิเศษนัก วันพรึ่งฉันจะไปเรียนให้ท่านอาทราบ”
       “ถ้าขุนท่านได้หมั้นแล้ว คงไม่ลืมเรื่องแม่หญิงดวงแข ที่รับปากเกลอแก้วไว้หล่ะ” พุฒพูดพลางยิ้มแย้มมีความหวัง
       ขันหน้าเจื่อนไปเพราะ ใจจริงก็ไม่อยากได้พุฒเป็นน้องเขย
       “เรื่องนั้น...”
       พุฒพูดดักคอขึ้นทันที
       “ไม่ใช่ฉันไม่รู้ว่า แม่หญิงดวงแขพึงใจอ้ายเสมาไม่น้อย หากอ้ายเสมาขาดกับแม่หญิงเรไรแล้ว ไม่คิดรึ ว่ามันจะหันมาหาน้องสาวขุนท่าน”
       ขันขบกรามแน่น ถึงพุฒจะไม่ดีแต่ขันเกลียดเสมามากกว่า
       “ถ้ากระนั้น สิ้นงานหมั้นฉันเมื่อใด ขุนวิเศษก็เตรียมออกเรือนกับแม่ดวงแขเถิด ถึงแม่ดวงแขไม่ยอม ฉันกับแม่ท่านก็จักช่วยกันบังคับให้จงได้ ดีกว่าต้องมัวหมองไปร่วมสกุลกับอ้ายไพร่ชั้นต่ำเช่นมัน”
       พุฒยิ้มสะใจที่ยุแยงขันสำเร็จมั่นใจว่า คราวนี้ดวงแขไม่พ้นมือแน่

       บ้านรามเดชะตอนเช้า เรไรกำลังนั่งสีหน้าตกใจ ขณะสนทนากับรามเดชะ ลำภูและขัน
       “ใจจริงพ่อกับแม่อยากให้แต่งเลยเสียด้วยซ้ำ แต่เห็นว่ามีเหตุหลายคราให้เสียฤกษ์ จึงไม่กล้าผลีผลาม เพียงแต่ให้หมั้นกันไว้ก่อน” ลำภูว่า
       เรไรอึกอัก ถึงแม้จะไม่มีเสมาก็ไม่ชอบขันอยู่ดี
       “มีกระไรรึแม่หญิง หรือแม่หญิงไม่อยากหมั้นกับข้าพระเจ้า” ขันถาม
       ขุนรามเดชะหน้าบึ้งตึงแล้วว่า
       “ เจ้าเอ่ยปากตัดขาดกับอ้ายเสมาแล้ว คงไม่คืนคำดอกนะแม่เรไร”
       “ลูกตัดขาดแล้วจริงๆ พ่อท่านวางใจเถิดเจ้าค่ะ เพียงแต่...”
       ขุนรามเดชะพูดสวนแบบมัดมือชก
       “ถ้ากระนั้นก็หมั้นกับขุนณรงค์เสียเถิด พ่อไม่เห็นผู้ใดจะรักมั่นกับลูกเท่าขุนณรงค์แล้ว”
       ขันไหว้ขุนรามเดชะด้วยความดีใจ
       “ขอบพระคุณขอรับท่านอา ข้าพระเจ้าจะเร่งหาฤกษ์มาให้เร็วที่สุดขอรับ”
       ขัน ขุนรามเดชะและลำภูยิ้มแย้มแจ่มใสที่ทุกอย่างตกลงกันได้ราบรื่น ไม่มีปัญหาอีก ขณะที่เรไรมีสีหน้าซึมเศร้าลงทันที เพราะไม่สามารถทำใจให้รักขันได้
       ยามสาย...บรรยากาศในคลอง ดูสงบร่มเย็น ทาสของเรไร กำลังพายเรือให้เรไร ศรีเมือง และพิณ นั่งเพื่อไปทำบุญ โดยมีทาสขันพายเรือให้ขันนั่งตามหลังมา เรไรชำลืองมองเรือของขันที่ตามหลังมา แล้วถอนใจเซ็งๆ จนพิณอดหัวเราะไม่ได้
       “เหตุใดทำสีหน้าเช่นนั้นเล่าเจ้าคะแม่หญิง ประเดี๋ยวว่าที่คู่หมั้นจะน้อยใจเอานะเจ้าคะ”
       “ปากมากนักนะพิณ หากมีกรวนใส่ปากฉันจะหามาใส่ให้เสียเลย” เรไรพูดดุปราม
       พิณจ๋อยไปนิดนึงแต่ก็อดหัวเราะคิกๆคักๆไม่ได้
       “หากแม่หญิงไม่อยากหมั้น เหตุใดจึงรับปากเล่าจ๊ะ”
       เรไรหน้าจ๋อยลงแล้วบอก
       “แล้วฉันจะหาข้ออ้างกระไรเล่า ในเมื่อฉันตัดขาดจากเสมาแล้ว แล้วฉันก็ทำให้พ่อกับแม่ท่านเสียใจหนักหนามาหลายคราจึงควรทำให้ท่านสบายใจเสียบ้าง”
       ศรีเมืองหันไปมองขัน ก่อนจะคุยกับเรไรต่อ
       “แล้วแม่หญิงจักมีสุขหรือจ๊ะ เพราะแม่หญิงมิได้พึงใจในขุนณรงค์แล... อย่าหาว่าฉันปากพล่อยเลยนะจ๊ะ แต่ฉันว่าขุนณรงค์ก็หาได้วางใจในตัวแม่หญิงเท่าใดนัก มิเช่นนั้นจะเพียรเฝ้าติดตามกระทั่งมาทำบุญก็ไม่เว้นเช่นนี้หรือจ๊ะ”
       เรไรหันไปมองที่เรือของขันที่พายตามหลังมา ขันส่งยิ้มให้เรไร เรไรเบือนหน้ากลับมา ด้วยหน้าตาท้อแท้แต่หาทางแก้ไขไม่ได้แล้ว

       เรือของเรไรและขัน เข้ามาจอดเทียบท่า ขณะนั้นเอง เรือของเสมากับเอื้อยแตงก็พายเข้ามาจอดเทียบท่าใกล้ๆกัน เสมาส่งยิ้มให้เรไร แต่เรไรเห็นเสมามากับเอื้อยแตงก็โมโหหึงทันที
       ขันเหล่มองเสมากับเรไรสลับกันไปมาก็ยิ่งระแวง
       “นึกว่าผู้ใด ที่แท้หลวงโจมจัตุรงค์พาหญิงคนรักมาทำบุญนี่เอง”
       ขันพูดขึ้น เสมามองขันด้วยสายตาไม่พอใจ แต่เอื้อยแตงกลับอมยิ้มเขินๆ ศรีเมืองแอบหลบสายตาทำเป็นไม่เห็นซะทั้งที่ในใจกลับเต้นระรัว เรไรแกล้งยั่วโมโหแล้วปั้นยิ้มหวานให้ขัน
       “เรารีบไปทำบุญของเรากันเถิดจ้ะพี่ขุนณรงค์ เสร็จแล้ว ฉันกับแม่ศรีเมืองจะได้กลับเข้าวัง” ว่าแล้วเรไรก็ทิ้งค้อนไปทางเสมา
       ขันยิ้มแย้มรีบกุลีกุจอลงจากเรือแล้วยื่นมือให้เรไรจับ เรไรจับมือขันเพื่อพยุงตัวลงจากเรือแล้วเดินตามขันเข้าวัดไป เสมามองตามด้วยสายตาหึงหวงจับใจ ศรีเมืองแอบเหล่มองไปทางเสมาและเอื้อยแตง...เอื้อยแตงเหลือบตามามองทางศรีเมืองพอดี ศรีเมืองหลบตาแล้วก้มหน้าขึ้นจากเรือไปอีกคน เอื้อยแตงอดที่จะยิ้มแย้มมีความสุขออกมาไม่ได้เหมือนฝันที่เป็นจริง

       บริเวณหอฉันภายในวัด ชาวบ้านกำลังถวายเพลให้พระภิกษุ ศรีเมือง พิณ และเอื้อยแตงกำลังช่วยกันประเคนอาหารถวายเพล พร้อมกับพูดคุยไปด้วยโดยมีเสมาคอยช่วยหยิบจับข้าวของให้ ในขณะที่ เรไรก็ถวายเพลอยู่ใกล้ๆ โดยมีขันคอยช่วย
       เอื้อยแตงยิ้มแย้มคุยกับศรีเมือง
       “พักนี้ฉันเคราะห์ร้ายนัก จู่ๆก็ถูกจับให้ต้องเสียเบี้ยปรับ แลมะรืนพี่เสมาก็ต้องไปศึกละแวกแล้ว จึงพร้อมใจกันมาทำบุญสะเดาะเคราะห์เสีย”
       ศรีเมืองยิ้มๆ แอบสบายใจขึ้นหน่อย
       “มิน่าเล่าจึงมาด้วยกัน ดีแล้วหล่ะจ้ะ คุณพระคุณเจ้าท่านจักได้คุ้มครอง”
       เสมาชำเลืองมองไปทางขันกับเรไรตลอดเวลา เห็นทั้งคู่สนิทสนม ช่วยกันถวายเพล ก็ทำให้เสมายิ่งหึงหวงหนักขึ้น เรไรหยิบขันใบใหญ่ใส่ข้าวสวยขึ้นมาเพื่อจะตักข้าวถวายพระ ขันเลี่ยงไปหยิบกระจาดใส่ผลไม้ เพื่อเตรียมจะถวายพระ
       เสมาได้โอกาส ก็ลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าใกล้ๆเรไร แล้วใช้มือประคองขันใส่ข้าวไว้เสมาแกล้งตีหน้าตาย
       “ให้ฉันช่วยเถิดแม่หญิง”
       เสมาจับทัพพีร่วมกันกับเรไรแล้วตักข้าวถวายพระด้วยกัน ท่ามกลางความตกใจของทุกคน รวมทั้งเรไรด้วย ขันเห็นแล้วก็โมโหมาก
       “เอ็งทำกระไรของเอ็งอ้ายเสมา”
       เสมาทำไม่รู้ไม่ชี้แล้วบอก
       “ฉันเห็นขันใส่ข้าวใหญ่นัก เกรงว่าแม่หญิงจักถือไม่ไหวจึงเข้ามาช่วยให้แม่หญิงตักข้าวถวายพระ มันผิดกระไรรึขุนณรงค์”
       “แต่เอ็งจับทัพพีร่วมกับแม่หญิงเสมือนหนึ่งทำบุญตอนออกเรือน เอ็งมีเจตนากระไรกันแน่”
       เสมาแกล้งทำเป็นตกใจ
       “จริงรึ ฉันขอขมาเถิดขุนณรงค์ อ้ายเสมานี้เป็นช่างตีเหล็กต่ำสกุล มิรู้ธรรมเนียม ขุนณรงค์กับแม่หญิงอย่าถือโทษฉันเลย”
       ขันลุกขึ้นจะเอาเรื่องเสมา
       “มึงไม่ต้องมาเสแสร้ง...”
       พิณกลัว รีบพนมมือไหว้ขัน
       “ท่านขุนเจ้าคะ ที่นี่ในวัดนะเจ้าคะ ต่อหน้าพระสงฆ์องค์เจ้า อย่ามีเรื่องกันเลยเจ้าค่ะ”
       ขันหน้าเสียที่ทุกคนมองมาเป็นตาเดียวกัน แถมพระยังมีท่าทางตื่นตกใจ เล่นเอาขันทำอะไรไม่ถูก เสมายิ้มเยาะอย่างสะใจที่เล่นงานขันได้ เรไรหันมาจ้องหน้าเสมาด้วยสายตาถมึงทึง โกรธจัดที่เสมาเป็นฝ่ายหาเรื่องก่อนแบบนี้ เรไรลุกขึ้นด้วยความอับอายปนไม่พอใจ สะบัดหน้าเดินหนีไป ขันรีบเดินตามเรไรไปทันที เสมาได้แต่มองตามด้วยความไม่พอใจ หึงหวงเรไร

       ขันรีบเดินเข้ามาหาเรไรที่สีหน้าบึ้งตึงหงุดหงิดออกมา
       “แม่หญิงเรไรไม่ต้องโกรธเคืองไปดอก แค้นที่อ้ายเสมาหมิ่นเกียรตินี้ข้าพระเจ้าจะชำระให้”
       “ขุนณรงค์ท่านจะทำกระไรรึ”
       “ข้าพระเจ้าจะให้คนจอดเรือซุ่มไว้ พออ้ายเสมาพายเรือพ้นเขตวัดเมื่อใดก็จะดำน้ำมาล่มเรือมันเสีย ถึงบนบกมันจักร้ายกาจแต่ในน้ำ อ้ายเสมาไม่พ้นมือข้าพระเจ้าเป็นแน่”
       เรไรไม่พอใจและไม่ชอบนิสัยขัน
       “เยี่ยงนั้นจักต่างจากโจรเช่นไรกัน เหตุใด ขุนท่านจึงคิดแต่กลั่นแกล้งลอบทำร้ายกันเช่นนี้ มันใช่วิสัยของชายชาติทหารรึ”
       “นี่แม่หญิงกลับโกรธเคืองข้าพระเจ้า ทั้งที่ข้าพระเจ้าคิดการเพื่อกู้หน้าให้แม่หญิงโดยแท้... ชะรอยแม่หญิงคงยังเห็นอ้ายเสมาดีกว่าข้าพระเจ้าอยู่กระมัง จึงห่วงมันแล้วพาลมาเคืองข้าพระเจ้าเช่นนี้”
       เรไรโมโหขณะจะเถียงก็เหลือบเห็นเสมาเดินตามออกมา เรไรฉุกคิดขึ้น ปั้นยิ้มหวาน กะแกล้งให้เสมาหึงหวงจึงจับมือขันขึ้นมาแล้วว่า
       “พูดกระไรเช่นนั้นเล่าพี่ขุน ฉันจักเห็นชายร้อยหัวใจเช่นนั้นดีกว่าคนมั่นคงในรักเช่นพี่ขุนได้อย่างไร”
       เสมาเห็นเรไรจับมือขัน พูดจาอ่อนหวานก็หึงหวงจับใจ ฝ่ายขันก็ดีใจมากที่เห็นเรไรดีกับตน
       “แม่หญิงพูดจริงรึ ข้าพระเจ้าดีใจเหลือที่แม่หญิงเห็นความดีเช่นนี้”
       “ใช่ฉันจักใจยักษ์ใจมารไม่เห็นความดีของพี่ขุน แต่ด้วยเมื่อก่อนฉันหลงผิดคิดชั่ว จึงแยกไม่ออกว่ากระไรทอง กระไรดิน ขอพี่ขุนให้อภัยฉันเถิด” เรไรพูดแล้วก็เหล่มองไปทางเสมา
       เสมามีสีหน้าเจ็บใจและหึงหวง พลางบ่นพึมพำ
       “ในวัดในวามาจับไม้จับมือพลอดรัก ไม่อายบ้างหรือไรวะ”
       ฝ่ายขันดีใจมากบอกกับเรไรว่า
       “ไหนเลยข้าพระเจ้าจะถือโทษโกรธแม่หญิงได้ ขอเพียงแม่หญิงเข้าใจว่า หัวใจรักของข้าพระเจ้ามีแต่แม่หญิงเท่านั้น ข้าพระเจ้าก็มีสุขแล้ว”
       ขันจะดึงตัวเรไรเข้ามากอด เรไรตกใจไม่คิดว่าขันจะลามปามถึงขนาดนี้
       เสมาทนเห็นภาพบาดตาไม่ไหวเลยพุ่งเข้าไปกระชากตัวขันออกมา แล้วชกเข้าเต็มหน้าขัน เรไรตกใจมากเพราะนึกไม่ถึง เสมาจะเข้าไปซ้ำด้วยความแค้น แต่พอขันตั้งหลักได้ก็สวนกลับ จะทั้งขัน ทั้งเสมา เลือดกบปากด้วยกันทั้งคู่ ชกต่อยกับอุตลุด เรไรร้องลั่น
       “ช่วยด้วย มีผู้ใดอยู่บ้างช่วยด้วย”
       เอื้อยแตง ศรีเมืองและพิณ วิ่งตามเสียงเรไรออกมา พอเห็นเสมากับขันกำลังชกต่อยกันก็ตกใจ รีบเข้าไปช่วยห้ามทันที เรไร และพิณ ช่วยกันจับขันไว้ ในขณะที่เอื้อยแตงและศรีเมืองช่วยกันจับเสมา แล้วพยายามแยกทั้งคู่ออกมา
       แม้จะแยกทั้งคู่ออกจากกันได้ แต่ทั้งเสมา และขันก็ยังจ้องกันเขม็งด้วยสายตาเกลียดชังโกรธแค้นสุดจะบรรยาย

       สมบุญส่ายหน้าอย่างระอายืนมองเสมาที่เมากลิ้งหลับไม่ได้สติอยู่บนพื้น ในขณะที่สินนั่งกอดไหเหล้าเมาหลับอยู่ใกล้ๆ
       “พอพลาดหวังก็กินเหล้าไม่เหลือลายยอดขุนศึกเลยพี่กู”
       “แม่เอื้อยแตง เหตุใดใจร้ายนัก แม่เอื้อยแตง” สินเมาละเมอโวยลั่น
       สมบุญเซ็งสุดๆ
       “อ้ายนี่ก็อีกคนเลยกอดคอกันกินเหล้าเสียเลย เวรของมึงแท้อ้ายสมบุญเอ๋ย”
สมบุญเข้าไปหิ้วปีกเสมาให้ไปนอนในกระท่อมอย่างทุลักทุเล หิ้วไปก็บ่นไป ในขณะที่เสมาเมาไม่ได้สติ ได้แต่ละเมอบ่นถึงเรไรตลอดเวลา
ในตำหนักภายในวังเมื่อเวลาเย็น บัวเผื่อนกำลังหัวเราะคิกๆคักๆ ในขณะที่เรไร และศรีเมืองยืนหน้าเครียดอยู่ใกล้ๆ เรไรยังหงุดหงิดอยู่

       “สาแก่ใจนักรึแม่บัวเผื่อน จึงหัวร่อไม่หยุดเช่นนี้”
       “อย่าเคืองฉันเลย ฉันเพียงแต่ไม่เคยเห็นชีวิตรักผู้ใดจะโลดโผนเช่นแม่มาก่อน ทั้งงานแต่งล้มมาแล้วหลายครา ชายที่ปักใจหนักหนาก็เลิกร้าง ทั้งยังมีเหตุชกต่อยกับชายใหม่ในวัดเสียอีก มิรู้แม่เพื่อนฉันทำบุญมาด้วยกระไรกัน”
       ศรีเมืองเหลืออดพูดขึ้น
       “ แม่หญิงบัวเผื่อนถามเช่นนี้ เพราะอยากจะทำบุญเช่นเดียวกับแม่หญิงเรไรหรือเจ้าคะ จักได้มีชายมารุมรักไม่ต้องถูกทิ้งให้ร้างคู่โรยราอยู่เช่นนี้”
       บัวเผื่อนขำค้างเพราะโดนศรีเมืองจี้ใจดำ
       “ปากคอเลาะร้ายขึ้นมากนะแม่ศรีเมือง คอยดูเถิด อย่าให้ถึงคราวแม่บ้างก็แล้วกัน”
       บัวเผื่อนทิ้งค้อนแล้วเดินเลี่ยงไปด้วยความโมโห ศรีเมืองถอนใจ
       “แม่หญิงบัวเผื่อนนี่พิกลนัก มิรู้อยู่พวกใดกันแน่”
       “แม่บัวเผื่อนไม่อยู่พวกใดดอก ฝ่ายใดมีคุณก็เข้าฝ่ายนั้น แต่หากไม่มีคุณก็ค่อนแคะนินทาให้เพลินปาก ถ้าทนรำคาญได้ก็ไม่กระไรนักดอก “ เรไรว่า
       ศรีเมืองได้แต่ถอนใจส่ายหน้า ไม่ชอบคนนิสัยเช่นนี้เลย
       “แต่แม่บัวเผื่อนก็พูดถูก ฉันทำให้ชายชกต่อยกันในวัดนับว่าเป็นหญิงเสื่อมเสียได้ชั่วนัก” เรไรพูดขึ้น
       “แม่หญิงก็ไม่ได้ตั้งใจให้เป็นถึงเพียงนี้ไม่ใช่หรือเจ้าคะ อย่าโทษตัวเองอีกเลย”
       “แม่ไม่เข้าใจดอกแม่ศรีเมือง ชายจักหลายใจเพียงใดก็ไม่มีผู้ใดว่า แต่หากหญิงมีสองใจ มันช่างน่ารังเกียจเดียดฉันท์ยิ่งนัก”
       เรไรหน้าตาหม่นหมองเดินนำออกไป ศรีเมืองได้แต่มองตามเรไรไปด้วยสีหน้าแววตาเห็นใจและเข้าใจ ถึงแม้จะแอบหมายปองผู้ชายคนเดียวกันอยู่ก็เถอะ
       สมบุญกำลังก่อไฟให้ความอบอุ่นอยู่หน้ากระท่อมตอนหัวค่ำ โดยมีสินเมาหลับอยู่บนแคร่ เอื้อยแตง และจำเรียงเดินคุยกันมาถึงหน้ากระท่อม สมบุญเห็นจำเรียงมาก็ดีใจ รีบเข้าไปหา
       “แม่จำเรียง”
       “พี่เสมาอยู่หรือไม่” จำเรียงยิ้มรับก่อนถาม
       “เมาหลับอยู่ข้างในจ้ะ กินเหล้าตั้งแต่บ่ายแต่คอไม่แข็งกระไร ป่านฉะนี้ยังไม่ตื่นเลย”
       “ฉันฟังจากแม่เอื้อยแล้ว ให้เป็นห่วงพี่เสมานัก แต่เมาหลับเช่นนี้”
       จำเรียงหันไปพูดกับเอื้อยแตง
       “แล้วเราจะพากลับกันได้ไหวรึแม่เอื้อย”
       “ถ้ากระนั้นก็ให้นอนเสียที่นี่เถิด ฝากด้วยนะพันเทพ”
       “ไม่ต้องห่วงดอกจ้ะ นี่ฉันก็กะจะไปหาไม้มาเผาไฟเพิ่ม จักได้นอนอุ่นไม่เหน็บหนาวกลางดึก” สมบุญว่า
       “ถ้ากระนั้นให้ฉันช่วยแล้วกัน”
       “ขอบน้ำใจแม่นัก” สมบุญมองจำเรียงด้วยสายตากรุ้มกริ่ม
       จำเรียงเขินอายหลบตาสมบุญแล้วรีบเดินนำไป สมบุญปรี่เดินตามประกบไปติดๆ เอื้อยแตงมองตามทั้งคู่ แล้วยิ้มๆ อย่างอ่านท่าทีของทั้งสองที่มีต่อกันออก
       เอื้อยแตงเหลือบตามองสินแล้วเหยียดปากใส่ ก่อนจะหันมองไปทางกระท่อม สีหน้าเป็นห่วงเสมา ตัดสินใจเดินเข้าไปดู สินนอนหลับอยู่แต่โดนยุงกัดเจ็บและคันจนต้องสะดุ้งตื่นมาตบยุงอยู่ไปมา สินขยับตัวนั่ง เมาๆ มึนๆ มองเบลอๆ ไปทางกระท่อมเห็นคนเดินเข้าไปแว๊บๆ
       เอื้อยแตงเดินมามองเสมาที่เมาหลับอย่างอ่อนใจ
       “เพราะหญิงคนเดียวเป็นไปได้ถึงเพียงนี้เชียว”
       เอื้อยแตงหยิบผ้ามาห่มให้เสมา เสมาสะลึมสะลือตื่นขึ้น หันเห็นเอื้อยแตงเป็นเรไร
       “แม่หญิงเรไร...”
       เสมาทั้งรักทั้งแค้น โผขึ้นจับไหล่เอื้อยแตง บีบ เขย่า
       “ยังตามมาเยาะฉันอีกรึแม่หญิง รู้หรือไม่ว่า ฉันรักแม่หญิงเพียงใด แล้วเหตุใดทำกับฉันเช่นนี้”
       เสมาดึงเอื้อยแตงเข้ามากอดจูบด้วยความแค้นเพราะคิดว่าเป็นเรไร เอื้อยแตงตกใจพยายามผลักเสมาออก
       “พี่เสมา อย่าจ้ะ ฉันเอง”
       ขณะนั้นเอง สินก็ผลักประตูเข้ามาด้วยท่าทางมึนๆเพราะยังเมาค้างอยู่ สินเห็นเสมากำลังปลุกปล้ำเอื้อยแตงก็หายเมาเป็นปลิดทิ้ง โมโหมาก เข้าไปดึงตัวเอื้อยแตงออก แล้วชกหน้าเสมาเข้าเต็มๆ
       สินมองเสมาด้วยความแค้น ในขณะที่เสมาโดนชกเต็มๆจนลุกไม่ขึ้น ท่ามกลางความตกใจของเอื้อยแตง สินขาดสติเพราะฤทธิ์เหล้าจะเข้าไปซ้ำเสมา เอื้อยแตงกระชากสินเอาไว้อย่างแรง
       “หยุดประเดี๋ยวนี้อ้ายสิน...ออกไปให้พ้นเชียวนะ”
       เอื้อยแตงไม่แยแสสินรีบเข้าไปประคองเสมาที่โดนชกจนปากแตก
       “เป็นกระไรบ้างพี่เสมา”
       เสมาเหลือบตามองไปที่สินด้วยสีหน้าแววตาไม่สบายใจ สินสายตาเจ็บช้ำปนคับแค้นใจเดินโกรธจัดถีบประตูโครมครามก่อนออกไปจากกระท่อมไป

       เอื้อยแตงกำลังคุยกับจำเรียงด้วยสีหน้าเคร่งเครียดที่บ้านของเสมาในเวลาเช้า
       “ฉันนึกว่ามีแต่แม่หญิงสูงศักดิ์คนนั้นเสียอีกที่ทำให้ชายแตกกันได้ แต่นี่กลับเป็นแม่ค้ากลางตลาดเช่นฉัน”
       จำเรียงถอนใจสีหน้าเครียด
       “ไม่รู้จะว่าเช่นใดแล้ว นอกจากเป็นเวรกรรมโดยแท้ เอ่อ แล้วนี่พี่เสมากับออสิน ยังไม่คืนดีกันอีกรึ”
       “ยังดอก เมื่อคืนหากไม่ห้ามไว้ คงชกต่อยกันปางตาย เช้านี้คงดีกันยากนัก”
       เสียงแต้มดังขึ้นมา
       “ผู้ใดชกต่อยกันวะนังเอื้อยแตง”
       มั่น และแต้มเดินออกมาจากข้างในพอดี เอื้อยแตงถึงกับหน้าเสีย พูดอึกอัก
       “บอกไปพ่อก็ไม่รู้จักดอก หาใช่เกี่ยวข้องกับเราไม่”
       “แล้วนี่เมื่อคืน อ้ายเสมากลับมานอนบ้านหรือไม่จำเรียง” มั่นถาม
       “ไม่กลับจ้ะ เช้านี้มีฝึกดาบคงนอนที่วัดพุทไธสวรรย์กระมังจ๊ะ” จำเรียงว่า
       มั่นหน้าบึ้งตึงแล้วว่า
       “อ้ายนี่ เป็นถึงคุณหลวงแล้ว แต่ยังเที่ยวนอนไม่เป็นที่ช่างไม่สมศักดิ์เอาเสียเลย”
       เอื้อยแตงและจำเรียงหันมาเหล่มองกันที่ต้องปิดเรื่องเสมาไว้เพราะไม่อยากให้พ่อไม่สบายใจ

       ยามสายที่วัดพุทไธสวรรย์ เหล่าทหารกำลังจับคู่กันฝึกซ้อมเพื่อเตรียมพร้อมจะไปศึก โดยมีเสมา และสมบุญคอยควบคุมฝึกปรืออยู่ สินนั่งหงุดหงิดอยู่ที่ใต้ต้นไม้ใกล้ๆ เสมาและสมบุญเหลือบตามองกัน ต่างรู้สึกไม่สบายใจที่ต้องอยู่ในสภาพอึดอัดแบบนี้ ทั้งคู่ตัดสินใจเดินเข้าไปหาสิน
       สินมองหน้าเสมา สมบุญแล้วหงุดหงิดจึงพาลใส่
       “มีกระไรจะมาลงโทษข้าที่ไม่ยอมคุมการฝึกปรือรึ”
       สมบุญอ่อนใจกับสิน
       “เอ็งก็รู้ว่าเป็นหน้าที่อยู่ แล้วเหตุใดไม่ทำเล่า”
       เสมารู้สึกผิดสุดๆ
       “หากเอ็งยังเคืองข้า ข้าก็ขอขมาเถิด เมื่อคืนข้าไม่รู้ตัวเลยจะให้ข้าสาบานที่ใดก็ได้”
       “ไม่รู้ตัวหรือฉวยโอกาสกันแน่ พี่ก็รู้ว่าข้ารักใคร่ขอบพอแม่เอื้อยแตงมานานนัก แล้วเหตุใดยังทำหักหาญน้ำใจกันถึงเพียงนั้นได้”
       สินพูดเสียงดังจนสมบุญตกใจรีบมองไปรอบๆแล้วรีบเตือน
       “อ้ายสิน ดังไปแล้ว”
       สินจ้องเสมาเขม็ง
       “จะกลัวกระไรวะ กล้าทำก็กล้ารับซี เสียแรง ที่ข้านับถือพี่ เป็นทั้งเพื่อนทั้งครู แล้วเหตุใดพี่ทุรยศหักหลังข้าเช่นนี้” สินผลักอกเสมา
       เสมาหน้าเครียด
       “เอ็งไม่เชื่อข้าก็ตามแต่ใจ แต่ข้าขอยืนยันว่าข้าคิดกับเอื้อยแตงเป็นเช่นน้องสาว แลไม่ได้หักหลังเอ็ง แต่หากเอ็งยังไม่พอใจจะชกหน้าข้าเช่นเมื่อคืนอีกก็ยังได้”
       สินจ้องหน้าเสมาเขม็ง กำหมัด ขบกรามแน่น แต่ในที่สุดก็ยอมเดินเลี่ยงไป เสมาก็กลุ้มใจสุดๆ ไม่รู้จะอธิบายให้สินเข้าใจได้อย่างไร
       ทหารคนหนึ่งขณะกำลังฝึกซ้อมอยู่ สายตาก็จับมาที่เสมา สิน และสมบุญอย่างไม่วางตาพร้อมเก็บรายละเอียดทุกอย่าง

       ขันกำลังคุยกับพุฒอยู่ด้วยสีหน้าพึงพอใจ ขณะที่ขันพูดดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น แต่ขันยิ้มเจ้าเล่ห์
       “จริงรึขุนวิเศษ อ้ายสินมันแตกคอกับอ้ายเสมาแล้วรึ”
       “ไม่ผิดดอก ฉันวางคนไว้เป็นทหารสังกัดอ้ายเสมา ก็เพื่อให้มันคอยสืบข่าวให้ฉัน เห็นว่าอ้ายสินโกรธที่อ้ายเสมาล่วงเกินนังเอื้อยแตง คงยากจักมองหน้ากันติดแล้ว”
       “อ้ายเจ้าชู้ขาลาย ฉันนึกแล้วเทียวว่า สักวันต้องเป็นเช่นนี้ แล้วเพลานี้อ้ายสินอยู่ที่ใดรึ”
       “ผีสุราเช่นมัน ก็คงสิงอยู่ที่ร้านเหล้านั่นหล่ะ ขุนณรงค์มีกระไรรึ” พุฒถามอย่างแปลกใจ
       “ในเมื่อเชื้อไฟมันปะทุแล้ว เหตุใดเราไม่โหมกระพือเสียหน่อยเล่าขุนวิเศษ”
       พุฒคิดตามแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์ คิดออกทันทีว่าขันต้องการอะไร ก่อนที่ทั้งคู่จะหัวเราะสอดประสานกันดังออกมา

       ในเวลาเย็น สินเดินกอดไหเหล้า เมาโซซัดโซเซมากลางตลาด เดินเห็นใครผ่านไปผ่านมาก็ตาขวางไปหมด ชาวบ้านไม่มีใครอยากเดินใกล้ต่างเดินเลี่ยงๆออกไปจนหมด
       ขณะนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงขันดังขึ้น
       “เมาเหล้าเพราะหญิงไม่รัก หรือเพราะแค้นที่โดนหักหลังกันเล่า”
       สินหันกลับไปจ้องหน้าขันและพุฒแบบเอาเรื่อง
       “อย่ามองเราเช่นนั้นซี พันทิพศักดิ์ ฉันสองคนมาดี”
       “เยี่ยงเอ็งสองคน มีดีด้วยหรือวะ”
       “ค่อยพูดค่อยจากันเถิด ฉันกับขุนณรงค์รู้เรื่องหมดแล้ว ที่มาก็เพราะเห็นใจคนหัวอกเดียวกัน” พุฒว่า
       “ข้าน่ะรึ หัวอกเดียวกับพวกเอ็ง”
       “แล้วไม่ใช่รึ ฉันกับแม่หญิงเรไรรักกันมาก่อน อ้ายเสมาก็มาแย่งไป เช่นเดียวกับพันทิพท่านที่ถูกอ้ายเสมาแย่งแม่เอื้อยแตงไปอย่างไรเล่า” ขันว่า
       สินขบกรามแน่น เพราะขันไปจี้ใจดำจนไฟแค้นคุขึ้นมาอีก ขันเดินเข้าไปโอบบ่าสิน
       “ฉันแค้นจนใคร่อยากฆ่าอ้ายเสมาเสีย ท่านไม่คิดเช่นเดียวกับฉันรึ”
       สินอึ้งไป แม้จะโกรธเสมาอยู่มาก แต่ก็ไม่เคยคิดถึงกับฆ่าแกงกัน
       “อย่ามัวยืนคุยเช่นนี้เลย พวกเราไปหาที่นั่งกินสุราคุยปรับทุกข์ใจกันเถิด” ขันตรงเข้าไปกอดคอสิน
       ขัน กับพุฒ พาสินที่เดินเมาๆจากไปกะยุงแยงให้สินแตกหักกับเสมาถึงขั้นฆ่ากันได้ยิ่งดี
       ขันและพุฒหันมายิ้มสะแหยะให้กัน

       เอื้อยแตงนั่งรอเสมาอยู่ที่หน้าบ้านตอนหัวค่ำ ชะเง้อคอยมองตลอดเวลา ขณะนั้นเอง สินก็เดินเมาเข้ามาหา เอื้อยแตงเห็นสินเมามากก็เข้าไปพยุง
       “นี่เมาถึงเพียงนี้เชียวรึอ้ายสิน”
       “แม่เอื้อยแตง นี่ฉันเมาจนหลงมาถึงเรือนแม่เชียวรึ”
       “อ้ายนี่ เมาจนไม่รู้ความ ใช่เรือนข้ากระไรเล่าที่นี่เป็นเรือนพี่เสมาต่างหาก”
       สินเมามากกระชากแขนเอื้อยแตง
       “แล้วแม่เอื้อยมาทำกระไรที่เรือนพี่เสมา นี่ถึงขั้นมาหากันถึงเรือนเชียวรึ”
       เอื้อยแตงผลักสินออก
       “เอ็งอย่ามาปากพล่อยอ้ายสิน ข้าไปมาที่เรือนนี้แต่เล็กแต่น้อย แลอีกไม่นานข้าก็จะย้ายมาอยู่ที่นี่แล้ว เอ็งต่างหาก กลับเรือนอ้ายสมบุญไปเสียที เมาเจียนไม่เป็นผู้เป็นคนเสียแล้ว”
       “ไล่ฉันกลับ เพื่อจะมีสุขกับพี่เสมาสองคนหล่ะซี ฉันรู้ดีว่า แม่เอื้อยวางแผนย้ายมาอยู่ที่เรือนนี้เพื่อจะเสนอตัวให้พี่เสมา ฉันไม่คิดเลยว่าแม่เอื้อยจะไร้ยางอายเพียงนี้”
       เอื้อยแตงแค้นสุดๆ ตบหน้าสินทันที เอื้อยแตงแค้นจนน้ำตาคลอ
       “อ้ายปากชั่ว เออ ข้าชอบพอพี่เสมา แต่พี่เสมาหาได้ชอบข้าไม่ แต่ข้าก็ไม่เคยคิดเสนอตัวให้ผู้ใดทั้งสิ้น ข้าเพียงแต่อยากอยู่ใกล้คนที่ข้ารักเท่านั้น หัวใจชั่วเช่นเอ็ง ไม่มีวันเข้าใจดอก”
       เอื้อยแตงเดินขึ้นเรือนไปด้วยความแค้นใจ สินได้แต่มองตามด้วยความเสียใจหายเมาเป็นปลิดทิ้ง ก่อนจะตบหน้าตัวเองซ้ำอีกหลายทีเป็นการลงโทษที่พูดจาไม่ดีทำให้เอื้อยแตงต้องเสียใจ

       วัดพุทไธสวรรย์ในยามเช้า เสมาสวมชุดทหารสะพายดาบคู่มือ และห่อผ้า เตรียมจะไปศึกละแวก
       แต่พอเดินออกมาจากวัด ก็เห็นดวงแขยืนรอตนอยู่ เสมาเดินเข้ามาหาดวงแขแล้วยิ้มทักทาย
       “มาทำบุญแต่เช้าเชียว แม่หญิงดวงแข”
       “ฉันไม่ได้มาทำบุญดอก แต่มาหาหลวงโจมต่างหาก”
       “มีกระไรรึแม่หญิง”
       ดวงแขหยิบถุงผ้าเล็กๆขึ้นมายื่นให้เสมา
       “ข้างในนี้ เป็นสร้อยพระของพ่อฉันช่วยคุ้มภัยในยามศึก ฉันอยากให้หลวงโจมติดตัวไว้”
       “ของมีค่าเช่นนี้ ฉันคงรับไว้ไม่ได้ดอก” เสมาพูดอย่างเกรงใจ
       ดวงแขน้อยใจ ตัดใจเผยความในอย่างที่ตั้งใจ
       “หรือหลวงโจมยังไม่รู้ว่าฉันคิดกับหลวงโจมเช่นใด”
       เสมาชะงักไปมองหน้าดวงแข เห็นดวงแขพูดทั้งน้ำตาคลอด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ
       “หากหลวงโจมไม่รับไว้ ฉันจะได้รู้ว่าท่านรังเกียจฉัน”
       “หามิได้แม่หญิง ไหนเลยเสมาจักกล้ารังเกียจแม่หญิงเล่า”
       เสมารับถุงผ้ามา ดวงแขยิ้มดีใจ
       “ฉันขอบน้ำใจแม่หญิงนัก แลจักเก็บสร้อยพระนี้ไว้เป็นมงคลแก่ตัวไม่ให้ห่างกายเลยเทียว แต่อย่างไรเสีย ข้าพระเจ้าก็เป็นแค่ช่างตีเหล็กต่ำสกุลหาคู่ควรกับแม่หญิงไม่”
       “ฉันไม่ใช่แม่เรไร แลแม่ฉันก็ไม่ได้ถือยศถือศักดิ์เช่นนั้น ขอแต่เพียงออกหลวงดีกับฉันบ้าง ฉันก็พึงพอใจนักแล้ว”
ดวงแขหลบสายตาไปด้วยความขวยเขิน เสมาหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาเพราะเรื่องเรไรก็ยังตัดใจไม่ได้ แถมมีเรื่องดวงแขเข้ามาให้หนักใจอีก

จบตอนที่ ๙
สมเด็จพระนเรศวรได้ทรงจัดทัพถึงหนึ่งแสน โดยให้พระราชมนูคุมไพร่พลห้าพันเป็นทัพหน้า บุกเข้าตีเมืองละแวก เมื่อพระยาละแวกทราบข่าว ก็ได้ส่งกองทัพหนึ่งหมื่นมารักษาเมืองโพธิสัตว์และส่งกองทัพอีกหนึ่งหมื่นห้าพันไปรักษาเมืองปัตบอง ซึ่งทั้งสองเมืองล้วนเป็นเมืองสำคัญ ก่อนเข้าสู่เมืองหลวงของละแวก

       บรรยากาศในค่ายทหารของพระราชมนูตอนกลางคืน ทหารบางคนก็เดินเวรยาม บางคนก็นอน
       บางคนก็จับกลุ่มคุยกัน ฝ่ายสินกำลังนั่งลับมีดอยู่คนเดียวด้วยสีหน้าบึ้งตึง ไม่พูดไม่จากับใคร สมบุญเดินเข้ามาหาสินพร้อมไก่ย่างหอมฉุย สมบุญยื่นไก่ให้สิน
       “ข้าไปลาดตระเวนได้ไก่ป่ามากินเสียซี”
       “ข้าอยากกินเหล้าเอ็งมีหรือไม่เล่า”
       “เอ็งก็รู้ว่า ยามศึกห้ามกินเหล้าเป็นอันขาด ถามเช่นนี้เพราะเอ็งจะประชดรึ”
       สินหน้าหงิกหันไปลับมีดต่อ
       “เอ็งรู้หรือไม่ ว่าตั้งแต่เกิดเรื่องแม่เอื้อยแตงก็ไม่มีผู้ใดเป็นสุขเลย เมื่อใดเอ็งจะหายโกรธเคืองพี่เสมาเสียทีวะ”
       “แล้วหากข้าล่วงเกินแม่จำเรียงบ้าง เอ็งจะหายเคืองข้าหรือไม่เล่า” สินถามย้อน
       “แต่แม่เอื้อยแตงหามีใจให้เอ็งไม่ แล้วมันคุ้มกันหรือวะ ที่เอ็งจะเคืองแค้น คนที่เอ็งนับถือเป็นเพื่อนเป็นพี่แลร่วมเป็นร่วมตายกันมาเพื่อหญิงที่ไม่เคยรักเอ็งเลย”
       “เอ็งก็ต้องเข้าข้างพี่เสมาอยู่แล้วก็เอ็งหวังในตัวน้องสาวเค้าไม่ใช่รึ จำไว้นะ อ้ายสมบุญที่ข้าเจ็บก็เพราะข้ารักนับถือพี่เสมาดอก แต่ต่อไปจะไม่มีอีกแล้ว เพราะเสร็จศึกละแวกเมื่อใด ข้าจะขอย้ายกรมกองสังกัด จะได้ไม่ต้องเห็นหน้าคนทุรยศเช่นนี้อีก”
       สินเดินหงุดหงิดเลี่ยงไป สมบุญได้แต่มองตามด้วยความอ่อนใจ เสมายืนแอบมองอยู่ด้วยความกลุ้มใจมาก ผิดหวังในความรักซ้ำต้องผิดใจกับสินที่ตนรักเหมือนเพื่อนเหมือนน้องอีก

       สมบุญเดินเข้ากระโจมมา พอเข้ามาก็เห็นเสมาแต่งตัวสะพายดาบเพื่อจะไปอยู่เวรต่อ
       “ตื่นแล้วรึพี่ เหตุใดตื่นเร็วนักเล่ายังไม่ถึงเวรพี่เลยไม่ใช่รึ”
       “ข้ายังไม่ได้นอนต่างหาก แล้วก็คงนอนไม่หลับแล้วด้วย เอ็งไปนอนเถิด ข้าอยู่เวรแทนเอง”
       “พี่ทุกข์เรื่องอ้ายสินรึ”
       “มันเป็นเสมือนน้องชายข้าอีกคน ไม่ควรผิดใจกันเลย ยิ่งคิดข้าก็ยิ่งชั่วนัก”
       “ก็พี่เมา แลไม่ได้ล่วงเกินร้ายกาจอันใด อย่าโทษตัวเองถึงเพียงนี้เลย”
       “เช่นนั้นข้าก็ไม่ควรอยู่ดี นอกจากเรื่องอ้ายสิน ข้ายังทุกข์อีกสองเรื่อง”
       “เรื่องแม่หญิงเรไรฉันพอรู้อยู่ แล้วอีกเรื่องเล่า”
       เสมาสีหน้าหนักใจสุดๆ
       “แม่หญิงดวงแข แจ้งเป็นนัยว่าชอบข้า ใช่ข้าจักถือสาเรื่องอ้ายขันดอกนะ แต่ใจข้ายังคงยึดมั่นกับแม่หญิงเรไร หากรับรับไปก็เหมือนมุสาหลอกลวงแม่หญิงดวงแข ข้าจึงหนักใจนัก”
       “แม่หญิงเรไรตัดขาดพี่แล้ว พี่จักปักใจให้ทุกข์ไปเพื่อกระไร หากพี่ไม่ถือสาที่แม่หญิงดวงแขเป็นน้องอ้ายขัน ก็รับรักไปเถิด ครานี้อ้ายขันคงแค้นแทบกระอักเลือดเป็นแน่”
       “เอ็งหาเข้าใจไม่ รักที่ข้ามีให้แม่หญิงเรไร ก็เหมือนน้ำค้างยามเช้า แม้สายจะเหือดแห้งไป แต่เช้าวันใหม่ก็จะกลับมีขึ้นมาอีกหาจบสิ้นไม่ แม้ตาย ข้าก็คงไม่อาจตัดรักนี้ได้ดอก”
       เสมาสีหน้าซึมเศร้า ก่อนเดินเลี่ยงออกไป สมบุญมองตามเสมาออกไปพร้อมถอนใจออกมาด้วยความรู้สึกสงสารเห็นใจ

       ภายในกระโจม พระราชมนูกำลังดูแผนที่ด้วยสีหน้าครุ่นคิดโดยมีเสมา สิน สมบุญ และทหารคนอื่นอีกห้าหกคนร่วมประชุมกันอยู่
       “ศึกครานี้ กำลังเราเหนือกว่าละแวกมากนัก ขอเพียงตีเมืองปัตบองแลโพธิสัตว์แตก ละแวกหนีไม่พ้นมือเราแน่ สำคัญที่เสบียงด้วยเป็นหนทางไกล ลำเลียงเสบียงไม่สะดวก ไม่อาจรบยืดเยื้อ เราจึงต้องเผด็จศึกให้เร็วที่สุด” พระราชมนูว่า
       “ท่านแม่ทัพขอรับ ข้าพระเจ้าขอเป็นกองหน้าออกหยั่งเชิงข้าศึก หากได้ทีท่านแม่ทัพก็ยกทัพหนุนเข้าไป ก่อนที่ทัพหลวงของพระพุทธเจ้าอยู่หัวจะมาถึงเราอาจตีได้สักเมือง” เสมาพูดขึ้น
       “ออกหลวงพูดต้องใจเรานัก พันเทพศักดิ์ พันทิพศักดิ์ เจ้าทั้งสองจงไปช่วยหลวงโจมจัตุรงค์รบเถิด”
       สินกับสมบุญยกมือไหว้ขึ้นพร้อมกัน
       “ขอรับท่านแม่ทัพ”
       สินเหล่มองไปยังเสมา แม้จะไม่ค่อยพอใจแต่เป็นคำสั่งก็ต้องทำตาม
       “ฝีมือออกหลวง ฉันเห็นมาหลายคราแต่ครั้งยังเป็นนายหมู่ แต่ศึกครานี้ต่างจากทุกคราว ด้วยเราเป็นฝ่ายบุกตี ไม่ชำนาญชัยภูมิ หลวงโจมพ่อจักทำการใด ขอจงอย่าดูเบาแก่ข้าศึกเป็นอันขาด”
       “ขอรับ ท่านแม่ทัพ”

       ในป่า เสมา สินและสมบุญขี่ม้านำกองทหารเดินทัพมา เสมามีท่าทางใจลอยดูเหม่อๆตลอดเวลา สมบุญมองไปรอบๆอย่างระแวง
       “ชัยภูมิแถบนี้คับขันนัก หากซุ่มทัพไว้คงยากที่เราจะดูออก ถ้าอย่างไรส่งทหารออกไปสืบดูก่อนดีหรือไม่พี่เสมา”
       เสมาเหม่อลอย มัวแต่คิดเรื่องที่เกิดขึ้นจนไม่ได้ยินที่สมบุญพูด
       “พี่เสมา” สมบุญรียกดังขึ้น
       เสมาเพิ่งรู้สึกตัว
       “มีกระไรรึ”
       “ฉันถามว่า เราจะส่งทหารออกไปสืบดูโดยรอบดีหรือไม่”
       เสมากำลังใช้ความคิด ทันใดนั้น ทหารละแวกกลุ่มหนึ่งก็ส่งเสียงโห่ร้องยกพวกบุกเข้าตีกองทัพเสมาทันที เสมาชักดาบออก สั่งเสียงดังลั่น
       “ทัพละแวกบุกแล้วโจมตีกลับไป”
       สินร้องลั่นแล้วขี่ม้าควงทวน คุมทหารออกไล่ตีทหารละแวกทันที แต่รบกันได้นิดเดียวทัพละแวกก็ถอยหนีทันที จนสมบุญแปลกใจ
       “เหตุใดถอยหนีง่ายดายนัก”
       เสมาตะโกนสั่ง
       “อ้ายข้าศึกหนีแล้ว ตามตีพวกมัน”
       เสมาขี่ม้านำเหล่าทหารออกไปพร้อมกับสิน
       “ประเดี๋ยวพี่เสมา...”
       สมบุญจะห้ามก็ไม่ทัน เสมาและสินนำทหารตามไล่ตีไปแล้ว สมบุญจึงจำใจต้องตามไปด้วย

       เสมา สิน และสมบุญนำทหารไทย บุกไล่ตีทหารละแวก ฝ่ายทหารละแวกหนีตายกันอย่างไม่คิดชีวิต ทหารไทยกำลังได้ใจ รุกคืบหน้าอย่างฮึกเหิม แต่ทันใดนั้น ก็มีทหารละแวกอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งซุ่มอยู่ในป่าโผล่ออกมายิงปืนใส่ทหารไทยทันที ทหารไทยโดนปืนยิงใส่โดยไม่ทันตั้งตัว ล้มตายเป็นใบไม้ร่วง เสมาตกใจ ตะโกนสั่ง “อุบายข้าศึก รีบถอยเร็ว”
       ขาดคำ ทหารละแวกคนหนึ่งก็ยิงปืนใส่เสมาจนเสมาตกจากหลังม้า พวกทหารละแวกเห็นแม่ทัพฝ่ายไทยถูกยิงตกม้าก็ได้ใจ โห่ร้องเสียงดังบุกเข้าตีทหารไทยทันที สินตะโกนลั่น
       “อย่ากลัวพวกมัน ค่อยๆถอย อย่าแตกตื่น”
       สินและสมบุญคุมทหารบุกเข้าสู้กับทัพละแวกอย่างดุเดือด
       เสมาเลือดออกที่หัวไหล่ แต่ก็พยายามยันกายลุกขึ้น ทันใดนั้นเองก็มีทหารไทยคนหนึ่งถูกฟันตายคาที่ ล้มลงต่อหน้า เสมาเห็นลูกน้องตัวเองตายกับตาก็ร้องลั่น ควงดาบออกไล่ต่อสู้ด้วยความแค้น เพราะรู้สึกผิดอยู่ในใจว่า เป็นความผิดของตัวเอง
       เสมา สิน และสมบุญ คุมทหารไทยสู้กับทหารละแวกที่มีจำนวนมากกว่าเยอะ ตะลุมบอนกันอย่างดุเดือด จนไม่รู้ใครเป็นใคร

       ผ่านเวลาการสู้รบมาสักพักหนึ่ง เสมาคุกเข่าใช้ดาบยันพื้นอย่างเหนื่อยหอบอยู่ริมลำธาร ทั้งตัวเต็มไปด้วยเลือด ทั้งเลือดตัวเองและเลือดข้าศึกเต็มไปหมด
       สินกำลังดื่มน้ำในลำธารแก้กระหายอยู่ สภาพสินก็โทรมไม่ต่างจากเสมาเลย สินมองไปรอบๆ
       “ไม่รู้อ้ายสมบุญตีฝ่าออกไปได้หรือไม่ ตั้งแต่ทำศึกมาไม่เคยพ่ายแพ้ยับเยินถึงเพียงนี้เลย”
       สินเหล่มองเสมาด้วยสายตากล่าวโทษจนเสมาพูดไม่ออก
       “เพราะข้าเอง ข้าทำศึกโดยประมาท จึงพาพี่น้องเราไปล้มตายมากมายพึงเพียงนี้ มิรู้ว่าป่านฉะนี้ ทัพของท่านแม่ทัพพระราชมนู จักเป็นเช่นใดบ้าง” เสมาพูดแล้วก็ใช้ดาบยันตัวลุกขึ้น แต่เจ็บแผลที่โดนปืนยิงจนทรุดลงอีก
       “โอ๊ย”
       สินเห็นสภาพเสมาก็เบะปากสมน้ำหน้า
       ขณะนั้นเอง สินก็ฉุกคิดถึงคำพูดขันขึ้นมาได้ ...
       “ข้าน่ะรึ หัวอกเดียวกับพวกเอ็ง” สินว่า
       “แล้วไม่ใช่รึ ฉันกับแม่หญิงเรไรรักกันมาก่อน อ้ายเสมาก็มาแย่งไปเช่นเดียวกับพันทิพท่าน ที่ถูกอ้ายเสมาแย่งแม่เอื้อยแตงไปอย่างไรเล่า” ขันบอก
       สินขบกรามแน่น เพราะขันจี้ใจดำจนจุดไฟแค้นคุขึ้นมาอีก ขันเดินเข้าไปโอบบ่าสิน
       “ฉันแค้นจนใคร่อยากฆ่าอ้ายเสมาเสีย ท่านไม่คิดเช่นเดียวกับฉันรึ”
       สินอึ้งไป แม้สินจะโกรธเสมาสุดๆ แต่ไม่คิดจะฆ่าแกงกันให้ถึงตาย
       …...........................

       “ไล่ฉันกลับ เพื่อจะมีสุขกับพี่เสมาสองคนหล่ะซี ฉันรู้ดี ว่าแม่เอื้อยวางแผนย้ายมาอยู่ที่เรือนนี้ เพื่อจะเสนอตัวให้พี่เสมา ฉันไม่คิดเลยว่าแม่เอื้อยจะไร้ยางอายเพียงนี้” สินพูดขึ้น เอื้อยแตงแค้นสุดๆ ตบหน้าสินทันที
       เอื้อยแตงแค้นจนน้ำตาคลอ
       “อ้ายปากชั่ว เออ ข้าชอบพอพี่เสมา แต่พี่เสมาหาได้ชอบข้าไม่แต่ข้าก็ไม่เคยคิดเสนอตัวให้ผู้ใดทั้งสิ้น ข้าเพียงแต่อยากอยู่ใกล้คนที่ข้ารักเท่านั้น หัวใจชั่วเช่นเอ็งไม่มีวันเข้าใจดอก” เอื้อยแตงน้ำตาไหลซึมออกมา

       สินหันไปมองเสมาตาเขม็ง ในมือจับทวนแน่นด้วยความแค้นใจเสมาสุดๆที่มาแย่งเอื้อยแตงไปจนอยากจะลอบฆ่าเสมา เพราะเป็นช่วงจังหวะและโอกาสที่ดีที่สุดที่สินสามารถทำได้อย่างง่ายดาย
       ขณะที่กำลังจะลงมือ เสียงสมบุญที่พูดเตือนสติสินดังก้องเข้ามา
       “ แต่แม่เอื้อยแตงหามีใจให้เอ็งไม่ แล้วมันคุ้มกันหรือวะ ที่เอ็งจะเคืองแค้น คนที่เอ็งนับถือเป็นเพื่อนเป็นพี่แลร่วมเป็นร่วมตายกันมา เพื่อหญิงที่ไม่เคยรักเอ็งเลย”
       สินหน้าเสียไปทันที เมื่อนึกถึงความดีของเสมาที่ร่วมฝ่าฟันร่วมเป็นร่วมตายกันมาก็ตัดใจทำร้ายเสมาไม่ลง สินยิ่งคิดก็ยิ่งสับสนหนัก ไม่รู้จะทำยังไงดี
       “อ้ายสิน” เสมาเรียกขึ้น
       สินตกใจ อึกอักกับความคิดที่กำลังสับสนอยู่
       “จ้ะ พี่...พี่เสมามีกระไรรึ” สินถาม
       “เรื่องที่ข้าทำให้เอ็งเสียน้ำใจ ขอเอ็งจงอโหสิกรรมให้ข้าด้วยเถิด ต่อจากนี้ หากมีกระไรเกิดขึ้นกับพ่อแลน้องข้า ถ้าเอ็งช่วยได้ ก็ขอให้เอ็งเมตตาช่วยนึกว่าเอาบุญเถิด”
       “เหตุใดพี่พูดเช่นนี้เล่า พี่พูดเหมือน...” สินถามอย่างแปลกใจ
       สินพูดไม่ทันจบก็ตกใจสุดๆเมื่อเสมาเงื้อดาบจะแทงท้องตัวเองแต่สินใช้ทวนปัดดาบของเสมากระเด็นไปเลยรอดหวุดหวิด สินโวยลั่น
       “พี่ทำเช่นนี้ได้กระไร บ้าไปแล้วรึ”
       เสมามองสินด้วยน้ำตาคลอเบ้า
       “ให้ข้าทำเถิดอ้ายสิน ข้ามันชั่วนักทำให้ทัพชัยขององค์พระเจ้าอยู่หัวต้องพ่ายศึก มีทหารศึกล้มตายมากมายอยู่ไปก็ไม่มีหน้าไปสู้ผู้ใดแล้ว”
       “แต่พี่ต้องอยู่ พี่รู้หรือไม่ว่าฉันรักนับถือพี่เพียงใด พี่ไม่เพียงแต่มีฝีมือสูงอย่างที่ฉันไม่เคยพบในผู้ใดมาก่อน พี่ยังมีน้ำใจต่อฉันนัก แม้พี่จะผิดเรื่องแม่เอื้อยจนฉันแค้นพี่เหลือ แต่หากให้เลือกฉันก็ยอมเสียแม่เอื้อยแตงดีกว่าให้พี่ตาย”
       สินน้ำตาคลอซึ้งใจ
       “อ้ายสิน”
       สินเองก็น้ำตาคลอ
       “ฉันพูดไม่เก่งอย่างอ้ายสมบุญ แต่หากพี่ยังนับฉันเป็นน้อง เราก็กลับด้วยกันเถิด มิว่าจะได้โทษใดเราก็จะช่วยเหลือกัน”
       เสมาพยักหน้ารับซึ้งใจในน้ำใจสินจนยอมแบกหน้ากลับไปรับโทษ เสมายื่นมือมาไปตบบ่าสินแรงๆ เป็นการขอบใจและซึ้งใจ สินยิ้มรับให้เสมาทั้งน้ำตาคลอ

       สมเด็จพระนเรศวรกำลังพิโรธใส่พระราชมนู และเสมา ที่นั่งคุกเข่าอยู่กับพื้น ในขณะที่สมเด็จพระเอกาทศรถ ประทับนั่งอยู่ใกล้ๆ
       “ทัพอโยธยามีมากกว่าทัพละแวกมากนัก แต่เอ็งยังแพ้ให้เสียปฐมฤกษ์ได้ สมควรที่จะบั่นคอหรือไม่ อ้ายราชมนู”
       พระราชมนูถวายบังคมแล้วทูลว่า
       “ข้าพระพุทธเจ้าเคยลั่นวาจาไว้ ว่าหากแพ้ก็ให้ประหาร บัดนี้ทัพของข้าพระพุทธเจ้าแตกพ่ายกลับมา ขอให้พระองค์ทรงลงอาญาเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างสืบไปเถิดพระพุทธเจ้าข้า”
       เสมาถวายบังคมแล้วทูลว่า
       “การนี้เป็นเพราะข้าพระพุทธเจ้าทำศึกโดยประมาท ดูเบาข้าศึกหาเกี่ยวกับท่านพระราชมนูไม่ ขอพระองค์จงทรงลงโทษข้าพระพุทธเจ้าแต่เพียงผู้เดียวเถิดพระพุทธเจ้าข้า”
       “เอ็งเป็นรองแม่ทัพ ส่วนอ้ายราชมนูเป็นแม่ทัพแตกพ่ายกลับมาก็ต้องรับโทษเสมอกัน”
       สมเด็จพระนเรศวรหันไปมีรับสั่งกับทหาร
       “ทหารเอาอ้ายสองคนนี่ไปตัดหัว”
       สินและสมบุญตกใจสุดๆตั้งท่าจะขอร้อง แต่สมเด็จพระเอกาทศรถทรงตรัสขึ้นก่อน
       “ช้าก่อน เพลานี้เป็นยามศึก ตามธรรมเนียมไม่ควรลงโทษนายทหารผู้ใหญ่ถึงประหาร เพราะจะเสียน้ำใจแก่ไพร่พล รอเสร็จศึกก่อนแล้วค่อยพิจารณาโทษเถิดพระพุทธเจ้าข้า”
       ในพระทัยของสมเด็จพระนเรศวร ไม่อยากทำ แต่เนื่องด้วยกฎต้องเป็นกฎ เมื่อสมเด็จพระเอกาทศรถทูลทัดทานจึงรีบรับคำโดยทันที
       “ก็ได้ ถ้าเช่นนั้น ก็จำมันสองไว้ก่อน”
       เสมากับพระราชมนูถวายบังคมขึ้นพร้อมกัน
       “เป็นพระมหากรุณาธิคุณพระพุทธเจ้าข้า”
       สินและสมบุญยิ้มดีใจ ที่เสมารอดไปได้อีกเฮือก
       “ละแวกชำนะศึกครานี้ คงฮึกเหิมนัก ขอสมเด็จพี่จงนำทัพหลวงออกศึกด้วยพระองค์เองเถิดพระพุทธเจ้า จักได้เรียกขวัญทหารให้กลับมาดังเดิม”
       “มีพระบรมราชโองการลงไป จงยกทัพทั้งหมดบุกเข้าตีเมืองปัตบองแลโพธิสัตว์ บัดเดี๋ยวนี้”

       สมเด็จพระนเรศวร ได้ทรงยกทัพหลวงบุกเข้าตีเมืองปัตบองและเมืองโพธิสัตว์แตกได้อย่างง่ายดาย จากนั้นได้ทรงยกทัพบุกเข้าตีเมืองละแวกต่อ แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อเมืองละแวกสามารถรบพุ่งป้องกันได้อย่างเข้มแข็ง จนล้อมอยู่ถึงสามเดือนเศษ ก็ไม่สามารถตีให้แตกได้ ทำให้เกิดการขาดเสบียงอาหารขึ้น จนต้องยกทัพกลับในที่สุด

       สามสี่เดือนต่อมา เวลาเย็น ภายในตำหนักในวัง เรไร ศรีเมืองและข้าหลวงคนอื่นๆกำลังช่วยกันแกะสลักผักผลไม้อยู่ แล้วบัวเผื่อนก็เดินหน้าตาตื่นเข้ามาหาเรไรและศรีเมือง
       “แม่เรไรๆ เหล่าทหารที่ไปศึกละแวกกลับมาแล้ว”
       เรไรชักสีหน้าเบื่อๆ เพราะคิดว่าบัวเผื่อนคงจะล้อเล่นเรื่องเสมาให้เป็นที่สาแก่ใจอีก
       “แล้วแปลกตรงที่ใดรึ ทหารออกรบเสร็จศึกก็ต้องกลับ แม่บัวเผื่อนทำราวกับมีเหตุสำคัญหนักหนา”
       “พูดเช่นนี้รึ ฉันตั้งใจจะมาบอกเรื่องหลวงโจมจัตุรงค์ เช่นนั้นก็อย่าได้รู้เลย” บัวเผื่อนพูดพลางทิ้งค้อน
       “ไม่รู้สิดี ฉันเกลียดเหมือนจะตาย รู้ไปก็รังแต่จะอัปมงคลเสียเท่านั้น”
       ศรีเมืองยิ้มดีใจ
       “แต่ฉันอยากรู้จ้ะ พี่เสมาเป็นกระไรบ้าง ครานี้ทำความดีความชอบได้เลื่อนเป็นถึงคุณพระหรือหาไม่”
       บัวเผื่อนยิ้มๆแล้วบอก
       “อย่าหวังถึงคุณพระเลย รักษาคอบนบ่าให้ได้เสียก่อนเถิด”
       เรไร และศรีเมืองตกใจกับคำพูดของบัวเผื่อน
       “เหตุใดพูดเช่นนี้เล่า แม่หญิงบัวเผื่อน” ศรีเมืองถามด้วยความตกใจ
       “ก็ฉันพูดจริง หลวงโจมจัตุรงค์ทำศึกแพ้เพราะประมาทแก่ข้าศึก เพลานี้ถูกจำอยู่ในคุกหลวง อีกไม่กี่วัน คงถูกประหารเป็นแน่”
       ศรีเมืองตกใจจนหน้าซีดจนพูดอะไรไม่ออก เรไรตกใจมากไม่แพ้กันที่รู้ว่าเสมาต้องโทษประหาร

       ในเวลากลางคืน ภายในคุกหลวง พระราชมนูที่ต้องโทษ นั่งรออยู่ก่อนแล้ว พักครู่เดียว ตำรวจก็เปิดประตูคุกให้เสมาเดินเข้าไป ก่อนจะปิดประตูลงแล้วล่ามโซ่ขังไว้ พระราชมนูเห็นเสมาก็เบือนหน้าหนีด้วยความโกรธที่ทำให้ต้องโทษประหาร เสมากข่าลงกราบพระราชมนูที่นั่งอยู่ พระราชมนูแปลกใจ
       “เจ้าทำกระไรกันหลวงโจม”
       “ข้าพระเจ้ากราบขอขมาพระคุณ ที่เป็นเหตุให้พระคุณต้องโทษประหารไปกับข้าพระเจ้าด้วย ข้าพระเจ้าไม่หวังให้พระคุณอภัยให้ดอก เพราะผิดนี้หนักหนานัก แต่ข้าพระเจ้าก็อยากกราบขมาเพื่อแสดงการสำนึกผิดขอรับ”
       พระราชมนูอึ้งไปครู่ เห็นเสมาสำนึกผิดจากใจจริง
       “เมื่อเจ้าสำนึกผิดแล้วก็ช่างมันเถิด เกิดเป็นทหารยอมพร้อมตายทุกเมื่อ อีกไม่กี่วันเจ้ากับข้าก็ต้องเป็นเพื่อนร่วมตายกันแล้ว จะโกรธกันไปไย”
       เสมาไหว้แล้วยิ้มรับบางๆ
       “ขอบพระคุณขอรับพระคุณ”
       พระราชมนูได้แต่ถอดถอนใจยาวออกมาอย่างทำใจ

       ภายในวัง สมเด็จพระนเรศวรกำลังสั่งงานขุนรามเดชะกับพันอิน
       “อโยธยากรำศึกมานาน ข้าอยากให้อาณาประชาราษฎร์ได้พักผ่อนบ้าง ปีนี้เรียกเกณฑ์น้อยลงกึ่งหนึ่งเถิด หากรายจ่ายส่วนใดไม่พอก็ให้มาเอาที่ข้า”
       ขุนรามเดชะถวายบังคม
       “เป็นพระมหากรุณาธิคุณพระพุทธเจ้าข้า”
       “ขุนพิมานมงคล งานประเพณีปีนี้ เจ้าจงคอยควบคุมจัดให้เป็นงานใหญ่ทุกงาน ข้าอยากให้พวกชาวบ้านรื่นเริงกันได้เต็มที่”
       พันอินยิ้มแย้มแล้วถวายบังคม
       “รับด้วยเกล้าพระพุทธเจ้าข้า”
       ขณะนั้นเอง สมเด็จพระเอกาทศรถก็เดินเข้ามาหาสมเด็จพระนเรศวร
       “สมเด็จพี่”
       สมเด็จพระนเรศวรผินพระพักตร์ไปนังสมเด็จพระเอกาทศรถก็เดาใจออก
       “น้องคงมาพูดเรื่องเจ้าราชมนูกับเจ้าโจมจัตุรงค์กระมัง”
       ขุนรามเดชะและพันอินหันไปสบตากัน เมื่อรู้ว่าทั้งสองพระองค์จะพูดเรื่องเสมา
       “พระราชมนูกับหลวงโจมจัตุรงค์มีฝีมือกล้าแข็ง พระพุทธเจ้าเสียดายนักหากต้องประหาร อีกทั้งการสงครามมีแพ้แลชำนะ หากพ่ายแพ้แล้วต้องประหารเสียหมดต่อไปผู้ใดจะอาสาทำศึกเล่าพระพุทธเจ้าข้า”
       “พี่กับเจ้าราชมนู ร่วมเป็นร่วมตายกันมานานนัก พี่ไม่เสียใจกว่าน้องรึ แต่เหตุที่ต้องประหารเพราะเจ้าราชมนูมันลั่นวาจาไว้ แลธรรมเนียมการทำศึก หากสู้สุดฝีมือแล้วยังแพ้ก็หามีผู้ตำหนิไม่ แต่นี่กลับแพ้เพราะประมาท หากพี่ละไว้ต่อไปจะบังคับบัญชาผู้ใดได้”
       สมเด็จพระเอกาทศรถทรงยอมรับว่าที่สมเด็จพระนเรศวรตรัสถูกทั้งหมด
       “พี่ได้ฤกษ์ประหารแล้วเป็นวันมะรืน อย่างไรเสีย ก็คงไม่ทันแล้ว”
       ขุนรามเดชะ และพันอินต่างมีสีหน้าตกใจ เมื่อรู้ว่าเสมาจะตายวันมะรืนนี้แล้ว

       ขันกับพุฒกำลังคุยกับขุนรามเดชะและพันอินที่โถงบ้านขัน ฝ่ายขันกำลังสะใจสุดๆ กับข่าวประหารเสมา
       “จริงรึขอรับท่านอา วันมะรืนนี้ข้าพระเจ้าก็ไม่ต้องเห็นหน้าอ้ายเสมาอีกแล้วหรือขอรับ”
       พันอินได้ยินดังนั้นก็ไม่พอใจ
       “เหตุใดพูดเช่นนั้น ยามที่พวกเราต้องโทษประหาร เสมาก็ดีกับพวกเรานัก หาได้เย้ยหยันกระไรไม่ แต่ขุนณรงค์กลับพูดเหมือนสมน้ำมะหน้ากระนั้น”
       พุฒยิ้มเยาะแล้วว่า
       “ท่านลุงขุนพิมาน คงยังมีเยื่อใยกับบุตรบุญธรรมอยู่กระมัง เลยลืมไปเสียแล้วว่า อ้ายเสมามันหยามกระไรไว้บ้างจนท่านลุงต้องส่งแม่ศรีเมืองเข้าวังไงเล่า”
       พันอินไม่พอใจ ถลึงตาจะเอาเรื่องพุฒ
       “พอเถิดๆ อย่ามาทะเลาะเบาะแว้งกันเองเลย ที่ฉันมาแจ้งข่าว ก็เพื่อที่ขุนณรงค์กับขุนวิเศษจักได้ไปขออโหสิกรรมกับเสมาเสียเท่านั้น” ขุนรามเดชะรีบพูดตัดบท
       “อโหสิหรือขอรับ ข้าพระเจ้าไม่มีวันขออโหสิอ้ายเสมาเป็นอันขาด หากทำได้อยากจะฟันคอมันด้วยมือข้าพระเจ้าเสียด้วยซ้ำ”
       ขาดคำทันใดนั้น ทุกคนก็ได้ยินเหมือนเสียงคนล้มลงกับพื้น เมื่อเข้าไปดูก็พบว่า ดวงแขเป็นลมล้มลงอยู่ที่มุมหนึ่งของบ้าน
       “แม่ดวงแข” ขันเรียก
       พุฒยิ้มสะใจที่เห็นดวงแขเป็นลมเพราะได้ยินข่าวเสมาถูกประหาร

       ภายในบ้าน จำเรียงกอดมั่นร้องไห้ เช่นเดียวกับเอื้อยแตงที่นั่งร้องไห้อยู่ที่มุมห้องโดยที่มีสินและสมบุญ นั่งหน้าเครียดอยู่ใกล้ๆ
       “หากพี่เสมาตาย แล้วต่อไปฉันกับพ่อจะอยู่กับใครเล่า คงไม่มีผู้ใดรักฉันกับพ่อเหมือนพี่เสมาอีกแล้ว” จำเรียงว่า
       มั่นน้ำตาคลอ ลูบหัวจำเรียงด้วยความสงสารพลางปลอบ
       “พี่เอ็งทำบุญมาเท่านี้ จึงบันดาลให้ทำศึกโดยประมาทจนต้องโทษ ทุกอย่างเป็นไปตามกรรม เอ็งอย่าเสียใจเลยจำเรียง”
       สมบุญหน้าเศร้าๆแล้วบอก
       “ก่อนศึกครานี้ พี่เสมามีเรื่องกลัดกลุ้มมากนัก คงเป็นเพราะเหตุนี้ เลยขาดความระวังจนต้องแตกพ่าย”
       สินกับเอื้อยแตงเหล่มองกันรู้สึกผิดที่เป็นสาเหตุหนึ่งให้เสมาต้องรับโทษ แต้มถอนใจแล้วพึมพำว่า
       “แต่บุญข้ายังมีที่ไม่ได้ยกนังเอื้อยแตงให้อ้ายเสมามิเช่นนั้น ลูกข้าคงเป็นหม้ายไปเสียแล้ว”
       เอื้อยแตงโมโหขึ้นทันที
       “พ่อ เหตุใดพ่อพูดเช่นนั้นเล่า”
       “ก็ข้าพูดจริง นึกว่าจะพึ่งพาอ้ายเสมาเสียหน่อย ที่ไหนได้”
       แต้มเดินหงุดหงิดออกจากเรือนไป อื้อยแตงมองตามด้วยความไม่พอใจที่มีพ่อเห็นแก่ตัว สินขบกรามแน่น สายตามุ่งมั่นเอาจริงแล้วบอก
       “ถึงอย่างไร ฉันก็ต้องช่วยพี่เสมาให้จงได้ต่อให้ต้องบุกปล้นลานประหาร ฉันก็จะทำ”





Create Date : 22 พฤษภาคม 2555
Last Update : 22 พฤษภาคม 2555 12:22:01 น. 0 comments
Counter : 1260 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

atitaya_t
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




สวัสดีค่ะ ขอร่วม gang ด้วยคนค่ะ
Friends' blogs
[Add atitaya_t's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.