เก็บความทรงจำ..(^_^)..ความสนใจ โลกส่วนตัว ที่เราสร้างเอง
Group Blog
 
 
พฤษภาคม 2555
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
22 พฤษภาคม 2555
 
All Blogs
 
ขุนศึก ตอนที่ 4-3

ขุนศึก ตอนที่ ๔ (ต่อ)

ภายในบ้านตอนหัวค่ำ เรไรกำลังคุยกับขุนรามเดชะที่จุดตะเกียงอ่านจดหมายเอกสารราชการอยู่ โดยมีลำภูนั่งอยู่ใกล้ๆ

       “พรุ่งนี้เลยหรือจ๊ะ เหตุใดจึงเร็วนัก”
       “แล้วจักอยู่ให้เป็นที่ติฉินรึ กลับเข้าวังเสียโดยเร็วก็ควรแล้ว หรือแม่เรไรติดใจเรือนทาสก็บอกพ่อมา”
       “มิได้เจ้าค่ะ”
       “เมื่อเย็น หมื่นศึกกับพ่อพันฤทธิ์ก็วิวาทกันอีก แม้นจักเป็นเพราะพันฤทธิ์ทวงต้นเงิน แต่ผู้ใดก็รู้ ว่ามีเหตุมาจากแม่เรไรอยู่ก่อน หากแม่เรไรยังอยู่ที่เรือน คงไม่แคล้วปากคนอีกเป็นแน่” ลำภูว่า
       “ชายวิวาทโกรธเคืองกันเอง แต่ลูกกลับต้องโทษ แลถูกตราหน้าว่าเป็นเหตุ เช่นนี้เป็นธรรมกับลูกแล้วหรือจ๊ะแม่”
       “ถึงอย่างไรเจ้าก็ต้องกลับเข้าวัง พ่อจักได้วางใจ ว่าอ้ายเสมาหมดหนทางข้องเกี่ยวกับลูกอีก”
       เรไรเบือนหน้าหลบด้วยแววตาเศร้า
       “อ้ายชาติไพร่ แม้มันจักรุ่งเรืองขึ้นด้วยฝีมือเพียงใด พ่อก็หาชื่นชมจนหลงลืมสกุลของมันไม่”
       เรไรเงียบซึมไป หมดทางโต้แย้งทุกประตู
       เวลาต่อมา เมื่อตอนหัวค่ำ เรไรเดินเข้าห้องนอนมา ทันใดนั้น เสมาก็โหนตัวปีนเข้ามาทางหน้าต่างทันที เรไรเห็นเข้าพอดีก็ตกใจมากรีบหันไปปิดประตูทันที ก่อนจะหันมาพูดกับเสมา
       “เสมา เหตุใดทำเช่นนี้ ผิว่ามีใครเห็นเข้าจะมิเดือดร้อนกันรึ”
       “ข้าพระเจ้ามิได้อยากให้แม่หญิงต้องเดือดร้อนเลย แต่เมื่อครู่ ข้าพระเจ้าแอบฟังอยู่ใต้ถุนเรือน รู้ว่าแม่จักต้องเข้าวังวันพรึ่งแล้ว มิรู้ว่าจะได้เห็นกันอีกเมื่อใด เสมาจึงมิอาจหักใจไม่มาหาแม่ได้”
       เรไรปั้นหน้าบึ้งตึง
       “ฟังพูดเข้าเถิด เพราะทำเช่นนี้เล่า พ่อท่านถึงต้องส่งฉันเข้าวังเสีย”
       “พระคุณชังอ้ายเสมานัก จึงกันแม่หญิงให้อยู่ห่างข้าพระเจ้า แม้นอ้ายเสมาจักรับใช้สมเด็จพระราชโอรสทั้งสองจนได้กินตำแหน่งหัวหมื่นก็ยังไม่เป็นที่ต้องใจพระคุณ เห็นทีชาตินี้ ข้าพระเจ้าจะไร้วาสนาเสียแล้ว”
       เรไรหน้าขรึมลงพลางว่า
       “อย่าเพิ่งเสียน้ำใจเลย หากเสมามั่นคงในตัวฉันแล้วก็ยังพอมีหนทางอยู่”
       “หนทางกระไรรึแม่หญิง” เสมาถามขึ้นด้วยสนใจ
       “เสมาจงตั้งใจรับราชการฉลองคุณให้ดี เมื่อทำความดีความชอบเป็นที่โปรดปรานเมื่อใดก็จงขอพระราชทานตัวฉันเสีย หากมีพระบรมราชโองการลงมา แม้พ่อท่านก็ขัดมิได้ เพียงเท่านี้ เจ้ากับข้า...”
       เรพูดพลางยิ้มอายหลบตาเสมา
       เสมาคิดตามแล้วก็ยิ้มดีใจอย่างมีความหวังขึ้นมาทันที อดใจไม่ได้ที่จะดึงเรไรเข้ามาสวมกอดเอาไว้ เรไรเอียงอายรีบผละตัวออกห่างไปด้วยความรักนวลสงวนตัว เสมายิ้มฝันเฟื่องอย่างมีความหวังขึ้นมารำไร

       เช้าวันรุ่งขึ้น บรรยากาศในค่ายทหารชั่วคราว มีกระโจมมากมาย รวมทั้งมีทหารเดินเวรยามกันอย่างแข็งขัน ฝ่ายขันกำลังลับดาบกับหินลับมีดอยู่ ด้วยสีหน้าบึ้งตึง พุฒเดินเข้ามาหาขันแล้วพูดขึ้น
       “ลับดาบแต่รุ่งสางเลยรึพันฤทธิ์ จะลับคมไว้ฟันพวกข้าศึกหรือจะฟันอ้ายช่างตีเหล็กกันเล่า”
       ขันมองดูดาบด้วยสายตาเหี้ยมเกรียมแล้วว่า
       “หากอยู่ด้วยกัน ก็จักฟันให้ขาดเสียทั้งสอง จักได้สมแค้นที่สุมอกฉัน”
       “จะแค้นเคืองไปไยเล่า ถึงจะแพ้ด้วยเชิงดาบ แต่เชิงรักชำนะแน่ เพียงสิ้นศึกครานี้ พันฤทธิ์ท่านก็จักได้ออกเรือนกับแม่หญิงเรไรแล้ว”
       “ท่านกับแม่หญิงบัวเผื่อนก็เช่นกันไม่ใช่รึ จะรอช้าทำกระไร สิ้นศึกครานี้ก็ออกเรือนพร้อมเสียด้วยกันเถิด”
       “แม้นแต่พันฤทธิ์สหายเราก็ยังสำคัญว่าฉันจะออกเรือนกับแม่หญิงบัวเผื่อนรึ บอกโดยไม่อำพราง โดยรูปโฉมแลศักดิ์ของแม่บัวเผื่อนก็พึงใจอยู่ แต่พอสนิทจนอ่านใจแม่ดังอักษรเขียนแล้ว ฉันให้อายนัก แม้แต่แม่หญิงเรไรสหายรัก แม่บัวเผื่อนก็ยังประหารด้วยเล่ห์เสียได้ แล้วฉันจักวางใจได้รึ”
       หากพันจบห่างเหินแม่บัวเผื่อนในเพลานี้จะมิเสียประโยชน์รึ อีกทั้งแม่บัวเผื่อนก็มีศักดิ์คู่ควรด้วยท่านอยู่ไม่ใช่หาได้โดยง่าย”
       “การมงคลของท่านก็เป็นผลแล้วไม่ต้องพึ่งแรงนางอีก แล้วจะกลัวเสียประโยชน์อันใด ส่วนข้อที่แม่บัวเผื่อนคู่ควรด้วยฉันนั้น ฉันเห็นว่ามีอีกหญิงหนึ่ง เหมาะจะเป็นศรีเรือนของฉันมากกว่าเสียอีก”
       “ใครกันรึ”
       “ก็แม่ดวงแขน้องพันฤทธิ์ท่านน่ะซี”
       ขันผงะไปเล็กน้อย
       “มิรู้ว่าพันฤทธิ์ท่านจะคิดเห็นเช่นไร” พุฒถามขึ้น
       ขันอึ้งไปครู่ ก่อนจะแกล้งหัวเราะตบบ่าพุฒ
       “จะว่ากระไร ฉันก็ดีใจน่ะซี เราเป็นสหายร่วมใจกันมานาน ต่อไปจะได้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น”
       พุฒกระหยิ่มยิ้มย่องดีใจที่ขันเข้าข้างตน ขันแอบหน้าเครียดทันทีเพราะรู้ดีว่าพุฒเป็นคนไม่ดี ยังไงก็ไม่อยากให้ดวงแขไปยุ่งด้วย แต่เพราะขันยังคิดจะหลอกใช้พุฒต่อไปจึงต้องแสร้งต้องทำดีไว้ก่อน

       กองทัพของเจ้าพระยากำแพงเพชร สมุหกลาโหมได้ยกมาถึงทุ่งชายเคือง เพื่อคุ้มกันราษฎรให้เกี่ยวข้าว และหยั่งเชิงกองทัพของหงสาวดี ซึ่งในขณะนั้นเอง กองทัพของพระมหาอุปราชาก็ได้ยกมาถึงทุ่งชายเคืองด้วยเช่นกัน ทั้งสองฝ่าย จึงเปิดฉากสู้รบขึ้นทันที

       ผ่านไปสามสี่วัน ทหารไทยกำลังรบกับทหารพม่าอย่างดุเดือดด้วยทหารพม่ามีจำนวนพลมากกว่าเยอะ ทหารไทยถูกฆ่าตายคนแล้วคนเล่าสุดแรงที่จะต้านทาน ขันใช้ดาบสองมือ พุฒใช้กระบี่ต่อสู้กับทหารพม่าอย่างหนัก แต่ข้าศึกมาทุกทิศทุกทางจนทั้งคู่เริ่มจะแย่ พุฒและขันเหนื่อยหอบจนเกิดอาการกลัวว่าจะเสียที
       “ข้าศึกมากนักจะทำเช่นไรดี” พุฒถาม
       “หนีก่อนเถิด เอาชีวิตรอดก่อนแล้วค่อยว่ากัน” ขันว่า
       ทั้งคู่กัดฟันสู้กับข้าศึก สู้พลางถอยพลางเพื่อหนีเอาตัวรอด

       ภายในค่าย สมเด็จพระนเรศวร และสมเด็จพระเอกาทศรถ ทรงสวมชุดเสื้อเกราะประทับอยู่ในพลับพลาขนาดใหญ่ ท่ามกลางทหารจำนวนมาก สมเด็จพระนเรศวร ทรงบันดาลโทสะแล้วตรัสว่า
       “นับแต่รับศึกหงสาวดีมาช้านาน มิเคยเสียทีเช่นนี้เลย เหตุเพราะเจ้าพระยากำแพงเพชรทำศึกย่อหย่อนโดยแท้ ... ทหาร เอาตัวเจ้าพระยากำแพงเพชรแลนายกองที่พ่ายศึก ไปตัดหัวเสียให้สิ้น”
       พระเอกาทศรถพนมมือแล้วตรัสว่า
       “ขอเดชะสมเด็จพี่ แม้นเจ้าพระยากำแพงเพชรจักมีความผิด แต่ด้วยเป็นฝ่ายพลเรือนไม่สันทัดการรบมาแต่ก่อน ขอทรงโปรดละเว้นโทษตายด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้า”
       พระนเรศวรพยักหน้ารับแล้วตรัส
       “เช่นนั้นก็ได้ แต่ต้องลงโทษมิให้เป็นเยี่ยงอย่าง จงถอดออกจากที่สมุหกลาโหมเสีย ส่วนบรรดานายกองทั้งปวงให้จองจำไว้ก่อน สิ้นศึกเมื่อใดค่อยตัดสิน”
       “ชอบแล้วพระพุทธเจ้าข้า เพลานี้ข้าศึกกำลังได้ใจนัก ขืนนิ่งอยู่ให้ช้าวันเห็นมิชอบกลสงคราม ชอบแต่จะยกพยุหยาตราออกตีทัพพระมหาอุปราชาอย่าให้ตั้งอยู่ ณ ชายเคืองได้” พระเอกาทศรถตรัส
       พระนเรศวรสายพระเนตรเด็ดเดี่ยวแล้วตรัส
       “จงยกทัพบกแลทัพเรือสองร้อยลำ พร้อมด้วยสรรพยุทธปืนใหญ่มุ่งสู่ทุ่งชายเคือง ศึกนี้เราต้องชำนะเพื่อเรียกขวัญของอโยธยากลับมา”

       ในเวลาเย็น ภายในบ้านของขัน ทหารไทยสี่ห้าคนกำลังล่ามโซ่ ตีตรวนที่มือของขัน โดยมีดวงแข และอำพันนั่งกอดกันร้องไห้อยู่ใกล้ๆ
       “พ่อขัน...พ่อขันลูกแม่”
       ขันน้ำตาคลอ ก้มลงกราบเท้าแม่
       “ลูกต้องลาไปแล้ว จะได้กลับมากราบเท้าแม่อีกหรือไม่ คงสุดแต่บุญแต่กรรม”
       อำพันปล่อยโฮทันที หัวใจแทบสลาย ดวงแขร้องไห้อยู่แล้วพูดขึ้น
       “อย่าพูดเช่นนั้นเลยพี่ขัน หากสมเด็จเจ้าฟ้าวังหน้าท่านได้ชัยกลับมา ลางทีพี่อาจจะได้อภัยโทษก็เป็นได้”
       “พี่พ่ายศึก เป็นเหตุให้เสียปฐมฤกษ์ จนข้าศึกได้ใจนัก แต่ ยังไม่ถูกตัดคอเพียงให้จองจำไว้ก่อน ก็ถือว่าเป็นบุญมากแล้ว ฝากแม่ท่านด้วยแม่ดวงแข หากคุณพระคุณเจ้าคุ้มครอง พี่คงได้กลับมาหาแม่กับน้องอีก” ขันพูดน้ำตาคลอ
       ทหารคุมตัวขันไป ดวงแขและอำพันร้องไห้ด้วยความเสียใจสุดๆ เพราะกลัวว่าขันจะตายตามอาญาศึก

       ภายในพระราชวังเวลาค่ำ บัวเผื่อนกำลังร้องไห้อย่างสะอึกสะอื้น โดยมีนางข้าหลวงกลุ่มหนึ่งคอยปลอบ ในขณะที่เรไรกับนางข้าหลวงอีกกลุ่มกำลังเอาขนมใส่โถเพื่ออบควันเทียน
       “น่าสลดใจนักพ่อเอ๋ย โธ่ พันฤทธิ์ พันจบ เคยเห็นกันอยู่มิกี่วัน ใครจะนึกบ้างเล่า ว่าเคราะห์จะร้ายกาจถึงต้องประหารโดยพระบัณฑูรราชโอรสท่าน”
       เรไรทำงานเสร็จก็หันไปพูดกับบัวเผื่อน
       “เพียงถูกจองจำไว้ก่อน ยังไม่ได้ถูกประหารดอก อย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้เลยแม่บัวเผื่อน”
       “ผู้ใดก็รู้ว่าอาญาทัพนั้นแรงนัก แม้แต่ท่านเจ้าพระยากำแพงเพชรยังเกือบถูกประหาร แล้วทหารแต่เพียงหัวพัน มีหรือที่จะรอดได้ คงสมใจแม่เรไรแล้วกระมัง” บัวเผื่อนไม่วายแขวะเรไร
       “เหตุใดต้องสมใจฉันด้วย พาลแล้วแม่บัวเผื่อน”
       “ฉันน่ะรึพาล ใครก็รู้ว่าแม่เรไรพึงใจด้วยหมื่นศึก ป่านฉะนี้มิโลดหัวใจแล้วรึ เพราะที่กีดที่เกรงก็สิ้นหมดแล้ว”
       เรไรไม่พอใจ
       “นี่แม่บัวเผื่อนเห็นฉันเป็นคนอาฆาตมาดร้ายถึงเพียงนี้เทียวรึ หากเป็นเช่นนั้นจริง คนแรกที่ฉันจะสนองคืนให้สมแค้น คงเป็นแม่เพื่อนร่วมตำหนักที่ใส่ไคล้ปรักปรำจนฉันต้องโทษเป็นแน่”
       บัวเผื่อนโมโหที่ถูกเรไรด่ากระทบชิ่งเลยสะบัดหน้าเดินหนีไปพร้อมกับบรรดาข้าหลวงลูกคู่คนอื่น เรไรมองตามแล้วถอนใจส่ายหน้าอย่างปลงๆ

       พันอินมายส่งเสมาอยู่ที่ท่าน้ำและยืนคุยกัน
       “พ่อเกรงว่าศรีเมืองจะเป็นห่วง ไม่ได้กินไม่ได้นอน”
       “พ่อท่านไม่ต้องกังวลใจไป ข้าจะไปส่งข่าวให้ศรีเมืองรู้ความถึงเรือนด้วยตัวข้าเอง”
       “ขอบน้ำใจเอ็งมากเสมา”
       สมบุญพายเรือเข้ามาเทียบพร้อมตะโกนบอก
       “เรือมาแล้วจ้ะ”
       “เดินทางให้จงดี”
       เสมาไหว้ลาพันอินแล้วลงเรือไป พันอินมองส่งเล็กน้อยก่อนเดินกลับเข้าไปทำหน้าที่การงานต่อ
       สมบุญพายเรือต่อไป เสมายกเท้าลอยขึ้นเล็กน้อย
       “น้ำกระไรวะ เจิงนองไปหมด” เสมาถาม
       “เรือมันรั่วจ้ะพี่”
       “แล้วเอ็งไปเอาเรือรั่วมารับข้าทำไมอ้ายสมบุญ”
       “ก็ไม่รู้ว่ารั่วถึงเอามา”
       “ยังมาย้อนข้าอีก แล้วจะถึงกันหรือไม่”
       “ถึงอยู่แล้วล่ะจ้ะ แต่จะถึงแบบเปียกมากหรือเปียกน้อยเพียงนั้นเอง”
       เสมาเขกมะแหงกใส่กลางหัวสมบุญ
       สมบุญร้องด้วยความเจ็บเล็กน้อย
       “ช่วยข้าวักน้ำหน่อยเถิดพี่เสมา มือไม่พายก็ช่วยวักน้ำ”
       เสมาเจ็บใจปนหมั่นไส้ วักน้ำในเรือสาดใส่หน้าสมบุญจนร้องลั่น

       ศรีเมืองกำลังจุดตะเกียงปะชุนเสื้อผ้าอยู่ที่ชานบ้านเมื่อตอนหัวค่ำ ระหว่างรอพันอินกลับจากราชการอยู่ ขณะนั้นเองก็ได้ยินเสียงเสมาตะโกนเรียก
       “แม่ศรีเมืองๆ”
       ศรีเมืองจำเสียงเสมาได้จึงตะโกนตอบ
       “นั่นพี่หมื่นศึกรึ เชิญขึ้นเรือนมาเถิดจ้ะ”
       เสมาเดินขึ้นเรือนมา เนื้อตัวเปียกน้ำไปทั้งตัว
       “นั่นพี่หมื่นศึกไปทำกระไรมา เหตุใดเปียกไปทั้งตัวเช่นนี้”
       “พี่รับฝากคำพ่อพันอินให้มาบอกแม่ศรีเมือง ว่าพ่อพันอินต้องไปศึกกะทันหัน แต่ขามาน่ะซี อ้ายสมบุญดันเอาเรือท้องรั่วมาเสียได้ต้องพายไปวิดน้ำไป กว่าจะถึงจึงเปียกเช่นนี้”
       ศรีเมืองหัวเราะแล้วว่า
       “เช่นนั้นก็ขอบน้ำใจพี่หมื่นศึกมากแล้ว แล้วนี่พี่ทานกระไรมาหรือยังจ๊ะ”
       “ยังดอก พี่รับฝากคำพ่อพันอินก็รีบมาที่นี่เลย”
       “ถ้ากระนั้น ขอเชิญพี่หมื่นศึกอาบน้ำผลัดเสื้อผ้าก่อนเถิด จะได้มารับข้าวปลาแลหมากพลูด้วยกัน”
       “ขอบน้ำใจเจ้านัก”
       เสมาเดินเลี่ยงไป ศรีเมืองมองตามแล้วยิ้มบางๆ นอกจากเป็นทหารกล้าแล้ว เสมาก็มีมุมน่ารักบางมุมเหมือนกัน

       ผ่านเวลาไปสักครู่ … เสมากำลังอาบน้ำอยู่ในคลองหน้าบ้านพันอิน เสมาถูตัวไปมาอย่างผ่อนคลาย
       ศรีเมืองเดินถือตะเกียง กับกระจาดใส่เสื้อผ้ามาให้เสมาผลัดเปลี่ยน
       “พี่หมื่นศึก ฉันเอาตะเกียงแลผ้ามาให้ผลัดจ้ะ”
       “ขอบน้ำใจเจ้านัก แต่เจ้าไม่ต้องเรียกยศของพี่ดอกเรียกพี่เสมาเถิด ถึงอย่างไรเสีย เราก็เป็นลูกพ่อพันอินเช่นกัน”
       ศรีเมืองยิ้มแย้มแล้ววางโคมกับกระจาดใส่เสื้อผ้าลง
       “จ้ะ พี่เสมา”
       เสมาขึ้นจากน้ำ ในสภาพเปลือยอกนุ่งโจงกระเบนตัวเดียว ศรีเมืองเห็นเต็มๆ รีบเบือนหน้าหนีด้วยความอายทันที เสมาหยิบผ้าจากในกระจาดมาเช็ดตัวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
       “เหนียวตัวมาเสียทั้งวัน ได้อาบน้ำอาบท่า สบายตัวขึ้นมาเทียว”
       เสมาเห็นศรีเมืองหันหน้าไปทางอื่นด้วยท่าทางแปลกๆก็รู้สึกแปลกใจแล้วถามขึ้น
       “เป็นกระไรรึแม่ศรีเมือง”
       “ไม่มีกระไรจ้ะ” ศรีเมืองบอกด้วยน้ำเสียงอึกอักปากคอสั่น
       เสมา ลุกขึ้นมานั่งหน้าศรีเมืองแล้วเอามือจับหน้าผาก
       “แล้วเหตุใดเจ้าต้องตัวสั่นเช่นนี้ด้วย ได้ไข้รึ ตัวก็ไม่ใคร่ร้อนแล้วเหตุใดหน้าเจ้าแดงนัก หรือจักเป็นแสงจากคบไฟ”
       ศรีเมืองอายด้วยความประหม่ารีบตัดบท
       “เอ่อ ฉัน...ฉันไปจัดสำรับก่อนนะจ๊ะ”
       ศรีเมืองรีบเดินหนีไปทันทีด้วยความเขินอาย เสมามองตามด้วยสายตางงๆ

       บนเรือนของพันอิน เสมากำลังเปิบข้าวกินอย่างเอร็ดอร่อย โดยมีศรีเมืองทานอยู่ใกล้ๆ แต่ศรีเมืองใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เปิบข้าวไปก็ชำเลืองมองเสมาไป
       “รสมือเจ้าดีนักแม่ศรีเมือง พี่ไม่ได้กินข้าวมากเช่นนี้มานานแล้ว”
       ศรีเมืองยิ้มรับพลางกล่าว
       “ขอบน้ำใจจ้ะ”
       เสมาฃดื่มน้ำจากขันก่อนจะบอกว่า
       “อิ่มแล้วพี่คงต้องกลับก่อน เสื้อผ้านี้พี่จะซักคืนให้วันหลัง”
       “มืดค่ำแล้ว เหตุใดพี่เสมาไม่ค้างเสียที่นี่เล่าจ๊ะ”
       “พี่กลัวเจ้าถูกครหา แม้เราจะเป็นลูกพ่อพันอินเหมือนกัน แต่ก็หาใช่พี่น้องกันจริงแท้ไม่”
       ศรีเมืองยิ้มบางชื่นชมในความเป็นลูกผู้ชายของเสมา
       “พี่ไม่ต้องกลัวดอก ทุกคราที่พ่อท่านไปศึก ฉันก็ให้บ่าวไพร่มานอนหน้าห้องเป็นเพื่อน ไม่มีเสียงครหาดอกจ้ะ”
       “รอบคอบแท้ มิน่าเล่า พ่อพันอินท่านจึงให้เจ้าดูแลเรือน ผิว่าแม่ศรีเมืองออกเรือนไป พ่อพันอินคงเสียดายนัก” เสมามองศรีเมืองด้วยสายตาชื่นชม
       ศรีเมืองเห็นสายตาหวานเป็นประกายของเสมาระยะใกล้ๆก็เขินอาย หลบตา
       “ฉันไปจัดห้องหับให้พี่ก่อนนะจ๊ะ”
       ศรีเมืองรีบลุกขึ้น เดินเลี่ยงไปทันที
       เสมามองตามด้วยความงงๆ
       “ประเดี๋ยวจัดสำรับ ประเดี๋ยวจัดห้องหับ เหตุใดต้องรีบถึงเพียงนี้ด้วยประหลาดแท้” เสมายิ้มส่ายหน้าแล้วกินข้าวต่อไป

       ในเวลาต่อมา ศรีเมืองพยายามข่มตายังไงก็ไม่หลับซะที พลิกไป พลิกมา นอนไป อมยิ้มไปอยู่ในห้องนอน เสียงขลุ่ยดังแว่วมาด้วยท่วงทำนองหวานซึ้งจับใจ ศรีเมืองนึกแปลกใจจึงเปิดมุ้งออกมาเพื่อหาที่มาของเสียง ศรีเมืองเปิดหน้าต่าง เห็นเสมากำลังนั่งเป่าขลุ่ยอยู่ที่หน้าเรือน
       เสมาเป่าขลุ่ยด้วยท่วงทำนอง หวานซึ้ง แสดงถึงความละเมียดละไมภายในจิตใจของเสมาที่ไม่ได้มีเฉพาะความเข้มแข็งดุดันเท่านั้น ศรีเมืองมองเสมาด้วยสายตาปลาบปลื้ม นานวัน ความรักที่ศรีเมืองแอบมีให้กับเสมายิ่งมากขึ้นทุกทีแม้จะเป็นรักข้างเดียวก็ตาม

       เช้าวันหนึ่ง สมเด็จพระนเรศวรและสมเด็จพระเอกาทศรถ ทรงขี่ม้านำกองทหารจำนวนมากกลับเข้า
       พระนคร ท่ามกลางชาวบ้านจำนวนมากที่ก้มหน้าลงกับพื้นหมอบกราบเพื่อรอรับเสด็จเต็มสองข้างทาง เมื่อสมเด็จพระนเรศวรทรงขี่ม้าเลยผ่านกลุ่มชาวบ้านที่มาชื่นชมในพระบารมีไป ชาวบ้านก็พากันตะโกนโห่ร้อง “ทรงพระเจริญๆๆๆ” ตามหลังขึ้นพร้อมกัน ความฮึกเหิมของคนไทยที่กลับมาเต็มเปี่ยมอีกครั้ง

(หมายเหตุ - ในสมัยนั้น ห้ามไม่ให้ประชาชนดูหน้าพระมหากษัตริย์ หรือเจ้าฟ้า เพื่อป้องกันการลอบสังหาร ใครเงยหน้าขึ้นมองต้องถูกยิงตาบอด ซึ่งกฎนี้มายกเลิกในสมัยสมเด็จพระนเรศวรเป็นพระมหากษัตริย์)

       สมเด็จพระนเรศวรทรงยกทัพ ทั้งทางบกทางเรือ เข้ารบกับทัพของพระมหาอุปราชาที่ทุ่งชายเคือง เพื่อเรียกขวัญกำลังใจของกรุงศรีอยุธยากลับมา การรบถึงขั้นตะลุมบอนอย่างดุเดือด จนในที่สุดก็สามารถตีทัพของพระมหาอุปราชา พ้นทุ่งชายเคืองไปจนได้

       ยามสายวันหนึ่ง ขันเดินกลับขึ้นเรือนมา ด้วยใบหน้าเซื่องซึม ดวงแขและอำพันก็รีบเข้าไปกอดขันทันทีด้วยความดีใจ
       “พ่อขัน กลับมาแล้วหรือลูก บุญกุศลคุ้มครองโดยแท้”
       ขันฝืนยิ้มพลางบอก
       “ถึงจักรอดจากโทษประหาร แต่ลูกก็ถูกถอดจากตำแหน่งกลับมาเป็นหมู่เหมือนเมื่อแรกแล้วแม่เอ๋ย”
       “ยศศักดิ์ก็เหมือนไม้ใกล้ทาง ไม่เลือกไพร่ผู้ดีดอก เพียงท่านโปรดละเว้นชีวิตให้นี้ก็กุศลอยู่นักแล้ว อย่าเสียดายเลยพี่ขัน” ดวงแขว่า
       ขณะนั้นเอง ขุนรามเดชะก็ออกมาจากข้างในบ้าน พอขันเห็นก็ยกมือไหว้
       “นี่ท่านอามานานแล้วรึขอรับ”
       “สักพักใหญ่แล้ว อาไม่รู้ว่าพ่อขันพ้นโทษวันนี้ กำลังคุยกับแม่อำพันถึงพ่อขันกับแม่เรไรอยู่เทียว”
       ขันอดระแวงจนต้องชักหน้าบึ้งตึงขึ้นทันที
       “คุยกันเรื่องกระไรรึขอรับ หรือท่านอาเห็นข้าพระเจ้าวาสนาเสื่อมถอยสิ้นแล้ว จึงจะถอนเลิกคำสัญญา ระหว่างข้าพระเจ้ากับแม่หญิงเรไรเสีย”
       “เอ๊ะ พ่อขันหลานเรา ไฉนพูดแรงปานนี้ เหมือนดูแคลนสิ้นนับถือกันแล้ว” ขุนรามเดชะพูดอย่างไม่พอใจ
       ขันถึงกับหน้าเสียไป อำพันรีบดุลูก
       “มิสมควรเลยพ่อขัน แม่เป็นฝ่ายร้อนใจด้วยเห็นว่า พ่อขันต้องอาญา เกรงว่าแม่เรไรจักพลอยผิดไปด้วย ออกขุนท่านยังปลอบใจแม่ แลบอกข่าวพ่อขันได้พระราชทานอภัยโทษแล้ว ควรรึที่พ่อขันจักล่วงเกินออกขุนท่าน”
       ขันรีบคุกเข่าลงไหว้ขุนรามเดชะทันที
       “ข้าพระเจ้าขอขมาโทษท่านอาด้วยขอรับ ด้วยข้าพระเจ้าเพิ่งพ้นโทษมาสู่เหย้า น้ำจิตที่ตระหนกนักก็ย่อมจะหวั่นวุ่นอยู่ ขอท่านอาโปรดอภัยด้วยเถิดขอรับ”
       ขุนรามเดชะถอนใจ
       “ช่างเถิด อาไม่ถือโทษโกรธเคืองดอก”
       อำพันรีบปั้นยิ้มไกล่เกลี่ย
       “นี่ก็ใกล้เที่ยงแล้ว ขอเชิญท่านขุนรับสำรับด้วยกันเถิดจ้ะ ฉันเตรียมของคาวหวานไว้หลากหลายนัก”
       “ขอบน้ำใจนักแม่อำพัน”
       ขุนรามเดชะเดินตามอำพันเข้าข้างในไป เหลือขันกับดวงแขสองคน ขันถอนใจแล้วลุกขึ้นยืน
       “พี่ขัน เมื่อครู่ก่อนพี่มา พ่อเฒ่ามั่นได้เอาเบี้ยมาชดใช้หนี้แล้ว”
       “กระไร รวบรวมได้ครบแล้วรึ”
       “ยังดอกจ้ะ ได้เพียงกึ่งหนึ่ง แต่น้องอยากจะขอให้พี่เมตตารับเอาไว้ก่อนเถิด อย่าเพิ่งบังคับเอาจำเรียงมาเป็นทาสเลย”
       ขันเหยียดปาก สีหน้าแววตาร้าย

       จำเรียงถือห่อผ้าลงจากเรือนพร้อมกับร้องไห้สะอึกสะอื้นน้ำตานองหน้า โดยมีเอื้อยแตงเดินตามออกมาส่ง ขณะที่เสมาและดวงแขยืนรออยู่หน้าเรือนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด จำเรียงสะอึกสะอื้นแล้วพนมมือไหว้ดวงแข
       “แม่หญิงเจ้าคะ จำเรียงต้องไปเป็นทาสในเรือนแม่หญิงแล้ว ขอจำเรียงลาพ่อกับแม่ก่อนได้หรือไม่เจ้าคะ พ่อกับแม่ไปเร่ขายเหล็กอยู่ เพลาเย็นก็จะกลับแล้ว”
       “ใช่ว่าฉันใจไม้ไส้ระกำดอกนะ แต่ฉันจนใจด้วยพี่ขันเร่งรัดอยู่ จำเรียงไปกับฉันก่อนเถิด ไว้ภายหลังค่อยให้พ่อลุงกับแม่ป้าไปเยี่ยมเยียนที่เรือน ฉันไม่หวงห้ามดอก”
       เอื้อยแตงเบะปากหมั่นไส้ดวงแข แกล้งพูดลอยๆขึ้น
       “ประเสริฐแท้ ดอกเบี้ยออกแพงโข ชดใช้กึ่งหนึ่งยังต้องไปเป็นทาส จะร่ำลาพ่อแม่ก็มิได้ แต่พูดราวกับมีน้ำใจนัก” พูดจบเอื้อยแตงยังทิ้งค้อนให้ดวงแขอีกขวับใหญ่
       ดวงแขไม่พอใจที่เอื้อยแตงแขวะจึงเหล่มองเอื้อยแตงหน้าตึง ก่อนจะเดินเลี่ยงนำไป
       “ฉันไปรอที่ท่าน้ำก่อน จำเรียงรีบตามมาเถิด”
       เอื้อยแตงไม่วายเบะปากตามหลัง ก่อนจะหันไปพูดกับเสมา
       “พาจำเรียงหนีเถิดพี่เสมา เหตุใดจักยอมให้จำเรียงไปเป็นทาสเล่า”
       “ไม่ได้ดอก ถึงอย่างไรก็ยืมเบี้ยมาจริง แม่ท่านก็หายไข้ด้วยเบี้ยนี้ จะคดโกงได้กระไร”
       “ฉันหาแยกออกไม่ว่าพี่เป็นคนดีหรือโง่แท้”
       “แตงเจ้า ฉันฝากพ่อกับแม่ด้วยเถิด หากว่างเมื่อใด โปรดมาเยี่ยมเยียนแทนฉันบ้าง”
       “วางใจเถิดจำเรียง ฉันจักหมั่นดูแลพ่อลุงกับแม่ป้าเอง” เอื้อยแตงว่า
จำเรียงพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินร้องไห้สะอึกสะอื้นไปหาดวงแข เอื้อยแตงหน้าหงิกงอกอดอกแน่น เจ็บแค้นใจแทนจำเรียง เสมาได้แต่มองตามน้องด้วยความห่วงใย แต่ก็สุดปัญญาจะช่วยเหลือจริงๆ

อ่านต่อหน้า ๔

เกร็ดความรู้เกี่ยวกับขุนศึก

๒๘. โทษประหารชีวิต ในสมัยอยุธยาเป็นโทษที่ร้ายแรงที่สุด โดยปกติจะใช้ดาบตัดคอผู้กระทำความผิด แต่ถ้าเป็นความผิดฐาน “กบฏ” จะมีการประหารอย่างโหดเหี้ยมถึง 21 วิธี

๒๙. ทาสสินไถ่ เป็นทาสชนิดหนึ่งใน 7 ชนิด เกิดจากผู้ที่ยากจนเลี้ยงดูตนเองหรือครอบครัว
ไม่ได้ หรือผู้ที่ติดหนี้แล้วไม่มีเงินชดใช้ จนต้องขายตัวเองหรือคนในครอบครัวมาเป็นทาส
โดยสามารถเป็นอิสระได้ เมื่อมีการนำเงินมาไถ่ถอน
//www.manager.co.th/Drama/ViewNews.aspx?NewsID=9550000052896&Page=3



Create Date : 22 พฤษภาคม 2555
Last Update : 22 พฤษภาคม 2555 11:54:07 น. 0 comments
Counter : 1080 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

atitaya_t
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




สวัสดีค่ะ ขอร่วม gang ด้วยคนค่ะ
Friends' blogs
[Add atitaya_t's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.