เก็บความทรงจำ..(^_^)..ความสนใจ โลกส่วนตัว ที่เราสร้างเอง
Group Blog
 
 
พฤษภาคม 2555
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
22 พฤษภาคม 2555
 
All Blogs
 
ขุนศึก ตอนที่ 2-3

ขุนศึก ตอนที่ ๒ (ต่อ)


ขันสวมใส่เครื่องแบบกำลังคุยโม้ให้ดวงแข และอำพันฟังเสียยกใหญ่

       “ศึกครานี้ ฉันตัดหัวนายกองข้าศึกเสียหลายคน ยังไม่รวมพวกทหารเลวอีกได้ผ้าโพกหัวของพวกมันมายืนยัน จึงได้ความชอบเลื่อนขึ้นเป็นหัวพัน มีศักดินาถึงสองร้อยไร่” ขันพูดพลางกระหยิ่มยิ้มย่อง
       “เก่งจริงพ่อขัน หากพ่อของลูกยังอยู่ ต้องดีใจนักหนาที่ลูกมีความชอบถึงเพียงนี้”
       ดวงแขยิ้มแย้มดีใจกับพี่ชาย
       “นั่นซีพี่ขัน พี่ออกศึกไม่กี่คราก็ได้เป็นหัวพันมีศักดินา วันหน้าต้องกินตำแหน่งถึงออกหลวงไม่ต่างจากพ่อเป็นแน่”
       “พี่หมายสูงกว่านั้นเสียอีกดวงแขเอ๋ย สักวันพี่จะเป็นพระยา นำศักดิ์แลความมั่งมีมาสู่เจ้ากับแม่ให้จงได้” ขันพูดพลางหัวเราะชอบใจ
       อำพัน และดวงแข ยิ้มแย้มดีใจกับขันด้วยขันเข้าไปหาแม่แล้วเริ่มพูดจาประจบ
       “แม่จ๋า ลูกได้เป็นที่พันฤทธิ์รณรบแล้ว กาลภายหน้าย่อมต้องได้ดียิ่งขึ้น เรื่องที่ลูกเคยขอแม่ไว้ให้แม่ไปสู่ขอแม่หญิงเรไรให้ลูก แม่คิดเห็นว่าเยี่ยงไรจ๊ะ”
       อำพันและดวงแขหน้าเจื่อนไปทันทีและดูอึกอักอยู่ทันทีไม่รู้จะตอบขันยังไง เพราะขันเป็นฝ่ายก่อเรื่องไว้ ขันจับอาการได้ จึงมีสีหน้าติดใจสงสัยมาก

       ในเวลาต่อมาที่ศาลาริมน้ำ ขันใช้มือทุบเข้าที่เสาของศาลาด้วยความโมโห
       “ชายมีเมียหลายคน หาใช่เรื่องพิกลกระไร จะถือเป็นข้อรังเกียจเดียดฉันท์ได้เยี่ยงไร”
       “หากพี่ตกแต่งแม่เรไรแล้วค่อยมีเมียอื่นก็หาพิกลไม่ แต่นี่พี่กลับเกี้ยวแม่จำเรียงคู่กันไปแล้วจะให้แม่เพื่อนน้องสู้หน้าใครได้”
       “ทำไมรึ พี่เกี้ยวนังจำเรียงมันผิดในที่ใด แม่ดวงแขลองบอกพี่มาดูทีรึ”
       “แม้จำเรียงจะได้ชื่อว่าเป็นข้าหลวง แต่แท้จริงก็มีศักดิ์เสมอด้วยบ่าวไพร่รับใช้พวกน้องเพียงนั้น แล้วพี่ขันจะให้แม่เรไรได้ชื่อว่าลดตัวลงไปแข่งกับบ่าวไพร่กระนั้นรึ เป็นน้องน้องก็ไม่ทำ”
       “ถึงกระนั้นแม่หญิงเรไรก็ต้องเป็นเมียเอก พี่จะยกหญิงอื่นใดขึ้นมาเทียมหน้าเทียมตาได้เล่า เหตุใดไม่มองข้อนี้บ้าง”
       “ยกเป็นเมียเอก แต่มาทีหลังเมียรองน่ะรึ พี่ขันเคยเห็นธรรมเนียมเช่นนี้ที่เรือนใดบ้างเล่า”
       ขันหน้าเสียแม้เถียงไม่ออกแต่ไม่ยอมแพ้
       “แม่ดวงแขไม่ต้องช่วยแก้ต่างแทนเพื่อนดอก พี่จะบอกให้ว่า แม่หญิงเรไรยกเรื่องนังจำเรียงมาเป็นข้ออ้างเท่านั้น แท้จริง คือแม่หญิงมีใจใฝ่อ้ายช่างเหล็กต่างหาก เสียดายนักที่กลของพี่ไม่เป็นผล ไม่เช่นนั้น อ้ายเสมาเป็นผีเฝ้าทุ่งบางเกี่ยวหญ้าไปเสียแล้ว”
       ดวงแขตกใจมาก
       “นี่พี่ขันคิดร้ายเสมาในศึกครานี้รึ บุญนักหนาที่เสมาไม่ตาย” ดวงแขพูดแล้วก็ถอนใจ
       “นี่แม่ดวงแขก็ยืนข้างอ้ายช่างเหล็กมันอีกคนรึ”
       ดวงแขเริ่มหน้าเสียเพราะมีใจให้เสมาแต่ไม่กล้าบอกใครจึงรีบแก้ตัว
       “มิใช่ดอก น้องห่วงพี่ขันต่างหาก หากความนี้รู้ถึงผู้อื่น พี่ขันมิต้องโทษถึงตายรึ”
       ทาสหญิงของดวงแขพายเรือมาจอดเทียบที่บันไดของศาลา ดวงแขได้โอกาสจึงรีบพูดตัดบท
       “น้องต้องไปเลือกผ้าผ่อนท่อนสไบแล้ว เรื่องแม่เรไรเอาไว้คุยกันวันหลังเถิดจ้ะ”
       ดวงแขรีบเลี่ยงลงเรือนำไป ขันขบกรามแน่นด้วยความเจ็บใจและแค้นเสมา

       บรรยากาศตลาดยามบ่าย มีคนเดินไม่มากนัก วัยกลางคนนางหนึ่งซึ่งเป็นทาสในเรือนของขุนรามเดชะ กำลังเดินตามหาเรไรอย่างร้อนใจ ทาสนางนั้นเดินเรื่อยมาทางท้ายตลาดจึงเห็นว่า เสมาและเรไรแอบมาคุยกันในมุมปลอดคนที่ท้ายตลาดอยู่ นางรีบหลบที่มุมหนึ่งแอบมองอยู่
       “ผ้าโพกหัวของพวกพม่ารามัญเป็นตัวบอกตำแหน่งแลชั้นยศ หากผู้ใดได้ผ้าโพกหัวไปยืนยันก็เหมือนได้หัวข้าศึกไป พ่อยังบ่นเสียดายนักที่เสมาไม่ได้เก็บผ้าไปแม้แต่ผืนเดียว ต่างกับพ่อขันพันฤทธิ์ที่ได้ผ้าโพกหัวไปมากโข ล้วนเป็นชั้นนายหมู่นายกองทั้งสิ้น จึงได้ตำแหน่งหัวพันเป็นบำเหน็จศึกครานี้” เรไรบอก
       “มิน่าเล่า อ้ายขันจึงได้ความชอบมากกว่า ช่างโง่เขลานักอ้ายเสมาเอ๋ย ธรรมเนียมเพียงนี้ยังไม่รู้ ยังคิดจะแสวงหาความชอบให้คนเค้าเยาะเอา” เสมาพูดด้วยความเซ็ง
       เรไรยิ้มบางเพื่อปลอบใจ
       “อย่าโทษว่าตัวเองเลยผิดครานี้ถือเป็นค่าครูเถิด จะว่าไปออกศึกคราแรกได้เลื่อนเป็นนายหมู่ ก็ถือว่าดีหนักหนาแล้ว”
       “ดีแล้ว แต่หาทันใจเสมาไม่”
       “ทำไมรึ” เรไรถามด้วยความสงสัย
       เสมายิ้มกรุ้มกริ่มแล้วบอก
       “เพราะเสมาอยากเป็นหัวพันหัวหมื่นเพื่อคู่ควรด้วยแม่หญิงโดยเร็ว จะได้มีวาสนาเห็นหน้าแม่หญิงทุกเมื่อเชื่อวัน”
       เสมาส่งสายตาหวานเชื่อม เรไรหลบสายตาด้วยความเขินอาย
       “แม่หญิงรู้หรือไม่ ไปศึกครานี้เสมาทุกข์นักที่ไม่ได้เห็นหน้าแม่หญิง”
       เสมาหยิบถุงผ้าที่ห้อยคอออกมาแล้วพูดต่อไป
       “มีเพียงหมากคำกับดอกจำปีที่แม่หญิงให้ไว้ดูต่างหน้าให้คลายคิดถึงเพียงนั้นW
       เรไรดูถุงผ้าอย่างปลาบปลื้มซาบซึ้งใจที่สุด เสมาจับตามองเรไรด้วยสายตากรุ้มกริ่มตลอดเวลา ยิ่งเรไรอายก็ยิ่งดูสวยมากขึ้นไปอีก ทาสนางนั้นจับตามองทั้งคู่อย่างเก็บข้อมูลทุกอริยาบท

       ในเวลาต่อมา เสมาเดินมาที่ท่าเรือ เพื่อจะข้ามฟากกลับ บริเวณนั้นมีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งมารอเรืออยู่ก่อนแล้ว ทาสของขุนรามเดชะยังคงสะกดรอยตามเสมามาห่างๆ ขณะนั้นเองทาสของดวงแขพายเรือพาดวงแขมาถึงท่าน้ำพอดี เสมาเห็นดวงแขก็ยิ้มทักทาย
       “แม่หญิงดวงแข”
       ดวงแขยิ้มดีใจทักทายตอบ
       “หัวหมู่นี่เอง สบายดีรึ”
       “สบายดีขอรับ ขอบน้ำใจแม่หญิงนัก นี่แม่หญิงรู้เรื่องที่เสมาได้เลื่อนยศแล้วรึ”
       “ฟังมาจากพี่ขันแล้ว ฉันดีใจกับนายหมู่ด้วย”
       ดวงแขจะขึ้นจากเรือ แต่เรือโคลง ดวงแขเลยเซจะล้มแต่เสมารีบเข้าไปจับแขนไว้ แล้วดึงเข้ามากอดไม่ให้ดวงแขพลัดตกน้ำ ดวงแขในอ้อมกอดเสมาก็อึ้งไป ทั้งอาย ทั้งมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก ทาสในเรือนของรามเดชะเห็นเต็มๆ รีบมองด้วยความสนใจ เก็บรายละเอียดทุกเม็ดอย่างเคย เสมาเห็นดวงแขปลอดภัยแล้ว ก็ปล่อยตัวออก แต่ดวงแขก็เขินอายไม่กล้าสบตา
       “แม่หญิงเป็นกระไรหรือไม่”
       ดวงแขอายจนไม่กล้าสบตาเสมา ได้แต่บอกว่า
       “ไม่ดอกจ้ะ”
       เสมาไม่คิดอะไรเข้าไปช่วยพวกทาสของดวงแขผูกเรือ ดวงแขแอบเหล่มองเสมา นับวันก็ยิ่งพึงพอใจในตัวเสมามากขึ้นทุกที

       เย็นวันเดียวกัน ภายในเรือนของขุนรามเดชะ ลำภูถึงกับตกใจที่ได้รับรายงานอย่างละเอียดจากทาสที่ส่งไปติดตามเรื่องของเสมากับเรไร โดยมีขุนรามเดชะกำลังนั่งเคี้ยวหมากอยู่ใกล้ๆ
       “กลางวันแสกๆ ยังกล้าทำบัดสีเพียงนั้นเชียวรึ”
       “เจ้าค่ะ บ่าวเห็นมากับตา”
       “เอ็งไปได้แล้ว แล้วจำไว้อย่าให้เรื่องนี้หลุดจากปากเอ็ง เป็นอันขาด” ลำภูพูดพลางส่งแววตาดุปรามทาสนางนั้น
       “เจ้าค่ะ บ่าวจะไม่พูดกับใครเลยเจ้าค่ะ”
       หลังจากทาสรีบล่าถอยออกไปแล้ว ขุนรามเดชะก็กระโถนบ้วนน้ำหมากแล้วพูดขึ้น
       “อ้ายเสมามันจะรักชอบกับแม่ดวงแขหรือไม่ก็หาใช่โกงการกระไรของเราไม่ เหตุใดแม่ลำภูต้องเดือดร้อนใจไปด้วยเล่า”
       “พูดไปท่านขุนก็หาเข้าใจไม่ อ้ายเสมามันตระกูลต่ำคิดเผยอเยี่ยงนี้ มีแต่แม่ดวงแขจะมัวหมองไปกับมัน”
       “ตระกูลมันต่ำจริงแต่ฝีมือดาบมันเป็นเลิศ ยากจะหาใครเปรียบกับมัน ปัญญาแลน้ำใจมันก็ดีอยู่ หากอ้ายเสมาได้สังกัดมูลนายที่ดี ไม่แน่ว่า สิบ ยี่สิบปีข้างหน้า อาจจะได้กินตำแหน่งถึงขุนเชียวนา”
       ลำภูได้ยินคำพูดของขุนรามเดชะก็ยิ่งหงุดหงิดหนักชึ้น
       “นี่ท่านขุนยืนข้างมันรึ งั้นถามหน่อยเถิด หากมิใช่แม่ดวงแขแต่เป็นแม่เรไรลูกเรา ท่านขุนยังจะเห็นดีด้วยหรือไม่”
       ขุนรามเดชะตกใจมากที่รู้เรื่องเรไรกับเสมา

       ภายในบ้านรามเดชะตอนหัวค่ำ ทนายของขุนรามเดชะซึ่งทำหน้าที่เหมือนเลขาฯแทนเจ้านายเปิดประตูเข้าไปในห้องทำงานแล้วเข้าไปนั่งคุกเข่าคุยกับขุนรามเดชะ ทนายพนมมือแล้วว่า
       “ท่านขุนเรียกกระผมมามีกระไรจะใช้สอยหรือขอรับ”
       ขุนรามเดชะสีหน้าเครียดพลางถาม
       “รายนามทหารที่จะขึ้นสังกัดมูลนาย เอ็งส่งให้ท่านเจ้าคุณผู้ใหญ่แล้วหรือไม่”
       “ยังขอรับ กระผมกะว่าจะส่งพรึ่งนี้ขอรับ”
       “ดีแล้ว เอ็งจงคัดชื่ออ้ายเสมาออก ไม่ต้องส่งมันขึ้นสังกัดมูลนาย”
       ทนายตกใจ
       “หากไม่มีมูลนายสังกัด อ้ายเสมาก็จักมีแต่บรรดาศักดิ์ แต่หามีศักดินาไม่ เป็นเพียงทหารอาสาได้เบี้ยหวัดแต่ยามศึกสงครามนะขอรับ”
       “ถูกแล้ว กับอ้ายคนอกตัญญู กินบนเรือนขี้รดบนหลังคาเช่นมัน ควรแก่การใช้ออกศึกจนตาย แต่หาควรให้สินทรัพย์แลความมั่งมีแก่มันไม่”

       เช้าวันต่อมา เรไรและดวงแขเพิ่งใส่บาตรเสร็จยามเช้า ต่างถือถาดกับขันตักข้าวเดินคุยกันมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส เสมายืนดักรออยู่ที่ประตูท้ายวัง พอเห็นเรไรก็รีบเข้ามาหาทันที
       “แม่หญิง”
       เรไรเหล่มองดวงแขด้วยความเขินก่อนจะเข้าไปหาเสมา
       “มาทำกระไรที่นี่”
       ดวงแข เบือนหน้าไปทางอื่นด้วยความไม่พอใจแอบหึงหวงเสมากับเรไร แต่ไม่กล้าแสดงออกมาก
       “ฉันทราบมาว่า แม่หญิงมักมาตักบาตรที่ท้ายวังทุกเช้าเลยมาดักรอ หวังจะได้เห็นแม่หญิงแม้เพียงสักอึดใจก็ยังดี”
       “ก็ได้เห็นแล้วนี่ เหตุใดยังไม่ไป”
       “ขอให้เสมาได้อยู่...” เสมาพูดพลางยิ้มกรุ้มกริ่ม
       ทันใดนั้น ทั้งคู่ก็ได้ยินเสียงขันที่ตวาดขึ้นด้วยความแค้นดังขึ้น
       “อ้ายเสมา”
       ทั้งเสมาและเรไรหันมองตามเสียง เห็นขันยืนถือดาบและชักดาบออกด้วยความโกรธ
       “วันนี้ไม่มึงก็กู ต้องตายกันไปข้าง”
       ขันฟันดาบใส่เสมาทันที เสมามือเปล่าเลยรีบกระโดดหลบ ท่ามกลางเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจของเรไรและดวงแข
       “นี่หรือวะพันฤทธิ์รณรบ ฟันคนมือเปล่าไร้อาวุธ เอาเถิดอ้ายขัน แม้นกูจะมือเปล่า แต่หากกูหนีสักก้าว อย่านับถือกูว่าเป็นชายเลย” เสมาว่า
       เสมาตั้งการ์ดมวยจะสู้
       “มึง”
       ขันและเสมาปะฝีมือกันได้เพียงนิด ขณะขันจะรุกต่อแต่ดวงแขรีบเข้าไปจับแขนขันไว้ ไม่ให้ทำร้ายเสมาด้วยความห่วงทั้งขันและเสมา
       “อย่านะพี่ขัน นี่มันเรื่องกระไรกัน เหตุใดต้องฆ่าแกงกันด้วย”
       “ปล่อยพี่ แม่ดวงแข อ้ายเสมามันหยามพี่ พี่จะฆ่ามันเสีย”
       “กูรึหยามมึง กูไปหยามมึงตั้งแต่เมื่อใด”
       “ก็เมื่อบ่ายวาน ที่ท่าน้ำมึงแตะเนื้อต้องตัวน้องกูต่อหน้าผู้คน”
       เรไรชะงักไปด้วยความตกใจปนผิดหวัง
       “มึงจงใจใช่หรือไม่อ้ายเสมา เหตุเพราะมึงแค้นที่กูเกี้ยวนังจำเรียงน้องมึง มึงเลยจะหยามกูกลับ”
       เรไรหน้าบึ้งตึงมองเสมาด้วยความหึงหวง เสมาเห็นสายตาเรไรก็หน้าเสีย พูดอะไรไม่ถูก ในขณะที่ ดวงแขก็หน้าเสียไปเหมือนกัน ไม่คิดว่าเรื่องเมื่อวานจะเป็นเรื่องขึ้นมาได้ ดวงแขร้อนใจสุดๆจึงรีบแก้ตัว
       “ผิดแล้วพี่ขัน ฉันกับเสมาไม่ได้ทำเช่นนั้น”
       “จะผิดได้อย่างไรกัน อ้ายพวกบ่าวไพร่มันโจษกันทั่วเรือน”
       “ถ้าพี่เชื่อคำบ่าวมากกว่าเชื่อน้องก็ตามใจเถิด แต่หากพี่กับเสมาต้องวิวาทกันเพราะฉัน ฉันจะไปฆ่าตัวตายประเดี๋ยวนี้”
       ดวงแขปล่อยขัน แล้วรีบเดินเลี่ยงไปทันที ขันร้องเรียกก่อนจะหันไปพูดกับเสมา
       “แม่ดวงแข...มึงกับกู จักต้องได้เห็นดีกัน”
       ขันรีบเก็บดาบแล้วตามดวงแขไปด้วยสีหน้าเครียดแค้น ชิงชัง
       “แม่หญิง ฉันไม่ได้...” เสมาพูดกับเรไร
       เรไรพูดสวนขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา
       “เมื่อบ่ายวานเพิ่งลาจากกัน ก็ไปแตะเนื้อต้องตัวหญิงอื่นแล้ว ช่างรวดเร็วดีแท้”
       เรไรเดินกลับเข้าวังไป เสมาหน้าเสีย ได้แต่มองตามไม่รู้จะอธิบายยังไง

       ขันโหมกระหน่ำฟันดาบใส่ลูกน้องอย่างเกรี้ยวกราดเพราะยังอยู่ในอาการโกรธจัดอยู่ ลูกน้องขันเอาแต่ตั้งรับ แต่ก็ทนแรงไม่ไหว ดาบหลุดกระเด็น ล้มกลิ้งล้มหงาย หลบดาบของขันกันจ้าล่ะหวั่นด้วยความหวาดกลัว ขันปาดาบทิ้งลงพื้นด้วยความหงุดหงิด
       “พี่ขันขอรับ” ลูกน้องขันพูดขึ้น ขันหันมาจ้องหน้าด้วยสายตาดุดัน
       “เอ่อ พี่พันฤทธิ์ ข้า...ข้าเห็นว่าหากพี่แค้นอ้ายเสมามัน เหตุใดเราไม่ล้างแค้นเล่าขอรับ แม้นสู้ฝีมือไม่ได้ แต่หากพวกเราดักทำร้ายมันแล กลุ้มรุม ย่อมปลิดชีพเสี้ยนหนามพี่ได้ไม่ยากเย็น”
       “นึกว่าข้าไม่คิดข้อนี้รึ แต่อ้ายเสมามันได้พระราชทานยศทหารแล้ว หากมันตายก็ต้องมีการไต่สวนทวนความ อ้ายเสมาไม่มีอริอื่นใดนอกจากข้า แล้วมีรึที่ข้าจะพ้นผิดได้”
       ลูกน้องอีกคนฉุกคิดขึ้นแล้วว่า
       “เยี่ยงนั้นพี่พันฤทธิ์ก็ท้าอ้ายเสมาสู้ซีขอรับ หากเป็นการท้าสู้กัน แม้นตายก็เอาผิดไม่ได้นะขอรับ”
       ขันโมโห ถีบลูกน้องกระเด็นไป
       “มึงเยาะกูรึ กูแพ้เชิงดาบมันมามึงก็เห็นอยู่ ยังจะให้กูไปท้ามันสู้อีกรึ”
       “มิได้ขอรับ ข้าไม่ได้เยาะพี่พันเลยขอรับ แต่ข้าเห็นว่าฝีมือเชิงดาบฝึกปรือกันได้ อ้ายเสมาเพียงแต่ได้กราบอาจารย์ดีเลยมีเชิงดาบเหนือกว่าพี่ แต่หากพี่ได้อาจารย์ดีบ้างต้องชนะมันได้แน่ขอรับ”
       ขันนิ่งคิดตามเห็นด้วยกับที่ลูกน้องพูดเหมือนกัน

       บรรยากาศภายในตลาดตอนสาย แผงขายเหล็กขายมีดของแต้ม เสมากำลังคัดเลือกเศษเหล็กที่จะไปตีหาเงินใช้อยู่ เสมาคัดด้วยสีหน้าเซ็งๆเพราะเพิ่งมีปัญหากับเรไรมา แต้มเดินถือถุงใส่เงินมาแล้วยื่นให้เสมา
       “ค่ามีดของเอ็ง รับไปเถิด”
       “ขอบพระคุณจ้ะลุง” เสมายกมือไหว้แล้วรับถุงใส่เงินมา
       “อุบ๋า มีนายหมู่มาไหว้ขอบพระคุณข้าเสียด้วย วาสนาอ้ายแต้มแท้”
       “ฉันจะเป็นนายหมู่หรือมียศศักดิ์สูงยิ่งขึ้นไป ฉันก็ยังเป็นอ้ายเสมาลูกพ่อมั่นช่างตีเหล็กเหมือนเดิมแหละจ้ะลุง”
       “ดีแล้วอ้ายเสมา คนดีจริงต้องไม่เป็นวัวลืมตีนเอ็งคิดได้เยี่ยงนี้ก็มีแต่จะจำเริญยิ่งขึ้นไป”
       เอื้อยแตงเดินถือกระจาดเปล่ากลับมาที่แผงแล้วหยิบถุงใส่เงินยื่นให้แต้ม
       “ขายหมดแล้วพ่อ ฉันเอาไปเพิ่มนะ”
       เอื้อยแตงหยิบมีด หัวจอบเสียมใส่กระจาดเพื่อเอาไปเร่ขายต่อโดยไม่สนใจเสมาแม้แต่น้อย
       “เอื้อยแตง มิได้ปะหน้าเสียหลายวัน สบายดีรึ”
       เสมายิ้มทักทาย เอื้อยแตงไม่ตอบทำสีหน้าเย็นชาแล้วเดินหอบกระจาดเลี่ยงไป เสมางงๆ จึงหันไปถามแต้ม
       “ลุงแต้มจ๊ะ เอื้อยแตงมันเคืองกระไรฉันรึ ไม่ยอมพูดกับฉันซักคำ”
       “ข้าไม่รู้ดอก นังนี่ยิ่งโตยิ่งพิกล ข้าไม่อยากยุ่งกับมัน”
       เสมามองตามเอื้อยแตงไปด้วยความกังวล ไม่รู้ว่าเอื้อยแตงโกรธตนเรื่องอะไร

       เสมาเดินตามมาหาเอื้อยแตงที่กำลังเร่ขายของอยู่ตามแผงขายของต่างๆ
       “เอื้อยแตง” เสมาร้องเรียก
       เอื้อยแตงไม่ยอมพูดด้วย หันไปขายของต่อ เสมาเข้ามาขวางหน้าเอื้อยแตง เอื้อยแตงก็หันไปทางอื่น เสมาก็ขวางหน้าอีก จนเอื้อยแตงรำคาญ
       “เกะกะจริงเชียว งานการไม่มีทำรึหัวหมู่”
       “มี แต่ข้าอยากรู้ว่าเอ็งเคืองข้าด้วยเรื่องใด”
       เอื้อยแตงตีหน้าตายพูดจาแดกดัน
       “ฉันจะไปกล้ามีเรื่องเคืองหัวหมู่ได้อย่างไรกันเล่า”
       “แล้วเหตุใดเอ็งไม่พูดกับข้า”
       “ฉันจะพูดหรือไม่ก็หาสำคัญไม่ เพราะฉันก็แค่นางเอื้อยแตงแม่ค้าขายเหล็ก หาใช่บุตรีขุนรามเดชะไม่ พี่จะทุกข์ร้อนไปไย”
       “นี่เอ็งรู้เรื่องแม่หญิงด้วยรึ”
       ขณะนั้นเอง สมบุญก็เดินถือกระจาดใส่มีด ใส่หัวจอบเสียมเข้ามาหาเอื้อยแตงด้วยสีหน้าเซ็งๆ
       “แม่เอื้อยแตง ฉันขายพร้าได้สองเล่มแล้ว ขอฉัน...”
       เสมานึกไม่ถึงที่เห็นสมบุญที่นี่
       “อ้ายสมบุญ เอ็งมาทำกระไรที่นี่”
       สมบุญอึกๆอักๆเพราะเป็นคนเอาเรื่องเสมามานินทากับเอื้อยแตง เอื้อยแตงเดินงอนๆเลี่ยงไป
       “เอ็งเองรึอ้ายสมบุญ เอ็งเอาเรื่องข้ากับแม่หญิงมาเล่าให้ เอื้อยแตงมันฟังใช่หรือไม่”
       สมบุญกลัวโดนด่ารีบยกมือไหว้
       “ฉันผิดไปแล้วจ้ะพี่เสมา ฉันเจอแม่เอื้อยแตงโดยบังเอิญ แม่เอื้อยถามฉันว่าเหตุใดพี่กลับจากศึกแล้วยังไม่มา ฉัน ก็เลย.....”
       “เอ็งก็เลยขายข้าใช่หรือไม่วะ ปากเอ็งนี่มันน่าเฉือนทิ้งนัก” เสมาพูดพลางหยิบมีดในกระจาดขึ้นมาขมขู่
       สมบุญรีบฉากหลบไปตั้งหลัก
       “อย่าพี่ อย่าทำข้าเลย ข้าผิดไปแล้ว”
       เสมาจะไล่เอาเรื่องสมบุญ แต่ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงเอื้อยแตงกรีดร้องดังขึ้น ทั้งเสมาและสมบุญตกใจ รีบวิ่งไปตามเสียงทันที

       ลูกน้องพุฒกำลังจับมือถือแขนลวนลามเอื้อยแตงอยู่ในร้านเหล้า โดยมีพุฒนั่งดื่มเหล้าแล้วหัวเราะชอบใจ
       “ปล่อยกู ปล่อยกูประเดี๋ยวนี้” เอื้อยแตงโวยวาย
       ลูกน้องคนหนึ่งอยู่ในอาการเมามายหัวเราะร่วนพลางว่า
       “มาเถิด มาดื่มสุราเป็นเพื่อนพวกพี่”
       เอื้อยแตงดิ้นเต็มที่พูดเสียงดัง
       “กูไม่กิน ปล่อยกู ช่วยด้วย”
       ชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์ไม่มีใครกล้าเข้ามาช่วยเพราะเห็นว่าพวกพุฒเป็นทหาร
       “พยศเยี่ยงนี้ ถูกใจข้านัก ไอ้เรือง ถ้ามึงรักกูจริง มึงต้องลากอีนังนี่มานั่งกินกับกูให้ได้” พุฒว่า
       “ได้ซีพี่พันจบ”
       ลูกน้องพุฒพยายามลากเอื้อยแตงไปที่แคร่ในร้านเหล้า แต่เอื้อยแตงขืนตัวไว้ไม่ยอมไป -ทันใดนั้น เสมากก็โดดตัวลอย ถีบลูกน้องพุฒจนกระเด็นไปที่แคร่ของพุฒ จอกเหล้า ไหเหล้าล้มระเนระนาด พวกพุฒตกใจ แต่พอตั้งสติได้ก็ชักดาบออกมาจะเอาเรื่องเพราะพุฒเป็นคนชำนาญกระบี่ เอื้อยแตงรีบหลบหลังเสมาด้วยความกลัว
       “พี่เสมา ช่วยฉันด้วย”
       “มึงเป็นใครวะ กล้าทำร้ายทหารหลวงเชียวรึ” พุฒพูดขึ้น
       “กูก็ทหารหลวงเช่นกัน พวกมึงสังกัดกรมกองใด หากกล้าจริงก็บอกมา” เสมาถาม
       “ลวนลามหญิงกลางวันแสกๆ ต่อหน้าคนทั้งตลาด พวกมึงยังกล้าอวดอ้างเป็นทหารหลวงอีกรึ ถุย เป็นชายยังไม่ควรเลย” สมบุญว่า
       พวกลูกน้องพุฒที่กำลังเมาจะเข้าไปเอาเรื่อง แต่พุฒรีบห้ามไว้ เพราะหากมีเรื่องกับทหารด้วยกันกลางตลาดคงไม่ดีแน่ พุฒหันไปจ้องหน้าเสมา
       “มึงชื่อเสมารึอ้ายน้องชาย กู พันจบรณรงค์ วันหน้าคงได้เห็นฝีมือกัน”
       พุฒเก็บกระบี่เข้าฝักแล้วเดินเลี่ยงออกจากร้านไป พวกลูกน้องพุฒเก็บดาบแล้วเดินตามไป แต่พุฒยังไม่วายหันมองเสมา และสมบุญด้วยสายตาอาฆาต เสมาจ้องกลับแบบไม่กลัวเพราะเขาเกลียดคนอย่างพุฒมากกว่าขันด้วยซ้ำ

       เวลาต่อมา พุฒกำลังเดินคุยกับลูกน้องมาอย่างหัวเสีย
       “เหตุใดพี่พันจบไม่เอาเลือดปากมันออกเสียบ้าง มีแค่สองคนแต่ทำโอหังนัก”
       “เอ็งไม่ได้ยินรึว่ามันอวดตัวเป็นทหารหลวง หากมีเรื่องวิวาทก็ต้องถูกไต่สวนทวนความ แล้วมีรึที่เราจะพ้นผิด เอาเถิดรู้ชื่อรู้หน้ามันแล้วต้องให้มันได้เห็นดีสักวัน”
       ขณะนั้นเอง ขันก็เดินคุยกับลูกน้องตัวเองผ่านมา และพูดขึ้นด้วยความหงุดหงิด
       “ทั่วกรุงอโยธยา ไม่มีสำนักใดสู้สำนักครูข้าได้เลยหรือวะ หามายันบ่าย ยังไม่มีสักสำนัก”
       ขันและพุฒหันไปเจอหน้ากันพอดี พุฒยิ้มทักทายและเดินเข้าไปหา
       “นึกว่าใคร ที่แท้ก็เกลอเก่าพ่อขัน อ้อ มิใช่ซิ พันฤทธิ์รณรบ ต่างหาก”
       ขันหัวเราะชอบใจ
       “นี่พ่อพุฒรู้แล้วรึ พ่อพุฒก็ได้เป็นหัวพันเช่นกันนี่นา”
       “ฉันได้เป็นพันจบรณรงค์ เหมาะแท้ ราชทินนามเราสองคนกลับ คล้องจองกัน พันฤทธิ์รณรบ พันจบรณรงค์”
       ขันและพุฒหัวเราะชอบใจ...ขันไปกอดคอพุฒอย่างสนิทสนม
       “แล้วนี่พันจบเกลอฉันมาทำกระไร คงไม่ใช่มาจีบแม่เค้าสาวๆ ดอกนะ” ขันถาม
       “อย่าให้ฉันพูดมากเลย เมื่อครู่ฉันเจออ้ายคนพาลมันอวดดีหากไม่ใช่เห็นว่าเป็นทหารเช่นกัน คงได้ประมือกันไปแล้ว”
       “เป็นทหารรึ ชื่อกระไร”
       “มันว่ามันชื่ออ้ายเสมา”
       “อ้ายเสมา มิน่าเล่า”
       ขันพูดด้วยน้ำเสียงเคียดแค้นจนพุฒเอะใจ
       “พันฤทธิ์รู้จักรึ อ้ายเสมาเป็นใครกัน เล่าให้ฉันฟังได้หรือไม่”

ขันขบกรามแน่น ด้วยความเกลียดชังเสมาสุดๆ

อ่านต่อหน้า ๔

เกร็ดความรู้เกี่ยวกับขุนศึก

๑๓. การสังกัดมูลนายในสมัยโบราณ กำหนดให้ผู้ที่จะรับราชการ ต้องมีสังกัดขึ้นตรงกับข้าราชการคนใดคนหนึ่ง ซึ่งเรียกกันว่า “มูลนาย” ถ้าไม่มีสังกัดมูลนาย ก็จะไม่ได้รับประโยชน์จากราชการ เช่น ไม่ได้รับศักดินา หรือเบี้ยหวัดเงินปี

๑๔. อาณาจักรอยุธยาเป็นอาณาจักรของชนชาติไทยในอดีต ตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๑๘๙๓ ถึงปีพุทธศักราช ๒๓๑๐  มีเมืองหลวงคือ “กรุงศรีอยุธยา” เป็นอาณาจักรที่เจริญรุ่งเรือง และมั่งคั่งที่สุดในภูมิภาคสุวรรณภูมิ รวมทั้งเป็นศูนย์กลางการค้าในระดับนานาชาติ ทั้งชาติในเอเชียและชาติในยุโรป
//www.manager.co.th/Drama/ViewNews.aspx?NewsID=9550000051344&Page=3



Create Date : 22 พฤษภาคม 2555
Last Update : 22 พฤษภาคม 2555 11:40:44 น. 0 comments
Counter : 1416 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

atitaya_t
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




สวัสดีค่ะ ขอร่วม gang ด้วยคนค่ะ
Friends' blogs
[Add atitaya_t's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.