เก็บความทรงจำ..(^_^)..ความสนใจ โลกส่วนตัว ที่เราสร้างเอง
Group Blog
 
 
พฤษภาคม 2555
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
22 พฤษภาคม 2555
 
All Blogs
 
ขุนศึก ตอนที่ 4-1

ขุนศึก ตอนที่ ๔

ในเวลาต่อมา ขุนรามเดชะและลำภูกำลังจะขึ้นจากเรือโดยมีพวกทาสขนของตามขึ้นมา ขณะนั้นเอง ขันก็เดินเข้ามาหาและไหว้ขุนรามเดชะ

       “ท่านอาขอรับ”
       ขุนรามเดชะรับไหว้และยิ้มรับ
       “อ้าว พ่อพันฤทธิ์ บังเอิญแท้”
       “มิได้บังเอิญดอกขอรับ ข้าพระเจ้าตั้งใจมาดักพบท่านอาขอรับ”
       “มีกระไรรึ”

       เรไรกำลังคุยกับเสมาอยู่บนเรือนด้วยท่าทีเอียงอาย
       “วันนี้เสมามาอ้างห่วงฉัน แต่พรึ่งนี้ก็คงจะห่วงหญิงอื่นกระมัง อย่าไถลหน่อยเลยเพราะใครเค้าก็รู้เท่าทันกันอยู่ ว่าบุรุษนั้นมิได้มีดวงใจเดียวแต่สักคนเดียวเหมือนปากพูด”
       “จริงอยู่ที่ใจชายอื่นเค้าหลากหลายไปเอง แต่น้ำใจเสมานี้เปรียบดั่งเนื้อเหล็กในเบ้าหลอม สุดแต่แม่หญิงจะตีแต่งไปตามปรารถนา เมื่อเป็นรูปใดแล้ว เหล็กก็คงอยู่ด้วยลักษณะนั้นเอง ไม่เปลี่ยนเป็นอื่นได้”
       เรไรทิ้งค้อน
       “พ่อเป็นช่างตีเหล็ก ก็เอาเหล็กมาเปรียบน้ำใจตัว นึกว่าใครจะเชื่อ อันชาติเหล็กไม่วายขึ้นสนิมฉันใด ฉันนั้นหัวใจบุรุษ ก็มิวายสนิมไปได้ดอกพ่อหมื่นศึก”
       เสมาเห็นเรไรแง่งอนก็ยิ่งปั่นป่วนใจ จนหักห้ามใจไม่ไหว ค่อยๆโอบเอวเรไร แล้วดึงเข้ามากอดอย่างทะนุถนอม เรไรทั้งตกใจและอาย
       “เสมา”
       ทันใดนั้นเอง บัวเผื่อนก็เดินขึ้นเรือนมาพร้อมกับพุฒ บัวเผื่อนแกล้งตกใจ
       “อุแม่เอ๋ย ตายล่ะซี แม่เพื่อนฉันไฉนจึงเป็นไปกระนี้ มิได้นึกเลย”
       เรไร เสมาตกใจมากรีบผละออกจากกันทันที พุฒได้ช่องจึงใส่ไฟกลบเรื่องตัวเองทันที
       “เหตุใดแม่หญิงเรไร ช่างไม่รักศักดิ์เสียบ้างเลย ปล่อยให้ชายเพลินเล่นเช่นนี้”
       เสมาโมโหพลางว่า
       “เอ็งอย่าลบหลู่แม่หญิง หากจะกล่าวโทษก็กล่าวโทษข้าแต่ผู้เดียว แต่ถึงข้าจะผิดก็ยังผิดบนสำนักเรือน หาใช่ริมหนทางแพร่งทางเดินไม่อายผีสางเทวดาเหมือนเอ็งกับแม่หญิงบัวเผื่อนไม่”
       พุฒ และบัวเผื่อนยิ่งโกรธที่เสมาแฉออกมา
       “ปากพล่อยเสียแล้วหมื่นศึก ฉันไปประพฤติชั่วฉะนั้นรึ จึงมากล่าวย้อนแก่กันเช่นนี้”
       พุฒทำหน้าเซ็งๆ
       “จะทุ่มเถียงให้ป่วยแก่เพลาเราไยเล่าแม่หญิงบัวเผื่อน หมื่นศึกคงมิยอมผิดคนเดียว จึงกล่าวพอแก้อายไปเท่านั้นดอกกระมัง”
       “ข้าแจ้งแก่ใจแล้ว ที่กล่าวเช่นนี้ เพราะจะพรางแผลบัดสีเอาเถิด ถ้าจักชวนวิวาทเพื่อกลบชั่ว อ้ายเสมาก็หากลัวไม่”
       ทันใดนั้น ก็ได้ยินเสียงขุนรามเดชะดังขึ้น
       “โอหังนัก อ้ายเสมา”
       ขุนรามเดชะ ลำภู และขันเดินขึ้นเรือนมา พุฒและบัวเผื่อนมีสีหน้าสะใจที่เป็นไปตามแผน ขณะที่เสมา และเรไร ต่างตกใจอย่างถึงที่สุด

       เสมา เรไร ขัน พุฒ บัวเผื่อน นั่งพับเพียบอยู่ที่พื้นหอนั่ง ในขณะที่ขุนรามเดชะกำลังโกรธจัด โดยมีลำภูนั่งอยู่บนตั่งใกล้ๆ ด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเพราะเป็นห่วงลูกแต่ก็กลัวเสียชื่อ ทาสคนอื่นๆ อยู่นอกเรือน เพราะเป็นเรื่องอื้อฉาวเลยไม่มีใครอยู่บนเรือนซักคน
       “ช่างอดสูนัก บุตรีขุนรามเดชะกลับพาชายมาประพฤติชั่วถึงในเรือน ไม่รักศักดิ์ตน ไม่รักพ่อแม่ คิดแต่จะทำตามใจตัวเหมือนไพร่สกุลต่ำ” ขุนรามเดชะว่า
       เรไรร้องไห้สะอึกสะอื้นพลางว่า
       “พ่อท่าน ฟังลูกชี้แจงสักครู่ก่อนเถิด ลูกหาได้เลวถึงเพียงนั้นไม่”
       เสมาพนมมือไหว้ขุนรามเดชะ
       “ได้โปรดเมตตาเถิดพระคุณ อันการนี้แม่หญิงมิได้มีผิดร้ายเป็นมลทินแต่ประการใดๆเลย จึงหาควรไม่ที่จะต้องรับโทษ หากจะลงโทษแล้ว ก็ขอลงโทษด้วยอ้ายเสมาแต่เพียงผู้เดียวเถิด แม้จะตัดหัวอ้ายเสมาเสียบประจาน อ้ายเสมาก็มิปริปาก แต่ขอพระคุณอย่าฟังคำมุสาของคนคดเลย”
       “เอ๊ะ หมื่นศึก ใครกันรึที่มุสา ฉันกับพันจบเห็นกับตา พ่อยังจะกล่าวร้ายฉันอีกรึ” บัวเผื่อนว่า
       “แม่บัวเผื่อน เสียแรงเราเป็นเพื่อนกันมา เหตุใดแม่จึงใส่ร้ายฉันเช่นนี้ หรือจะเป็นเช่นหมื่นศึกพูด ด้วยแม่กับพันจบกลัวอาญา จึงชิงให้ร้ายฉันกับหมื่นศึกเสียก่อน เพื่อกลบความผิดของตน” เรไรพูดอย่างแค้นใจ
       “พอได้แล้วเรไร ประพฤติได้อายแล้วยังทุ่มเถียงมิลดละ หรือจะให้พ่อแม่ต้องอับอายยิ่งกว่านี้” ลำภูทนไม่ไหวจนต้องปรามเรไร
       พุฒแสร้งปั้นหน้าอย่างหนักใจแล้วว่า
       “เถียงกันเช่นนี้ก็หายุติไม่ เช่นนี้เถิดขอรับพระคุณ เมื่อแม่หญิงทั้งสองเป็นข้าหลวงฝ่ายในก็นำเรื่องขึ้นกราบทูลเสด็จให้ท่านทรงตัดสินเถิด”
       ขุนรามเดชะถึงกับหน้าเสีย เพราะกลัวเรื่องถึงเจ้านาย
       “พันจบ เห็นแก่หน้าฉันสักครั้ง อย่าได้นำเนื้อความนี้กราบทูลเลย” ขุนรามเดชะว่าแล้วหันไปสั่งเรไรทันที
       “แม่เรไร จงกราบแม่บัวเผื่อน พันฤทธิ์ พันจบ แลกล่าวคำขอโทษให้ได้ยินประเดี๋ยวนี้”
       เรไรอึ้งไป ก่อนจะร้องไห้ด้วยความแค้นใจ ขันได้ทีรีบปั้นหน้าแสดงความเห็นใจ
       “ไม่ต้องดอกขอรับท่านอา เมื่อท่านอาขอ ข้าพระเจ้าทั้งสามก็หาติดใจไม่ แล้วกันไปเถิดขอรับ”
       “ไม่ได้ดอก ลูกอามันรักชั่ว จึงต้องลงโทษเสียให้หลาบจำ”
       ขุนรามเดชะหันไปสั่งเรไรอีกด้วยเสียงดุเฉียบขาด
       “แม่เรไร จะขัดคำพ่อกระนั้นรึ”
       เรไรร้องไห้สะอึกสะอื้น แต่ก็เข้าไปไหว้ขอโทษทั้งสามคน
       “ฉันขอขมาจ้ะ”
       บัวเผื่อน และพุฒ รับไหว้ด้วยสีหน้าสะใจ นอกจากเอาตัวรอดแล้วยังได้แกล้งเรไรอีก ส่วนขันก็เหล่ๆ เสมาด้วยสีหน้าสมน้ำหน้า เสมาสงสารเรไรจับใจ กำหมัดแน่นด้วยความโกรธ รามเดชะตะโกนเรียก
       “เหวย มีใครอยู่ข้างล่างบ้างขึ้นมาบนเรือนที”
       พิณ และทาสหญิงอีกสามสี่คน รีบขึ้นเรือนมา พิณคลานเข้ามานั่งพับเพียบ
       “ลูกข้าประพฤติงามหน้านัก เมื่อชอบเป็นไพร่สกุลต่ำ ข้าก็จักจำไว้เสมือนทาสให้สมแก่หน้า นังพิณ เอ็งจงเอากรวนมาล่ามลูกข้าแล้วขังไว้ในเรือนทาสประเดี๋ยวนี้”
       ทุกคนพากันตกใจ ไม่คิดว่าขุนรามจะโกรธขนาดนี้
       “พี่ขุน...” ลำภูร้องขึ้นด้วยความสงสารลูก
       ขุนรามเดชะรีบตัดบทแล้วสั่งอีก
       “เร็วซีวะนังพิณ ข้าสั่ง ไม่ได้ยินรึ”
       พิณสงสารเรไร ได้แต่ร้องไห้เข้าไปหาเรไรตามคำสั่งของขุนรามเดชะ
       “เจ้าค่ะ … เชิญเจ้าค่ะแม่หญิง”
       เรไรร้องไห้สะอึกสะอื้น ทั้งเสียใจและน้อยใจพ่อสุดๆ เสมาทนไม่ไหว คลานเข้าไปกราบเท้าขุนรามเดชะ
       “เมตตาเถิดขอรับพระคุณ อย่าลงโทษแม่หญิงถึงเพียงนี้เลย ลงโทษเสมาแทนเถิดขอรับ”
       ขุนรามเดชะมองเสมาด้วยสายตาเกลียดชัง
       “อย่ามาเข้าขวางเกี่ยวยุ่งเลยหมื่นศึก แลนับแต่นี้สืบไป เจ้าก็มิต้องมาเหยียบเหย้าเรือนเคหาของข้าอีก หรือแม้แต่ลานบ้านก็มิสมควร เข้าใจหรือไม่”
       เสมาผงะนิ่งงันไป เรไรลุกตามพิณลงจากเรือนไป แต่ยังหันมามองเสมาด้วยน้ำตานองหน้า ขันเห็นสายตาเรไรที่อาลัยอาวรณ์เสมายิ่งเจ็บแค้นใจ ในขณะที่เสมาหมดทางช่วย ได้แต่มองเรไรด้วยสายตาสงสาร น้ำตาคลอเบ้ายิ่งกว่าโดนเอง พุฒ และบัวเผื่อนแอบสะแหยะยิ้มสมน้ำหน้าเสมา

       ในเวลาต่อมา บริเวณเรือนทาส พิณใส่โซ่ตรวนล่ามขาเรไรไว้ทั้งน้ำตา ขณะที่ลำภูนั่งร้องสะอึกสะอื้นอยู่ใกล้ๆ
       “แม่หญิงของบ่าว ให้บ่าวโดนล่ามกรวนเองเสียยังจะดีกว่า”
       “แม่เรไรเอ๋ย เหตุใดเป็นได้ถึงเพียงนี้ ลูกชาติลูกตระกูลโดยแท้ แต่กลับมาต้องกรวนมิผิดทาสเลย”
       เรไรก็ร้องไห้ด้วยความเสียใจและน้อยใจ
       “ใช่ลูกอยากจะต้องกรวนดอกจ้ะแม่ แต่จนใจด้วยเป็นคำสั่งของพ่อ เมื่อพ่อเลือกที่จักเชื่อคนอื่นมากกว่าลูก ลูกก็ได้แต่ก้มหน้ารับไปตามกรรม”
       “ถึงเพียงนี้แล้ว ยังพูดดั่งไม่สำนึกอีกรึ”
       แม้เรไรจะสะอึกสะอื้น แต่สายตาเด็ดเดี่ยว
       “ลูกยอมรับโทษ ด้วยเป็นคำสั่งของพ่อ แต่ลูกหายอมรับว่าประพฤติชั่วไม่ แม้จะฆ่าลูกเสียลูกก็มิยอมเป็นอันขาด”

       ในเวลาต่อมา พิณเดินปาดน้ำตาด้วยความสงสารเรไร เสมาซึ่งแอบอยู่ พอเห็นพิณก็รีบเข้าไปหาทันทีและถามเรื่องเรไรด้วยความเป็นห่วง
       “แม่พิณ แม่หญิงเรไรเป็นกระไรบ้าง”
       พิณถึงกับชะงักหน้าเสียเล็กน้อย
       “หมื่นศึก เหตุใดยังไม่กลับไปอีกเล่า ท่านขุนสั่งห้ามไม่ให้เหยียบแม้แต่ลานบ้านแล้วไม่ใช่รึ”
       “ฉันรู้ แต่ฉันเป็นห่วงแม่หญิงนัก จึงรออยู่ก่อน แลจะอยู่ชำระความแก่อ้ายขัน อ้ายพุฒด้วย ฉันไม่ยอมเสียรู้ให้มันกระทำเล่นฝ่ายเดียวเช่นนี้ดอก”
       “วู่วามไปแล้วหมื่นศึก หากพวกท่านปะดาบกันในเขตบ้าน ก็เช่นหักหน้าท่านขุน ท่านขุนคงไม่ยอมเป็นแน่”
       เสมาสายตาแข็งกร้าวด้วยความแค้น
       “พระคุณนั้นฉันยกไว้เสียคน แต่คนอื่นขอให้ดาหน้าเข้ามาเถิด ข้าศึกเรือนพันเรือนหมื่น ฉันยังไม่เคยหวาดกลัว”
       “แต่แม่หญิงของฉันจักพลอยเดือดร้อนไปด้วยน่ะซี เพียงแค่ต้องกรวนถูกจำ ยังมัวหมองไม่พออีกรึ”
       เสมาหน้าสลดไป พอคิดถึงเรไรว่าจะเดือดร้อนไปด้วยก็ไม่กล้า
       “กลับไปเสียเถิดหมื่นศึก ท่านขุนหายเคืองเมื่อใดก็ปล่อยแม่หญิงเอง พ่ออยู่ มีแต่จักทำให้แม่หญิงต้องโทษหนักขึ้นเท่านั้น” พิณเตือนเสมา
       เสมาได้แต่ถอนใจแล้วมองไปที่เรือนของขุนรามเดชะ เป็นห่วงเรไรจับใจ พิณพูดถูกจนต้องยอมรับ

       ทาสหญิงคนหนึ่งเปิดประตูเรือนทาสให้ขันเข้าไปหาเรไร ส่วนทาสนั้นก็นั่งรออยู่หน้าเรือนทาสที่ไม่
       ได้ปิดประตู เรไรพอเห็นขันเข้ามาก็นึกเจ็บใจ เบือนหน้าไปทางอื่นจนขันหน้าเสีย
       “แม่หญิงเรไรเอ๋ย เชิญแม่เหลียวสักหน่อยเถิด ข้าพระเจ้าจักพูดด้วยสักครู่หนึ่ง”
       “เชิญท่านพูดเถิด เมื่อท่านได้อำนาจพ่อมาถึงในห้องนี้ จักพูดจาอย่างไรก็พูดเถิด แต่โดยเร็วแล้วก็เร่งออกไปเสีย”
       “อย่าเพิ่งด่วนขับไสข้าพระเจ้าเสียก่อนสิแม่หญิง ข้าพระเจ้าสู้ขอพระคุณมาสนทนากับแม่หญิงนี้ก็เพื่อจักช่วยแม่หญิงดอก”
       “ช่วยอย่างไรรึ” เรไรเสียงปั้นปึง
       ขันยิ้มกรุ้มกริ่มทันที
       “แม่หญิงก็แจ้งใจอยู่ว่าข้าพระเจ้าพึงใจในตัวแม่หญิงมาช้านานแล้ว หากแม่หญิงเมตตา พระคุณก็คงจักเห็นแก่ข้าพระเจ้าบ้าง ไม่ลงโทษแม่หญิงสืบไป”
       เรไรยิ้มเยาะที่สีหน้าแล้วกล่าวว่า
       “พันฤทธิ์เอ๋ย ขอบน้ำใจท่านนัก แต่เรไรนี้ได้ชื่อว่าประพฤติน้ำใจชั่วเกลือกอยู่กับช่างตีดาบ ก็จะขอให้ชั่วไปตลอดเลยตามเลย อย่าได้ทำให้ศักดิ์ท่านต้องเสื่อมเสียด้วยอีกคนหนึ่งเลย”
       “แม่หญิงพูดเช่นนี้ ยอมรับแล้วใช่หรือไม่ว่ามีใจให้อ้ายช่างตีเหล็ก” ขันโมโหด้วยความหึง
       เรไรสะบัดหน้าไปทางอื่นไม่ยอมตอบ
       “เอาเถิด แม่หญิงจงคอยดูสืบไปเถิด เพราะข้าพระเจ้าก็จะคอยดูสืบไปเช่นกันว่า ผิดจากข้าพระเจ้าแล้วใครจักช่วยแม่หญิงได้”
       เรไรโมโหที่โดนข่มขู่
       “เชิญท่านเถิด เราเป็นหญิงแม้จักต้องอยู่ในอำนาจพ่อ แต่น้ำใจเราหาใช่นางทาสไม่ จึงอยากคอยดูสืบไปอีกเหมือนกันว่า บุรุษไหนเล่าที่จักมาชำนะเราด้วยอำนาจบังคับได้ก็ให้รู้ไป”
       ขันและเรไรต่างมองกันด้วยความโกรธเคืองอยากเอาชนะอีกฝ่ายให้ได้ ขันขบกรามแน่น ก่อนจะเดินออกจากห้องไป เรไรมองตามขันไปด้วยความเจ็บใจ กลัวว่าจะโดนทำโทษให้หนักไปกว่านี้

       หน้าบ้านพันอินตอนหัวค่ำ เสมากำลังดูแหวนของเรไรด้วยความเป็นห่วงเรไร โดยมีสิน สมบุญ และ
       พันอิน อยู่ใกล้ๆ ทุคนแต่งตัวเตรียมไปราชการ มีเพียงสมบุญคนเดียวเท่านั้นที่แต่งตัวปกติเพราะไม่ได้ไปด้วยพันอินตบบ่าเสมาอย่างปลอบใจ
       “อย่าเสียใจไปเลยลูกเอ๋ย ครานี้ขุนรามเดชะทำเกินไปนัก หากมิใช่มีราชการ พ่อคงไปพูดจาให้ปล่อยแม่เรไรแล้ว หากไม่ยอมคงต้องขาดสหายกันแต่วันนี้สืบไป” พันอินพูดแล้วยิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บใจ
       “อย่าเลยจ้ะพ่อพันอิน หากพ่อกับพระคุณต้องบาดหมางกันเพราะฉัน ฉันคงบาปนักหนา เพียงแค่แม่หญิงเรไร ต้องมามัวหมองเพราะความวู่วามของฉันก็ผิดมากแล้ว”
       คนสนทนาของพันอินกับเสมา มีศรีเมืองที่แอบฟังการสนทนาอยู่พลางส่งสายตาลอบมองเสมาด้วยความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ฝ่ายเสมาเหลือบตามองไปเห็นเข้าพอดี...ศรีเมืองรีบผลุบหลบไปทันที
       “ไว้สิ้นราชการแล้วค่อยย้อนไปอีกก็ได้นาพี่เสมา ผิดนักเราก็ชิงแม่หญิงเรไรออกมาเสียเลย” สินพูดขึ้นด้วยความมันเขี้ยว จนสมบุญต้องรีบปราม
       “อ้ายบ้าสิน จะหากรวนให้พี่เสมาอีกเส้นรึ พอ พอเลยเถิดเอ็ง”
       สมบุญแหงนมองท้องฟ้าก่อนจะหันไปพูดกับเสมา
       “จวนได้ฤกษ์แล้ว ไปกันเถิดพี่เสมา ประเดี๋ยวจะเสียราชการ”
       “รอข้าประเดี๋ยว ข้าไปเอาอ้ายแสนศึกพ่ายก่อน”
       เสมาเดินกลับเข้าไปข้างในเรือนเพื่อหยิบดาบคู่แสนศึกพ่ายของที่แขวนอยู่ ขณะนั้นเอง ศรีเมืองก็เดินออกมาขวางหน้า
       “ศรีเมือง ยังไม่นอนอีกรึ”
       ศรีเมืองไม่ตอบแต่จ้องหน้าเสมาแล้วถามว่า
       “ฉันให้ประหลาดใจนัก เหตุใดพี่ยังเพียรฝากรักแม่หญิงเรไรอยู่ได้ ทั้งที่ท่านอาขุนรามเดชะ ได้แสดงกิริยารังเกียจพี่ถึงเพียงนี้ แล้วพี่ยังจะหาความเดือดร้อนใส่ตัวไปเพื่อกระไร”
       เสมาหน้าขรึมลงแล้วบอก
       “เจ้ายังเด็กนักศรีเมือง มิเข้าใจดอก”
       “ฉันยังเด็ก หรือพี่มิอาจตอบฉันได้กันแน่”
       เสมายิ้มบางๆพลางว่า
       “ศรีเมือง หากวันใดที่เจ้ารู้แจ้งว่าความรักเป็นเช่นใดแล้ว วันนั้นเจ้าก็จักเข้าใจพี่เอง เพลานี้เจ้ายังไม่รู้ ก็ป่วยการที่พี่จักกล่าว”
       เสมาเดินสะพายดาบจากไป ศรีเมืองมองตามด้วยสายตาเศร้าสร้อยและน้ำตารื้น
       “แล้วผู้ใดว่าฉันไม่รู้เล่าพี่เสมา พี่คงไม่เคยแอบชอบใครแต่ฝ่ายเดียวดอกกระมัง”

       เช้าวันรุ่งขึ้น พิณยิ้มแย้มดีใจและกำลังไขโซ่ตรวนที่ขาให้เรไร
       “คุณพระคุณเจ้าคุ้มครองแท้แม่หญิงของบ่าว มิทันไรท่านขุนก็ปลดปล่อยแม่หญิงแล้ว”
       เรไรหน้าขรึมลง สีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัยและกังวล
       “เจ้าคิดเช่นนั้นรึพิณ แต่ฉันหวั่นใจนัก พ่อท่านเป็นคนโทสะแรง หากปลดปล่อยฉันโดยง่าย คงมีเหตุใดสักประการเป็นแน่”

       ในเวลาต่อมา อำพันกำลังพูดคุยสู่ขอเรไรให้ขันต่อหน้าขุนรามเดชะและลำภู โดยพิณและทาสหญิงคนอื่นๆคอยรับใช้อยู่ใกล้ๆ อำพันมองมาทางเรไรด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
       “หากแต่เคืองผู้อื่นแลมาหวนซัดโทษให้แก่บุตรเช่นนี้เสียเอง ก็ประหนึ่งพ่อตีวัวกระทบคราด มิเสียประโยชน์เรารึ ขอออกขุนปลดปล่อยแม่เรไรเสียเถิด แลหากเมตตา ฉันก็จักขอแม่เรไรไปเป็นลูกอีกคน ออกขุนกับแม่ลำภูจะว่ากระไร”
       เรไรหน้าเสียทันทีที่รู้ว่าขันให้แม่มาสู่ขอ ในขณะที่ขันยิ้มกริ่มมั่นใจว่าได้ตัวเรไรแน่
       ขุนรามเดชะกับลำภูหันไปยิ้มให้กันเพราะชอบขันเป็นทุนอยู่แล้ว
       “แม่อำพันช่างมีเมตตานัก ลูกฉันประพฤติชั่วไม่ถือศักดิ์รักตระกูลยังจะสู่ขอไปอีก แล้วฉันจะขัดกระไรได้”
       ลำภูยิ้มแย้มตอบอำพันแล้วหันไปพูดกับเรไร
       “เราเองก็มิใช่อื่นไกล เห็นกันมานมนานกาเลแล้ว หากได้ผูกกันอีกชั้นหนึ่ง ฉันคงมีสุขนัก...แม่เรไร จะว่าอย่างไรเล่าลูก”
       เรไรอึกอัก หน้าเสียทันที
       “ขอลูกได้มีเพลาตรองสักสามสี่วันก่อนเถิดเจ้าค่ะ”
       ขุนรามเดชะโทโหขึ้นมาทันที
       “บ๊ะ เมตตาถึงเพียงนี้แล้ว ยังจะขอตรองกระไรอีก หรือจะอยู่รออ้ายหมื่นศึกก็ว่ามา”
       “พ่ออย่าบังคับให้ลูกรับคำเลยจ้ะ ลูกรับไปตอนนี้ก็หามาจากใจจริงไม่”
       “ได้ ขอเพลาตรอง พ่อก็จักให้ แต่เมื่อตรองวันหนึ่งก็ต้องถูกโบยวันหนึ่ง เป็นเช่นนี้ทุกวันจะตกลงหรือไม่”
       “ท่านอาขอรับ ระงับโทสะก่อนเถิดขอรับ แม่หญิง...” ขันตกใจถึงกับหน้าเสียทันที
       เรไรถือทิฐิพูดสวนขึ้น
       “ตกลงเจ้าค่ะ ลูกเห็นควรว่ายุติธรรมดีแล้ว”
       ขุนรามเดชะโมโหจนสุดกลั่นที่เรไรท้าทาย
       “นังพิณ เอาหวายมา”
       พิณกลัวตัวสั่นด้วยความสงสารเรไรจนทำอะไรไม่ถูก ขุนรามเดชะหันไปตวาดย้ำ
       “นังพิณ หากชักช้าข้าจะโบยเอ็งเสียอีกคน”
       “เจ้าค่ะ...เจ้าค่ะ”
       พิณรีบวิ่งลงเรือนไป ซักพักก็กลับมาพร้อมหวายในมือ พิณคุกเข่ายื่นหวายให้ขุนราม
       “นี่เจ้าค่ะ”
       “ทัพพันทหารหมื่น ก็เคยได้บังคับตัดหัวมาแล้ว ลูกคนเดียวจะขัดขุนรามเอาชนะไปได้ก็ให้รู้ไปเถิด”
       ขาดคำ ขุนรามเดชะก็โบยหวายลงที่กลางหลังของเรไรทันที เรไรกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดคว่ำหน้าลงกับพื้นตามแรงหวายที่หวดลงมา อำพันและขันถึงกับหน้าเสียไป ขุนรามหวดซ้ำไปอีกที สองที ลำภูทนเห็นภาพที่เรไรถูกขุนรามเดชะลงโทษไม่ไหวจึงร้องไห้และวิ่งเข้าไปกอดบังเรไรไว้
       “พอเถิดท่านขุน”
       ขุนรามชะงักทันที ลำภูร้องไห้สะอึกสะอื้น
       “ท่านขุนจะเฆี่ยนลูกก็เฆี่ยนฉันแทนเถิด เพราะหากแม่เรไรเป็นกระไรไป ฉันก็คงอยู่ไม่ได้เช่นกัน”
       อำพันหน้าเสียไม่คิดว่าเรื่องจะเลยเถิดไปขนาดนี้
       “เห็นแก่ฉันเถิดออกขุน เพราะเหตุที่ฉันมาสู่ขอจนแม่เรไรต้องโดนโบยเช่นนี้ ฉันคงหาความสบายใจมิได้เลย”
       “นังพิณเอามันกลับไปเรือนทาสให้พ้นตากู” ขุนรามเดชะสั่ง
       “เจ้าค่ะ”
       พิณกับทาสหญิงสองสามคนรีบกุลีกุจอประคองเรไรขึ้นมา เรไรร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด แต่ยังหันไปมองขันด้วยสายตาแข็งกร้าวไม่ยอมแพ้ ขันเห็นสายตาเรไรก็หวั่นใจจนไม่กล้าสบตาต้องเบือนหน้าหนี พิณและทาสหญิงประคองเรไรลงจากเรือนไป

       ภายในเรือนทาส เรไรนอนคว่ำให้พิณทายาโดยมีลำภูนั่งร้องไห้สงสารลูกอยู่ใกล้ๆ เรไรแสบแผลที่ถูกยาทาจนต้องร้องออกมา “โอ๊ย” พิณน้ำตาคลอ ด้วยความสงสารเรไร
       “อดทนหน่อยเถิดนะเจ้าคะแม่หญิง แผลจักได้หาย พิโธ่เอ๋ย ผิวงามแท้ ไม่ควรต้องเป็นรอยหวายเลย”
       “ให้เป็นไปเถิดพิณ โดนเฆี่ยนเป็นรอยหวาย ยังดีกว่าถูกบังคับใจกัน”
       “เหตุใดพูดเช่นนี้เล่าแม่เรไร ลูกโดนโบย ก็เหมือนหัวใจแม่โดนกรีดให้เป็นแผลไปด้วย” ลำภูพูดพลางน้ำตาไหลเป็นทางอาบแก้ม
       เรไรสงสารแม่ จับมือแม่มาแนบแก้ม
       “แม่เจ้าขา แม่ของลูก”
       “แม่ประหลาดใจนัก อ้ายเสมามีกระไรดีกว่าพ่อขัน ลูกถึงได้ยอมเจ็บตัวเพื่อมันถึงเพียงนี้”
       เรไรน้ำตาคลอเบ้าไม่ตอบคำถามใดๆของลำภู

       สมบุญกำลังคุยกับพิณที่นั่งหน้าเศร้าๆอยู่ที่บ้านของเสมา ส่วนเอื้อยแตง ศรีเมือง มั่น บุญเรือนกำลังช่วยกันทำงานทั่วไปอยู่ในบ้านเพื่อเตรียมอาหารไว้กินในยามศึกสงคราม บ้างก็เอาเอากระด้งมาร่อนหาเศษกรวด เศษดินออกจากข้าว ช่วยกันทำกล้วยตาก ข้าวตาก
       สมบุญตกใจที่ได้ยินพิณเล่าให้ฟัง
       “ถึงโบยกันเลยรึแม่พิณ”
       พิณพยักหน้าน้ำตาคลอ
       “ฉันสงสารแม่หญิงจับใจจึงรีบเอาความมาบอก แล้วนี่หมื่นศึกจะกลับเมื่อใดจะได้ช่วยกันคิดหาทางช่วยแม่หญิง”
       “ฉันไม่รู้ดอก พี่เสมาเป็นแต่แม่กองลาดศึก จะได้กลับเมื่อใดก็สุดแต่พระคุณที่เป็นแม่ทัพท่าน”
       มั่นถอนใจเฮือกแล้วว่า
       “เมื่อแรก ฉันก็คิดว่าอ้ายเสมามันเหิมเกริม คิดหมายลูกท่านแต่ผู้เดียว แต่ดูท่าแม่หญิงเรไรคงมีใจตอบมันเป็นแน่”
       ทั้งเอื้อยแตงและศรีเมืองได้ยินที่มั่นพูดถึงกับหน้าสลดทันที
       “ฉันหวั่นใจว่าจักเกินวาสนามัน ท่านขุนคงไม่ยอมดองกับไพร่เช่นพวกเราเป็นแน่ ไม่เช่นนั้นจะถึงกับโบยเพื่อให้แม่หญิงรับคำพันฤทธิ์ดอกรึ” บุญเรือนว่า
       “แต่แม่หญิงเรไรน้ำใจเด็ดเดี่ยวนัก ถึงกับยอมถูกใส่กรวนจำไว้ในเรือนทาส แลถูกโบยจนเนื้อแตก ก็ไม่ยอมรับคำ จะมีหญิงสักกี่คนในอโยธยาที่จักทำเช่นนี้ได้เล่า” เอื้อยแตงบอก
       ศรีเมืองพูดด้วยสีหน้าเครียด
       “ถึงจะน่านับถือ แต่จักทนอาญาไปได้นานเท่าใด หากท่านอาขุนรามโบยตีทุกวันดังปากว่า ไม่นานแม่หญิงคงรับคำพันฤทธิ์เป็นแน่ พันฤทธิ์ผู้นี้ก็ช่างกระไรเลย เพื่อจะได้หญิงมาครองถึงกับดูดายให้ใช้กำลังเฆี่ยนตี อย่าว่าแต่มิสมเป็นทหารเลยมิสมเป็นชายเสียด้วยซ้ำ”
       ทันใดนั้นเอง จำเรียงก็เดินออกมาจากข้างในด้วยความโกรธเพราะยังหึงหวงขันอยู่
       “เป็นเท็จ เป็นเท็จทั้งสิ้น ฉันไม่เชื่อเป็นอันขาดว่า พี่พันฤทธิ์จะไปสู่ขอแม่หญิงเรไรโดยใจสมัคร แลถึงกับยอมให้เฆี่ยนตีเพื่อให้ได้แม่หญิงมา ฉันจะไปฟังคำจากปากพี่พันฤทธิ์เอง”
       จำเรียงเดินฉับๆไปทันที ท่ามกลางความตกใจของทุกคน
       “พี่จำเรียง อย่าไปจ้ะ พี่จำเรียง” ศรีเมืองร้องเรียกขึ้น
       เอื้อยแตงหันมาตวาดแว๊ดใส่สมบุญ
       “ยืนโง่เง่าอยู่ทำกระไร รีบตามไปซี”
สมบุญตกอกตกใจ รีบตามจำเรียงไปทันที

อ่านต่อหน้า ๒ 

เกร็ดความรู้เกี่ยวกับขุนศึก

๒๕. พระราชวังจันทรเกษม สร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชา เพื่อเป็นที่ประทับของสมเด็จพระนเรศวร และต่อมาได้กลายเป็นที่ประทับของพระมหาอุปราชพระองค์อื่นแห่งกรุงศรีอยุธยาด้วย โดยชาวบ้านมักจะเรียกติดปากกันว่า “วังหน้า”

๒๖. โปรตุเกส เป็นชาวตะวันตกชาติแรก ที่เข้ามาในประเทศไทย
ในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 โดยการเข้ามาในระยะแรก ได้เข้ามาทำการค้าขาย และเผยแพร่ศาสนาคริสต์เป็นหลัก ต่อมาถึงได้เข้ามาเป็นทหารอาสาช่วยทำการรบ ให้กับกรุงศรีอยุธยา
//www.manager.co.th/Drama/ViewNews.aspx?NewsID=9550000052896



Create Date : 22 พฤษภาคม 2555
Last Update : 22 พฤษภาคม 2555 11:51:25 น. 0 comments
Counter : 878 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

atitaya_t
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




สวัสดีค่ะ ขอร่วม gang ด้วยคนค่ะ
Friends' blogs
[Add atitaya_t's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.