เก็บความทรงจำ..(^_^)..ความสนใจ โลกส่วนตัว ที่เราสร้างเอง
Group Blog
 
 
พฤษภาคม 2555
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
28 พฤษภาคม 2555
 
All Blogs
 
ขุนศึก ตอนที่ 14-1


ขุนศึก ตอนที่ ๑๔

อำพันกำลังปลอบโยนดวงแขที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ในห้องนอนเมื่อตอนหัวค่ำจนอำพันนึกสงสาร

       “แต่เมื่อบ่ายแล้ว ยังไม่หยุดร้องไห้อีกหรือแม่ดวงแข”
       “แม่ท่านจะไม่ให้ลูกร้องไห้ได้อย่างไรเจ้าคะ เพียงแต่เรื่องเสมาจักตายจริงหรือไม่ ลูกก็ทุกข์ใจเหลือแล้ว แลหลวงวิเศษยังคิดข่มเหงอีก ลูกอยากตายให้พ้นไปนัก”
       “อย่าเชียวแม่ดวงแข คิดกระไรเช่นนั้นบาปหนักหนา ถ้าลูกไม่อยากออกเรือน แม่ไม่ยกให้หลวงวิเศษเสียก็เท่านั้น เหตุใดต้องตายด้วย”
       “แต่ศึกครานี้หลวงวิเศษมีความชอบนัก ลูกได้ยินมาว่า หลวงวิเศษคิดจะขอพระราชทานลูกกับพระพุทธเจ้าอยู่หัว หากเป็นเช่นนั้นจักทำฉันใดเล่าเจ้าคะ”
       “ขอพระราชทานเชียวรึ”
       ดวงแขร้องไห้แล้วเข้าไปกอดแม่
       “แม่รักของลูก ช่วยลูกด้วยเถิด นอกจากแม่ ลูกก็ไม่เห็นผู้ใดจะช่วยลูกได้อีกแล้ว”
       อำพันคิดอยู่ครู่นึงแล้วบอก
       “สิ่งเดียวที่จักล้มล้างพระบรมราชโองการได้ ก็มีแต่พระบรมราชโองการเท่านั้น”
       ดวงแขนิ่งคิดตามที่แม่พูดด้วยสีหน้าสงสัยว่าหมายความว่ายังไง

       ในเวลากลางคืน สินและสมบุญเดินหน้าเครียดขึ้นมาบนเรือน โดยมีเอื้อยแตง จำเรียง ศรีเมือง และมั่นรอฟังข่าวด้วยความกระวนกระวาย จำเรียงร้อนใจอย่างสุดๆ รีบเข้าไปหาสิน สมบุญทันที
       “เป็นกระไรบ้างข่าวเรื่องพี่เสมาเป็นจริงหรือไม่”
       “ใจเย็นก่อนเถิด เพลานี้ยังไม่รู้แน่ชัดดอก มีแต่ข่าวจากปากอ้ายพวกไปส่งเสบียงทั้งสิ้นยังเชื่อถือมิได้”
       “พวกทหารไปส่งเสบียง ย่อมต้องเห็นการในค่าย แล้วจักผิดได้อย่างไร ป่านฉะนี้ เสมาลูกพ่อ” มั่นพูดด้วยน้ำเสียงในลำคอตีบตันจนพูดไม่ออก ได้แต่น้ำตาคลอ
       สินรีบตัดบททันที
       “อย่าเพิ่งคิดในทางร้ายเลยพ่อลุง อ้ายพวกไปส่งเสบียงอยู่เพียงคืนเดียว อาจจักไม่รู้จริงก็เป็นได้”
       “ถ้ากระนั้น ก็มีแต่ต้องรอให้ทัพชัยขององค์พระพุทธเจ้าอยู่หัววังหน้ากลับมาเท่านั้น จึงจะรู้ว่าพี่เสมาเป็นเช่นใด เคราะห์ซ้ำกรรมซัดโดยแท้ พี่เสมาจักเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็หารู้ไม่ แล้วฉันยังต้องมีพี่เขยเป็นหลวงณรงค์อีกหรือ” เอื้อยแตงบอกพลางถอนใจ
       ศรีเมืองตกใจ
       “แม่หญิงจักออกเรือนแล้วหรือจ๊ะ จริงซี จักมีเพลาใดเหมาะควรไปกว่านี้อีก เมื่อขาดพี่เสมาเสียคน หลวงณรงค์ก็ไม่ต้องเกรงผู้ใดแล้ว”
       แต่ละคนมีสีหน้าเคร่งเครียดไม่รู้จะทำยังไงดี

       บริเวณริมสระน้ำภายในวังเมื่อยามเช้า พุฒเดินเข้ามาคุกเข่าถวายบังคมสมเด็จพระนเรศวร โดยมีขุนนเรนทร์ภักดี หรือ หมื่นจิตรเสน่หาคุกเข่าอยู่ใกล้ๆสมเด็จพระนเรศวรอยู่แล้ว
       “เจ้าวิเศษสรไกร อยากพบเรามีกระไรรึ”
       พุฒพนมมือ
       “ขอเดชะพระอาญาไม่พ้นเกล้า ข้าพระพุทธเจ้ามีเรื่องร้อนใจนัก หวังจักพึ่งพระบารมีดับร้อนผ่อนเย็น พระพุทธเจ้าข้า”
       “เจรจาเช่นนี้ คงไม่ได้มาขอให้เราประทานนางข้าหลวงตำหนักในคนใดให้ดอกนะ”
       ขุนนเรนทร์ภักดีอมยิ้มอายๆก้มหน้าลงเล็กน้อย พุฒยิ้มแย้มขึ้นทันที
       “ทรงพระปรีชายิ่งแล้วพระพุทธเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้ามีใจใฝ่รักแม่หญิงดวงแข น้องสาวหลวงณรงค์วิชิตมานานนัก ขอพระองค์ทรงโปรดเมตตา พระราชทานให้ข้าพระพุทธเจ้าด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้า”
       สมเด็จพระนเรศวรพระพักตร์เครียด
       “อันที่จริงแล้วเป็นเรื่องง่ายดายนัก แต่ครานี้เราคงให้เจ้าไม่ได้ดอก”
       “เหตุใดเล่าพระพุทธเจ้าข้า”
       “เพราะเจ้านเรนทร์ภักดีก็ขอให้เราประทานหญิงคนเดียวกับเจ้า เมื่อขอพร้อมกันเช่นนี้ หากเราให้ผู้หนึ่งผู้ใดไปก็เป็นการไม่เป็นธรรม เจ้าทั้งสองจงหาทางพิชิตใจหญิงผู้นี้เอาเองเถิด”
       พุฒหันไปมองขุนนเรนทร์ภักดีด้วยสายตาเขม่นหมั่นไส้ ขุนนเรนทร์ภักดีอมยิ้มใจเย็นทำไม่รู้ไม่ชี้

       ที่มุมหนึ่งในวัง ขุนนเรนทร์ภักดีกำลังคุยกับดวงแขอยู่
       “คุณพระคุ้มครองนัก ข้าพระเจ้ารู้ข่าวว่าหลวงวิเศษขอเข้าเฝ้าจึงรีบไปทูลขอตัดหน้าก่อนเพียงชั่วอึดใจ หาไม่แล้ว หากองค์พระพุทธเจ้าอยู่หัวทรงตรัสประทานผู้ใดก็คงแก้ไขไม่ได้แล้ว”
       ดวงแขยิ้มดีใจพลางว่า
       “ขอบน้ำใจขุนท่านนัก ฉันจักไม่ลืมคุณของออกขุนครานี้เลย”
       ขุนนเรนทร์มองดวงแขด้วยสายตากรุ้มกริ่ม
       “แต่ข้าพระเจ้ากลับเสียดายนัก หากองค์พระพุทธเจ้าอยู่หัวทรงตรัสประทานให้ข้าพระเจ้าก่อน ป่านฉะนี้”
       ดวงแขตวาดสวนขึ้นทันที
       “นี่ออกขุนคิดฉวยโอกาสรึ อย่าหวังเลย ถึงฉันขัดพระบรมราชโองการไม่ได้ก็ขอยอมตายเสียดีกว่า ให้เหล่าชายเช่นพวกท่านมาฉกฉวยเอาเช่นนี้”
       ขุนนเรนทร์หน้าเสียทันที
       “มิได้แม่หญิง ข้าพระเจ้าเพียงแต่หยอกเล่นเท่านั้น หาใช่คิดจริงดังนั้นไม่ แม่หญิงอย่าถือโทษโกรธเคืองข้าพระเจ้าเลย”
       ดวงแขตามองจิกแล้วทิ้งค้อนด้วยความไม่พอใจ
       พุฒยืนแอบมองทั้งคู่สนทนากันอยู่จึงรู้ว่าเป็นอุบายของดวงแข โดยมีขุนนเรนทร์ซึ่งมาหลงรักให้ความร่วมมือก็ยิ่งเจ็บใจมากขึ้น

       ขุนนเรนทร์เดินมาที่เรือของตนซึ่งให้ทหารจอดรออยู่ ทันใดนั้นเองก็มีกระบี่พร้อมฝักเล่มหนึ่ง ฟันลงที่ศีรษะขุนนเรนทร์ทันที ทันทีที่ขุนนเรนทร์เหลือบเห็นก็รีบก้มหลบได้หวุดหวิดชนิดเส้นยาแดงผ่าแปด ที่แท้เป็นพุฒนั่นเองที่ลอบทำร้าย
       “กระไรกันนี่คุณหลวง คิดจักทำร้ายกันลับหลังหรือ”
       “กระบี่ยังอยู่ในฝัก จักเรียกว่าทำร้ายได้อย่างไร ฉันเพียงแต่มาเตือนออกขุนท่านเท่านั้น ว่าแม่หญิงดวงแขมีเจ้าของแล้ว ออกขุนหาควรยุ่งเกี่ยวด้วยไม่”
       “เจ้าของ นี่คุณหลวงกล้าพูดว่าเจ้าของเชียวหรือ หากเป็นจริง คุณหลวงคงออกเรือนกับแม่หญิงดวงแขเสียนานแล้วกระมัง มุสาแล้วยังพูดให้แม่หญิงต้องเสื่อมเสียอีก”
       “เมื่อตักเตือนกันดีๆไม่ยอมฟังก็ชักดาบออกมาพิสูจน์กัน ผู้ใดแพ้ก็อย่าได้ข้องเกี่ยวกับแม่หญิงดวงแขอีก”
       “แม่หญิงดวงแขหาใช่ของพนันแก่ผู้ใดไม่ แลเราต่างเป็นทหารสู้กันเองก็รังแต่จะเป็นโทษแก่ตัว”
       พุฒพูดพลาง ยิ้มเยาะและทำมือประกอบสีหน้าสีหน้าเหยียดหยาม
       “กลัวโทษ หรือไม่กล้ากันแน่เล่า หากไม่กล้าก็แล้วกันไปเถิด ฉันจักได้รู้ว่าราชองครักษ์วังหน้ามีหัวใจเพียงแค่นี้เอง”
       “นี่กล้าหยามหมิ่นศักดิ์องครักษ์วังหน้าเชียวรึ มากเกินไปเสียแล้ว”
       ขุนนเรนทร์ชักดาบออกจากฝักแล้วฟันใส่พุฒทันที พุฒฉากหลบออกมาแล้วชักกระบี่คู่มือออกจากฝัก แล้วเข้าต่อสู้ทันที ทหารซึ่งเป็นลูกน้องขุนนเรนทร์ เมื่อเห็นเจ้านายต่อสู้กับพุฒก็กลัวเรื่องบานปลายเลยรีบหลบออกไปตามคนมาช่วย
       ขุนนเรนทร์สู้กับพุฒอยู่พักนึง พุฒฝีมือเหนือกว่าเยอะเลยฟันกระบี่เข้าที่ต้นแขนของขุนนเรนทร์จนได้รับบาดเจ็บแต่ก็ยังบุกสู้ต่อ พุฒได้ใจยั่วโมโหหลอกล่อ แล้วแกล้งฟันกระบี่ใส่ขุนนเรนทร์ทีละแผลๆ แต่ไม่ลึกนัก เพราะต้องการแกล้งทรมานไปเรื่อยๆ ซักพัก ขุนนเรนทร์ก็เลือดโทรมกาย ทั้งเจ็บทั้งอ่อนแรง
       พุฒหัวเราะเยาะเย้ยทันที
       “ฝีมือราชองครักษ์วังหน้าก็เท่านี้เอง”
       ขุนนเรนทร์โกรธจัด ร้องลั่นก่อนจะโถมเอาดาบเข้าฟัน แต่พุฒฉากหลบแล้วเตะจนล้ม แล้วใช้เท้าเหยียบเอาไว้ไม่ให้ลุกขึ้น
       “ให้สัตย์มาว่า จะไม่ข้องเกี่ยวกับแม่หญิงดวงแขอีกแล้วข้าจักปล่อยเอ็งไป”
       “ข้าไม่พูด เอ็งไม่มีปัญญาให้หญิงรักก็ใช้กำลังเข้าข่มขู่ชายอื่นหาใช่ชายจริงไม่”
       พุฒโกรธจัดเงื้อกระบี่ขึ้นจะแทง ทันใดนั้นทหารลูกน้องของขุนนเรนทร์ก็พาทหารอีกกลุ่มหนึ่งมา เมื่อเห็นสภาพเลือดโทรมกายขุนนเรนทร์ก็ตกใจ ตะโกนลั่น
       “ท่านขุน”
       “ราชองครักษ์วังหน้า สู้ไม่ได้ก็ใช้พวกมากเข้ารุม เอาเถิด ข้าจักปล่อยเอ็งเอาบุญสักครา”
       พุฒพูดพลางเบะปากดูถูกแล้วเดินหนีไป พวกทหารรีบตรงเข้าไปช่วยขุนนเรนทร์ที่เจ็บหนักทันที ขุนนเรนทร์มองตามพุฒด้วยความแค้นใจที่ดูถูกเหล่าราชองครักษ์วังหน้า

       ยามบ่ายในบริเวณมุมหนึ่งในวัง สินและสมบุญกำลังคุยกับทหารลูกน้องขุนนเรนทร์ภักดีด้วยความตกใจ
       “อ้ายหลวงวิเศษน่ะหรือ มันกล้าทำร้ายท่านขุนนเรนทร์ภักดี” สินพูดขึ้น
       “ขอรับ เพลานี้ท่านขุนเจ็บหนักได้แผลไปมากโข แต่แผลไม่ลึกนักเพราะหลวงวิเศษคงหมายจะหยามเสียมากกว่า”
       “เหิมเกริมนักอ้ายพุฒ แล้วนี่ออกขุนแจ้งผู้ใดไปแล้วหรือไม่จะได้เอาโทษแก่อ้ายพุฒมัน”
       “ไม่ได้แจ้งขอรับ ท่านขุนเกรงว่าผู้คนจะเย้ยหยันว่าราชองครักษ์วังหน้าฝีมือสู้ไม่ได้เลยใช้เล่ห์แจ้งเอาโทษ ท่านขุนไม่อยากให้ผู้ใดมาหมิ่นศักดิ์ราชองครักษ์แห่งวังหน้าอีกขอรับ แต่ท่านขุนให้มาแจ้งท่านหมื่นทั้งสองเพราะมีนัดต้องไปราชการด้วยกัน แต่เพลานี้คงไปไม่ไหวขอรับ”
       “กลับไปบอกท่านขุนให้พักรักษาตัวเถิด ราชการแต่เพียงนี้ ฉันกับหมื่นทิพย์ไปเองได้” สมบุญบอก
       “ขอรับ” ทหารลาแล้วเดินเลี่ยงไป
       “ อ้ายพุฒเคยทำร้ายกูยังไม่พอ มึงยังทำร้ายคนดีเช่นขุนนเรนทร์แลหยามหมิ่นเกียรติราชองครักษ์แห่งวังหน้าอีก ต้องมีสักวัน ที่กูเอาเลือดมึงออกให้จงได้” สมบุญบอก
       สินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วว่า
       “จะต้องรอสักวันทำกระไร คืนนี้เลยเถิด”
       “เอ็งว่ากระไรนะอ้ายสิน”
       สินยิ้มเจ้าเล่ห์
       “ข้าพูดจริง หากแผนข้าสำเร็จ มิเพียงล้างแค้นให้ขุนนเรนทร์แลแก้มือที่เคยถูกทำร้ายเท่านั้น ยังอาจช่วยแม่หญิงเรไรไม่ให้ต้องออกเรือนกับอ้ายขันด้วย”
       สมบุญมองหน้าสินแบบไม่อยากเชื่อเพราะปกติสินจะมุทะลุ ไม่มีแผนการอะไรทั้งนั้น

       ศรีเมืองยืนร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ที่ชานเรือนพันอินเมื่อตอนหัวค่ำด้วยห่วงทั้งเสมาและห่วงพ่อที่ยังไม่กลับจากศึกตะนาวศรี
       ทาสหญิงคนหนึ่งเดินออกมาหาศรีเมืองแล้วคุกเข่าลงแล้วบอกด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
       “แม่หญิงเจ้าคะ มืดค่ำแล้วกินข้าวปลาเสียหน่อยเถิดเจ้าค่ะ แต่แม่หญิงกลับมายังไม่ได้กินกระไรเลยนะเจ้าคะ”
       “ฉันกินไม่ลงดอก ป่านฉะนี้ไม่รู้ว่าพี่เสมาจะเป็นกระไรบ้าง แล้วยังพ่อท่านอีก พ่อท่านสูงวัยแล้วต้องตรากตรำไปศึกฉันห่วงเหลือเกินแล้ว” ศรีเมืองพูดพลางซับน้ำตา
       ขณะนั้นเอง ทาสชายที่เดินเวรยามถือคบไฟอยู่ที่หน้าเรือนของพันอินก็ได้ยินเสียงผิดปกติ ทาสชายเสียงดังขู่ตะคอกทันที
       “นั่นผู้ใดวะออกมาประเดี๋ยวนี้ ไม่เช่นนั้นกูจะตีให้ตายคามือเลย”
       ทันใดนั้นเอง เสมาและพันอินก็เดินออกมาจากมุมมืด พันอินยิ้มขำ
       “เอ็งจะตีข้าให้ตายเชียวรึอ้ายนวม อ้ายนี่ ท่าจะเลี้ยงไม่ได้เสียแล้ว”
       ศรีเมืองได้ยินเสียงพันอินก็ดีใจสุดๆ
       “พ่อท่าน พี่เสมา”
       เสมาส่งยิ้มให้ศรีเมืองเป็นการทักทาย

       เสมากับพันอินกำลังคุยอยู่กับศรีเมืองอยู่บนเรือน
       “พี่ต้องอาวุธจริง แต่ไม่ถูกที่สำคัญจึงรอดมาได้ แต่หาเข้าใจไม่ว่า เหตุใดกองเสบียงจึงเอาไปลือว่าพี่ถึงตายไปได้”
       “ชะรอยว่า คงเป็นช่วงที่พ่อเสมาสลบไปเพราะพิษบาดแผลกระมัง อ้ายพวกนี้จึงสำคัญว่าหนักหนานัก จึงเอาไปลือกันปากต่อปากเข้าจากบาดเจ็บก็กลายเป็นถึงตายไปได้” พันอินว่า
       “พี่เสมาไม่เป็นกระไรก็ดีแล้วจ้ะ เอ่อ นี่พี่ยังไม่ได้กลับเรือนใช่หรือไม่จ๊ะ แต่มีข่าวลือพ่อลุงมั่นก็เป็นทุกข์นักด้วยกลัวว่า พี่จักตายไปเสีย พี่รีบกลับเรือนเถิดจ้ะพ่อลุงจักได้ดีใจ” ศรีเมืองว่า
       “ขอบน้ำใจเจ้านักศรีเมือง นี่ทุกคนคงเป็นห่วงพี่มากกระมัง เออ แล้วระหว่างที่คนลือว่าพี่ตายมีเหตุใดเกิดขึ้นที่เรือนพี่หรือไม่”
       “ไม่มีจ้ะ หัวหมื่นทั้งสองช่วยเป็นหูเป็นตาให้ ไม่มีผู้ใดกล้าทำกระไรดอก แต่หลวงณรงค์ฉวยโอกาสนี้ สู่ขอแม่หญิงเรไรแล้ว อีกไม่กี่วันก็คงจัดพิธีจ้ะ”
       เสมาหน้าเสียทันทีที่รู้เรื่อง ในที่สุด วันนี้ก็มาถึงจนได้

       ขัน พุฒ และบรรดาลูกน้องเดินเมาแอ๋เป๋ไปเป๋มาคุยหัวเราะกันมาตลอดทางในเวลากลางคืน พุฒพูดขึ้น
       “นึกแล้วสาแก่ใจนัก หากไม่เกรงอาญา ฉันจะฆ่าอ้ายขุนนเรนทร์ทิ้งเสียเลยจักได้ไม่มีผู้ใดบังอาจมาข้องเกี่ยวกับแม่หญิงดวงแขของฉันอีก”
       ขันอยู่ในอาการเมามาย หัวเราะแล้วพูดขึ้น
       “ยังมีโอกาสอีกมากนัก ฉันไปคุยกับเหล่าทหารองครักษ์แล้ว เรื่องที่หลวงวิเศษจะย้ายไปสังกัดวังหน้าแทนอ้ายเสมา หาใช่ยากเย็นไม่ เมื่อหลวงท่านเป็นนายอ้ายขุนนเรนทร์แล้วยังกลัวไม่มีโอกาสอีกหรือ”
       ขันและพุฒหัวเราะชอบใจ
       สินกับสมบุญโกผ้าปลอมเป็นโจรพร้อมอาวุธคู่กายดักซุ่มอยู่ข้างทางรออยู่ เมื่อสบโอกาสก็โผล่เข้ามาทางด้านหลังของพวกลูกน้องขันแล้วลงมือเล่นงานทันที สินใช้ด้ามทวนฟาด ส่วนสมบุญเตะต่อยจนเหล่าลูกน้องสลบเหมือดไปกันหมดทุกคน ขันกับพุฒได้ยินเสียงผิดปกติ หันกลับมาดูก็เห็นลูกน้องโดนเล่นงานจนสลบเหมือดหมดเรียบ
       “เฮ้ย อ้ายโจรถ่อย พวกกูเป็นทหารหลวงมึงกล้าแตะต้องเชียวรึ” พุฒพูดขึ้น
       สมบุญหันไปกระซิบกับสินว่า
       “ข้าโดนอ้ายขันทำร้ายมาหลายครา ครั้งนี้ขอมันให้ข้าเถิด”
       “ถ้ากระนั้น ข้าจะล้างแค้นให้ขุนนเรนทร์เอง” สินกระซิบตอบ
       สมบุญชักดาบสองมือที่หลังออก ส่วนสินก็ควงทวนคู่มือพุ่งเข้าใส่พุฒทันที
       ขันและพุฒชักอาวุธคู่มือออกมาต่อสู้ ช่วงแรกยังผลัดกันรุกรับอย่างดุเดือด แต่ซักพักขันพุฒก็เริ่มเวียนหัวเพราะเมาเหล้าอยู่ก่อนแล้ว สมบุญเห็นขันก็มีอาการเซเพราะฤทธิ์เหล้า เลยควงดาบกระหน่ำไม่ยั้ง ไม่ทันไรก็ฟันขันบาดเจ็บจนได้ เช่นเดียวกับสินที่ใช้เพลงทวนหลอกล่อแทงใส่พุฒหลายแผล แต่ละแผลแทงไม่ลึกนัก เพราะต้องการให้พุฒโดนแบบเดียวกับที่ขุนนเรนทร์โดนนั่นเอง
       สมบุญใช้ท่าไม้ตายกระหน่ำใส่ขันจนดาบหลุดจากมือ สมบุญเลยพลิกดาบฟันใส่ต้นขาขันทั้งสองข้างจนขันร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะทรุดลงกับพื้นเพราะสมบุญต้องการให้ขันเจ็บจนแต่งงานไม่ได้นั่นเอง
       สินกับสมบุญเล่นงานขันกับพุฒจนเลือดโทรมกาย กลิ้งเกลือกอยู่กับพื้นด้วยความเจ็บปวด ทั้งคู่ยืนมองด้วยความสะใจ

       เวลาต่อมา สินและสมบุญเดินคุยกันมาอย่างยิ้มแย้มแจ่มใสหลังจากที่ถอดผ้าคลุมหน้าออกแล้ว
       “เสียดายนักที่อ้ายขัน อ้ายพุฒเมา แม้จักชำนะแต่ก็ไม่อาจเปรียบฝีมือกับมันได้” สมบุญบอก
       “ถึงอ้ายขันไม่เมา เพลานี้ก็สู้เอ็งไม่ได้ดอกวะ วันทั้งวันมันเอาแต่วิ่งหาออกญาผู้ใหญ่ หรือไม่ก็เมาเหล้าเสียมาก ส่วนเอ็งฝึกปรือดาบจนแก่กล้ากว่าเดิมนักแล้วจะเปรียบกันได้เช่นไร” สินว่า
       ขณะนั้นเอง เสมาก็ถือคบไฟออกมาหาทั้งคู่
       “เปรียบฝีมือกระไรกัน พวกเอ็งไปทำกระไรมา”
       สมบุญดีใจมากที่เห็นเสมา ส่วนสินมีสีหน้าตกใจมาก
       “พี่เสมา” สมบุญและสินเรียกขึ้นพร้อมกัน
       สินตั้งท่าจะวิ่งหนี เพราะคิดว่าเป็นผีเสมา
       “ผีหลอก”
       สินหันหลังเตรียมเผ่นแต่สมบุญรีบดึงไว้
       “จะไปที่ใดวะอ้ายสิน พี่เสมาจริง หากเป็นผีจักมีเงารึ”
       สินตั้งสติได้หันกลับไปมองเห็นเสมาถือคบไฟโดยมีเงาบนพื้นจริง สินยิ้มเขิน

       เสมาในอาการหงุดหงิดกำลังบ่นสินกับสมบุญอยู่บนเรือน
       “พวกเอ็งทำเช่นนี้ได้อย่างไร หรืออยากถูกใส่กรวนจำคุกกันนัก”
       “ไม่มีผู้ใดรู้ดอกพี่ ว่าเป็นฝีมือพวกฉัน อ้ายขันอ้ายพุฒอย่างมากก็สงสัยแต่หามีหลักฐานไม่” สมบุญบอก
       “พวกฉันอยากแก้แค้นให้ขุนนเรนทร์ท่าน แลขัดขวางไม่ให้อ้ายขันออกเรือนกับแม่หญิงเรไรเท่านั้น โดนไปครานี้กว่าจักยืนตรงได้ก็แรมเดือนแล้ว อย่าว่าแต่เข้าหอเลย” สินพูดพลางหัวเราะอย่างสะใจ
       “ข้ากับแม่หญิง อโหสิกันไปนับแต่วันที่ข้าให้พานดอกจำปีในพิธีหมั้นแล้ว ถึงแม่หญิงจักออกเรือนข้าก็ยุ่งเกี่ยวไม่ได้ดอก”
       สินเบะปาก
       “ปากแข็งนักหรือพี่ไม่ดีใจที่แม่หญิงยังไม่ได้ออกเรือนเล่า”
       เสมาอ้ำอึ้โดนย้อนจนน้ำท่วมปากพูดไม่ออก
       “ฉันว่าแม่หญิงเรไรเองก็ดีใจเช่นกัน แลหากรู้ว่าพี่ยังไม่ตาย แม่หญิงยิ่งจักมีสุขมากขึ้น หลังจากทุกข์ด้วยข่าวลือมามากแล้ว” สมบุญบอก
       “นี่แม่หญิงทุกข์ใจเพราะคิดว่าข้าตายแล้วกระนั้นหรือ”
       “ใช่ซีพี่ วันพรึ่งพี่ไปแจ้งให้แม่หญิงทราบเถิด จักได้ไม่ต้องเสียใจจนตรอมใจอยู่แบบนี้”
       เสมาคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วบอก
       “ยังก่อน ข้าอยากรู้กับตา แจ้งกับใจว่า หากข้าตายจริงแม่หญิงเรไรจักคิดเช่นใด”
       เสมาสีหน้านิ่งใช้ความคิด

       กลางดึกที่ห้องนอน เรไรกำลังดูแหวนในมือที่เคยให้กับเสมาเมื่อตอนไปทำศึก ซึ่งเสมาเก็บไว้ที่ตัวตลอดเวลา มอลดูแหวนแล้ว น้ำตาก็คลอเบ้า เอื้อยแตงกับพิณนั่งอยู่ใกล้ๆ เรไร
       “มิผิดแล้ว เป็นแหวนที่ฉันให้เสมาไว้จริง ผู้ใดให้เจ้ามาหรือพิณ” เรไรหันไปถามพิณ
       พิณหน้าเสียแล้วบอก
       “หมื่นเทพ หมื่นทิพเจ้าค่ะนำมาให้บ่าวเมื่อครู่ แล้วให้บ่าวเอามาให้แม่หญิงเจ้าค่ะ”
       เรไรร้องไห้ทันที
       “ถ้ากระนั้นก็ไม่ผิดแล้ว แหวนนี้เสมาติดตัวไว้ไม่ห่างกาย เมื่อมันกลับสู่มือฉันย่อมแน่แล้วว่าเสมา...
       เรไรลำคอตีบตันจนพูดไม่ออก
       “เสมาหาชีวิตไม่แล้ว”
       เอื้อยแตงร้องไห้เหมือนกัน
       “ฉันยังไม่เชื่อดอก หากไม่เห็นศพอย่างไรฉันก็ไม่เชื่อ อ้ายสินยังอยู่หรือไม่แม่พิณ ฉันจะไปคุยกับมัน”
       “อยู่เจ้าค่ะ”
       เอื้อยแตงออกจากห้องไป โดยมีพิณตามไปอีกคน
       เรไรมองแหวนในมือด้วยความเสียใจ
       “เสมาสุดรักของฉัน ชาตินี้เราสองอาภัพเหลือ แม้มีใจใฝ่รักกันเพียงใดก็หาสมหวังไม่ มีแต่อุปสรรคขัดขวางอยู่ร่ำไป กรรมเก่าเราคงหนักหนานัก แต่เสมาอย่าได้กังวลเลย อีกไม่ช้านาน ฉันก็จักตามไปอยู่กับเสมาแล้ว”
       ขาดคำเสียงเสมาก็ดังขึ้น
       “อย่าเชียวแม่หญิง”
       เรไรหันไปมองตามเสียง ขณะที่เสมากำลังปีนหน้าต่างเข้ามาในห้องนอน เรไรฉุนขึ้นมาทันทีที่โดนหลอก
       “เสมา นี่เสมาหลอกฉันหรือเห็นว่าฉัน”
       พูดไม่ทันจบ เสมาก็ดึงเรไรเข้ามากอดด้วยความรักห่วงหวงทันที
       “ข้าพระเจ้าขอขมาเถิดแม่หญิง ข้าพระเจ้าเพียงแต่อยากรู้ว่า ใจเราสองจักตรงกันหรือไม่ บัดนี้ข้าพระเจ้าก็ประจักษ์แล้วว่าใจเราไม่ผิดกัน แต่ขอเถิดแม่หญิงอย่าได้คิดฆ่าตัวตายให้เป็นบาปติดตัวเลย”
       เรไรนิ่งในอ้อมกอดของเสมาอย่างเป็นสุข แต่ฉุกใจคิดเมื่อได้ยินประโยคท้ายเลยดึงตัวออก
       “ผู้ใดว่าฉันจะฆ่าตัวตายเล่า”
       “ก็เมื่อครู่ แม่หญิงบอกว่าจักตามไปอยู่ด้วยข้าพระเจ้าไม่ใช่หรือ”
       “ฉันหมายถึง ฉันคงตรอมใจจนตายหาได้ฆ่าตัวตายไม่”
       เสมาอึ้งไปครู่นึงที่เข้าใจผิด แต่ก็ยังยิ้มแย้ม
       “ถึงอย่างไร ในใจเราสองคนก็ยังตรงกันอยู่ดีไม่ใช่รึ”
       เรไรสีหน้าเศร้าลง
       “แต่ฉันกำลังจะออกเรือนกับหลวงณรงค์แล้ว แม้หัวใจจักคิดเช่นใดก็หาช่วยกระไรได้ไม่”
       “การภายหน้าก็สุดที่ข้าพระเจ้าจักหยั่งรู้ได้ แต่ภายในสองสามเดือนนี้ แม่หญิงยังไม่ต้องออกเรือนดอก”
 เสมาบอกพลางยิ้มอย่างสบายใจ เรไรมองเสมาด้วยความแปลกใจ

ตอน 2
ภายในบ้านเมื่อยามเช้า ขันกำลังร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด ขณะที่บรรดาทาสกำลังเปลี่ยนยาที่พอกแผลของขันอยู่ โดยมีดวงแข และอำพัน คอยดูแลด้วยความสงสารขันจับใจ พวกทาสต้องคอยจับแขน ขา ของขันไว้ด้วยเพื่อไม่ให้ดิ้นจนพอกยาไม่ได้

       “อดทนเถิดพ่อขัน แม่รู้ว่ายานี้เจ็บปวดนัก แต่แผลของพ่อขันฉกรรจ์เหลือต้องพอกทาทุกวันจึงจะหาย” อำพันบอก
       “โจรจากที่ใดกันจึงมีฝีมือทำร้ายพี่ขันได้ถึงเพียงนี้” ดวงแขถาม
       “มิใช่โจรแต่เป็นหมา หมาลอบกัด คอยดูเถิดหากรู้ว่าเป็นผู้ใด พี่จะฆ่ามันทิ้งเสีย” ขันร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด
       “น้องสงสารพี่ขันเหลือ แต่อีกใจก็เสียดายนักที่หลวงวิเศษไม่ตาย”
       อำพันรีบปราม
       “แม่ดวงแขพูดเช่นนี้ได้กระไร บาปปากนัก”
       ขันร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด อำพันเลยรีบไปดูแลเช็ดเหงื่อให้ ดวงแขอดยิ้มอย่างสะใจไม่ได้เมื่อนึกถึงสภาพของพุฒตอนนี้

       ภายในวัง เมื่อยามสาย บัวเผื่อนและบรรดาสาวๆข้าหลวงกำลังเลือกผ้าผ่อน เครื่องประดับต่างๆที่เสมานำเป็นของฝากมาจากตะนาวศรี บัวเผื่อนหยิบของมาดูด้วยสีหน้าชอบใจก่อนหันไปยิ้มให้เสมา
       “คุณพระนายปลอดภัยกลับมา ฉันก็ดีใจนักไม่ต้องนำของกำนัลมาให้เช่นนี้ดอก”
       “ได้กระไรกันแม่หญิงบัวเผื่อน ราชองครักษ์กับข้าหลวงฝ่ายในก็เหมือนดั่งทองเนื้อเดียวกัน ไม่ใช่คนอื่นไกล ข้าพระเจ้าไปศึกถึงตะนาวศรีย่อมต้องมีของติดไม้ติดมือมากำนัลถึงจักถูก”
       “คุณพระนายรับราชการมานานปี มาประเดี๋ยวนี้รู้ธรรมเนียมขึ้นมาไม่น้อยเชียว”
       เสมายิ้มขำๆไม่พูดอะไร
       ขณะนั้นเอง สินหน้าบอกบุญไม่รับและสมบุญก็เดินผ่านมาพอดี
       “ออกเวรแล้วหรือ” เมาถาม
       “จ้ะพี่เสมา” สมบุญบอก
       “อ้ายสินเป็นกระไรหน้าบอกบุญไม่รับเชียว”
       “เรื่องเมื่อคืนนั่นหล่ะพี่ แม่เอื้อยแตงตามมาถามเรื่องพี่ พออ้ายสินเล่าความจริงให้ฟัง แม่เอื้อยแตงก็เคืองนัก ด่ามันเสียหลายยกหาว่ามันทำให้ตกอกตกใจ”
       “ถึงข้าไม่ทำเรื่องนี้ แม่เอื้อยแตงก็ด่าข้าอยู่ดี ไม่ว่าทำสิ่งใดก็ไม่เคยดีในสายตาแม่เอื้อยแตงดอก”
       บัวเผื่อนยิ้มขำ
       “แม่เอื้อยแตงก็ติดคำพูดแม่ค้ากลางตลาดเช่นนี้เองหมื่นทิพอย่าได้ใส่ใจเลย ฉันจักพาไปรู้จักแม่ข้าหลวงที่เพิ่งถวายตัวเอาหรือไม่ แต่ละคนกิริยาเรียบร้อยอ่อนหวานกว่าแม่เอื้อยแตงมากนัก”
       สินได้ฟังก็ยิ่งหงุดหงิดหนัก เพราะไม่ต้องการผู้หญิงอื่นนอกจากเอื้อยแตงเท่านั้นจึงเดินหน้าหงิกเลี่ยงไปทางอื่น บัวเผื่อนมองตามด้วยความงงๆ ไม่เข้าใจว่าสินเป็นอะไร
       “อย่าถือสาหมื่นทิพเลยแม่หญิงบัวเผื่อน อ้ายสินมันใฝ่รักเอื้อยแตงมานานนัก แต่เอื้อยแตงไม่เคยเห็นค่า มันจึงน้อยใจเอาเช่นนี้”
       เสมามองตามสินไปด้วยความเห็นใจ

       เอื้อยแตงกับศรีเมืองกำลังเดินเลือกซื้อของในตลาดเมื่อตอนบ่าย
       “พูดแล้วยังเคืองไม่หาย ฉันนึกว่าพี่เสมาตายจริงจนใจเสียไปหมด อุตริคิดแผนกันดีนักโดนแค่ดุด่ายังน้อยไป” เอื้อยแตงพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
       “หมื่นทิพใฝ่รักแม่เอื้อยแตงดอกจึงยอมให้ดุด่าเช่นนี้ ฉันเห็นพวกทหารกลัวหมื่นทิพอย่างกับหนูกลัวแมว ถ้าหมื่นทิพไม่ยอมมีหรือแม่เอื้อยแตงจักทำได้ทำเอาเช่นนี้”
       “ใฝ่รักกระไรกัน ฉันรำคาญเหลือไม่เคยอยากเห็นหน้าอ้ายสินเลย”
       ขาดคำ เอื้อยแตงและศรีเมืองก็เหลือบเห็นสินในสภาพเมาเหล้า กำลังนั่งพูดคุยกับแม่ค้าคนสวยคนหนึ่งอยู่ ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสเหมือนกำลังจีบกันอยู่ ศรีเมืองนึกไม่ถึง
       “นั่นหมื่นทิพไม่ใช่หรือ กำลังคุยกับผู้ใดกันท่าทางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เชียว”
       เอื้อยแตงเกิดอาการหึงขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
       “ฉันรู้จัก หญิงชื่อแม่สร้อยขายลูกปัดแลเครื่องประดับ เพิ่งรุ่นสาวได้ไม่เท่าใด อ้ายสินก็คิดเกี้ยวแล้วรึ ชั่วนัก”
       ศรีเมืองตกใจ
       “พูดแรงเกินไปกระมังแม่เอื้อย แค่เกี้ยวพาราสีจะถือว่าชั่วได้อย่างไร”
       เอื้อยแตงเสียงแข็งด้วยอารมณ์หึงขึ้นหน้า
       “ได้ซี ผู้อื่นไม่ชั่ว แต่หากเป็นอ้ายสินต้องถือว่าชั่วแท้”
       ขณะนั้นเอง สินก็ช่วยหญิงสาวขนห่อผ้าใส่ของสองห่อใหญ่ๆ แล้วเดินตามหลังหญิงสาวไป เอื้อยแตงตาเขียวปั้ดรีบตามไปทันที
       “แม่เอื้อยแตง จะไปที่ใด แม่เอื้อย”
       ศรีเมืองตกใจเห็นท่าทางเอื้อยแตงแปลกๆ เลยรีบตามไปอีกคน

       สินกำลังช่วยหญิงสาวขนห่อผ้าลงเรือที่จอดอยู่ สินจับมือหญิงสาวเพื่อจะช่วยให้หญิงสาวก้าวลงเรือได้ถนัดๆ ทันใดนั้นเอง เอื้อยแตงและศรีเมืองที่เดินตามมาเห็นสินจับมือหญิงสาวเต็มๆตา
       “อ้ายสิน” เอื้อยแตงร้องเสียงดังด้วยอารมณ์โมโหหึง
       สินหันกลับไปมองเห็นเอื้อยแตงยืนหน้าถมึงทึงอยู่ สินในอาการเมายิ้มแย้มทักทาย
       “แม่เอื้อยแตงมาได้อย่างไรกันจ๊ะ”
       เอื้อยแตงไม่ฟังเสียงตรงเข้าไปตบหน้าสินทันที
       “กลางวันแสกๆ เอ็งยังกล้าจับมือถือแขนไม่อายผีสางเทวดาเสียบ้าง ข้านึกว่าเอ็งเป็นคนซื่อมีใจเดียว ที่แท้เอ็งมันก็ผู้ชายหลายใจ พอเป็นใหญ่เป็นโตเข้าหน่อยก็ทำเจ้าชู้ อ้ายชายอสัตย์คิดชั่ว”
       สินหายเมาเป็นปลิดทิ้งด้วยความงงงวย
       “กระไรกันแม่เอื้อยแตง พอเจอหน้าก็ด่าฉันไปทำกระไรให้หรือ”
       ขาดคำ เอื้อยแตงก็ตบหน้าสินอีกฉาด เอื้อยแตงหันไปจ้องหน้าหญิงสาว หญิงสาวนึกกลัวรีบพายเรือหนีไปทันที เอื้อยแตงหันกลับมาด่าสินต่อ
       “ยังจักมาถามอีกว่าทำกระไร หน้าหนานัก ต่อแต่นี้เอ็งอย่ามาให้ข้าเห็นหน้าอีก ไปตายเสียอ้ายสิน”
       เอื้อยแตงผลักสินเต็มแรงด้วยความโกรธ สินเสียหลักหงายหลังตกน้ำดัง... โครม!! เอื้อยแตงเดินโมโหกลับไป สินว่ายน้ำกลับมาเกาะตลิ่ง
       “นี่มันกระไรกันแม่ศรีเมือง ฉันกระทำชั่วกระไรแม่เอื้อยแตงถึงโกรธเคืองถึงเพียงนี้”
       ศรีเมืองยิ้มๆ เหมือนอ่านใจเอื้อยแตงออก
       “แล้วแม่น้องสาวที่หมื่นทิพจับมือถือแขนเมื่อครู่เล่าเป็นผู้ใดกัน เหตุใดจึงสนิทสนมนัก”
       “แม่สร้อยน่ะหรือ พ่อของแม่สร้อยเป็นคนบ้านเดียวกับฉันรู้จักคุ้นเคยมานานปี วันนี้ฉันรำคาญใจนัก พอออกเวรจึงไปกินเหล้าเสียหน่อย ขากลับเห็นแม่สร้อยขนของจะกลับเรือน ฉันจึงเข้าไปช่วยเพียงนั้น”
       “ถ้ากระนั้นก็รีบตามไปบอกกล่าวแก่แม่เอื้อยแตงตามนี้เถิด แม่เอื้อยแตงจักได้เลิกหึงหวงเสียที”
       “หึงหวง” สินทวนคำศรีเมืองอย่างงงๆ
       ศรีเมืองถอนใจอย่างอ่อนใจในความซื่อของสิน
       “จู่ๆแม่เอื้อยแตงก็เป็นฟืนเป็นไฟถึงกับตบตีหมื่นทิพเช่นนี้ จะเป็นเพราะกระไรเล่า ถ้าไม่ใช่หวงหมื่นทิพถึงเพียงนี้แล้วยังดูไม่ออกอีกหรือ”
       สินคิดตามอยู่ครู่นึงก็ดีใจสุดขีด รีบปีนขึ้นฝั่งแล้วตะโกนลั่น
       “แม่เอื้อยแตงๆ รอฉันด้วยแม่เอื้อยแตง”
       สินรีบวิ่งตามไปทันที ศรีเมืองได้แต่มองตามแล้วยิ้มขำๆ

       เอื้อยแตงกำลังเดินหงุดหงิดผ่านมาทางตลาดเพื่อจะกลับบ้าน สินตัวเปียกปอนรีบวิ่งตามมา
       “แม่เอื้อยแตง แม่เอื้อยแตงจ๋า”
       สินรีบเข้าไปจับมือเอื้อยแตงไว้ เอื้อยแตงตวาดแว๊ดขึ้นทันที
       “มาจับเนื้อต้องตัวข้าทำกระไร เปียก สกปรก ไป ไสหัวไปอ้ายชายชั่ว”
       “แม่เอื้อยแตงโกรธเคืองฉันเช่นนี้ เพราะหึงหวงฉันใช่หรือไม่”
       เอื้อยแตงอึ้งไปครู่นึง ครั้นตั้งสติได้ก็ชักจะรู้ตัวว่าหึงสินจึงรีบปฏิเสธเป็นพัลวัน
       “เอ็งพูดกระไรปล่อยข้าประเดี๋ยวนี้”
       สินไม่ฟังเสียงจับมือทั้งสองของเอื้อยแตงล็อคไว้ให้จ้องหน้า ยิ้มแย้ม
       “หากแม่เอื้อยแตงไม่หึงหวง ถึงฉันจะมีหญิงอื่นหมื่นแสน แม่เอื้อยแตงก็คงไม่โกรธเคืองฉันดอก แล้วเหตุที่แม่เอื้อยแตงหึงหวงก็เพราะแม่เอื้อยแตงมีใจให้ฉันใช่หรือไม่”
       เอื้อยแตงพยายามดิ้นให้หลุดแล้วบอก
       “อ้ายบ้าสิน เอ็งมันบ้าไปเสียแล้ว”
       “ถึงฉันจักบ้าก็บ้ารักแม่เอื้อยแตงจักผิดกระไรเล่า”
       ขาดคำ สินก็อุ้มเอื้อยแตงทันที ทั้งๆที่มีคนอยู่เต็มตลาด เอื้อยแตงทั้งโกรธทั้งอาย กรี๊ดลั่น
       “ปล่อยข้าอ้ายสิน”
       “ไม่ปล่อย แม่เอื้อยแตงปากแข็งนัก หากไม่ยอมรับว่ามีใจให้ฉัน ฉันจะอุ้มแม่อยู่เช่นนี้หรือไม่ก็พาเข้าหอเสียเลย”
       เอื้อยแตงกรี๊ดลั่นทั้งทุบตี ด่าสินสารพัด พวกชาวบ้านหันมามอง สินตะโกนบอกชาวบ้าน
       “พี่ป้าน้าอา แม่เอื้อยรับรักฉันยอมเป็นเมียฉันแล้ว”
       “อ้ายสิน อ้ายปากเสีย ปล่อยข้า”
       เอื้อยแตงทั้งทุบ ทั้งหยิก ทั้งบีบคอ จนสินร้องด้วยความเจ็บ จึงยอมปล่อย เอื้อยแตงทั้งเขิน ทั้งอายวิ่ง
       ยิ้มม้วนหนีนำกลับไป สินมองตามยิ้มดีใจที่ความรักภักดีต่อเอื้อยแตงท่าจะเป็นผลสำเร็จ

       พันอินกำลังพูดคุยกับศรีเมืองด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสอยู่ที่บ้านเมื่อตอนหัวค่ำ ศรีเมืองกำลังเจียดหมากเป็นคำๆไว้ให้พันอินทาน พันอินถึงกับหัวเราะชอบใจ
       “แต่เป็นทหารอาสาวิเศษไชยชาญจนได้ยศเป็นหัวหมื่น หมื่นทิพผู้นี้ก็ไม่เคยแปรเปลี่ยนไปเลยยังคงห่ามอยู่เช่นเดิม”
       “แต่หมื่นทิพก็ซื่อตรงแลมีความเพียรนะเจ้าคะพ่อท่าน ควรแล้วที่แม่เอื้อยแตงจักใจอ่อน” ศรีเมืองพูดพลางหัวเราะ
       “อย่ามัวแต่ชื่นชมผู้อื่นเลย ตัวเจ้าเองเล่าไม่ใจอ่อนกับผู้ใดบ้างหรือ”
       ศรีเมืองหน้าขรึมลงแล้วบอก
       “ไม่ดอกเจ้าค่ะ ลูกขออยู่ปรนนิบัติพ่อท่านเช่นนี้ดีกว่า”
       “แม่ศรีเมืองเอ๋ย พ่อชราลงมากนักกลับจากศึกตะนาวศรีครานี้ พ่อรู้ตัวว่าไม่แข็งแรงดังเก่าจึงอยากให้เจ้าเป็นฝั่งเป็นฝาเสียทีพ่อจักได้หมดห่วง”
       ศรีเมืองหน้าเสียเข้าไปจับขาพ่อ
       “อย่าพูดเช่นนั้นเลยเจ้าค่ะพ่อท่าน พ่อท่านต้องอยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้ลูกไปอีกนาน ลูกหาจำเป็นต้องออกเรือนให้ใครดูแลไม่”
       “แม้ว่าคนผู้นั้นจักเป็นคุณพระนายแสนศึกสะท้านน่ะหรือ”
       ศรีเมืองอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเขินอาย
       “อย่าพูดเช่นนี้เลยเจ้าค่ะพ่อท่าน หาเป็นไม่ได้ไม่”
       “ก็ไม่แน่นักดอกแม่ศรีเมือง ภายหน้าหากคนใกล้ตัวเสมาออกเรือนไปสิ้น เสมาจักทนความเงียบเหงาอยู่คนเดียวได้เช่นไร”
       ศรีเมืองอมยิ้มอายๆก้มหน้างุด ลึกๆก็แอบมีความหวังอยู่เหมือนกัน

       หลังจากที่กรุงศรีอยุธยามีชัยเหนือเมืองละแวก และปราบกบฏที่เมืองตะนาวศรีได้สำเร็จ ก็ได้มีการสะสมเสบียงและกำลังพลที่เมืองเมาะลำเลิงเพื่อจะทำศึกกับหงสาวดีต่อไป...บรรดาหัวเมืองใหญ่น้อย ทั้งสิบเก้าแคว้นไทยใหญ่ พสิม เมาะตะมะ หรือแม้กระทั่งตองอูต่างเกรงอำนาจของกรุงศรีอยุธยา ต่างพากันเข้ามาสวามิภักดิ์

       เวลาผ่านไปหลายเดือน สมเด็จพระนเรศวรกำลังประทับนั่งอยู่บนบัลลังก์ในท้องพระโรงเมื่อยามเช้า ทรงอ่านสารขอสวามิภักดิ์ของเมืองตองอูอยู่ โดยมีสมเด็จพระเอกาทศรถ พระเจ้าเชียงใหม่ และเหล่าขุนนาง เข้าเฝ้าอยู่ใกล้ๆ
       สมเด็จพระนเรศวรแย้มสรวลอย่างพอพระทัยแล้วตรัสว่า
       “พระเจ้าตองอูลอบส่งสารมาขอสวามิภักดิ์แก่อโยธยาแล้ว หากเราทำศึกกับหงสาวดีเมื่อใดก็จักช่วยเรารบช่างน่ายินดีนัก”
       พระเอกาทศรถตรัสว่า
       “มาบัดนี้ เมืองใหญ่น้อยล้วนอ่อนน้อมต่ออโยธยาสิ้นเหลือเพียงอังวะกับแปรเท่านั้น แม้ทั้งสองเมืองจะยกทัพมาช่วยเหลือหงสาวดีรบก็ยังไพร่พลน้อยกว่าเรานัก”
       “นับแต่เชียงใหม่ล้านนาสวามิภักดิ์ต่ออโยธยาก็ปราศจากศึกมานานปี อาณาประชาราษฎร์ล้วนอยู่เย็นเป็นสุข หากพระองค์มีพระประสงค์จักตีหงสา เชียงใหม่ก็ขอร่วมรบด้วยพระพุทธเจ้าข้า” พระเจ้าเชียงใหม่บอก
       “ขอบพระทัยพระองค์นัก ครานี้ อโยธยาจักได้ล้างอายที่หงสาวดีเคยกระทำย่ำยีไว้เสียที” สมเด็จพระนเรศวรตรัส

       ในเวลาต่อมา ภายในวัง สมเด็จพระเอกาทศรถพระราชดำเนินมาด้วยพระเจ้าเชียงใหม่
       “ไม่คิดเลยว่าหงสาวดีอันยิ่งใหญ่เกรียงไกร เพียงสิบกว่าปีหลังสิ้นแผ่นดินพระเจ้าบุเรงนองจักต้องมีวันนี้”
       “แม้สมเด็จพ่อจะเชี่ยวชาญการศึกจนผู้คนกล่าวขานว่าเป็นพระเจ้าชำนะสิบทิศ แต่สมเด็จพ่อเคยตรัสว่า ผู้แตกฉานการศึกที่แท้จริงจักเบื่อหน่ายสงคราม แลชัยชำนะที่ไม่ต้องเสียเลือดเนื้อจึงเป็นยอดแห่งชัยชำนะ น่าเสียดายที่สมเด็จพี่ไม่ได้ทำตามรับสั่ง”
       “พระเจ้านันทบุเรงก่อการศึกแทบทุกปีบ้านเมืองจึงอ่อนแอ ที่สุดแล้วแม้แต่หัวเมืองประเทศราชอย่างตองอูซึ่งเป็นวงศ์เดียวกันก็ยังเอาใจออกห่าง”
       พระเจ้าเชียงใหม่สีหน้าเครียดขึ้นมาทันที
       “มีกระไรหรือพระเจ้าข้า”
       “หม่อมฉันทูลตามตรง พระสังกทัตอุปราชแห่งตองอูผู้นี้แม้จะเป็นนัดดาของหม่อมฉัน แต่ก็ไว้ใจได้ยากนัก ศึกหงสาครานี้พระองค์ต้องทรงระวังให้จงดี”
       สมเด็จพระเอกาทศรถมีพระพักตร์เคร่งเครียดขึ้นมาทันที เมื่อพระเจ้าเชียงใหม่ทรงเตือนเรื่องของพระสังกทัต

       สมบุญพาจำเรียงเดินดูเรือนใหม่ที่เพิ่งปลูกเสร็จ ใหญ่โตโอ่อ่าสมฐานะทีเดียว
       “เป็นกระไรบ้างจ๊ะแม่จำเรียง เรือนใหม่ของฉัน”
       “งามนัก สมศักดิ์ของหมื่นเทพท่านแล้ว หากภายหน้ามีวาสนาได้เป็นใหญ่กว่านี้ เรือนนี้ก็ยังพอรับรองผู้คนได้ไม่ต้องสร้างใหม่อีก”
       สมบุญแสร้งปั้นหน้าเศร้าแล้วบอก
       “แต่เรือนนี้ยังขาดไปอีกสิ่ง มิรู้ว่าฉันจักมีวาสนาหามาได้หรือไม่”
       จำเรียงเข้าใจในความหมายของสมบุญจึงไม่กล้าสบสายตา
       “ขาดกระไรหรือ”
       สมบุญยิ้มกรุ้มกริ่มพลางจับมือจำเรียงไว้แล้วบอก
       “ขาดนางผู้มาเป็นศรีเรือนกระไรเล่า มิรู้ว่าแม่จำเรียงจักเมตตามาเป็นศรีเรือนของฉันได้หรือไม่”
       “หัวหมื่นพูดเช่นนี้หาควรไม่ ฉันเป็นหญิงจักตกปากรับคำได้กระไร ต้องสุดแล้วแต่พ่อท่านเท่านั้น”
       “ข้อนั้นไม่ต้องกังวล ฉันจักทำให้ถูกธรรมเนียมบอกกล่าวแก่พ่อลุงมั่นเป็นแน่ สำคัญที่แม่ไม่รังเกียจเดียดฉันข้าทาสเก่าเช่นฉันก็พอ”
       “แล้วฉันไม่เคยตกเป็นทาสหรือ เราสองไม่ต่างกันเท่าใด แล้วจักรังเกียจหัวหมื่นได้กระไร”
       สมบุญยิ้มกรุ้มกริ่มก่อนจะค่อยๆดึงตัวจำเรียงเข้ามากอดไว้แนบอก จำเรียงอยู่ในอ้อมกอดของ
       สมบุญก็เขินอายแต่ก็ไม่ว่าอะไร
       “นับแต่ที่ฉันได้กอดแม่จำเรียงไว้แนบอกเป็นคราแรกเมื่อคืนที่บุกไปช่วยแม่กับพี่เสมา ฉันก็เฝ้าฝันมาตลอดว่าจักได้กอดแม่จำเรียงเช่นนี้อีก แลกอดไว้จนสิ้นลมหายใจของอ้ายสมบุญ”
       จำเรียงยิ่งเขินอายหนักที่สมบุญพูดถึงความหลัง จนหยิกสมบุญแก้เขินไปหนึ่งที สมบุญสะดุ้งด้วยความเจ็บแล้วกอดจำเรียงแนบแน่นกว่าเดิม

       แต้มนอนเมากลิ้งอยู่บนเรือนพระรามเดชะตั้งแต่บ่ายรอบข้างตัวเต็มไปด้วยไหเหล้าเต็มไปหมด สินเดินนำเรไร เอื้อยแตง ลำภู และพิณเข้ามาหาแต้ม
       “กระไรกันหมื่นทิพ ตามคนเสียทั่วเรือนเพื่อจักพามาดูพ่อนายแต้มนอนเมากระนั้นหรือ หรือหมื่นทิพจักอวดว่าเหล้าที่นำมากำนัลนั้นแรงจริงไม่เท่าใดก็เมาเสียแล้ว”
       “ไม่ใช่ดอก รอประเดี๋ยวเถิด” สินบอกพลางยิ้มเจ้าเล่ห์
       เรไร เอื้อยแตง ลำภูและพิณหันไปมองหน้ากันแบบงงๆ ว่าจะให้มาร่วมเป็นพยานเรื่องอะไร สินเข้าไปเขย่าตัวแต้มเบาๆ
       “พ่อลุงแต้มๆ”
       “มีกระไรวะ คนจะนอน”
       “ฉันมีเรื่องอยากจะขอพ่อลุงสักเรื่อง พ่อลุงให้ได้หรือไม่จ๊ะ”
       “ได้ซีวะ คนอย่างอ้ายแต้มใจเป็นแม่น้ำอยู่แล้ว เอ็งจะขอกระไรก็ว่ามา”
       “ฉันอยากจะขอแม่เอื้อยแตงไปเป็นศรีเรือน พ่อลุงให้ได้หรือไม่จ๊ะ”
       เอื้อยแตงและทุกคนตกใจไม่คิดว่า สินจะเล่นอะไรบ้าๆแบบนี้ แต้มสะดุ้งลุกขึ้นจ้องสินตาเขม็ง สินตกใจหน้าเสียนึกว่าผิดแผน แต้มในอาการเมามาย หัวเราะลั่น
       “เอ็งจักขอนังเอื้อยแตงได้ซีวะ เอาไปเลย ข้ารำคาญปากมันเต็มทนแล้ว เอ็งเอาไปเลย”
       แต้มพูดแล้วก็หัวเราะก่อนจะเอนร่างลงนอนกับพื้นต่อ สินตบเข่าฉาดด้วยความดีใจ เอื้อยแตงท้าวสะเอว จ้องหน้าสิน หมั่นไส้ที่กระล่อนเจ้าเล่ห์นัก เรไรถึงกับหัวเราะแล้วพูดขึ้น
       “ เล่นกระไรกัน หมื่นทิพจักสู่ขอน้องสาวฉันทั้งทีถึงกับต้องมอมเหล้าอาแต้มเชียวรึ”
       “พ่อลุงแต้มชังน้ำมะหน้าฉันนัก หากไม่ใช้อุบายมีหรือจะยกแม่เอื้อยแตงให้ ครานี้แม่เอื้อยแตงหนีฉันไม่พ้นดอก”
       เอื้อยแตงเขินอายแล้วแกล้งดุ
       “อ้ายบ้าสิน อุบายบ้าๆเช่นนี้ ใครจักยอมออกเรือนกับเอ็ง”
       อื้อยแตงทิ้งค้อนแล้วรีบเดินหนีไปแต่ก็แอบอมยิ้มอายๆ อยู่ในที สินรีบตามไปทันที
       “ไม่ได้นาแม่เอื้อยแตงมีคนรู้เห็นอยู่เต็มเรือนแล้ว แม่เอื้อยแตงจักบ่ายเบี่ยงได้อย่างไร”
       ทุกคนมองตามสินด้วยความอ่อนใจ ลำภูถอนหายใจแล้วส่ายหน้า
       “อุตริผิดคนนัก เคราะห์ดีที่คุณพระท่านไม่อยู่ หาไม่คงไล่เตลิดไปแล้วที่ทำกับน้องชายท่านเช่นนี้”
       เรไรยิ้มขำๆ นึกถึงความห่ามของเสมาเลยพูดกับตัวเองเบาๆ
       “ศิษย์แลครูไม่ผิดกันเท่าใดเลย”

       เมื่อตอนหัวค่ำ ในบ้านใหม่ของเสมา พันอิน มั่น และเสมากำลังสนทนากันอยู่ที่บริเวณชานเรือน
       “จริงหรือพ่อ อ้ายสินกับอ้ายสมบุญน่ะหรือจะออกเรือนพร้อมกัน” เสมาพูดอย่างนึกไม่ถึง
       มั่นพยักหน้ารับ
       “เมื่อเย็นนี้ หมื่นเทพมาเกริ่นกับพ่อไว้แล้วว่าจักพาเจ้าคุณผู้ใหญ่มาสู่ขอจำเรียง แลยังเล่าเรื่องหมื่นทิพว่าได้สู่ขอเอื้อยแตงจากพ่อแต้มแล้ว คาดว่าคงออกเรือนพร้อมกันเป็นแน่”
       “อ้ายสองคนนี่เป็นเกลอกันแน่นแฟ้นนัก แม้แต่จะออกเรือนก็ยังพร้อมกันเสียอีก” เสมาบอก
       “อย่ามัวแต่ว่าผู้อื่นเลย หัวหมื่นทั้งสองเป็นเสมือนน้องแลลูกศิษย์แต่กลับออกเรือนไปก่อน เจ้าไม่อายบ้างหรือ”
       เสมายิ้มแหยๆ ที่เรื่องเข้าตัวจนได้
       พันอินหัวเราะแล้วว่า
       “อย่าเพิ่งคุยเรื่องนี้เลยพี่มั่น คุณพระนายเพิ่งกลับจากเข้าเวรคงจะหิว ไว้กินกระไรก่อนเถิดแล้วค่อยคุยกัน”
       “คุณหลวงก็เข้าข้างเสียเรื่อย” มั่นบอกหันไปพูดกับเสมา
       “ประเดี๋ยวพ่อไปบอกบ่าวไพร่ให้จัดหาสำรับให้ รอสักครู่เถิด”
       มั่นเดินเลี่ยงไป เสมาหันไปพูดกับพ้นอินด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
       “พ่อท่านมานานแล้วหรือขอรับ”
       “มาแต่เย็นแล้วตั้งใจจะมาหาคุณพระนายนั่นหล่ะ”
       “มีกระไรหรือพ่อท่าน”
       “พ่อตั้งใจจักมาบอกว่า พ่อออกจากราชการแล้ว”
       “พ่อท่าน” เสมาเรียกขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่คาดคิด
       พันอินถอนหายใจแล้วว่า
       “พ่อรู้ตัวว่า ชราลงมากนัก เจ็บไข้ได้ป่วยอยู่บ่อย คงจักฝืนตามเสด็จไปศึกไม่ไหวแล้ว แลทรัพย์สมบัติที่สะสมไว้ก็มีไม่น้อย เกินพอที่จะเลี้ยงตัวแลบ่าวไพร่ พ่อจึงลาออกเสียจะได้ไม่เป็นภาระแก่ผู้อื่นยามไปศึก”
       “เมื่อพ่อท่านตัดสินใจเช่นนั้นก็ตามแต่ใจพ่อท่านเถิด พ่อท่านเหนื่อยยากมามากแล้วควรเป็นสุขในบั้นปลายเสียที”
       “แต่พ่อยังมีห่วงอยู่อีกประการไม่รู้ว่าคุณพระนายจักช่วยพ่อได้หรือไม่”
       “พ่อท่านบอกมาเถิด บุญคุณพ่อท่านมีท่วมหัวเสมาต่อให้บุกน้ำลุยไฟ เสมาก็จะกระทำให้แก่พ่อท่าน”
       “พ่อห่วงศรีเมืองนัก อยากให้ออกเรือนกับคนดีเช่นคุณพระนาย จะได้คุ้มครองปกป้องศรีเมืองต่อไป คุณพระนายช่วยให้พ่อตายตาหลับได้หรือไม่”
เสมาตกใจคิดไม่ถึงว่าพันอินจะยกศรีเมืองให้แบบนี้
//www.manager.co.th/Drama



Create Date : 28 พฤษภาคม 2555
Last Update : 29 พฤษภาคม 2555 9:13:00 น. 0 comments
Counter : 2542 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

atitaya_t
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




สวัสดีค่ะ ขอร่วม gang ด้วยคนค่ะ
Friends' blogs
[Add atitaya_t's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.