เก็บความทรงจำ..(^_^)..ความสนใจ โลกส่วนตัว ที่เราสร้างเอง
Group Blog
 
 
พฤษภาคม 2555
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
22 พฤษภาคม 2555
 
All Blogs
 
ขุนศึก ตอนที่ 2-4

ขุนศึก ตอนที่ ๒ (ต่อ)

บัวเผื่อนกับนางข้าหลวง ๒-๓ คนกำลังเดินถือพานใส่ดอกไม้ผ่านมา พุฒซึ่งกำลังดักรอบัวเผื่อนอยู่ พอเห็นบัวเผื่อนก็รีบเข้าไปหาทันที พุฒแกล้งทำจมูกฟุดฟิด

       “นี่กลิ่นดอกไม้กระไรกัน ช่างหอมหวนยวนใจนัก ชะแม่ทั้งหลายบอกได้หรือไม่”
       บัวเผื่อนยิ้มอายๆ ส่วนนางข้างหลวงคนอื่นก็อมยิ้ม รู้ว่าพุฒหาเรื่องมาจีบแน่ๆ
       “คงเป็นดอกไม้ในพานนี่กระมัง พันจบดูเอาเองเถิดว่าเป็นดอกกระไร”
       “ดอกไม้ในพานนี้ฉันรู้จัก แต่กลิ่นหอมนี้ฉันหารู้ไม่”
       พุฒแกล้งดมกลิ่นมาจนถึงตัวบัวเผื่อน
       “อ้อ ฉันรู้แล้ว ที่แท้ก็เป็นกลิ่นหอมของดอกบัวเผื่อนนี่เอง”
       บัวเผื่อนเขินอายหนักกว่าเดิม พวกนางข้าหลวงก็พากันหัวเราะคิกๆคักๆ ตื่นเต้นที่มีหนุ่มหล่ออย่างพุฒเข้ามาจีบบัวเผื่อน
       บัวเผื่อนเขินอายหันไปสั่งนางข้าหลวง
       “กลับเข้าตำหนักไปก่อนเถิด ประเดี๋ยวฉันตามไป”
       พวกนางข้าหลวงยิ้มๆ แล้วเดินเลี่ยงไป บัวเผื่อนกระเง้ากระงอด
       “พันจบหายไปเสียนาน วันนี้ว่างรึ ถึงมาตำหนักนี้ได้”
       “ที่จริงแล้ว ฉันไปหาหมอให้ท่านเจียดยาให้ แต่ทนอยากเห็นหน้าแม่บัวเผื่อนไม่ไหว เลยแวะมาหา”
       บัวเผื่อนเขินแต่รีบแสดงความเป็นห่วงกลบเขิน
       “พันจบไม่สบายรึ เป็นกระไร”
       “มิได้ป่วยไข้อันใดดอก เพียงแต่เมื่อสายฉันไปเที่ยวตลาด แลเห็นคนลวนลามหญิงชาวบ้านต่อหน้า มิหนำซ้ำยังเป็นทหารหลวง ฉันทนมิได้เลยมีเรื่องกัน” พุฒพูดอ้อนแล้วปั้นหน้าบึ้งตึงเล่าความเท็จ
       “ตายจริง เป็นทหารหลวงแต่กลับลวนลามหญิงกลางวันแสกๆ เชียวรึ เป็นใครกันพันจบรู้หรือไม่”
       พุฒยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนปั้นหน้าเครียด
       “มันโอหังนัก ถึงกับประกาศนามกลางตลาดว่ามันชื่อ อ้ายเสมา ศิษย์วัดพุทไธสวรรย์”
       บัวเผื่อนตาเบิกโพลงหูผึ่งคันปากอยากโพนทะนา

       บัวเผื่อนกำลังจีบปากจีบคอเล่าน้ำลายแตกฟองให้เรไร ดวงแข และข้าหลวงคนอื่นๆฟังตอนหัวค่ำ โดยเรไร ดวงแข และข้าหลวงคนอื่นก็นั่งพับผ้า อบผ้าเพื่อให้มีกลิ่นหอม ฯลฯ ทุกคนฟังบัวเผื่อนเล่าไปด้วยความสนอกสนใจ
       “มิใช่แค่ลวนลาม ยังยื้อแย่งแม่เอื้อยแตงกับชายอื่นเสียด้วย ดูดู๋ พ่อหัวหมู่เสมา นึกว่าทองแท้”
       เรไรหึงหวงไม่พอใจจนออกนอกหน้า ดวงแขหน้าตาบึ้งตึงไม่พอใจเหมือนกันแต่คุมอารมณ์ได้ดีกว่าเรไร
       “แม่เอื้อยแตงนี่งามมากนักรึ ถึงกับทำให้ชายต้องวิวาทกันได้” ดวงแขถาม
       “งามซี มีชายหมายปองกันทั้งตลาด ละแวกนั้นไม่มีใครเทียม”
       เรไรทนไม่ไหวลุกขึ้นยืนด้วยใบหน้าบึ้งตึงแล้วเดินออกจากห้องไปเลย บัวเผื่อนมองตามเรไรแล้วยิ้มเยาะด้วยความสะใจที่ได้แกล้งเรไร ก่อนจะหันมาพูดกับดวงแข
       “ดูแม่เรไรซีแม่ดวงแข ทนฟังมิได้จนต้องออกไปเสียแล้ว”
       ดวงแขหมั่นไส้ ปั้นยิ้มแต่แอบแขวะ
       “ก็แม่บัวเผื่อนพูดเสียเป็นจริงเป็นจัง ราวกับเห็นด้วยตาตัวเอง ใครจะอดทนไหวเล่า”
       บัวเผื่อนหัวเราะชอบใจยังไม่รู้ตัวว่าโดนแขวะ
       “อุ๊ย ฉันก็เพียงพูดตามที่พันจบเล่าให้ฟังเท่านั้นดอก”
       ดวงแขเริ่มเอะใจแล้วถาม
       “พันจบ พันจบรณรงค์ พี่พุฒน่ะรึ”
       “แม่ดวงแขรู้จักด้วยรึ”
       ดวงแขยิ้มเล็กน้อย เพราะรู้นิสัยพุฒดีเลยมั่นใจว่า เสมาไม่ได้เป็นอย่างที่บัวเผื่อนเล่าแน่
       “รู้จัก พี่พุฒเป็นเกลอกับพี่ขันมาแต่เล็กแต่น้อย แต่ฉันไม่ได้ปะหน้าเสียหลายปี หากฉันรู้ว่าความนี้มาจากพี่พุฒ ฉันคงสวดมนต์แล้วนอนเสียนานแล้ว ไม่ทนฟังดอก”
       ดวงแขลุกขึ้นเดินเลี่ยงไป พวกนางข้าหลวงก็ขำๆที่บัวเผื่อนโดนแขวะ บัวเผื่อนหันไปถลึงตาใส่พวกนางข้าหลวงจนเงียบไป แล้วมองตามดวงแขไปด้วยความไม่พอใจที่ขัดคอตน

       บริเวณท่าน้ำในวัง เรไรกำลังใส่บาตรให้พระภิกษุที่พายเรือมา พอใส่บาตรเสร็จ พระให้ศีลให้พร เด็กวัดก็พายเรือจากไป เรไรกำลังจะเก็บของ เสมาก็พายเรือเข้ามาหา
       “แม่หญิง”
       เรไรมองเสมาด้วยสายตาเย็นชา เสมารีบพายเรือเข้าไปใกล้ เรไรรีบเก็บของเสร็จจะลุกหนี เสมาตกใจเลยรีบคว้ามือไว้ เรไรสะบัดมือออกด้วยความโมโห
       “อยากลองหวายรึ รู้หรือไม่แตะเนื้อต้องตัวนางข้าหลวงฝ่ายใน มีโทษใด”
       “ขอขมาเถิดแม่หญิง ข้าพระเจ้าไม่ได้หมายให้แม่หญิงมัวหมองเลย หากแต่เห็นแม่หญิงกำลังจะไป อารามร้อนใจเลยคว้ามือไว้”
       “เหตุใดต้องร้อนใจ เราหามีเรื่องต้องพูดคุยกันไม่”
       “พิโธ่แม่หญิง ฟังคำเสมาสักหน่อยเถิด เสมาไม่เคยล่วงเกินแม่หญิงดวงแขแม้แต่น้อยเป็นความสัตย์ แม้นคิดก็ยังไม่เคย อ้ายขันมันใส่ความข้าพระเจ้าโดยแท้”
       เรไรปั้นยิ้มประชด
       “กระนั้นรึ แล้วมาบอกฉันทำกระไร เหตุใดไม่ไปบอกแม่เอื้อยแตงเล่า”
       เสมาตกใจปนงงๆที่เรไรเอ่ยชื่อ
       “เอื้อยแตง แม่หญิงรู้จักเอื้อยแตงได้อย่างไร แล้วเหตุใด ข้าพระเจ้าต้องไปบอกเอื้อยแตงด้วย”
       “อย่ามาแสร้งทำไม่รู้เรื่องเลย ฉันหาใช่คนเขลาไม่”
       “ข้าพระเจ้าไม่ได้แสร้งสาบานได้”
       เรไรค้อนแล้วบอก
       “คนสาบานให้ผู้อื่นเค้าเชื่อนั้น ย่อมแสดงว่าโกหก”
       “ข้าพระเจ้ามิได้โกหก”
       “เป็นชายมิใช่รึ ถ้าเป็นชายต้องโกหก”
       “ข้าพระเจ้าเป็นชายแลไม่โกหกจริงๆ”
       “ที่พูดว่าไม่โกหกนี่แหละ กำลังโกหกฉันอยู่”
       เรไรสะบัดหน้าแล้วเดินลิ่วๆหนีไป ปล่อยให้เสมามองตามด้วยความอ่อนใจ ไม่คิดว่าเวลาเรไรพาลแล้วจะพูดไม่รู้เรื่องได้ขนาดนี้ เสมาได้แต่ถอนใจ
       “ผู้หญิง ช่างหยั่งใจยากนัก ดั่งเดินดับคบ ให้ตามรอยโดยแท้”

       ยามสายในวันเดียวกัน ขันและพุฒเดินคุยกันมาที่บริเวณบ้านอาจารย์บ่าย ขันยิ้มอย่างพอใจ
       “แผนการพันจบวิเศษแท้ ยืมปากแม่บัวเผื่อน แม่หญิงเรไรต้องชังน้ำหน้าอ้ายเสมาเป็นแน่”
       พุฒหัวเราะชอบใจ
       “ที่ฉันเกี้ยวแม่บัวเผื่อนไว้ก็เพื่อจะร้อยไว้ใช้หาไม่แล้ว หญิงที่ปากคอเลาะร้ายเยี่ยงแม่บัวเผื่อน แค่อยู่ใกล้ก็ระอาแล้ว ใครจะทนเกี้ยวอยู่ไหว”
       ทั้งคู่เดินมาถึงลานหน้าเรือนอาจารย์บ่าย ลูกศิษย์บ่ายมากมายหลายคนกำลังฝึกซ้อมอยู่ ทั้งกระบี่กระบอง ดาบ มวยไทย ฯลฯ จนแน่นลานหน้าเรือนอาจารย์บ่ายเต็มไปหมด ขันดูฝีมือแต่ละคนแล้วก็ยิ้มพอใจ แสดงให้เห็นว่า อาจารย์บ่ายเก่งจริง ลูกศิษย์ถึงเก่งแบบนี้
       “ครูบ่ายท่านเป็นกองอาทมาตเก่า รุ่นราวคราวเดียวกับพระครูขุนแห่งวัดพุทไธสวรรย์ พระครูของอ้ายเสมามัน หากพันฤทธิ์อยากกราบอาจารย์ดีไว้เรียนวิชา ก็หามีใครเหมาะควรเท่าครูของฉันคนนี้ไม่”
       “ขอบน้ำใจพันจบยิ่งนักที่หาครูดีให้ฉัน ฉันจักเรียนวิชาดาบสองมือให้แก่กล้า ล้างอายอ้ายเสมามันให้จงได้”
       ขณะนั้นเอง ขันก็เหลือบไปเห็นขุนรามเดชะเดินคุยกับอาจารย์บ่ายลงจากเรือนมา
       “นั่นออกขุนรามเดชะ เหตุใดมาอยู่ที่เรือนครูบ่ายท่านได้
       “พันฤทธิ์ไม่รู้รึ ว่าขุนรามเดชะเป็นลูกศิษย์ของครูบ่ายท่านเฉกกัน”
       ขันมีท่าทีแปลกใจ ก่อนจะยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นมา เพราะถ้าตนเป็นลูกศิษย์อาจารย์บ่ายก็เท่ากับเป็นศิษย์ผู้น้องของขุนรามเพิ่มความใกล้ชิดเข้าไปอีก

       เวลาต่อมา ขันและพุฒกำลังเดินคุยกับขุนรามเดชะมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
       “บังเอิญดีแท้ พ่อขันกลายเป็นศิษย์สำนักเดียวกับอาเสียได้”
       ขันยิ้มประจบประแจงทันที
       “เป็นบุญของข้าพระเจ้าเหลือเกินขอรับ ที่ได้ร่วมสำนักเดียวกับท่านอา ข้าพระเจ้าจักได้มีฝีมือเก่งกาจเช่นท่านอา”
       “หากนับแต่ดาบสองมือ อาสู้พ่อขันไม่ได้ดอก เอ่อ แต่ที่พ่อขันใฝ่รู้ คิดฝึกปรือเพิ่มนั้นดีนัก อันคนเรานั้นหากทะนงว่าเลิศกว่าผู้อื่นแล้วย่อมมีแต่หยุดนิ่งแลถดถอยเป็นธรรมดา”
       “ข้าพระเจ้าหรือขอรับจักกล้าทะนง ในเมื่อพ่ายแพ้ ในเชิงดาบผู้อื่น จนอดสูเยี่ยงทุกวันนี้”
       “แพ้ชนะหาสำคัญไม่ พันฤทธิ์มีศีลมีธรรมเทวดาฟ้าดินย่อมต้องเห็น อ้ายคนเนรคุณตะหาก แม้นจะมีฝีมือเชิงดาบสูงเพียงใด ก็หาความจำเริญไม่” พุฒรีบพูดเสริม
       ขันแกล้งทำเป็นหนักใจแล้วว่า
       “พันจบอย่ากล่าวเช่นนี้ต่อหน้าท่านอาเลย กระไรเสียอ้ายเสมาก็ได้ชื่อว่าเป็นทหารในสังกัดท่านอา”
       พุฒปั้นหน้าเครียดแล้วเหล่ไปที่ขุนรามเดชะ
       “ไม่กล่าวไม่ได้ดอก ออกขุนท่านจักได้รู้ ว่าอ้ายคนที่ท่านเมตตาค้ำชู ลับหลังมันกระทำการอกตัญญูเพียงใด”
       ขุนรามเดชะเหมือนโดนจี้ใจดำ หน้าบึ้งตึงโกรธเสมาขึ้นมาทันที
       “มิต้องกล่าวดอก อารู้ว่าอ้ายเสมามันทำกระไรไว้บ้าง”
       ขุนรามเดชะเดินหน้าบึ้งตึงเลี่ยงไปด้วยความเจ็บใจเสมา ขัน และพุฒหันไปยิ้มให้กัน ยังไม่ทันยุเท่าไหร่ ขุนรามเดชะก็ของขึ้นซะแล้ว

       บ่ายวันเดียวกัน เสมากำลังตีเหล็กอยู่ โดยมีบุญเรือน จำเรียงยืนด่าอยู่ ในขณะที่มั่นยืนหน้าเครียดอยู่ใกล้ๆ เสมาพูดไปตีเหล็กไปอย่างอ่อนใจ
       “เชื่อฉันบ้างเถิดแม่ ฉันไม่เคยทำเจ้าชู้ถึงเพียงนั้น จะให้ไปสาบานที่ใดก็ได้”
       “เอ็งไม่ต้องมาสบถสาบาน อ้ายผู้ร้ายปากแข็ง ไม่มีไฟจะมีควันรึ คราวแม่หญิงเรไรก็ครั้งหนึ่งแล้ว นี่ยังมีแม่หญิงดวงแข แลนังเอื้อยแตงอีก”
       “เอื้อยแตงนั้นช่างเถิด แต่แม่หญิงทั้งสองมียศแลศักดิ์สูง หากมีการกล่าวโทษกัน มิใช่แต่พี่คนเดียว แม้นแต่พ่อแม่แลตัวฉัน ก็ต้องพลอยเดือดร้อนไปกับพี่ด้วย” จำเรียงว่า
       “เอ็งมันก็เชื่อแต่คำอ้ายขัน เหตุใดไม่เชื่อข้าที่เป็นพี่เอ็งบ้าง ข้าไม่เคยทำเจ้าชู้ แม้แต่แม่หญิงเรไร ข้าก็คิดแต่จะสร้างยศศักดิ์ตัวเองให้เทียมนาง ไม่เคยคิดดึงแม่หญิงลงมาต่ำ หรือใช้แม่หญิงเป็นสะพานเพื่อแสวงหาลาภยศเลย”
       “ถึงกระนั้นก็ไม่ควร เพราะเอ็งอยู่ในฐานะเสมอข้ารับใช้ ขุนรามเดชะท่าน แลท่านเมตตารับเอ็งเข้าเป็นทหารยิ่งไม่บังควรคิดเกินเลยกับลูกท่าน” มั่นบอก
       “พ่อ แล้วมันเป็นความชั่วของฉันรึที่เกิดมาในสกุลต่ำกว่าแม่หญิงเรไร แลเกิดมาต่ำแล้ว แม้นจะมีความเพียรเท่าใด ก็ต้องต่ำตลอดไปเลยรึ หากเป็นเช่นนั้นแล้วจะพากเพียรเรียนวิชาไปเพื่อกระไร”
       “อ้ายเสมา พ่อแม่เตือนเอ็ง เอ็งยังจะเถียงอีกรึ แล้วยังยกเรื่องสกุลมาพูดอีก หรือเอ็งจะโทษว่าไม่ควรเกิดเป็นลูกพวกข้าก็ว่ามา” บุญเรือนพูดด้วยความโมโห
       เสมาอ่อนใจที่ใครๆก็รุมด่า ไม่เข้าใจตนแม้แต่น้อยจึงหยุดตีเหล็กลุกเดินหนีไปอย่างหัวเสีย
       “ดูทำท่าทางซิแม่ คงทะนงว่าเป็นถึงหัวหมู่” จำเรียงพูดด้วยความหมั่นไส้

       เย็นวันนั้น เสมากำลังก้มลงกราบพันอิน อยู่ที่ชานเรือนบ้านของพันอิน
       “ฉันขอมาพึ่งใบบุญพ่อพันอินสักสามสี่วันเถิดจ้ะ บ้านฉันร้อนเหลือเกิน ทั้งพ่อ แม่ แลนังจำเรียงได้แต่กร่นด่าฉันจนอยู่ไม่ได้แล้วจ้ะ”
       พันอินหัวเราะแล้วพยักหน้า
       “เออๆ พ่อพอจะรู้เรื่องนี้ เอ็งยังหนุ่มยังแน่นย่อมมีเกินเลยไปบ้าง พ่อแม่เอ็งเค้าเป็นชาวบ้าน ธรรมดาย่อมกลัวขุนน้ำขุนนาง เอาไว้ให้เย็นลงกันทั้งสองฝ่ายแล้วค่อยกลับไปเถิด”
       เสมายกมือไหว้
       “ขอบพระคุณพ่อพันอินจ้ะ”
       “ไม่เป็นไรดอก”
       พันอินหันไปตะโกนเรียกศรีเมือง
       “ศรีเมือง ศรีเมืองเอ๊ย”
       ศรีเมืองเด็กสาวสวย น่ารักเดินออกมาจากข้างใน ศรีเมืองเดินเข้ามาแล้วนั่งพับเพียบลง
       “พ่อมีกระไรจ๊ะ”
       “นี่พี่เสมา เป็นลูกบุญธรรมพ่ออีกคน … นี่ศรีเมืองเป็นลูกบุญธรรมของพ่อเอง เลี้ยงมาแต่เล็กแต่น้อย”
       ศรีเมืองหันไปมองหน้าเสมา พอเห็นเสมาครั้งแรกก็ตกหลุมรักทันที ศรีเมืองเขินอายแล้วตั้งสติยกมือไหว้เสมา
       “ฉันไหว้จ้ะ พี่เสมา”
       “จำเริญสุขเถิด แม่ศรีเมือง” เสมายิ้มรับไหว้
       “พี่เสมาเค้าจะมาอยู่เรือนเราสักสามสี่วัน ลูกจงจัดห้องหับแลสำรับคาวหวานให้พี่เค้าด้วย”
       “จ้ะพ่อ”
       ศรีเมืองลุกขึ้นจะเดินเลี่ยงไปตามที่พันอินสั่ง แต่เดินไปได้เล็กน้อยก็อดเหลียวมองเสมาไม่ได้ เห็นเสมาคุยกับพันอินด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสก็ยิ้มเขินๆ ยิ่งรู้ว่าเสมาจะมาอยู่เรือนตนก็ยิ่งแอบดีใจ

       ในเวลาค่ำ เรไรเดินมาตามทางเดิน เพื่อจะกลับเข้าห้องนอน แต่พอมาถึงหน้าห้องนอนก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นดวงแขยืนรออยู่หน้าห้อง ดวงแขเห็นเรไรก็ยิ้มทักทาย
       “แม่เรไร”
       “แม่ดวงแขมีกระไรรึ ถึงได้มารอฉันที่หน้าห้อง”
       “แต่เกิดเรื่องเสมากับพี่ขันที่ท้ายวัง ฉันกับแม่เรไรยังไม่ได้พูดกันเลย แม่เรไรเชื่อฉันเถิดเสมาไม่ได้เกี้ยวพาราสี...”
       “ชายคนนั้นจะเกี้ยวใครก็หาเกี่ยวกับฉันไม่ แล้วชายที่อยู่ใกล้หญิงใดก็ทำเจ้าชู้กับหญิงนั้น ฉันไม่อยากได้ยินชื่ออีก ขอแม่ดวงแขอย่าเอ่ยให้ฉันฟังอีกเลย” เรไรพูดสวนขึ้นทันที
       ดวงแขหน้าขรึมลงแล้วว่า
       “หากแม่เรไรประสงค์เช่นนั้น ก็ตามใจเถิด”
       เรไรเดินหน้าตาบึ้งตึงเปิดประตูเข้าห้องนอนไป ดวงแขมองตามแล้วยิ้มตามหลัง
       “หูเบานักฟังความข้างเดียวก็หลงโกรธ ชายใดจะทนได้เล่า”
       ดวงแขยิ้มเจ้าเล่ห์ เมื่อเรไรไม่อยากฟังก็ไม่พูดอะไรมาก เพราะฝ่ายได้ประโยชน์คือดวงแขเอง

       บรรยากาศภายในตลาดยามเช้า มีคนซื้อของมากมาย คึกคัก ที่แผงขายเหล็กของเอื้อยแตง เสมาขายของได้ก็เก็บเบี้ยเก็บหอยใส่ถุงไว้ แต่ทันใดนั้น เอื้อยแตงก็เดินมาจากทางด้านหลัง แล้วดึงถุงเงินจากมือเสมาไป
       “กระไรวะนังเอื้อยแตง ไม่ทันไรก็เอาเบี้ยไปอีกแล้ว รอเต็มถุงก่อนซี กลัวข้าโกงรึ”
       “ไม่กลัว แต่ฉันชอบพกเบี้ยพกอัฐติดตัว พี่จะทำกระไรรึ”
       “นังเอื้อย...”
       “อย่าวุ่นวายได้หรือไม่พี่เสมา วันนี้พี่ขายของแลกเบี้ยฉันก็เสมอด้วยพี่เป็นบ่าว ฉันเป็นนาย หากพี่ปากมากนัก ฉันจะไม่ให้เบี้ยแม้แต่น้อย”
       เสมาเซ็งสุดๆ ก้มหน้าก้มตาจัดของในร้านพร้อมกับบ่นพึมพำไปเรื่อย ในขณะที่เอื้อยแตงยิ้มๆ สะใจเล็กๆที่ได้แกล้งแสมา ขณะนั้นเอง ศรีเมืองก็เดินมาหาเสมา พร้อมข้าวห่อใบบัวและกระบอกไม้ไผ่ใส่น้ำ
       “พี่เสมา ฉันเอาข้าวเอาน้ำมาส่งจ้ะ”
       “เหตุใดมาเร็วนักล่ะศรีเมือง ยังเช้าอยู่ ห่างยามเที่ยงอีกนานนัก”
       ศรีเมืองอึกอักเพราะใจจริงอยากเห็นหน้าเสมา
       “เอ่อ...”
       เอื้อยแตงเห็นแล้วหมั่นไส้เลยดึงห่อข้าวมาเลย
       “หากพี่ไม่หิว ฉันกินเอง”
       เสมาดึงห่อข้าวกลับ
       “ล้นนักนังเอื้อยแตง ของเอ็งก็มี เหตุใดมาแย่งของข้า”
       เอื้อยแตงทิ้งค้อนด้วยความหมั่นไส้เสมา ในขณะที่ศรีเมืองแอบมองแล้วยิ้ม ดีใจที่ได้เจอได้คุยกับเสมา
       ขณะนั้นเอง เสมาก็เหลือบไปเห็นเรไรซึ่งห่มสไบเขียวมากับนางข้าหลวงกลุ่มหนึ่ง กำลังเดินเลือกซื้อของกันอยู่
       “แม่หญิงเรไร” เสมาร้องเรียก
       เอื้อยแตงหูผึ่งมองตามเสมาทันที
       “คนไหนรึ ใช่คนห่มสไบเขียวหรือไม่พี่เสมา”
       เสมาไม่ตอบแต่เดินตามเรไรไปทันที
       “แม่หญิงเรไรนี่ใครกันหรือจ๊ะ” ศรีเมืองถามขณะที่สายตามองตามเสมาไป
       “ก็หญิงที่พี่เสมาหมายปองอยู่น่ะซี สวยเพียงนี้นี่เอง มิน่าเล่า”

ศรีเมืองถึงกับจ๋อยไปทันทีที่รู้ว่าเสมามีผู้หญิงที่รักอยู่แล้ว ได้แต่มองตามเสมาด้วยสายตาเศร้าๆ

อ่านต่อตอนที่ ๓ พรุ่งนี้

เกร็ดความรู้เกี่ยวกับขุนศึก

๑๕. กองอาทมาต เป็นกองทหารหน่วยหนึ่งในสมัยโบราณ ซึ่งต้องทำหน้าที่หลายอย่าง ทั้งจู่โจม สอดแนม หรือเป็นกองหน้าเข้าต่อสู้ ผู้ที่จะเป็นทหารหน่วยนี้ได้จึงมีน้อยมาก เพราะต้องชำนาญศาสตร์การต่อสู้หลายแขนง ทั้งมือเปล่า อาวุธสั้น อาวุธยาว ตลอดจนเวทย์มนต์คาถาต่างๆ

๑๖. ตะพุ่นหญ้าช้าง คือคนหลวงที่ถูกเกณฑ์ให้เกี่ยวหญ้าเลี้ยงช้าง หรือไพร่ที่หาหญ้าให้ช้างกิน เนื่องจากช้างหลวงมีจำนวนมาก จึงต้องมี “กรมตะพุ่น” คอยหาหญ้าให้เพียงพอกับความต้องการของช้าง


Create Date : 22 พฤษภาคม 2555
Last Update : 22 พฤษภาคม 2555 11:41:48 น. 0 comments
Counter : 811 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

atitaya_t
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




สวัสดีค่ะ ขอร่วม gang ด้วยคนค่ะ
Friends' blogs
[Add atitaya_t's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.