เก็บความทรงจำ..(^_^)..ความสนใจ โลกส่วนตัว ที่เราสร้างเอง
Group Blog
 
 
พฤษภาคม 2555
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
22 พฤษภาคม 2555
 
All Blogs
 
ขุนศึก ตอนที่ 2-2

ขุนศึก ตอนที่ ๒ (ต่อ)


ในยามเช้าวันต่อมาที่บ้านของขุนรามเดชะ เรไรเดินขึ้นเรือนมา โดยมีทาสหญิงถือพานใส่ดอกไม้ตามมาด้วย พอขึ้นมาถึงเรือนก็เห็นลำภูกำลังนั่งคุยกับอำพันอยู่ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส เรไรเข้าไปนั่งพับเพียบ ไหว้อำพัน

       “ฉันไหว้จ้ะแม่ป้า”
       อำพันรับไหว้สีหน้ายิ้มแย้ม
       “จำเริญสุขเถิดแม่เรไรหลานป้า แม่เรไรนับวันจะยิ่งงาม ดูท่าจะไม่ผิดแม่ลำภูตอนรุ่นๆ เลยกระมัง” อำพันพูดพลางเชยคางเรไรขึ้นดู
       เรไรยิ้มอายๆที่ถูกชมต่อหน้า ลำภูยิ้มภูมิใจในตัวลูก
       “เห็นทีจะงามกว่าฉันเสียอีกจ้ะพี่อำพัน เรื่องงานบ้านงานเรือนก็ไม่มีที่ติ กลับมาเรือนที ฉันเบาแรงไปได้โข”
       “เป็นบุญของแม่ลำภูจริงเทียว ที่มีลูกเช่นแม่เรไร ไม่รู้ว่าฉัน จะมีวาสนาได้ลูกสาวงามพร้อมเช่นนี้เพิ่มขึ้นอีกสักคนหรือไม่”
       ลำภูยิ้มๆ ชอบใจที่อำพันทาบทามเพราะลำภูชอบบ้านอำพันอยู่แล้ว เรไรถึงกับหน้าเสียทันทีที่อำพันพูดทำนองทาบทามให้ขัน เพราะเรไรไม่ชอบขัน

       บ่ายวันเดียวกัน ที่ศาลาท่าน้ำ เรไรกำลังคุยกับแม่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
       “ลูกรักนับถือแม่ป้าอำพัน แต่ก็มิอาจทำใจรักใคร่ชอบพอพี่หมู่ขันได้ดอกจ้ะแม่”
       ลำภูได้ยินดังนั้นก็ไม่พอใจ
       “ ทำไมรึ พ่อขันมีกระไรไม่ดี แม่เรไรถึงชอบพอไม่ได้”
       เรไรถอนใจ ตัดสินใจพูดกับแม่
       “แม่จำจำเรียงได้หรือไม่จ๊ะ”
       ลำภูคิดทบทวนก่อนพูด
       “นางข้าหลวงที่มีหน้าที่รับใช้ลูกในตำหนักน่ะรึ”
       “คนนั้นล่ะจ้ะ จำเรียงเป็นน้องเสมา ครูฝึกทหารของพ่อ พี่หมู่ขันมีทีท่าชอบพอแลเกี้ยวจำเรียงจนออกนอกหน้า โจษกันไปทั้งฝ่ายใน แล้วแม่ยังจะให้ลูกรับรักพี่หมู่ขันอีกหรือจ๊ะ”
       ลำภูถึงกับหน้าเสีย
       “ไม่จริงกระมัง แม่จำเรียงแม้จะสะสวย แต่ศักดิ์ตระกูลแลฐานะ มิสมกับพ่อขันแม้แต่น้อย แล้วพ่อขันจะไปชอบพอได้อย่างไรกัน”
       “หากแม่ไม่เชื่อ แม่ไปถวายเพลกับลูกที่วัดซีจ๊ะ แล้วแม่จะได้ถามกับจำเรียงเอง”
       ลำภูมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาทันที ถ้าขันทำจริงก็ทำใจลำบาก ขณะที่เรไรก็มีความหวังว่า ถ้าแม่รู้ความจริงแล้วจะไม่บังคับใจตน

       เวลาต่อมา ภายในวัด จำเรียงยืนเขินอายถือถาดใส่ดอกไม้ที่จะเอาไปถวายพระ โดยมีเรไร ลำภูยืนอยู่ใกล้ๆ ข้อมือของจำเรียงใส่กำไลเงินที่ขันให้อยู่ด้วย
       “แม่นายไปฟังมาจากผู้ใดกันจ๊ะ”
       เรไร และลำภูเหล่มองกันนิดนึง ลำภูปั้นยิ้มแล้วหลอกถามต่อ
       “ฉันก็ชาววังเก่า ย่อมมีคนพูดมาเข้าหูบ้าง แล้วพ่อขันก็ใช่อื่นไกล เห็นมาแต่เล็กแต่น้อยเหมือนหลานในไส้ หากจะเป็นฝั่งเป็นฝาฉันก็มีแต่จะยินดีด้วย”
       “ม่ถึงขนาดนั้นดอกจ้ะแม่นาย พี่หมู่ขันห่วงแต่เรื่องงานศึกไม่ได้คิดไกลถึงเพียงนั้นดอกจ้ะ”
       “กระไรกันจำเรียง กำไลที่สวมอยู่ ไม่ใช่พี่หมู่ขันให้เป็นของหมั้นหมายดอกรึ” เรไรว่า
       จำเรียงยิ่งอายหนักกว่าเดิม
       ไอุ๊ย ไม่ใช่ดอกแม่หญิง พี่หมู่ขันให้กำไลนี้ไว้ดูต่างหน้า ตอนพี่หมู่ไปงานศึกเท่านั้นหาใช่ของหมั้นหมายไม่จ้ะไ
       เรไรยิ้มพอใจที่หลอกถามได้ตามแผน ลำภูพอรู้ความจริงก็หน้าเครียดขึ้นมาทันที

       ช่วงบ่ายแก่ๆ บริเวณท้องทุ่งที่บางเกี่ยวหญ้า บรรดาทหารพม่ากำลังคุมช้าง-ม้าจำนวนมาก กินหญ้ากินน้ำอยู่ ทหารพม่าไม่ได้มีท่าทีระวังป้องกันภัยแม้แต่น้อย พูดคุยเล่นกันไปเรื่อย ที่มุมหนึ่ง สมบุญซุ่มดูเพื่อสืบเหตุการณ์ความเคลื่อนไหวของพวกพม่าอย่างละเอียดเพื่อเอากลับไปรายงาน

       เย็นวันนั้น ภายในค่ายพระราชมนู … สมบุญคุกเข่ารายงาน
       “จริงหรือวะ อ้ายพวกข้าศึกมันคุมช้างม้ามากินหญ้ากินน้ำกันหละหลวมอย่างนั้นเชียว” พระราชมนูพูดขึ้น
       ภายในกระโจม พระราชมนูและทุกคนกำลังประชุมวางแผนอยู่
       “จริงขอรับ ข้าพระเจ้าเห็นมากับตา พวกมันไม่ได้ระวังป้องกันเลยขอรับ”
       ขันกระหยิ่มยิ้มย่องแล้วพนมมือ
       “อ้ายพวกนี้ไม่รู้จักเข็ดหลาบ ท่านแม่ทัพขอรับ ข้าพระเจ้าขออาสา นำทัพออกปล้นพวกมันอีกขอรับ”
       พระราชมนูยิ้มๆแต่นิ่งไม่พูดอะไร ขุนรามเดชะส่ายหน้ายิ้มๆ
       “พ่อขันยังอ่อนในเชิงศึกนัก ที่อ้ายข้าศึกมันทำเยี่ยงนี้ด้วยหวังจะล่อให้เราออกปล้นอีก แล้วซุ่มโจมตีเราต่างหากเล่า”
       ขันหน้าเสียที่อาสาผิดจังหวะเลยกลายเป็นหน้าแตกไป
       “แต่ข้าก็ยังจะจัดทหารออกปล้นมันอยู่ดี มีใครจะอาสาบ้าง” พระราชมนูพูดขึ้น
       เสมาพนมมือแล้วว่า
       “ข้าพระเจ้าขอรับ”
       “เอ็งอีกแล้วรึอ้ายเสมา เมื่อครู่ออกขุนท่านเพิ่งบอกว่าเป็นอุบายข้าศึกแล้วเอ็งไม่สงสัยรึ ว่าเหตุใดข้ายังจะแต่งทหารออกปล้นอีก”
       “ไม่สงสัยขอรับ ท่านแม่ทัพคงหมายซ้อนกล รอพวกมันออกจากที่ซุ่มแล้วตีตลบหลัง ใช่หรือไม่ขอรับ”
       พระราชมนูหัวเราะชอบใจแล้วว่า
       “เออ เอ็งพูดถูก แล้วเอ็งรู้หรือไม่ว่าคนที่อาสาเป็นทัพล่อต้องตาย”
       “รู้ขอรับ แต่ข้าพระเจ้าจะเข้าชิงช้างชิงม้าที่อ้ายข้าศึกเอามาเป็นของล่อ แล้วใช้กำลังช้างม้าลุยให้ถึงค่ายเสีย”
       พระราชมนูหันไปพูดกับขุนรามเดชะ
       “คนของออกขุนคนนี้มีปัญญาไม่แพ้ฝีมือดอก ต้องเอามันไว้ใช้ต่อไป”
       ขุนรามเดชะยิ้มหน้าบานที่ได้หน้าเต็มๆ ขันเหล่มองด้วยสายตาเขม่น
       “แต่กลศึกครานี้ จัดทหารให้เอ็งได้ไม่เกินห้าร้อย แต่อ้ายข้าศึกมีเรือนพันเรือนหมื่น ผิทัพข้าแลทัพของท่านแม่ทัพเข้ามิทันศึก เอ็งจะมิพาพลไปตายเสียหมดรึ” ขุนรามเดชะว่า
       “ไม่ดอกขอรับ หากพวกมันมีทัพซุ่มมากกว่าหนึ่งทัพคงจะยกแล่นตามไป ข้าพระเจ้าจึงจะรบล่อแต่ใกล้ป่า พอหลีกหลบคอยทัพของพระคุณได้ตามกลศึก “พังภูผา” ขอรับ”
       พระราชมนูตบเข่าฉาดอย่างถูกใจ
       “ชนะแน่แล้วออกขุน ข้าพระเจ้าเชื่อนักว่าชนะ”
       ขุนรามเดชะยิ้มพอใจ งานนี้ได้หน้าต่อหน้าแม่ทัพแถมมีหวังชนะศึกอีกต่างหาก ขันแอบมองเสมาด้วยสายตาริษยาอย่างเต็มเปี่ยม

       ตอนหัวค่ำ เรไรและลำภูกำลังปักเย็บผ้าพร้อมคุยกันไปอยู่ในห้องนอนของลำภู ตอนหนึ่งลำภูถึงกับหยุดเย็บปักแล้วคุยกับลูกสาวด้วยสีหน้าเครียด
       “ชายมีหลายเมีย หาใช่เรื่องแปลกอันใดไม่ สำคัญที่เค้ายกย่องลูกเป็นเมียเอกก็พอ”
       “ตั้งแต่ลูกรู้ความ เรือนของเรามิเคยมีเรื่องร้อนใจเหมือนเรือนอื่นก็เพราะพ่อมีแม่เพียงคนเดียวไม่เคยมีเมียอื่น ใช่หรือไม่เจ้าคะ” เรไรพูดหน้าเครียดเหมือนกัน
       ลำภูถึงกับอึกอักไปเล็กน้อย
       “แม่เคยได้ยินพ่อของลูกบอกว่าพ่อขันกับอ้ายเสมาไม่ถูกกันไม่ใช่รึ พ่อขันอาจจะแกล้งเกี้ยวแม่จำเรียงเพื่อเย้ยอ้ายเสมามันไม่ได้คิดจริงจังอันใดก็ได้”
       “เช่นนั้นยิ่งไม่ถูก ไม่ชอบพี่แล้วพาลพาโลเอากับน้องจะนับถือเป็นชายชาติทหารได้อย่างไรกัน”
       ลำภูหน้าเสียเถียงไม่ออกได้แต่ถอนหายใจ
       “แม่จนแก่คารมลูกแล้วแม่เรไร เอาเถิดลูกไม่ชอบพอพ่อขัน แม่ก็จะไม่บังคับใจ แต่หวังว่าลูกจะได้คู่ดีกว่าพ่อขัน มิใช่ได้เพียงแค่ช่างตีเหล็กหน้าตลาด”
       เรไรร้องเรียก “แม่” ด้วยตกใจเพราะคิดไม่ถึงว่าแม่จะรู้เรื่องนี้
       ลำภูหน้าขรึมลง
       “แม่อยากให้ลูกรับรักพ่อขันเสียก็ด้วยกลัวเหตุนี้ ลูกคงไม่ลืมกระมังว่าตนเองมีชาติมีตระกูลอย่างไร”
       “ลูกไม่ลืมดอกจ้ะแม่ แม่วางใจเถิด ลูกไม่เคยตกปากรับคำใดกับเสมาหรือทำกระไรให้มัวหมองมาถึงพ่อแม่ จะมีก็แต่เสมาที่สัญญากับลูกว่าจะแสวงหายศศักดิ์ให้เสมอด้วยหน้าตาลูกให้จงได้”
       ลำภูยิ้มหยันเล็กน้อยแล้วว่า
       “ได้เช่นนั้นก็ดี แต่ข้อที่จะแสวงหายศศักดิ์ให้เสมอด้วยลูกนั้น เห็นทีจะคุยโวเสียมากกว่ากระมัง เพราะแม่ยังไม่เคยเห็นทหารเลวคนใด จำเริญขึ้นเป็นถึงขุนศึกขุนพลมาก่อนเลย”
       เรไรสีหน้าเคร่งเครียดหนักใจที่แม่ไม่ชอบเสมา ความรักของเรไรกับเสมาท่าจะมีแต่อุปสรรคเสียแล้ว

       เสมากำลังเดินกลับไปที่กระโจมของตนเมื่อตอนหัวค่ำ สมบุญรีบวิ่งตามเสมามาดักหน้าเสมาไว้
       “พี่เสมาๆ ประเดี๋ยวก่อนพี่”
       “มีกระไรวะ”
       “เมื่อครู่ ตอนอยู่หน้าท่านแม่ทัพ พี่พูดถึงกลศึกพังภูผา มันคือกระไรรึ ข้าอยากรู้” สมบุญถามขึ้นด้วยความอยากรู้
       เสมาแกล้งตีหน้าตายแล้วว่า
       “เอ็งจะอยากรู้ไปทำไมรึ เค้าสั่ง เอ็งก็ทำตามเพียงนี้ก็ดีแล้ว”
       “พิโธ่ พี่เสมา”
       “ข้าเย้าเล่น เอ็งอยากรู้ข้าก็จะบอก กลศึกพังภูผา เป็นหนึ่งตำรับพิชัยสงครามมาแต่โบราณ”
       เสมายิ้มขำ แล้วเดินนำไปพร้อมพูดเป็นกลอน - - ผิว์รบไหวให้ช้างม้าโรมรุม กลุ้มกันหักอย่าคลา...

       เสมาเรียนรู้กลศึกพังภูผา เมื่อ 3 ปีก่อน วันนั้น เสมานั่งคุกเข่าอยู่ในโบสถ์วัดพุทไธสวรรย์ อ่านพิชัยสงครามจากใบลานต่อหน้าพระครูขุน
       “อย่าช้าเร่งรุมตีศึกแล่นหนีตามค่อย ให้ยับย่อยพลายพลัด ตัดเอาหัวโห่เล่น เต้นเริงรำสำแดงหาญให้ศึกคร้านคร้ามกลัว ระรั้วระเสิดสังกลศึกอันนี้ชื่อว่าพังภูผา”
       “กลศึกพังภูผานี้สำคัญนัก หากใช้เหมาะควรแก่เพลา แม้นพลน้อยก็อาจชนะทัพหมื่น เอ็งต้องจำให้ขึ้นใจนาอ้ายเสมา” พระครูขุนว่า
       “ขอรับ อ้ายเสมาจะจำไว้ มิเพียงแต่กลศึกพังภูผา แม้นกลศึกอื่นแลข้อความในตำรับพิชัยสงคราม อ้ายเสมาก็จักจำให้ขึ้นใจแลศึกษาให้แตกฉานขอรับ”
       พระครูขุนพยักหน้าพอใจ
       “ดีแล้ว ฝีมือดาบอาจให้เอ็งเป็นยอดขุนศึกได้ แต่ความรู้ในตำรับพิชัยสงคราม อาจให้เอ็งเป็นแม่ทัพคุมพลเรือนแสนได้จำไว้นะอ้ายเสมา”
       เสมาพนมมือรับจดจำทุกสิ่งที่พระครูสอนได้จนหมด

       ผ่านห้วงความทรงจำเมื่อ 3 ปีก่อนกลับมายังปัจจุบัน เสมากำลังยืนคุยกับสมบุญอยู่
       “เนื้อความมีเพียงเท่านี้อยู่ที่คนใช้จะแตกฉานเพียงใด เอ็งเข้าใจหรือไม่อ้ายสมบุญ”
       สมบุญหน้าเหวอ
       “ไม่เข้าใจเลยจ้ะพี่เสมา พี่ท่องกลอนให้ฉันฟังอีกหน ได้หรือไม่จ๊ะ ฉันจำไม่ได้”
       “ข้าสั่ง เอ็งก็ทำเถิด อย่าคิดให้เกินปัญญาเลย เหนื่อยทั้งเอ็งทั้งข้าเสียเปล่า”
       เสมาเดินเลี่ยงไปด้วยความเซ็ง
       “ประเดี๋ยวพี่เสมา ข้าไม่ปัญญาทึบเพียงนั้นดอก แต่คิดเชื่องช้าไปหน่อย พี่เสมา”
       สมบุญรีบตามเสมาไป

       ยามเช้าวันรุ่งขึ้นที่บริเวณท้องทุ่งกว้างสุดลูกหูลูกตา เสมา ขัน สมบุญ และเหล่าทหารกำลังนั่งยองๆอยู่กับพื้น เสมาใช้ไม้ขีดเขียนกับพื้น เป็นแผนที่คร่าวๆเพื่อวางแผนรบ
       “ข้าจักเข้าตีปลายป่าโน้นก่อน แล้วนายหมู่จึงยกเข้าต้อนฝูงม้ามันข้างเบื้องซ้าย แลหากว่าจะมีศึกที่ซุ่มทัพออกมา ก็จงยกเข้าไปช่วยกัน หากทัพข้าศึกมันหนุนมาเพิ่ม เราค่อยชิงช้างม้าแลใช้กลศึกพังภูผา หลบหลีกจนกว่าทัพหลวงของท่านแม่ทัพจะมาถึง” เสมาว่า
       “งั้นเอ็งเอาพลไปสักหนึ่งร้อยเถิด ที่เหลืออีกสี่ร้อยข้าจะคุมไว้เอง” ขันบอก
       “ท่านแม่ทัพให้สิทธิขาดพี่เสมาคุมพล หัวหมู่ขอตามมาเองแล้วจะมาเลือกกะเกณฑ์ตามใจเยี่ยงนี้จะถูกรึ” สมบุญพูดขึ้นอย่างไม่พอใจ
       “ข้าเห็นครูเอ็งเก่งกล้าเกินผู้คน พลเพียงร้อยน่าจะพอ มาตอนนี้กลับกลัวขึ้นมารึ ถึงต้องมีพลให้มากไว้” ขันยิ้มเยาะ
       สมบุญโมโหจะเอาเรื่อง แต่เสมารีบจับบ่าไว้ไม่ให้มีเรื่อง เสมาจ้องหน้าขันแบบเอาเรื่อง
       “เพลานี้เป็นยามศึก หากนายหมู่อยากประชันกับข้า เราก็มาหาผลแพ้ชนะกันด้วยหัวข้าศึกเป็นไร”
       “มึงท้ากูรึอ้ายเสมา ได้ มึงท้า กูก็รับ”
       “ถ้ากระนั้นเราแบ่งพลคนละกึ่งหนึ่ง ข้าจะเป็นตัวล่อ นายหมู่ทำตามแผนการเถิด เสร็จศึก แล้วค่อยมานับหัวข้าศึกกัน”
       เสมา สมบุญ และทหารอีกกลุ่มหนึ่งแยกตัวออกไป ขันมองตามแล้วยิ้มร้ายๆ อย่างมีแผน

       ในเวลาต่อมา ทหารพม่าจำนวนหนึ่ง คุมช้าง-ม้าออกมากินหญ้ากินน้ำตามชายป่า เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทันใดนั้น ทัพของพวกเสมาก็โห่ร้องบุกเข้าโจมตีทันที พวกทหารพม่าไม่ได้สู้รบ รีบวิ่งหนีเอาตัวรอดทันทีเช่นกัน ปล่อยช้าง-ม้า จำนวนมากทิ้งเอาไว้ให้พวกเสมา สมบุญมองเหตุการณ์อย่างงงๆ
       “กระไรวะ ไม่ทันได้ปะดาบก็หนีแล้ว”
       ขาดคำ เสียงโห่ร้องของทหารพม่าที่ล้อมอยู่ก็ดังกึกก้องขึ้น ทหารพม่าโบกธงถืออาวุธล้อมเข้ามาเต็มไปหมด เสมากระชับดาบสองมือเตรียมสู้ตายแล้วตะโกนลั่น
       “เป็นดังคำท่านแม่ทัพแล้ว พวกเอ็งอย่าอาลัยแก่ชีวิต จงสู้ตายกับพวกมัน เพื่อเปิดทางให้ทัพหลวงเถิด”
       พวกทหารโห่ร้องดังกึกก้อง แล้วเข้าตะลุมบอน ฟาดฟันกับกองทัพพม่าที่โอบล้อมเข้ามาทันที

       ขันกับเหล่าทหารอีกกลุ่มกำลังซุ่มดูเสมากับเหล่าทหารไทยสู้รบกับพวกทหารพม่าที่กรูล้อมกันเข้ามาอย่างดุเดือด ลูกน้องของขันคนหนึ่งกล่าวว่า
       “พวกมันออกมาแล้ว เรารีบตีตลบหลังมันเถิดขอรับนายหมู่”
       ขันยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วบอก
       “ตีแน่ แต่ยังไม่ใช่ประเดี๋ยวนี้ดอกวะ อ้ายเสมามันทะนงในฝีมือมันนัก กูจักให้มันสำแดงให้สิ้นฝีมือมันก่อน”
       “แล้วหากอ้ายเสมากับไพร่พลมันตายหมดเล่าขอรับ เรามิผิดอาญาทัพ ต้องโทษตัดหัวไปด้วยหรือขอรับ” ลูกน้องพูดด้วยความตกใจ
       “เอ็งไม่ได้ยินที่ท่านแม่ทัพบอกดอกรึ แผนศึกครานี้ จำต้องมีตัวล่อเสี่ยงตาย อ้ายเสมามันอาสาเอง หากตายขึ้นมาจะโทษใครได้เล่าวะ”
       “แต่...”
       “หรือมึงอยากตายประเดี๋ยวนี้ ทัพนี้กูเป็นคนสั่ง หากใครบังอาจขัดคำกู กูจะตัดหัวให้สิ้น” ขันตะคอกลูกน้องแล้วเอาด้ามดาบชี้หน้า
       ลูกน้องหน้าจ๋อยไม่กล้าพูดอีก ทหารอื่นก็พลอยกลัว ไม่กล้ากับขันแม้จะรู้ว่าผิดก็ตาม ขันมองไปที่การต่อสู้ของเสมา แล้วยิ้มร้ายๆ มั่นใจว่าเสมาไม่รอดแน่

       เสมา สมบุญ และเหล่าทหารต่างสู้ตายกับพวกพม่า แต่ทัพข้าศึกมีมากกว่าเยอะ ยิ่งสู้ก็ยิ่งแย่เข้าไปทุกที สมบุญฟันข้าศึกตายไปแล้วรีบหันไปพูดกับเสมาอย่างเหนื่อยหอบ
       “ข้าศึกมากนักเหลือกำลังแล้วพี่เสมา “
       “อ้ายหมู่ขันมันยกมาช่วยแล้วหรือไม่”
       “ไม่เลยพี่ มันควรจะยกมาแต่เบื้องซ้าย แต่นานโขแล้วก็ยังไม่เห็นพลมัน อ้ายขันคงคิดแกล้งให้เราตายด้วยน้ำมือข้าศึกเสียแล้ว”
       “อ้ายขัน หัวใจมึงมันชั่วนัก” เสมาพูดด้วยความแค้นใจแล้วตะโกนบอก
       “พวกมึง ตามกูมา”
       เสมาร้องลั่นแล้ววิ่งเข้าหาข้าศึก โดยหมายตาไว้ที่ช้าง กะจะยึดเอาช้างเป็นพาหนะสู้ศึก ฝ่ายข้าศึกจำนวนมากกรูกันเข้ามาหมายจะฆ่าเสมา เสมาใช้ไม้ตายเพลงดาบสองมือ ฟาดฟันข้าศึกร่วงพรูเป็นใบไม้ร่วง เปิดทางให้พวกลูกน้อง
       สมบุญเห็นเสมาทะลวงฟันเปิดทางก็ดีใจ ตะโกนลั่น
       “ตามพี่เสมาไป”
       สมบุญและเหล่าทหารโห่ร้อง วิ่งตามหลังพวกเสมาไป ไล่ฆ่าพวกข้าศึก เสมาวิ่งจนถึงช้าง ก็คาบดาบเล่มหนึ่งไว้ อีกเล่มไว้ในมือ แล้วปีนขึ้นบนตัวช้าง จนสามารถขี่คอบังคับช้างได้ แล้วตะโกนลั่น
       “พวกมึง เร่งชิงช้างม้าไว้เป็นกำลัง แล้วตามกูมา”
       เสมาไสช้างเข้าหาทหารพม่า จนทหารพม่าปั่นป่วนวุ่นวายไปหมด สมบุญและพวกทหารรีบทำตามที่เสมาบอก ต่างเข้าแย่งชิงช้าง-ม้า ไว้เป็นพาหนะเข้าต่อสู้

       ขันกับบรรดาทหารยังคงซุ่มดูอยู่ไม่ยอมออกไปช่วยเสมา
       “มึงไม่รอดแน่แล้ว อ้ายเสมา” ขันพูดพลางยิ้มอย่างสะใจ
       ขาดคำ มีลูกธนูดอกหนึ่งยิงมาปักคอทหารคนหนึ่ง ทหารคนนั้นร้องด้วยความเจ็บปวดเพียงคำเดียว ก็ล้มลงขาดใจตายต่อหน้าหมู่ขัน ขันตกใจมาก พอหันไปมองดู ก็พบว่าตนถูกทหารพม่ากลุ่มใหญ่ล้อมไว้หมดแล้ว ขันและพวกทหารต่างตกใจลุกขึ้นชักอาวุธออกมาเตรียมสู้ด้วยความหวาดหวั่นที่ตกอยู่ในวงล้อมข้าศึกแบบนี้
       “มีทัพซุ่มมากกว่าหนึ่งจริงๆ พวกมันล้อมเราไว้แล้ว จะทำอย่างไรดีขอรับนายหมู่” ทหารคนหนึ่งพูดกับขัน
       “พวกมึงอย่ากลัวตีฝ่าออกไปให้ได้ ใครถอยแม้แต่ก้าวเดียวกูจะตัดหัวมันเสีย” ขันพูดพร้อมกับกัดฟันสู้
       ขันร้องลั่นแล้วพุ่งเข้าหาทัพข้าศึกทันที พวกทหารเห็นขันไม่กลัว ก็มีกำลังใจมากขึ้น รีบวิ่งตามขันไปทหารพม่าโห่ร้องแล้วกรูกันออกมารุมพวกขันทันที
       นันทะกะยอสูแม่ทัพพม่า ขี่ม้ายืนอยู่แล้วชี้ไปที่พวกขันแล้วสั่งการ
       “ฆ่าพวกมันให้หมด อย่าให้รอดไปได้แม้แต่คนเดียว”
       พวกขันสู้ตาย ตะลุมบอนอยู่กลางกองทัพของฝ่ายตรงข้ามอย่างดุเดือด

       เสมาขี่ช้างเข้าตะลุยจนทัพพม่าปั่นป่วนไปหมด พวกสมบุญยึดช้าง ม้าตัวอื่นได้ ก็ไล่ป่วนกองทัพพม่าจนวุ่นวายไปเช่นกัน
       “อ้ายพวกข้าศึก มันวุ่นวายสิ้นแล้ว เรารีบหนีกันเถิดพี่เสมา”
       “เอ็งหนีไปตามชายป่าล่อให้พวกมันแล่นตาม จักได้เปิดทางให้ทัพหลวงตีตลบหลังพวกมัน”
       “จ้ะพี่เสมา”
       สมบุญตะโกนสั่ง
       “เฮ้ย รีบทะลวงออกไป ตามกูกับพี่เสมามา”
       เสมาชะงัก เมื่อหันไปมองแล้วเห็นทัพของขันกำลังถูกพม่ารุมตีอยู่
       “อ้ายสมบุญ นั่นทัพอ้ายหมู่ขันใช่หรือไม่”
       สมบุญมองตามที่เสมาชี้ให้ดูแล้วยิ้มขึ้นอย่างสะใจ
       “ไม่ผิดแล้วพี่ อ้ายหมู่ขันถูกล้อมอยู่โน่นแล้ว”
       เสมานิ่งคิดอยู่ครู่นึงแล้วตัดสินใจ
       “เอ็งรีบพาพวกเราไป แล้วทำตามแผนศึกอย่าให้เสียการ ข้าจะไปช่วยอ้ายหมู่ขันก่อน”
       “พี่จะช่วยมันทำกระไร ปล่อยเสียให้สะใจหละดี มันอยากแกล้งนิ่งจะปล่อยพวกเราให้ตายโหง ฮ๊ะ อ้ายหมู่สิกลับจะตายเสียเพราะบาปมัน”
       “ช่างเถิดวะ ถึงอย่างไรก็ไทยด้วยกัน หากมันตายจะกระทบการศึกเสียเปล่า เอ็งทำตามที่ข้าบอกเถิด อ้ายสมบุญ”
       เสมาไสช้างไปช่วยขันทันที สมบุญมองตามด้วยความเจ็บใจ... ไม่น่าช่วยมันเลย

       กองทัพพม่าอีกกลุ่มหนึ่งของไชกะยอสู ตั้งทัพไว้รอหนุนเสริมอยู่ ทหารพม่าคนหนึ่งรีบวิ่งเข้ามารายงาน
       “ท่านแม่ทัพขอรับ บัดเดี๋ยวนี้ทัพของท่านนันทะกะยอสู ได้เข้ารบด้วยทัพอโยธยาแล้วขอรับ”
       “พวกมันกินเหยื่อล่อง่ายดายปานนี้ คราครั้งนี้ แม้ทัพมันไม่แตกยับก็ต้องไม่กล้าแต่งกองโจรมาปล้นชิงพวกเราอีกเป็นแน่ ทัพพวกมันมีพลเท่าใด”
       “คะเนด้วยตา ไม่น่าเกินห้าร้อยขอรับ”
       ไชกะยอสูตกใจแล้วฉุกคิดขึ้น
       “พวกมันมาปล้นชิงช้างม้า เหตุใดจัดทัพมาน้อยนัก ...แย่ล่ะ รีบกลับเข้าค่ายประเดี๋ยวนี้”
       ขาดคำที่ด้านหลังของทัพพม่าก็มีทัพไทยโผล่ออกมา นำโดยพระราชมนูกับขุนรามเดชะ ทัพไทยส่งเสียโห่ร้องดังกึกก้อง พวกพม่าตกใจที่ศัตรูมาจากทางด้านหลังจนระส่ำระสายไปหมด ขุนรามเดชะตะโกนลั่น ชี้ดาบไปข้างหน้า
       “ฆ่ามัน ใครตัดหัวแม่ทัพมันได้ จะได้บำเหน็จถึงขนาด”
       ทัพไทยวิ่งตะลุยเข้าใส่ทัพพม่า เปิดฉากรบกันทันที แม้ทัพไทยจะน้อยกว่าแต่บุกแบบไม่ทันตั้งตัว ทำให้ทัพพม่าแตกพ่ายไม่เป็นขบวนอย่างง่ายดาย

       มุมหนึ่งในบริเวณชายป่า ขันใช้ดาบสองมือของตนฟาดฟันใส่ข้าศึกอย่างไม่คิดชีวิต แต่เนื่องจากข้าศึกมีเป็นจำนวนมาก แม้จะฆ่าไปคนหรือสองคน คนใหม่ก็เข้ามาจนขันเริ่มอ่อนแรง ขันเหลือบไปเห็นทหารของตนถูกฆ่า คนแล้วคนเล่าจนล้มตายไปเกินครึ่ง ขันโกรธจัด ฮึดสู้ จับดาบขึ้นตะลุยฆ่าพวกพม่าอย่างดุเดือด
       นันทะกะยอสูดูการรบอยู่แล้วชี้ไปที่ขันและหันไปพูดกับลูกน้อง
       “อ้ายคนนี้ฝีมือมันดีนัก ขนาดนายกองนายหมู่ในทัพเรา ยังทำร้ายมันมิได้ เสียดายที่ต้องฆ่ามันทิ้งเสีย ...เหวย พวกเอ็งจงรุมฆ่าอ้ายทหารกรุงศรีคนนี้เสีย ข้าจะให้ทองหนึ่งชั่งเป็นรางวัล”
       พวกทหารพม่าหันมามองขันเป็นตาเดียว ก่อนจะพุ่งเข้ารุมจากทุกทิศทุกทาง ขันต้องรับศึกหนักกว่าเดิม ไม้ตายเพลงดาบมีเท่าไหร่ ก็ขนออกมาสู้จนหมด แต่ยิ่งสู้ก็ยิ่งแย่ จนตั้งรับไม่อยู่ ถูกถีบจนล้มคว่ำกับพื้น ทหารพม่าคนหนึ่งเงื้อหอกจะแทง ขันตกใจ คิดว่าไม่รอดแน่
       ทันใดนั้น เสมาก็ไสช้างบุกเข้ามา เสียงช้างร้องดังสะท้านไปทั่ว บรรดาข้าศึกแตกหนีช้างอลหม่านไปหมด ขันฉวยโอกาสที่ทหารพม่าชะงัก ปัดหอกที่จะแทงตนออก แล้วเสียบดาบฆ่าทหารพม่าคนนั้นทิ้งซะ
       “อ้ายเสมา”
       เสมาตะโกนสั่งพวกทหาร
       “พวกเอ็งตามข้ามา เราจะฝ่าทัพพวกมัน”
       พวกทหารได้ยินเสมาสั่งการก็ตั้งสติได้ รีบวิ่งตามเสมาที่เหมือนเป็นด่านหน้าที่ต่อสู้กับพวกข้าศึก พวกมือธนูของทหารพม่า ขึ้นสายธนูแล้วระดมยิงใส่เสมาทันที เสมาควงดาบสองมือคอยป้องกัน ลูกธนูมากมายแต่กลับไม่ถูกเสมาแม้แต่ดอกเดียว
       นันทะกะยอสูเจ็บใจ ชักปืนพกที่เอวออกมา แล้วยิงใส่เสมาทันที ลูกกระสุนเฉี่ยวเสมาไปนิดเดียว เสมาเห็นฝ่ายตรงข้ามมีปืน ขืนอยู่บนหลังช้างเท่ากับเป็นเป้าจึงกระโดดลงแล้วควงดาบสองมือไล่ฆ่าพวกทหารพม่าต่อ เสมาบุกตะลุยไปจนถึงตัวขัน ทั้งคู่หันหลังชนกันต่อสู้กับทหารพม่าอย่างดุเดือด
       “ไหนเล่าหัวข้าศึก หรือลืมคำท้าเสียแล้ว”
       “ข้าได้จนนับไม่ไหวแล้ว”
       เสมาพูดแล้วก็ชี้ไปที่นันทะกะยอสูแล้วว่า
       “ขาดแต่หัวแม่ทัพพวกมัน ข้าจะไปตัดโยนมาให้นายหมู่กราบประเดี๋ยวนี้”
       “ชะ อ้ายเสมา คุยโตไปแล้วเอ็ง”
       “นายหมู่ไม่เชื่อก็คอยดูเถิด ขอเพียงนายหมู่ไม่ฟันข้าข้างหลัง เรื่องแต่เพียงนี้หาเกินกำลังอ้ายเสมาไม่”
       เสมาบุกตะลุยไปที่นันทะกะยอสูทันที พวกทหารพม่าดาหน้าออกมาสู้ แต่ก็โดนเสมาฟาดฟันล้มระเนระนาดไปหมด ฝ่ายขันก็ต้องสู้กับทหารที่รุมเข้ามาสุดฝีมือ เพื่อป้องกันตัวเอง เสมาบุกคืบเข้าไปเรื่อยๆ นายกองพม่าคนหนึ่งยืนอยู่ใกล้กับนันทะกะยอสู ถือดาบโล่ออกมา แล้ววิ่งเข้าใส่เสมาทันที
       เสมาฟันดาบเข้าใส่นายกอง นายกองใช้โล่รับแล้วฟันดาบใส่ขาเสมา แต่เสมากระโดดตีลังกาข้ามหัวนายกองหลบดาบไปได้ แล้วใช้ดาบอีกมือหนึ่งฟันสวนกลับไปถูกนายกองตายคาที่
       ทันใดนั้น นันทะกะยอสูก็ยิงปืนใส่เสมาทันที เสมาเหลือบเห็น เลยม้วนตัวหลบไปได้ชนิดเส้นยาแดงผ่าแปด นันทะกะยอสูกลัวพลางตะโกนลั่น
       “คุ้มกันกู คุ้มกันกูประเดี๋ยวนี้”
       พวกทหารพม่ารีบกรูกันเข้ามาสู้กับเสมา และกันนันทะกะยอสูออกมาทันที ทหารพม่าคนหนึ่งวิ่งเข้ามาหารายงานด้วยสีหน้าตื่น
       “ท่านแม่ทัพ ทัพของท่านไชกะยอสูถูกตีตลบหลัง แตกพ่าย ไปแล้วขอรับ ทัพหลวงของพวกมัน กำลังมุ่งมาทางนี้แล้วขอรับ”
       “ถอยทัพ ถอยทัพประเดี๋ยวนี้ ถอย”
       พวกทหารพม่าตกใจเริ่มสู้พลาง ถอยพลาง เสมาสู้กับพวกที่เข้ามารุม จนไม่ทันสังเกตเห็นขัน ขันเข้ามาที่ศพของนายกองที่ถูกเสมาฆ่า แล้วหยิบผ้าโพกหัวของนายกองเก็บกลับไป พร้อมกับยิ้มเจ้าเล่ห์ปล่อยให้เสมาสู้ต่อไปโดยไม่รู้ว่าตนแย่งความชอบไปแล้ว

       ศึกครั้งนี้ทัพไทยเอาชนะทัพของพระเจ้าเชียงใหม่ ซึ่งนำโดยนันทะกะยอสู และไชกะยอสูลงได้อย่างงดงาม แม้จะมีกำลังทัพน้อยกว่าคู่ต่อสู้มากมายนัก
       กองทัพของพระราชมนูที่มีเพียงสามพัน สามารถตีทัพหน้าของพระเจ้าเชียงใหม่ที่มีกำลังถึงหนึ่งหมื่นห้าพันคน แตกพ่ายลงได้อย่างงดงาม ทำให้ทัพหลวงของพระเจ้าเชียงใหม่ที่มีกำลังพลถึงหนึ่งแสนไม่กล้าบุกคืบหน้าเข้ามาอีก
       สมเด็จพระนเรศวรและสมเด็จพระเอกาทศรถ ยกกองทัพออกมาปกป้องบ้านเมือง โดยที่ทัพพระเจ้าเชียงใหม่ ได้ถอยหนีกลับไปจนหมด
       ทั้งนี้พระเจ้าเชียงใหม่มังนรธาช่อ ทรงเห็นว่าทัพไทยกำลังฮึกเหิม หากทำการรบตอนนี้ อาจจะพ่ายแพ้ได้ จึงทรงยกทัพกลับเชียงใหม่ไปในที่สุด นับว่าเป็นชัยชนะครั้งแรกที่มีต่อผู้รุกราน หลังจากที่สมเด็จพระนเรศวรทรงประกาศอิสรภาพที่เมืองแครงเป็นต้นมา

       เวลาผ่านมาจนถึงเช้าวันหนึ่ง ที่เสมากลับมาบ้าน เสมาก้มลงกราบแทบเท้ามั่นและบุญเรือน ทั้งคู่ลูบหัวเสมาด้วยความรักที่เสมากลับจากศึกมาอย่างปลอดภัย
       “ฉันกราบพ่อกับแม่จ้ะ พระคุณของพ่อกับแม่คุ้มครองฉันโดยแท้ เสร็จศึกคราวนี้ ฉันถึงได้เลื่อนขึ้นเป็นหัวหมู่แล้ว”
       บุญเรือนน้ำตาคลอด้วยความดีใจ
       “เอ็งจะได้เป็นกระไร ก็ไม่เท่ากับเอ็งปลอดภัยกลับมาดอกวะ อ้ายเสมา”
       มั่นตบบ่าลูกด้วยความภูมิใจพลางว่า
       “แม่เอ็งพูดถูกแล้ว แค่เอ็งได้เป็นทหารออกศึกไม่ให้เสียชาติเสียตระกูลเหมือนที่พ่อทำผิดไว้ พ่อก็ปลาบปลื้มเหลือเกินแล้ว”
       “แต่หากฉันไม่ตายเสียก่อน อาจจะได้เป็นหัวพันหัวหมื่น หรือมีวาสนาได้เป็นถึงขุนเหมือนปู่ก็ได้นะจ๊ะพ่อ”
       จำเรียงแต่งตัวสวยเดินยิ้มขำๆเข้าบ้านมา
       “กระไรกันพี่เสมา เพิ่งได้เป็นหัวหมู่ชั่วครู่ชั่วยาม ก็เพ้ออยากเป็นขุนแล้วรึ พูดให้เห็นเป็นขำ ดูลุงพันอินเถิด ฉันเห็นเป็นหัวพันมานับสิบปียังไม่ได้ขึ้นเป็นหมื่นเลย”
       เสมาไม่ค่อยพอใจที่น้องขัดคอ
       “เพิ่งปะหน้ากัน ก็ขัดข้าเลยนะนังจำเรียง แล้วนั่นเอ็งไปที่ใดมารึ แต่งตัวเสียสวยเชียว”
       จำเรียงยิ้มภูมิใจ แล้วนั่งลงใกล้ๆแม่
       “ฉันก็ไปเยี่ยมเยือนพี่หมู่... เอ่อ พี่พันฤทธิ์รณรบมาน่ะซี”
       “ใครรึ พันฤทธิ์รณรบ” เสมาถามด้วยความแปลกใจ)
       บุญเรือนยิ้มแย้มทันทีแล้วว่า
       “ก็พ่อหมู่ขันน่ะซี ไปศึกมาคราวนี้ทำความชอบไว้มากนัก จึงได้เลื่อนขึ้นเป็นพันฤทธิ์รณรบ”

เสมาชะงักไป สีหน้าประหลาดใจมาก นึกไม่ถึงเพราะขันทำผลงานน้อยกว่าตนตั้งเยอะ ทำไมได้ตำแหน่งสูงกว่าตนได้

อ่านต่อหน้า ๓
       ......................................................................................................

เกร็ดความรู้เกี่ยวกับขุนศึก

๑๑. บรรดาศักดิ์ คือระดับชั้น หรือยศของขุนนางไทยในสมัยโบราณ มี 9 ระดับ คือ นาย พัน หมื่น ขุน หลวง พระ พระยา เจ้าพระยา และ สมเด็จเจ้าพระยา

๑๒. ศักดินา เป็นเครื่องกำหนดความสูงต่ำและรายได้ ของข้าราชการในสมัยโบราณ โดยข้าราชการที่มีบรรดาศักดิ์เท่ากัน อาจจะมีศักดินาไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับความสำคัญของตำแหน่งหน้าที่การงานเป็นหลัก โดยข้าราชการ จะมีศักดินาได้สูงสุดคือ หนึ่งหมื่นไร่
//www.manager.co.th/Drama/ViewNews.aspx?NewsID=9550000051344&Page=2



Create Date : 22 พฤษภาคม 2555
Last Update : 22 พฤษภาคม 2555 11:38:56 น. 0 comments
Counter : 860 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

atitaya_t
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




สวัสดีค่ะ ขอร่วม gang ด้วยคนค่ะ
Friends' blogs
[Add atitaya_t's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.