เก็บความทรงจำ..(^_^)..ความสนใจ โลกส่วนตัว ที่เราสร้างเอง
Group Blog
 
 
พฤษภาคม 2555
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
22 พฤษภาคม 2555
 
All Blogs
 
ขุนศึก ตอนที่ 7-4 , 8-1

ขุนศึก ตอนที่ ๗ (ต่อ) 


ผ่านเวลาไปสองสามวัน ที่ค่ายพระมหาอุปราชาที่บ้านทวน ทหารจำนวนมากกำลังช่วยกันจับช้างทรงของพระมหาอุปราชาที่อาละวาดอยู่

       ช้างทรงร้องลั่น บรรดาทหารกำลังจะเอาเชือกล่ามเพื่อล้อมจับ ต่างถูกเหวี่ยงกันไปคนละทิศละทาง
       พระมหาอุปราชาทรงพิโรธที่พวกทหารพม่าจับช้างทรงให้สงบไม่ได้ซักที
       “ชักช้ากระไรอยู่ พลายพัทธกอของกูคลั่งใหญ่แล้วไม่เห็นรึ หากช้างกูเป็นกระไรไป กูจะตัดหัวพวกมึงเสียให้สิ้นทั้งโคตร”
       พวกทหารกลัวมาก รีบเข้าไปช่วยกันยกใหญ่ ช้างอาละวาดหนักขึ้น ไม่ยอมให้จับง่ายๆ
       ทันใดนั้นเองก็เกิดลมพัดแรงขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยจนฝุ่นทรายตลบไปหมดทั่วบริเวณ ลมพัดแรงมาก จนเศวตฉัตรบนหลังช้างทรงหักสะบั้นหล่นลงมา
       พระมหาอุปราชาทรงตกพระทัยมากที่เกิดเหตุการณ์ไม่เป็นมงคลเช่นนี้ต่อหน้าพระพักตร์

       พะมหาอุปราชาทรงนั่งประทับในกระโจมด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเมื่อตอนหัวค่ำ ในขณะที่โหรหลวงกำลังขีดเขียนกระดานชนวนเพื่อตรวจพระชะตาอยู่ โหรหลวงเครียดหนักจนไม่รู้จะกราบทูลอย่างไรดี
       “เป็นกระไรบ้าง ข้าสะเดาะเคราะห์ไปแล้วยังไม่ดีขึ้นอีกรึ จึงมีเหตุเป็นลางร้ายเกิดลมพัดต้องเศวตฉัตรหักเช่นนี้”
       โหรหลวงกลัวลนลานรีบยกพนมมือไหว้
       “หามิได้พระพุทธเจ้าข้า การครานี้เป็นเพียงเรื่องประจวบเหมาะหาได้เกี่ยวข้องกับพระชะตาไม่พระพุทธเจ้าข้า”
       “แน่ใจรึ”
       “แน่ใจพระพุทธเจ้าข้า”
       พระมหาอุปราชาถอนพระทัยอย่างโล่งอก
       “เช่นนั้นข้าก็สบายใจ ศึกครานี้ข้าขัดสมเด็จพ่อไม่ได้จึงต้องมา หาได้เต็มใจไม่ แต่ธนูง้างสายแล้วก็ต้องยิง เป็นทหารออกศึกแล้วก็ต้องรบให้สุดฝีมือ เมื่อไม่มีเคราะห์ร้ายใด ข้าจะได้หมดกังวล พิสูจน์ฝีมือกับองค์พระนเรศให้เห็นประจักษ์กันไป”
       ที่โหรหลวงมิกล้ากราบทูลตามตรงเพราะดวงชะตาพระมหาอุปราชถึงฆาตแล้ว

       ที่กระโจมพลับพลา ค่ายสมเด็จพระนเรศวรที่ตำบลมะม่วงหวาน สมเด็จพระนเรศวรและสมเด็จพระเอกาทศรถกำลังนั่งประทับแวดล้อมด้วยบรรดาขุนนาง เช่นพระยาศรีไสยณรงค์ ขุนรามเดชะ พันอิน และขุนนางคนอื่นๆ
       “เมื่อคืน พี่ฝันว่าเกิดน้ำท่วมป่ามาจากทิศตะวันตก เสียงอึกทึกนัก พี่จึงเดินลุยน้ำสวนไป พบจระเข้ใหญ่เข้าตัวหนึ่ง สู้กันเป็นสามารถจนพี่ประหารจระเข้ตัวนั้นลงจนได้”
       “นับเป็นศุภนิมิตนัก ชะรอยว่าจะเกิดมหายุทธสงครามขึ้น ถึงได้กระทำยุทธหัตถี แลสมเด็จพี่จะได้ชัยชำนะเป็นพระเกียรติยศสืบไปเป็นแน่พระพุทธเจ้าข้า”
       “สมพรปากเจ้าเถิด แต่สำคัญกว่าเกียรติยศคือ เราต้องปกป้องแผ่นดินไว้ให้จงได้”
       สมเด็จพระนเรศวรทรงมีพระบัญชา
       “พระยาศรีไสยณรงค์”
       พระยาศรีไสยณรงค์ถวายบังคม
       “พระพุทธเจ้าข้า”
       “เจ้าจงเร่งยกไปขัดตาทัพที่ดอนระฆัง แล้วส่งทัพออกลาดตระเวนข้าศึก เมื่อรู้เค้าเงื่อนว่า ข้าศึกใช้กระบวนทัพใดจงรีบถอยกลับมาแจ้งแก่เรา”
       พระยาศรีไสยณรงค์ถวายบังคม
       “รับด้วยเกล้าพระพุทธเจ้าข้า”
       ขุนรามเดชะถวายบังคมแล้วกราบทูลว่า
       “ขอเดชะ พระอาญาไม่พ้นเกล้า ข้าพระพุทธเจ้ากับพันอินทราชกลาโหม ขอไปทัพด้วยออกญาศรีไสยณรงค์พระพุทธเจ้าข้า”
       “เจ้าสองคนอายุไม่น้อยแล้ว ออกทัพหน้าจะดีรึ” พระเอกาทศรถตรัสถามขึ้น
       พันอินถวายบังคมกราบบังคมทูลว่า
       “ ข้าพระพุทธเจ้าทั้งสองแม้จะชราภาพ แต่น้ำใจยังสู้ หมายปกป้องแผ่นดินจนตัวตาย โปรดประทานพระบรมราชานุญาติด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้า”
       สมเด็จพระนเรศวรแย้มพระสรวลอย่างพอใจและมีรับสั่งเสียงดัง
       “เมื่อเจ้ามีใจเช่นนั้น ก็ตามแต่ใจเถิด ...มีพระบรมราชโองการลงไป เราจะยกทัพเป็นกระบวนเบญจเสนาตามตำราพิชัยสงคราม ให้ทหารทั้งปวงพร้อมทำศึกทุกเมื่อ”

       พระยาศรีไสยณรงค์ กำลังเดินคุยกับขัน พุฒ ขุนรามเดชะ และพันอินอยู่ที่ค่ายพระยาศรีไสยณรงค์ ในตอนสาย
       “พ่ออยู่หัวทรงไว้วางพระทัย ให้ทัพเราเป็นกองหน้าลาดตระเวนข้าศึก นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณนัก หน้าที่นี้สำคัญ ไม่อาจผิดพลาดได้โดยเด็ดขาด” พระยาศรีไสยณรงค์ว่า
       “ท่านเจ้าคุณขอรับ ขอให้ข้าพระเจ้ากับหมื่นทรงเดชะได้เป็นกองตระเวนหน้าเถิดขอรับ ข้าพระเจ้าขอให้คำมั่น ว่าจะหยั่งเชิงข้าศึกให้รู้ตื้นลึกหนาบาง มิให้ท่านเจ้าคุณผิดหวังขอรับ” ขันพูดอย่างเอาใจสุดๆ
       “เพลานี้สองทัพใกล้กันนัก การตระเวนมีภัยกว่าเดิมมาก ด้วยมิรู้ว่าข้าศึกจะซุ่มซ่อนกำลังไว้เท่าใด หัวหมื่นทั้งสองแม้จะมีฝีมือแลความกล้า แต่ยังผ่านศึกมาน้อยนักเป็นกองระวังหลังไปก่อนเถิด” ขุนรามเดชะพูดด้วยความเป็นห่วง
       พุฒไม่พอใจขึ้นทันที
       “ออกขุนท่านพูดเช่นนี้ก็ไม่ถูก พวกฉันตามเสด็จแต่ครั้งเมืองแครง จะว่าผ่านศึกมาน้อยได้เช่นไร แลศึกหนักหนาถึงขั้นตะลุมบอนก็ผ่านมานักแล้ว เพียงแค่ลาดตระเวนจะกระไรหนักหนากันเชียว”
       “ครานี้ไม่ใช่ลาดตระเวนทั่วไป ด้วยหงสามีกำลังมากกว่า แลยึดชัยภูมิได้ก่อน ป่านฉะนี้คงรู้แจ้งชัยภูมิโดยรอบดั่งนิ้วในฝ่ามือ หากไม่ระวังจะถูกโจมตีได้โดยง่าย” พันอินว่า
       ขันไม่พอใจที่พวกขุนรามมาขัดความดีความชอบ
       “ท่านพันอินจะไม่พูดเกินจริงไปรึ หรือมีแต่ท่านเท่านั้น จึงจะลาดตระเวนครานี้ได้”
       พันอินชักสีหน้าไม่พอใจทันที พระยาศรีไสยณรงค์พยายามรีบไกล่เกลี่ย
       “พอเถิด มาศึกด้วยกัน อย่าแตกสามัคคีกันเองเลย ขุนรามเดชะ พันอินทราชกลาโหม ท่านทั้งสองผ่านศึกมามากหน้าที่นี้ยกให้พวกท่านเหมาะควรแล้ว”
       “ขอรับท่านเจ้าคุณ” ขุนรามเดชะกับพันอินรับขึ้นพร้อมกัน
       ขณะที่ขันและพุฒจ่างก็ชักสีหน้าด้วยความเจ็บใจ

       มุมหนึ่งในค่าย ขุนรามเดชะกำลังจะเดินไปทำงาน ขันเดินตามหลังมาติดๆ
       “ท่านอาขอรับ”
       ขุนรามเดชะหันกลับมาหาขัน
       “มีกระไรรึหมื่นชาญ”
       “ข้าพระเจ้าอยากถามท่านอา เรื่องพิธีแต่งของข้าพเจ้ากับแม่หญิงเรไรขอรับ ถึงเพลานี้ก็คลาดแคล้วกันมาหลายคราแล้ว ท่านอายังคงเมตตายกแม่หญิงเรไรให้ข้าพระเจ้าอยู่อีกหรือไม่ขอรับ”
       “เหตุใดกล่าวเช่นนั้น อารับปากแล้วไหนเลยจะคืนคำได้ แต่เหมือนกรรมเก่าไม่สิ้นต้องมีเหตุให้เป็นไปทุกครา อาจึงเห็นควรให้หมั้นกันไว้ก่อน ได้ฤกษ์ดีเมื่อใดจึงค่อยจัดงานแต่ง”
       ขันหน้าบึ้งตึงไม่พอใจ
       “ข้าพระเจ้ารอมาสองปีกว่าแล้ว ต้องรออีกถึงเมื่อใดกันเล่าขอรับ”
       ขุนรามเดชะถอนหายใจสีหน้าเครียด
       “หมื่นชาญก็เห็นว่า น้ำใจแม่เรไรเด็ดเดี่ยวเพียงใด หากไม่มีพระบรมราชโองการมาก่อน ป่านฉะนี้ แม่เรไรอาจฆ่าตัวตายพร้อมอ้ายเสมาเสียแต่ในวันงานแล้วก็เป็นได้ อาจึงไม่อยากหักด้ามพร้าด้วยเข่าอีก”
       “แต่ท่านอาเป็นพ่อจะบังคับให้ลูกเชื่อฟังไม่ได้เลยหรือขอรับ”
       ขุนรามเดชะตบบ่าขัน
       “บังคับก็ไม่สู้ใจสมัครดอก เชื่ออาเถิด นานวันเข้าแม่เรไรต้องเห็นความชั่วของอ้ายเสมา แล้วตัดใจหันมาหาหมื่นชาญเป็นแน่”
       ขันพยายามระงับอารมณ์สุดๆ
       “เช่นนั้นก็แล้วแต่ท่านอาเถิดขอรับ”
       ขุนรามเดชะยิ้มรับก่อนจะเดินเลี่ยงไป ขณะนั้นเอง พุฒก็เดินออกมาหาขัน พุฒมองตามขุนรามเดชะไป ด้วยสายตาเกลียดชัง
       “แย่งความดีความชอบ แล้วยังตระบัดสัตย์ไม่ยกลูกสาวให้อีก เช่นนี้แล้วยังจะทนอยู่อีกรึ”
       “แล้วหมื่นทรงจักให้ฉันทำเช่นใดเล่า” ขันว่า
       “ฉันเคยบอกแต่เมื่อสองปีก่อนแล้วว่า น้ำใจขุนรามเดชะหาสัตย์ซื่อไม่ หากอยากได้แม่หญิงเรไร ก็ต้อง...”
       พุฒหยุดพูดด้วยปากแล้วหันส่งทุกอย่างผ่านสายตาแทน ขันหน้าเสียเมื่อนึกได้ว่า พุฒเคยแนะให้ตนฆ่าขุนรามเดชะเสีย

       ช่วงเวลาเย็น ขุนรามเดชะ และพันอิน กำลังนำทหารออกลาดตระเวนหยั่งเชิงข้าศึกอยู่ในป่า พันอินมองไปรอบๆอย่างแปลกใจ
       “ประหลาดนัก แถบนี้ก็ใกล้ค่ายข้าศึกแล้ว เหตุใดยังเงียบกริบเช่นนี้ ข่าวว่าหงสายกพลมาถึงสองแสนสี่หมื่น เอิกเกริกเป็นทัพกษัตริย์จะเงียบเช่นนี้ได้อย่างไร”
       “ไม่แน่ว่าพระมหาอุปราชาอาจทรงตั้งมั่นในค่ายที่เดียว จึงไม่มีทัพอื่นรายล้อมอยู่ก็เป็นได้ พวกพม่ารามัญแพ้ทัพอโยธยาหลายครา ครั้งนี้จึงรอบคอบระมัดระวังนัก” ขุนรามเดชะว่า
       “หากเป็นเช่นนั้นก็ดี แต่ฉันเกรงว่าหงสาจะจัดทัพเป็นหลายกอง คอยซุ่มโจมตีเรามากกว่า”
       ขุนรามเดชะยิ้มอย่างมั่นใจ
       “ไม่ต้องกลัวไปดอกท่านพันอิน หมื่นชาญณรงค์กับหมื่นทรงเดชะเป็นกองระวังหลังให้เรา หากมีทัพคอยซุ่มโจมตีจริง คงส่งคนมาแจ้งแล้ว”
       พันอินพยักหน้ารับเห็นด้วยกับขุนรามเดชะเช่นกัน
       ขณะนั้น ทหารพม่าคนหนึ่งซึ่งซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้คอยจับตาดูการเคลื่อนไหวของกองทัพขุนรามดชะทุกฝีก้าว

       มุมหนึ่งในป่า ขันและพุฒกำลังฟังรายงานจากทหารคนหนึ่งอยู่โดยมีกองทหารไทยจำนวนมากคอยรับฟังคำสั่ง
       “ข้าพระเจ้าเห็นทัพหงสาวดีแบ่งเป็นหลายกองคอยซุ่มซ่อนอยู่ บัดนี้ใกล้จะล้อมทัพขุนรามเดชะไว้ได้แล้ว ขอท่านหมื่นจงเร่งส่งคนไปแจ้งออกขุนรามให้ถอยทัพ ก่อนถูกโจมตีเถิด”
       ขันคิดหนักว่าจะเอาไงดี พุฒเห็นท่าทางขันลังเลเลยดึงตัวขันออกมาเพื่อพูดกันสองคน
       “ท่านยังหลากใจอยู่อีกรึ ข้าพระเจ้าพูดเพราะรักท่านดอกนะ หากสิ้นขุนรามเสียคนหนึ่งเมื่อใด อันการสู่ขอก็สะดวกนักเพราะมารดาแม่หญิงก็คงปรารถนาให้พ้นอกปกครองไปโดยเร็ว”
       เหตุที่ขันลังเลเพราะขุนรามเดชะเป็นเพื่อนพ่อที่ตนเห็นมาตั้งแต่เด็ก
       “แต่ท่านอาก็ไม่ได้ตัดรอนเพียงแต่ให้หมั้นไว้ก่อน แล้วเราต้องทำถึงเพียงนี้เชียวรึ”
       “ขุนรามเดชะเที่ยวประกาศต่อคนทั้งปวงว่ารับปากโดยวาจาให้แม่หญิงหมั้นกับท่านแล้ว จะยังจัดพิธีหมั้นไปเพื่อกระไรอีก นอกจากขุนรามเสแสร้งผัดผ่อน ข้าพระเจ้าสังเกตเล่ห์ขุนรามมาหลายครั้งหลายหนนานครันอยู่จนหลากใจแทนท่านแล้ว”
       ขันคิดตามจนเริ่มคล้อยตามพุฒ ขันขบกรามแน่นด้วยความเจ็บใจ พุฒเห็นดังนั้นก็ใส่ไฟต่อ
       “แม่หญิงเรไรนั้นงามนัก มิเพียงแต่ท่านกับอ้ายเสมาเท่านั้นดอกที่พึงใจ ลางทีขุนรามอาจเสแสร้งเพื่อหาคนดีกว่าท่านมาเป็นเขยก็เป็นได้ ท่านจะไว้ใจได้รึ แต่หากมิตรงความคิดหมื่นชาญสืบไปเบื้องหน้า อย่าโทษข้าพระเจ้าว่าไม่รักเพื่อนก็แล้วกัน”
       ขันแค้นใจและเริ่มหึงหวงเรไรจนหน้ามืดตามัว
       ข้าพระเจ้าเชื่อปัญญาท่าน เมื่อหมื่นทรง
       “เห็นการนี้เป็นสมควร ข้าพระเจ้าก็จักเชื่อตามปัญญา”
       พุฒยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนจะหันไปสั่งทหารอื่นเสียงดัง
       “พวกเอ็งจงฟัง หากทัพออกขุนรามเดชะถูกซุ่มโจมตี พวกเอ็งจงสงบไว้ อย่าวุ่นวายเป็นเด็ดขาด ขุนรามเดชะกับพันอินทราชจะตีหักฝ่าออกมาเอง”
       พวกทหารตกใจมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ไม่คิดว่าพุฒจะสั่งอะไรแบบนี้
       “ทัพออกขุนอยู่ในวงล้อมข้าศึก รี้พลเป็นรองมากนัก จะฝ่าออกมาได้อย่างไร” ทหารคนหนึ่งถามขึ้นอย่างร้อนใจ
       “เอ็งเป็นแค่หัวหมู่จะรู้กระไร ตามอาญาทัพ หากไม่มีคำสั่งถอยจากแม่ทัพนายกอง ห้ามถอยเป็นเด็ดขาด ถ้าพวกข้าแจ้งให้ขุนรามถอยจะไม่โดนตัดหัวกันหมดนี่รึ” พุฒตะคอกใส่มันที
       พอพุฒอ้างอาญาทัพทุกคนก็จ๋อยไป ไม่มีใครกล้าเถียงพุฒอีก

       ทันใดนั้น ...ก็มีเสียงปืนดังขึ้นในป่า ทหารไทยคนหนึ่งถูกยิงล้มคว่ำไปทันที ขุนรามเดชะ และพันอิน ซึ่งกำลังควบคุมกองทัพลาดตระเวนอยู่ก็ตกใจพลางตะโกนลั่น
       “หาที่กำบัง อ้ายข้าศึกโจมตีแล้ว”
       พวกทหารรีบหาที่กำบังตามคำสั่ง แต่ช้าเกินไปเสียแล้ว เพราะทหารพม่าโผล่ขึ้นมารอบทิศ ล้อมทัพของขุนรามเดชะเอาไว้ แล้วระดมยิงปืนยาวเป็นห่าฝนใส่ทันที ทหารไทยล้มตายเป็นใบไม้ร่วง ทหารบางคนพยายามจะวิ่งเข้าไปฆ่าศัตรูก็ไม่สำเร็จ ยังไม่ทันถึงตัวศัตรูก็โดนยิงตายไปก่อน
       ขุนรามเดชะและพันอินวิ่งหนีหาที่กำบังหัวซุกหัวซุนหลบรอดไปได้หวุดหวิด
       “เหตุใดกองระวังหลังไม่แจ้ง ปล่อยให้ถูกซุ่มโจมตีเช่นนี้ เราจะทำเช่นใดกันดีเล่าออกขุน” พันอินว่า
       “ฉันจะส่งพลุสัญญาณให้หมื่นชาญ หมื่นทรงมาช่วย พ่อพันอินนำทหารยันไว้ก่อนเถิด” ขุนรามเดชะว่า
       พันอินตะโกนลั่น
       “พวกเอ็งทุกคนฟังข้า อ้ายข้าศึกยิงปืนหมดเมื่อใดพวกมันจะบุกเข้ามา พวกเอ็งจงล้อมเป็นวงกลมไว้ ต้านทานพวกมันจนกว่าทัพหนุนจะมาช่วย”
       ทหารพม่ายิงปืนเสร็จ ก็ชักอาวุธออกแล้วกรูกันเข้ามาหาพวกขุนรามเดชะ ตั้งใจจะฆ่าให้หมดทุกคน
       ทหารไทยภายใต้การนำของพันอินก็ทำตามคำสั่ง ล้อมเป็นวงกลมต้านทานข้าศึกเอาไว้ ในขณะที่ขุนรามเดชะหยิบพลุสัญญาณขึ้นมาจุด พลุสัญญาณ พุ่งตรงขึ้นสู่ท้องฟ้า

หมายเหตุ ปืนสมัยก่อน เสียเวลาบรรจุกระสุนและดินปืนนาน ถ้าอยู่ใกล้ๆกันจะยิงตัดกำลังครั้งเดียวแล้วตะลุมบอนเลย แต่ถ้าอยู่ไกลกัน ก็ยิงได้หลายนัดเพราะมีเวลาบรรจุกระสุน

       ขัน พุฒ และเหล่าทหารเห็นพลุสัญญาณขอความช่วยเหลือของขุนรามเดชะ
       “ออกขุนรามยิงพลุสัญญาณขอทัพหนุนไปช่วยแล้ว รีบไปกันเถิดขอรับท่านหมื่น” ทหารคนหนึ่งพูดขึ้น
       ขันเห็นสถานการณ์คับขันก็ชักลังเลขึ้นมา พุฒเห็นสีหน้าขันจึงพูดกันเบาๆได้ยินกันแค่สองคน
       “ครานี้สมคิดแล้ว ท่านมิทำก็โง่หนักหนา ผิว่าสิ้นชีวิตขุนรามเมื่อใด การท่านก็จักสำเร็จแต่โดยง่าย จงยืมดาบหงสาวดีกำจัดเสียเถิด”
       ขันได้ลูกยุก็ตัดใจก็หันไปพูดกับพวกทหารทันที
       “ยังไม่มีคำสั่งจากออกญาศรีไสยณรงค์ มิว่าผู้ใดก็ห้ามเคลื่อนไหวทั้งสิ้น ผู้ใดไม่ฟังคำข้าจะตัดหัวมันประเดี๋ยวนี้”
       พวกทหารหันไปมองหน้ากัน รู้สึกว่าไม่ถูกต้อง แต่เมื่อขันและพุฒไม่ยอมพวกตนก็ไม่รู้จะทำยังไง ขณะนั้นเองก็มีทหารคนหนึ่งควบม้าเข้ามาหาแล้วร้องเรียก
       “หมื่นชาญณรงค์ หมื่นทรงเดชะ”
       ทหารคนนั้นลงจากม้าทันที ...
       “เจ้าเป็นทหารในทัพออกญาศรีไสยณรงค์ไม่ใช่รึ มาทำกระไรที่นี่” พุฒถามขึ้น
       “ บัดนี้ทัพของท่านออกญา ปะทะกับทัพหน้าของข้าศึกแล้วกำลังคับขันนัก เหตุใดกองตระเวนของพวกท่านจึงไม่แจ้งข่าวไปเล่า”
ขัน และพุฒตกใจสุดๆไม่คิดว่าเพราะแผนนี้จะทำให้เสียหายหนักขนาดนี้

จบตอนที่ ๗
ขุนศึก ตอนที่ ๘


บริเวณทุ่งกว้าง … ทหารพม่ากับทหารไทยกำลังรบกันอย่างดุเดือด แต่เนื่องจากทหารไทยมีจำนวนน้อยกว่าแถมไม่ทันระวัง เลยถูกทหารพม่าโจมตีจนเสียหายอย่างหนัก

       พระยาศรีไสยณรงค์กำลังสู้รบกับข้าศึกอย่างดุเดือด ทหารคนหนึ่งไล่ฟันข้าศึกถอยไป ก่อนจะรีบเข้ามาหาพระยาศรีไสยณรงค์
       “ท่านเจ้าคุณขอรับ รีบถอยเถิดขอรับ พระพุทธเจ้าอยู่หัวทรงรับสั่งให้ทัพเรามาขัดตาทัพแลลาดตระเวนเท่านั้น แต่เรากลับเสียทีจนถึงตะลุมบอนผิดรับสั่งหนักหนานะขอรับ”
       พระยาศรีไสยณรงค์ร้อนใจสุดๆแล้วบอก
       “ถอยเพลานี้มิได้ ไม่เช่นนั้นอ้ายข้าศึกจะตามตีจนยับเยิน พวกเอ็งจงรวมกำลังยันไว้ก่อน แล้วค่อยถอนทัพทีละกองไม่ให้โกลาหล”
       ขาดคำ กองทัพหลวงของพระมหาอุปราชาก็ตามมาสมทบ พระมหาอุปราชาทรงประทับอยู่บนหลังช้างพร้อมด้วยรี้พลมหาศาลทรงตะโกนสั่ง
       “ทัพอโยธยาระส่ำสะสายแล้ว พระยาอภัยคามีสมิงอินทรจักร สมิงพ่อเพชร นันทสุระ นันทไชสุระ เจ้าทั้งห้าจงเร่งยกพลหนุนเนื่องเข้าไป โจมตีทัพอโยธยาให้แตกยับเยินเสียเป็นปฐมฤกษ์”
       ทหารพม่าโห่ร้องดังกึกก้อง ฮึกเหิมเต็มที่ ในขณะที่ทัพไทยเริ่มหวาดกลัว เมื่อเห็นข้าศึกมีทัพหนุนเข้ามามากมาย

       ชายป่าใกล้ค่ายสมเด็จพระนเรศวร สินกำลังปีนต้นไม้เพื่อสังเกตการณ์ ในขณะที่เสมา สมบุญ กับทหารอีกจำนวนหนึ่งไม่มากนักรอสินอยู่ใต้ต้นไม้
       “เป็นกระบ้างวะอ้ายสิน เห็นกระไรบ้าง” สมบุญถาม
       “เบื้องหน้ามีควันแลผงคลีตลบ เห็นทีจะเปิดศึกกันเป็นแน่แล้ว” สิบบอก
       “ทัพหน้าเพียงแต่ไปหยั่งเชิงอ้ายข้าศึก เหตุใดต่อสู้กันได้” สมบุญพูดขึ้น
       “ออกญาศรีไสยณรงค์เป็นทหารชาญศึก คงไม่ปล่อยให้สู้กันถึงตะลุมบอนดอก คงแต่เพียงยันทัพอ้ายข้าศึกไว้ อีกไม่นานคงถอยทัพตามรับสั่ง พวกเราเร่งกลับค่ายเถิด จะได้ตามพ่ออยู่หัวท่านออกศึก”
       สินอยู่บนต้นไม้ เหลือบไปเห็นม้าตัวหนึ่งวิ่งเหยาะๆมาทางนี้
       “เอ๊ะ นั่นม้าของผู้ใดกัน” สินว่า
       เสมา และสมบุญหันไปมองตาม ซักพักก็เห็นม้าตัวหนึ่ง บรรทุกทหารคนหนึ่งที่บาดเจ็บสาหัสวิ่งเหยาะๆมา เสมาและสมบุญตกใจรีบเข้าไปดึงบังเหียนม้าไว้แล้วพาทหารคนนั้นลงจากหลังม้า
       “เกิดกระไรขึ้น เหตุใดเอ็งต้องอาวุธหนักเช่นนี้” เสมาถาม
       ทหารเจ็บหนักคนนั้นบอกว่า
       “ทัพออกญาศรีไสยณรงค์ ถูกตีจนคับขันเจียนแตกแล้ว เร่งบอกทัพหลวงด้วยเถิด”
       เสมาตกใจไม่คิดว่าจะผิดแผนไปได้ขนาดนี้

       สมเด็จพระนเรศวร และ สมเด็จพระเอกาทศรถ ทรงประทับอยู่ในพลับพลา โดยมีเสมา สิน สมบุญ และขุนนางชั้นผู้ใหญ่มากมาย พากันเข้าเฝ้าด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เพราะเหตุการณ์กำลังคับขัน
       พระนเรศวรทรงพิโรธมาก
       “ข้าสั่งให้ไปหยั่งเชิงแลลาดตระเวนข่าว แต่กลับรบพุ่งจนถึงตะลุมบอน หนำซ้ำยังพ่ายแพ้ ต้องลาดถอยจนระส่ำระสายไปทั่ว ไว้สิ้นศึกก่อเถิด ข้าจะลงโทษตามอาญาทัพให้สิ้นเสียทุกคน”
       พวกขุนนางหน้าเสียด้วยความเกรงในพระบารมีขององค์สมเด็จพระนเรศวร
       “พวกเจ้าคิดอ่านประการใดก็บอกมา”
       พวกขุนนางหันไปปรึกษากัน ก่อนจะกราบทูล
       ขุนนางคนหนึ่งถวายบังคมแล้วกราบทูลว่า
       “ขอเดชะ พระอาญาไม่พ้นเกล้า พวกข้าพระพุทธเจ้าเห็นควรให้ตั้งมั่นอยู่ในค่าย แล้วแต่งทัพรีบยกหนุนไปถ่วงศึกไว้ มิให้หงสาบุกมาได้โดยเร็ว ต่อได้เชิงแล้วจึงยาตราทัพหลวงออกทำยุทธนาการ คงจะได้ชัยชำนะพระพุทธเจ้าข้า”
       พระนเรศวรทรงคิดตามอยู่ครู่นึง ก่อนจะหันไปตรัสถามสมเด็จพระเอกาทศรถ
       “น้องเล่า คิดเห็นเป็นเช่นไร”
       “มิควรพระพุทธเจ้าข้าสมเด็จพี่ ทัพหน้าซึ่งเราแต่งไปก็แตกย่นยับระส่ำระสายมาเช่นนี้ หากแต่งทัพยกหนุนไปทานอีกก็จะปะทะกันพลอยให้เสียขบวนอีกพระพุทธเจ้าข้า”
       “ถูกแล้ว ...พวกเจ้า มีผู้ใดคิดเห็นเช่นอื่นบ้างอีกหรือไม่”
       พวกขุนนางพากันปรึกษากันแต่ก็ยังไม่ได้ข้อสรุป
       เสมาถวายบังคมแล้วกราบทูลว่า
       “ขอเดชะ พระอาญาไม่พ้นเกล้า ข้าพระพุทธเจ้าเห็นควรว่า ให้ทัพของท่านเจ้าคุณศรีไสยณรงค์ ล่าถอยกระจัดกระจาย เพื่อล่อให้อ้ายข้าศึกที่กำลังได้ใจ ยกตามมาไม่เป็นกระบวนเช่นกัน จากนั้นจึงยาตราทัพหลวงออกประจัญ อ้ายข้าศึกไม่ทันระวัง เราอาจบุกตีถึงรบแตกหักได้พระพุทธเจ้าข้า”
       พระนเรศวรหันไปสบพระเนตรกับพระเอกาทศรถ แล้วยิ้มสรวลอย่างพอพระทัยกับแผนการของเสมา
       “เอ็งคิดแผนตรงกับใจข้านัก ... มีพระบรมราชโองการลงไป ให้เร่งทำตามแผนอย่าให้พลาด ข้าจักยาตราทัพหลวงออกไปเพื่อรณรงค์ด้วยพระมหาอุปราชาแห่งหงสาวดี”
       เสมาและขุนนางทุกคนถวายบังคมพร้อมกัน
       “ รับด้วยเกล้า พระพุทธเจ้าข้า”
       สมเด็จพระนเรศวร ทรงประทับยืนอย่างองอาจ มีสง่าบารมีสมเป็นพระมหากษัตริย์นักรบเพื่อเตรียมออกรบกับพระมหาอุปราชา
       เวลาเย็นต่อเนื่อง ที่มุมหนึ่งในป่า บรรดาทหารกำลังกระวนกระวาย เพราะสถานการณ์คับขัน แต่ขันและพุฒไม่ทำอะไรซักอย่าง ทั้งคู่กำลังเครียดหนัก ไม่รู้จะตัดสินใจอย่างไรดี
       “เพราะห่วงแต่ทำร้ายท่านอา จึงไม่ได้แจ้งข่าวให้ออกญาศรีไสยณรงค์ทราบ เป็นเหตุให้ทัพของออกญาถูกข้าศึกโจมตี ผิดนี้ถึงตัดหัวเป็นแน่แล้วจะทำเช่นใดกัน” ขันถามพุฒ
       “อย่าเพิ่งร้อนตัวนักเลยหมื่นชาญ การนี้มีเรากับท่านที่รู้เพียงสองคน หากไม่พูดแล้วผิดจะมาถึงตัวได้อย่างไร” พุฒว่า
       ขณะนั้นเองพลุสัญญาณอีกสีหนึ่งถูกยิงขึ้น พอขันเห็นสัญญาณก็ยิ่งเครียดหนัก
       “ออกญาศรีไสยณรงค์สั่งถอยแล้ว”
       พุฒดีใจออกนอกหน้า
       “มีข้ออ้างแล้ว ถ้าเราถอย แล้วปล่อยให้ขุนรามกับพันอินตายเสียก็หามีผู้ใดเอาผิดเราได้ไม่”
       ขันทั้งเครียดและลังเลหนักขึ้น
       “จะเป็นเช่นนั้นจริงรึหมื่นทรง เกิดมีผู้ใดฟ้องร้องว่าเราทิ้งให้ท่านอาตายเล่าจะทำเช่นใด”
       “ขั้นนี้แล้วยังลังเลกระไรอีกหรือท่านไม่ต้องการแม่หญิงเรไรแล้ว”
       “หาใช่ไม่”
       “ถ้ากระนั้นยังจะสองจิตสองใจไปเพื่อกระไร คนเช่นขุนรามเดชะหาได้สลักสำคัญไม่ ควรรึ ที่ท่านจะห่วงหาเช่นนี้”
       ขันกระวนกระวายสับสน

       ภาพเหตุการณ์เมื่อหลายปีก่อนซ้อนเข้ามาในภวังค์ ภายในห้องนอนของขัน อำพันประคองขันที่ป่วยหนักให้ลุกขึ้นมาดื่มยาก่อนจะวางนอนให้กลับลงไป คราวนั้นขุนรามเดชะและลำภูมาเยี่ยมขันด้วยความห่วงใย
       “นี่ได้ไข้หนักถึงเพียงนี้เชียวรึแม่อำพัน” ลำภูถาม
       อำพันน้ำตาคลอด้วยความเป็นห่วงลูก
       “จ้ะ ฉันหาหมอมาทั่วอโธยาแล้ว แต่ก็ยังไม่ถูกกับโรคเสียที พ่อขันยังไม่ดีขึ้นเลย”
       ขุนรามเดชะสีหน้าหนักใจ
       “ฉันเคยได้ยินว่าที่หัวเมืองใต้มีคนเป็นโรคเดียวกับพ่อขัน แต่กินยาหลวงเวชจนหาย ถ้าอย่างไร ฉันจะไปตามคุณหลวงเวชผู้นี้มารักษาพ่อขันก็แล้วกัน”
       “หัวเมืองใต้ห่างไกลนัก ทางก็กันดารเหลือ ท่านขุนจะไปด้วยตัวเอง ฉันเกรงใจเหลือเกิน” อำพันว่า
       “พ่อของพ่อขันก็เกลอเก่าฉันร่วมเป็นร่วมตายกันมา แม่อำพันก็เป็นเพื่อนกับแม่ลำภูแต่ครั้งอยู่ในวัง บ้านเราสนิทสนมกันเช่นนี้ อย่าเกรงอกเกรงใจไปเลย”
       “ถูกของออกขุนแล้ว ฉันรักพ่อขันเหมือนลูกหลานแท้ๆ แล้วจะให้นิ่งดูดายได้อย่างไรกัน”
       อำพันน้ำตาคลอด้วยซึ้งใจ
       “ขอบน้ำใจนัก ขอบน้ำใจเหลือเกินจ้ะ”
       อำพันหันไปพูดกับขัน
       “พ่อขัน ท่านอาขุนรามจะไปตามหมอมารักษาแล้ว ลูกจะหายแล้วหล่ะ”
       ขันยิ้มรับอย่างอ่อนแรงเคลื่อนไหวตัวเองไม่ได้ดีใจสุดๆที่ตนจะได้หาหมอ

       อีกคราหนึ่ง ขันกำลังฝึกซ้อมดาบสองมือกับทหารของขุนรามเดชะอยู่ โดยที่ขุนรามนั่งมองอยู่บนแคร่ด้วยความพอใจ ขันฝีมือเหนือกว่า ไม่นานนักก็เอาชนะได้อย่างง่ายดาย ขุนรามเดชะตบเข่าฉาดพลางหัวเราะชอบใจ
       “บ๋า พ่อขัน ไม่เสียทีเป็นเชื้อแถวทหารกล้าอโยธยา”
       ขันเดินยิ้มเข้ามาคุกเข่าไหว้ขุนรามเดชะ
       “ขอบพระคุณขอรับท่านอา ข้าพระเจ้ารักในดาบสองมือ ฝึกปรือมาหลายปี หวังจะได้เป็นทหารฉลองคุณบ้านเมือง เสียแต่อโยธยาเป็นเมืองขึ้นแก่หงสา ไม่อาจทำความดีความชอบได้เต็มฝีมือ”
       ขุนรามเดชะยิ้มแย้ม
       “คนหนุ่มก็ใจร้อนเช่นนี้ การภายหน้าอย่าเพิ่งคิดเลย แต่หากพ่อขันอยากเป็นทหาร อาก็จะช่วย”
       “จริงหรือขอรับ”
       “จริงซี แต่ด้วยฝีมือแลศักดิ์ของพ่อขันหาควรเป็นทหารเลวไม่ อย่างน้อยก็ควรเริ่มที่หัวหมู่เสียก่อน”
       “ขอบพระคุณขอรับท่านอา”
       ขันดีอกดีใจที่จะได้เป็นทหาร แถมเริ่มที่หัวหมู่อีกต่างหาก

       ในขณะที่ขันยิ่งนึกถึงความดีของขุนรามเดชะก็ยิ่งลังเลสุดๆแต่พุฒกลับยุแหย่ขันต่อ
       “การจวนตัวแล้ว หมื่นชาญเคยบอกว่าเชื่อปัญญาฉันไม่ใช่รึ เช่นนั้นก็ทำตามที่ฉันบอกเถิด”
       “ไม่ใช่ฉันไม่เชื่อ แต่ถ้าจะให้ทิ้งท่านอาจริง ฉันก็ใจหายนัก ท่านอาก็มีอายุแล้วจะทิ้งให้สิ้นแรงสิ้นกำลังเป็นเหยื่ออ้ายข้าศึก ฉันก็เวทนาเหลือ”
       “ถ้ากระนั้น ท่านก็ตระหนักไว้ ให้อ้ายเสมามันเย้ยหยันท่านเล่นเมื่อภายหลังเถิด เพราะหลังจากนี้ ท่านคงเสียแม่หญิงเรไรให้มันเป็นแน่”
       ขันขบกรามแน่นหน้าตาบึ้งตึงเหี้ยมเกรียมขึ้นมาทันที เมื่อเจอพุฒจี้ใจดำไม้นี้เข้าไป

       ขุนรามเดชะและพันอินกับเหล่าทหารกำลังต่อสู้กับทหารพม่าอย่างดุเดือด แต่กำลังของพวกขุนรามเดชะด้อยกว่าจนย่ำแย่ลงไปทุกที ขุนรามเดชะถูกพม่าฟันถากหัวไหล่ไป ขณะกำลังจะถูกซ้ำ พันอินก็เข้ามาช่วยฆ่าทหารพม่าคนนั้นไปได้ก่อน พันอินเข้าไปพยุงขุนรามเดชะให้ลุกขึ้น แต่ก็ไม่วายร้อนใจสุดๆ
       “เหตุใดยังไม่มีทัพมาช่วยเกิดกระไรขึ้นกันแน่”
       ขุนรามเดชะเริ่มเกิดอาการท้อแท้สิ้นหวังแล้วบอก
       “วาสนาเราคงสิ้นแต่เพียงนี้แล้ว เอาเถิด ตายเป็นตาย”
       ขุนรามเดชะหยิบดาบขึ้นมากะสู้แค่ตาย แต่ทันใดนั้น ขันและพุฒก็คุมทหารบุกเข้าโจมตีมาช่วยเหลือขุนรามเดชะ ขันตะโกนลั่น
       “ท่านอา ข้าพระเจ้ามาช่วยแล้ว จงถอยเถิดข้าพระเจ้าจักกันไว้ให้”
       ขันควงดาบคู่มือบุกตะลุยเข้าไปช่วยขุนรามเดชะ ขุนรามเดชะกับพันอินเห็นขันยกทัพมาช่วยก็มีกำลังใจ มีแรงบุกลุยคู่ต่อสู้ขึ้นมาอีก พุฒมองขันที่ไปช่วยขุนรามด้วยความโมโหหงุดหงิด
       “โง่เง่านัก เมื่อใดกูจะได้แม่หญิงดวงแขมาครองกันเล่า” พุฒถอนใจพรืด
       พุฒชักกระบี่คู่มือ ออกมาไล่ฟาดฟันเหล่าทหารพม่าด้วยความโกรธเคือง

       บริเวณทุ่งกว้าง ทหารไทยกำลังหนีตายโดยมีทหารพม่าไล่ตามมา ทหารที่หนีไม่ทันก็ต้องหันกลับไปต่อสู้ สู้พลางถอยพลางอย่างทุลักทุเล แม่ทัพพม่าขี่ม้าตามมา ไล่ฆ่าทหารไทยอย่างสนุกมือ ทหารไทยสู้ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย แม่ทัพพม่าตะโกนลั่น
       “ฆ่าพวกมันให้หมด อย่าให้พวกมันรอดกลับไปอโยธยาแม้แต่คนเดียว”
       ขาดคำ...สมเด็จพระนเรศวรและพระเอกาทศรถก็ทรงช้างออกมา พร้อมแม่ทัพนายกองและทหารมากมาย โดยมีเสมาเป็นจตุรงคบาท ในขณะที่สินและสมบุญเป็นทหารตามเสด็จออกศึกด้วยเช่นกัน แม่ทัพพม่าเห็นทัพใหญ่ของกรุงศรีอยุธยาบุกมาโดยไม่คาดหมายก็ตกใจ แถมสมเด็จพระนเรศวรยังมาด้วยพระองค์เองอีก ก็ยิ่งประหวั่นหวาดกลัว เสมาตะโกนลั่น
       “สมเด็จองค์พระนเรศ พ่ออยู่หัวแห่งอโยธยาเสด็จแล้ว ทหารกล้าทั้งหลาย จงอย่าอาลัยแก่ชีวิต ร่วมกันขับไล่อ้ายข้าศึกไปให้พ้นแดนอโยธยาเถิด”
       ทหารไทยโห่ร้องดังลั่นกำลังใจฮึกเหิม ก่อนจะกรูกันเข้าต่อสู้กับทหารพม่าอย่างดุเดือด ช้างทรงของสมเด็จพระนเรศวร และ สมเด็จพระเอกาทศรถก็เคลื่อนเข้าโจมตีใส่ทัพข้าศึกพร้อมกันทันที

       หมายเหตุ จตุรงคบาทจะมีสี่คน คอยป้องกันเท้าทั้งสี่ข้างของช้างทรง จตุรงคบาทของสมเด็จพระนเรศวรคนละชุดกับสมเด็จพระเอกาทศรถ

       บริเวณทุ่งกว้างใกล้บ้านหนองสาหร่าย พระมหาอุปราชาประทับอยู่บนช้างทรงโดยมีมางจาปะโรพระพี่เลี้ยงนั่งอยู่บนช้างทรงอีกตัวห้อมล้อมด้วยแม่ทัพนายกองและทหารพม่ามากมาย
       “สมเป็นองค์พระนเรศแล้ว ทัพหน้าถูกตีแตกพ่ายแทนที่จักให้ทัพหลวงตั้งรับ กลับวางกลล่อให้เราตามแล้วยกทัพหลวงตีสวนขึ้นมา”
       มางจาปะโรถวายบังคม
       “องค์พระนเรศทรงวางกลเช่นนี้ คงตั้งพระทัยจะรบกลางแปลงแตกหักกับเราเป็นแน่ ทัพหงสามีไพร่พลมากกว่าทัพอโยธยาถึงสองเท่าครึ่งจะต้องกลัวอันใด ยกทัพหนุนเข้าไปเพื่อตีให้แตกพ่ายเถิดพระพุทธเจ้าข้า”
       พระมหาอุปราชาหันไปสั่งพวกแท่ทัพ
       “เจ้ากล่าวถูกแล้ว จงยกทัพหนุนเข้าไปอีก ศึกนี้ใกล้จะชี้ชะตาแล้วอย่าได้ถอยเป็นอันขาด”

       สมเด็จพระนเรศวรทรงยกทัพเข้าตีกองทัพของหงสาวดีจนเกิดการตะลุมบอนกันขึ้น ทำให้เกิดฝุ่นตลบมืดคลุมไปทั่วบริเวณ จนต่างฝ่ายต่างไม่สามารถมองเห็นกันได้ถนัด ประกอบกับช้างทรงของสมเด็จพระนเรศวรและสมเด็จพระเอกาทศรถเกิดตกมันขึ้นมา จนวิ่งตะลุยเข้าไปในกองทัพข้าศึก โดยมีเพียงทหารตามเสด็จเพียงหยิบมือเดียวท่านั้น

       ลมพัดแรงจนฝุ่นตลบไปทั่ว แม้แต่จะมองไปด้านหน้าไม่เกินสิบก้าวยังมองเห็นไม่ถนัด พระมหาอุปราชาทรงประทับอยู่บนหลังช้างใต้ต้นไม้ใหญ่แวดล้อมไปด้วยทหารจำนวนมาก โดยมีมางจาปะโรพระพี่เลี้ยงนั่งอยู่บนหลังช้างศึกใกล้ๆพระองค์
       พอลมสงบ ฝุ่นค่อยๆจางลงก็เห็นเงาลางๆของช้างศึกตัวใหญ่สองตัว
       พอฝุ่นสลายไปหมด สมเด็จพระนเรศวรกับสมเด็จพระเอกาทศรถทรงประทับอยู่บนช้างทรง โดยมีเสมา สิน สมบุญ และทหารไทยอีกจำนวนเล็กน้อยตามเสด็จมาด้วย โดยทั้งหมดอยู่ในวงล้อมของกองทัพพม่าจำนวนมหาศาล
       “เสียท่าแล้วพี่เสมา ช้างของพระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์ตกมัน ตะลุยหลงเข้ามาในกลางทัพหงสาวดีแล้ว” สมบุญพูดขึ้นอย่างตกใจ
       สินหันไปมองรอบๆเห็นทหารไทยมีไม่ถึงร้อยคน แต่ข้าศึกมีเป็นแสนก็ชักถอดใจเหมือนกัน “ไม่เห็นทัพอื่นเลยพี่เสมา หามีผู้ใดมาช่วยเราได้แน่” สินว่า
       เสมาตัดสินใจ ตายเป็นตาย
       “เมื่อเป็นทหารแล้วจักเกรงอันใดกับความตาย พวกเอ็งจงปกป้องพระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองให้ดีเถิด”
       เสมาปักดาบลงกับพื้นแล้วคุกเข่าลงถวายบังคมต่อหน้าช้างสมเด็จพระนเรศวร
       สิน สมบุญและเหล่าทหารตามเสด็จทุกคน ต่างวางอาวุธแล้วคุกเข่าถวายบังคมพร้อมกัน
       เสมาพูดจากหัวใจด้วยตาแดงกล่ำที่เทิดทูนในสองพระองค์ยิ่งชีพ
       “เป็นบุญของปวงข้าพระพุทธเจ้านักที่ได้ออกรบสนองคุณพ่ออยู่หัว ข้าพระพุทธเจ้าทุกคน ขอสู้ตายถวายชีวิตเพื่อปกป้องพระองค์ทั้งสอง โดยมิหวั่นเกรงต่อความตาย จนกว่าแผ่นดินจะกลบหน้าพระพุทธเจ้าข้า” เสมาก้มลงกราบแนบกับพื้นพร้อมหยาดน้ำตา
       สิน สมบุญและทหารตามเสด็จต่างก้มกราบน้ำตาซึม
       สมเด็จพระนเรศวรและสมเด็จพระเอกาทศรถต่างมองทหารทุกคนด้วยสายตาชื่นชม ไม่เสียทีที่เป็นทหารกล้าแห่งกรุงศรีอยุธยา พระเอกาทศรถทรงผินพระพักตร์ไปยังสมเด็จพระนเรศวรแล้วตรัสว่า
       “การกลับกลายเป็นเช่นนี้เหนือความคาดหมายนัก สุดแล้วแต่สมเด็จพี่จะตัดสินพระทัยเถิดพระพุทธเจ้าข้า”
       สมเด็จพระนเรศวรมีพระพักตร์เคร่งเครียด เพราะกำลังฝ่ายทหารไทยมีไม่ถึงร้อย ขณะที่ฝ่ายศัตรูมีกำลังนับแสน แค่รุมกรูเข้ามา ฝ่ายไทยก็ต้องแพ้แน่ๆมิต้องสงสัย
       พระนเรศวรทอดพระเนตรไปเห็นพระมหาอุปราชาทรงช้างอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่จึงตัดสินใจเสี่ยงครั้งสุดท้าย สมเด็จพระนเรศวรพระสุรเสียงกึกก้องว่า
       “ พระเจ้าพี่เราจะยืนอยู่ไยในไม้ร่มเล่า เชิญออกมาทำยุทธหัตถีด้วยกัน ให้เป็นเกียรติยศไว้ในแผ่นดินเถิด เพราะภายหน้าสืบไปจะมิมีกษัตริย์ที่จะได้กระทำยุทธหัตถีแล้วเช่นเราอีก”
       ฝั่งพระมหาอุปราชา แม่ทัพพม่าถวายบังคมแล้วกราบบังคมทูลพระมหาอุปราชาว่า
       “องค์พระนเรศตรัสเช่นนี้ ด้วยการจวนตัวแล้ว พระองค์อย่าทรงรับปากเป็นอันขาด ทหารเรามีเรือนแสน แต่องค์พระนเรศมีเพียงพระราชอนุชาแลทหารตามเสด็จเพียงน้อยนิด เราเพียงแต่หยิบดินขึ้นมาคนละกำก็ถมทับศัตรูจนตายแล้ว หาควรต้องเสี่ยงภัยไม่พระพุทธเจ้าข้า”
       พระมหาอุปราชาถอนพระทัยแล้วตรัสว่า
       “หากข้าเป็นเจ้า ข้าก็คงทำเช่นนั้น แต่ข้าเป็นถึงพระราชนัดดาแห่งพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองผู้มีเดชานุภาพปราบไปทั่วทศทิศ เมื่อพระเจ้าแผ่นดินอโยธยาทรงตรัสท้าทายเช่นนี้ หากข้าไม่รับคำท้าจักมีหน้าเป็นพระมหาอุปราชาแห่งหงสาวดีอยู่อีกรึ ... มางจาปะโร เจ้าไปกับข้า”
       พระมหาอุปราชาและมางจาปะโรก็ไสช้างเข้าชนกับกับพระนเรศวร และ พระเอกาทศรถทันที ช้างทั้งสี่ตัวต่างต่อสู้เข้าชนกันอย่างดุเดือด สมเด็จพระนเรศวรกับสมเด็จพระเอกาทศรถ ใช้พระแสงของ้าว ต่อสู้กับพระมหาอุปราชาและมางจาปะโร ผลัดกันรุกผลัดกันรับ
       เสมา สิน สมบุญและเหล่าทหารไทยต่างดูการยุทธหัตถีด้วยใจเต้นระทึก ทหารพม่าตะโกนเสียงดังกึกก้องเพื่อข่มขวัญพระนเรศวรตลอดเวลา
       สมเด็จพระนเรศวรกับพระมหาอุปราชาสู้กันอย่างสูสีรุกรับกันอย่างดุเดือด ต่างฝ่ายต่างฟันพระแสงของ้าวเข้าใส่กันชนิดแลกกันไปเลยเพื่อให้รู้ดีรู้ชั่ว
       พระแสงของ้าวของพระมหาอุปราชาฟันใส่พระเศียรของสมเด็จพระนเรศวร ทรงเบี่ยงหลบได้หวุดหวิดชนิดเส้นยาแดงผ่าแปด แต่พระมาลาที่สวมอยู่ก็ถูกฟันขาดแหว่งไป
       ขณะที่พระแสงของ้าวขอสมเด็จพระนเรศวรฟันใส่พระอังสาเบื้องขวา (หัวไหล่ขวา) ของพระมหาอุปราชาจนถึงปัจฉิมอุระประเทศ(กลางหน้าอก) สวรรคตลงซบกับคอช้างทันที
       เสมา สิน สมบุญกับเหล่าทหารต่างระเบิดเสียงโห่ร้องดังกึกก้องที่สมเด็จพระนเรศวรทำยุทธหัตถีได้ชัย ในขณะที่ทหารพม่าต่างตกใจเสียขวัญ ที่พระมหาอุปราชาสวรรคตลงต่อหน้าต่อตา
       ทางฝ่ายพระเอกาทศรถได้ทีใช้พระแสงของ้าวฟันมางจาปะโรตายคาคอช้างเช่นกัน
       แม่ทัพพม่าตะโกนลั่นสุดเสียง
       “บุกเข้าไป อย่าให้องค์พระนเรศหนีไปได้”
       กองทัพพม่าบุกเข้าใส่พระนเรศวรทันที เสมาตะโกนลั่น
       “ถวายพระกตัญญู ปกป้องพระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์”

เสมา สิน สมบุญ และเหล่าทหารต่างดาหน้าเข้าสู้เพื่อกันช้างของพระนเรศวร และ พระเอกาทศรถให้หนีห่างออกมา ทั้งสองฝ่ายต่างสู้กันอย่างดุเดือด แม้ฝ่ายไทยจะมีทหารน้อยกว่าแต่ขวัญกำลังใจเต็มเปี่ยมสู้โดยไม่กลัวตายแม้แต่น้อย



Create Date : 22 พฤษภาคม 2555
Last Update : 22 พฤษภาคม 2555 12:10:11 น. 0 comments
Counter : 1458 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

atitaya_t
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




สวัสดีค่ะ ขอร่วม gang ด้วยคนค่ะ
Friends' blogs
[Add atitaya_t's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.