เก็บความทรงจำ..(^_^)..ความสนใจ โลกส่วนตัว ที่เราสร้างเอง
Group Blog
 
 
พฤษภาคม 2555
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
22 พฤษภาคม 2555
 
All Blogs
 
ขุนศึก ตอนที่ 3-2

ขุนศึก ตอนที่ ๓ (ต่อ)

ที่ท้ายจวน ทหารคนหนึ่งถูกสินเตะกระเด็น ตีลังการ่วงลงกับพื้จนสลบเหมือดคาที่ สินใช้สองมือยืนถือทวนอยู่ท่ามกลางวงล้อมทหารสามสี่คน

       “น้ำมะหน้าอย่างพวกเอ็งรึ จะอาสาเป็นทหาร ถุย อาสาไปให้พวกพม่ารามัญมันฆ่าเล่นเสียมากกว่า”
       พวกทหารที่ล้อมอยู่โมโหต่างคนต่างกุมอาวุธเข้ารุมสินทันที สินควงทวนเข้าต่อสู้อย่างดุเดือด สินมีพละกำลังมากเลยไล่ตีไล่แทงเตะต่อยพวกทหารจนกระเจิดกระเจิง ทหารคนหนึ่งเข้าไปล็อกขาของสินไว้ ที่เหลือก็ช่วยกันล็อกไม่ให้สินขยับ สินร้องลั่นเรียกพลัง ก่อนจะสะบัดทหาร 3-4 คน กระเด็นไปคนละทิศละทาง ขุนฤทธิ์พิชัยมาถึงพอดีแล้วตวาดห้าม
       “อ้ายสิน”
       สิน ใช้ปลายทวนชี้พวกทหารที่โดนเล่นงานแล้วว่า
       “ท่านขุนมาพอดี ปลดอ้ายพวกนี้ออกเถิด ขืนใช้ออกรบก็อับอายอ้ายพวกข้าศึกเสียเปล่า”
       ขุนฤทธิ์พิชัยโมโหมากชี้หน้าสิน
       “กูจะปลดมึงออกตะหาก ประเดี๋ยวเมาเหล้า ประเดี๋ยววิวาท จำคุกใส่กรวนมาไม่รู้เท่าใด ก็หาสำนึกไม่”
       สินหัวเราะชอบใจ
       “ปลดข้าออกจะดีรึพระคุณ เพลานี้แผ่นดินเกิดศึก ต้องการกำลังทหารนัก แล้วคนดีมีฝีมือเยี่ยงข้า ก็มิใช่หาได้ง่าย อ้ายพวกที่ยืนอยู่ที่นี่ มีสักคนหรือไม่เล่าพระคุณ ที่จะเทียบข้าได้”
       ขณะนั้นเอง เสมาก็เดินออกมาหาสิน เสมาหยิบทวนที่ตกอยู่บนพื้น แล้วมายืนจ้องหน้าสิน
       “เอ็งบอกว่าที่ยืนอยู่ หามีสักคนเทียบเอ็งได้ใช่หรือไม่”
       เสมาควงทวนตั้งท่าเตรียมสู้ สินยิ้มพอใจควงทวนตั้งท่าเตรียมสู้เหมือนกัน ทั้งคู่ย่างสามขุมเข้าหากัน ก่อนจะปะทะกันตรงๆอย่างดุเดือด ต่างฝ่ายต่างมีพละกำลังมากและไม่ยอมแพ้กัน
       “เรี่ยวแรงดี เช่นนี้ซีถึงจะสบใจข้า”
       “กำลังเอ็งกล้า แต่เชิงทวนเอ็งยังอ่อนนัก ไม่อาจสู้ผู้มีฝีมือแท้จริงได้ดอก”
       สินโมโหโหมบุกใส่เสมา แต่คราวนี้เสมาใช้เพลงทวนที่เหนือกว่าแทนการปะทะด้วยกำลัง เพียงไม่กี่เพลงก็หวดด้ามทวนเข้าใส่ขาสินจนตัวลอย สองเท้าลอยพ้นพื้นกระแทกลงกับพื้น”
       สินโมโหรีบลุกขึ้นกะเอาคืนเสมา แต่สู้กันได้ไม่กี่เพลงก็โดนเสมาหวดจนทวนในมือหลุดกระเด็น แถมยังโดนเสมาใช้ปลายทวนจ่อคอหอยอีกต่างหาก สินอึ้งที่พ่ายแพ้หมดรูป ในขณะที่ทหารคนอื่นโห่ร้องลั่น ดีใจที่มีคนเอาชนะสินได้ ขุนฤทธิ์ยิ้มพอใจที่ได้คนดี มีฝีมืออย่างเสมามาอยู่ในกองทัพอย่างไม่คาดคิด เสมาลดปลายทวน แล้วยิ้มบางๆ แม้สินจะเกเรไปบ้าง แต่ก็เป็นคนมีน้ำใจใช้ได้

       ขุนรามเดชะกำลังดูเครื่องลายครามราคาแพงด้วยความพึงพอใจ โดยมีขันและพุฒนั่งพับเพียบอยู่ใกล้ๆ
       “งามนักพ่อขัน ถ้าจะแพงกระมัง”
       “ราคาค่างวดไม่สำคัญดอกขอรับ หากท่านอาชอบ ข้าพระเจ้าก็พร้อมจะหามาให้ขอรับ” ขันพูดพลางยิ้มประจบ
       พุฒหยิบผ้าไหมหลายผืนวางต่อหน้าขุนรามเดชะ
       “ส่วนผ้าไหมหลายพับนี้ ข้าพระเจ้าขอฝากให้แม่น้าด้วยขอรับ”
       “ขอบน้ำใจมากพ่อพุฒ แม่ลำภูกลับมาเมื่อใด ฉันจะบอกให้”
       ขัน และพุฒประจบประแจขุนรามเดชะเต็มที่ กะเข้าทางพ่อเพื่อไปหาเรไร และอยากก้าวหน้าในหน้าที่การงานด้วย เรไรยืนแอบมองอยู่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เพราะขัน กับพุฒประจบเก่ง แถมพ่อยังชอบอีกต่างหาก

       เวลาต่อมา ที่บริเวณใต้ถุนเรือน สมบุญกำลังเอาอาหารแห้งเช่นข้าวตาก เนื้อเค็ม ฯลฯ ห่อใส่ห่อผ้าเพื่อเอาไปกินระหว่างไปสงคราม
       “สิ้นศึกครานี้ เอ็งจะออกจากบ้านท่านขุนจริงรึ อ้ายสมบุญ” ทาสคนหนึ่งบอก
       “จริงจ้ะลุง ท่านขุนมีพระคุณแก่ฉันนัก ถึงเป็นไทแล้ว ฉันก็ยังอยากตอบแทนคุณท่าน แต่อ้ายขันอ้ายพุฒมันไม่ชอบฉัน แลท่านขุนก็เข้าข้างมัน ขืนฉันอยู่ต่อคงไม่แคล้วโดนอย่างพี่เสมาเป็นแน่”
       “แล้วเอ็งจะไปอยู่ที่ใดวะอ้ายสมบุญ เอ็งไม่มีญาติพี่น้องแล้วไม่ใช่รึ” ทาสอีกคนถาม
       “ฉันเป็นทหารอาสา ทุกคราที่ออกศึกก็จักได้เบี้ยจากหลวงท่าน คงพอจะหาที่ปลูกเรือนเล็กๆอยู่ได้บ้างดอกจ้ะป้า”
       พิณเดินเข้ามาหาสมบุญ
       “อ้ายสมบุญ ตามข้ามานี่”
       “มีกระไรรึแม่พิณ”
       “อย่าซักไซ้มาก ข้าบอกให้มาก็มาเถิด”
       พิณเดินนำไป สมบุญมองตามด้วยสีหน้างงๆ

       บริเวณชานหลังบ้าน เรไรวางแหวนทองเกลี้ยงลงบนฝ่ามือของสมบุญที่นั่งคุกเข่าอยู่
       “หากไปศึกครานี้ เจ้าเจอหัวหมู่เสมา จงมอบแหวนวงนี้ให้หัวหมู่เถิด”
       “ขอรับแม่หญิง แต่กองทัพมีคนมากนัก ทั้งยังแบ่งเป็นหลายกอง ข้าพระเจ้าเกรงว่าจะหาได้เจอพี่เสมาไม่ แลพี่เสมาก็สิ้นอาลัยในยศศักดิ์อาจไม่อาสาเป็นทหารแล้วกระมังขอรับ”
       “หากเรื่องเพียงนี้ทำให้ถอดใจยอมแพ้เสียแล้วก็ถือว่าสิ้นวาสนา แต่หากเสมายังใฝ่ใจเป็นทหาร ฉันเชื่อว่าเจ้าต้องได้เจอเป็นแน่ หากได้เจอเจ้าจงบอกครูเจ้า ว่าฉันรู้เรื่องทั้งปวงแล้ว ต้องขอขมาที่เคยผิดไป แลขออวยชัยให้ชนะข้าศึก กลับคืนสู่อโยธยาอย่างปลอดภัยเถิด”

       ทหารไทย กำลังปะทะกับทหารพม่าอย่างดุเดือดที่ชายป่ายามค่ำ เสมาใช้ดาบ “แสนศึกพ่าย” คู่มือ ไล่ทะลวงฟาดฟันพม่าจนแตกกระเจิง สินก็ใช้ทวนไล่แทง ไล่ฟาดพวกพม่า กำลังของทหารไทยรบเก่งกว่า จนพวกพม่าสู้ไม่ไหวหนีตายกันจ้าล่ะหวั่น เสมาชูดาบขึ้น ท่ามกลางเสียงโห่ร้องของกองทหารไทยดังกึกก้อง

       พระศรีวิเศษไชยชาญแม่ทัพไทย หัวเราะสะใจที่ชนะศึกได้อย่างอย่างงดงามอยู่ในกระโจม ต่อหน้าเสมา สิน ขุนฤทธิ์ และทหารคนอื่นๆ
       “เยี่ยงนี้ซีวะทหารข้า ออกศึกคราแรกก็ได้ชัยเป็นมงคลแก่กองทัพแล้ว”
       “ศึกวันนี้ยังเล็กนักขอรับ ศึกใหญ่คงรออยู่ที่ปากโมกเป็นแน่ ด้วยทัพของสมเด็จพระราชโอรสตั้งอยู่ ณ ลุมพลี กำลังจะยกขึ้นปากโมก แลทัพหน้าของพระเจ้าเชียงใหม่ก็ใกล้จะถึงปากโมกแล้วคงจะได้ปะทะกันในวันรุ่งพรุ่งนี้” ขุนฤทธิ์พิชัยว่า
       พระศรีวิเศษไชยชาญพยักหน้ารับ
       “เช่นนั้นทัพพลอาสาของเรา ต้องเข้ายอศึกดูกำลัง อย่าให้อ้ายพวกข้าศึกเข้าปากโมกได้ จนกว่าสมเด็จพระราชโอรสทั้งสองจะเสด็จมาถึง”
       เสมาพนมมือแล้วว่า
       “ถ้าเช่นนั้น ข้าพระเจ้าขอเป็นกองหน้าทะลวงฟัน หากอ้ายเสมาถอยแม้เพียงก้าวเดียว พระคุณโปรดตัดหัวอ้ายเสมาเถิดขอรับ”
       สินพนมมือแล้วบอก
       “ข้าพระเจ้าขอไปด้วยกับพี่เสมาขอรับ ไม่ว่าข้าศึกจะมีเรือนพันเรือนหมื่น ก็จักขอสู้ตายไม่อาลัยแก่ชีวิตเลยขอรับ”
       พระศรีวิเศษไชยชาญ และขุนฤทธิ์พิชัยมองหน้ากันแล้วพยักหน้าด้วยความพอใจ เสมา และสิน สีหน้าแววตาเต็มไปด้วยความมั่นใจ ฮึกเหิมเต็มที่จะเข้าต่อสู้ในการศึกครั้งนี้

       ยามเช้า บริเวณทุ่งกว้างริมแม่น้ำ เสมามีดาบคู่ขัดหลังขี่ม้ามายืนอยู่หน้าทหารไทย โดยมีสินขี่ม้าถือทวนยืนอยู่ใกล้ๆ ทุกคนสงบนิ่ง มองสายตาไปข้างหน้าเพื่อรอข้าศึกที่กำลังจะมา เพียงชั่วอึดใจก็เห็นธงของฝ่ายข้าศึกโบกนำมา กองทัพข้าศึกมีจำนวนมาก ทยอยบุกกันเข้ามา เสมาขี่ม้าเหยาะๆนำหน้าทหารพร้อมกับพูดเสียงดังไปทั่วบริเวณ
       “พี่น้องทั้งหลายเอ๋ย ข้าพระเจ้าเสมา ทหารหลวงสมเด็จพระราชโอรสองค์พระนเรศเป็นเจ้า จักนำเพื่อนเข้าตะลุมบอน ป่านี้ เมืองนี้ คนไทยเป็นเจ้าของบ้าน เมื่อเพื่อนหงสามาเยือนเราด้วยดาบ เราก็ต้องรับแขกด้วยดาบ ไม่ต้องถอย ไม่ต้องพรั่น ใครถอยมิใช่ไทยถึงจะตาย ก็จักเรียงทุ่งนอนตากผืนดิน เป็นผี รักษาบ้านเรา”
       ขาดคำ เสมาก็ชักดาบที่ขัดหลังออก สินและบรรดาทหารไทยโห่ร้องสุดเสียงด้วยความฮึกเหิมเสมาขับม้าควบเข้าหาข้าศึกพร้อมกับสินและทหารไทย พุ่งเข้ารบกับข้าศึกโดยไม่เสียดายชีวิต เพื่อปกป้องผืนแผ่นดินไทย

       กองทัพไทยบุกเข้าต่อสู้อย่างกล้าหาญ ทัพอาสาของไทย ได้เข้าตะลุมบอนกับทัพหน้าของ พระเจ้า เชียงใหม่ ที่มีสเรนันทสู และพระเจ้าเชียงแสนเป็นแม่ทัพ อย่างดุเดือด จนกระทั่งสมเด็จพระนเรศวร และสมเด็จพระเอกาทศรถ ยกทัพเรือเสด็จมาถึง จึงมีรับสั่งให้ทัพเรือระดมยิงปืนเข้าใส่ทัพของพระเจ้าเชียงแสน ถูกไพร่พลล้มตายลงเป็นอันมาก
       ทัพพระเจ้าเชียงแสนหันมายิงปืน ยิงธนู ขว้างหอกฯลฯ ตอบโต้มาที่เรือพระที่นั่ง จนสมเด็จ พระเอกาทศรถ มีรับสั่งให้สอดเรือพระที่นั่งของพระองค์ เข้าบังเรือพระที่นั่งของสมเด็จพระนเรศวรไว้ โดยสมเด็จพระนเรศวรได้ทรงพระแสงปืนนกสับ ถูกนายทัพคนสำคัญของข้าศึกล้มตายลงหลายคน
       ฝ่ายกองทัพอาสาก็ได้ยกเข้าตีกระหนาบ ทำให้ทัพพระเจ้าเชียงแสนต้องรับศึกหนัก จนต้องพ่ายแพ้ถอยทัพกลับไปในที่สุด

       ภายในกระโจมเจ้าพระยาสุโขทัย ภายในค่ายสมเด็จพระนเรศวร เสมาก้มลงกราบขุนรามเดชะ โดยมีพันอิน ขัน พุฒ นั่งอยู่ใกล้ๆ เสมายกพนมมือ
       “สิ่งใดที่ข้าพระเจ้าล่วงเกินพระคุณ ขอให้พระคุณประทานอภัยแก่ข้าพระเจ้าด้วยเถิด”
       เจ้าพระยาสุโขทัยพูดกับขุนรามเดชะว่า
       “ศึกครานี้นายหมู่เสมามีความชอบนัก ฉันจึงรับปากขุนฤทธิ์พิชัยแลพระศรีวิเศษไชยชาญ มาขอให้ออกขุนประทานอภัยแก่อ้ายเสมามัน มิรู้ว่าออกขุนจะว่ากระไร”
       แม้ว่ารามเดชะจะยังโกรธเสมาอยู่ แต่คนระดับเจ้าพระยามาพูดให้ทั้งทีก็ต้องแสดงความเกรงใจ “เมื่อพระคุณขอ กระผมมีหรือจะกล้าขัดขอรับ ... เอ็งจงตั้งใจรับราชการให้ดีเถิดอ้ายเสมา ข้าไม่ติดใจกระไรแล้ว”
       “ขอบพระคุณขอรับ”
       เจ้าพระยาสุโขทัยหันไปพูดกับขันกับพุฒ
       “พันฤทธิ์แลพันจบเล่า เห็นเช่นไร”
       แม้ขันจะไม่พอใจแต่ไม่กล้าหือ
       “สุดแล้วแต่พระคุณเถิดขอรับ”
       “ข้าพระเจ้าลืมเรื่องนี้เสียนานแล้วขอรับ ตามวิสัยชายชาติทหารย่อมมีประลองวิชากันบ้าง แต่แท้จริงแล้วก็เป็นเกลอกันทั้งสิ้นขอรับ” พุฒว่า
       “เจ้ากล่าวชอบแล้วพันจบ ยิ่งยามศึกเช่นนี้ เรายิ่งต้องควรสมัครสมานสามัคคีกันไว้ ไม่ควรยึดเรื่องบาดหมางเล็กๆน้อยๆมาขุ่นเคืองให้เสียการใหญ่” เจ้าพระยายิ้มอย่างพอใจ
       พันอินลูบหัวเสมาและยิ้มด้วยความดีใจ
       “หมดเคราะห์หมดโศกเสียทีลูกเอ๋ย สิ้นศึกแล้ว จักได้กลับกรุงด้วยกับเรา พ่อแม่ของเจ้าคงดีใจนักหนา”
       “ขอบพระคุณมากจ้ะพ่อพันอิน” พูดแล้วเสมาก็ก้มกราบเท้าพันอิน
       ขันและพุฒแอบเหล่ๆ มองกันเพราะยังเขม่นหมั่นไส้เสมาอยู่

       ในเวลาต่อมา ด้านหน้ากระโจมของขัน ทั้งขันและพุฒกำลังคุยกันอยู่ในกระโจมด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เพราะเจ็บใจเรื่องเสมาไม่หาย
       “อ้ายเสมามันโชคดีนัก ได้ท่านเจ้าคุณสุโขทัยออกหน้า หาไม่แล้วมันต้องถูกจำคุกด้วยผิดที่หนีเกณฑ์เป็นแน่”
       “เพลานี้บ้านเมืองมีศึกสงคราม อ้ายเสมามันมีฝีมือสูงนัก ออกญา แม่ทัพทั้งหลายจึงได้เมตตามัน รอสิ้นศึกบ้านเมืองสงบก่อนเถิด มันจักไม่มีแผ่นดินจะอยู่” พุฒยิ้มเจ้าเล่ห์
       “พวกพม่ารามัญยกทัพมามิเคยว่างเว้น แล้วเมื่อใดจะสิ้นศึกกันเล่า ฉันว่าหาทางฆ่ามันเสียกลางศึกครานี้เถิด ระหว่างตะลุมบอนหามีใครรู้ไม่ดอก”
       “ใจร้อนนักเกลอฉัน อย่าลืมซี ว่าอ้ายเสมาเป็นหัวหมู่ทะลวงฟัน แต่เราสองคนอยู่ในทัพหลวง จะลอบฆ่ามันกระไรได้ แลถึงมีโอกาสก็เสี่ยงภัยเกินไป เกลือกมีพยานรู้เห็น เราสองคนเป็นต้องโดนตัดหัวเก้าชั่วโคตรเป็นแน่”
       “แล้วจะปล่อยให้มันเป็นหนามตำใจฉันเยี่ยงนี้รึ”
       “ฉันบอกแล้ว ให้รอสิ้นศึกก่อน อ้ายเสมามันเป็นเพียงทหารอาสา ต่อให้มีบรรดาศักดิ์เป็นพระยา ก็หามีศักดินาไม่ ขุนศึกขุนพลยากจนไร้ไพร่พลจะเทียบกระไรกับเศรษฐีอย่างพันฤทธิ์เพื่อนฉันเล่า”
       ขันคิดตาม เริ่มได้คิดเลยยิ้มเจ้าเล่ห์ และเห็นด้วยพุฒทุกอย่าง

       เย็นวันนั้น สมบุญส่งแหวนทองเกลี้ยงของเรไรให้กับเสมาโดยมีสินยืนดูอยู่ใกล้ๆ
       “แม่หญิงเรไรยังฝากอวยชัยให้พี่ชนะศึกแลกลับอโยธยา อย่างปลอดภัยด้วยจ้ะ”
       เสมาดูแหวนทองด้วยความปลื้มใจสุดๆ
       “แม่หญิงเรไร อ้ายเสมาสาบาน จะเอาแหวนปากโมกน้อยวงนี้ กลับไปคืนแม่หญิงให้จงได้” เสมาสวมแหวนไว้ที่นิ้วก้อยข้างขวาเพื่อระลึกถึงเรไร
       “ชะ มาศึกที่ปากโมก จึงตั้งชื่อแหวนเป็นปากโมกน้อย เจ้าชู้ใช่เล่นเหวย” สินกระเซ้า
       “หากมิเจ้าชู้ คงมิต้องหนีมาจนข้าต้องเอาแหวนมาให้กลางศึกเช่นนี้ดอกวะ” สมบุญว่า
       “ปากพวกเอ็งมันน่าเฉือนทิ้งนัก ข้ารึเจ้าชู้ แม่หญิงเรไรยังเห็นจริงแล้วว่าข้าเป็นเช่นไร มีแต่ปากพวกเอ็ง ที่พูดให้ข้าได้ชั่วเสีย”
       “ครูเอ็งเคืองแล้วอ้ายสมบุญ ดูท่าวาจาของข้ากับเอ็งคงเสียดแทงใจกระมัง” สินพูดพลางหัวเราะชอบใจ
       “เลิกหยอกเถิดวะออสิน ประเดี๋ยวหัวหมู่ของเอ็ง ใช้ดาบเฉือนปากพวกเราเสีย จะไม่มีปากให้พูดนา” สมบุญพูดหน้าตาย
       “เอ็งสองคนเพิ่งปะหน้ากัน แต่เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยดีแท้ ไป ไปให้พ้นหน้าข้าประเดี๋ยวนี้ ข้าอยากหลับสักงีบแล้ว”
       สินและสมบุญเดินเลี่ยงไป คุยหัวเราะกันเอิ๊กอ๊ากอย่างถูกคอทั้งๆที่เพิ่งเจอกัน
       เสมามองแหวนของเรไรในนิ้วก้อยขวาของตน แล้วก็ยิ้มบางๆอย่างสุขใจ

       ตอนหัวค่ำ... เรไรเดินลงจากเรือนของเสมาโดยมีพิณยืนถือโคมรออยู่แล้ว ขณะเดียวกันมั่น บุญเรือน จำเรียงก็เดินลงมาส่งเรไร
       “แม่ป้าไม่ใคร่สบาย ไม่ต้องส่งฉันดอกจ้ะ ขึ้นเรือนไปพักเถิด”
       “เจ้าค่ะแม่หญิง ขอบน้ำใจแม่หญิงมากนะเจ้าคะที่มาเยี่ยม”
       “ไม่เป็นกระไรดอกจ้ะ”
       เรไรหันไปพูดกับมั่น
       “พ่อลุงไปดูแลแม่ป้าเถิด ฉันมีบ่าวไพร่มาหลายคน ไม่ต้องห่วงฉันดอก”
       “ขอรับแม่หญิง”
       มั่นประคองบุญเรือนที่มีอาการไข้กลับขึ้นเรือนไป เรไรเหลือบมองจำเรียงที่มีสีหน้าอมทุกข์ เรไรหันไปพูดกับพิณ
       “พิณ ไปตามพวกที่เรือมาช่วยส่องโคมอีกสักสองสามคนเถิด ทางมันมืดนัก”
       “เจ้าค่ะแม่หญิง”
       พิณเดินเลี่ยงไป เรไรหันไปพูดกับจำเรียง
       “เป็นกระไรรึจำเรียง จนป่านฉะนี้ยังไม่ได้พูดคุยกับพันฤทธิ์อีกรึ”
       จำเรียงน้ำตาคลอทันทีแล้วว่า
       “เจ้าค่ะ พี่พันฤทธิ์ไม่ไปมาหาสู่จำเรียงเช่นเคย แลจำเรียงไปหาที่เรือนก็ไม่ให้พบ จนจำเรียงสิ้นปัญญาแล้ว”
       “เมื่อพันฤทธิ์เค้ายังไม่ละพยาบาทเสมา แลพาลมาถึงจำเรียงเช่นนี้ก็ตัดใจเสียเถิด อย่าทุกข์เพราะเค้าอีกเลย” เรไรพูดพลางถอนใจ
       “แต่พี่พันฤทธิ์เค้ายังมีน้ำใจให้จำเรียงอยู่นะเจ้าคะ ไม่เช่นนั้นคงไม่ให้เบี้ยจำเรียงยืมไปรักษาแม่ดอกจ้ะ”
       “นี่จำเรียงไปกู้ยืมพันฤทธิ์มารึ”
       จำเรียงน้ำตาคลอพร้อมเล่าความจริงให้เรไรฟัง
       “แม่ป่วยครานี้หนักนักเจ้าค่ะ จำเรียงทุกข์ใจเหลือเกินจึงเล่าให้แม่หญิงดวงแขฟัง วันรุ่งพี่พันฤทธิ์ก็ฝากเบี้ยกับแม่หญิงมาให้ยืม จำเรียงจึงได้เบี้ยไปรักษาแม่ หากพี่พันฤทธิ์ไม่เหลือน้ำใจให้จำเรียงแล้ว จะให้ยืมทำไมล่ะเจ้าคะ”
       เรไรสีหน้าเครียด ระแวงว่าขันจะมาไม้ไหน เพราะรู้นิสัยว่าคงไม่ใจดีให้ยืมง่ายๆ
       “หากยังมีน้ำใจอยู่แต่เจ้า เหตุใดจึงไม่ให้เจ้าได้พบหน้าเล่าจำเรียง”
       จำเรียงน้ำตาไหลพรากด้วยความอัดอั้นตันใจ
       “แม่หญิงเรไรเจ้าขา จำเรียงคิดไม่ตก หรือจะเป็นด้วยพี่พันฤทธิ์มีหญิงอื่นเจ้าคะ จึงได้ทำกับจำเรียงเพียงนี้”
       เรไรหน้าเสียทันที เพราะรู้ดีว่าหญิงอื่นนั้น ก็คือเรไรนั่นเอง

       เวลากลางคืน ภายในกระโจมสมเด็จพระนเรศวร ซึ่งมีแบบจำลองภูมิประเทศบนโต๊ะ มีธงปักแสดงการตั้งทัพของไทย และทัพพระเจ้าเชียงใหม่ ทุกคนในห้องกำลังประชุมกันเครียดเพื่อรับศึกครั้งนี้
       ขุนรามเดชะถวายบังคมแล้วกล่าวว่า
       “ทัพพระเจ้าเชียงใหม่มีพลมากถึงเรือนแสน แลยกมาครานี้ ด้วยมีความผิดติดตัวคงต้องรบจนสิ้นฝีมือเป็นแน่พระพุทธเจ้าข้า”
       สมเด็จพระนเรศวรว่า
       “เราก็คิดเช่นนั้น แต่ที่เรากังวล เป็นด้วยเราตีทัพหน้าแตกกลับไป แต่พระเจ้าเชียงใหม่กลับทรงเงียบอยู่ ผิดวิสัยนัก ชะรอยจะคิดรวบรวมพลเป็นทัพใหญ่แน่แล้ว”
       “ทัพเรามีน้อยกว่ามากนัก ชอบที่จะรบกลางแปลงจึงจะใช้อุบาย เอาชัยได้”
       สมเด็จพระเอกาทศรถหันไปสั่งเจ้าพระยาสุโขทัย พระราชมนู พระศรีวิเศษไชยชาญ ขุนฤทธิ์พิชัยทั้งสี่คน พอถูกเรียกชื่อก็ยกถวายบังคม
       “เจ้าทั้งสี่จงยกพลออกไปยั่วดูเพลาหนึ่ง หยั่งกำลังแลอุบายของข้าศึกก่อน”
       “รับด้วยเกล้า พระพุทธเจ้าข้า”
       “แต่หากไปยั่วข้าศึกออกจากค่ายเป็นสงครามกลางแปลงได้ เราจักเคลื่อนทัพหลวงเข้าหักให้ยับเยินเสียยิ่งกว่าคราก่อน เพื่อมิให้หงสาดูแคลนคนไทยได้อีก” สมเด็จพระนเรศวรว่า
       ภายในวัดยามเช้า มีชาวบ้านมาทำบุญมากมาย เรไรกำลังเดินเข้าวัดมา โดยมีพิณถือพานใส่ดอกไม้ และอาหารมาถวายเพลด้วย
       “วัดนี้มิเคยมาเลยกะไม่ใคร่ถูก มาถึงก่อนเพลโขอยู่นะพิณ”
       “ถ้าเช่นนั้น ไปนั่งพักที่ศาลาริมน้ำก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ”
       เรไรกำลังลังเลว่าจะเอาไงดี สายตาก็เหลือบไปเห็นชาวบ้านกลุ่มหนึ่งกำลังถือดอกไม้วนรอบโบสถ์อยู่ เรไรมองด้วยความแปลกใจ
       “เหตุใดผู้คนจึงเดินรอบโบสถ์เช่นนี้ เพลานี้เป็นกลางวันแลไม่ใช่วันพระมิใช่รึ”
       “อ๋อ บ่าวได้ยินมาว่า หลวงพ่อในโบสถ์ท่านศักดิ์สิทธิ์นัก หากบ้านใดมีชายไปศึกสงคราม ลูกเมียแลญาติพี่น้อง ตั้งจิตสวดมนต์เดินรอบโบสถ์จนครบดั่งลั่นวาจา ก็จักปลอดภัยเจ้าค่ะแม่หญิง”
       เรไรได้ยินที่พิณพูดก็ชักสนใจ เพราะเป็นผู้หญิงทำอะไรไม่ได้นอกจากเป็นกำลังใจให้ผู้ชาย

       ในเวลาต่อมา เรไรกำลังก้มลงกราบพระประธาน โดยมีพิณนั่งพับเพียบอยู่ใกล้ๆ กราบพระเสร็จก็อธิษฐานให้ขุนรามเดชะกับเสมา แต่ครั้นจะเอ่ยชื่อเสมาตรงๆก็ดูจะไม่งาม
       “หลวงพ่อเจ้าขา พ่อกับ...เอ่อ คนรู้จักมักคุ้นของลูกไปศึก ลูกห่วงใยนัก ขอบารมีหลวงพ่อคุ้มครองเขาทั้งสองคนด้วยเถิดเจ้าค่ะ”
       “คนรู้จักมักคุ้นของแม่หญิง เป็นช่างตีเหล็กหรือไม่เจ้าคะ”
       “พิณ” เสียงเรไรปราม
       “ขอขมาเถิดเจ้าค่ะ”
       เรไรอธิษฐานในใจต่อไปเงียบๆ

       หลังไหว้และอธิษฐานกับพระประธานแล้ว เรไรถือดอกไม้เดินวนรอบโบสถ์ช้าๆ ในใจก็สวดมนต์ไปด้วย พิณเดินตามและบ่นๆ
       “ต้องเดินกี่รอบกันหรือนี่ ปวดขาไปหมดแล้ว”
       “พิณ หยุดบ่นสักประเดี๋ยวได้หรือไม่”
       พิณถึงกับจ๋อยไป
       “ไม่อยากเดินก็ไปนั่งคอยเถิด ฉันอยากตั้งจิตให้มั่น จักได้กุศลแรง”
       “เจ้าค่ะแม่หญิง”
       พิณหน้าสลดเดินเลี่ยงออกไปหาที่นั่งพักรอ
       เรไรเดินรอบโบสถ์ช้าๆ ด้วยท่าทีสงบเสงี่ยมและตั้งสมาธิเพื่อให้พ่อกับเสมาปลอดภัย

       ยามสายวันนั้น เสมาและสินกำลังนำทหารไทยต่อสู้กับทหารพม่าอย่างดุเดือด เสมาใช้ดาบสองมือฟาดฟันใส่ทหารพม่าล้มตายเป็นใบไม้ร่วง สินเองก็ใช้ทวนทั้งหวด ทั้งแทงใส่ข้าศึกอย่างเหี้ยมหาญ ทั้งสองฝ่ายต่างตะลุมบอนกันอย่างดุเดือด แม้ทัพไทยจะมีน้อยกว่ามาก แต่ก็สู้ได้อย่างสูสี
       สมิงโยคราช ชาวมอญซึ่งเป็นทหารเอกของพระเจ้าเชียงใหม่กำลังใช้ดาบสองมือเข่นฆ่าทหารไทยที่บุกเข้ามาจนตายเป็นเบือชนิดไม่คณามือแม้แต่น้อย เสมากับสมิงโยคราชหันไปสบตากันกลางศึก ต่างฝ่ายต่างสัมผัสได้ถึงความเก่งกาจของอีกฝ่าย สินจะเข้าไปสู้กับสมิงโยคราช แต่เสมาใช้ดาบกันสินไว้ก่อน
       “อย่าอ้ายสิน เอ็งตอนนี้ยังสู้มันไม่ได้ดอก”
       เสมาวิ่งเข้าหาสมิงโยคราช เช่นเดียวกับที่สมิงโยคราชวิ่งเข้าหาเสมาเช่นกัน ทั้งคู่ร้องตะโกนลั่นก่อนฟาดฟันเพลงดาบสองมือเข้าใส่กันอย่างดุเดือด สมเป็นทหารยอดฝีมืด้วยกันทั้งคู่

       สมเด็จพระนเรศวร และสมเด็จพระพระเอกาทศรถ ทรงประทับอยู่บนหลังม้าอยู่ที่มุมหนึ่ง ขณะที่ขุนรามเดชะ ขัน พุฒ พันอิน จมื่นทิพย์รักษา และทหารไทยอีกจำนวนมาก ยืนห้อมล้อมทั้งสองพระองค์อยู่ สมบุญนั่งคุกเข่ารายงานสถานการณ์ให้สมเด็จพระนเรศวรทรงทราบอยู่ พระองค์ทรงแย้มพระสรวลอย่างพอพระทัย
       “ทัพอ้ายราชมนูรบกับทัพพระเจ้าเชียงใหม่ที่บ้านแหรึ แสดงว่าพระเจ้าเชียงใหม่ทรงยกทัพมาตีเราเช่นกันจึงได้ปะทะกันระหว่างทาง ช่างบังเอิญดีแท้”
       พระเอกาทศรถทรงพนมมือบังคมพระเชษฐาธิราชแล้วตรัสว่า
       “ถ้ากระนั้นก็สมอุบายของเราแล้ว เร่งยกทัพหลวงขึ้นไปช่วยพระราชมนูกับเจ้าพระยาสุโขทัยเถิดพระพุทธเจ้าข้า”
       พระนเรศวรทรงตริตรองอยู่ครู่นึงแล้วทรงหันไปสั่งสมบุญ
       “เอ็งจงไปบอกอ้ายราชมนู ให้ถอยทัพประเดี๋ยวนี้”
       สมบุญแปลกใจ แต่ไม่กล้าถามได้แต่ถวายบังคม
       “รับด้วยเกล้าพระพุทธเจ้าข้า”
       สมบุญรีบวิ่งไปขึ้นม้าของตนแล้วขี่ออกไปทันที ทุกคนพากันแปลกใจว่า ทำไมสมเด็จพระนเรศวรให้ถอยทัพ แต่ทุกคนกลัวเลยไม่กล้าถาม นอกจากสมเด็จพระเอกาทศรถ
       “เหตุใดสมเด็จพี่ จึงให้พระราชมนูถอยทัพเล่าพระพุทธเจ้าข้า ทัพพระเจ้าเชียงใหม่มีเรือนแสน แต่ทัพพระราชมนูแลเจ้าพระยาสุโขทัยมีเพียงสองหมื่น ยังยันทัพไว้ได้แสดงว่าทหารของเราเข้มแข็งนัก หากยกทัพหลวงขึ้นไปช่วยต้องชำนะเป็นแน่”
       “ชำนะ แต่เสียไพร่พลมากเกินไป หากรบกันที่บ้านแห หาควรที่เราจะยกทัพหลวงขึ้นไปช่วยไม่ แต่ชอบที่จักแปรขบวนทัพหลวงไปซุ่มอยู่ที่ป่ากระทุ่มข้างตะวันตก แล้วให้อ้ายราชมนูลาดถอยล่อข้าศึกตามมา แล้วให้ทัพหลวงที่ซุ่มอยู่ตีกระหนาบ ก็จักชำนะได้โดยง่าย”
       สมเด็จพระเอกาทศรถทรงคิดตามแล้วแย้มสรวลด้วยความดีพระทัย เพราะเป็นแผนการรบที่ดีมากๆบรรดาทหารทุกคนหันไปพูดคุยกัน ต่างเห็นดีด้วย และยอมรับในพระปรีชาสามารถของสมเด็จพระนเรศวรกันทุกคน

อ่านต่อหน้า ๓ 


เกร็ดความรู้เกี่ยวกับขุนศึก

๑๙. วัดพระศรีสรรเพชญ์ เป็นวัดหลวงในพระราชวังโบราณของอยุธยา ซึ่งไม่มีพระสงฆ์จำพรรษา สร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่หนึ่ง โดยในปีพุทธศักราช 2043 ได้มีการหล่อพระพุทธรูปทองคำสูง16เมตร หุ้มด้วยทองคำหนัก171กิโลกรัม ประดิษฐานไว้ในวิหาร พระนามว่า “พระศรีสรรเพชญดาญาณ”

๒o. เงินตราสมัยอยุธยา มีเงินตราอยู่ 4 ชนิด คือเงินพดด้วง ซึ่งทำจากโลหะเงินแล้วประทับตรา เบี้ย คือหอยเบี้ยที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ ไพและกล่ำ ทำจากโลหะที่มีค่าน้อยกว่าเงิน เงินปะกับ เป็นเงินปลีกที่ทำจากดินเผา ใช้แทนเบี้ยเมื่อยาม ขาดแคลน


Create Date : 22 พฤษภาคม 2555
Last Update : 22 พฤษภาคม 2555 11:46:15 น. 0 comments
Counter : 1077 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

atitaya_t
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




สวัสดีค่ะ ขอร่วม gang ด้วยคนค่ะ
Friends' blogs
[Add atitaya_t's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.