เก็บความทรงจำ..(^_^)..ความสนใจ โลกส่วนตัว ที่เราสร้างเอง
Group Blog
 
 
พฤษภาคม 2555
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
22 พฤษภาคม 2555
 
All Blogs
 
ขุนศึก ตอนที่ 2-1

ขุนศึก ตอนที่ ๒

ในช่วงหัวค่ำที่ริมแม่น้ำ ชาวบ้านเตรียมตัวกันเพื่อมาลอยกระทง บรรยากาศของคืนเพ็ญเดือนสิบสองครึกครื้น มีการเล่นสักวา เล่นเพลงยาวของหนุ่มสาวอย่างสนุกสนาน ยังมีของกินห่อใบตองขายเต็มไปหมด ชาวบ้านก็เดินเลือกกินเลือกซื้อกันอย่างมีความสุข

       ดวงแขในชุดสไบสีชมพู กำลังเดินตรวจงานอยู่ โดยมีหญิงรับใช้คอยเดินตาม
       “เสร็จพระราชพิธีลอยพระประทีปแล้ว เจ้านายทุกพระองค์จะขึ้นฝั่งที่ประตูหน้า เจ้าไปกำชับกำชาอีกรอบ อย่าให้มีผิดพลาดเชียว” ดวงแขสั่ง
       “เจ้าค่ะแม่หญิง” หญิงรับใช้รับคำแล้วเดินเลี่ยงไป
       ดวงแขเดินดูงาน การละเล่น ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส เอื้อยแตงและสมบุญเดินนำเสมามา ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส มีแต่เสมาที่สีหน้าเซ็งๆ ตั้งใจจะมารับกระทงเรไร แต่ไม่รู้จะปลีกตัวยังไง เอื้อยแตงตื่นเต้น “งานปีนี้เอิกเกริกกว่าทุกปีเลย พี่เสมาดูสิ”
       เสมาไม่ได้สนใจ มองไปทางแม่น้ำ เพื่อหาเรไร
       “ของกินเต็มไปหมด ท่าทางน่าอร่อยทั้งนั้นเลย พี่เสมาอยาก กินกระไร ประเดี๋ยวฉันไปหามาให้” สมบุญน้ำเสียงตื่นเต้นบ้าง
       “ข้าไม่หิว เอ็งไปเถิด”
       “ตะกละตะกราม มาเที่ยวทั้งที ต้องไปดูเค้าเล่นสักวาสิ ถึงจะสนุก” เอื้อยแตงบอก
       “คนออกโข จะไปเบียดกันทำกระไร หาของอร่อยกินดีกว่า”
       เอื้อยแตงมองสมบุญตาเขียวปั้ด ไม่พอใจที่มาขัดคอจนเสมาต้องรีบห้ามทัพ
       “เอ็งสองคนเลิกเถียงกันเสียที ข้าหิวแล้ว”
       “ประเดี๋ยวฉันไปซื้อมาให้เอง พี่รออยู่ตรงนี้เถิด”
       เอื้อยแตงทิ้งค้อนใส่สมบุญแล้วเดินเลี่ยงไป
       “รอฉันก่อนแม่เอื้อยแตง ฉันก็หิว”
       เอื้อยแตงรีบเดินหนีไปอย่างเร็วด้วยความรำคาญ สมบุญรีบตามไปอีกคน เสมาถอนใจ ส่ายหน้า แล้วเดินดูงานไปเรื่อย จังหวะนั้นเอง ดวงแขก็หันกลับมาแล้วอึ้งไปชั่วครู่ ก่อนจะยิ้มดีใจที่ได้เจอเสมาอีกครั้ง เสมาจำดวงแขได้เหมือนกันจึงยิ้มทักทาย
       “แม่หญิงนั่นเอง เป็นกระไรบ้าง สบายดีรึ”
       “สบายดีจ้ะ ไม่นึกเลย ว่าจะได้เจอพ่อที่นี่ เรื่องคราวก่อนฉันยังไม่ได้ขอบพระคุณเลย”
       “ไม่เป็นไรดอกแม่หญิง แม่หญิงปลอดภัยฉันก็ดีใจแล้ว”
       ขณะนั้นเอง ยินเสียงฆ้องดังขึ้น ก่อนจะดังต่อๆกันมา จนได้ยินไปทั่วเป็นการบอกฤกษ์การลอยกระทงดวงแขหน้าเจื่อนไปเพราะอยากคุยกับเสมามากกว่านี้
       “ได้ฤกษ์ลอยกระทงโคมไฟแล้ว ฉันมีหน้าที่ต้องดูแลขบวนเสด็จฝ่ายใน คงต้องไปก่อน เอ่อ ฉันชื่อ ดวงแขนะจ๊ะ บ้านอยู่ท้ายคลองวัดกลาง ถ้าพ่อมีกระไรให้ฉันช่วย ก็ไปหาฉันได้นะจ๊ะ ฉันอยากตอบแทนบุญคุณจริงๆ”
       ดวงแขจะเดินเลี่ยงไป แต่เสมารีบเรียกไว้
       “ประเดี๋ยวจ้ะ แม่หญิงเป็นสาวชาววังรึ พอจะรู้หรือไม่ว่าขบวนใดเป็นขบวนสมเด็จพระเจ้าหลานเธอท่าน”
       “ขบวนสมเด็จท่าน หากเป็นข้าหลวงนางในก็จะใส่สไบแดงทุกคน พ่อถามเช่นนี้ จะดักเจอใครรึ”
       “เปล่า เปล่าดอกจ้ะ เอ่อ แม่หญิงจะไปที่ท่าน้ำใช่หรือไม่ ให้ฉันไปด้วยคนนะ”

       ดวงแข เดินนำไปและเสมาเดินตามหลัง ดวงแขแอบปลื้มๆ แต่ไม่พูดอะไรมากด้วยความเป็นผู้หญิง จำเรียงเดินคุยยิ้มแย้มมากับนางข้าหลวงกลุ่มหนึ่งซึ่งห่มสไบสีชมพู จำเรียงเห็นเสมาเดินตามดวงแขมาก็หน้าเสีย รีบเข้าไปดุพี่ทันที
       “พี่เสมา เดินตามแม่หญิงดวงแขมาต้องการกระไร”
       “เป็นกระไรของเอ็งนังจำเรียง ทำยังกะข้าจะไปฆ่าใคร ข้าแค่จะไปที่ท่าน้ำหน้าวัดพุทไธสวรรย์ เป็นทางเดียวกับแม่หญิงดวงแข ก็เลยร่วมทางกันมาเท่านั้น”
       “จริงรึเจ้าคะแม่หญิง”
       “ใช่จ้ะ”
       “เห็นหรือไม่นังจำเรียง ยังไม่ทันถามไถ่ก็ดุด่าข้า ข้าเป็นพี่เอ็งแท้ๆ”
       “ก็พี่เป็นคนดื้อรั้น แล้วก็มีเรื่องผิดใจกับพี่หมู่ขันด้วย ฉันก็เกรงว่าพี่จะมาพาลพาโลลงกับแม่หญิงดวงแขน่ะซี”
       “เอ็งยิ่งพูดยิ่งวกวน ข้าผิดใจกับหมู่ขัน แล้วเหตุใดข้าต้องพาลกับแม่หญิงด้วยเล่า”
       “นี่พี่ไม่รู้รึ” จำเรียงมองหน้าเสมาด้วยความแปลกใจ
       “ฉันเป็นน้องสาวพี่ขันจ้ะ” ดวงแขบอก
       “ที่แท้เป็นเช่นนี้ แม่หญิงวางใจเถิด อ้ายเสมาผิดใจกับหมู่ขันก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่หากพาลพาโลมาที่แม่หญิงแล้ว ก็หาใช่วิสัยชายชาติทหารไม่...ขอบน้ำใจที่ให้ข้าร่วมทางมา”
       เสมาก้มหน้าเดินเลี่ยงไป จำเรียงค้อนตามพี่ชายไปเล็กน้อย

       ดวงแขแอบชะเง้อมองตาม อมยิ้มด้วยความชื่นชม ที่เสมาสมเป็นลูกผู้ชาย

       เรไร เดินถือกระทงมากับบัวเผื่อนและนางข้าหลวงคนอื่นๆซึ่งห่มสไบสีแดง ต่างคนต่างพูดคุยกันอย่างยิ้มแย้มแจ่มใส ขณะนั้นเอง ขันก็เดินถือกระทงของตนเข้ามาหาเรไรแล้วยิ้มกรุ้มกริ่ม
       “แม่หญิงเรไร”
       เรไรชะงัก หน้าเจื่อนทันทีที่เห็นหมู่ขัน
       บัวเผื่อนยิ้มแซวๆแล้วว่า
       “ดูท่าพวกเราคงต้องไปคอยแม่เรไรที่เรือเสียแล้วกระมัง ...ได้ฤกษ์ลอยกระทงโคมไฟแล้ว ขอเชิญหัวหมู่เถิดจ้ะ”
       “ขอบน้ำใจจ้ะ แม่หญิงบัวเผื่อน”
       บัวเผื่อนกับพวกข้าหลวงเดินเลี่ยงไป ปล่อยให้ขันอยู่กับเรไรสองคน ขันมองไปที่กระทงของเรไร
       “นั่นกระทงของแม่หญิงรึ ช่างวิจิตรประณีตนัก มิรู้ว่ากระทงโคมไฟของฉัน จะได้มีวาสนาได้ลอยคู่กับกระทงของแม่หรือหาไม่”
       “ได้สิจ๊ะหัวหมู่”
       ขันดีใจมาก ไม่คิดว่าเรไรจะยอมง่ายๆแบบนี้
       “ถ้าหัวหมู่ขึ้นเรือมากับพวกฉันได้ เราก็คงได้ลอยกระทงร่วมกัน”
       ขันหน้าเสียทันที
       “เรือของฝ่ายใน ฉันจะขึ้นได้อย่างไรกัน ได้โดนตัดหัวตามกฎปะไร แม่หญิงลอยกระทงโคมไฟกับฉันที่นี่ไม่ได้รึ”
       “ไม่ได้ดอกจ้ะ ฉันตั้งใจไว้แล้ว ว่าจะไปลอยกลางแม่น้ำ”
       “ทำไมล่ะ ไม่ได้มีกฎห้ามไม่ใช่รึว่าต้องลอยกลางแม่น้ำเท่านั้น เหตุใด แม่หญิง...”
       ขันมองไปที่กระทงของเรไรอย่างสำรวจก็ชะงัก ฉุกคิดขึ้นและโมโหมาก
       “อ้อ มิน่าเล่าถึงได้ทำกระทงรูปนี้ ใบเสมาบนกระทงนั่น สื่อถึงผู้ใดกันรึแม่หญิง”
       เรไรหน้าเสีย ไม่คิดว่าขันจะเดาถูก
       “เสียที เป็นบุตรขุนน้ำขุนนาง กลับใฝ่ใจด้วยอ้ายช่างเหล็กสกุลต่ำ ช่างไม่รักศักดิ์ศรีเสียบ้างเลย อยากให้ออกขุนรามเดชะมาเห็นนัก”
       เรไรชักโมโหเหมือนกัน
       “หัวหมู่ก็ไปบอกพ่อฉันเถิด ฉันหากลัวไม่ ฉันไม่ได้ทำเรื่องบัดสี เรื่องจะกลัวคำเท็จเป็นไม่มี หรือจะยันกันต่อหน้านายของหัวหมู่ก็ได้ จะได้รู้กันไปว่าชายชาติทหาร พอเกี้ยวพาราสีผู้หญิงไม่ได้ แล้วเป็นเยี่ยงไร”
       ขันอึ้ง พอเรไรเอาจริงก็ไม่กล้า เรไรจ้องหน้าขันแล้วสะบัดหน้าเดินเลี่ยงไป ขันขบกรามแน่นด้วยความเจ็บใจสุดๆ
       “อ้ายเสมา”

       กระทงมากมายนับพันใบ ลอยมาตามแม่น้ำเป็นสาย แสงไฟระยิบระยับจากกระทงดูสวยงามจับใจ บรรยากาศภายในงาน ชาวบ้านต่างพากันมาลอยกระทง พูดคุยกันยิ้มแย้มแจ่มใส ทั้งลอยเป็นคู่ เป็นครอบครัว

       เสมา ยืนชะเง้อคอยมองหาเรไรตลอดเวลา อยู่ที่ท่าน้ำหน้าวัดพุทไธสวรรย์ ขณะนั้นเอง เรือลำใหญ่ที่เรไร บัวเผื่อนกับพวกนางข้างหลวงก็พายมาถึง เสมาเห็นทุกคนใส่สไบแดงก็มั่นใจว่าเป็นเรือเรไรแน่ แม้จะเห็นเรไรไม่ถนัดก็ตาม เสมากล่าวอธิษฐานในใจ
       “แม่พระคงคาอันศักดิ์สิทธิ์จงเป็นพยาน หากข้าพระเจ้าอ้ายเสมา มีวาสนาได้เป็นขุนศึกขุนพล คู่ควรกับแม่หญิงเรไรแล้วไซร้ ขอให้ข้าพระเจ้าเก็บกระทงโคมไฟของแม่หญิงได้ด้วยเถิด”
       เรไรมองหาเสมาอยู่บนเรือ แต่ก็เห็นไม่ถนัดนัก
       “มองหาใครอยู่รึแม่เรไร” บัวเผื่อนถาม
       เรไรปั้นยิ้มกลบเกลื่อน
       “เปล่าดอกจ้ะ ฉันเห็นว่างานคืนนี้สวยนัก ก็เลยดูให้เพลินตาไปน่ะจ้ะ”
       “รีบลอยกระทงโคมไฟกันเถิด ประเดี๋ยวจะเลยฤกษ์”
       บัวเผื่อน และพวกนางข้าหลวงต่างเอากระทงขึ้นจบเหนือหัวเพื่อขออภัยแม่พระคงคาและบูชาลอยพระพุทธบาทใต้บาดาล ตามความเชื่อของการลอยกระทง
       เรไรแอบหยิบหมากพลู ยาสูบ ออกจากชายพก ใส่ลงในกระทงของตน แล้วจบหัวอธิษฐานก่อนจะลอยกระทงลงแม่น้ำ พยายามสังเกตแสงไฟจากธูปเทียนบนกระทงของตน ว่าจะลอยไปถึงฝั่งให้เสมาเก็บได้รึเปล่า
       เสมายืนรออยู่ที่ท่าน้ำ คอยสังเกตกระทงโคมไฟแต่ละใบอย่างละเอียดที่สุดเท่าที่จะทำได้
       ทันใดนั้นเอง เสมาก็เห็นกระทงใบที่ใช้ดอกจำปีทำเป็นใบเสมา เสมารู้ได้ในทันทีว่าเป็นของเรไรแน่เสมายิ้มดีใจ
       “ช่างคิดนักแม่หญิง”
       เสมารอจนกระทงลอยมาใกล้ก็ก้มลงเก็บ ก่อนจะหยิบหมากพลูและยาสูบที่เรไรใส่ไว้ในกระทงขึ้นมา เสมาเอาหมากพลูและยาสูบขึ้นมาแนบอก ก่อนจะเก็บไว้อย่างดี แล้วชูกระทงของเรไรขึ้นจบเหนือหัวเพื่ออธิษฐานร่วมกับเรไรในกระทงเดียวกัน เรไรเห็นเสมาชูกระทงของตนขึ้นก็ยิ้มปลื้มใจ ที่เสมาเดาความหมายของตนออก และเก็บกระทงได้จริงๆ สมกับความตั้งใจของตน เสมาลอยกระทงของเรไรตามแม่น้ำไป แล้วลุกขึ้นยืนมองไปทางเรไร

       แม้ทั้งคู่แม้จะมองเห็นหน้ากันไม่ชัด แต่ก็รับรู้ความรู้สึกของอีกฝ่ายได้ไม่ต่างกัน

       ผ่านไปจนถึงเช้าวันหนึ่งทุกพระองค์อันมี พระมหาธรรมราชา สมเด็จพระนเรศวร และสมเด็จพระเอกาทศรถกำลังประชุมเครียดกันอยู่ที่ท้องพระโรงกรุงศรีอยุธยาพร้อมด้วยเหล่าขุนนาง เสนา อำมาตย์ ที่กลางห้องมีแบบจำลองภูมิประเทศ แสดงการเดินทัพของทัพพสิม และ เชียงใหม่ โดยมีธงเล็กๆสีต่างๆปักอยู่แทนกองทัพพสิม ทัพเชียงใหม่ และทัพไทย
       “พระเจ้านันทบุเรง ส่งทัพพระยาพสิมแลพระเจ้าเชียงใหม่ บุกตีเราเป็นสองทางดังคาดจริงๆ ทัพสามหมื่นของพระยาพสิมก็ว่าหนักแล้ว แต่พลหนึ่งแสนของเชียงใหม่ยิ่งหนักกว่า เห็นควรที่เราจะใช้ชัยภูมิของพระนคร ตั้งรับข้าศึกเหมือนดังที่ผ่านมา” พระมหาธรรมราชาตรัสขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
       สมเด็จพระเอกาทศรถไหว้บังคมตรัสว่า
       “ขอเดชะสมเด็จพ่อ ลูกเห็นว่าศึกนี้มิบังควรใช้ชัยภูมิของเราตั้งรับดังที่ผ่านมา แต่ชอบที่จะยกทัพไปรับศึกนอกพระนครพระพุทธเจ้าข้า”
       สมเด็จพระนเรศวรพนมมือบังคมพระมหาธรรมราชาแล้วตรัสว่า
       “ลูกเห็นด้วยกับองค์ขาว พระยาพสิมแม้จะเจนศึก แต่พระอุปนิสัยชอบดูแคลนคนแลนิยมเอาหน้า ย่อมกระทำการประมาทได้โดยง่าย ส่วนพระเจ้าเชียงใหม่แม้จะทรงเป็นนักปกครองที่สามารถแต่หาใช่นักรบที่เก่งกาจไม่ ถึงจะมีพลเรือนแสน ก็ไม่น่าวิตกพระพุทธเจ้าข้า”

       ภาพเขียนของทหารไทย ทหารพม่ารบกัน มีทั้งใช้อาวุธต่อสู้ ใช้ปืนยิง ใช้ปืนใหญ่ ปีนค่าย ฯลฯ ปรากฏขึ้นพร้อมเสียงผู้บรรยาย
       “เหตุการณ์ได้เป็นไปตามที่สมเด็จพระนเรศวรทรงคาดการณ์ไว้ กองทัพของพระยาพสิมมาถึงก่อนกองทัพของพระเจ้าเชียงใหม่และบุกเข้าตีเมืองสุพรรณบุรีทันที แต่ถูกพระยาจักรีต้านทานเอาไว้ได้ ทำให้สูญเสียไพร่พลมากมาย ก่อนจะถูกทัพของพระพิชัยสงครามและเจ้าพระยาสุโขทัยตามตีจนพ่ายแพ้กลับไป”

       เช้าสายในวันหนึ่งภายในบ้านขุนรามเดชะ สมบุญหาวปากกว้างแล้วจะล้มตัวลงนอนหนุนขอนไม้เล็กๆ แต่ไม่ทันจะล้มตัวลงนอน ก็มีมือข้างหนึ่งดึงขอนไม้ออกมาจนสมบุญหัวกระแทกกับพื้น
       “ใครวะ” สมบุญเสียงเขียวด้วยความโมโห
       สมบุญลุกขึ้นจะเอาเรื่องแต่ปรากฏว่าคนที่ดึงขอนไม้ออกคือเสมานั่นเอง สมบุญถึงกับหน้าสลดลงทันที “พี่เสมา”
       เสมาหน้าเครียดแล้วพูดขึ้น
       “เพลานี้เอ็งต้องฝึกซ้อมดาบไม่ใช่รึอ้ายสมบุญ เหตุใดมานอนขี้เกียจสันหลังยาวอยู่นี่”
       “พิโธ่ พี่เสมา ทัพพม่าโดนทัพของออกยาจักรีตีแตกพ่ายไปแล้วจะให้ฉันซ้อมดาบไปเพื่อกระไร ฉันตั้งใจจะออกศึกรบกับพวกมันให้หายแค้นเสียหน่อย อดกัน” สมบุญพูดด้วยน้ำเสียงเซ็งๆ
       “ถึงไม่มีศึกเอ็งก็ต้องฝึกซ้อม หากอยู่ในความประมาทถึงคราวออกศึกจริง มิไปให้ข้าศึกมันฟันเล่นดอกหรือวะ”
       ขณะนั้นเองก็มีเสียงตีเกาะเคาะไม้ดังขึ้นเพื่อเรียกระดมพล เสมา สมบุญรีบไปตามเสียงเรียกทันทีเหมือนกับทหารคนอื่นๆ บริเวณจุดนัดหมาย ขุนรามเดชะกำลังยืนหน้าเครียดโดยมีทหารคนหนึ่งกำลังตีเกาะเคาะไม้อยู่ ขุนรามเดชะรอจนทุกคนมาครบจึงพูดด้วยเสียงดังลั่น)
       “บัดเดี๋ยวนี้ ทัพของพระยาพสิมได้แตกพ่ายไปแล้ว แต่ทัพของพระเจ้าเชียงใหม่กำลังบุกลงมาแต่หัวเมืองฝ่ายเหนือเป็นทีของพวกเอ็งทุกคนแล้ว ที่จะได้ออกรบรับทัพพระเจ้าเชียงใหม่ หากแม้นไล่ทัพข้าศึกกลับไปไม่ได้ พวกเอ็งกับข้าก็จงเอาแผ่นดินกลบหน้าแทนเถิด”
       เหล่าทหารส่งเสียงเฮลั่น พร้อมทำศึก สมบุญก็เฮลั่นที่ได้ออกรบสมใจ ในขณะที่เสมายิ้มรับอย่างฮึกเหิม ในที่สุดเวลาแสดงฝีมือก็มาถึงเสียที

       ในเวลาต่อมา เสมากลับไปที่บ้านเพื่อก้มลงกราบเท้าพ่อมั่น โดยมีจำเรียงอยู่ใกล้ๆบริเวณนั้นด้วย มั่นพูดด้วยความภูมิใจ
       “ขอให้เอ็งแคล้วคลาดปลอดภัย ภยันตรายใดๆก็อย่ากล้ำกรายเอ็งได้นะ เสมาลูกพ่อ”
       “ขอบพระคุณจ้ะพ่อ”
       จำเรียงสีหน้ายิ้มแย้มพลางว่า
       “พรุ่งนี้พี่ก็จะไปทัพแล้ว ฉันเตรียมของให้พี่ไม่ทัน แต่ขอให้พี่โชคดีมีชัยมียศศักดิ์สมใจพี่เถิดนะ”
       “ขอบน้ำใจเอ็งจำเรียง แต่ยศศักดิ์ของข้าหากมีก็เพื่อคนอื่นหาใช่เพื่อตัวข้าเองไม่ ตัวข้าขอเพียงได้ออกศึกฉลองคุณบ้านเมืองก็เป็นที่สุดแล้ว”
       เสมาชะเง้อเข้าไปในเรือนมองหาบุญเรือนแต่ก็ไม่เห็นแม่ออกมา
       “เอ็งเข้าไปหาแม่เค้าเถิด เค้ารอเอ็งอยู่” มั่นพูดขึ้น
       “จ้ะพ่อ”
       เสมาเดินเข้าไปด้านในเห็นแม่นั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ เสมาถึงกับหน้าเสียคลานเข้าไปจะกราบเท้าแม่ แต่บุญเรือนเบี่ยงตัวออก
       “ฉันรู้ว่าแม่ไม่อยากให้ฉันเป็นทหาร แต่พรุ่งนี้ฉันต้องไปศึกแล้ว ขอพรแม่เพื่อเป็นมงคลแก่ฉันสักหน่อยเถิด”
       บุญเรือนร้องไห้สะอึกสะอื้นหนักขึ้น
       “พรข้าจะเป็นมงคลแก่ใครได้ ในเมื่อตัวข้าเองยังไม่ได้ในสิ่งที่ข้าหวังเลย ข้าไม่อยากให้ลูกเป็นทหาร ลูกข้าก็เป็น เยี่ยงนี้ยังมีหน้าให้พรใครได้อีก”
       เสมารู้สึกผิดที่ทำให้แม่เสียใจ
       “ฉันขอขมาโทษจ้ะแม่”
       บุญเรือนยังเบือนหน้าร้องไห้ เสมาหน้าซึมๆ กำลังจะเดินเลี่ยงออกไป บุญเรือนอดไม่ได้ที่จะหันมองลูกชาย
       “เสมา เอ็งต้องปลอดภัยกลับมาหาข้านะ” บุญเรือนพูดแล้วก็ร้องไห้สะอึกสะอื้น
       เสมาดีใจมาก เดินกลับไปกราบเท้าแม่
       “ขอบพระคุณจ้ะแม่”
       เสมากอดแม่ด้วยความรัก บุญเรือนก็ลูบหัวลูกชายด้วยความรักและห่วงใยสุดๆ

       หัวค่ำวันเดียวกัน ขันกำลังซ้อมดาบกับลูกน้องสองสามคนคนที่รุมตนอยู่อย่างดุดัน ขันเอาชนะลูกน้องทั้งสามจนดาบกระเด็นจากมือด้วยท่วงท่ารุนแรงและเหนือชั้น สายตาของขันเต็มไปด้วยความเกลียดชัง
       “ศึกนี้แหละอ้ายเสมา ข้าจะหักเอ็งให้ยับ มิให้เอ็งไปสู้หน้าแม่หญิงเรไรได้อีก”
       ดวงแขซึ่งแอบดูอยู่มุมหนึ่งด้วยความไม่สบายใจมากขึ้นทุกทีที่เห็นขันกับเสมาเกลียดชังกันหนัก

       ลานกว้างหน้าพระราชวัง กองทัพไทยเตรียมเคลื่อนพลโดยมีญาติพี่น้องเพื่อนฝูงมากมายมารอส่ง ข้างทางมีแท่นพิธียกพื้นสูงขึ้น บนแท่นนั้นมีพระภิกษุหลายรูปกำลังสวดมนต์อวยชัยให้พร และพรมน้ำมนต์ให้เหล่าทหาร ทหารบางคนก็คุกเข่ารับน้ำมนต์จากพระ บางคนก็เข้าไปกอดพ่อแม่ลูกเมียที่มาส่ง ฯลฯ
       ขุนรามเดชะขี่ม้ามากับเหล่าทหาร เรไรที่มารอส่งพ่อ พอเห็นขุนรามเดชะมาก็ยกมือไหว้ ขุนรามเดชะยิ้มรับ ฝ่ายเสมาสะพายดาบคู่มือเดิมาพร้อมกับขันและเหล่าทหารในกองทัพ
       เสมาและขันมองเหล่กัน ต่างคนต่างไม่ชอบหน้ากันชัดเจน
       ฝ่ายดวงแขที่มาส่งขัน พอเห็นท่าทีของขันและเสมาที่เขม่นใส่กันก็ยิ่งไม่สบายใจ
       เอื้อยแตงมาส่งเสมายืนโบกไม้โบกมือให้
       “พี่เสมาๆ ฉันอยู่นี่ พี่เสมา”
       เสมาไม่ได้ยินเพราะคนเยอะเลยไม่ได้หันไปดูเอื้อยแตง แต่สมบุญเห็นเอื้อยแตงเลยโบกมือให้ เอื้อยแตงเท้าสะเอวหน้าบึ้งตึงไม่พอใจใส่ สมบุญหน้าจ๋อยไปด้วยความกลัวเอื้อยแตงจึงไม่กล้าเล่นอีก จำเรียงเดินผ่านมาทางด้านหลังของเอื้อยแตงเพื่อไปยังจุดที่ขันมองเห็นตนได้ถนัด จำเรียงโบกไม้โบกมือให้ขัน
       “พี่ขัน พี่ขันจ๊ะ พี่ขัน”
       ขันโบกมือให้จำเรียง แล้วหันไปมองเย้ยเสมา เสมาหน้าบึ้งตึงเจ็บใจน้องที่ไม่มาส่งตนแถมยังโบกมือให้ศัตรูอย่างขันอีก
       เสมากวาดตามองไปที่เรไร ส่งยิ้มให้ เรไรมองมาทางเสมา แล้วส่งยิ้มให้เช่นกัน แม้จะแสดงออกมากไม่ได้ แต่ทั้งคู่ก็รู้ว่าอีกฝ่ายรู้สึกยังไง
       ขันเหล่มองเรไรกับเสมา ก็ยิ่งริษยาจับใจ ขบกรามจนขึ้นสัน

       เวลากลางคืน ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ทหารพม่าของพระเจ้าเชียงใหม่ กำลังไล่ฆ่าชาวบ้านอย่างทารุณ พวกชาวบ้านผู้ชายพยายามสู้ ด้วยการใช้ดาบบ้าง ใช้ไม้บ้าง และอาวุธเท่าที่พอหาได้สู้เข้าต่อสู้แต่ทั้งฝีมือและจำนวนคนรองจากฝ่ายพม่ามากเลยโดนไล่ฆ่าอย่างโหดเหี้ยม ไม่เว้นแม้แต่เด็กหรือผู้หญิง เสียงชาวบ้านที่ถูกฆ่าร้องดังโหยหวน จนกระทั่งเงียบหายไป ไม่เหลือแม้แต่ชีวิตเดียว
       ทหารพม่าแบ่งชั้นยศกันตามสีของผ้าโพกหัว ไชกะยอสู นันทะกะยอสูขี่ม้าออกมา ทั้งสองคนเป็นระดับแม่ทัพ ใช้ผ้าโพกหัวสีนึง นายกองใช้สีนึง ทหารทั่วไปใช้อีกสีนึง
       ไชกะยอสูมองไปรอบๆด้วยความพอใจพลางว่า
       “ทัพอโยธยาใกล้เข้ามาแล้ว จงกวาดเสบียงแลของมีค่าทั้งหมดไปไว้ที่ค่ายประเดี๋ยวนี้”
       “จงเผาหมู่บ้านนี้เสียให้สิ้นด้วย เพื่อให้ทุกคนรู้ว่าผู้ที่กำแหงต่อกรกับทัพพระเจ้าหงสาแลพระเจ้าเชียงใหม่จะมีจุดจบเช่นไร” นันทะกะยอสูว่า
       พวกทหารโห่ร้องด้วยความฮึกเหิมเสียงดังลั่น ก่อนจะเริ่มวางเพลิงเผาหมู่บ้าน เปลวไฟพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าสีแดงฉาน ดูน่าสะพรึงกลัว

       ค่ายทหารที่บางเกี่ยวหญ้าของพระราชมนู ทหารเอกของสมเด็จพระนเรศวรในเช้าวันหนึ่ง มีทหารเดินเวรยามแข็งขัน มีระเบียบวินัย เสมากำลังนั่งพักอยู่ใต้ต้นไม้ ที่คอเสมามีถุงผ้าใส่หมาก ใส่ดอกจำปีของเรไรห้อยอยู่ ข้างๆตัวเสมามีดาบคู่มืออยู่ เสมาลูบคลำถุงผ้าที่คอ คิดถึงเรื่องเรไรเพื่อเป็นกำลังใจตลอดเวลา
       สมบุญเดินหน้าหงิกเข้ามาหาเสมา พอเห็นเสมานั่งเหม่อคลำถุงผ้าก็ยิ่งเซ็งหนัก
       “พี่เสมา”
       เสมาตกใจรีบเก็บถุงผ้าลงในคอเสื้อทันที
       “มีกระไรวะ”
       “พวกอ้ายหมู่ขัน มันหัวร่อเยาะเย้ยเราอีกแล้ว ฉันแค้นใจมันนัก” สมบุญเสียงหงุดหงิด
       เสมาลุกขึ้นปลอบใจด้วยการตบบ่าสมบุญเบาๆ
       “หากมันพาลนักเราก็เลี่ยงเสีย สิ้นราชการงานศึกเมื่อใดค่อยพูดกัน จะว่าไป ข้ารึก็ถูกมันเฆี่ยนมันโบย แล้วยังเสวยโซ่เสียอีกก็ควรจะให้ขันเยาะเย้ยเอาล่ะ ช่างหัวมันปะไร”
       “แต่มันว่าพี่เป็นอ้ายเจ้าชู้ขาลาย ซักวันหลังจะลายตาม แล้วยังพาดพิงถึงแม่หญิงเรไร หาว่าแม่หญิงประพฤติให้เชิงแก่พี่ไม่เห็นแก่หน้าท่านขุนแลชาติตระกูลเชียวนาพี่”
       เสมาของขึ้นทันที เมื่อได้ยินว่าขันกระทบถึงเรไร
       “อ้ายขัน”
       เสมาเดินลิ่วไปด้วยความแค้น สมบุญตกใจรีบตามไปทันที

       ขันกับพวกลูกน้องกำลังนั่งพักผ่อน พูดคุยเล่นกันสนุกสนานหลังจากออกเวร เสมาเดินมาแล้วเหลือบเห็นไหใส่น้ำใบหนึ่งวางอยู่ข้างกระโจม เลยหยิบขึ้นทุ่มเหวี่ยงไปกลางวงของขันทันที พวกขันตกใจ แตกกระเจิงทันที เสมาพูดด้วยน้ำเสียงโมโหมาก
       “ใครวะจะซื้อดาบกู อย่าดีแต่ต้องขับต้องล้อลับหลังซีวะ ใครไม่พอใจอ้ายเสมา ก็ออกรับมาสักหน่อยเถิดให้สมเป็นชายชาติทหารด้วยกัน”
       พวกขันกลัว ไม่กล้าซักคน ขันแค้นมากที่โดนเสมาหยามถึงที่
       “มึงท้าใครวะเสมา จู่ๆปราดเข้ามาท้ามาพาลเยี่ยงนี้ โอหังเกินไปแล้ว”
       “ท้าใครงั้นรึ คนอย่างอ้ายเสมาถ้าลงท้าแล้วก็ท้าทั้งนั้น หรือนายหมู่จะเอา”
       “มึง”
       ขันชักดาบออกจากฝักทันที เสมาและสมบุญก็ชักดาบเตรียมลุยบ้าง พวกลูกน้องหมู่ขันก็ชักดาบเตรียมรุมเช่นกัน แต่ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงขุนรามเดชะตวาดดังลั่นขึ้น
       “หยุดประเดี๋ยวนี้”
       ขุนรามเดชะเดินหน้าตาถมึงทึงเข้ามาและพูดเสียงดังด้วยบันดาลโทสะ
       “เพลานี้เป็นราชการงานศึก มันผู้ใดหันคมดาบเข้าหาพวกเดียวกัน กูจะตัดหัวให้สิ้น”
       ทั้งฝ่ายเสมาและขันหน้าเสียไปตามๆกัน ทุกคนเก็บดาบเข้าฝัก ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าเสี่ยงกับอาญาศึกนี้
       “พวกข้าศึกมันยกทัพมารุกราน พวกมึงไม่ไปสู้กับพวกมันกลับหันมาสู้กันเอง ยังมียางอายหรือไม่วะ”
       เสมาไหว้ขุนรามเดชะอย่างสำนึกผิด
       “ข้าพระเจ้าสำนึกแล้ว ขอขมาพระคุณด้วยเถิด แต่นี้ข้าพระเจ้าจะไม่กระทำเช่นนี้อีกขอรับ”
       เช่นเดียวกับขันที่ยกมือไหว้แล้วว่า
       “ข้าพระเจ้าด้วยขอรับ ขอท่านอาให้อภัยด้วยเถิดขอรับ”
       ขุรรามเดชะพยักหน้ารับ
       “สำนึกได้ก็ดี ท่านแม่ทัพมีราชการศึกจะแจ้ง พ่อขัน อ้ายเสมาตามข้ามา”
       ขุนรามเดชะเดินนำเสมากับขันไป

       ภายในเวลาต่อมา ภายในกระโจมของพระราชมนู แผนที่ชัยภูมิแถบบางเกี่ยวหญ้าถูกกางวางอยู่บนโต๊ะ พระราชมนูผู้เป็นแม่ทัพ ขุนรามเดชะ เสมา ขัน และทหารคนอื่นกำลังร่วมประชุมกันอยู่ พระราชมนูดูแผนที่บนโต๊ะอย่างเคร่งเครียดแล้วว่า
       “ทัพหน้าของพระเจ้าเชียงใหม่มีกำลังพลหมื่นห้า นำโดยไชกะยอสูแลนันทะกะยอสูสองขุนพล ข้างเรามีเพียงสามพันหากปะทะตรงคงไม่พ้นความพ่ายแพ้เป็นแน่”
       “เช่นนั้น เราชอบที่จะแต่งทัพเป็นกองโจร คอยดักตีทัพพวกมัน แล้วใช้ความชำนาญชัยภูมิ ล่าถอยอย่างรวดเร็ว” ขุนรามเดชะเสนอความเห็น
       พระราชมนูยิ้มพอใจ
       “คำออกขุนต้องใจข้าพระเจ้านัก พวกข้าศึกมันส่งทหารออกปล้นสะดม บ้านใดขัดขืนมันก็ฆ่าแล้วเผาจนสิ้น บ้านใดยอมแพ้มันก็กวาดต้อนไปเป็นเชลย ควรแล้วที่เราจะลอบโจมตี ให้มันหวาดหวั่นเป็นการแก้คืนบ้าง”
       เสมาได้โอกาสยกมือไหว้พระราชมนูแล้วว่า
       “ข้าพระเจ้าอ้ายเสมา ขออาสาคุมทัพออกดักตีพวกมันเองขอรับ”
       ขันกลัวเสมาได้ความชอบจึงรีบไหว้บ้างแล้วกล่าวว่า
       “ข้าพระเจ้านายหมู่ขันขออาสาด้วยขอรับ ในกองของข้าพระเจ้ามีคนบางเกี่ยวหญ้าอยู่ไม่น้อย จัดเจนชัยภูมิย่อมใช้สอยได้ดีกว่าขอรับ”
       พระราชมนูตบเข่าฉาดอย่างถูกใจ ก่อนจะหันไปพูดกับขุนรามเดชะ
       “อุบ๋า มิทันไรก็แย่งกันออกศึกเสียแล้ว ทหารกู ออกขุนท่านเห็นควรว่าอย่างไร”
       ขุนรามเดชะหน้าเครียดจำต้องรายงานตามความจริง
       “อ้ายสองคนนี้ มีเรื่องผิดใจกันมาแต่ก่อนจึงชิงดีชิงเด่นกัน ข้าพระเจ้ากลัวจะเสียการขอรับ”
       “อาญาทัพของสมเด็จเจ้าฟ้าวังหน้าท่านเด็ดขาดนัก ข้าพระเจ้าเชื่อว่ามันไม่กล้า” พระราชมนูพูดแล้วหันไปพูดกับเสมาและขัน
       “ข้าจะให้ทหารพวกเอ็งคนละร้อย ยกไปกระทำการดูให้รู้ฝีมือกัน”
       ทั้งเสมากับขันยกมือไหว้ขึ้นพร้อมกันแล้วว่า
       “ขอบพระคุณขอรับ ท่านแม่ทัพ”

       เสมาและขันหันไปเหล่มองกันอย่างท้าทาย ต่างฝ่ายต่างไม่มีใครยอมใคร

       เวลายามบ่าย ทหารพม่ากำลังกวาดต้อนชาวบ้านที่จับมาได้เพื่อเอาไปเป็นข้าทาส พวกชาวบ้านถูกทารุณ เฆี่ยนตีต้องรีบเดินด้วยความหวาดกลัว ทันใดนั้นเอง เสมา สมบุญ ก็คุมทหารที่ซุ่มอยู่ข้างทางเข้าโจมตีทันที โดยที่ฝ่ายตรงข้ามไม่ทันตั้งตัว ขันก็คุมทหารอีกกองหนึ่งเข้าตีขนาบทางด้านหลัง พวกพม่าตกใจ เลยถูกตีทั้งหน้าหลังจนยับเยินไปหมด

       ชาวบ้านเห็นทหารมาช่วยก็รีบวิ่งหนีทันที ชาวบ้านบางคนแย่งอาวุธจากทหารพม่ามาก็ไล่ฆ่าพวกพม่าเป็นการแก้แค้น ทั้งเสมาและขันเข้าฟาดฟันทหารพม่าจนล้มตายเป็นใบไม้ร่วง
       “ช้าไปนานายหมู่ หากทัพหนุนของพวกมันมาทัน เราจะลำบาก” เสมาบอก
       ขันไม่สบอารมณ์แล้วว่า
       “มึงไม่ต้องมาสอนกู เอาตัวเองให้รอดก่อนเถิดอ้ายเสมา”
       เสมาควงดาบเข้าฟาดฟันทหารพม่า พริบตาเดียว ตายไปสี่ห้าคนอย่างง่ายดาย ขันยิ่งเห็นก็ยิ่งแค้น รีบตะลุยรุกไล่เข้าฆ่าฟันพวกพม่าไม่ยั้ง พวกเสมาและขันร่วมมือกันไล่ตีพวกพม่าจนแตกพ่ายยับเยิน

       ทัพของพระราชมนู กำลังเลี้ยงฉลองในค่ำคืนนั้นอย่างมีความสุขที่ดักตีทัพครั้งแรกก็ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ลานกว้างที่ตั้งค่ายมีการก่อไฟย่างเนื้อ ร้องรำทำเพลงกันเต็มที่ สมบุญส่งเสียงเฮฮาดังลั่นกว่าใคร
       ขุนรามเดชะกำลังคุยกับเสมาอย่างเบิกบานยิ้มแย้มแจ่มใส รามเดชะหัวเราะแล้วตบบ่าเสมา
       “สำคัญ เอ็งมันสำคัญนักอ้ายเสมา คุมทหารออกศึกครั้งแรกไม่เสียเลือดไพร่พลแม้แต่หยดเดียว ข้ารบมาจนแก่ยังไม่เคยเห็น”
       “ขอบพระคุณขอรับ”
       ที่มุมหนึ่ง ขันยืนแอบมองเสมาสนิทสนมกับขุนรามเดชะด้วยความริษยาจับใจ ลูกน้องขันคนหนึ่งเดินเข้ามาหาขัน
       “หัวหมู่ขอรับ ทำแผลให้พวกเราสิ้นแล้วขอรับ ไม่มีใครตาย แต่เจ็บสิบสี่คนขอรับ”

ขันไม่ตอบแต่มองเสมาด้วยแววตาอาฆาต ขบกรามแน่นอย่างแค้นจับใจ

อ่านต่อหน้า ๒
       .....................................................................................................................................

เกร็ดความรู้เกี่ยวกับขุนศึก

๙. หอนั่ง คือเรือนส่วนที่เอาไว้ต้อนรับแขกเหรื่อของเรือนไทยในสมัยโบราณ มักเปิดโล่งทั้งสี่ด้าน โดยมากมักจะปลูกอยู่กลางชาน หากเปรียบกับบ้านในสมัยนี้ หอนั่งก็เหมือนกับห้องรับแขกนั่นเอง

๑๐. พังภูผา เป็นชื่อกลศึกกลหนึ่ง ตามตำราพิชัยสงครามของไทย มีไว้ใช้ต่อสู้กับศัตรูที่มีกำลังมากกว่าฝ่ายเราเป็นจำนวนมาก
//www.manager.co.th/Drama/ViewNews.aspx?NewsID=9550000051344



Create Date : 22 พฤษภาคม 2555
Last Update : 22 พฤษภาคม 2555 11:37:24 น. 0 comments
Counter : 3591 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

atitaya_t
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




สวัสดีค่ะ ขอร่วม gang ด้วยคนค่ะ
Friends' blogs
[Add atitaya_t's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.