เก็บความทรงจำ..(^_^)..ความสนใจ โลกส่วนตัว ที่เราสร้างเอง
Group Blog
 
 
พฤษภาคม 2555
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
22 พฤษภาคม 2555
 
All Blogs
 
ขุนศึก ตอนที่ 5-4 , 6-1

ขุนศึก ตอนที่ ๕ (ต่อ)

เวลาเย็น ภายในพระบรมมหาราชวัง ขุนรามเดชะกำลังหมอบกราบอยู่กับพื้นเพื่อทูลให้สมเด็จพระนเรศวรกับสมเด็จพระเอกาทศรถทรงทราบ

       “ข้าพระพุทธเจ้า ได้รับปากหมั้นหมายลูกกับหมื่นชาญณรงค์แล้วพระพุทธเจ้าข้า”
       “หมั้นหมายแล้วรึ แต่ที่เราได้ยินมา บุตรสาวเจ้ายังไม่ได้ผูกข้อไม้ข้อมือ เพราะเหตุที่มีผู้ลอบเผาเรือนจนวุ่นวายก่อนไม่ใช่รึ”
       ขุนรามเดชะจำเป็นต้องพูดปด แม้จะกลัวอาญาอยู่เหมือนกัน
       “ถูกแล้วพระพุทธเจ้าข้า แต่ในศึกละแวกครานี้ หมื่นชาญณรงค์ได้ขอหมั้นหมายแม่เรไร อีกข้าพระพุทธเจ้าตกปากรับคำ แลรับของหมั้นหมายมาแล้วพระพุทธเจ้าข้า”
       “แต่หากเป็นพระราชประสงค์ หม่อมฉันก็พร้อมคืนของหมั้นให้แก่หมื่นชาญณรงค์เพคะ” ลำภูว่า
       “ไม่ต้องดอก ทำเช่นนั้นก็เหมือนดั่งเราทำให้พวกเจ้าเสียสัตย์ แล้วเราจะตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรมได้อย่างไร”
       พระเอกาทศรถทรงตรัสว่า
       “เมื่อไม่อาจพระราชทานนางข้าหลวงเรไรได้ สมเด็จพี่ก็พระราชทานของอื่น ให้แก่ขุนศึกไชยชาญแทนเถิด พระพุทธเจ้าข้า”
       “คงต้องเป็นเช่นนั้น”
       ขุนรามเดชะและลำภูกราบบังคมทูลด้วยสีหน้าซีดเผือด หวาดกลัวสุดๆ เพราะไม่อยากได้เสมาเป็นเขย

       ในเวลาต่อมา ขุนรามเดชะ กำลังเดินคุยกับลำภูมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
       “ครานี้ฉันกลัวเจียนตาย หากองค์สมเด็จเจ้าฟ้าท่านทรงทราบว่าเราโป้ปด คงไม่แคล้วโดนตัดคอเป็นแน่” ลำภูว่า
       “เราไม่ได้ปดเรื่องใหญ่โตกระไร เพียงแต่ทูลท่านว่าแม่เรไรหมั้นหมายกับพ่อขันแล้วเท่านั้น ใช่ว่าฉันอยากจะทำ แต่แม่ลำภูทนได้รึที่จะมีลูกเขยเป็นอ้ายช่างตีเหล็กต่ำสกุลเช่นนั้น”
       “ยังจะพูดอีกรึท่านขุน ถ้าฉันทนได้จะเสี่ยงโดนตัดคอหากระไรเล่า” ลำภูทิ้งค้อนใส่ขุนรามเดชะ
       “ต้องขอบน้ำใจแม่ดวงแขโดยแท้ หากแม่ดวงแขไม่แจ้งแก่เราก่อนว่า อ้ายเสมาจะมาไม้นี้ เราคงแก้ไขไม่ทันเป็นแน่ อ้ายเสมา น้ำมะหน้าอย่างมึง คิดจะมาร่วมวงศ์กับกู รอกูตายเสียก่อนเถิด”

       เสมาเดินถือตะเกียงคุยกันมากับจำเรียงยามค่ำ เสมาสีหน้าผิดหวังมาก
       “สมเด็จเจ้าฟ้าวังหน้าท่านทรงทศพิธราชธรรม หามีพระประสงค์ให้ออกขุนรามเดชะต้องเสียสัตย์ไม่ พี่จึงไม่ได้รับพระราชทานแม่หญิงเรไรหากแต่ได้เครื่องประดับยศแลเงินทองมาแทน”
       “อย่าเสียน้ำใจเลยพี่เสมา หากพี่กับแม่หญิงเรไรเป็นคู่กันแล้ว ก็คงไม่หนีกันไปได้ดอก”
       “พี่ก็คิดเช่นนั้น เอ้อ แต่ได้พระราชทานเงินทองมาครานี้ พี่จะเอาไปไถ่ตัวเอ็ง เอ็งจะได้เป็นไทไม่ต้องเป็นทาสอีกแล้วจำเรียง”
       จำเรียงหน้าเสียลงทันที
       ขณะนั้นเอง มั่น และบุญเรือนก็หอบห่อผ้าเดินถือตะเกียงผ่านมา เสมาส่องตะเกียงดูชัดๆ ก็แปลกใจ “อ้าว พ่อกับแม่จะไปที่ใดเล่า มืดค่ำแล้ว เหตุใดจึงไม่อยู่ที่เรือนเล่าจ๊ะ”
       บุญเรือนน้ำตาคลอขึ้นมาทันที
       “นี่เอ็งยังไม่แจ้งอีกรึเสมา”
       “แจ้งกระไร เกิดเหตุใดขึ้นหรือแม่”
       บุญเรือนร้องไห้สะอึกสะอื้น
       “พอสิ้นศึก ข้ากับพ่อเอ็งก็กลับมาที่เรือน แต่ข้าศึกมันเผาบ้านเรือนละแวกนี้วอดวายสิ้น มิหนำซ้ำโรงเหล็กพ่อเอ็งก็พังพินาศอีก เราสิ้นเนื้อประดาตัวแล้วเสมาเอ๋ย”
       เสมาตกใจแทบช็อก คิดไม่ถึงว่าจะหมดตัวในพริบตา จนอยู่แล้วยังจนหนักไปอีก
       “ข้ากับแม่เอ็ง จะไปพึ่งใบบุญขรัวตาวัดพนัญเชิง รุ่งสางขรัวตาท่านจะแจกไม้เป็นทานข้าจะได้เอามาสร้างเพิงอยู่ซุกหัวนอนไปก่อน พ่อไปก่อนเสมา ผู้คนไม่มีบ้านเรือนอยู่มีมากนัก หากช้าจะไม่มีไม้เหลือให้เรา”
       มั่นและบุญเรือนเดินเลี่ยงไป เสมาซึมลงไปทันที จำเรียงน้ำตาคลอและร้องไห้ออกมา
       “เงินทองที่พี่ได้พระราชทานมา อย่าเพิ่งนำมาไถ่ตัวฉันเลย เก็บไว้ปลูกเรือนกับโรงเหล็กให้พ่อแม่ใหม่เถิด ฉันสงสารพ่อกับแม่เหลือเกินแล้ว”
       เสมาขบกรามแน่น นึกน้อยใจในโชคชะตาจนพูดไม่ออกดึงน้องสาวเข้ามากอดเอาไว้
       “เอ็งกตัญญูดีนักจำเรียง ข้าจักต้องไถ่เอ็งเป็นไทให้ได้ในเร็ววัน”
       จำเรียงได้แต่ร้องไห้กอดพี่ชายเอาไว้ เสมามีสีหน้ามุ่งมั่นต้องช่วยจำเรียงให้ได้

       ย่ำดึกใกล้เช้ารุ่ง ทาสหญิงเดินถือตะเกียงนำศรีเมืองลงจากเรือน พอลงมาก็เห็นเงาตะคุ่มๆของคนนอนอยู่ที่แคร่หน้าบ้าน
       “ประเดี๋ยวเจ้าค่ะแม่หญิง ผู้ใดมานอนก็หารู้ไม่ ระวังเจ้าค่ะ” ทาสพูดขึ้นอย่างตกใจพลางหันซ้ายหันขวา เห็นท่อนไม้ก็หยิบขึ้นมาเตรียมพร้อม
       ศรีเมืองรับตะเกียงจากทาสมาแล้วค่อยๆย่องไปส่องดู เลยเห็นว่าเป็นเสมานั่นเองที่มานอนขดตัวด้วยความหนาวอยู่บนแคร่ เสมาโดนแสงตะเกียงส่องหน้าเลยตื่นขึ้นมา ศรีเมือง ถามขึ้นด้วยความแปลกใจ
       “พี่เสมา เหตุใดมานอนตรงนี้ ไม่ขึ้นไปนอนเสียบนเรือนเล่าจ๊ะ”
       “พี่มาถึงเรือนก็ดึกแล้ว จะปลุกก็เกรงใจนัก จึงนอนบนแคร่ไปก่อนกะว่ารุ่งสางเมื่อใดก็จะไป”
       “แล้วเหตุใดพี่เสมาไม่กลับไปที่เรือนของพี่เล่าจ๊ะ สิ้นศึกแล้วมิใช่รึ”
       เสมาหน้าเศร้าลงไปอย่างเห็นได้ชัด ศรีเมืองมีสีหน้าสงสัยอยากรู้

       ศรีเมืองเดินถือเสื้อของพันอินออกมาจากข้างใน เพื่อเอามาให้เสมาที่นั่งรออยู่
       “นี่หากฉันไม่ตื่นขึ้นมาหุงหาข้าวปลาแล้ว พี่คงนอนตากน้ำค้างถึงรุ่งสางเป็นแน่”
       “ เพลานี้อย่าว่าแต่ตากน้ำค้างเลย แค่มีที่ซุกหัวนอนก็บุญหนักหนาแล้ว แม้แต่เรือนยังไม่มีอยู่ คงไม่มีท่านขุนผู้ใดในอโยธยาเป็นเยี่ยงข้าอีกแล้ว”
       “อย่าเสียน้ำใจไปเลยพี่เสมา กระไรเสียพี่ก็ยังมีเบี้ยมีอัฐปลูกเรือนแลโรงเหล็กใหม่ได้ ไม่ถือว่าร้ายไปเสียทั้งหมดดอก...ฉันเอาเสื้อของพ่อมาให้พี่ผลัดจ้ะ พี่จะได้สบายตัวขึ้น นอนหมกเหงื่ออยู่ได้ทั้งคืน”
       “ขอบน้ำใจนักแม่ศรีเมือง”
       เสมาถอดเสื้อออก ศรีเมืองหยิบเสื้อที่เสมาเพิ่งถอดเพื่อจะเอาไปซัก เสมาดึงเสื้อไว้อย่างเกรงใจ
       “แม่ศรีเมืองจะซักเสื้อให้พี่รึ”
       “จ้ะ เสื้อพี่เปรอะนัก ประเดี๋ยวฉันซักให้” ศรีเมืองจะดึงเสื้อไป
       เสมารีบดึงไว้แล้วบอก
       “ไม่ต้องดอก แค่พี่มารบกวนก็เกรงใจมากโขแล้วเสื้อตัวเดียวพี่ซักได้”
       “จะเกรงใจกระไร ให้ฉันซักเถิด”
       ศรีเมืองจะดึงเสื้อไปอีก เสมาดึงเสื้อคืนกลับมา
       “ไม่เป็นไรดอก”
       เสมาออกแรงมากไปหน่อย ศรีเมืองเลยเสียหลักโผเข้าหาเสมา เสมาเลยรีบกอดศรีเมืองไว้ตามสัญชาติญาณ เพื่อกันไม่ให้ศรีเมืองล้ม ใบหน้าศรีเมืองแนบกับอกเปลือยเปล่าของเสมา ศรีเมืองถึงกับใบหน้าร้อนผ่าว ใจเต้นแรงอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน
       ขณะนั้นเอง พันอินก็เดินขึ้นเรือนมา พันอินเห็นภาพศรีเมืองกอดกับเสมาเข้าเต็มๆตา เสียงของขุนรามเดชะก็ดังก้องขึ้นมาในหัวทันที
       “พูดไปก็อับอายนัก เอาเป็นว่าหากอ้ายเสมามันกระทำบัดสีกับแม่ศรีเมืองถึงบนเรือนของพี่พันอินบ้าง พี่พันอินยังจะเลี้ยงมันไว้อีกหรือไม่เล่า”
       ยิ่งเห็นคาตาแบบนี้ พันอินยิ่งโกรธสุดๆ
       “อ้ายเสมา”
       เสมา และศรีเมืองตกใจ รีบผละออกจากกันทันที พันอินมองเสมาด้วยสายตาโกรธจัด ราวกับจะกินเลือดกินเนื้อเดินหัวเสียกลับไปทางห้องนอน เสมาและศรีเมืองหันมามองหน้ากันด้วยสีหน้าไม่สบายใจมาก

       พันอินกำลังโกรธจัดนั่งอยู่ที่เตียง โดยมีเสมา และศรีเมืองนั่งพับเพียบอยู่ต่อหน้าด้วยความกลัวเกรง
       “เสียแรงที่พ่อรักเจ้า เจ้ากลับทำได้...ศรีเมืองก็ประหนึ่งลูกเราแท้ๆ แลเจ้านี้ก็ชอบรักอยู่กับแม่เรไรมิใช่รึ เหตุใดจึงทำเช่นนี้”
       “มิใช่เช่นนั้นเลยพ่อท่าน ลูกได้กราบเรียนไปสิ้นแล้ว” ศรีเมืองว่า
       “พอเถิด เจ้าคิดว่าพ่อจะโง่งมจนหลงเชื่อคำแก้ตัวของเจ้ารึศรีเมือง ไป ออกไปจากห้องได้แล้ว พ่อต้องการคุยกับขุนศึกไชยชาญเพียงลำพัง”
       ศรีเมืองจนปัญญา เสียใจที่เกิดเรื่องนี้ขึ้นแต่ก็ไม่กล้าขัดคำสั่งพ่อ ได้แต่เหลียวมองเสมาอีกครั้ง ก่อนจะเดินออกจากห้องนอนของพันอินไป
       “ใช่จักพูดลำเลิก แต่หากเจ้ายังเห็นว่าพ่อมีบุญคุณแก่เจ้าบ้างจักรับคำเพื่อแทนคุณพ่อสักครั้งได้หรือไม่”
       เสมาพนมมือ
       “แม้จักตัวตายก็ขอรับคำ สุดแต่พ่อท่านจักเมตตาใช้เถิด”
       “ขอบน้ำใจเจ้า ที่พ่อจะขอก็ไม่ใช่กระไรดอก เพียงแต่ขอให้ออกขุนไปพ้นเรือนเราเสียแต่ประเดี๋ยวนี้ เพราะขืนอยู่สืบไป พันอินก็จะไม่พ้นขายหน้า”
       เสมาอึ้งไปครู่หนึ่ง รู้ว่าพูดอะไรไปก็ไม่มีผลแล้ว
       “แม้ไม่มีประการอื่นจักสนองได้แล้ว ข้าพระเจ้าก็ขอรับคำพ่อท่าน”
       เสมาก้มลงกราบ พันอินเบือนหน้าไปทางอื่น เจ็บปวดใจที่สุด

       เวลาผ่านไปเล็กน้อย เสมากำลังจะเดินลงจากเรือน ศรีเมืองเดินเข้ามาหาเสมาด้วยน้ำตานองหน้า
       “พี่เสมา...”
       “พี่ลาก่อนแล้วศรีเมืองเอ๋ย พูดกระไรไปพ่อท่านก็หาเชื่อถือไม่ หากบุญยังมี พี่คงได้กลับมาแทนคุณพ่อท่านอีก”
       ศรีเมืองร้องไห้เสียใจกำลังจะพูดต่อ แต่พันอินตามออกมาก่อน
       “แม่ศรีเมือง จะต้องหุงหาข้าวปลาไม่ใช่รึ รีบไปทำเถิด”
       ศรีเมืองขัดพ่อไม่ได้เลยเดินร้องไห้เลี่ยงไป เสมาก็ไม่รู้จะทำยังไงจึงเดินลงจากเรือนไปด้วยท่าทางเศร้าๆ เสมาหันกับมามองทางพันอินอีกครั้ง พันอินเลี่ยงที่จะเบือนหน้าไปทางอื่นแทน เสมาเดินคอตกจากไป
       พันอินมองตามเสมาไปด้วยความเจ็บใจพลางพึมพำว่า
       “กลับจากศึกครานี้ ตั้งใจจักมาเตือนแลหามูลนายให้สังกัดโดยแท้ จะได้สุขสบายเสียที แต่เมื่อเนรคุณเช่นนี้ก็ลำบากยากจนต่อไปเถิด”
       พันอินเดินกลับเข้าเรือนไปด้วยความรู้สึกผิดหวังปนหัวเสีย

       ขุนรามเดชะตบมือลงบนตักขณะคุยอยู่กับพันอิน โดยมีศรีเมือง เรไรนั่งพับเพียบอยู่ใกล้ๆ
       “เป็นกระไรเล่า ฉันกะแล้วว่าสักวันอ้ายเสมา มันต้องเนรคุณเป็นแน่ ครานี้พี่พันอินคงเชื่อฉันแล้วกระมัง”
       “หากมิใช่ฉันต้องตรวจตราอาวุธแลเสบียงเพื่อทำบัญชีส่งแล้ว ฉันก็คงไม่ได้กลับเรือนตอนใกล้รุ่งดอก เดชะบุญแท้ เทวดาท่านคงอยากให้ฉันเห็นหน้าอ้ายคนกินบนเรือนขี้รดบนหลังคา ว่าหน้าตาเป็นเช่นไร”
       “อ้ายเสมามันเจ้าชู้ไม่เลือก เพราะถือดีในฝีมือว่ากล้าแข็ง แต่คนเนรคุณ มันไม่จำเริญดอก”
       “ฉันเห็นจริงตามที่ออกขุนว่าทุกประการแต่ก็ให้ห่วงศรีเมืองนัก เกรงว่าอ้ายเสมาจะย้อนมาอีก จึงอยากจะขอฝากแม่ศรีเมืองกับแม่เรไร ให้แม่ศรีเมืองได้เข้าไปอยู่ในรั้วในวัง จะได้พ้นจากอ้ายเสมา”
       “ได้ซีพี่พันอิน เรื่องเพียงเท่านี้หาได้ยากเย็นกระไรไม่ จริงหรือไม่แม่เรไร”
       เรไรโกรธเสมามาก แต่พยายามระงับอารมณ์เต็มที่
       “เจ้าค่ะ”
       “ถ้ากระนั้นก็ขอบน้ำใจออกขุนนัก ไหว้พี่เรไรเค้าเสียซี แม่ศรีเมือง” พันอินหันไปพูดกับศรีเมือง
       “ฉันไหว้จ้ะ แม่หญิงเรไร”
       เรไรรับไหว้ แต่ก็แอบมีสีหน้าตาปั้นปึ่ง มองสำรวจศรีเมืองหัวจรดเท้าด้วยความหึงหวง

       ภายในตำหนัก เวลาบ่าย ศรีเมืองกำลังหัดร้อยมาลัยอยู่กับข้าหลวงกลุ่มหนึ่ง บัวเผื่อนกำลังคุยอยู่กับเรไรและ ดวงแข บัวเผื่อนยิ้มขำ
       “บุตรีพันอินทราชงามเช่นนี้นี่เอง ขุนศึกไชยชาญถึงอดใจไว้ไม่ไหว”
       ดวงแขแกล้งปรามพลางเหล่ไปทางเรไร
       “พูดกระไรเช่นนี้แม่บัวเผื่อน คิดถึงใจแม่เรไรบ้างเถิด”
       เรไรหน้าตาบึ้งตึงยังโกรธเสมาอยู่
       “ไม่เป็นกระไรดอก แม่บัวเผื่อนพูดถูกแล้ว ชายหลายใจเช่นนี้ เจอหญิงใดก็คงไม่แคล้วทำเจ้าชู้ใส่ทุกรายไป”
       “วิสัยชายก็เป็นเช่นนี้แทบทุกคน จะหาผู้ใดรักเดียวใจเดียวเช่นท่านอาขุนรามนั้นยากนัก สำคัญที่เค้ายกเราไว้เป็นหนึ่งก็เพียงพอแล้ว” ดวงแขบอก
       “หญิงอื่นคงเพียงพอ แต่หาใช่ฉันไม่ เพราะฉันเกลียดชายหลายใจไร้สัตย์เช่นนี้เป็นที่สุด”
       เรไรสะบัดหน้าเดินหนีไปทางอื่นด้วยความโมโหหึง บัวเผื่อนมองตามเรไรแล้วว่า
       “อ้าว เคืองจนหนีไปเสียแล้ว เช่นนี้ผู้ใดจะอยู่สอนงานแม่ศรีเมืองเล่า ฉันก็มีงานเสียด้วย”
       ดวงแขหันไปมองศรีเมืองด้วยสายตาชิงชังพลางบอก
       “ไม่ต้องวิตกไปดอก ฉันพอว่างอยู่ จะสอนงานแม่ศรีเมืองให้เอง”

       ผ่านเวลาไปสักพัก … วันหนึ่ง ดวงแขยกหม้อแกงดินเผาไปเททิ้งออกนอกหน้าต่างจนหมด ท่ามกลางความตกใจของศรีเมืองและข้าหลวงคนอื่นๆ
       “ฝีมือครัวฉันใช้ไม่ได้ถึงเพียงนี้เลยหรือจ๊ะแม่หญิงดวงแข แม่หญิงถึงต้องเททิ้งจนสิ้น”
       ดวงแขสีหน้าเย็นชา พูดหน้านิ่ง
       “หากเป็นชาวบ้านร้านถิ่น ก็ไม่เลวนักดอก แต่ไม่ใช่ที่ชาววังจะกินกัน”
       “แล้วชาววังกินรสใดเล่าจ๊ะ ฉันจะได้ทำให้ถูกปาก”
       “แม่ศรีเมืองทำไม่ได้ดอก คงต้องสอนกันอีกมาก ไม่เพียงแต่กับข้าวกับปลา งานฝีมืออื่นก็ยังหยาบนัก หากผู้อื่นรู้ว่าเป็นคนตำหนักนี้ คงขายหน้าไปทั่ว”
       ศรีเมืองหน้าเสียสุดๆ ไม่คิดว่าจะถูกตำหนิขนาดนี้ เล่นเอาแทบหมดกำลังใจ ดวงแขแอบยิ้มเยาะอยู่ในที ขณะนั้นเอง บัวเผื่อนก็เดินหน้าตาตื่นเข้ามา
       “แม่ดวงแข เร็วเถิด รีบขึ้นไปตำหนักประเดี๋ยวนี้”
       “มีกระไรรึแม่บัวเผื่อน เหตุใดทำสีหน้าเช่นนั้น”
       “พ่ออยู่หัวทรงพระประชวรหนักนัก คืนนี้ เห็นทีต้องผลัดเวรกันเข้าเฝ้าแล้ว”
       ดวงแขหน้าเครียดทันที เมื่อรู้ว่าพระมหาธรรมราชาทรงประชวรหนักขึ้น รีบตามบัวเผื่อนไป ศรีเมืองมองตามไปด้วยสีหน้าตกใจกับข่าวทรงประชวรที่เพิ่งได้ยินอย่างมาก

       ยามบ่ายในห้องพระบรรทม สมเด็จพระนเรศวรกำลังประคองพระมหาธรรมราชาลุกขึ้นนั่ง โดยมีสมเด็จพระเอกาทศรถอยู่ใกล้ๆ พระมหาธรรมราชาทรงพระกรรสะ (ไอ) อยู่ตลอดเวลา
       “ ได้ไข้ครานี้ พ่อทรุดลงเร็วนัก คงจักชรามากแล้วจริงๆ”
       สมเด็จพระเอกาทศรถตรัสว่า
       “สมเด็จพ่อทรงอย่าตรัสเช่นนี้เลย ยังแข็งแรงอยู่มากนักจะชราได้อย่างไร”
       “พ่อเจ็ดสิบกว่าแล้ว ยังไม่ชราอีกรึ มีลูกเช่นเจ้าทั้งสอง ภายหน้าก็ไม่มีสิ่งใดต้องห่วงแล้ว”
       สมเด็จพระนเรศวรและสมเด็จพระเอกาทศรถชำเลืองพระพักตร์กันเล็กน้อย
       “หงสาทำศึกไม่หยุดหย่อน อาณาประชาราษฎร์เดือดร้อนนัก ชำนะได้ด้วยกำลัง แต่ไม่อาจชำนะใจผู้คนได้ นานไปย่อมต้องพ่ายแพ้”
       “ลูกก็คิดเช่นเดียวกับสมเด็จพ่อ แต่อโยธยายังไม่เข้มแข็งเหมือนครั้งแผ่นดินสมเด็จตา แม้จะชำนะศึกหลายครา แต่ก็เสียหายไม่น้อย”
       “เจ้าอย่าวิตกเลย เมื่อเราชำนะศึกหงสาได้ บารมีก็จะมากขึ้น จนกลับมาเข้มแข็งดังก่อนได้แน่ แต่สิ่ง
       สำคัญคือสามัคคี ที่อโยธยาต้องเสียแก่หงสา ก็เพราะขาดซึ่งสามัคคีระแวงแก่กันเองจนพ่ายต่อศัตรู เจ้าทั้งสองจงระวัง อย่าให้เกิดเหตุเช่นนี้ขึ้นอีก”
       ทั้งสองพระองค์พระพักตร์ขรึมลงคิดตามที่พระมหาธรรมราชาตรัส หลังออกจากห้องพระบรรทม ระหว่างทางซึ่งสองพระองค์เสด็จนั้น พระเอกาทศรถ ตรัสว่า
       “สมเด็จพ่อทรงย้ำหนักหนา คงเกรงว่าบ้านเมืองจะแตกเป็นสองเหมือนครั้งสมเด็จพ่อกับสมเด็จพระมหินทราธิราชจนต้องเสียกรุงกระมัง”
       “มิใช่แต่ครั้งนั้นดอก แต่ถึงคราผลัดแผ่นดินเมื่อใด อโยธยาก็วุ่นวายแทบทุกครา จนเกิดคนเช่นท้าวศรีสุดาจันทร์แลขุนวรวงศาขึ้นมาได้” สมเด็จพระนเรศวรตรัสขึ้น
       “แต่บัดนี้ ขุนนางแลแม่ทัพนายกองต่างยำเกรงสมเด็จพี่นัก ย่อมไม่เกิดเหตุวุ่นวายเป็นแน่”
       “แล้วหากพี่เป็นกระไรไปเล่า”
       “เหตุใดทรงตรัสเช่นนั้น”
       “พี่ไม่ได้แช่งตนเอง แต่คนเราไม่ควรตั้งอยู่ในความประมาทดังคำพระท่านว่า พี่จึงเห็นควรที่จักกันไว้ก่อน หากพี่เป็นกระไรไป เจ้าจงขึ้นแทนที่พี่เสีย”
       “แล้วหากสมเด็จพี่มีโอรสเล่าพระพุทธเจ้าข้า”
       “ถึงพี่มีโอรส เจ้าก็ต้องขึ้นผ่านแผ่นดิน อย่าให้อโยธยาต้องแตกแยกดังเช่นที่ผ่านมาอีก รับปากพี่”
       “ข้าจะทำตามรับสั่งพระพุทธเจ้าข้า”

จบตอนที่ ๕

อ่านต่อตอน ที่ ๖ วันพรุ่งนี้


เกร็ดความรู้เกี่ยวกับขุนศึก

๓๖.วัดพนัญเชิง เป็นวัดที่มีประวัติอันยาวนาน ก่อสร้างก่อนการสถาปนากรุงศรีอยุธยา และไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าใครเป็นผู้สร้าง แต่ตามหนังสือพงศาวดารเหนือกล่าวว่า “พระเจ้าสายน้ำผึ้ง” เป็นผู้สร้าง และพระราชทานนามว่า “วัดเจ้าพระนางเชิง”

๓๗. ในสมัยอยุธยา ไทยติดต่อกับต่างชาติมากขึ้น ทำให้อาหารไทยมีพัฒนาการ จากเดิมจะกินข้าวและแกงเป็นหลัก แต่สมัยนี้เริ่มมีการใช้น้ำมันมะพร้าวในการทอด และมีการถนอมอาหารด้วยการตากแห้ง แต่คนไทยยังนิยมกินสัตว์น้ำมากกว่าสัตว์บก โดยเฉพาะสัตว์ใหญ่จะไม่นิยมนำมาทำเป็นอาหาร
ขุนศึก ตอนที่ ๖

สามเดือนผ่านไป ที่ลานวัดพุทไธสวรรย์ เสมากำลังคุยกับสินและสมบุญพร้อมกับดูการฝึกทหารใหม่ไปด้วย ทหารใหม่ถูกฝึกให้ฟันดาบพร้อมกับส่งเสียงดังแสดงความเข้มแข็งไปด้วย

       “เสียทีได้เป็นแม่กองทหารอาสา กลับต้องเอาลานวัดเป็นที่ฝึกปรือทหาร” สินพูดขึ้นอย่างเซ็งๆ
       “ลานวัดแล้วกระไรวะ ข้าก็ฝึกที่ลานวัดพุทไธสวรรย์เช่นกัน ยังเป็นครูพวกเอ็งได้”
       “แต่พี่เป็นออกขุนแล้วนา ฉันไม่เคยเห็นออกขุนผู้ใดในอโยธยา ไม่มีเรือนไว้รับทหารฝึกปรือเช่นพี่มาก่อนเลย”
       “ข้าก็มีเรือนโว้ยอ้ายสิน แต่เรือนข้าเพิ่งปลูกใหม่แลคับแคบนัก จะให้รับคนเป็นร้อยกระไรได้วะ”
       “ข้อนี้ฉันก็ประหลาดใจนัก ฝีมือพี่ก็ถือได้ว่าเป็นเอกในอโยธยา แล้วเหตุใดไม่มีพระคุณท่านใดรับพี่สังกัดมูลนายบ้าง ปล่อยให้พี่เป็นทหารอาสาอยู่เช่นนี้ได้” สมบุญพูดขึ้น
       เสมาซึมไปทันที
       “ ข้าคงไม่มีวาสนากระมัง ช่างเถิด ได้ออกรบฉลองคุณบ้านเมืองเช่นนี้ ข้าก็พอใจแล้ว”
       ขณะนั้นเอง เอื้อยแตงก็รีบเดินหน้าตาตื่นเข้ามาหาเสมา
       “พี่เสมาๆ”
       สินรีบเข้าไปรับหน้าเอื้อยแตงทันที
       “แม่เอื้อยแตง ฉันดีใจนักได้เจอแม่ ไม่พบกันนานวัน แม่เอื้อยแตงยังงามมิเปลี่ยน”
       “พูดจาโง่เขลากระไรของเอ็งอ้ายสิน ไสหัวไป ข้ารำคาญ” เอื้อยแตงตวาดแว๊ดแล้วผลักอกสินออก แล้วเดินไปหาเสมาทันที สินจ๋อยไป
       “พี่เสมา รีบกลับเรือนเถิด พี่ไม่อยู่เรือนเสียหลายวัน ฉันตามหาพี่เสียทั่ว”
       “มีกระไรรึ”
       “แม่พี่ไข้หนักนัก เพลานี้เพ้อไม่ได้สติแล้ว”
       เสมาตกใจหน้าซีดเผือด ไม่คิดว่าแม่จะป่วยหนักขนาดนี้

       ภายในบ้านหลังใหม่ของเสมาตอนหัวค่ำ บุญเรือนนอนเพ้อด้วยพิษไข้ โดยมีเสมา เอื้อยแตง และมั่น คอยดูแลด้วยความเป็นห่วง
       “จำเรียง...จำเรียง” บุญเรือนเพ้อเรียก
       “แม่เอ็งคงคิดถึงจำเรียงมาก แต่ได้ไข้ก็เพ้อเรียกแต่จำเรียงมันตลอดเพลา” มั่นบอก
       “ไปตามจำเรียงมาเถิดพี่เสมา แม่ป้าไข้หนักเช่นนี้ จำเรียงควรได้มาดู” เอื้อยแตงบอก
       “จำเรียงเป็นทาสเค้า นายทาสใดจะยอมปล่อยมา ยิ่งเป็นอ้ายขันแล้ว มันคงไม่ยอมดอก”
       “แล้วพี่จักปล่อยให้แม่ป้าเพ้อเรียกจำเรียงเช่นนี้ต่อรึ พี่ไม่สงสารแม่พี่บ้างหรือกระไร”
       เสมาสีหน้าเคร่งเครียด ลังเลว่าจะเอายังไงดี

       วันรุ่งขึ้น ดวงแขกำลังคุยกับเสมา และเอื้อยแตงด้วยสีหน้าลำบากใจ
       “ฉันไม่ใช่นายเงินของจำเรียง คงให้จำเรียงไปไม่ได้ดอก ออกขุนรอพี่ขันกลับมาก่อนเถิด”
       “หมื่นชาญมีรึจะยอม ที่ข้าพระเจ้าบากหน้ามาขอร้อง ก็เพราะรู้ว่าหมื่นชาญไม่อยู่ที่เรือน จึงหวังว่าแม่หญิงดวงแขจะเมตตาข้าพระเจ้าบ้าง”
       “ไม่ใช่ฉันไม่เมตตา แต่จำเรียงหาได้อยู่ในบังคับฉันไม่ ออกขุนเห็นใจฉันบ้างเถิด”
       “เห็นใจบ้างรึ พูดจาน่าฟังนัก แม่ล้มป่วยได้ไข้หนัก ยังไม่ยอมให้ลูกไปดูไปแลแม่ มิเพียงแต่ไม่เมตตา ยังใจดำหนักหนา”
       “ที่นี่เป็นเรือนขุนนาง หาใช่กลางตลาดย่านสัมพนีไม่ เก็บคำพูดเช่นนี้ของแม่เอื้อยแตง ไว้พูดจากับแม่ค้าด้วยกันเถิด”
       เอื้อยแตงของขึ้น ตั้งท่าจะเอาเรื่อง แต่เสมารีบขวางไว้ก่อน
       “แตงเจ้า พี่ขอเถิด”
       เอื้อยแตงสะบัดหน้าไปทางอื่นพยายามระงับอารมณ์เต็มที่ เสมาหันกลับมาพูดกับดวงแข
       “แม่หญิงดวงแขคงเกรงว่าจำเรียงจะหนีกระมัง เช่นนี้เถิด ฉันขอเป็นประกันแทนจำเรียงให้จำเรียงได้ไปดูแม่สักหน่อยเถิด ฉันจะทำงานแทนน้องเอง”
       “จะได้เช่นไร ออกขุนเป็นถึงขุนศึกขุนพลขององค์เจ้าฟ้า จะเสียศักดิ์มาเป็นทาสได้กระไร”
       “อย่าว่าแต่เป็นทาสเลย ต่อให้ตายเสมาก็ยอม ขอให้แม่ได้เห็นหน้าจำเรียงก็พอ เมตตาด้วยเถิดแม่หญิง ฉันกราบหละ” เสมาจะก้มลงกราบ
       ดวงแขตกใจมากรีบจับตัวไว้ไม่ให้กราบ
       “อย่าออกขุน อย่ากราบกรานให้ฉันอายุสั้นเลย”
       “ถ้ากระนั้น แม่หญิงยอมให้จำเรียงไปแล้วใช่หรือไม่”
       เสมามองดวงแขด้วยความหวังลุ้นๆ แต่ดวงแขหนักใจว่าจะเอาไงดี

       เวลาต่อมา จำเรียงกำลังป้อนข้าวต้มให้แม่ บุญเรือนมีความสุขขึ้นมาทันทีที่ได้เห็นหน้าลูกรัก เสมา ดวงแข เอื้อยแตง และมั่น กำลังดูบุญเรือนที่ท่าทางดีขึ้นด้วยความดีใจ บุญเรือนหันไปพูดกับดวงแข
       “ขอบน้ำใจแม่หญิงนัก หากแม่หญิงไม่เมตตา ฉันคงไม่ได้เห็นหน้าจำเรียงอีก”
       “อย่าพูดเช่นนั้นเลยจ้ะแม่ป้า แม่ป้ารักษาตัวให้หายเถิด เอ่อ ฉันมาไม่ได้หยิบกระไรติดไม้ติดมือมาฝาก ขอขมาด้วยเถิดจ้ะ”
       เอื้อยแตงเบะปากหมั่นไส้ดวงแขสุดๆ
       “ไม่ต้องฝากดอกแม่หญิง แค่ฉันได้เห็นหน้าลูก ก็ดีใจนักแล้ว”
       จำเรียงน้ำตาคลอเข้าไปกอดแม่ บุญเรือนก็กอดตอบด้วยความรักและคิดถึงมาก
       “เช่นนี้ แม่เอ็งต้องหายไข้โดยเร็วเป็นแน่” มั่นบอก
       เสมามองแม่ที่มีความสุขแล้วก็ยิ้มมีความสุขไปด้วยก่อนจะยิ้มเลยไปให้ดวงแข
       ดวงแขก็อมยิ้มปลาบปลื้มอยู่ไปมา ทั้งหมดอยู่ในสายตาเอื้อยแตงที่ค้อนขวับตาเขียว

       สักครู่หนึ่งต่อมา เสมากำลังใช้ไซจับปลาอยู่ริมคลอง กะเอาปลามาทำอาหารเลี้ยงดวงแข เอื้อยแตงเดินหน้าบึ้งเข้ามาหาเสมาด้วยความหงุดหงิดทั้งพูดจาแดกดัน
       “จะจับกุ้งปลาไปทำกระไร กับข้าวชาวบ้านร้านตลาดแม่หญิงชาววังจะกินได้รึ”
       “เอ็งยังเคืองแม่หญิงดวงแขอยู่อีกรึเอื้อยแตง อย่าถือโกรธกันเลย แม่หญิงถือศักดิ์ด้วยเป็นข้าหลวงในวังแลมีพ่อเป็นถึงออกหลวง แต่โดยน้ำใจแล้วดีนัก ไม่เช่นนั้นจักยอมให้จำเรียงกลับมารึ”
       “เพียงนี้ก็ถือว่าดีแล้วรึ มิน่าเล่า ผู้คนถึงบอกว่าขุนศึกไชยชาญโง่งมนัก แม่หญิงดวงแขผู้นี้มิได้ซื่อนักดอก ยามยิ้มแย้มอาจจักถือมีดซ่อนไว้ด้านหลัง ผิดกับแม่หญิงเรไรของพี่นัก พี่คอยดูเถิดว่าจะสมกับคำที่ฉันพูดหรือไม่”
       “เอ็งก็แกล้งว่าแม่หญิง ถามจริงเถิด...”
       ทันใดนั้นเอง เสียงดวงแขหวีดร้องดังขึ้น ทั้งคู่ตกใจหยุดสนทนาทันที
       “หยุดเถิดพี่ขัน พี่ขันอย่า...”
       เสมา และเอื้อยแตงตกใจเมื่อรู้ว่าขันมาถึงเรือนแล้ว ทั้งคู่รีบวิ่งไปตามเสียงทันที
       เวลาต่อมา ขันกำลังฉุดจำเรียงลงจากเรือน โดยมีดวงแขคอยห้ามปราม แต่ก็ไม่สำเร็จ ขันฉุดกระชากลากถูจำเรียงลงมาจากเรือน มั่นและบุญเรือนตามออกมาด้วยความเป็นห่วงจำเรียง มั่นสงสารลูกจับใจ
       “เมตตาด้วยเถิดพระคุณ ไข้แม่บุญเรือนแกก็กำลังทรุดอยู่ ได้เมตตาเถิด”
       “มึงอยากให้กูเมตตาก็ใช้หนี้กูมา หากมึงไม่ใช้ นังจำเรียงก็ยังเป็นทาสกู กูไม่ให้มันออกจากเรือนแม้แต่ก้าวเดียว หากมันกล้าขัดคำกู กูจักตีกรวนแล้วโบยเสียให้ยับ” ขันตะคอกสวนขึ้นทันที
       “ถ้ากระนั้นพี่ก็โบยฉันเสียด้วยเลย ฉันเป็นคนให้จำเรียงมาเอง แม่ป้าเจ็บหนักอยู่จริง พี่ก็เห็นไม่ใช่รึ”
       “แม่ดวงแขไม่ต้องมาออกรับแทนดอก พี่เป็นนายเงินของนังจำเรียง เมื่อพี่ให้มันกลับเรือนมันก็ต้องกลับ”
       เสมา และเอื้อยแตงมาถึงพอดี เสมาโมโหของขึ้นทันที
       “แต่ที่นี่เป็นเรือนกูขุนศึกไชยชาญ แลนี่ก็เป็นพ่อกู น้องกูมึงก็รู้แต่ยังแสร้งด่า เมื่อหยามกันเช่นนี้ ก็ออกดาบของมึงมาอ้ายขัน หากกูถอยแม้เพียงก้าว อย่านับถือว่าเป็นคนกันเลยวะ”
       ขันเห็นเสมาก็หน้าเสีย ลูกน้องขันที่ตามมาชักดาบเตรียมพร้อม บุญเรือนรีบห้าม
       “อย่าเสมา อย่าวิวาทกันด้วยแม่เป็นต้นเหตุเลย จำเรียงกลับไปกับหมื่นชาญเถิดลูก ไข้เพียงนี้ แม่ได้เห็นหน้าเจ้าก็คลายลงมากแล้ว”
       จำเรียงร้องไห้ เสียใจที่ต้องถูกเอาตัวกลับจนไม่ได้ดูแลแม่
       “แม่ของลูกเพราะลูกโง่เขลาโดยแท้ ยามแม่เจ็บไข้จึงไม่ได้ดูแลแม่”
       บุญเรือนน้ำตาคลอเบ้า แต่ก็ต้องอดทนเพื่อไม่ให้เรื่องลุกลามมากไปกว่านี้ ขันตะคอกสวนอีก
       “จะพิรี้พิไรกระไรอีกนังจำเรียง กลับไปประเดี๋ยวนี้”
       ขันหันไปออกคำสั่งกับดวงแข
       “ไปบ้านแม่ดวงแข”
       ดวงแขจำใจเดินกลับไป ขันหันกลับมามองเย้ยเสมา ก่อนจะดึงมือจำเรียงเดินจากไป บุญเรือนเสียใจ ร้องไห้ทั้งๆที่ยังมีไข้ขึ้นจนมั่นต้องเข้าไปประคองไม่ให้บุญเรือนล้มลง ก่อนจะพาขึ้นเรือนไป เอื้อยแตงมองตามขันไปด้วยความเจ็บใจเป็นอย่างมาก
       “เจ็บหัวใจนัก เรือนเราแท้ๆมันยังมาหยามฉุดคนถึงในเรือนได้”
       เสมามองตามขันไปด้วยความแค้นใจสุดๆ ขบกรามแน่นจนขึ้นสัน

       บ่ายต่อเนื่องมา ดวงแขกำลังทะเลาะกับขันอยู่ภายในเรือน โดยมีพุฒอยู่ใกล้ๆ ดวงแขไม่พอใจขัน
       “คนได้ไข้จริงพี่ขันก็เห็นอยู่ ยังบังคับเอาตัวจำเรียงกลับมาอีก จักไม่ใจจืดใจดำไปหน่อยรึ”
       ขันหงุดหงิดทันที
       “พี่เอาตัวนังจำเรียงมาเป็นทาสเพื่อจักหยามอ้ายเสมามัน แม่ดวงแขก็แจ้งอยู่ แล้วแม่ดวงแขยังปล่อยนังจำเรียงกลับไป หากอ้ายเสมามันพาน้องมันหนีเล่าจะไม่เสียการที่พี่วางไว้รึ”
       “ขุนศึกไชยชาญไม่ใช่คนเช่นนั้นดอก หากเป็นคนตระบัดสัตย์จริง มีรึ จะยอมให้น้องมาเป็นทาสแต่แรก”
       “ว่าได้รึแม่หญิง อ้ายเสมามันอาจจะเจ็บแค้น แต่ยังไม่ได้ช่องลงมือเท่านั้นดอก อย่างไรเสียเรากันไว้ก่อนย่อมควรกว่า” พุฒยุสอดขึ้น
       “หมื่นทรงพูดถูกแล้ว แม่ดวงแขเป็นหญิง อย่ายุ่งเรื่องนี้เลย แลต่อไปหากไม่มีคำสั่งพี่ ห้ามแม่ดวงแขปล่อยนังจำเรียงไปอีก ไม่เช่นนั้นพี่จะโบยตีนังจำเรียงให้ถึงพิกลพิการ จะได้ไม่ต้องออกไปที่ใดอีก”
       พูดจบ ขันก็เดินเลี่ยงไป ดวงแขเห็นพี่ชายขู่ขนาดนี้ก็หน้าบึ้งตึงอย่างไม่พอใจเลยจะเดินไปอีกทาง พุฒรีบขวางหน้าไว้ พลางยิ้มกรุ้มกริ่ม
       “จะรีบไปที่ใดเล่าแม่หญิง อยู่พูดคุยกันสักสองสามคำเถิด กว่าฉันจะได้ปะหน้าแม่หญิงแต่ละคราช่างยากเย็นนัก อยู่คุยกันให้หายคิดถึงเสียหน่อยเถอะ”
       ดวงแขรำคาญแต่พยายามระงับอารมณ์เต็มที่
       “หมื่นทรงคุยกับผู้อื่นเถิด ฉันออกจากวังมาเยี่ยมบ้านก็ด้วยมีงานรออยู่อีกมากนัก ไม่สะดวกจะคุยดอก”
       ดวงแข จะเดินหนีไป พุฒรีบจับมือดวงแขไว้
       “เหตุใดตัดรอนฉันเช่นนั้นเล่าแม่หญิง ฉันสู้อุตส่าห์คอยเพลาได้พบหน้าแม่มานานหนักหนาแล้ว ไม่เห็นหัวใจฉันบ้างรึ”
       “ปล่อยมือฉันประเดี๋ยวนี้หมื่นทรงเดชะ ฉันไม่ใช่แม่บัวเผื่อนจักได้เพลินใจ หลงละเมอกับคำหวานของหัวหมื่น”
       พุฒฉุนเริ่มไม่พอใจ
       “แม่หญิงดวงแข”
       ดวงแขมโหโหพูดสวนขึ้น
       “หากไม่ปล่อย ฉันจะบอกแม่ท่าน แลร้องไปถึงสังกัดของหัวหมื่น แล้วมาดูกันว่าโทษของหัวหมื่นจะเป็นเช่นไร”
       พุฒแต่เห็นดวงแขเอาจริงก็ไม่กล้าเลยยอมปล่อยมือแต่โดยดี ดวงแขจ้องหน้าพุฒเขม็ง ก่อนจะเดินเลี่ยงไป พุฒมองตามด้วยความเจ็บใจ
       “ยโสนัก สักวันเถิด จะให้มาเป็นเมียคอยกราบเท้ากูก่อนนอนให้จงได้”

       เวลาเย็น เสมากำลังจุดกองไฟเล็กๆแก้หนาวระหว่างคุยกับสินและสมบุญอยู่ที่หน้าบ้าน สินเจ็บใจแทนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
       “หยามกันเช่นนี้ ยอมได้กระไร ไปเถิดพี่เสมา ไปเอาเลือดอ้ายหมื่นชาญมาดับแค้นกัน”
       “เอ็งมันก็เอาแต่ท้าตีท้าต่อย คิดบ้างเถิดวะอ้ายสิน นับแต่เกิดเรื่องแม่ศรีเมือง ผู้คนก็มองพี่เสมาเป็นคนพาลเนรคุณไปสิ้นแล้ว มีสักกี่คนที่รู้ความจริง แม้แต่แม่หญิงเรไรยังเคืองไปด้วย จนนานเดือนแล้วยังไม่ยอมพูดกับพี่เสมาสักคำ หากวิวาทกันอีกมีหรือเราจะพ้นผิดไปได้” สมบุญบอก
       “หรือเอ็งจะยอมให้อ้ายขันหมิ่นเอาเช่นนี้ เสียเชิงชายยิ่งนัก”
       เสมาถอนใจหน้าเครียดๆแล้วบอก
       “ถึงอย่างไรก็ไม่ได้ดอกวะอ้ายสิน ข้ารับปากพ่อแม่ไว้แล้วว่าจะไม่เอาเรื่องอ้ายขันมัน ไม่เช่นนั้น ข้าคงออกดาบสู้กับมันเสียแต่เกิดเหตุแล้ว”
       สินหงุดหงิดแล้วฉุกคิดขึ้น
       “ถ้ากระนั้น เราก็ใช้ผ้าปิดหน้าไปดักตีมันซีพี่ พ่อแม่พี่ไม่รู้ดอก พรึ่งนี้เลย เรือนออกขุนรามมีงานบุญ อ้ายขันต้องไปเป็นแน่”
       “ปัญญาเอ็งช่างลึกล้ำนักอ้ายสิน อ้ายขันอ้ายพุฒต้องโง่เขลาปานใดกัน ถึงจักไม่รู้ว่าเป็นฝีมือเรา”
       “พรึ่งนี้ออกขุนมีงานบุญรึ งานกระไรกัน” เสมาถามขึ้นอย่างสนใจ
       “ทำบุญบ้านจ้ะพี่ แต่ท่านขุนจัดเป็นงานใหญ่มีมหรสพฉลองเสียด้วย”
       เสมายิ้มเจ้าเล่ห์ คิดแผนเอาคืนขันขึ้นมาได้

       โขลนสองคนผลักศรีเมืองออก ไม่ให้ศรีเมืองผ่านไปทางประตูที่เฝ้าในตอนหัวค่ำ โขลนคนแรกทำเสียงดุใส่
       “ทางนี้ผ่านได้แต่เพลากลางวัน ค่ำมืดแล้วห้ามผ่านไม่รู้รึ”
       ศรีเมืองนึกกลัวพลางบอก
       “ขอขมาเถิดจ้ะ ฉันเดินเล่นมาเรื่อย ไม่รู้จริงๆ”
       โขลนคนที่สอง เสียงดุใส่ศรีเมืองอีก
       “อยู่ในวังมานานเดือนแล้วไม่ใช่หรือแม่ศรีเมือง ทางใดไปได้หรือไปมิได้ ยังไม่รู้อีก”
       ศรีเมืองเดินจ๋อยๆเลี่ยงมา เลยเจอเข้ากับเรไรที่กำลังยืนมองศรีเมืองอยู่ เรไรสีหน้าเย็นชาพลางว่า “โขลนดุว่าถูกแล้ว เข้าวังมาก็นานพอควร เหตุใดยังจำทางไม่ได้อีกเล่า”
       ศรีเมืองจ๋อยไปทันที
       “แม้จะเข้าวังมานานเดือน แต่ฉันอยู่แต่ในครัว มิค่อยได้ออกไปไหนดอกจ้ะ จึงจำทางในวังไม่ใคร่ได้”
       “แล้วมืดค่ำป่านฉะนี้ เหตุใดยังไม่หลับไม่นอน”
       “ฉันนอนไม่หลับจ้ะ คิดถึงบ้านกับพ่อท่านนัก”
       เรไรยิ้มประชดเพราะหึงหวงในตัวเสมา
       “เพียงแค่บ้านกับท่านลุงพันอินรึ แล้วขุนศึกไชยชาญเล่า”
       “ฉันเองก็คิดถึงพี่เสมาเช่นกันจ้ะ”
       เรไรแสร้งตกใจ
       “ตายแล้วแม่ศรีเมือง เป็นหญิง พูดได้กระไรว่าคิดถึงชายหน้าไม่อาย”
       ศรีเมืองทำสีหน้าแปลกใจ
       “เหตุใดพูดไม่ได้เล่าแม่หญิงเรไร ในเมื่อฉันพูดตามจริงไม่ได้พูดปด แต่ถึงฉันจะคิดถึงเพียงใด พี่เสมาก็คงไม่คิดถึงฉันดอก เพราะใจพี่เสมามีแต่แม่หญิงเพียงคนเดียวเท่านั้น”
       เรไรอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะเชิ่ดใส่
       “ชายหลายใจเช่นนั้นน่ะรึ ก็มีหญิงอยู่ทั่ว ไม่จริงใจกับผู้ใดดอก”
       “ไม่จริงดอกจ้ะ ฉันรู้ว่าพี่เสมาเป็นเช่นไร แม้แต่เรื่องฉัน ก็เป็นเพราะพ่อท่านเข้าใจผิดแลไม่ฟังคำพูดฉันกับพี่เสมาเลย แต่แท้จริงแล้ว พี่เสมาไม่ได้กระทำเรื่องบัดสีแม้แต่น้อย แม่หญิงเรไรลองตรองดูเถิดก็จักรู้ว่า
       พี่เสมาเป็นคนเช่นไร”
       เรไรหน้าเจื่อนสับสนไปหมดว่าเรื่องจริงเป็นยังไง เพราะในใจยังรักเสมาอยู่เสมอ

       หมายเหตุ - “โขลน” หมายถึง ตำรวจวังหญิงจะเป็นผู้หญิงตัวใหญ่ นุ่งโจงกระเบน ห่มตะเบงมาน ถือดาบ ทำหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยและรักษาความปลอดภัยเจ้านายที่เป็นผู้หญิง

       ยามเช้า...ภายในบ้านของขุนรามเดชะ พระภิกษุกำลังสวดมนต์ ผู้คนที่มาร่วมงานนั่งพับเพียบพนมมืออย่างสำรวม หลังจากที่พระภิกษุสวดมนต์เสร็จก็พรมน้ำมนต์ให้ทุกคนเพื่อความเป็นสิริมงคล ทุกคนต่างพนมมือรับด้วยสีหน้ามีความสุข
       ขุนรามเดชะเดินลงบันไดเพื่อมาส่งแขกเหรื่อ โดยมีขัน พุฒ พันอินเดินตามมาส่งด้วย ขุนรามเดชะสีหน้ายิ้มแย้มพลางบอก
       “ เพลาค่ำมีมหรสพ ฉันตั้งใจจัดให้เป็นที่เอิกเกริก ออกขุนต้องมาดูให้ได้เชียวนา”
       แขกคนหนึ่งที่มาร่วมงานกล่าวขึ้น
       “ฉันมาแน่ออกขุน จะพากันมาให้หมดเรือนเลยเชียว”
       ทุกคนกำลังยิ้มแย้มแจ่มใส ขณะนั้นเอง ทหารเสมากลุ่มหนึ่งก็หามเสมาที่นั่งอยู่บนคานหาม โดยเสมาใส่ชุดขุนเต็มยศ ดูองอาจสง่างาม ในมือเสมาถือพานทองวางไว้ด้วยสาสน์ม้วนหนึ่ง เสมาสวมแหวนทองรูปพญานาค 2 ตัวเกี่ยวกัน หัวแหวนประดับด้วยเพชรน้ำงาม ส่วน สิน สมบุญในชุดยศพัน เดินนำขบวนมา และทหารที่เดินรั้งท้ายขบวนก็ถือของกำนัลหลายชิ้นที่พระยาเดโชฝากมาด้วย
       พุฒเหลือบสายตาไปเห็นเสมาจึงพูดขึ้น
       “นั่นอ้ายเสมานี่ขอรับ ไม่เพียงแต่กล้าขัดคำท่านขุนมาเหยียบเรือนอีก มันยังให้ทหารหามแห่มาด้วย เช่นนี้มันหมิ่นหยามกันเกินแล้วขอรับ”
       ทุกคนต่างมองไปที่เสมา ด้วยสายตาโกรธเคืองกับสิ่งที่เสมาทำ ทหารหามคานของเสมามาจนถึงหน้าเรือน ขันเห็นแล้วก็บันดาลโทสะชี้หน้าเสมาทันที
       “มึงประมาทหมิ่นกันเกินไปแล้วอ้ายเสมา ถึงขนาดให้คนหามมาหยามกันถึงหน้าเรือนเช่นนี้ มึงอย่าหมายได้กลับไปเลย”
       “บังอาจ ขุนศึกไชยชาญเป็นตัวแทนท่านแม่ทัพพระยาเดโช อัญเชิญรับสั่งสมเด็จพระบัณฑูรของพระราชโอรสมา มันผู้ใดกล้าแตะต้องขุนศึกท่านแม้แต่ปลายเล็บถือเป็นกบฏตัดหัวเจ็ดชั่วโคตร” สินตวาดสวนขึ้น
       พวกขุนรามเดชะแม้จะอึ้งไป แต่ยังไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ พันอินยืนอยู่ด้วยถึงกับหน้าเครียดขึ้นมาทันที
       “จริงรึออกขุนศึก การเช่นนี้จะทำเป็นเล่นมิได้ โทษปลอมราชโองการถึงตัดหัวเชียวนา”
       เสมายกพานทองขึ้นจบหัว
       “หากพ่อท่านไม่เชื่อ ก็เชิญดูตราประทับที่ราชโองการเถิด”
       เสมาส่งพานทองให้สมบุญ สมบุญรับพานทองมาแล้วจบหัว ก่อนจะถือพานทองมาให้พวกขุนรามเดชะดู ทุกคนดูตราประทับชัดๆก็ตกใจ รีบคุกเข่าลงกราบไหว้ทันที ขุนรามเดชะหน้าเสีย กลัวมีความผิดที่ก้าวร้าวกับผู้เชิญราชโองการ
       “ข้าพระเจ้าผิดนักที่ล่วงเกินออกขุน มิรู้ว่าออกขุนจะอัญเชิญรับสั่งมา ขอเชิญออกขุนท่านบนเรือนเถิด”
       พวกทหารวางคานลง เสมาลงจากคาน แล้วเดินขึ้นเรือนไปอย่างองอาจ
       ขัน และพุฒได้แต่มองตามด้วยเจ็บแค้นที่ต้องคุกเข่ากราบไหว้เสมาไปด้วย แต่ก็ไม่กล้าทำอะไรนอกจากมองตามด้วยความแค้นใจ

       บนเรือนขุนรามเดชะ เสมากำลังยืนอ่านสาสน์อยู่ โดยมีสิน สมบุญยืนอยู่ด้านหลัง ส่วนคนอื่นๆหมอบกราบอยู่กับพื้น
       “ด้วยรับสั่งสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวแลพระบัณฑูรโอรสท่าน ข้าพระเจ้าขุนศึกไชยชาญจึงอัญเชิญราชโองการพระราชทานพระพรแลราชรางวัลแด่ขุนรามเดชะ ณ บัดนี้ ขอขุนรามเดชะจงถวายบังคมรับพระพรแลราชบำเหน็จในขณะนี้เถิด”
       ขุนรามเดชะและคนอื่นๆต่างหันหน้าไปทางพระราชวังจันทร์เกษม แล้วก้มลงกราบถวายบังคม สมบุญถือพานทอง บนพานมีถุงเล็กๆสีทองวางอยู่ สมบุญถือพานจบหัวแล้วเอาพานมาให้เสมา เสมาวางสาสน์ลงบนพาน แล้วหยิบถุงทองขึ้นมา
       “บำเหน็จอันเป็นมงคลนี้คือแหวนนพเก้า ขอพระคุณจงจำเริญด้วยอายุแลศักดิ์แก่การมงคลนี้เถิด”
       ลำภูรีบถือพานทองอีกอันคลานเข่ามาให้ขุนรามเดชะรับไป ขุนรามทูนพานไว้เหนือหัว ก่อนที่เสมาจะวางถุงทองใส่แหวนนพเก้าลงบนพาน ขุนรามเดชะยกพานจบหัวอีกที ก่อนจะส่งพานทองให้ลำภูรับไปด้วยความปลาบปลื้มสุดๆ
       “ฝากออกขุนศึกท่านแจ้งแก่ออกญาเดโชด้วย ว่าขุนรามเดชะนี้รำลึกในพระคุณยิ่งแล้ว จงนำความกราบบังคมทูลที่ประทานบำเหน็จมาเป็นเกียรติยศ จึงขอถวายชีพไว้แทบเบื้องพระบาทสุดแต่จะใช้”
       “ข้าพระเจ้าจะแจ้งท่านออกญาเอง แลของอื่นที่ข้าพระเจ้านำมา เป็นบำเหน็จที่ท่านออกญาประทานแก่พระคุณ แต่มีอีกบำเหน็จหนึ่งให้แก่แม่หญิงเพื่อเป็นมงคล ข้าพระเจ้าใคร่จักยื่นให้”
       ขุนรามเดชะกำลังดีใจจึงลืมคิดเรื่องอื่นๆ
       “เชิญเถิดออกขุน”
       เสมาเดินเข้าไปหาเรไร ทั้งคู่สบตากันนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง
       เสมาถอดแหวนรูปพญานาคที่สวมนิ้วอยู่ออก แล้วจับมือเรไรขึ้นมาพร้อมกับสวมแหวนให้ พลางเหล่ไปทางขันและพุฒ
       “แหวนนี้เป็นมงคลเอกของแม่หญิงแล้ว ขอจำเริญทั้งหลายจงคุ้มแม่ ศัตรูมันจงพินาศเสมือนนึก”
       ขัน และพุฒรู้ว่าเสมาแช่งตนจึงได้แต่มองด้วยสายตาเกลียดชังแต่ไม่กล้าทำอะไร ดวงแขเห็นเสมาใส่แหวนให้เรไรก็เกิดความริษยาขึ้น ดวงแขกำผ้านุ่งของตัวเองไว้แน่นด้วยความเจ็บใจ
       เรไรพูดเบาๆแต่ปั้นหน้าดุ
       “ผู้คนออกมากยังกล้าปดอีกรึ ฉันรู้แต่อยู่ในวังว่าแหวนนี้สมเด็จเจ้าฟ้าวังหน้าท่านพระราชทานเป็นบำเหน็จศึกให้ออกขุนใหม่ทั้งแปดดอก”
       เสมายิ้มกรุ้มกริ่ม พูดเบาๆ
       “ปัญญาแม่หญิงเลิศนัก ที่ข้าพระเจ้าทำดังนี้ เหตุเพราะพระคุณท่านบอกว่าแม่หญิงหมั้นแล้ว แต่เสมายังไม่เคยเห็นของหมั้นจึงถือเอาแหวนนี้แทนของหมั้นระหว่างเสมากับแม่หญิงเสีย”
       ทุกคนหันไปมองเสมาเป็นตาเดียว ยิ่งเห็นเสมาพูดจากระซิบกระซาบกับเรไรก็เริ่มระแวง พันอินแกล้งกระแอมขึ้น
       “ ขุนศึกไชยชาญ ให้พรพอแล้วกระมัง”
       เสมาเดินเลี่ยงออกมาจากเรไร ทำไม่รู้ไม่ชี้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

       ในเวลาต่อมา เรไรเปิดประตูห้องเข้ามาแล้วปิดประตูลงเบาๆพลางมองแหวนบนนิ้วที่เสมาเพิ่งให้มา ด้วยความเขินจนอดอมยิ้มไม่ได้
       “คนบ้า”
       เรไรลูบคลำแหวนในมืออย่างมีความสุข

       พวกทหารหามคานหามของเสมาเดินมาตามทาง โดยมีสิน สมบุญเดินนำมา เสมามองไปรอบๆจนแน่ใจว่าพ้นเขตบ้านขุนรามเดชะแล้วก็บอก
       “หยุด วางข้าลง”
       พวกทหารวางคานหามลงเพื่อให้เสมาลงจากคาน
       “พวกเจ้ากลับไปเถิด ประเดี๋ยวข้าจะไปวัดพุทไธสวรรย์ต่อ” เสมาบอก
       “ขอรับออกขุน”
       พวกทหารช่วยกันหามคานหามจากไป พอพวกทหารจากไป เสมา สิน และสมบุญก็ค่อยๆหัวเราะ เสียงดังลั่น
       “ เห็นตอนอ้ายขัน อ้ายพุฒมันคุกเข่าไหว้พวกเราหรือไม่ สาแก่ใจข้านัก” สินถาม
       “แต่พี่เสมารู้ได้อย่างไร ว่าออกญาเดโชจักต้องอัญเชิญรับสั่งแลราชบำเหน็จมาให้ท่านขุนราม” สมบุญถาม
       เสมายิ้มแย้มแล้วบอก
       “ออกญาเดโชบอกข้าเองว่า สมเด็จเจ้าฟ้าวังหน้าท่านประทานแหวนนพเก้าให้เป็นบำเหน็จศึกละแวก พอข้ารู้จากเอ็งว่าบ้านท่านขุนจะมีงานบุญ ข้าก็ได้คิด ว่าออกญาท่านคงถือฤกษ์งานบุญอัญเชิญรับสั่งเป็นแน่ ข้าจึงอาสามาแทน”
       “จึงได้หักหน้าอ้ายขัน อ้ายพุฒ สมน้ำมะหน้ามันนัก”
       “แต่เสียดายแหวนที่พี่ให้แม่หญิงเรไรนัก ดูท่าจะมีค่าไม่น้อย หากขายคงพอไถ่แม่จำเรียงเป็นแน่”
       “ขายได้อย่างไร สมเด็จเจ้าฟ้าท่านพระราชทานมา วันที่ข้าได้เป็นขุนศึกไชยชาญ ขืนเอาไปขายคงต้องโทษเป็นแน่ แลข้าตั้งใจไว้ มิว่าศักดิ์หรือสมบัติใด ข้าจะให้แก่แม่หญิงทั้งสิ้น แหวนวงนี้ก็ควรแล้วที่จะเป็นของแม่หญิงเรไร ผู้เป็นมงคลแห่งข้า” เสมายิ้มปลาบปลื้มชื่นใจ

อ่านต่อ หน้า ๒

เกร็ดความรู้เกี่ยวกับขุนศึก

๓๘. โขลน คือตำรวจวังหญิง ซึ่งมีหน้าที่ตรวจตรารักษาถนนหนทาง ดูแลเรื่องความสะอาด
ตลอดจนรักษาความสงบเรียบร้อยไม่ให้มีการทะเลาะวิวาทกัน ในเขตพระราชฐานชั้นใน




Create Date : 22 พฤษภาคม 2555
Last Update : 22 พฤษภาคม 2555 12:01:15 น. 0 comments
Counter : 1242 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

atitaya_t
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




สวัสดีค่ะ ขอร่วม gang ด้วยคนค่ะ
Friends' blogs
[Add atitaya_t's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.