เก็บความทรงจำ..(^_^)..ความสนใจ โลกส่วนตัว ที่เราสร้างเอง
Group Blog
 
 
พฤษภาคม 2555
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
22 พฤษภาคม 2555
 
All Blogs
 
ขุนศึก ตอนที่ 12-3 , 12-4


เรไรและดวงแขนั่งอยู่บนเรือ โดยมีทาสชายคนหนึ่งพายเรือให้ ต่างฝ่ายต่างเหล่มองกันไปมาสักระยะหนึ่ง ก่อนที่ดวงแขจะทนไม่ไหวแล้วพูดขึ้นก่อน


       “ศึกเมืองแปรครานี้ คงไม่นานนัก เสร็จศึกเมื่อใดแม่เรไรก็คงได้เป็นพี่สะใภ้ฉันแล้ว ฉันดีใจนัก”
       “ดีใจที่ได้ฉันเป็นพี่สะใภ้ หรือดีใจที่กำจัดหนามยอกใจออกไปได้กันแน่แม่ดวงแข” เรไรพูดหน้านิ่ง
       “อย่าถือโทษโกรธฉันเลย หากจะโกรธก็โกรธคนรอบกายแม่เรไรเองเถิด เพราะหามีผู้ใดยินดีในรักของแม่กับเสมาไม่”
       “แล้วคนรอบกายแม่ดวงแขยินดีงั้นรึ”
       ดวงแขยิ้มเล็กน้อย
       “ข้อนั้นแม่ไม่ต้องกังวลดอก ขอเพียงแต่แม่เรไรอยู่ในศีลแลสัตย์ รู้การควรไม่ควรก็เพียงพอแล้ว”
       “แม่ดวงแขระแวงฉันนี่เอง ถึงเพียรพูดกระทบอยู่หลายครา หรือจนป่านฉะนี้แม่ดวงแขก็ยังไม่ได้ใจเสมาจึงพาลระแวงไปทั่ว” เรไรพูดพลางยิ้มเยาะจี้ใจดำ
       “แม่เรไรไม่ต้องยั่วโมโหฉัน ที่ฉันพูดก็เพื่อศักดิ์ของตัวแม่เองแลศักดิ์ของตระกูลฉันเท่านั้น”
       “ศักดิ์ของฉัน ฉันรู้ว่าจะรักษาเยี่ยงไร แต่ศักดิ์ตระกูลของแม่มัวหมองไปตั้งแต่แม่ดวงแขใช้เล่ห์ ทุรยศ
       หักหลังฉันซึ่งเป็นมิตรแท้แล้ว”
       ดวงแขยิ้มเชิด
       “อย่าเรียกว่าทุรยศเลย เมื่ออยากได้ของที่มีเพียงหนึ่งเดียวก็ต้องใช้ปัญญาเพื่อจะได้ครอบครองไว้ไม่ใช่รึ”
       “ปัญญาหรือแม่ช่างพูดน่าฟังนัก หากฉันไม่คิดว่าเราสองเป็นมิตรรัก เห็นกันมาแต่เกิด มีหรือจะเชื่อคำแม่ดวงแขโดยง่าย”
       เรไรจ้องหน้าดวงแขเขม็ง
       “เพราะฉันไว้ใจดอก แม่ดวงแขจึงลอบทำร้ายฉันได้”
       ทาสชายพายเรือมาจอดเทียบท่าก่อนจะเดินนำขึ้นท่าไปผูกเรือ
       “แม่เรไรแพ้แล้วควรยอมรับความพ่ายแพ้ อย่าอ้างเช่นนี้เลยฟังไม่ขึ้นดอก” ดวงแขพูดแล้วก็เตรียมลุกจะขึ้นท่าน้ำ
       เรไรโมโหที่ดวงแขเยาะเย้ยเลยจับเรือโคลงไปมากะทำเรือล่ม ดวงแขตกใจมากแล้วพูดเสียงดัง
       “ทำกระไรแม่เรไร หยุดประเดี๋ยวนี้เชียว”
       ทาสชายหน้าตาตื่นตกใจ กลัวความผิดจะมาถึงตัวด้วย
       เรไรยิ่งจับเรือโคลงมากกว่าเดิม จนดวงแขเสียหลักกรี๊ดลั่นก่อนจะตกน้ำไป ดวงแขว่ายน้ำไม่เป็น จึงตะกุยตะกายอย่ในน้ำด้วยความหวาดกลัว
       “ช่วยด้วยๆ”
       ทาสชายตั้งท่าจะโดดน้ำลงมาช่วย เรไรสั่งทันที
       “หยุดอยู่ตรงนั้น ไม่ใช่กงการของเจ้า”
       ทาสชายหยุดกึกด้วยความกลัว นั่งคุกเข่าไปทันที
       เรไรปล่อยให้ดวงแขดำผุดดำว่ายกินน้ำไปหลายอึก ก่อนที่เรไรยื่นมือลงไปจับดวงแขพามาเกาะขอบเรือ ดวงแขไอโขลกอยู่ข้างเรือ สำลักน้ำด้วยสีหน้าตื่นตระหนก เรไรมองด้วยสายตาเย็นชา
       “แม่ดวงแขคงนึกไม่ถึงกระมังว่าฉันจะทำเช่นนี้”
       ดวงแขจ้องหน้าเรไรด้วยความเจ็บใจ
       เรไรยิ้มเย็นก่อนจะพูดย้อนว่า
       “เพราะเราเป็นมิตรกันมาแต่เล็ก ฉันจึงรู้ดีว่าแม่ว่ายน้ำไม่เป็น ครานี้แม่ดวงแขคงรู้แล้วซี ว่า ฉันไม่ได้แพ้ปัญญาแม่ หากแต่การทำร้ายสหายมันง่ายดายราวพลิกฝ่ามือ เพราะความที่เรารู้จุดอ่อนของอีกฝ่ายดีต่างหาก”
       เรไรมองหน้าดวงแขก่อนจะลุกไปขึ้นท่าน้ำ ทาสชายผูกเรือจับให้นิ่งเพื่อเรไรเดินขึ้นไป ดวงแขมองตามด้วยความโกรธแค้น เจ็บใจสุดๆที่โดนเล่นงานแบบนี้

       บัวเผื่อนกำลังหัวเราะชอบใจขณะเดินคุยกับเรไรบริเวณตำหนักในเวลาเย็น
       “ไม่นึกเลยว่าแม่เรไรจะกล้าทำถึงเช่นนี้ ดูท่าฉันคงต้องระวัง ไม่ทำให้แม่เรไรโกรธเคืองฉันเสียแล้ว”
       “ที่ฉันทำไป เพราะอยากสอนให้แม่ดวงแขได้รู้สำนึกเท่านั้นเอง แลถึงฉันต้องออกเรือนกับขุนณรงค์ ก็หาใช่เพราะแพ้อุบายแม่ดวงแขไม่ แต่เป็นด้วยฉันสงสารพ่อแม่ท่านนัก ไม่อยากให้ท่านต้องเสียใจเพราะลูกเช่นฉันมากไปกว่านี้แล้ว”
       “แต่ถึงเช่นนั้น ออกเรือนกับขุนณรงค์ก็ไม่เลวนักดอก ขุนณรงค์เป็นคนคล่องแคล่วแลรู้จักแม่ทัพนายกองท้าวพระยามากมาย ทรัพย์สมบัติรึก็มั่งมีนักแม้ผู้เป็นคุณหลวงคุณพระก็ยังร่ำรวยไม่สู้ ดีกว่าทหารเลวที่เพิ่งพ้นกลิ่นหญ้าช้างเป็นไหน”
       เรไรหน้าขรึมลงถึงตนอธิบายไปบัวเผื่อนก็คงไม่เข้าใจถึงความรักที่เรไรกับเสมามีต่อกันว่าลึกซึ้งเพียงใด เรไรเลยเดินฉีกนำไปก่อน บัวเผื่อนได้แต่ส่ายหน้าไม่เข้าใจเรไร ก่อนจะเดินตามไป

       เสมาฝึกซ้อมเพลงดาบอย่างแคล่วคล่องรวดเร็วและสวยงามที่หน้าพระประธานในโบสถ์ตอนกลางคืนเปลวเทียนที่อยู่ในโบสถ์สั่นไหวตามแรงลมจากดาบของเสมาเป็นระยะ เสมาร่ายรำเพลงดาบจนจบ พอจบเพลงดาบก็รู้สึกได้ว่ามีคนเข้ามาอยู่ในโบสถ์ พอหันไปมองก็เห็นพระครูขุนยืนมองตนอยู่ เสมารีบเข้าไปคุกเข่ากราบพระครูขุนทันที
       “หลวงตามาแต่เมื่อใดขอรับเสมาไม่รู้ตัวเลยหรือหลวงตามีอาคมหายตัวได้เหมือนที่เค้าลือกัน”
       “เพ้อเจ้อไปกันใหญ่แล้วอ้ายเสมา เอ็งเป็นศิษย์ข้ามากี่ปี เคยเห็นข้าหายตัวได้รึ ข้าเข้ามาตั้งนานแล้ว แต่สมาธิเอ็งมั่นคงอยู่แต่เพลงดาบจึงไม่รู้สึกตัวต่างหากเล่า”
       “ข้าดีใจนักไม่นึกว่าจะมีโอกาสได้จับดาบอีก ฝึกซ้อมเท่าใดก็ไม่เหน็ดไม่เหนื่อยเลย”
       “เอ็งฮึกเหิมเช่นนี้ก็ดีแล้ว แต่ข้าอยากเตือนไว้ ว่าดวงเอ็งยังไม่พ้นเคราะห์เสียทีเดียว ศึกแปรครานี้ แม้ผู้อื่นจักดูว่าง่ายดาย แต่กับเอ็งแล้วต้องระวังให้จงหนัก”
       “มีกระไรหรือขอรับหลวงตา”
       “เสมาเอ๋ย ไม่มีผู้ใดเป็นผู้ชำนะได้ตลอดดอก เว้นแต่จะชำนะใจตัวเองเท่านั้น จึงจะเป็นชัยชำนะที่แท้จริง เอ็งจงจำคำข้าไว้ว่า เขาสูงก็ยังมีเขาที่สูงกว่า คนดีมีฝีมือหาได้มีคนเดียวไม่ เอ็งอย่าได้ประมาทเป็นอันขาด หาไม่แล้ว ศึกนี้เอ็งจะสูญสิ้นทุกอย่าง”
       เสมานิ่งคิดคำที่พระครูบอก และจดจำใส่ใจไว้ตลอดเวลา

       กองทัพของพระเจ้าแปร จำนวนห้าหมื่น ได้ตั้งอยู่ที่สังขละ กาญจนบุรี ทำการกวาดต้อนผู้คนไปเป็นเชลยจำนวนมาก สมเด็จพระนเรศวรทรงยกทัพพลหนึ่งแสน บุกเข้าโจมตีกองทัพของพระเจ้าแปร เพื่อขับไล่ให้พ้นเขตแดนและเป็นการกำราบไม่ให้กระทำการเช่นนี้อีกต่อไป

       พระเจ้าแปรทรงประทับอยู่ในกระโจม กำลังเดินไปเดินมาด้วยความเครียดและกังวลสุดๆ เมื่อรู้สมเด็จพระนเรศวรทรงยกทัพมาด้วยพระองค์เอง
       สมิงมะตะเบิดในชุดแม่ทัพเต็มยศเดินเข้ามาในกระโจม แล้วคุกเข่าลงถวายบังคมพระเจ้าแปร
       “มาแล้วรึ เพลานี้องค์พระนเรศทรงยกทัพกษัตริย์มาด้วยพระองค์เอง มีไพร่พลเรือนแสนมากกว่าเรานัก แล้วเราจะทำเช่นใดดีจะถอยทัพดีหรือไม่”
       “มิบังควรพระพุทธเจ้าข้า ด้วยเรามีเชลยศึกอยู่มากนักเป็นเหตุให้เดินทางช้า หากเราถอยทัพขององค์พระนเรศต้องตามมาทันเป็นแน่ เมื่อถึงเพลานั้นเราจะยิ่งเสียหายหนักพระพุทธเจ้าข้า”
       “ไม่ถอยแล้วจะทำเช่นใดดี”
       “เราชอบที่จะบุกโจมตีโดยเร็วพระพุทธเจ้าข้าด้วยทัพขององค์พระนเรศยังไม่ได้ตั้งมั่น ไพร่พลมิได้พักผ่อน แม้เราจะมีพลน้อยกว่าก็อาจเอาชำนะได้โดยง่ายพระพุทธเจ้าข้า”
       พระเจ้าแปรคิดอยู่ครู่นึงแล้วแย้มสรวลอย่างพอใจ
       “สมแล้วที่เจ้าเป็นทหารเอกของข้า ดี เจ้าจงเป็นทัพหน้ายกพลเข้าตีทัพพระนเรศทันที”
       “รับด้วยเกล้าพระพุทธเจ้าข้า”

       สมเด็จพระนเรศวรกำลังประชุมขุนนาง หลังจากรับรายงานว่าพระเจ้าแปรยกทัพมาตี โดยมีสมเด็จพระเอกาทศรถ ประทับนั่งอยู่ใกล้ๆ ในขณะที่หลวงรามเดชะ พันอิน และขุนนางคนอื่นๆเข้าเฝ้าอยู่ในกระโจม
       สมเด็จพระนเรศวรตรัสว่า
       “พระเจ้าแปรกลับเป็นฝ่ายยกทัพมาตีเราก่อน นับว่าเหนือคาดหมายนัก แสดงว่าในทัพของพระเจ้าแปรมีผู้ชำนาญการศึกอยู่ด้วยเป็นแน่”
       สมเด็จพระเอกาทศรถตรัสว่า
       “แต่ทัพของเรามีวินัยเป็นเลิศ แม้พระเจ้าแปรจะบุกมาโดยเร็วก็ตั้งทัพรับทันแน่พระพุทธข้า”
       สมเด็จพระนเรศวรตรัสเรียกนายทหาร
       “หลวงรามเดชะ ขุนพิมานมงคล เจ้าทั้งสองจงยกทัพหน้าออกไปสกัดทัพหน้าของข้าศึกไว้ อย่าให้เข้ามาถึงทัพหลวงได้เป็นอันขาด”
       หลวงรามเดชะและพันอินถวายบังคมขึ้นพร้อมกัน
       “ รับด้วยเกล้าพระพุทธเจ้าข้า”
       “พระมหาเทพเจ้าจงเกณฑ์พลหนึ่งหมื่น ยกอ้อมไปท้ายทัพพระเจ้าแปรแล้วตีกระหนาบเข้ามา”
       “รับด้วยเกล้าพระพุทธเจ้าข้า”
       สมเด็จพระนเรศวรทรงแย้มพระสรวลอย่างมั่นพระทัยในศึกด้วยแววพระเนตรอันมุ่งมั่น
       “พระเจ้าแปรใช้กลศึกโจมตีเราโดยเหนือคาดหมาย เราก็จักใช้กลนี้โจมตีพระเจ้าแปรโดยเหนือคาดหมายเฉกกัน”
       ยามบ่าย บริเวณทุ่งกว้าง กองทัพหน้าของทั้งสองฝ่าย ต่างบุกเข้าตีกันอย่างดุเดือด ทัพเมืองแปรนำโดยสมิงมะตะเบิด ส่วนทัพอยุธยานำโดยรามเดชะ พันอิน โดยมีเสมาเป็นทหารอยู่ในความควบคุมของสิน และสมบุญเนื่องจากมียศสูงกว่าเสมาในเวลานี้ ส่วนขัน พุฒ และขุนจำนงก็เป็นหัวหน้าของพวกสิน และสมบุญอีกที
       พระเจ้าแปร สมเด็จพระนเรศวร และสมเด็จพระเอกาทศรถต่างฝ่ายต่างนั่งประทับบนหลังม้าอยู่ท่ามกลางกองทัพของตนเพื่อคุมกองทัพหลวงดูสถานการณ์กองทัพหน้าก่อน
       สมิงมะตะเบิดสะพายดาบสองมือที่หลังแล้วควงทวนบุกตะลุยเข้ามา ทหารไทยที่เข้าไปสู้ถูกเพลงทวนของสมิงมะตะเบิดล้มตายเป็นใบไม้ร่วง พระเจ้าแปรหัวเราะเสียงดังที่เห็นสมิงมะตะเบิดลุยไปข้างหน้าไม่ยั้ง
       “สมแล้วที่เป็นทหารเอกของข้า บุกเข้าไป บุกเข้าไปถึงองค์พระนเรศให้ได้”
       สมเด็จพระนเรศวรเห็นสมิงมะตะเบิดสังหารทหารไทยไปหลายคนจึงตรัสถามพระอนุชา เอกาทศรถ
       “ทหารกล้านี้เป็นผู้ใดกัน ฝีมือร้ายกาจนัก”
       “ชะรอยจักเป็นสมิงมะตะเบิด ทหารเอกของพระเจ้าแปรพระพุทธเจ้าข้า ฟังว่าเป็นชาวหงสา แต่เข้ามาสวามิภักดิ์ต่อเมืองแปร ด้านฝีมือนั้น ลือเลื่องไปทั่วพุกามประเทศทีเดียว”
       “มิน่าเล่า พระเจ้าแปรถึงได้มั่นพระทัยถึงกับยกทัพมารบกับอโยธยา”
       สทเด็จพระนเรศวรทอดพระเนตรดูเหตุการณ์รบต่อไป มิงมะตะเบิดยังคงรุกไล่ ทหารพม่ายิ่งฮึกเหิม บุกตะลุยจนทหารไทยร่นถอยไป

       พันอินขณะติดพันกับรบอยู่ก็เครียดหนักบอกหลวงรามเดชะว่า
       “แย่เสียแล้วคุณหลวง พระพุทธเจ้าอยู่หัวทรงรับสั่งให้ยันทัพหน้าข้าศึกไว้ หากเรายันไม่อยู่ เรารับโทษถึงประหารแน่”
       ฟังแล้วหลวงรามเดชะก็พลอยเครียดไปด้วยจึงตะโกนสั่งทหารลั่น
       “บุกกลับเข้าไป อย่าให้พวกมันเข้าถึงทัพหลวงได้ ใครถอยตัดคอให้สิ้น”
       เสมา สินและสมบุญรวมกำลังบุกตะลุยเต็มที่
       พุฒอยากได้ความชอบจึงเข้าไปสู้กับสมิงมะตะเบิด แต่สู้ได้ไม่นานนักก็โดนทวนของสมิงมะตะเบิดกระแทกกระบี่จนหลุดจากมือ ก่อนจะโดนสมิงมะตะเบิดทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บ ฝ่ายสมิงมะตะเบิดหมายจะซ้ำกะเอาให้ตาย แต่ขันกับขุนจำนงเข้ามารุมช่วยพุฒเอาไว้ได้ ขันกับสมิงมะตะเบิดสู้กันอยู่ครู่หนึ่ง ขันก็โดนต่อยเต็มหน้า เหลือเพียงขุนจำนงสู้กับสมิงมะตะเบิดกันสองคน
       ขันหวั่นเกรงในเชิงศึกของคู่ต่อสู้จึงบอกกับพุฒว่า
       “อ้ายนี่ฝีมือร้ายนัก รอมันเรี่ยวแรงถอยลงแล้วค่อยกลับไปสู้เถิด”
       ขันรีบประคองพุฒหลบออกไป
       สมิงมะตะเบิดกับขุนจำนงใช้ทวนสู้กันอย่างรวดเร็ว สู้กันได้ไม่นาน ทวนขุนจำนงก็ถูกปัดทวนจนหลุดจากมือก่อนจะถูกทวนแทงเข้าที่ขา ขณะที่ขุนจำนงกำลังจะถูกฆ่า เสมาก็เอาดาบมากันทวนไว้ แล้วฟันใส่จนสมิงมะตะเบิดต้องล่าถอย ในขณะที่สินและสมบุญรีบเข้าไปพยุงขุนจำนงไว้
       “ให้ฉันสู้กับมันเองเถิดพี่เสมา” สินบอก
       “อย่า เอ็งสู้มันไม่ได้ดอก รีบพาขุนจำนงไปเถิด”
       สินและสมบุญช่วยกันประคองขุนจำนงไป ทหารพม่าจะเข้ามาทำร้าย ทั้งคู่ช่วยกันสู้พลางถอยพลางป้องกันขุนจำนงไว้
       สมิงมะตะเบิดเห็นเสมาก็จำได้
       “เจ้านี่เอง ทหารไทยตายสิ้นแล้วรึหรือว่าขยาดฝีมือข้ามิกล้าออกรบ จึงใช้ให้ตะพุ่นเจ้าเอาชีวิตเข้ามาแลกน่าอายนัก”
       “อโยธยามีขุนศึกขุนพลมากนัก แต่ฝีมือเช่นเจ้าเพียงแค่ตะพุ่นหญ้าช้างอย่างข้าก็เกินพอแล้ว”
       สมิงมะตะเบิดโมโหขบกรามแน่น กระชับทวนเตรียมสู้ เสมาปักดาบคู่แสนศึกพ่ายลงดิน แล้วหยิบทวนของขุนจำนงขึ้นมาเพื่อสู้กันในเชิงทวน
       สมเด็จพระนเรศวรและสมเด็จพระเอกาทศรถทอดพระเนตรอยู่
       สมเด็จพระนเรศวรตรัสขึ้น
       “นั่นอ้ายตะพุ่นเสมาไม่ใช่รึ”
       เสมา และสมิงมะตะเบิดจ้องกันเขม็ง ขยับดูเชิงกันก่อนจะบุกเข้าใส่กัน สู้ด้วยเพลงทวนอย่างดุเดือด ทั้งคู่ต่อสู้กันอย่างรวดเร็ว ผลัดกันรุกรับ อย่างสูสีคู่คี่ ต่างฝ่ายต่างใช้ไม้ตายเข้าห้ำหั่นกัน สมิงมะตะเบิดแกล้งเสียเปรียบหลอกให้เสมาตาม พอเสมาตามเข้าไปก็แทงสวนออกมา จนเสมาต้องหลบอย่างหวุดหวิดจวนเจียน
       เสมาฉวยโอกาสแกล้งทำเป็นเสียเปรียบบ้าง สมิงมะตะเบิดลุยรุกไล่เลยเจอทวนหวดใส่ขาจนล้มลง เสมาจะซ้ำแต่สมิงมะตะเบิดก็พลิกตัวหลบไปได้หวุดหวิด เมื่อทั้งคู่ตั้งหลักได้ ก็บุกสู้กันต่อ ฝีมือทั้งคู่ร้ายกาจพอกัน ผลัดกันรุกรับจนดูไม่ออกว่าฝ่ายไหนจะชนะกันแน่
       ฝ่ายทหารคนอื่นๆ ขณะที่กำลังต่อสู้กันอยู่ พลันสายตาเหลือบไปเห็นการต่อสู้ของทั้งคู่ ทหารแต่ละคนเหมือนต้องมนต์สะกด เห็นฝีมือของทั้งคู่แล้วก็อดดูต่อไม่ได้ ในที่สุด จากการรบตะลุมบอนกันอยู่ในสนามรบกลายเป็นทุกคนหยุดดูการต่อสู้ของเสมากับสมิงมะตะเบิดเป็นตาเดียวกันไม่ว่าจะเป็นทหารฝ่ายไทยและฝ่ายพม่า
       พระเจ้าแปรซึ่งดูเหตุการร์อยู่ถึงกับรำพึงขึ้น
       “อโยธยา มีขุนศึกเช่นนี้ด้วยรึ”
       เสมาและสมิงมะตะเบิดสู้กันอย่างคู่คี่ ก่อนที่ต่างฝ่ายจะใช้มืออีกข้าง จับปลายทวนของฝ่ายตรงข้ามที่จะแทงตนไว้ ทั้งคู่ร้องก้อง ประลองกำลังกันแต่กำลังก็พอกันอีก จนทวนทั้งสองเล่มหักสะบั้นเพราะแรงของทั้งคู่พร้อมๆกัน
       ทั้งคู่ผงะถอยออกมา สมิงมะตะเบิดชักดาบสองมือที่กลางหลังออกจากฝัก เสมารีบดึงดาบแสนศึกพ่ายที่ปักไว้บนดินขึ้นมา

       สมเด็จพระนเรศวรตรัสขึ้นอย่างหวั่นพระทัย
       “เสียท่าแล้ว”
       สมเด็จพระเอกาทศรถทูลถาม
       “เหตุใดรึพระพุทธเจ้าข้า”
       “สมิงผู้นี้เป็นมอญ ธรรมดาพวกมอญจะชำนาญดาบสองมือยิ่งกว่าอาวุธอื่น ดูท่าแม้เพลงทวนมันจะร้ายกาจ แต่ดาบสองมือมันคงร้ายยิ่งกว่า”
       “แต่เจ้าตะพุ่น ก็เป็นหนึ่งในจัตุรงคบาทของสมเด็จพี่มาก่อน ข้าพระพุทธเจ้าจึงเชื่อว่า ดาบสองมือของมันก็ต้องเป็นเลิศเช่นกัน”
       เสมาและสมิงมะตะเบิดควงดาบสองมือเข้าสู้กันทันที ต่างฝ่ายต่างใช้อาวุธที่ตนชำนาญจึงสู้กันอย่างดุเดือดยิ่งกว่าเดิม สมิงมะตะเบิดใช้ท่าไม้ตายกระหน่ำฟันซ้อนๆ เสมาตั้งรับอย่างใจเย็น ก่อนจะสวนกลับแต่สมิงมะตะเบิดก็รับไว้ได้ทั้งหมด สมิงมะตะเบิดฟันดาบใส่เสมาจนถากต้นแขนเลือดไหล เสมาก็ฟันสวน ถากชายโครงสมิงมะตะเบิดเลือดไหลเช่นกัน
       ทั้งคู่ยังคงใช้ท่าไม้ตายต่อสู้กันอย่างดุเดือด
       ฝ่ายพันอินเห็นทั้งคู่ประลองฝีมือกันก็ทึ่งสุดๆ
       “สมาธิของทั้งคู่ถึงที่สุดแล้ว ไม่รับรู้เหตุการณ์รอบตัวอีก”
       “การต่อสู้ครานี้ไม่มีทางหยุดแล้ว นอกเสียจากจะมีฝ่ายใดล้มลงไปเท่านั้น” หลวงรามเดชะว่า
       เสมาและสมิงมะตะเบิด ผลัดกันรุกรับ สมาธิจดจ่ออยู่กับการต่อสู้เท่านั้น จนยากที่จะบอกได้ว่าใครจะชนะกันแน่ แต่ทันใดนั้น ดาบของเสมากับดาบของสมิงมะตะเบิดที่ฟันปะทะกันก็เกิดสะเก็ดไฟแลบกระจาย ดาบของสมิงมะตะเบิดหักสะบั้น ดาบของเสมาเลยฟันเข้ากลางลำตัวจนสมิงมะตะเบิดทรุดล้มลง ขาดใจตายทันที
       สินและสมบุญเฮสุดเสียง เช่นเดียวกับบรรดาทหารไทยที่ตะโกนโห่ร้องด้วยความสะใจ แม้แต่ขันกับพุฒ ก็ยังยืนอึ้งทึ่งในความสามารถของเสมา
       พระเจ้าแปรตกใจที่เห็นสมิงมะตะเบิดตายจนขวัญเสียทำอะไรไม่ถูก
       สินตะโกนลั่น
       “บุกเข้าไป ขับไล่ข้าศึกไปให้หมด พวกเอ็ง ตามข้ามา”
       ทหารไทยฮึกเหิมสุดขีด โห่ร้องดังก้องบุกตะลุยตามหลังสินและสมบุญ ในขณะที่ทหารพม่าขวัญเสีย ล่าถอยไม่กระบวน พ่ายแพ้ไปในที่สุด
       สมเด็จพระนเรศวรและสมเด็จพระเอกาทศรถ ต่างทรงแย้มสรวล พอพระทัยที่ได้รับชัยชนะอย่างงดงาม

กองทัพกรุงศรีอยุธยา ได้บุกเข้าตีกระหนาบกองทัพแปรทั้งด้านหน้าด้านหลังจนแตกพ่าย ก่อนที่ทัพของพระมหาเทพ จะตามตีจนกองทัพแปรต้องถอยหนีพ้นเขตแดนของกรุงศรีอยุธยาไป หลังจากเสร็จศึกครั้งนี้ บรรดาหัวเมืองใหญ่น้อย ต่างก็เกรงขามสมเด็จพระนเรศวรเป็นอย่างมาก จนไม่มีเมืองใดกล้ายกทัพมารุกรานอโยธยาอีกเลย
หน้า4
ขุนศึกตอนที่ ๑๒ (ต่อ)

ผ่านไปสองสามวัน พระสังกทัต พระมหาอุปราชแห่งเมืองตองอูกับทหารติดตามอีก 7-8 คน กำลังก่อกองไฟพักแรมอยู่ในป่า พระสังกทัตกำลังอ่านจดหมายเล็กๆที่สายรายงานมาก่อนจะหัวเราะและพูดขึ้นว่า

       “พระเจ้าแปรพระทัยร้อนนัก อยากตั้งตนเป็นใหญ่ถึงกับยกทัพไปรบกับองค์พระนเรศได้ ช่างไม่รู้กำลังแห่งตนเลย”
       ขณะนั้นเองก็มีทหารสวมชุดดำอีกกลุ่มหนึ่งประมาณ 3-4 คน ขี่ม้าพานางข้าหลวงคนหนึ่งที่ช่วยออกมาจากคุก ข้าหลวงนางนี้เป็นข้าหลวงของพระสุพรรณกัลยาอยู่ในสภาพการแต่งกายแบบโทรมๆเนื่องจากติดคุกอยู่นาน
       ทหารชุดดำพานางข้างหลวงไปเข้าเฝ้าพระสังกทัตทันที นางข้าหลวงคุกเข่าลงไหว้ด้วยความกลัว
       “อย่าทำกระไรฉันเลยจ้ะ ฉันกลัวแล้ว”
       “ไม่ต้องกลัวไปดอก ถ้าข้าจะทำร้ายเจ้า ข้าจะส่งคนไปช่วยเจ้าออกมาจากในคุกหงสาทำกระไร ข้าอยากจะช่วยเจ้าให้กลับอโยธยาต่างหาก” พระสังกทัตยิ้มบอก
       “กลับอโยธยา จริงหรือเจ้าคะ”
       “จริงซี ที่นี่ห่างจากทัพองค์พระนเรศไม่ไกล ข้าจะให้คนไปส่ง เมื่อไปถึงเจ้าก็เพียงแต่บอกว่าเจ้าเป็นนางสนองพระโอษฐ์ขององค์พระสุพรรณกัลยา เพียงเท่านี้เจ้าก็ได้กลับสู่อโยธยาแล้ว”
       นางข้าหลวงได้ฟังแล้วก็ตกใจ
       “แล้วท่านรู้ได้อย่างไรว่าฉันเป็นใคร ท่านเป็นผู้ใดกันแน่”
       พระสังกทัตไม่ตอบแต่หันไปสั่งทหาร
       “นำนางไป”
       ทหารพาตัวข้าหลวงขึ้นไปบนหลังม้าแล้วลุกขึ้นขี่จากไป พระสังกทัตมองตาม ยิ้มเจ้าเล่ห์และหัวเราะอย่างสะใจ
       “หากองค์พระนเรศทรงทราบว่าพระพี่นางของพระองค์มีชะตากรรมเช่นไร ย่อมต้องยกทัพเข้าตีหงสาเป็นแน่ เพียงเท่านี้ ตองอูก็จะฉกฉวยโอกาสขึ้นมาเป็นใหญ่โดยแทบไม่ต้องออกแรงเลย”

       เจ็ดแปดวันต่อมา ยามเช้าที่บริเวณท้องพระโรง สมเด็จพระนเรศวรกำลังปูนบำเหน็จทหารที่ออกศึก โดยมีพระเอกาทศรถประทับอยู่ใกล้ๆ สิน สมบุญ ขัน พุฒและขุนนางคนอื่นๆ กำลังหมอบกราบเข้าเฝ้า โดยมีขุนนางคนหนึ่งกำลังอ่านรายงานถวาย
       “มีเชลยศึกสามพันสิบหกคน ม้าหนึ่งพันหนึ่งร้อยยี่สิบแปดตัว แลอาวุธอีกมากนัก ได้ส่งไปเก็บในคลังสิ้นแล้วพระพุทธเจ้าข้า”
       สมเด็จพระนเรศวรตรัสว่า
       “ให้ปูนบำเหน็จรางวัลแก่ทหารทุกคนตามกฎ แลผู้ใดกระทำผิดระหว่างศึกหากไม่มีโทษถึงตัดคอ ก็ให้อภัยโทษเสียเป็นบำเหน็จศึก”
       ทุกคนถวายบังคม
       “เป็นพระมหากรุณาธิคุณพระพุทธเจ้าข้า”
       สมเด็จพระนเรศวรรับสั่ง
       “นำตัวอ้ายตะพุ่นเสมาเข้ามา”
       ชั่วอึดใจเสมาก็เข้ามาในท้องพระโรงและถวายบังคม ขันและพุฒเหล่ๆ มองอย่างชิงชัง
       “อ้ายตะพุ่น ศึกนี้เอ็งมีความชอบมากนักด้วยการรบชำนะสมิงมะตะเบิดแม่ทัพหน้าของข้าศึกได้ ข้าจะตั้งให้เอ็งเป็นขุนแสนศึกพ่ายมีศักดินาตามยศขุนต่อไป”
       พระเอกาทศรถตรัสขึ้น
       “นับแต่นี้ เอ็งเข้ามารับราชการในวังของข้า มีตำแหน่งเป็นราชองครักษ์ฝ่ายขวาแห่งวังจันทร์เกษม”
       เสมาถวายบังคม น้ำตาคลอเบ้าด้วยความซาบซึ้งใจ
       “เป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดไม่ได้พระพุทธเจ้าข้า”
       สินและสมบุญต่างดีอกดีใจ แต่ขันและพุฒกลับมองเสมาด้วยความเกลียดชังริษยา เสมาซึ้งใจจนน้ำตาคลอเบ้า ในที่สุดรางวัลแห่งความพยายาม ความซื่อสัตย์ของตนก็มาถึง

       ฝ่ายขุนจำนงได้เลื่อนเป็น หลวงจำนงในการศึกครั้งนี้ ในยามสายภายในวัง เสมากำลังเดินคุยกับขุนจำนงโดยมีสินและสมบุญเดินตามมาด้วย
       “ฉันต้องขอบน้ำใจท่านขุนนักที่ช่วยชีวิตฉันไว้ สิ่งใดที่ล่วงเกินท่านขุนไป ฉันขออภัยเถิด”
       “คุณหลวงอย่ากล่าวเช่นนั้นเลย หามีสิ่งใดที่คุณหลวงล่วงเกินฉันไม่ ฉันต่างหากที่ต้องขอให้คุณหลวงช่วยสั่งสอนด้วย ฉันมาจากไพร่มิรู้กฎระเบียบในวังเกรงจะทำผิดนัก”
       “ไม่ต้องกังวลดอก มีกระไรฉันจะคอยบอกท่านขุนเอง”
       “เมื่อคืนดีกันแล้ว แลท่านขุนจำนงก็ได้เลื่อนเป็นหลวงจำนงด้วย ที่เราท้าทายกันไว้ก็ถือล้มเลิกเถิด” สินบอก
       “เช่นนั้นก็ย่อมได้ แต่หากอยากได้คู่ซ้อมทวนเมื่อใดก็บอกข้า ข้าก็คันไม้คันมือเช่นกัน”
       สินยิ้มขำๆ ถึงยังไงขุนจำนงก็ยังไว้ลายอยู่ดี เสมาและสมบุญหันมายิ้มแย้มอย่างสบายใจให้กันที่ได้สหายเพิ่มอีกคน

       ภายในตำหนัก พระวิสุทธิกษัตรีย์ทรงตกพระทัยจนทำพวงมาลัยหล่นลงบนพื้น เมื่อได้รับข่าวเรื่องพระสุพรรณกัลยาจากนางข้าหลวงที่พระสังกทัตส่งกลับเมืองไทย
       “เจ้าว่ากระไรนะ พูดใหม่อีกทีซิ”
       นางข้าหลวงร้องไห้สะอึกสะอื้น
       “สมเด็จพระสุพรรณกัลยาทรงสิ้นพระชนม์แล้วเพคะ หลังจากที่พระพุทธเจ้าอยู่หัวทรงกระทำยุทธหัตถี จนพระมหาอุปราชาสิ้นพระชนม์ พระเจ้านันทบุเรงก็ทรงพิโรธอย่างมาก เลยประหารพระสุพรรณกัลยาพร้อมกับพระโอรสและพระธิดา เป็นการล้างแค้นเพคะ”
       พระวิสุทธิกษัตรีย์น้ำตาคลอเบ้าแล้วตรัสว่า
       “เป็นไปได้อย่างไร หลานเราเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของพระเจ้านันทบุเรงไม่ใช่รึ แล้วจะทรงประหารได้อย่างไร”
       “เพลานั้นพระเจ้านันทบุเรงทรงเต็มไปด้วยความแค้น แม้นจะเป็นน้องหรือลูกก็ไม่สนพระทัยแล้วเพคะ เหล่าขุนนางหงสาวดีหวาดกลัวองค์พระพุทธเจ้าอยู่หัวนักเกรงจะยกทัพมาล้างแค้นจึงจับหม่อมฉันขังไว้ กว่าจักออกมาเข้าเฝ้าพระองค์ได้จึงเนิ่นช้าถึงเพียงนี้เพคะ”
       พระวิสุทธิกษัตรีย์ทรงเสียพระทัยจนประชวรพระวาโยจนหมดสติไป ท่ามกลางความตกใจของเหล่าข้าหลวงที่รีบเข้ามาดูพระอาการทันที

       ในเวลาต่อมา สมเด็จพระนเรศวรทรงคลุมผ้าห่มให้พระวิสุทธิกษัตรีย์ที่บรรทมหลับอยู่บนพระแท่นในห้องบรรทม โดยมีพระเอกาทศรถประทับยืนอยู่ใกล้ๆ
       “จะโกรธแค้นเพียงใด ก็ไม่ควรไปลงที่พระพี่นางกับหลานซึ่งไม่รู้เรื่องเช่นนี้ พี่จะกรีธาทัพไปเหยียบหงสา ทวงความเป็นธรรมครานี้ให้จงได้”
       “ช้าก่อนสมเด็จพี่ การนี้มีพิรุธหลายประการต้องไตร่ตรองให้รอบคอบก่อนพระพุทธเจ้าข้า”
       “น้องเห็นพิรุธอันใดรึ”
       “พวกขุนนางหงสาหวาดกลัวสมเด็จพี่จนจับนางกลอยไปขังแลปิดเรื่องพระพี่นางไว้ แต่แล้วกลับมีคนไปช่วยนางกลอยออกมา จนกลับมาหาเราได้ ข้าพระพุทธเจ้าเห็นว่า น่าจักเป็นแผนยั่วยุให้อโยธยารบกับหงสาวดีมากกว่าพระพุทธเจ้าข้า”
       “หากเรารบกับหงสา บรรดาเมืองที่อยู่ใต้อำนาจต้องฉวยโอกาสประกาศเอกราชเป็นแน่ มิแน่ว่าอาจคิดขึ้นมาเป็นใหญ่แทนหงสาด้วยซ้ำ”
       “ถูกแล้วพระพุทธเจ้าข้า แลหากเราเพลี่ยงพล้ำหรือบอบช้ำในศึกหงสาก็อาจถูกเมืองเหล่านี้โจมตีได้เช่นกันพระพุทธเจ้าข้า”
       “ถ้ากระนั้น พี่จะส่งทัพไปตีเมืองละแวกก่อน เพื่อไม่ให้ละแวกซ้ำเติมเราเหมือนที่ผ่านมา จากนั้น เราค่อยผูกสัมพันธ์กับเมืองที่หวังเป็นอิสระจากหงสา จนหงสาโดดเดี่ยวเมื่อใด พี่จะกลับไปเยือนหงสาอีกครา”
       “ทรงพระปรีชายิ่งแล้วพระพุทธเจ้าข้า”
       สมเด็จพระนเรศวรทรงมีแววพระเนตรมุ่งมั่นเอาจริง ตั้งพระทัยจะล้างแค้นและล้างอายที่ไทยเคยเป็นเมืองขึ้นให้ได้

       หนึ่งเดือนผ่านไป หลังจากที่เสมาเป็นขุนมีศักดินาก็ร่ำรวยขึ้นทันตาเห็นจนมเรือนใหม่สวยงาม ทั้งบ่าวไพร่มากมาย... ทาสจำนวนมาก กำลังปัดกวาดเช็ดถูเรือน มั่นเดินออกมาจากข้างในแล้วมานั่งที่หอนั่ง ทาสคนหนึ่งรีบวิ่งเอาชุดชาจีนใส่ถาด เดินมาให้มั่นทันที
       “ขอบน้ำใจนะแม่”
       “พระคุณมาขอบน้ำใจบ่าวทำไมเจ้าคะ บ่าวเป็นข้าทาส มีหน้าที่รับใช้พระคุณอยู่แล้วเจ้าค่ะ” ทาสพูดขึ้นอย่างตกใจแล้วเดินเลี่ยงไปด้วยท่าทางงงๆ มั่นก็งงกับชีวิตไม่แพ้กัน ชีวิตเกิดมาทำงานหนักมาตลอด ไม่เคยมีคนรับใช้จึงไม่ชิน
       จำเรียงเดินออกมาจากข้างใน
       “พ่อจ๊ะ ประเดี๋ยวหมื่นราช พันพิทักษ์ แลพันรณรงค์ จักมาขอไหว้พ่อนะจ๊ะ”
       “แล้วท่านหัวพัน หัวหมื่น จะมาไหว้ข้าทำกระไร”
       “ก็พ่อเป็นพ่อของขุนแสนศึกพ่าย ราชองครักษ์ฝ่ายขวาแห่งวังหน้าแล้วนี่จ๊ะ ก็ย่อมต้องมีคนเอาอกเอาใจเป็นธรรมดา”
       “ข้าอยากกลับไปตีเหล็กขายนัก ถึงจะลำบากยากกายแต่ก็ไม่อึดอัดใจเช่นนี้”
       “ไม่ได้นะจ๊ะ พี่เสมากำลังรุ่งเรือง หากพ่อไปตีเหล็กอีก พี่เสมาจะถูกติฉินนินทาได้ว่าเนรคุณไม่ดูแลพ่อ”
       มั่นคิดตาม จำเรียงหันมาจับมือพ่อ ยิ้มแย้มให้กำลังใจ
       “แต่หากพ่อเหงาก็สั่งสอนบ่าวไพร่ในเรือนแล้วให้ไปตีเหล็กขายแทนก็แล้วกันจ้ะ”
       มั่นถอนหายใจพลางพยักหน้ารับอย่างเซ็งๆ ประมาณว่า ยังดีกว่าไม่มีอะไรทำ จำเรียงชำเลืองมองพ่อแล้วยิ้มขำ เวลาลำบากก็บ่น พอสบายก็บ่นอีก พ่อนะพ่อ

       ภายในบ้านหลวงรามเดชะ เมื่อยามบ่าย เสมากำลังยืนอ่านพระราชโองการอยู่ โดยสิน สมบุญ หลวงรามเดชะ ลำภู และบรรดาทาสต่างคุกเข่าลงรอรับราชโองการ
       “แม้แผ่นดินจะเป็นปึกแผ่นแล้ว แต่ก็ยังมีอริราชศัตรูอีกมาก ที่คิดร้ายกับอโยธยาจึงจำต้องเกณฑ์ไพร่พลเพิ่มขึ้น โดยให้หลวงรามเดชะ ขุนแสนศึกพ่าย เป็นแม่กองฝึกทหารคู่กันแลให้พันเทพศักดิ์ พันทิพศักดิ์ เป็นครูฝึกทหารใหม่ในครานี้”
       หลวงรามเดชะถวายบังคม
       “ขอจงทรงพระเจริญ”
       เสมามอบพระราชโองการให้หลวงรามเดชะรับไป ก่อนที่รามเดชะ ลำภู สิน สมบุญ และคนอื่นๆจะลุกขึ้น เสมามองไปรอบๆเพื่อหาเรไร แต่ก็ไม่เจอ
       “ฉันต้องไปราชการหลายวัน ช่วงแรกของการฝึกคงต้องฝากฝังท่านขุนเป็นแม่กองคนเดียวก่อน”
       เสมามัวแต่มองหาเรไร เลยไม่ได้ยินที่หลวงรามเดชะพูด
       “มองหาผู้ใดรึท่านขุน” หลวงรามเดชะหน้าบึ้งตึงส่งเสียงเครียด
       เสมารู้สึกตัว
       “มิได้ขอรับ”
       สินและสมบุญเหล่มองกันแล้วก็ยิ้มขำๆที่ไม่ทันไรเสมาก็โดนหลวงรามเดชะหวงข่มซะแล้ว
       หลวงรามเดชะเหล่มองเสมาด้วยความระแวงตลอดเวลา

       เวลาต่อมา หลวงรามเดชะกำลังคุยกับลำภูด้วยสีหน้าเคร่งเครียดอยู่ในห้องนอน
       “แม่ลำภูต้องคอยจับตาดูให้ดี อย่าให้อ้ายเสมาได้ใกล้ชิดแม่เรไรเป็นอันขาด ฉันสงสัยว่าที่อ้ายเสมาได้เป็นแม่กองฝึกทหารครานี้ เป็นเพราะมันอยากใกล้ชิดแม่เรไร เพลาที่ฉันไปราชการ” หลวงรามเดชะว่า
       “คุณหลวงไม่ต้องกังวลดอก ฉันจะคอยดูทุกฝีก้าวเลยเชียว”
       “เพลานี้อ้ายเสมากินบรรดาศักดิ์ขุน แลยังรับใช้ใกล้ชิดพระพุทธเจ้าอยู่หัวองค์น้อย อำนาจบารมีมันไม่อาจดูแคลน ฉันหวั่นใจนักว่ามันจะคิดแก้แค้น” หลวงรามเดชะพูดอย่างไม่สบายใจ
       ลำภูถอนหายใจแล้วว่า
       “ไม่น่าเชื่อเลยว่าอ้ายเสมาจักรุ่งเรืองขึ้นมาถึงเพียงนี้ เรากลั่นแกล้งมันมากนัก เพราะเกรงมันจะทำให้ตระกูลเราเสื่อมเสีย แต่มันกลับจำเริญเสียยิ่งกว่าเราสนับสนุนมันเสียอีก”
       “แต่ถึงอย่างไร กำพืดอ้ายเสมาก็เป็นแค่ช่างตีเหล็ก ฉันทนไม่ได้ดอกหากต้องร่วมวงศ์วานกับมัน” หลวงรามเดชะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงรังเกียจ
       ลำภูเห็นสามีไม่พอใจก็ไม่พูดอะไรอีกเพราะรู้ดีว่า หลวงรามเดชะเป็นคนถือตัวมากไม่มีทางยอมรับเสมาเด็ดขาด

       ดวงแขกำลังหงุดหงิดใส่ขัน
       “เสมารุ่งเรืองขึ้นถึงเพียงนี้ พี่ขันจะแน่ใจได้อย่างไรว่าแม่เรไรจะไม่กลับไปหาเสมาอีก”
       “แล้วแม่ดวงแขจักให้พี่ทำเช่นไร หมั้นก็หมั้นแล้ว ท่านอากลับจากราชการเมื่อใดก็คงได้ออกเรือน”
       “แต่เพลานี้ น้องรู้มาว่าเสมาได้เป็นแม่กองฝึกทหารร่วมกับท่านอาหลวงราม แลแม่เรไรก็อยู่ที่เรือน ย่อมต้องใกล้ชิดกันทุกวัน กว่าจะถึงฤกษ์แต่ง แม่เรไรอาจเปลี่ยนใจก็เป็นได้”
       “หากแม่หญิงเรไรทำเช่นนั้นย่อมถูกตำหนิหนักนัก แลจักเสื่อมเสียมาถึงท่านอาด้วย แม่หญิงคงไม่ทำดอก” ขันพูดพลางมีสีหน้าแอบลังเล ไม่มั่นใจ
       ดวงแขยุยงต่อ
       “พี่ขันอย่าลืมซีว่าบัดนี้เสมาเป็นถึงราชองครักษ์ฝ่ายขวาแล้ว ใครจะกล้าตำหนิต่อหน้าเล่า อย่างมากก็นินทาลับหลังเพียงนั้น แต่หากเทียบกับความรุ่งเรืองในภายหน้า ก็มิแน่นักดอกว่าแม่เรไรอาจยอมแลกก็เป็นได้”
       ขันยิ่งคิดก็ยิ่งหัวเสีย
       “หากพี่ต้องแพ้อ้ายเสมา พี่ยอมตายเสียดีกว่า”
       “ถ้าเช่นนั้นก็คงเหลือทางเดียวแล้วที่จะไม่ให้แม่เรไรเปลี่ยนใจเป็นอื่น”
       ขันแววตาเป็นประกายสนใจขึ้นมาทันที
       “ทางใดกันแม่ดวงแข”
       “ไม่มีสิ่งใ จักน่ารังเกียจเหยียดหยันมากไปกว่าการเป็นหญิงชั่วคบชู้ดอก”
       ขันคิดตามอยู่ครู่นึง ก่อนจะฉุกคิดขึ้น
       “แม่ดวงแขคงไม่คิดจะให้พี่...”
       “หากพี่ขันขลาดเขลาก็ไม่ต้องทำ แต่ภาวนาเอาเองเถิดว่าแม่เรไรจะเป็นหญิงที่เห็นแก่สัตย์เหนือสิ่งใด” ดวงแขยิ้มเย้ยหยันแล้วพูดสวนขึ้น
       ขันชักลังเล ช่างใจว่าจะทำตามคำแนะนำของดวงแขดีหรือไม่ ดวงแขเหล่มองขันอย่างลุ้นๆ

       ที่บ้านใหม่ของเสมาเมื่อตอนหัวค่ำ จำเรียงกำลังคุยกับเสมาอยู่ที่กลางโถงด้วยความไม่สบายใจ
       “ดูท่าชะตาของพี่ แม่หญิง แลขุนณรงค์จักผูกกันเสียเหลือเกิน ไม่ว่าทำกระไรจึงไม่พ้นกันไปได้ เห็นทีภายหน้าคงไม่แคล้วมีเรื่องผิดใจกันอีกเป็นแน่”
       เสมาหน้าซึมลง
       “ไม่ดอก อีกไม่นานแม่หญิงก็ออกเรือนแล้ว คงไม่มีเรื่องขัดแย้งอันใดกันอีกดอก”
       จำเรียงเห็นท่าทีเสมาก็รู้ว่ายังตัดใจไม่ได้ จำเรียงยิ้มเจ้าเล่ห์เริ่มคิดแผนการบางอย่างขึ้นมา
       “เอ่อ พี่เสมาจ๊ะ พรุ่งนี้ฉันอยากไปทำบุญที่วัด พี่เสมาไปเป็นเพื่อนฉันได้หรือไม่จ๊ะ”
       “ได้ซี พรุ่งนี้ข้าไม่มีฝึกทหาร เพียงแต่ตอนสายๆต้องไปรับพ่อที่เรือนพ่อขุนพิมานเท่านั้น”

จำเรียงยิ้มกริ่ม ทุกอย่างเป็นไปตามแผน

จบตอนที่ ๑๒




Create Date : 22 พฤษภาคม 2555
Last Update : 23 พฤษภาคม 2555 8:10:44 น. 0 comments
Counter : 5460 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

atitaya_t
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




สวัสดีค่ะ ขอร่วม gang ด้วยคนค่ะ
Friends' blogs
[Add atitaya_t's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.