เก็บความทรงจำ..(^_^)..ความสนใจ โลกส่วนตัว ที่เราสร้างเอง
Group Blog
 
 
พฤษภาคม 2555
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
22 พฤษภาคม 2555
 
All Blogs
 
ขุนศึก ตอนที่ 6-4 , 7-1


บรรยากาศตลาดยามเช้า มีผู้คนคึกคักมากมาย เสมากำลังยืนคุยกับบัวเผื่อนอยู่
       “ฉันไม่เห็นใครอีกแล้วนอกจากแม่หญิงบัวเผื่อน ที่จะช่วยให้ฉันพ้นทุกข์ครานี้ไปได้ ขอแม่หญิงบัวเผื่อนจงเมตตาฉันสักคราเถิด”
       บัวเผื่อนกระหยิ่มยิ้มย่อง
       “ออกขุนขอร้องฉันถึงเพียงนี้ มีรึ ที่ฉันจะไม่ช่วย”
       “ขอบน้ำใจแม่หญิงนัก แต่ข้าพระเจ้าเกรงว่าแม่หญิงจะเดือดร้อน ต้องผิดใจกับหมื่นชาญณรงค์แลหมื่นทรงเดชะ หากเป็นเช่นนั้น ข้าพระเจ้าคงมิอาจสบายใจได้เลย”
       บัวเผื่อนทิ้งค้อนเพราะยังแค้นพุฒอยู่
       “ผิดใจก็ผิดใจซี สองหมื่นนั่นจักมีปัญญาทำกระไรฉัน ออกขุนไม่ต้องห่วงดอก เพียงแค่อยากปะหน้าแม่เรไรเท่านั้น มิใช่เรื่องลำบากยากเย็นกระไรดอก”
       เสมาแอบยิ้มพอใจที่แผนดึงบัวเผื่อนเป็นมิตร สำเร็จอย่างงดงาม

       ภายในตำนัก เรไร ศรีเมือง และนางข้าหลวงกลุ่มหนึ่งกำลังจับกลุ่มร้อยมาลัยอยู่ ศรีเมืองร้อยมาลัยเสร็จก็ยื่นให้เรไรดู
       “แม่หญิงเรไรเจ้าคะ ใช้ได้หรือไม่เจ้าคะ”
       เรไรรับมาลัยมาตรวจดูความเรียบร้อยแล้วยิ้มพอใจ
       “งามไม่น้อย ฝีมือของแม่ศรีเมืองดีกว่าตอนเข้าวังมามากนัก”
       “ขอบน้ำใจเจ้าค่ะ”
       บัวเผื่อนถือพานใส่ดอกมะลิเข้ามาให้กลุ่มนางข้าหลวงพอดี บัวเผื่อนเหล่มองเรไร แล้วแกล้งทำทีปวดท้องร้อง
       “ โอ๊ยๆๆ”
       ทุกคนหันไปมองบัวเผื่อนด้วยความตกใจ
       “เป็นกระไรรึแม่บัวเผื่อน” เรไรถามขึ้น
       บัวเผื่อนเอามือกุมท้อง
       “ฉันปวดท้องนักมิรู้ว่าเป็นกระไร แม่เรไรช่วยฉันด้วยเถิด”
       ศรีเมือง เป็นห่วงจะเข้าไปช่วย
       “ประเดี๋ยวศรีเมืองพาแม่หญิงไปหาหมอหลวงเองจ้ะ แม่หญิงบัวเผื่อนแข็งใจหน่อยนะจ๊ะ”
       บัวเผื่อนหน้าเสียรีบปัดมือศรีเมืองออก
       “ไม่ต้อง ยาหมอหลวงไม่ถูกโรคกับฉันดอก ฉันอยากไปหาขุนรักษาสรรพโรค แม่เรไรช่วยพาฉันไปที”
       “ก็แม่บัวเผื่อนยังมิรู้ว่าตนเป็นโรคกระไร แล้วเหตุใดจึงรู้ว่ายาท่านหมอหลวงไม่ถูกโรค ต้องไปรักษากับขุนรักษาสรรพโรคเล่า”
       บัวเผื่อนหน้าเสีย รีบร้องโอดโอยเสียงดังกลบเกลื่อน
       “โอ๊ยๆ ปวดนัก ปวดเหลือเกินแล้ว แม่เรไรช่วยฉันด้วย โอ๊ย”
       “ มาๆ ขุนรักษาใช่หรือไม่ ฉันพาไปเอง”
       เรไรรีบเข้าไปช่วยประคองบัวเผื่อนเดินเลี่ยงไป

       เรไรประคองบัวเผื่อนที่ร้องโอดโอย มาจนถึงท่าน้ำท้ายวัง ซึ่งมีคนแจวเรือโพกผ้าคลุมหน้าจอดเรือรออยู่
       “แข็งใจหน่อยแม่บัวเผื่อน เรือนขุนรักษาต้องลงเรือข้ามฟากไป อีกสักครู่ก็ถึงแล้ว”
       เรไรหันไปพูดกับคนแจวเรือ
       “มีคนเจ็บจ้ะ ช่วยประคองลงเรือหน่อยเถิด”
       “แม่หญิงลงเรือก่อนเถิดจะได้ประคองคนเจ็บเอง ฉันเป็นชายไม่ใคร่เหมาะนักที่จักแตะเนื้อต้องตัวแม่หญิงฝ่ายใน”
       เรไรเห็นด้วย เลยค่อยๆลงเรือไป เพื่อรอรับบัวเผื่อน
       “แม่บัวเผื่อน มาเถิด”
       ทันทีที่เรไรลงเรือ บัวเผื่อนก็หายจากอาการปวดท้องเป็นปลิดทิ้งแถม ยิ้มเจ้าเล่ห์อีกต่างหาก
       “ฉันหายแล้ว เชิญแม่เรไรล่องเรือให้สำราญเถิด”
       เรไรอึ้งปนงง ทันใดนั้น เสมาผลักเรือออกจากฝั่งทันที
       “นี่กระไรกัน หยุดประเดี๋ยวนี้นะ”
       ชายแจวเรือปลดผ้าคลุมหน้าออก ...เสมายิ้มให้ เรไรอึ้งไปครู่หนึ่ง ไม่คิดว่าเสมาจะร่วมมือกับบัวเผื่อนแบบนี้
       “เจ้าเล่ห์แสนกลนัก”
เรไรทิ้งค้อนใส่เสมาแต่แอบอมยิ้ม เสมามองเรไรไม่วางตา ยิ้มปลาบปลื้มชื่นใจที่ได้เจอ
ขุนศึก ตอนที่ ๖ (ต่อ) 

บรรยากาศริมน้ำตกที่แสนจะสวยงาม เสมาและเรไรนั่งคุยกันอยู่ริมโขดหิน เรไรหน้าตาบึ้งตึงงอนที่ถูกเสมาหลอก เสมายิ้มขำแล้วว่า

       “ยังไม่หายเคืองข้าพระเจ้าอีกรึแม่หญิง จักให้ข้าพระเจ้าขอขมาก็ได้ ขอแม่หญิงจงอภัยให้เสมาเถิด”
       “แล้วนี่ไปดีกับแม่บัวเผื่อนตั้งแต่เมื่อใด จึงได้ร่วมกันหลอกฉันเช่นนี้”
       “อย่าเรียกว่าหลอกเลย แต่ด้วยสุดคิดถึงแม่นักเรไรเอ๋ย กว่ากึ่งปีแล้วมิได้เห็นหน้า ใจเสมาจะขาดรอนแล้ว จะมีผู้ใดในอโยธยา ที่ได้ยากลำบากเพราะรักเช่นเสมานี้บ้าง”
       “แล้วฉันไม่ได้ยากเพราะรักหรือ เจ็บทั้งตัว ได้ทั้งอาย มีแต่ผู้คนสมน้ำมะหน้า จะหาผู้ใดเห็นใจแม้สักน้อยยังไม่มี”
       เสมามองเรไรด้วยความสงสารจับใจ แล้วดึงเรไรเข้ามากอด เรไรตกใจ แต่ซักพักก็สัมผัสได้ถึงความรักความอบอุ่นที่เสมามีให้ โดยปราศจากอารมณ์ชู้สาวแม้แต่น้อย เรไรกอดเสมาตอบด้วยความรักเช่นเดียวกัน
       “แม่หญิงสุดรักของเสมา เพราะข้าพระเจ้าไม่เจียมด้วยศักดิ์ตัว จึงดึงแม่หญิงมาทุกข์ด้วยโดยแท้ บัดนี้แม้มีศักดิ์เป็นถึงขุน แต่ก็ยากจนนักแลไร้ซึ่งผู้อุปการะสุดปัญญาแล้วที่จะมั่งมีได้หากแม่หญิงจะเปลี่ยนใจ เสมาก็หาตำหนิไม่”
       เรไรนิ่งคิด ย้อนไปถึงคำพูดของอำพันที่ดังก้องในหัวของเรไรอีกครั้ง
       “แต่คนเรา มิได้มีแต่ใจเท่านั้นดอกนะแม่เรไร ศักดิ์ฐานะเสมอกันก็จำเป็นมิใช่น้อย กว่าจะถึงฤกษ์แต่งก็กว่าสองปี แม่เรไรจงตรองคำป้าให้ดีเถิด”
       เรไร นิ่งคิดในคำพูดของอำพัน แม้จะรักเสมามากแต่ที่อำพันพูดก็มีเหตุผลไม่น้อย
       “พ่อแม่ท่านตำหนิว่าฉันไม่รักศักดิ์รักตระกูล หากเสมาไม่อาจเทียมหน้า เทียมตาฉันได้จริง แล้วฉันจะกล้าดื้อดึง ให้พ่อแม่ท่านเสียใจมากกว่านี้ได้อย่างไร”
       เสมาหน้าสลดลงไปเพราะคิดว่าเรไรคงเลิกแน่
       “แต่ฉันก็ถือหัวใจสำคัญไม่แพ้ศักดิ์ตระกูล แม้มิได้คู่กับเสมา ฉันก็ไม่ขอเป็นหญิงชั่วสองใจเป็นอันขาด”
       เสมาดีใจสุดๆ สวมกอดเรไรไว้แน่นกระชับยิ่งขึ้นราวกับจะไม่ยอมให้จากไปไหนอีกเลย เรไรน้ำตาคลอตาด้วยความอัดอั้นตันใจ คู่กอดกันอยู่ริมน้ำตกด้วยความรักเต็มเปี่ยมที่มีให้แก่กัน

       ภายในบ้านของเสมา จำเรียงกำลังป้อนข้าวให้บุญเรือนที่ล้มป่วยกระเสาะกระแสะ บุญเรือนทานข้าวด้วยสีหน้าแช่มชื่นมีความสุขที่มีจำเรียงคอยดูแล มั่นเดินเอายาหม้อมาเทใส่ชาม เพื่อเตรียมให้บุญเรือนทาน
       “แม่เอ็งป่วยกระเสาะกระแสะมานานนัก ดีที่ได้เอ็งดูแล พักหลังจึงมีแรงขึ้นมาก”
       “หากฉันไม่ต้องคอยหลบๆซ่อนๆก็คงดูแลแม่ได้มากกว่านี้จ้ะพ่อ”
       “เพียงเท่านี้ก็พอแล้ว แม่ไม่ได้เป็นกระไรมากดอกสำคัญที่เอ็งต้องรักษาตัวให้ดี อย่าให้ถูกจับไปอีก”
       “แม่ไม่ต้องห่วงดอก กว่ากึ่งปีแล้วไม่มีกระไรพวกหมื่นชาญคงเลิกหาฉันแล้ว”
       ขณะนั้นเอง เอื้อยแตงก็เดินขึ้นเรือนมาแล้วว่า
       “อย่าเพิ่งย่ามใจไปแม่จำเรียง หมื่นชาญณรงค์เป็นดั่งงูพิษ แม้จักเลื้อยช้าเพียงใดแต่ก็มีพิษอยู่ทั่วตัวประมาทไม่ได้ดอก”
       เอื้อยแตงหันไปยกมือไหว้มั่นและบุญเรือน
       “ฉันไหว้จ้ะ พ่อลุงแม่ป้า”
       มั่น และบุญเรือนรับไหว้
       “เอื้อยแตงพูดถูกแล้ว เอ็งกลับไปเถิดจำเรียง หากมีผู้ใดมาเห็นเข้าแล้ว เอาไปบอกหมื่นชาญ เอ็งจะเดือดร้อน” บุญเรือนเห็นด้วยกับเอื้อยแตง
       “จะมีผู้ใดเล่าจ๊ะแม่ ที่นี่มันเรือนของเรานะจ๊ะ”
       “ถึงกระนั้นก็หาควรประมาทไม่ เอ็งรีบกลับไปเถิด” มั่นบอก
       “จ้ะ”
       จำเรียง และเอื้อยแตงไหว้ลามั่นกับบุญเรือนก่อนที่จะลงจากเรือนไป เอื้อยแตงเห็นจำเรียงไม่ยอมปิดบังใบหน้าเลยปราม
       “แม่จำเรียง คลุมหน้าคลุมตาอำพรางเสียซิ”
       จำเรียงยิ้มขำในความระแวงของเพื่อน ก่อนจะเอาผ้าคลุมไหล่คลุมหน้าคลุมตาไม่ให้คนเห็น แล้วเดินลงจากเรือนไปพร้อมเอื้อยแตง
       ลูกน้องของขันคนหนึ่งคอยซุ่มแอบดูอยู่ พอเห็นทั้งคู่ลงจากเรือนไปก็มองตามอย่างจับตา

       เย็นวันนั้น ขันสะใจมากที่ได้ข่าวจากลูกน้องว่าเจอตัวจำเรียงแล้ว
       “มิเสียแรงที่ให้คนซุ่มดูอยู่นาน ในที่สุดก็เจอตัวนังจำเรียงจนได้”
       “ฉันบอกหมื่นชาญแล้วว่า ที่นังจำเรียงหนีไปหัวเมืองเป็นเพียงแต่อุบายลวง แต่เสียดายที่น่าจักเฉลียวใจก่อนหน้านี้ ว่าอ้ายเสมารู้จักมักคุ้นกับนังเอื้อยแตงบ้านสัมพนี มิเช่นนั้น คงได้ตัวมาเสียนานแล้ว” พุฒว่า
       “ถึงตอนนี้ก็ไม่ช้าเกินไปดอก ไม่เกินคืนพรึ่งนี้ ฉันจะฉุดนังจำเรียงกลับมาให้จงได้”
       “ฉุดรึ แล้วถ้าฉันจะขอฉุดนังเอื้อยแตงเป็นของติดไม้ติดมืออีกคนเล่า หมื่นชาญเห็นเป็นเช่นใด”
       ขัน และพุฒ มองหน้ากันก่อนจะหัวเราะอย่างสะใจที่คิดแผนชั่วเอาไว้เสร็จสรรพ

       เย็นวันเดียวกัน แต้มไล่ตะเพิดสินออกจากเรือน สินวิ่งหนีบไหเหล้า ตาลีตาเหลือกลงจากเรือนไป แต้มหันซ้ายหันขวา เจอท่อนฟืนวางอยู่เลยหยิบขึ้นมาจะเขวี้ยงใส่
       “ไป ไปให้พ้นหน้าข้า หนอย อ้ายขี้กลาก พอข้าให้เข้านอกออกในเข้าหน่อย คิดจักเกี้ยวลูกสาวข้าเชียวรึ เช่นนี้มันต้องเอาเลือดหัวออก”
       สินกลัวแต้มจนร้องเสียงหลง
       “อย่าจ้ะพ่อแต้ม ถึงฉันคิดจักเกี้ยวแม่เอื้อยแตง แต่ฉันหาได้ทำเสื่อมเสียไม่นะจ๊ะ แล้วฉันยังนับถือพ่อแต้มนัก นี่ก็ตั้งใจจะมาไหว้โดยแท้”
       “เอ็งไม่ต้องมาเล่นลิ้น ข้าหาดีใจที่คนอย่างเอ็ง...”
       สินเปิดไหเหล้าออก กลิ่นหอมของเหล้ากระจายออกจนแต้มอึ้ง พูดไม่ออก สินเอามือพัดกลิ่นให้ยิ่ง
       กระจายออก แต้มทำจมูกฟุตฟิตสูดกลิ่น แล้วกลืนน้ำลายอึกใหญ่ กลิ่นหอมเกินห้ามใจจริงๆ
       “สุราชั้นดีไหนี้ ฉันตั้งใจเอามากำนัลแก่พ่อแต้ม ... หอมเสียนี่กระไร น่าเสียดายนัก ที่ฉันจะต้องกินคนเดียว”

       เวลากลางคืน สมบุญเดินหงุดหงิดอยู่ที่หน้ากระท่อมของตน คอยชะเง้อรอสินกลับ แต่สินก็ไม่กลับซะที กระท่องเล็กๆหลังนี้ สมบุญเอาเงินที่ได้จากการไปศึก มาซื้อที่ปลูกกระท่อมเล็กๆอยู่ หลังจากที่ไม่ได้เป็นทาสแล้ว
       เสมาเดินถือคบไฟกลับเข้ามาหาสมบุญ
       “อ้าว ยังไม่นอนอีกรึ”
       “ก็รออ้ายสินมันน่ะซีพี่เสมา ไม่รู้มันไปเมาอยู่ที่ใด คิดผิดนักที่ให้มันอยู่ด้วย เวรกรรมแท้”
       “อ้ายสินมันได้สุราดีมาก็เลยเอาไปกำนัลอาแต้ม หวังจะเข้าทางผู้ใหญ่”
       “แล้วเหตุใดมันไม่บอกฉัน ฉันจะได้ถือโอกาสไปหาแม่จำเรียงด้วย”
       เสมายิ้มขำๆ เปิดโอกาสให้สมบุญ
       “เอ็งก็ไปตามมันซี พรึ่งนี้มีฝึกทหารแต่เช้า หากไปสายโทษหนักเชียวนา”
       “จ้ะๆ ฉันจะไปตามมันประเดี๋ยวนี้หล่ะจ้ะ”
       สมบุญหันไปหยิบคบไฟ แล้วรีบไปด้วยความดีใจ เสมามองตามแล้วก็อมยิ้ม

       สินและแต้ม เมาเละอยู่ที่แคร่หน้าเรือน โดยมีเอื้อยแตงและจำเรียงยืนมองอยู่ด้วยสีหน้าเซ็งๆ
       “อ้ายบ้าสิน ดันเอาสุรามาให้พ่อข้า เมามายเช่นนี้ก็ลำบากข้าอีก”
       “ช่างเถิดแม่เอื้อยแตง อาแต้มอยากสุรามานานวันแล้ว ให้กินเสียบ้างไม่เป็นกระไรดอก”
       เอื้อยแตงหงุดหงิด แล้วทั้งคนก็ช่วยกันหิ้วปีกแต้มที่เมาเละขึ้นเรือน
       “พาพ่อฉันขึ้นเรือนคนเดียวก็พอ ทิ้งอ้ายสินไว้ที่นี่เถิด”
       “อ้าว แล้วยุงจะไม่กัดแย่รึ”
       “กัดสิดี ต่อไปจะได้เข็ดหลาบ ไม่มาชวนพ่อฉันเช่นนี้อีก”
       เอื้อยแตงและจำเรียงหิ้วปีกแต้มจะพาขึ้นเรือน ทิ้งให้สินนอนเมาอยู่ที่แคร่คนเดียว
       สินเมา พลิกตัวไปกอดไหเหล้าแล้วยิ้มกรุ้มกริ่มจูบไหเหล้าจุ๊บๆอย่างมีความสุข
       “แม่เอื้อย แม่เอื้อยแตงจ๋า”
       เอื้อยแตงและจำเรียงหันกลับไปมอง จำเรียงอดขำไม่ได้ เอื้อยแตงปั้นหน้าไม่ถูก รีบประคองแต้มขึ้นบ้านด้วยความกระดากอาย
       “ลามกจกเปรต” เอื้อยแตงพึมพำ

       สมบุญเดินหงุดหงิดถือคบไฟมาตามทาง
       “อ้ายสินนะอ้ายสิน หาแต่เรื่องเดือดร้อนมาให้ข้า ถ้าไม่ติดว่าจะได้ปะหน้าแม่จำเรียง จะปล่อยให้โดนโทษเสียให้หนัก”
       ทันใดนั้นเอง สมบุญก็เหลือบเห็นคนกลุ่มหนึ่งถืออาวุธครบมือ ใช้ผ้าปกปิดหน้าตา เดินลัดไปตามป่าข้างทาง สินรีบดับคบไฟของตนแล้วซ่อนตัวหลังต้นไม้ทันที สมบุญชะโงกหน้าไปมองตาม ดึกดื่นป่านนี้คนกลุ่มนี้ต้องเป็นโจรไปปล้นที่ไหนซักแห่งแน่

       สินยังคงเมาไม่ได้สติอยู่ที่แคร่หน้าบ้าน ก่อนจะพลิกตัวตกแคร่ลงมานอนที่พื้นก็ยังไม่รู้สึกตัว ขณะนั้นเอง ขัน พุฒ และบรรดาลูกน้องที่มีผ้าปิดหน้าปิดตาต่างกรูกันขึ้นไปบนเรือน ด้วยความมืดเลยไม่มีใครมองเห็นว่าสินนอนอยู่บนพื้น
       พอพวกขัน และพุฒขึ้นไปบนเรือนก็บุกเข้าห้องต่างๆทันที แล้วลากเอาเอื้อยแตง จำเรียง และแต้มออกมาจากห้อง
       เอื้อยแตง จำเรียง และแต้มส่งเสียงร้องโวยวาย แต่ร้องได้ไม่เท่าไหร่ พอเจอดาบขู่ก็ตกใจหน้าซีดไม่กล้าร้องโวยวายอีก
       แต้มยกมือไหว้ด้วยความกลัวพลางกล่าวว่า
       “อย่าทำกระไรฉันเลยพ่อคุณ อยากได้กระไรก็เอาไปเถิด”
       “คนเช่นพวกเอ็งจะมีกระไรให้ข้าได้วะ”
       เอื้อยแตงได้ยินก็เอะใจ
       “รู้ว่าพวกเรายากจน แล้วยังจะมาปล้นอีกรึ พวกเอ็งต้องการกระไรกันแน่”
       ขัน และพุฒอึ้งไป ไม่คิดว่าจะโดนเอื้อยแตงจำผิดง่ายๆแบบนี้
       “ชักช้าอยู่อีก พานังสองคนนี่ไปเถิด” พุฒตัดบท
       “อย่าทำลูกข้าเลย”
       แต้มจะเข้าไปขวาง แต่กลับโดนขันต่อยเข้าเต็มหน้าจนสลบเหมือด
       “พ่อ” เอื้อยแตงร้องขึ้น
       เอื้อยแตงพยายามดิ้นสู้ แต่โดนพุฒชกท้องเข้าเต็มๆจนจุก ดิ้นไม่ออก พวกลูกน้องลากจำเรียง และเอื้อยแตงไปโดยทิ้งให้แต้มนอนสลบอยู่ที่พื้น พวกลูกน้องขันจะลากจำเรียง และเอื้อยแตงลงจากเรือน แต่ทันใดนั้นก็มีไม้ท่อนหนึ่งหวดเข้าใส่ลูกน้องขันจนจุก แล้วหวดใส่หน้าจนสลบกลิ้งตกบันไดลงมา ขัน และพุฒตกใจ หันไปมองตามปรากฏว่าคนที่ลอบทำร้ายพวกตนคือสมบุญนั่นเอง สมบุญถือไม้สองท่อนแทนดาบสองมือ ยืนจังก้าอยู่ที่ตีนบันได
       “ปล่อยแม่เอื้อยแตงกับแม่จำเรียงประเดี๋ยวนี้ ไม่เช่นนั้นกูจะฆ่าทิ้งเสียให้หมด” สมบุญตะคอก
       “สมบุญ ช่วยฉันด้วย”
       ขันรีบฉุดมือจำเรียงไว้ไม่ให้หพลางนีตะโกนสั่ง
       “เข้าไปสิวะ ไม้แค่สองท่อนพวกมึงกลัวรึ”
       พวกลูกน้องขันกรูกันลงจากเรือน แต่สมบุญยึดชัยภูมิได้เปรียบ เพราะอยู่ที่ตีนบันไดฝ่ายตรงข้ามลงบันไดมาได้ทีละคน เลยโดนสมบุญใช้ไม้หวดกระเจิงไปทุกคน
       “พวกเอ็งถอยไป ข้าเอง”
       ขันชักดาบสองมืออกมาแล้วตะลุยลงไปสู้กับสมบุญ สมบุญสู้กับขันตัวต่อตัว สมบุญมีแค่ไม้ไหนเลยจะสู้ดาบและฝีมือของขันที่เหนือกว่าได้ แค่ไม้ปะดาบกันได้ไม่กี่ครั้ง สมบุญก็ถูกรุกไล่ เปิดทางให้พวกที่เหลือลงจากเรือนได้จนหมด สมบุญเหลือบไปเห็นสินนอนอยู่บนพื้น
       “อ้ายบ้าสินจะถูกฆ่าอยู่แล้ว เอ็งยังมีกะใจจะนอนอีกรึ” สมบุญสู้ไปพูดไป
       สมบุญหลบดาบขันได้ เลยฉวยโอกาสเข้าไปเตะสินที่นอนไม่รู้เรื่องซักหนึ่งทีให้หายแค้น สินถูกเตะจนสะดุ้งตื่น
       “โอ๊ย ใครวะ”
       สินลืมตาขึ้นมา เห็นลูกน้องขันคนหนึ่งกำลังเงื้อดาบจะฟันพอดี สินรีบพลิกตัวหลบไปได้ชนิดเส้นยาแดงผ่าแปด ก่อนจะลนลานไปหยิบไม้ไผ่ที่ใช้ตากผ้า ขึ้นมาใช้แทนทวน สินหายเมาเป็นปลิดทิ้ง เข้าไปช่วยสมบุญสู้ ทั้งสองคนมีฝีมือเก่งกาจขึ้นมาก แม้จะมีแค่สองคน แต่พวกลูกน้องขันก็โดนเล่นงานกระเจิดกระเจิงสู้ไม่ได้ พุฒเห็นท่าไม่ดี หันไปพูดกับขัน
       “พานังสองคนนี่หนีก่อนเถิด”
       “เช่นนั้นก็แยกย้ายกัน แล้วค่อยไปพบกันที่เรือน” ขันว่า
       ขันดึงมือจำเรียงลากไป ในขณะที่พุฒก็ลากเอื้อยแตงไปอีกทาง สิน และสมบุญตกใจ แต่โดนพวกลูกน้องขันพัวพัน เลยตามไปไม่ได้ ทั้งคู่ช่วยกันต่อสู้ จนเล่นงานลูกน้องขันล้มคว่ำไปหมดก่อนจะรีบแยกย้ายกันตามไป

       ขันดึงแขนพาจำเรียงหนีมาที่ป่าข้างทาง จำเรียงพยายามดิ้นสู้
       “ฉันไม่ไป ปล่อยฉัน”
       “หุบปาก หากไม่ตามข้ามาดีๆ จะเชือดคอทิ้งเสียประเดี๋ยวนี้เลย” ขันตะคอกใส่ จำเรียงกลัวเลยต้องจำใจให้ขันพาตัวไป
       แต่ทันใดนั้น สมบุญก็ตามมาทันแล้วตวาดลั่น
       “ปล่อยแม่จำเรียงประเดี๋ยวนี้”
       ขันหันกลับไปมองสมบุญด้วยสายตาโหดเหี้ยม ก่อนจะผลักจำเรียงออกไป จำเรียงรีบหนีไปหลบ แต่สายตาก็คอยมองเอาใจช่วยสมบุญอยู่ตลอดเวลา
       “ฝีมือดาบเอ็งสูงนัก มิใช่โจรทั่วไปเป็นแน่ เอ็งเป็นผู้ใดกัน”
       “รอเอ็งตายเมื่อใดก็จะรู้เอง” ขันว่า
       ขันบุกเข้าใส่สมบุญ สมบุญก็ใช้ไม้ต่างดาบสองมือเข้าสู้อย่างดุเดือด ทั้งคู่ผลัดกันรุกผลัดกันรับอย่างคู่คี่สูสี
       ข้างฝ่ายสิน กำลังใช้ไม้พลองต่อสู้กับพุฒที่ใช้ดาบมือเดียวอย่างดุเดือดเช่นกัน โดยมีเอื้อยแตงคอยหลบอยู่ใกล้ๆ สินหลบดาบของพุฒ แล้วใช้ไม้หวดกลับ จนพุฒต้องถอยฉากหลบอย่างหวุดหวิด
       “เอ็งจับดาบพิกลนัก มิใช่อาวุธถนัดของเอ็งเป็นแน่ แล้วเช่นนี้จะสู้ข้าได้รึ”
       “ฝีมืออ้ายไพร่ต่ำสกุลอย่างเอ็ง จะสักเท่าใดกันเชียว”
       พุฒบุกเข้าสู้ต่อ แต่สินก็ควงไม้พลองเข้าสู้ ฝีมือของทั้งคู่สูสีกัน ผลัดกันรุกรับอย่างดุเดือด เอื้อยแตงเห็นทั้งคู่สู้กันสูสี ก็ชักห่วงว่าสินจะแพ้ มองซ้ายมองขวาหาตัวช่วย เลยหยิบดินที่พื้นขึ้นมากำหนึ่ง พอได้จังหวะที่พุฒ และสินกำลังต่อสู้กัน เอื้อยแตงก็เอาดินในมือปาเข้าใส่หน้าจนพุฒเคืองตา
       “โอ๊ย”
       สินได้จังหวะเลยหวดไม้เข้าเต็มท้องพุฒ แล้วถีบซ้ำ จนพุฒล้มคว่ำลงกับพื้น เมื่อพุฒบาดเจ็บก็ชักกลัว เลยรีบลนลานหนีไปทันที
       ข้างฝ่ายสมบุญต่อสู้กับขันอย่างสูสี ขันเห็นท่าไม่ดีจะรีบเผด็จศึก เลยงัดไม้ตายจากสำนักอาจารย์บ่ายออกมา สมบุญเจอไม้ตายติดๆกันหลายเพลง ไม้ที่ใช้เป็นอาวุธก็ถูกขันฟันขาดสะบั้น แล้วถูกขันพลิกตัวเตะจระเข้ฟาดหาง จนสมบุญล้มคว่ำลงกับพื้นเลือดกบปาก สมบุญเจ็บจนลุกไม่ขึ้น แต่ฉุกคิดขึ้นมาได้
       “เพลงดาบสำนักบ้านเผาข้าว ...อ้ายขัน”
       ขันตกใจ ไม่คิดว่าสมบุญจะรู้
       “มึงรู้เช่นนี้แล้วก็อย่าอยู่เลย”
       ขัน เงื้อดาบจะฟันสมบุญ กะเอาให้ตาย
       “อย่า” สมบุญร้องขึ้น
       ขาดคำ เสมาก็โผล่พรวดเข้ามากระโจนเข่าลอยเข้ามากระแทกขันจนล้มคว่ำลง เสมาตั้งท่ามวยไทยเตรียมสู้เต็มที่ ขันตกใจที่เจอเสมา พอสมบุญตั้งหลักลุกขึ้นมาอีกคน ขันก็หน้าเสีย ขันเห็นท่าไม่ดี เลยรีบหนีไปทันที จำเรียงรีบเข้าไปหาสมบุญด้วยความเป็นห่วง
       “สมบุญ เป็นเช่นไรบ้าง”
       สมบุญบาดเจ็บไม่น้อยแต่ก็ดีใจที่รู้ว่าจำเรียงเป็นห่วง ในขณะที่เสมามองตามขันไปด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
จบตอนที่ ๖
ขุนศึก ตอนที่ ๗ 

บนบ้านของแต้ม จำเรียงกำลังทำแผลให้สมบุญ ในขณะที่สินก็กำลังเอายาแก้ช้ำในให้แต้ม ส่วนเอื้อยแตงทายาให้แต้ม โดยมีเสมายืนหน้าเคร่งเครียดอยู่ใกล้ๆ

       “นับว่าเอ็งยังไม่ถึงฆาตถึงได้มีคนมาสั่งให้ข้าตีดาบยามดึก ข้าเลยตามมาบอกเอื้อยแตงให้หาเหล็ก มิเช่นนั้น เอ็งคงไม่รอดแล้วอ้ายสมบุญ”
       “หากเป็นโจรทั่วไปคงไม่พอมือฉันดอกพี่เสมา แต่นี่เป็นอ้ายขันปลอมตัวมาเป็นแน่”
       “ถ้ากระนั้นอ้ายคนที่สู้กับข้าก็คงเป็นอ้ายพุฒ เสียดายนัก น่าจะตามไปจับเป็นมันกลับมา”
       “หากเป็นหมื่นชาญณรงค์กับหมื่นทรงเดชะ เหตุใดไม่แจ้งนครบาลมาจับตัวฉันเล่า ต้องปลอมเป็นโจรไปเพื่อกระไร”
       “ก็เพราะมันหมายจะย่ำยีฉันกับแม่จำเรียงน่ะซี จึงปลอมเป็นโจรมาฉุดเราสองคนไป” เอื้อยแตงว่า
       “มันคงแค้น ที่ข้าบุกไปถึงเรือนมันช่วยจำเรียงออกมา แลเอ็งยังให้ที่พักพิงแก่จำเรียงอีก มันจึงไม่แจ้งนครบาลแต่แสร้งปลอมเป็นโจรมา”
       แต้มพาลโมโห
       “เพราะเอ็งแท้ๆเทียวอ้ายเสมา หาเรื่องเดือดร้อนมาให้ข้า ข้ากับลูกเกือบต้องกลายเป็นผีเพราะเอ็งแล้ว”
       เสมา และจำเรียงหน้าเสียไปทันที
       “พ่อ เหตุใดพูดเช่นนี้เล่า” เอื้อยแตงพูดขึ้น
       “รึไม่จริง หากไม่ใช่เพราะอ้ายเสมาชิงตัวนังจำเรียงมาอยู่ที่นี่ ข้ากับเอ็งจักโดนเช่นนี้รึ ฟ้าสางเมื่อใด เอ็งพาน้องเอ็งไปอยู่ที่อื่นเถิด ข้าไม่อยากรับเคราะห์อีก”
       แต้มเดินหงุดหงิดกลับเข้าข้างในไป ทุกคนพากันหน้าเสียไปหมด เสมาหนักใจ ไม่อยากให้คนอื่นต้องเดือดร้อน แต่ถึงอย่างไรจะให้ทิ้งจำเรียงได้อย่างไร

       ตอนเช้าตรู่ เสมา สิน และสมบุญในชุดทหารกำลังคุยกับจำเรียงอยู่ที่หน้ากระท่อมของสมบุญ โดยจำเรียงกำลังช่วยกวาดถูกระท่อมไปคุยกับพวกเสมาไป
       “เอ็งอยู่ที่นี่ไปก่อน มีโอกาสเมื่อใด ข้าจะพาเอ็งไปหลบที่หัวเมือง อย่างน้อยข้าก็เป็นแม่กองอาสาเมืองวิเศษไชยชาญพอจักมีผู้คนเมตตาข้าอยู่บ้างดอก” เสมาบอก
       “ขอบพระคุณจ้ะพี่เสมา แต่ถ้าต้องไปหลบถึงหัวเมือง ฉันก็ห่วงพ่อกับแม่นักฝากพี่ดูแลพ่อแม่ด้วยเถิด”
       “จะต้องฝากไปไย ข้าก็ลูกเหมือนกันเอ็งไม่ต้องห่วงดอก หากข้าไม่อยู่เอื้อยแตงก็ช่วยดูแลเอง”
       จำเรียงยิ้มรับ ใจชื้นขึ้นเยอะ สมบุญยิ้มกรุ้มกริ่ม
       “แม่จำเรียงจ๊ะ ฉันจักไปฝึกก่อน เสร็จเมื่อใดจะกลับมาอยู่เป็นเพื่อนนะจ๊ะ”
       จำเรียงเขินอาย หลบสายตาสมบุญ เสมากระแอมด้วยความหวงน้อง
       “อ้ายสมบุญเอ็งกับอ้ายสินไปค้างที่วัดพุทไธสวรรย์เถิด ข้าจะอยู่กับจำเรียงเอง”
       สมบุญจ๋อยสนิท สินหัวเราะเยาะ
       “สมน้ำมะหน้า”
       “ไปเถิด ได้เพลาแล้ว ประเดี๋ยวจะสาย” เสมาบอก
       เสมาเดินนำสิน และสมบุญไป
       “อีกประเดี๋ยวก็ต้องเจอหน้าอ้ายขันอ้ายพุฒอีก ฉันยังเจ็บใจมันไม่หาย หากอดใจไม่อยู่ พี่ไปเยี่ยมฉันในคุกด้วยนาพี่เสมา” สินว่า
       “ไม่ต้องถึงขั้นนั้นดอก พวกมันข่มเหงข้ากับน้องหลายครั้งหลายครา แล้วยังต้องติดคุกเพราะมันอีกรึ ข้าจะแก้แค้นพวกมันโดยมิต้องออกแรงเอง”
       เสมาสายตาแข็งกร้าวเอาจริง ทว่าสีหน้าเจ้าเล่ห์อย่างมีแผนการ

       เสมา สิน และสมบุญ กำลังเดินตรวจการฝึกทหารแต่ละหมู่อยู่ … ทหารจำนวนมากกำลังฝึกฝนอยู่เป็นหมู่เหล่า ทั้งดาบดั้ง ดาบโล่ห์ ดาบสองมือ กระบี่ทวน กระบอง ไปจนถึงมวยไทย ฯลฯ แต่ละหมู่เป็นระเบียบเรียบร้อย พร้อมเพรียงกัน ขุนรามเดชะ พันอิน ขัน และพุฒที่เดินกะเผลกเข้ามาหา เสมาเดินเข้าไปไหว้ขุนราม และพันอิน
       “ฉันไหว้จ้ะพระคุณ พ่อพันอิน”
       ขุนรามเดชะ และพันอิน รับไหว้อย่างเสียไม่ได้
       ฃเสมาหันไปพูดกับขันและพุฒ
       “หมื่นชาญ หมื่นทรง เหตุใดหน้าตาฟกช้ำเช่นนั้นเล่า”
       ขันรู้ว่าเสมาจงใจเย้ย
       “ฉันฝึกซ้อมฝีมือหนัก จึงได้แผลมาบ้างแปลกกระไรรึ”
       “ไม่แปลกดอก แต่ถึงหมื่นชาญจักฝึกหนัก ก็ไม่ควรมาสาย เช่นนี้ ฉันจะลงโทษให้ยืนตากแดดสักครึ่งชั่วยาม มิให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่ผู้อื่น”
       พุฒโมโหแล้วพูดขึ้น
       “มากไปหล่ะเหวยขุนศึกไชยชาญ อาศัยอำนาจกระไรจะมาลงโทษพวกข้า”
       “พอปะหน้าก็หาเรื่องเช่นนี้ จะไม่พาลไปหน่อยรึเสมา” พันอินพูดด้วยความไม่พอใจ
       “ฉันไม่ได้หาเรื่องเลยจ้ะพ่อพันอิน แต่หัวหมื่นทั้งสองมาสายจริง ตามอาญาต้องลงโทษ”
       ขันเข้าไปผลักอกเสมาพลางว่า
       “เอ็งไม่ต้องมาอ้างอาญา คิดว่าข้ากลัวรึ หากจะลงโทษพวกข้าก็ถอดดาบออกมา”
       เข้าตามแผนของเสมา
       “กล้าทำร้ายข้ารึ ทหาร จับอ้ายหัวหมื่นทั้งสองไปประหารเสีย” เสมาสั่งเสียงดัง
       พวกทหารที่ได้ยินคำสั่งก็กรูเข้ามาล้อมทั้งสี่คนไว้
       “โอหังนักอ้ายเสมา มึงก็ขุน กูก็ขุน ใครเล่าจะยอมให้มึงตัดหัวเล่นง่ายๆ มึงเข้ามา” ขุนรามเดชะบอกพลางชักดาบออกทันที
       สมบุญหยิบตราตั้งของเสมาออกมาชูขึ้น
       “ขุนศึกไชยชาญ เป็นแม่กองฝึกแลตรวจตราทหาร มีอำนาจเด็ดขาดในที่นี้ ผู้ใดทำร้ายท่านแม่กอง มีโทษประหารสถานเดียว”
       พวกขุนรามเดชะ ต่างตกใจหน้าซีดเผือดที่เสมาเป็นแม่กองคุมการฝึก
       “แม่กองมิใช่หลวงพิชัยดอกรึ” พันอินหน้าเสียแล้วถามขึ้น
       สินกระหยิ่มยิ้มย่องแล้วบอก
       “หลวงพิชัยเจ็บป่วยได้ไข้ พี่ขุนศึกจึงได้เป็นแม่กองแทน พ่อพันอินเป็นทหารมานาน คงรู้กระมัง ว่าเพลาฝึกปรือทหาร แม่กองผู้ควบคุมถืออาญาเด็ดขาด เสมือนแม่ทัพนายกองในเพลาศึกห้ามมิให้ผู้ใดล่วงเกิน”
       ขัน พุฒ ขุนราม และพันอินต่างตกใจหน้าถอดสี เข้าตาจนแบบคิดไม่ถึง ขณะนั้นเอง พระยาศรีไสยณรงค์ก็เดินเข้ามาถึง
       “มีกระไรรึ ออกขุนศึกไชยชาญ”
       เสมายิ้มเจ้าเล่ห์เมื่อเห็นพระยาศรีไสยณรงค์เข้ามาอีกคน คราวนี้พวกขันโดนหนักแน่

       พระยาศรีไสยณรงค์ (ทหารเอกสมเด็จพระนเรศวรเช่นเดียวกับพระราชมนู) กำลังนั่งหน้าเครียดตัดสินคดี โดยมีเสมา สิน และสมบุญนั่งฝั่งหนึ่ง อีกฝั่งเป็นพวกขัน พุฒ ขุนราม และพันอิน
       “ผิดนี้หนักนัก ขุนรามเดชะ ท่านเป็นผู้ใหญ่ เหตุใดจึงให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้”
       “ข้าพระเจ้าผิดไปแล้ว เหตุเกิดเพียงเพราะสองหัวหมื่นมาฝึกสาย แลไม่รู้ว่าขุนศึกไชยชาญเป็นแม่กองจึงได้ล่วงเกินไป ขอท่านออกญาเมตตาด้วยเถิดขอรับ” ขุนรามเดชะว่า
       “ข้าช่วยท่านไม่ได้ดอก เรื่องนี้อยู่ในอำนาจขุนศึกไชยชาญ แม้ข้าจะเป็นพระยาก็ไม่อาจก้าวล่วงได้”
       ขุนรามเดชะเครียดหนัก เสมาไหว้พระยาศรีไสยณรงค์
       “พระคุณขุนรามแลพ่อพันอิน หาได้รู้เห็นเกี่ยวข้องด้วยไม่ มีเพียงสองหมื่นนี้เท่านั้นที่ผิดอาญาขอรับ”
       ขุนราม และพันอินหันมาสบตากัน คิดไม่ถึงว่าเสมาจะช่วยตน ขุนรามเดชะพูดหน้านิ่ง
       “ขอบน้ำใจขุนศึกหนักหนา ครานี้ฉันผิดจริง ไม่มีกระไรโต้แย้งเมื่อออกขุนไม่เอาโทษ ก็ขอให้ออกขุนจำเริญเถิด”
       พุฒไม่พอใจที่ขุนรามเดชะพูดจาดีกับเสมา
       “เหตุใดพระคุณขุนรามพูดเช่นนี้เล่าหรือพระคุณจะเอาตัวรอดแต่ฝ่ายเดียว”
       ขุนรามเดชะหน้าตึงไม่พอใจขึ้นมาทันที เช่นเดียวกับพันอินก็ไม่พอใจพุฒเช่นกัน
       “เจรจาเช่นนี้ก็ผิดแล้วหมื่นทรง ธรรมดาเมื่อผิดแล้วก็ควรยอมรับเสีย จะดื้อดึงไปไย แต่ผิดของสองหัวหมื่นเกิดแต่การไม่รู้ความ ขอให้ขุนศึกเห็นแก่พ่อ อย่าเอาโทษหนักเลย” พันอินพูดขึ้น
       “เช่นนั้นฉันก็ขอด้วยอีกคน คราศึกละแวกสองหมื่นนี้ก็ฝากฝีมือไว้จะฆ่าก็เสียดายฝีมือ ขอออกขุนเมตตา เก็บไว้ใช้ฉลองพระเดชพระคุณแก่แผ่นดินเถิด” พระยาศรีไสยณรงค์กล่าว
       เสมายกมือไหว้
       “เมื่อพ่อท่านกับออกญาขอ ไหนเลยข้าพระเจ้าจักขัดได้ เพียงหัวหมื่นทั้งสองขอขมา โทษอื่นก็แล้วกันไปเถิด”
       “จะให้กูขมามึงรึ อ้ายช่างตี...” ขันว่า
       “อย่าดื้อเกินไปนัก เราพูดจาขอไว้ก็โดยเมตตาหมื่นเจ้า แต่หากดื้อมิขมา จักยอมรับอาญานั้นก็สุดแต่หัวใจหมื่นเถิด” พระยาศรีไสยณรงค์พูดสวนขึ้น
       ขัน และพุฒขบกรามแน่นจนขึ้นสัน แค้นสุดๆแต่ยังดีกว่าตาย ในที่สุดก็เลยยอมคุกเข่าลงต่อหน้าเสมา ขันกับพุฒยกมือไหว้เสมา แล้วหันไปมองหน้ากันก่อนจะกลั้นใจพูด
       “ข้าพระเจ้าขอขมาออกขุนท่าน”
       สิน และสมบุญ สบตากัน สะใจสุดๆแต่ต้องอดทนไว้ไม่เยาะเย้ยต่อหน้าพระยาศรีไสยณรงค์
       “เช่นนั้น ฉันก็อภัยให้” เสมายิ้มบางรับไหว้
       ขันและพุฒรีบลุกขึ้นด้วยความเจ็บแค้นใจเป็นที่สุด เสมาแอบอมยิ้มสะใจอยู่ในทีที่ได้แก้แค้นเอาคืนขันและพุฒได้

       ทหารจำนวนมากกำลังจับคู่กันซ้อมตามความถนัดของตนอยู่ เสมา สินและสมบุญกำลังเดินพูดคุยกันมา
       “ ไม่รู้มาก่อน ว่าอ้ายขันอ้ายพุฒจะไหว้สวยเช่นนี้ เสียดายนักที่คงไม่ได้เห็นเช่นนี้อีกแล้ว” สมบุญว่า
       “แต่ข้ากลับเสียดายที่มันไม่โดนโทษมากกว่า น้ำมะหน้าอย่างพวกมันน่าจะกุดหัวทิ้งนัก” สินบอก
       เสมายิ้มบางๆพลางกล่าว
       “ ไม่ได้ดอกเช่นที่ออกญาท่านพูด เพลานี้บ้านเมืองต้องการกำลังจะถือแก่อาฆาต แล้วทำให้บ้านเมืองต้องเสียคนมีฝีมือไปก็หาควรไม่”
       “เช่นนั้นก็ถือว่าอ้ายขันอ้ายพุฒยังมีบุญเก่าคุ้มหัว ครานี้ก็ถือว่าล้างอายให้แม่เอื้อยแตงกับแม่จำเรียงเถิด” สมบุญว่า
       “ถ้ากระนั้น เห็นทีข้าต้องไปเล่าให้แม่เอื้อยแตงฟังเสียแล้ว ว่าอ้ายขันอ้ายพุฒ มันไหว้สวยปานใด” สินพูดขึ้น
       สมบุญกับสินหัวเราะอย่างสาแก่ใจที่พวกขันกับพุฒต้องไหว้ขอโทษเสมา เสมา ยิ้มบางๆถือว่าเอาคืนพอหอมปากหอมคอ

       ยามบ่ายที่บ้าน พุฒโมโหกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจนต้องระบายอารมณ์ปาจอกเหล้าไม้จอกหนึ่งใส่พวกทาสหญิงจนกรีดร้องวิ่งหลบกันกระเจิง ขันนั่งหน้าเครียดอยู่ใกล้ๆ
       “ ไปเอาสุรามาให้กูอีก หากชักช้า กูจะเฆี่ยนพวกมึงให้หลังขาดเทียว” พุฒสั่ง
       พวกทาสรีบวิ่งลงเรือนไปด้วยความหวาดกลัว
       “ อ้ายเสมา หากชาตินี้กูไม่ได้บั่นคอมึงกับมือ อย่ามาเรียกกูว่าอ้ายขัน”
       “ต้องมีสักวันเป็นทีของเราแน่ แต่เพลานี้ คนที่วางใจไม่ได้คือขุนรามเดชะเสียมากกว่า”
       “ท่านอาน่ะรึ เหตุใดกัน”
       “หมื่นชาญไม่เห็นหรือว่าขุนรามเจรจาเอาตัวรอด เพียงอ้ายเสมาไม่เอาโทษก็เปลี่ยนท่าทีไปดีกับมัน คนเช่นนี้ยังจะไว้ใจได้อยู่อีกรึ”
       ขันคิดตามจนเริ่มไม่พอใจเหมือนกัน
       “แล้วหมื่นทรงจะให้ฉันทำเช่นไร ในเมื่อฉันหมายปองลูกสาวของขุนรามเดชะอยู่ แม้พ่อจักไม่ดี ก็มีแต่ต้องเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เสีย”
       พุฒฉายสีหน้าเจ้าเล่ห์แล้วบอก
       “ถ้าหากกำจัดขุนรามเดชะเสีย บางทีท่านจะได้แม่หญิงเรไรมาครองเร็วขึ้น”
       “นี่จะให้ฉัน...” ขันตกใจ
       “ลองตรองดูเถิด ไม่มีขุนรามเดชะสักคน แม่น้าลำภูย่อมต้องเร่งยกแม่หญิงเรไรให้ท่านเป็นแน่ ด้วยไม่มีชายเป็นหลักแก่เรือน แต่หากขุนรามยังอยู่ แล้วเกิดเห็นแก่ความรุ่งเรืองของอ้ายเสมาจนแปรพักตร์ไปเล่า ท่านจะไม่เสียแม่หญิงไปรึ” พุฒพูดสวนขึ้น
       ขันหน้าเสียได้แต่อึกอักพูดไม่ออก จะต้องฆ่าขุนรามเดชะเลยหรือนี่ !!?

       ดวงแขกำลังคุยกับขันด้วยสีหน้าเคร่งเครียดที่ศาลาท่าน้ำตอนหัวค่ำ ดวงแขโมโหมากที่พุฒแนะนำขันเช่นนี้
       “แนะกระไรเช่นนี้ หัวใจช่างต่ำช้านัก พี่ขันอย่าได้ไปหลงคำเลยเชียว”
       “ไม่ต้องห่วงดอก ท่านอาเป็นสหายรักกับพ่อท่าน พี่จะทำได้อย่างไร”
       ดวงแขซึ่งเกลียดพุฒเป็นทุนอยู่แล้วก็เกลียดหนักเข้าไปอีก
       “ หมื่นทรงผู้นี้เป็นคนพาลไม่ควรคบหา พี่ขันจงตัดเสียเถิดจะได้ไม่ชักนำเภทภัยมาให้ภายหน้า”
       “พี่ยังต้องพึ่งพาเค้าอยู่มาก จะให้ตัดขาดทีเดียวคงไม่ได้”
       “แต่หมื่นทรงผู้นี้... เคยกระทำชั่วลวนลามน้อง”
       ดวงแขตัดใจพูดจนขันตกใจ
       “จริงรึ”
       “เรื่องเช่นนี้น้องไม่กล้าปดดอก ดีแต่ว่าเพลานั้นจำเรียงช่วยน้องไว้ เมื่อพี่ขันจะข่มเหงจำเรียง น้องถึงไม่ใคร่สบายใจ แต่จะพูดก็เกรงเสื่อมเสีย จึงต้องปล่อยเลยไป”
       “อ้ายพุฒ ข้ารับปากแล้ว เหตุใดยังทำเช่นนี้อีก”
       “รับปากกระไรรึ”
       ขันหน้าเสียที่พลั้งปากเลยจำต้องยอมรับ
       “อ้ายพุฒเคยแย้มพรายว่าชอบพอแม่ดวงแข พี่เลยรับปากว่าจักช่วยเหลือ แต่มีข้อแม้ให้ช่วยพี่ได้แต่งกับแม่หญิงเรไรเสียก่อน”
       “มิน่าเล่า หมื่นทรงถึงกล้าหยามน้องเช่นนี้ นี่เพื่อแม่เรไรแล้ว พี่ขันถึงกับเอาน้องเป็นเหยื่อล่อเชียวรึ”
       “พี่เพียงแต่อุบายหลอกมันเท่านั้นดอก ใครจะยกแม่ดวงแขให้คนเช่นอ้ายพุฒได้เล่า”
       “หากพี่ละความเจ้าชู้ ตั้งใจรับราชการ แม่เรไรย่อมชอบพอพี่เอง หาต้องพึ่งอุบายใดไม่”
       “ถึงพี่เป็นเช่นนี้ ก็ยังดีกว่าอ้ายเสมามากนัก มันเป็นทั้งไพร่ต่ำสกุล แลเจ้าชู้มักมาก แม้แต่แม่ศรีเมืองบุตรเลี้ยงพันอิน มันยังคิดชั่วจนแม่ศรีเมืองต้องถูกส่งเข้าวัง แล้วคนเช่นมันมีกระไรดีกว่าพี่ แม่เรไรถึงชอบพอมันนัก”
       ขันเดินหงุดหงิดเลี่ยงไป
       ดวงแขพอได้ยินชื่อศรีเมืองก็หงุดหงิดขึ้นมาอีก ดวงแขชักสีหน้าหมั่นไส้ปนอิจฉา
       “ศรีเมือง”

       ในตำหนัก... ดวงแขวางผ้าหลายผืนลงต่อหน้าศรีเมือง โดยมีเรไรนั่งปักผ้าอยู่ใกล้ๆ ศรีเมืองแปลกใจ หยิบผ้ามาดู)
       “ผ้าที่ฉันปักนี่จ๊ะ มีกระไรรึแม่หญิงดวงแข”
       ดวงแขสีหน้าเย็นชา
       “ฝีมือปักใช้ไม่ได้ เอาไปปักเสียใหม่”
       ศรีเมืองตกใจ
       “หมดทุกผืนเลยหรือจ๊ะ”
       “ถ้าไม่ใช่ทั้งหมดฉันจะเอามาทำกระไร แม่ศรีเมืองจงเร่งมือเข้าเถิด พรึ่งนี้ฉันต้องได้จนครบ”
       ดวงแขเชิ่ดใส่แล้วเดินเลี่ยงไป ศรีเมืองดูผ้าปักของตนด้วยความท้อแท้ใจ เรไรสงสารเลยหยิบผ้าปักมาดูบ้างก็เห็นว่าสวยดี ไม่น่ามีปัญหา
       “แม่หญิงเรไร เห็นว่าฉันปักใช้ไม่ได้เลยเชียวหรือ”
       เรไรหน้าเจื่อนไปจะบอกว่าดีแล้วก็กลัวไปหักหน้าดวงแข)
       “เรื่องเย็บปักถักร้อย ฉันสู้แม่ดวงแขไม่ได้ดอก พูดไปจักไม่ดี”
       ศรีเมืองถอนใจ
       “แต่เข้าวังมา แม่หญิงดวงแขทำราวกับว่าฉันเลวไปเสียหมด มิว่าทำกระไรเป็นต้องโดนตำหนิอยู่ร่ำไป หากเป็นแม่หญิงเรไร ฉันจะหาแปลกใจไม่”
       “เหตุใดเป็นเช่นนั้น ฉันใจยักษ์ใจมารนักรึ”
       “มิได้ แม่หญิงเรไรน้ำใจงามนัก แต่ที่ฉันพูดเช่นนี้ เพราะหากเป็นแม่หญิงเรไร ฉันยังพอคิดได้ว่าหึงหวงพี่เสมาเลยพาลไม่ชอบฉัน”
       เรไรอายแต่ปั้นหน้าดุกลบเกลื่อน
       “พูดจากระไรเช่นนั้น เหตุใดฉันต้องหึงหวงจนพาลด้วยเล่า”
       ศรีเมืองได้แต่แอบยิ้มๆ โดยที่ทั้งคู่ไม่ได้เฉลียวใจเลยว่าที่ศรีเมืองรู้สึกเป็นเรื่องจริง

       หลังจากเสร็จศึกหงสาวดีครั้งสุดท้าย กรุงศรีอยุธยาก็ไม่มีศึกใหญ่อีก ทำให้ได้รับการฟื้นฟู ทั้งด้านการค้า เกษตรกรรม ตลอดจนความเข้มแข็งของกองทัพก็มีมากขึ้น ยังผลให้มีหัวเมืองน้อยใหญ่เข้ามาสวามิภักดิ์จำนวนมาก สร้างความรุ่งเรืองให้กับกรุงศรีอยุธยา ไม่ต่างจากช่วงก่อนเสียเอกราชเลยแม้แต่น้อย

       สองปีต่อมา ตอนสายวันหนึ่ง บรรดาทาสของขันกำลังวิ่งวุ่นทำงานกันหัวหมุน ทั้งทำความสะอาด ย้ายของ วุ่นวายไปหมด ฯลฯ ขันคอยชี้นิ้วสั่ง เสียงดังลั่น
       “ให้มันรวดเร็วหน่อยซีวะ มัวแต่อ้อยสร้อยอยู่นั่นหล่ะ อีกไม่กี่วันก็จะมีงานแล้ว ขืนชักช้า จะขายทิ้งเสียให้หมด นังพวกนี้”
       พวกทาสกลัวลนลาน เร่งทำงานกันยกใหญ่ ขันหันไปพูดกับทาสคนหนึ่ง
       “นังปริก มหรสพได้ครบแล้วหรือไม่”
       “ครบตามที่สั่งทุกประการเจ้าค่ะท่านหมื่น”
       “ดี ข้ารอมากว่าสองปี งานแต่งงานของข้ากับแม่หญิงเรไรต้องยิ่งใหญ่เป็นที่โจษขานไปทั่ว”

       พิณเดินลับๆล่อๆ หันซ้ายหันขวาจะหลบออกทางหลังบ้าน แต่ทันใดนั้น เสียงลำภูก็ดังดุขึ้น
       “นังพิณ”
       พิณสะดุ้งโหยง หันกลับไปเห็นลำภูกับทาสหญิงจำนวนหนึ่งยืนอยู่ พิณรีบเดินจ๋อยๆเข้าไปหาลำภู นั่งคุกเข่าลง
       “แม่นายมีกระไรจะใช้บ่าวหรือเจ้าคะ”
       “ เอ็งจะไปที่ใด” ลำภูพูดเสียงเครียด
       “บ่าวจะไปตลาดเจ้าค่ะ”
       “แล้วเหตุใดเอ็งต้องลับๆล่อๆออกทางหลังบ้าน ไม่ไปทางหน้าบ้านเล่า”
       พิณอึกๆอักๆ กลัวจนตอบไม่ถูก ลำภูมองพิณตาเขียวปั้ด
       “เอ็งจะไปส่งข่าวเรื่องงานแต่งของลูกข้ากับพ่อขันให้อ้ายเสมารู้ใช่หรือไม่”
       “บ่าวผิดไปแล้วเจ้าค่ะ บ่าวผิดไปแล้ว”
       “พวกเอ็งจงฟัง จนกว่างานแต่งของแม่เรไรลูกข้าจะผ่านไป ห้ามมิให้นังพิณออกจากเรือนแม้แต่ก้าวเดียว หากใครฝ่าฝืนช่วยมันหรือสันหลังยาวไม่คอยจับตามันไว้ ข้าจะเฆี่ยนจนกว่าหวายจะหักคาหลังเลยเทียว”
       “เจ้าค่ะแม่นาย” ทาสทุกคนรับขึ้นพร้อมกัน
       ลำภูหันไปปรายตาใส่พิณที่นั่งตัวสั่นงันงกอยู่กับพื้น

       เวลาต่อมา เรไรกำลังร้อนใจ โดยมีพิณนั่งคุกเข่าหน้าจ๋อยอยู่ใกล้ๆ เรไรพูดด้วยความหงุดหงิด
       “เรื่องเพียงนี้ก็ทำไม่ได้ แล้วฉันจะไว้ใจกระไรได้อีก”
       “พิโธ่ แม่หญิงเจ้าขา ท่านขุนกับแม่นายเตรียมการรัดกุมนัก พอได้ฤกษ์ก็เร่งให้แต่งไม่ทันตั้งตัว แล้วปัญญาเท่าหางอึ่งของบ่าวจะช่วยกระไรได้เล่าเจ้าคะ”
       เรไรทิ้งค้อน หงุดหงิดไม่อยากพูดอะไรกับพิณแล้ว พิณนึกขึ้นได้
       “ถึงบ่าวจะแจ้งข่าวให้ขุนศึกไชยชาญไม่ได้ แต่บ่าวได้ข่าวออกขุนมานะเจ้าคะ”
       “ข่าวกระไรรึ”
       “ขุนศึกไปราชการหัวเมืองเจ้าค่ะ ถึงบ่าวจะนำข่าวการแต่งงานไปแจ้งก็ต้องฝากไว้กับผู้อื่นอยู่ดีเจ้าค่ะ”
       เรไรโมโหหนักขึ้น
       “ ยิ่งหนักขึ้นไปอีก เจ้าจะพูดให้ได้กระไรขึ้นมา”
       พิณจ๋อยไม่กล้าพูดสุ่มสี่สุ่มห้าอีก ขณะนั้นเอง ดวงแขพร้อมด้วยบรรดาทาสก็ถือผ้ากับหีบใส่เครื่องประดับขึ้นเรือนมา
       “แม่ดวงแข มีกระไรรึ”
       “ฉันเอาผ้าผ่อนท่อนสไบแลเครื่องประดับมาให้แม่เรไรเลือกน่ะจ้ะ เผื่อจะเอาไว้ใช้ในวันพิธี”
       เรไรฉุกคิดขึ้น มองดวงแขยิ้มกว้างออกมาอย่างมีความหวัง สายตาเป็นประกาย ดวงแขมองท่าทีของเรไรด้วยสายตางงๆ

       ดวงแขกำลังหน้านิ่วคิ้วขมวดคุยกับเรไรอยู่ในห้องนอน
       “เรื่องกระไรจะให้ฉันไปบอกขุนศึก หากทำเช่นนั้น มิเท่ากับว่าฉันหักหลักพี่ขันดอกรึ”
       “ไม่ดอก แค่ไปบอกเท่านั้น ฉันไม่ได้ให้ล้มงานแต่งเสียหน่อย”
       “แล้วมันต่างกันอย่างไร หากขุนศึกไชยชาญรู้ มีรึที่จะไม่มาล้มงานแต่ง”
       “แม่ดวงแขก็รู้ ว่าฉันไม่ได้ปลงใจด้วยพี่ชายแม่ ถึงจะฝืนบังคับออกเรือนไปก็หาสุขมิได้ แลฉันให้สัตย์กับขุนศึกไว้ว่าจะไม่ขอเป็นหญิงสองใจเป็นเด็ดขาด หากสิ้นหนทางแล้ว ก็มีแต่ต้องตายเท่านั้น”
       ดวงแขตกใจ
       “อย่าเชียวนะแม่เรไร กระไรกัน ถึงขั้นเป็นขั้นตายกันเชียวรึ”
       “เรารู้จักกันมาแต่เล็กแต่น้อย ใจคอฉันเป็นเช่นไรแม่ก็รู้อยู่ เถิดนะแม่ดวงแข ถือว่าเอาบุญ ช่วยฉันสักครา หากออกขุนศึกไม่มา ฉันก็จักได้ตัดใจว่าสิ้นวาสนา เช่นนั้นก็ไม่ถือว่าฉันเป็นหญิงสองใจให้เสื่อมเสียด้วยออกขุนตระบัดสัตย์ก่อน”
       “ที่ท่านอาขุนรามเลือกจัดพิธีเพลานี้ ก็ด้วยขุนศึกไชยชาญไปราชการหัวเมือง แล้วแม่เรไรจะให้ฉันไปแจ้งแก่ใคร”
       “ข้อนั้นไม่ต้องกังวลฉันตกลงกับขุนศึกไว้แล้ว แม่ดวงแขเพียงแต่ไปที่วัดพุทไธสวรรย์แจ้งแก่เหล่าทหารอาสาที่เป็นศิษย์ของขุนศึก ข่าวก็จะไปถึงขุนศึกเอง อีกหลายวันกว่าจะถึงงานแต่ง อย่างไรเสียขุนศึกก็คงมาทัน”
       ดวงแขพยักหน้าแบบเสียไม่ได้
       “เมื่อแม่เรไรคิดรอบคอบเช่นนี้แล้ว ฉันจะปัดได้อย่างไรเล่า”
       “ขอบน้ำใจแม่ดวงแขนัก เช่นนั้นฉันขอฝากจดหมายไปให้ขุนศึกไชยชาญด้วยเถิด”
       เรไรเดินไปเขียนจดหมาย ดวงแขมองตามก่อนจะยิ้มเจ้าเล่ห์ ...อย่าหวังเลยว่าเสมาจะมาทัน

       เสมากำลังคุยกับจำเรียงตรงศาลาริมคลองที่หัวเมือง โดยมีสมบุญคอยอยู่ใกล้ๆ
       “พักนี้แม่แข็งแรง ทำงานได้ดังเดิมเอ็งไม่ต้องห่วงดอก อยากได้กระไรก็บอกมา ข้ามาราชการคราหน้าจะเอามาให้”
       “ฉันไม่อยากได้กระไรดอกพี่เสมา ถ้าจักมีก็อยากกลับบ้านเท่านั้น อยู่หัวเมืองมาสองปีแล้ว ฉันคิดถึงพ่อแม่นัก”
       “ทนเอาหน่อยเถิดจำเรียง อโยธยาเพลานี้รุ่งเรืองค้าขายดีนัก พี่กับพ่อรับงานได้มากโข ปีหน้าก็คงพอจะไถ่ตัวเอ็งได้ ถึงเพลานั้นเอ็งค่อยกลับเถิดนะ”
       “จ้ะพี่เสมา”
       สินเดินเข้ามาหาเสมา
       “พี่เสมา ออกขุนวิเศษมีข้อราชการจะปรึกษาจ้ะ”
       เสมาเหล่มองสมบุญแล้วบอก
       “ สมบุญ เอ็งไม่ต้องไปดอก ข้าไปพบท่านขุนวิเศษกับอ้ายสินเอง”
       “จ้ะพี่เสมา”
       เสมายิ้มให้พร้อมตบบ่าสมบุญอย่างรู้ใจก่อนจะเดินไปกับสิน เสมาจงใจเปิดโอกาส สมบุญมองจำเรียงด้วยสายตากรุ้มกริ่ม
       “ฉันไม่ได้ปะหน้าแม่จำเรียงเกือบปี เห็นครานี้ ดูแม่จำเริญสะสวยขึ้นมากก็ให้ชื่นใจนัก”
       จำเรียงเขินอาย หลบตาสมบุญก่อนจะถามว่า
       “แล้วพี่สมบุญเล่า สุขสบายดีหรือไม่”
       “พึ่งจะได้สุขสบายดีเมื่อได้ยลหน้าแม่นี่หล่ะจ้ะ” สมบุญป้อนคำหวานใส่ทันที
       จำเรียงได้แต่ขวยเขินไปมา สมบุญแอบเขยิบตัวเข้าชิดอีกนิด ด้วยสีหน้าแช่มชื่น

       เสมา และสินเดินคุยกันมาตามริมคลอง
       “อีกนานหรือไม่พี่เสมา พวกเราถึงจะเสร็จราชการ”
       “คงอีกสักวันสองวัน ถามทำไมรึ หรือเอ็งอยากกลับแล้ว”
       “เปล่าดอก แต่ฉันกังวลใจนัก ราชการแต่เพียงนี้ ใช้ผู้ใดมาก็ได้ เหตุใดต้องเป็นพี่ เพลานี้ก็ใกล้จะถึงฤกษ์แต่งของแม่หญิงเรไรแล้ว ฉันเกรงว่าอ้ายขันจะคิดไม่ซื่อ วางอุบายกันพี่ออกมา”
       “ข้อนี้ไม่ต้องกังวล ข้าระวังอยู่ เกิดกระไรขึ้นก็จะมีคนมาแจ้งข้าเอง”
       สินพยักหน้ารับแล้วถาม
       “ แล้วพี่จะปล่อยให้เป็นเช่นนี้ไปอีกนานเท่าใด พี่กับแม่หญิงเรไรก็ชอบพอกันมานานแล้วนา”
       เสมาซึมไปด้วยความน้อยใจในโชคชะตา
       “มันยากนักอ้ายสินเอ๋ย สองปีแล้วที่ข้าเพียรจะลบข้อครหาว่าเป็นคนเนรคุณ แม้ออกญาผู้ใหญ่หลายท่านจะเมตตาข้าขึ้นบ้าง แต่ก็หามีผู้ใดรับข้าสังกัดมูลนายไม่ หากยังยากจนอยู่เช่นนี้ก็สุดที่จะเทียมหน้าเทียมตากับแม่หญิงเรไรได้”
       “แล้วหากชาตินี้ พี่ไม่ได้สังกัดมูลนาย ไร้ซึ่งศักดินายากจนไปตลอดเช่นนี้ ก็จักไม่ได้แม่หญิงเรไรมาเป็นศรีเรือนงั้นรึ”
เสมายิ่งซึมเศร้าหนักขึ้น หมดปัญญาไม่รู้จะตอบอย่างไร



Create Date : 22 พฤษภาคม 2555
Last Update : 22 พฤษภาคม 2555 12:05:33 น. 0 comments
Counter : 1087 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

atitaya_t
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




สวัสดีค่ะ ขอร่วม gang ด้วยคนค่ะ
Friends' blogs
[Add atitaya_t's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.