เก็บความทรงจำ..(^_^)..ความสนใจ โลกส่วนตัว ที่เราสร้างเอง
Group Blog
 
 
พฤษภาคม 2555
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
22 พฤษภาคม 2555
 
All Blogs
 
ขุนศึก ตอนที่ 1-3

ขุนศึก ตอนที่ ๑ (ต่อ)


ในเวลาต่อมาเรไรเปิดประตูกลับเข้ามาในห้องนอนด้วยสีหน้ายิ้มกริ่ม เรไรเดินมานั่งที่เตียง หยิบผ้าห่มขึ้นมากอดไว้แนบอก ยิ่งคิดถึงเสมาก็ยิ่งรู้สึกวาบหวามใจ ได้แต่อมยิ้มเอียงอายอยู่ไปมา

       และในเวลาเดียวกัน เสมาอยู่คนเดียวในเรือนกักขัง ก็เอาแต่คิดถึงเรไรเช่นกัน นอนพลิกตัวไปมาพยายามจะข่มตาหลับแต่ก็ไม่หลับ ภาพเรไรลอยอยู่ในหัวตลอดเวลา เสมากระสับกระส่าย ทนความอยากเห็นหน้า อยากได้ยินเสียงเรไรไม่ไหวจึงลุกขึ้นนั่ง แล้วมองปลอกเหล็กที่ล่ามแขนขาตนไว้ เสมาใช้กำลังข้อ ง้างปลอกเหล็กที่พันธนาการตนออกได้สำเร็จ
       เสมาย่องหลบออกมาทางหน้าเรือนขัง เวรยามกำลังผลัดเวรเปลี่ยนกะกันพอดี เสมาฉวยจังหวะหลบออกมา ไม่ทันคาดคิด ยามคนหนึ่งหันขวับมองมา เสมารีบหลบหมอบนิ่งอยู่กับพื้น รอจังหวะก่อนจะหมอบคลานกับพื้นหลบหนีไปได้

       เรไรเพิ่งจะล้มตัวลงนอน พลันมีเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น เรไรตกใจเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่า ดึกป่านนี้แล้วจะมีคนมาเคาะประตูอีก
       “ใครรึ” เรไรถามออกไป
       เงียบไม่มีเสียงตอบจนเรไรรู้สึกแปลกใจ
       “ฉันถามว่าใคร”
       เงียบ...ไม่มีเสียงตอบเช่นเคย เรไรเห็นว่าผิดปกติ เลยเดินไปประตูอย่างระมัดระวัง แต่พอเปิดออก เรไรเห็นเสมายืนอยู่หน้าประตูก็ตกใจมาก
       “เสมา”
       “อย่าอึงไปแม่หญิง เสมาไม่อยากหลังขาด” เสมารีบห้ามทันที
       เรไรตั้งสติได้ก็สีหน้าบึ้งตึงขึ้นทันที
       “ง้างกรวนหนีออกมาเช่นนี้ ยังจะกลัวหลังขาดอีกรึ”
       เสมาถึงกับหน้าจ๋อยไป กลัวเรไรโกรธ
       “มีกระไรก็ว่ามา”
       เสมายิ้มรับพลางว่า
       “เมตตาอีกครั้งเถิดแม่หญิงเอ๋ย จะเป็นหมากหรือยาสูบก็ได้ รับอาหารแล้วก็นึกอยากสูบหรือเคี้ยวหมากจริงๆ”
       เรไรมองเสมาด้วยสายตาจับผิด เสมารีบหลบสายตา รู้ว่าโกหกไม่เนียนแต่หาข้ออ้างอย่างอื่นไม่ได้
       “ไปรอที่หอนั่งเถิด ฉันจะไปหาให้”
       “ขอบน้ำใจนักแม่หญิง”
       เสมารีบเดินเลี่ยงไปด้วยความดีใจ เรไรมองตามแล้วก็ยิ้มขำๆ พอจะรู้ทันเหมือนกันแต่เป็นผู้หญิงก็เลยไม่พูดออกจากปาก
       เวลาต่อมา เสมาย่องหลบมาทางหอนั่ง ซึ่งหอนั่ง คือส่วนที่ต่อจากเรือนใหญ่สำหรับใช้เป็นที่นั่งเล่น ปกติจะเปิดโล่งประมาณชานเรือน โดยอาศัยความมืดพลางตัว ไม่คาดคิดบ่าวไพร่หญิง 2 คนเดินกลับขึ้นเรือนมาพอดี เสมาเลี่ยงหลบไปที่หลังเสา รอดสายตาอย่างหวุดหวิด เสมาค่อยๆเลื่อนตัวช้าๆรอบเสาให้เป็นมุมบังทางสายตาสาวบ่าวที่เดินกลับเข้าไปด้านใน เสมาเป่าปากโล่งอกที่พ้นมาได้

       เรไรยิ้มแย้มเดินถือพานเล็กๆ ใส่หมากพลูกับยาสูบ พร้อมกับชุดไฟจะออกมาจากห้องนอน พอเปิดประตูออกมาเจอเข้ากับพิณพอดี เรไรตกใจสุดตัวรีบซ่อนของไว้ด้านหลัง
       “แม่หญิงออกมาทำไมเจ้าคะ”
       “แล้วพิณล่ะออกมาทำไม”
       “บ่าวได้ยินเสียงเหมือนมีคนเดินก็เลยออกมาดูน่ะเจ้าค่ะ”
       “แล้วมีผู้ใดหรือไม่ล่ะ” เรไรพูดด้วยสีหน้าหวั่นๆ)
       “ไม่มีเจ้าค่ะ”
       เรไรโล่งอก
       “เช่นนั้นก็กลับไปนอนเถิด”
       “เจ้าค่ะ”
       พิณเดินล่าถอยออกไป เรไรทำเป็นปิดประตูแต่แอบแง้มมองตามพิณไป

       เสมานั่งแอบรออยู่ที่หอนั่งอย่างร้อนใจคอยชะเง้อชะแง้มองหาเรไรอยู่ไปมา กลัวสาวเจ้าจะไม่ออกมาชั่วอึดใจเดียว เรไรเดินถือพานเล็กๆ ใส่หมากพลูกับยาสูบด้วยท่าทางระแวดระวังเล็กน้อย พร้อมกับชุดไฟและหินตีไฟมาให้เสมา
       “ทางนี้แม่หญิง”
       เรไรรีบเดินมาหาเสมาแต่เว้นระยะห่างอย่างวางตัว
       “”แม่หญิงอย่าวิตกเลย เสมาจะไม่ทำให้แม่หญิงมัวหมองดอก”
       เสมาเอื้อมไปหยิบหมากพลูกับหินตีไฟขึ้นมา แต่แกล้งทำหล่นลงกับพื้น
       “อ้ายเสมานี้ช่างชั่วแท้”
       เสมาก้มลงควานหาหมากพลูกับหินตีไฟในความมืด เรไรก้มลงควานช่วยหา
       “ฉันช่วย”
       “ ได้หรือยังแม่หญิง” เสมาพูดขณะที่ยังควานหา
       “ยังเลย คงจะกระเด็นไกล”
       ทั้งคู่ช่วยกันหาอยู่ครู่นึง เสมายิ้มเจ้าเล่ห์แกล้งคลำถูกมือของเรไร เรไรชะงักมองหน้าเสมา เสมาก็สบตากลับ ต่างคนต่างมองกันนิ่ง เสมายังกุมมือของเรไรไว้ไม่ยอมปล่อย
       เรไรตั้งสติได้ก็เขินอายประสาหญิง
       “ ไม่ปล่อยมือแล้ว ฉันจะช่วยเสมาควานหาได้อย่างไร”
       เสมาเสียดายสุดๆ แต่ก็ต้องยอมปล่อยมือ เรไรช่วยควานหาต่อ เสมายิ้มๆ แล้ววางหมากพลูกับหินไฟ ที่ตนหาเจอตั้งนานแล้วไว้ใกล้ๆเรไร เมื่อเรไรควานหาจนเจอก็ดีใจ แต่ก็อดแปลกใจไม่ได้
       “เจอแล้ว... เอ๊ะ เหตุใดตกมาวางคู่กัน คาดว่าคงมีคนประสงค์สนุก หรือแกล้งวางไว้ให้ฉันหาเสียแล้วกระมัง” เรไรจ้องหน้าเสมา
       เสมาถึงกับหน้าเสีย กลัวเรไรโกรธ
       “ฟังคำก่อนเถิดนะแม่หญิง อย่า เพิ่งถือเคืองแก่ข้าเลย ข้าพระเจ้านี้ต้องขังทั้งปวดเมื่อยเป็นที่ยิ่ง เมื่อได้เมตตาจากแม่ ได้หมากแล้วต้องเร่งกลับก็อาลัยนัก จึงใคร่จะยืดเพลาพักพอสบาย ไปอีกเพียงครู่หนึ่ง”
       เรไรยิ้มเยาะอย่างรู้ทัน
       “อ้อ เพียงประสงค์เท่านั้นก็จะบอกกันเสียแต่โดยตรงมิได้หรือ เจ้าเล่ห์นักหนา แต่เพียงการเท่านี้ก็ต้องวางหมากกล แล้วยังจะมีกลใดอีกเล่า”
       “สิ้นกลแล้วแม่ อ้ายเสมายอมแพ้ปัญญาแม่หญิง จงอภัยเถิด เมตตาพอให้พักได้สบาย อีกสักครู่เดียวก็จะต้องเข้ากรวนแล้ว”
       เรไรทิ้งค้อน ไม่พูดด้วยแต่ก็ไม่ออกปากไล่ เสมาเอาหมากขึ้นมาเคี้ยวแล้วมองเรไรด้วยสายตากรุ้มกริ่ม
       เรไรชำเลืองมองเสมา แม้จะเห็นไม่ชัดในความมืด แต่ก็รู้ว่าเสมามองตน เรไรก็ยิ่งเขินอาย ไม่กล้าสู้สายต เสมาเคี้ยวหมากไป มองเรไรด้วยสายตารักใคร่เสน่หา

       เช้าวันต่อมา บริเวณโถงบ้าน ขุนรามเดชะกำลังคุยกับพันอินอยู่
       “พี่พันอินอย่าวิตกไปเลย ที่ฉันสั่งขังอ้ายเสมา ก็เพราะอยากจะเตือนสติ หาไม่แล้วยามออกรบ เกิดกระด้างกระเดื่องขึ้นมาจะเสียการงานศึกหมด”
       พันอินถึงกับโล่งอก
       “ได้ยินออกขุนพูดเช่นนี้ ฉันก็ค่อยคลายใจ อ้ายลูกฉันคนนี้ยังหนุ่มแน่น เลือดร้อนไปบ้าง ขอออกขุนอย่าถือโทษโกรธเลย”
       “ถ้าฉันถือโทษ คงจะปลดมันออกจากทหารแล้ว ไม่เพียงแค่สั่งขังดอก เออ พี่พันอิน พี่พอจะทราบข่าวทางหงสาหรือไม่ว่าจะยกทัพมาเมื่อใด”
       “ไม่เกินแล้งนี้มีศึกแน่ ออกขุนเตรียมทหารไว้เถิด”
       “เร็วปานนั้นเลยรึ เมื่อวานพ่อขันก็เพิ่งได้รับคำสั่งให้ย้ายหน้าที่ ฉันกำลังขาดแคลนครูฝึกอยู่เชียว” ขุนรามเดชะพูดอย่างหนักใจ
       สมบุญพาเสมาขึ้นเรือนมา ทั้งคู่มานั่งพับเพียบกับพื้นพนมมือไหว้ขุนรามเดชะ
       “บ่าวพาพี่เสมามาแล้วขอรับ ท่านขุน”
       ขุนรามเดชะฉุกคิดขึ้นแล้วปั้นยิ้มก่อนจะคุยกับเสมา
       “ เป็นกระไรบ้างอ้ายเสมา นอนคุกแล้วรู้สึกเช่นไรล่ะ”
       “สบายดีขอรับพระคุณ”
       “สบายดีรึ กระนั้นที่ข้าลงโทษเอ็ง เอ็งก็ไม่ถือโกรธงั้นซี”
       “พระคุณมีบุญคุณกับอ้ายเสมานัก อ้ายเสมาจะกล้าโกรธเคืองพระคุณได้อย่างไรกันขอรับ”
       ขุนรามเดชะยิ้มอย่างพอใจ
       “จริงดั่งปากก็ดีนัก เพราะข้าจะมอบหมายหน้าที่ครูฝึกทหารใหม่ให้เอ็ง ขอเอ็งจงตั้งใจทำเถิด”
       เสมาและสมบุญดีอกดีใจ ที่นอกจากไม่โดนโทษแล้ว ยังได้เป็นครูฝึกอีก
       “ขอบพระคุณมากขอรับ เอ่อ แล้วหัวหมู่ขันเล่าขอรับ เหตุใดไม่ได้เป็นครูฝึก หรือจะให้ข้าพระเจ้าเป็นครูฝึกคู่กัน”
       “เปล่าดอก พ่อขันเค้าได้ย้ายหน้าที่ ตำแหน่งครูฝึกเลยว่างลง ลูกก็ตั้งใจทำให้ดีเถิด ตำแหน่งนี้สำคัญนัก” พันอินพูดขึ้น
       “ขอรับพ่อพันอิน อ้ายเสมาจะไม่ทำให้พ่อพันอินกับพระคุณผิดหวังเลยขอรับ” เสมาพูดพลางยกมือพนมไว้กลางอกยิ้มกว้างด้วยความปลาบปลื้มใจก่อนจะก้มกราบ ที่ข้างโถง เรไรแอบฟังอยู่ก็พลอยยิ้ปลาบปลื้มดีใจไปกับความก้าวหน้าในหน้าที่การงานของเสมา

       พระเจ้านันทบุเรงกำลังเดินผ่านเหล่าขุนนาง นางกำนัลที่หมอบกราบอยู่กับพื้นในบริเวณท้องพระโรงเมืองหงสาวดี ทรงดูมีอำนาจบารมี น่าเกรงขาม โดยมีพระมหาอุปราชามังกะยอชวาเดินตามหลังอยู่ พระเจ้านันทบุเรงขึ้นนั่งประทับบนบัลลังก์
       “เสร็จศึกอังวะ ก็ต้องมากำราบไทยอีกเป็นเพราะเจ้าขาดความรอบคอบ ใช้คนไม่ระวังโดยแท้มังกะยอชวา หาไม่แล้ว องค์สมเด็จพระนเรศ คงสิ้นพระชนม์ตามแผนการของพ่อเสียนานแล้ว” พระเจ้านันทบุเรงพูดอย่างไม่พอใจ
       พระมหาอุปราชายกมือขึ้นพนม
       “ลูกขอรับผิดทุกประการที่ไว้ใจอ้ายพระยาเกียรติพระยารามมากไป ขอให้ลูกได้ทำศึกแก้ตัวซักครั้งเถิด ลูกจะกรีธาทัพเหมือนครั้งสมเด็จปู่ เหยียบแผ่นดินกรุงอโยธยาให้ราบเป็นหน้ากลองให้จงได้”
       “หงสามีไพร่พลมากกว่าอโยธยานับสิบเท่า เหตุใดต้องจัดทัพกษัตริย์ไปต่อตีให้เสื่อมพระเกียรติเล่า”
       พระเจ้านันทบุเรงหันไปสั่งขุนนาง
       “สั่งการลงไป ให้ สมเด็จอาพระยาพสิม แลพระเจ้าเชียงใหม่ราชอนุชาแห่งเราจงกรีธาทัพบุกกรุงอโยธยาเป็นสองทาง ยึดอโยธยากลับมาเป็นเมืองขึ้นแก่หงสาดุจดังกาลก่อน”

       พระเจ้านันทบุเรงทรงประมาทว่าไทยอ่อนแอ มีกำลังทัพน้อยกว่าหงสาวดีมาก จึงรับสั่งให้พระยาพสิมผู้ครองเมืองพสิมที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกของไทย และเชียงใหม่ ซึ่งเป็นสมเด็จพระเจ้าอา ยกทัพสามหมื่นเข้าตีกรุงศรีอยุธยาทางด่านพระเจดีย์สามองค์”
       จากเมืองพสิม กองทัพตรงเข้าด่านพระเจดีย์สามองค์ตามแผนการโจมตี
       และการนี้ให้พระเจ้าเชียงใหม่ มังนรธาช่อ ซึ่งเป็นพระราชอนุชา ยกทัพพลหนึ่งแสน บุกเข้าตีพร้อมกัน
       กองทัพหนึ่งแสนกำลังพลของพระเจ้าเชียงใหม่เคลื่อนทัพจากเชียงใหม่ มุ่งตรงเข้าสู่กรุงศรีอยุธยา
       ดูเหมือนเลือดสีแดงฉานต้องหลั่งชโลมแผ่นดินอโยธยาอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง

       เสมากำลังคุมทหารใหม่ฝึกฝนอยู่นานร่วมสองเดือน โดยมีอาวุธฝึกฝนหลายอย่างทั้งดาบโล่ กระบี่ กระบอง ทวน ดาบสองมือ ฯลฯ ขุนรามเดชะเดินคุยกับพระยาพิชัยสงครามซึ่งเป็นเจ้านายของตน โดยมีทหารของพระยาพิชัยสงครามสะพายดาบเดินตามหลังมาด้วย
       พระยาพิชัยพูดด้วยสีหน้าเครียดกับขุนรามเดชะ
       “คนอยากเป็นทหารมีมาก แต่ที่พอใช้สอยออกศึกได้มีน้อยนัก หากถึงวันทดสอบทวนฝีมือแล้ว ได้ทหารมีฝีมือไม่ครบตามจำนวน ข้าคงมีหวังหัวขาดเป็นแน่”
       ขุนรามเดชะยกมือไหว้แล้วว่า
       “อย่ากังวลไปเลยขอรับพระคุณ สองเดือนเศษมานี่ ข้าพระเจ้าเร่งฝึกซ้อมอย่างหนัก ต้องได้ทันตามกำหนดแน่ขอรับ” ว่าแล้วขุนรามเดชะก็หันไปตะโกนเรียกเสมา
       “อ้ายเสมา”
       เสมาเดินเข้ามาหาแล้วไหว้ขุนรามเดชะกับพระยาพิชัยสงคราม
       “พระคุณมีกระไรจะใช้อ้ายเสมารึขอรับ”
       “ท่านเจ้าคุณ ต้องการดูฝีมือทหารใหม่ เอ็งหาคนมาซ้อมให้ท่านดูทีซิ”
       “ขอรับ”
       เสมาหันไปตะโกนบอก
       “พวกเอ็งหยุดซ้อมประเดี๋ยวก่อน”
       พวกทหารทุกคนพากันหยุดซ้อม
       “อ้ายสมบุญ เอ็งซ้อมดาบให้ออกญาท่านดู...”
       พระยาพิชัยสงครามพูดสวนขึ้น
       “ช้าก่อน ซ้อมกันเองจะเห็นฝีมือชัดเจนได้อย่างไรเล่า”
       ว่าแล้วพระยาพิชัยสงครามหันไปสั่งทหารที่เดินตามตน
       “หมื่นหาญ เอ็งช่วยทดสอบทวนฝีมือให้ข้าดูที”
       “ขอรับท่านเจ้าคุณ”
       ทหารของพระยาพิชัยสงครามคนหนึ่งชักดาบสองมือที่สะพายอยู่ออกมา สมบุญเดินถือดาบสองมือเข้าไปหา แล้วคุกเข่าไหว้ขอขมา ก่อนจะหยิบดาบลุกขึ้นเตรียมสู้ทันที ทั้งคู่เข้าต่อสู้กันอย่างดุเดือด ต่างฝ่ายต่างผลัดกับรุกผลัดกันรับอย่างสูสี แม้ว่าสมบุญจะด้อยประสบการณ์ แต่เพลงดาบที่เสมาสอนเหนือกว่า ทำให้คู่คี่ก้ำกึ่งกันมาก ขุนรามเดชะและพระยาพิชัยสงคราม เห็นทหารใหม่สู้กับทหารเจนศึกได้อย่างสูสี ก็ยิ้มอย่างพอใจ ฝ่ายเสมาเห็นสมบุญผู้เป็นทั้งเพื่อน ทั้งน้อง ทั้งลูกศิษย์มีฝีมือก้าวหน้าขนาดนี้ก็ยิ้มออกมาอย่างภาคภูมิใจ

       ผ่านเวลาไปสักพัก สมบุญกำลังคุยโขมงด้วยความดีใจและภูมิใจให้เสมาฟัง ทั้งคู่เดินคุยมาทางหลังเรือน
       “นี่ขนาดข้าฝึกดาบได้สองเดือนเองนะพี่ หากฝึกซักสองปี มีหวังได้เป็นทหารเอกไปแล้ว”
       เสมาถึงกับขำ
       “ถ้าเอ็งเป็นทหารเอก ข้ามิเป็นแม่ทัพไปแล้วรึ ฝีมือเอ็งก็แค่พอเข้าขั้น ยังห่างชั้นอีกมากนัก ไม่ต้องอื่นใด แค่หัวหมู่ขัน เอ็งก็สู้เขาไม่ได้แล้ว”
       สมบุญทำสีหน้าเซ็ง
       “พี่เสมาช่างค่อนว่าข้านัก”
       เสมาเดินผ่านมาที่ใต้ห้องนอนของเรไร แล้วหยุดมองขึ้นไปที่ห้องนอนพลางคิดถึงเรไรอย่างจับใจ เพราะไม่ได้เจอกันนานถึงสองเดือนแล้ว สมบุญมองตามสายตาเสมา และยิ้มอย่างรู้ทันก่อนจะกระแอมเป็นเชิงแซว
       “แม่หญิงเรไรไม่ได้ออกจากวังมาสองเดือนแล้วนะพี่เสมา ช่างเหมือนนานแรมปีเทียว”
       เสมาแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
       “แล้วเอ็งมาบอกข้าทำไมรึ จู่ๆก็พูดมาไม่มีปี่มีขลุ่ย พิกล”
       สมบุญขำเย้าๆแบบคนรู้ทัน เสมารีบเดินเลี่ยงไปด้วยความเขิน ปล่อยให้สมบุญยิ้มเยาะตามหลัง

       ยามบ่ายของวันหนึ่ง เรไรกำลังนั่งร้อยมาลัยอยู่ในตำหนักในวังที่เต็มไปด้วยบรรยากาศดูวิจิตรสวยงามขณะนั้น เรไรหยิบดอกจำปีขึ้นมาจะร้อยเข้าในพวงมาลัย พอเห็นดอกจำปี ก็นึกถึงเสมาขึ้นมาทันที แล้วยิ้มบางๆที่ใบหน้า ขณะนั้น ดวงแข และบัวเผื่อนก็เดินคุยกันมาอย่างยิ้มแย้มแจ่มใส เรไรเห็นเข้าก็รีบร้อยดอกจำปีลงพวงมาลัยทันทีทำไม่รู้ไม่ชี้
       “หน้าตาผ่องใสมีสง่าราศีเจียวนะ แม่เรไรเพื่อนฉัน เห็นทีจะมีลาภลอยเสียแล้วแม่เอ๋ย” บัวเผื่อนพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
       “นี่คิดจะเอาดีทางหมอดูแล้วรึแม่บัวเผื่อน เหตุใดจู่ๆมาทำนายทายทักฉันกันจ๊ะ”
       “ถึงจะไม่ใช่หมอดู ฉันก็รู้ว่าแม่ต้องมีลาภแน่ จริงหรือไม่จ๊ะ แม่ดวงแข” บัวเผื่อนหันไปพูดกับดวงแข
       ดวงแขยิ้มบางๆ แล้วนั่งลงใกล้ๆเรไร ก่อนจะหยิบกำไลทองลวดลายสวยงามออกมาให้เรไร
       “นี่กระไรกันแม่ดวงแข” เรไรพูดอย่างแปลกใจ
       “พี่ขันฝากมาให้จ้ะ พอดีที่บ้านฉันได้ทองเนื้อดีมา แม่ก็เลยให้ช่างทำเครื่องประดับหลายชิ้น พี่ขันนึกถึงเรไร ก็เลยฝากฉันมาให้จ้ะ”
       เรไรหยิบกำไลขึ้นมาดูก่อนจะวางลงที่เดิม
       “ฝากขอบน้ำใจแม่ป้ากับพี่หมู่ขันด้วยนะจ๊ะ แต่ฉันคงรับไว้ไม่ได้ดอกจ้ะ เพราะฉันไม่อยากถูกติฉินนินทา”
       ดวงแขหน้าเจื่อนไปทันที
       “ติฉินนินทาเรื่องกระไรกัน ฉันไม่เห็นจะมีกระไรไม่ดีเลย”
       เรไรยิ้มบางๆพลางบอก
       “ว่างๆ แม่ดวงแขลองไปที่ท้ายตำหนักดูเถิดจ้ะแล้วจะเข้าใจเอง” ก่อนที่เรไรจะหันไปยิ้มแซวบัวเผื่อน “หรือไม่ก็ถามแม่บัวเผื่อนดู ในตำหนักนี้ไม่มีกระไรที่แม่บัวเผื่อนไม่รู้ดอก”
       บัวเผื่อนทิ้งค้อนที่โดนเรไรเหน็บ แต่ก็ไม่เถียง ในขณะที่ดวงแขมีสีหน้าแปลกใจ ไม่เข้าใจว่ามีอะไรกันแน่

       เวลาเย็นวันเดียวกัน บริเวณท้ายตำหนัก ขันกำลังใส่กำไลเงินให้จำเรียง จำเรียงเห็นขันจับข้อมือตน ใส่กำไลให้ก็ทำเป็นเอียงอาย แต่ขันยิ้มกรุ้มกริ่ม
       “กำไลเงินนี้พี่ให้เจ้า หากแม่จำเรียงยังระลึกถึงพี่ก็ขอให้ใส่ไว้”
       จากนั้นขันก็ตีหน้าเศร้าพลางพูดต่อว่า
       “แต่หากไม่อาลัยในตัวพี่แล้วก็จงถอดออกเถิด”
       “พี่ขัน พูดอะไรเช่นนั้นกันจ๊ะ ฉัน...” จำเรียงพูดด้วยท่าทางเขินอาย
       ทันใดนั้น จำเรียงก็ชะงักเมื่อเห็นดวงแขเดินหน้าเครียดเข้ามา ขันเห็นจำเรียงชะงักไปก็เลยหันไปมองตาม เห็นน้องสาวเดินเข้ามาก็หน้าเสีย
       “เอ่อ พี่ขันจ๊ะ ฉันกลับเข้าตำหนักก่อนนะจ๊ะ” จำเรียงบอก
       “เชิญเถิดจ้ะ แม่จำเรียง”
       จำเรียงรีบเดินเลี่ยงไปทันที ดวงแขพูดขึ้นด้วยสีหน้าเครียด
       “มิน่าเล่า แม่เรไรถึงได้บอกว่ากลัวคนติฉินนินทา พี่ขันทำเช่นนี้เอง หากเรไรยังรับของพี่ขันอีก มิเท่ากับว่าแย่งผู้ชายกับจำเรียงดอกรึ”
       “จำเรียงจะเปรียบกับแม่หญิงเรไรได้อย่างไรกัน เกิดเป็นชาย จะมีสักกี่คนที่มีเมียเดียว น้องก็รู้”
       “น้องรู้ แต่เรไรจะยอมหรือไม่ก็สุดปัญญาน้องจะคาดเดาได้” ดวงแขพูดแล้วก็หยิบกำไลทองคืนให้ขัน เมื่อขันเห็นว่าเรไรไม่รับไมตรีก็โมโหขึ้นมาทันที
       “นี่แม่หญิงเรไรไม่ยอมรับรึ คงมิใช่เพราะพี่มีจำเรียงดอกกระมัง แต่เพราะแม่หญิงเรไรสมัครใจกับอ้ายช่างเหล็กนั่นมากกว่า เสียทีเป็นลูกชาติลูกตระกูล ไม่รักศักดิ์ศรี”
       ขันเดินหงุดหงิดเลี่ยงไป ดวงแขมองตามแล้วก็ส่ายหน้าอ่อนใจกับนิสัยพี่ชาย

       ตอนหัวค่ำที่ท้องพระโรงอยุธยา พระมหาธรรมราชา พระนเรศวร พระเอกาทศรถ และเหล่าขุนนาง กำลังประชุมเครียดกันอยู่ ที่กลางห้องมีแบบจำลองภูมิประเทศ แสดงการเดินทัพของทัพพสิม และ เชียงใหม่ โดยมีธงเล็กๆสีต่างๆปักอยู่แทนกองทัพพสิม ทัพเชียงใหม่ และทัพไทย
       ขุนนางคนหนึ่งพนมมือแล้วว่า
       “ขอเดชะ พระอาญาไม่พ้นเกล้า กองเสือหมอบแมวเซา แจ้งมาว่าเมืองพสิมกับเมืองเชียงใหม่ มีการเรียกระดมไพร่พล คาดว่าคงมีการแต่งทัพเข้ามาบุกอโยธยาเป็นแน่พระพุทธเจ้าข้า”
       พระเอกาทศรถมองที่แบบจำลองด้วยสีหน้าเคร่งเครียดแล้วตรัสว่า
       “หงสาคงคิดจะบุกตีทั้งทางบกและทางเหนือพร้อมกันเพื่อให้เราพะว้าพะวัง แต่หากมิใช่มีแค่สองทัพ อโยธยาก็จะยิ่งคับขัน”
       พระนเรศวรตรัสว่า
       “จะมาสักกี่ทัพ เมื่อเราประกาศอิสรภาพแล้วก็ต้องสู้กันจนกว่าจะสิ้นไทย ที่จะกลับไปเป็นเมืองขึ้นหงสาวดีอีก เห็นทีจะไม่มี”
       พระมหาธรรมราชาตรัสว่า
       “องค์ดำตรัสถูกแล้ว หากคราวนี้เราแพ้ ไทยจะมิมีแผ่นดินให้หยัดยืนอีกต่อไป มิสู้ตายเสียดีกว่า” ตรัสแล้ว พระมหาธรรมราชาหันไปสั่งขุนนาง
       “สั่งการลงไป งานพระราชพิธีลอยพระประทีปแลกระทงโคมไฟปีนี้ ให้จัดเอิกเกริกกว่าทุกปี เฉลิมฉลองกันให้ทั่วทั้งพระนครแลหัวเมืองเพื่อเรียกขวัญกำลังใจให้ไพร่ฟ้าก่อนรับศึกหงสา”

       เตาไฟกำลังลุกโชนด้วยความร้อนแรง ขณะที่มั่นกำลังตีเหล็กที่ถูกเผาไฟจนร้อน ค้อนกระหน่ำตีลงไป ด้วยสายตาที่มุ่งมั่นและมีสมาธิ
       ที่วัดพุทไธสวรรย์ พระครูขุนกำลังทำพิธีปลุกเสกดาบคู่หนึ่ง ซึ่งยังเป็นดาบที่ไม่มีฝักและไม่มีด้ามจับ พระครูขุนหลับตาบริกรรมคาถา รายล้อมด้วยบรรยากาศที่ดูขลัง มีพลัง
       มั่นกระหน่ำตีเหล็กจนเริ่มกลายเป็นรูปดาบ
       พระครูขุนบริกรรมคาถา พร้อมกับขมวดสายสิญจน์ แล้วเอาสายสิญจน์ใส่ลงไปในด้ามจับของดาบ
       มั่นเอาดาบที่ตีเสร็จจุ่มลงในน้ำว่านเพื่อให้เหล็กคงทนจนควันขึ้นโขมง ครั้นหยิบดาบนั้นขึ้นมาดูก็เห็นความคมกริบเป็นประกายแวววาว
       พระครูขุนหยิบดาบคู่หนึ่ง ที่ปลุกเสกประกบด้ามจับเรียบร้อยขึ้นมาดู ก่อนจะเป่าน้ำมนต์ออกจากปาก เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ผู้ใช้อีกครั้ง

       เช้าวันใหม่ เสมากำลังก้มกราบพระครูขุน โดยมีมั่นนั่งพับเพียบอยู่ใกล้ๆ พระครูขุนหยิบดาบพร้อมฝักคู่หนึ่ง ยื่นให้เสมารับไป
       “ดาบคู่นี้ พ่อเอ็งเค้าตั้งใจตีให้เอ็งไว้ใช้ออกศึก ข้าก็ทำพิธีปลุกเสกให้แล้ว ให้ชื่อมันว่า “ดาบแสนศึกพ่าย” เอ็งจงใช้มันฉลองคุณบ้านเมืองสืบไปเถิด”
       เสมาไหว้จบที่ศีรษะก่อนจะรับดาบมาด้วยความดีใจสุดๆ
       “ดาบแสนศึกพ่าย ชื่อเป็นมงคลนักขอรับหลวงพ่อ”
       มั่นยิ้มบางๆแล้วบอกกับเสมา
       “ข้าไม่มีวิชาความรู้ แลสมบัติพัสถานกระไรจะให้เอ็ง มีแต่ดาบคู่นี้เท่านั้น หวังว่ามันจะช่วยคุ้มครองเอ็งให้ปลอดภัยจากภยันตรายทั้งปวง เสมาเอ๋ย”
       เสมาหันไปกราบพ่อ
       “ขอบพระคุณมากจ้ะพ่อ แต่ถึงไม่มีดาบ พรของพ่อก็เป็นมงคลกับเสมามากกว่าสิ่งใดแล้ว”
       มั่น และพระครูขุน ยิ้มด้วยความปลื้มใจที่เสมาอ่อนน้อม กตัญญู
       ขณะนั้นเอง ชาวบ้านคนหนึ่งก็วิ่งปึงปังหน้าตาตื่นเข้ามาหาพระครูขุน
       “หลวงตา หลวงตาขอรับ”
       “กระไรของเอ็งวะ วิ่งโครมครามประเดี๋ยวกุฏิข้าก็พังดอก”
       ชายชาวบ้านพนมมือแล้วว่า
       “ขออภัยเถิดขอรับ แต่เพลานี้ อ้ายพวกนักเลงดีจากบ้านเหนือกับบ้านใต้ มันกำลังตีกันในวัดขอรับ หลวงตารีบไปห้ามเถิดขอรับ”
       มั่นได้ยินแล้วก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
       “กระไรกัน ช่างไม่กลัวนรกกินกบาลเสียบ้างเลย นี่มันในวัดนาโว้ย ยังกล้าตีรันฟันแทงกันอีกรึ”
       เสมาก็มีสีหน้าไม่พอใจเดินถือดาบแสนศึกพ่ายออกจากุฏิไปทันทีจนพระครูขุนและมั่นตกใจ
       “อ้าย เสมา” มั่นร้องเรียกแล้วรีบตามออกไป

พระครูขุนและชายชาวบ้านลุกเดินตามออกไปติดๆ

อ่านต่อหน้า 3
       ...............................................................................................

เกร็ดความรู้เกี่ยวกับขุนศึก

๕. คำว่าออก ที่เติมหน้าบรรดาศักดิ์ เช่น ออกยา ออกขุน ออกหลวง คือ คำแสดงอาวุโสในบรรดาศักดิ์นั้นๆแต่ยังไม่ได้เลื่อนไปยังบรรดาศักดิ์ที่สูงกว่า เช่น ผู้ที่เป็นพระยามานานยังไม่ได้เป็นเจ้าพระยา ก็จะเรียกว่า ออกยา

๖. วัดพุทไธสวรรย์ สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าอู่ทอง เมื่อปี พุทธศักราช ๑๘๙๖   ศาสตร์การต่อสู้ของวัดพุทไธสวรรย์ เป็นที่เลื่องลืออย่างมาก โดยวัดพุทไธสวรรย์เป็นพระอารามหลวงสำคัญในสมัยอยุธยา มีโบราณสถานและโบราณวัตถุที่สำคัญมากมาย ตกทอดจนถึงปัจจุบัน
//www.manager.co.th/Drama/ViewNews.aspx?NewsID=9550000049410&Page=3




Create Date : 22 พฤษภาคม 2555
Last Update : 22 พฤษภาคม 2555 11:33:30 น. 0 comments
Counter : 1732 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

atitaya_t
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




สวัสดีค่ะ ขอร่วม gang ด้วยคนค่ะ
Friends' blogs
[Add atitaya_t's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.