เก็บความทรงจำ..(^_^)..ความสนใจ โลกส่วนตัว ที่เราสร้างเอง
Group Blog
 
 
พฤษภาคม 2555
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
22 พฤษภาคม 2555
 
All Blogs
 
ขุนศึก ตอนที่ 9-2 , 9-3

ขุนศึก ตอนที่ ๙ (ต่อ)

เมื่อตอนหัวค่ำ เสมาเดินหน้าเครียดขึ้นเรือนมาก็เห็นเอื้อยแตง ศรีเมืองและมั่นกำลังพูดคุยกันด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสผิดปกติ ทั้งที่ควรจะเคร่งเครียดเพราะบุญเรือนป่วย

       “แม่ศรีเมือง มานานแล้วรึ” เสมาถาม
       “สักพักแล้วจ้ะ ฉันมาเยี่ยมแม่ป้า แลมายินดีกับหลวงโจมจัตุรงค์ด้วย”
       เสมาแปลกใจจึงถามขึ้น
       “หลวงโจมจัตุรงค์ ผู้ใดกันรึ”
       เอื้อยแตงยิ้มขำๆแล้วว่า
       “ยังไม่รู้อีกรึ ก็ลองไปส่องกระจกดูซี จักได้รู้ว่าผู้ใดเป็นหลวงโจมจัตุรงค์”
       เสมาคิดตามอยู่อึดใจ
       “เช่นนี้เป็นว่า...”
       มั่นหัวเราะแล้วบอก
       “ไม่ผิดดอก พระพุทธเจ้าอยู่หัวทรงปูนบำเหน็จคราศึกยุทธหัตถี เอ็งได้เลื่อนจากขุนศึกไชยชาญ เป็นหลวงโจมจัตุรงค์แล้ว”
       “แต่ที่น่ายินดียิ่งกว่า คือหลวงโจมท่านยังได้เงินบำเหน็จมากโขอยู่ทั้งค่าไถ่ตัวจำเรียง แลค่าหมอค่ายาของแม่ป้า คงหาลำบากไม่แล้ว” เอื้อยแตงว่า
       เสมายิ้มกว้างอย่างดีใจสุดๆ ขณะที่ตนเองกำลังมืดแปดด้านก็ได้เงินก้อนนี้มาช่วยไว้พอดี

       เสมาเป็นคนวางถุงใส่เงินถุงหนึ่งลงกับพื้นต่อหน้าดวงแขด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ผิดกับดวงแขที่สีหน้าเคร่งเครียดบอกบุญไม่รับ
       “แม่หญิงลองตรวจนับดูก่อนเถิดว่าทั้งต้นแลดอกครบถ้วนหรือไม่”
       “ไม่ต้องนับดอก ฉันเชื่อใจขุนศึก เอ่อ หลวงโจมท่าน” ดวงแขบอกด้วยสีหน้าบึ้งตึง
       “เช่นนั้นเป็นว่า จำเรียงออกจากคุกได้แล้ว ใช่หรือไม่แม่หญิง”
       “ฉันหาใช่นายเงินจำเรียงไม่ คงต้องรอพี่ขันเสร็จศึกก่อน จึงจะปล่อยได้ หลวงโจมท่านไปเรียนแม่ป้าบุญเรือนตามนี้ก่อนเถิด อย่างน้อยคงพอจะคลายกังวลได้บ้างว่าจำเรียงปลอดภัยแล้ว เพียงแต่ยังออกมาไม่ได้เท่านั้น”
       เสมาพยักหน้าอย่างซึมๆ
       “เอาเถิด รอแค่เสร็จศึกไม่นานกระไรนักดอก”
       เสมาเดินผิดหวังกลับไป ดวงแขพึมพำด้วยสีหน้าหงุดหงิด
       “เสียการที่วางไว้หมด”

       เสมาวิ่งขึ้นเรือนมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสอารมณ์ดีร้องเรียกแม่
       “แม่ แม่รักของเสมา...”
       พอเสมาวิ่งเข้าไปในห้องนอนของบุญเรือนก็ชะงักไปทันที เมื่อเห็นพ่อนั่งร้องไห้กุมมือแม่ที่นอนหายใจรวยริน ใกล้จะถึงวาระสุดท้ายของชีวิตแล้ว เสมารีบเข้าไปหาแม่ทันที มั่นเห็นเสมามาก็พยายามสะกดอารมณ์ ซับน้ำตาออก บุญเรือนหันไปมองเสมาด้วยท่าทางและแววตาอ่อนเพลีย พยายามจะพูดแต่ไม่มีเสียงออกมา
       “แม่อย่าเพิ่งพูดกระไรเลย ฉันจะไปตามหมอมาประเดี๋ยวนี้”
       “ช้าไปแล้วเสมาเอ๋ย ตั้งใจฟังคำสั่งเสียของแม่เจ้าเถิด” มั่นพูดน้ำตาท่วมตา
       เสมาน้ำตาคลอ เมื่อรู้ว่าแม่กำลังจะตายในอีกไม่ช้า เสมาจับขาแม่บีบไว้เบาๆ
       “แม่อย่าเพิ่งเป็นกระไรไป ฉันไถ่ตัวจำเรียงได้แล้ว รอแต่เพียงอ้ายหมื่นชาญกลับจากศึก จำเรียงจะได้กลับมาอยู่กับแม่ แม่อดทนรออีกเพียงอึดใจ”
       บุญเรือนพอรู้ว่าเสมาไถ่ตัวจำเรียงได้ก็โล่งอก ยิ้มบางๆออกมา ก่อนจะรวบรวมแรงเฮือกสุดท้ายพูดออกมา
       “ดูแลพ่อกับน้องด้วย อย่าทิ้งน้อง”
       “แม่อย่าห่วงเลย เว้นแต่ฉันจะตายไม่เช่นนั้นฉันหายอมให้ผู้ใดมาทำร้ายพ่อกับจำเรียงได้เป็นอันขาด” เสมาพูดน้ำตาคลอ
       บุญเรือนยิ้มรับอย่างหมดห่วง ก่อนจะหลับตาลงขาดใจตายไป
       “แม่ไ เสมากอดร่างแม่เอาไว้
       มั่นมองหน้าอำพันเป็นครั้งสุดท้ายแล้วพูดเสียงสั่นตาแดงกล่ำ
       “ไปสู่สุคติเถิดนะแม่บุญเรือน”
       มั่นหันไปพูดกับเสมา
       “กราบลาแม่เสียเถิดเสมา”
       เสมาขยับตัวออกจากศพแม่อย่างสะกดกลั้นอารมณ์ แม้จะพยายามช่วยน้องเต็มที่ แต่ก็ช้าไปก้าวหนึ่ง ในที่สุดบุญเรือนก็ทนตรอมใจไม่ไหว ตายไปจนได้ เสมาดูเข้มแข็งมากไม่ร้องไห้จนฟูมฟายมีเพียงน้ำตาไหลที่ซึมออกมาตลอด เสมาก้มกราบเท้าแม่บุญเรือนเป็นครั้งสุดท้าย มั่นเลื่อนมือข้างหนึ่งมาตบหัวลูกชายเบาๆเป็นการปลอบใจ

       ศรีเมืองบอกเรื่องการเสียชีวิตของบุญเรือนกับเรไรที่ชานบ้านขุนรามเดชะ โดยมีบุญเรือนมาด้วย เรไรตกใจ คิดไม่ถึง
       “จริงรึแม่ศรีเมือง”
       “ไม่ผิดดอกจ้ะ แม่เอื้อยแตงมาบอกฉันเอง ว่าแม่ป้าบุญเรือนเพิ่งสิ้นใจไปเมื่อสายนี้”
       “ไม่น่าเลย แม่ป้าบุญเรือนรักจำเรียงนัก คงเห็นว่าครานี้ จำเรียงถูกขังคุก สิ้นหวังที่จักช่วยได้ เลยตรอมใจจนตายเป็นแน่”
       “เห็นทีจะไม่ผิด เออ แล้วนี่แม่เรไรจะไปงานศพแม่ป้าบุญเรือนหรือไม่” บัวเผื่อนถาม
       “เหตุใดถามเช่นนี้เล่าแม่บัวเผื่อน คนรู้จักมักคุ้นกันมานานปี มาด่วนตายไปเช่นนี้ จะไม่ไปงานศพได้กระไร” เรไรพูดขึ้นด้วยความแปลกใจ
       “ก็ฉันเห็นแม่เรไร ลั่นปากตัดเป็นตัดตายกับหลวงโจมจัตุรงค์แล้ว เลยนึกว่าแม่ลำบากยากใจที่จะไป แต่หากแม่เรไรทำตามที่ลั่นปากก็คงไม่ถือสาที่จะมีหญิงอื่นมาออกหน้าคู่กับหลวงโจมกระมัง” บัวเผื่อนพูดพลางเหล่มองไปที่ศรีเมืองที่หน้าเจื่อนลงที่โดนบัวเผื่อนแขวะเข้าให้
       “ปากแม่บัวเผื่อนเป็นหนึ่งในฝ่ายในจริงแท้ ไม่ต้องพูดดักคอฉันดอก ฉันเกลียดหลวงโจมเหมือนจะตายไม่มีวันที่จะดีด้วยอีก แต่แม่ป้าบุญเรือนดีกับฉันมาก ถึงอย่างไรฉันก็ต้องไป ... แล้วนี่ จำเรียงรู้ข่าวแม่แล้วหรือไม่” เรไรชักเสียงไม่พอใจก่อนจะถามศรีเมือง
       “คงรู้แล้วกระมังจ๊ะ ฉันสงสารจำเรียงนักไม่เพียงแต่โดนจำคุก แม้แต่ยามที่แม่สิ้นใจก็ยังไม่ได้อยู่ดูใจเลย”
       เรไรเองก็มีสีหน้าซึมๆไป อดเห็นใจจำเรียงไม่ได้เช่นกัน

       ในเวลาเดียวกัน จำเรียงนั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่คนเดียวในคุก พลางพนมมือขึ้น
       “แม่ของลูก วิญญาณแม่อยู่ที่แห่งใด ลูกนี้อกตัญญูนัก ลมหายใจสุดท้ายของแม่ยังไม่ไปอยู่ให้เห็นหน้า
       ให้อภัยลูกด้วยเถิด”
       จำเรียงก้มลงกราบกับพื้นในคุกเพื่อเป็นการกราบลาแม่เป็นครั้งสุดท้าย พร้อมกับร้องไห้สะอึกสะอื้นจนตัวสั่นเทา

       ภายในห้องนอนของดวงแขในบ้านขันตอนกลางคืน ดวงแขนอนหลับอยู่บนเตียง ลมแรงพัดเข้าหน้าต่างจนม่านปลิวสะบัด ดวงแขตื่นเพราะความหนาว ลุกจากเตียงเดินมาปิดหน้าต่าง พอมาถึงหน้าต่าง ต้องผงะ ร้องลั่นเมื่อเห็นวิญญาณบุญเรือนปรากฏชัดลอยอยู่เต็มหน้าต่าง ดวงแขร้องลั่น ตกใจสุดขีด ผงะถอยออกมาตามสัญชาติญาณ
       บุญเรือนจ้องมองดวงแข แล้วพูดเสียงเย็นชา
       “เพราะแม่หญิงกลั่นแกล้ง ไม่ยอมปล่อยตัวจำเรียง ฉันถึงต้องตาย เพราะแม่หญิง...เพราะแม่หญิง”
       ดวงแขกลัวจับใจถอยร่นหนี ยกมือไหว้ด้วยความกลัว
       “ไม่ใช่ฉันเพราะพี่ขัน พี่ขันจับตัวจำเรียงมาต่างหาก แม่ป้าตายแล้วอย่ามาหลอกฉันให้เป็นบาปติดตัวอีกเลย”
       ดวงแขตัดสินใจจะวิ่งหนีออกจากห้องนอน ทันใดนั้นประตูห้องก็เปิดโพล่งเข้ามาอย่างแรง ดวงแขร้องกรี๊ดลั่น พร้อมกับตกใจตื่นขึ้นมา ดวงแขมองไปรอบๆด้วยความหวาดกลัว แม้จะรู้ว่าตนฝันไปก็ยังดึงผ้าห่มมากระชับแน่น เพราะตนมีส่วนทำให้บุญเรือนตรอมใจตาย จนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดอยู่ตลอดเวลา

       เช้าวันรุ่งขึ้น ตำรวจปล่อยตัวจำเรียงออกจากคุก โดยมีเสมา สิน สมบุญ และดวงแขมายืนรอรับ จำเรียงรีบโผเข้าไปกอดเสมาร้องไห้ทันที
       “พี่เสมา”
       เสมากอดน้องไว้ด้วยความดีใจที่ช่วยน้องออกจากคุกได้สำเร็จ
       “หมดทุกข์หมดโศกเสียทีนะแม่จำเรียง กลับไปก็รดน้ำมนต์ล้างอัปมงคลเสีย ภายหน้าจะได้จำเริญสุขยิ่งขึ้นไป” สมบุญว่า
       “ประเดี๋ยวเอ็งไปไหว้ศพแม่ก่อน แล้วค่อยไปทำบุญให้แม่ที่วัด” เสมาบอก
       จำเรียงเช็ดน้ำตา
       “จ้ะ พี่เสมา”
       สินเหล่ๆดวงแขแล้วพูดลอยๆ
       “ประหลาดแท้ ทีแรกว่าต้องรอหมื่นชาญเสร็จศึกจึงจะปล่อยได้ จู่ๆก็ปล่อยแม่จำเรียงออกจากคุกเสียเช่นนั้น”
       ดวงแขไม่พอใจที่สินจับผิด
       “เพราะฉันสงสารจำเรียง กลัวจะไม่ได้ไหว้ศพแม่ดอกจึงทำเช่นนี้ มิรู้ว่าพี่หมื่นชาญกลับมา จะผิดใจกันเพียงใด” ดวงแขพูดแก้ตัวแล้วทิ้งค้อนใส่สิน
       สินเบ้ปากใส่ลอยหน้าลอยตาทำไม่รู้ไม่ชี้
       “ต้องขอบน้ำใจแม่หญิงดวงแขนัก หากแม่หญิงประสงค์จะช่วงใช้กระไรอ้ายเสมาก็บอกเถิด อ้ายเสมาพร้อมจะช่วยแม่หญิงทุกเมื่อ” เสมาว่า
       ดวงแขยิ้มรับ แม้จะไม่ถึงกับตรงเป้าหมายที่วางไว้ แต่สายสัมพันธ์ของดวงแขกับเสมาน่าจะถือว่าพอใช้ได้
       “รีบกลับกันเถิดพี่เสมา จะได้ไปจุดธูปบอกแม่ป้าบุญเรือน แม่ป้าจะได้หมดห่วงที่จำเรียงพ้นเคราะห์เสียได้”
       พวกเสมาทยอยกันเดินกลับไป ดวงแขอยู่คนเดียวมองไปรอบๆก็ชักเครียด กลัวผีบุญเรือนขึ้นมาอีก เลยรีบเดินตามเสมาไปทันที

       เสมา ศรีเมือง บัวเผื่อน เอื้อยแตง จำเรียง สิน สมบุญ มั่น แต้มนั่งรวมกันอยู่กลุ่มหนึ่ง ห่างออกมาเป็นกลุ่มของ เรไร ดวงแข และบัวเผื่อน ทั้งหมดกำลังนั่งพนมมือฟังพระสวดมนต์อย่างตั้งใจ เพื่อทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้บุญเรือน
       เสมา จำเรียง สิน สมบุญ เอื้อยแตง และศรีเมืองกำลังช่วยกันถวายเพลให้พระ หลังจากที่ฟังสวดจบ
       เอื้อยแตง กับ ศรีเมืองช่วยเสมาถวายเพลด้วยท่าทางสนิทสนม ในขณะที่สมบุญก็ช่วยจำเรียงด้วยท่าทางสนิทสนมเช่นกัน
       สินเหล่มองเอื้อยแตงเป็นพักๆ แต่เอื้อยแตงไม่สน สินก็ได้แต่ถวายเพลคนเดียว ด้วยสีหน้าบึ้งตึง
       ทางกลุ่มแม่หญิง บัวเผื่อนยิ้มขึ้นก่อนจะแกล้งยุแยง
       “ดูแม่ศรีเมืองกับแม่เอื้อยแตงซี ขนาบซ้ายขวาหลวงโจมเชียว ดูท่าจะสมัครสมานสามัคคีกันดีเช่นนี้ ต้องถือว่าหลวงโจมโชคดีนัก”
       เรไรมองเสมาเขม็งหึงหวงจับใจ แต่จะโกรธก็ไม่ได้เพราะเลิกกันแล้วเลยพาลกับบัวเผื่อนแทน
       “หินลับมีดที่เรือนฉันขาดอยู่ ขอหยิบยืมปากแม่บัวเผื่อนไปลับแทนได้หรือไม่”
       บัวเผื่อนหน้าบึ้งตึงไม่พอใจที่โดนย้อน
       “แทงใจรึ ไหนแม่เรไรออกปากตัดขาดหลวงโจมแล้ว ฉันเย้าเล่นเพียงเท่านี้ เหตุใดต้องเคืองกันด้วยเล่า”
       เรไรหงุดหงิดหนักที่บัวเผื่อนแขวะไม่เลิก เลยสะบัดหน้าลุกขึ้นแล้วเดินเลี่ยงไป บัวเผื่อนมองตามแล้วยิ้มเย้ย สะใจเล็กๆที่ปั่นหัวคนโน้นทีคนนี้ที โดยที่ไม่สังเกตเลยว่า ดวงแขกำลังจ้องเสมา เอื้อยแตง และ ศรีเมืองตาเขม็ง แววตาไม่พอใจมาก หึงหวงหนักกว่าเรไรเสียอีก

       เรไรกำลังเอาข้าวที่เหลือจากการถวายเพล ให้เป็นอาหารปลาเพื่อเป็นทานอยู่ เสมาเดินเข้ามาหาเรไรแล้วพูดลอยๆขึ้น
       “เห็นแม่น้ำแล้ว ก็ให้นึกถึงวันลอยโคมเดือนสิบสองนัก”
       เรไรเหล่มองเสมาแต่ไม่พูดอะไร
       “ครานั้น มีชายเสมอพลแลตระกูลก็ตีเหล็กขาย มาเอื้อมรักแม่หญิงชาววัง แม้แต่ดอกจำปีที่แม่ให้ไว้ก็ยังเก็บไว้จนแห้งนานปานนี้ แต่คนให้กลับลืมไปเสียแล้ว”
       เรไรหน้าบึ้งตึงแล้วว่า
       “ ความหลังเช่นนี้ ควรลืมเสียนานแล้ว ด้วยชายมันหลายหัวใจ ซ้ำยังเนรคุณคิดร้ายกับผู้มีคุณเสียอีก”
       “หูเบา”
       “ฉันได้ยินจากปากพ่อท่าน ยังหาว่าหูเบาอีกรึ ไม่เพียงแต่หลายหัวใจ ยังร้อยลิ้นเสียด้วย”
       “ชายหลายหัวใจรึ แล้วหญิงที่เคยให้สัตย์ว่าจักรัก ไม่ขอมีผู้ใดอื่นอีก แต่กลับไปจับมือถือแขนด้วยชายอื่นเล่า ควรเรียกว่าหญิงสองใจหรือไม่”
       เรไรโกรธมากตวัดมือตบหน้าเสมาทันที แต่คราวนี้เสมาไม่ยอม จับมือเรไรเอาไว้ไม่ยอมให้ตบ ต่างฝ่ายต่างยื้อยุดฉุดกระชาก มองกันด้วยสายตาแข็งกร้าวไม่มีใครยอมใคร แต่เรไรแพ้แรงชาย เสียหลักซบตัวแนบกับอกเสมา
       เรไรรีบผละตัวออกแล้วกระชากมือดึงออกมาอย่างแรงที่ถูกหยามเกียรติเกินไป เรไรจ้องหน้าเสมาด้วยความโกรธ ก่อนจะหยิบขันใส่ข้าวเดินจากไปอย่างโมโหโทโส เสมาก็มองตามด้วยสายตาแข็งกร้าว ต่างฝ่ายต่างถือทิฐิไม่มีใครยอมใคร
       ดวงแขยิ้มสะใจแอบดูเสมากับเรไรอยู่ ที่ทั้งคู่ไม่สามารถกลับไปคืนดีกันได้ตามแผนที่วางไว้
       ทันใดนั้นเอง เสียงศรีเมืองดังขึ้น
       “ยิ้มกระไรรึ แม่หญิงดวงแข”
       ดวงแขตกใจหันไปมองตามเสียงเห็นศรีเมืองที่มองดวงแขอย่างจับผิด จนดวงแขเริ่มกระอักกระอ่วนใจเลยพาลใส่กลบเกลื่อน
       “มาไม่ให้สุ้มให้เสียงตกอกตกใจหมด อยู่วังมานานปีกิริยาไม่ได้ดีขึ้นเลยเทียวแม่ศรีเมือง”
       ดวงแขสะบัดหน้าเดินเลี่ยงไป ศรีเมืองมองตามด้วยสีหน้าเคร่งขรึมที่มั่นใจกับท่าทีบางอย่างของดวงแข

       ดวงแขเดินหนีมา แต่ศรีเมืองก็เดินตามทุกฝีก้าวจนดวงแขชักหงุดหงิด
       “นี่แม่จะเอากระไรจากฉันรึแม่ศรีเมือง ถึงได้เดินตามราวกับฉันเป็นนักโทษอาญาแผ่นดินเช่นนี้”
       ศรีเมืองมองดวงแขนิ่งแล้วถามตรงๆ
       “แม่หญิงดวงแข ชอบพอพี่เสมาอยู่รึ”
       ดวงแขตกใจมาก คิดไม่ถึงว่าศรีเมืองจะรู้ เลยแกล้งโกรธกลบเกลื่อน
       “เอากระไรมาพูด อย่าพูดพล่อยๆให้ฉันมีมลทินเช่นนี้”
       “อย่าปิดเลยแม่หญิง ฉันแอบเห็นหลายคราแล้ว เพลาที่พี่เสมาสนิทสนมกับหญิงอื่น แม่หญิงมีทีท่าไม่พอใจนัก แต่คราที่พี่เสมามีปากเสียงกับแม่หญิงเรไร แม่หญิงกลับพึงใจแล้วจะให้ฉันเข้าใจว่ากระไร”
       ดวงแขจ้องศรีเมืองเขม็งไม่พอใจที่ศรีเมืองรู้มากขนาดนี้
       ศรีเมืองถอนใจแล้วว่า
       “ถึงแม่หญิงจักชอบพอพี่เสมาก็หาใช่เรื่องผิดกระไรไม่ เว้นแต่แม่หญิงจะยุยงให้พี่เสมากับแม่หญิงเรไรผิดใจกัน”
       พูดไม่ทันจบ ดวงแขก็คว้าข้อมือศรีเมืองขึ้นทันที พร้อมกับจ้องศรีเมืองตาเขียวด้วยความโกรธ
       “คิดว่าตัวเองเป็นผู้ใดกันถึงได้พูดกับฉันเช่นนี้ ในวังศักดิ์ฉันก็เหนือกว่ามากนัก นอกวังเจ้าก็แค่ลูกบุญธรรมของท่านพันอิน หากเกิดกระไรขึ้น จะมีผู้ใดออกหน้าช่วยคนเช่นเจ้า”
       “นี่แม่หญิงดวงแขขู่ฉันรึ”
       “ขู่หรือไม่ ลองดูก็จะรู้เอง หากไม่เชื่อก็ไปบอกแม่เรไรซี แม่เรไรกับฉันโตมาด้วยกัน ฉันก็อยากรู้นัก ว่าจะเชื่อคำฉันหรือคำหญิงที่ชอบพอชายเดียวกันอย่างเจ้า”
       ดวงแขปล่อยมือศรีเมืองพร้อมกับจ้องหน้าด้วยแววตาแข็งกร้าว ก่อนจะเดินเลี่ยงไป ศรีเมืองมองตามด้วยความกริ่งเกรง

       ฝ่ายกองทัพกรุงศรีอยุธยาที่ยกไปตีเมืองทวายและตะนาวศรี เพื่อเป็นการแก้ตัว ได้รบพุ่งกับกองทัพหงสาวดีที่ยกมาป้องกันอย่างดุเดือด ในที่สุดก็สามารถเอาชนะ ยึดเมืองทวายและตะนาวศรีกลับคืนมาได้สำเร็จ นับเป็นครั้งแรก ที่กรุงศรีอยุธยาสามารถยึดเมืองที่เสียไป คืนมาจากหงสาวดีได้
       สองสามเดือนผ่านมาในเวลาบ่าย สมเด็จพระนเรศวรกำลังเดินคุยกับสมเด็จพระพระเอกาทศรถด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสอยู่ภายในวัง
       “นับเป็นข่าวดียิ่ง ในที่สุดก็ได้ทวายแลตะนาวศรีกลับมาเป็นสุวรรณปฐพีเดียวกับอโยธยาอีกครั้ง”
       “ข้าพระพุทธเจ้าเห็นว่าเมืองทวาย ควรให้ชาวทวายปกครองกันเอง แต่เมืองตะนาวศรีควรแต่งตั้งคนขึ้น ปกครองเพื่อความสงบเรียบร้อย มิทราบว่าสมเด็จพี่เห็นควรเช่นไรพระพุทธเจ้าข้า”
       “ควรแล้ว เมืองตะนาวศรีนั้นให้เจ้าศรีไสยณรงค์ปกครองเถิด มันติดตามพี่มานานเหมือนเจ้าราชมนู ควรได้บำเหน็จเสียบ้าง”
       “รับด้วยเกล้าพระพุทธเจ้าข้า อีกประการแต่เดิมเราต้องรับศึกหงสาบ่อยครั้ง จึงต้องเกณฑ์ผู้คนจากหัวเมืองฝ่ายเหนือลงมาเป็นอันมาก เป็นเหตุให้หัวเมืองฝ่ายเหนืออ่อนแอ มาบัดนี้ เชียงใหม่ก็สวามิภักดิ์แล้ว จึงควรที่จะฟื้นฟูหัวเมืองฝ่ายเหนือให้เข้มแข็งดังเก่าพระพุทธเจ้าข้า”
       “น้องกล่าวถูกแล้ว มิเพียงแต่ฟื้นฟูหัวเมืองเหนือ แม้แต่การค้าขายแลการทำไร่ไถนา ก็ต้องทำให้จำเริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้น อโยธยาจักต้องไม่เข้มแข็งแต่กองทัพ แต่ต้องมั่งคั่งแลอุดมสมบูรณ์ ให้ไพร่ฟ้าทุกผู้ได้อยู่เย็นเป็นสุข”

       รามเดชะได้เลื่อนขั้นเป็นหลวงรามเดชะ พันอินเป็นขุนพิมานมงคลกำลังเดินกลับขึ้นมาบนเรือน เรไรและลำภูรีบเข้าไปต้อนรับด้วยความยินดีทันที เรไรคุกเข่าลงกราบขุนรามเดชะกับพันอิน
       “ลูกดีใจนัก ที่พ่อท่านกับท่านอาพันอินกลับจากศึกโดยปลอดภัย ลูกกับแม่ท่านเฝ้าเป็นห่วงอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน”
       รามเดชะประคองเรไรลุกขึ้น
       “พ่อก็คิดถึงเจ้ากับแม่เช่นกัน แต่ขอติเสียหน่อยเถิดแม่เรไร “
       ขุนรามเดชะมองไปทางพันอินแล้วพูดกับเรไรต่อ
       “ไม่เห็นชุดยศของขุนพิมานมงคลดอกรึ กระไรกัน ยังเรียกพันอินอยู่ได้”
       พันอินหัวเราะชอบใจ
       “อย่าเย้ากันเล่นเลยหลวงรามเดชะ ฉันเป็นหัวพันอยู่นับสิบปี จนผู้คนเรียกกันติดปาก จู่ได้เลื่อนข้ามขั้นเป็นขุนเช่นนี้ ผู้ใดเล่าจักนึกถึง”
       เรไร และลำภูดีใจมากที่ขุนรามเดชะกับพันอินได้เลื่อนยศ
       “ นี่พี่ท่านได้เป็นหลวงรามเดชะรึ เป็นวาสนานัก เอ่อ แล้วพ่อขันเล่า ได้เลื่อนยศหรือไม่” ลำภูถาม
       ขุนรามเดชะยิ้มแย้มแล้วว่า
       “ ได้ซี พ่อขันได้เลื่อนเป็นขุนณรงค์วิชิต ส่วนเกลอเค้า พ่อพุฒได้เป็นขุนวิเศษสรไกร”

       ลำภูยิ้มพอใจก่อนจะหันไปพูดกับเรไร
       “เห็นหรือไม่แม่เรไร พ่อขันก็รุ่งเรืองขึ้นมาเช่นกัน ถึงแม้อ้ายเสมาจะได้เป็นหลวงโจมจัตุรงค์ ก็ใช่ว่าจะหนีกันมากมายกระไร”
       “แม่ท่านอย่าเอ่ยชื่อนี้อีกเลย ลูกได้ลั่นวาจาแล้วว่าจะไม่คืนดีกับชายเช่นนี้อีก ไม่ว่าจะได้ยศถาบรรดาศักดิ์ใด ก็หาเกี่ยวข้องกับลูกไม่”
       พันอินอดแอบดีใจไม่ได้ที่รู้ว่าเสมาได้ขึ้นเป็นถึงหลวง ขุนรามเดชะหน้าเครียดขึ้นมา เพราะระแวงว่าเสมาจะกลับมาแก้แค้น
       “นี่อ้ายเสมาก็ได้เป็นหลวงรึ อ้ายนี่วาสนามันดีนัก แม้ไม่มีผู้ใดอุ้มชู ก็ยังมาได้ถึงเพียงนี้”
       พันอินแอบภูมิใจแต่เห็นว่า ทุกคนเครียดกันไปหมด เลยเปลี่ยนเรื่องคุย
       “เพิ่งสิ้นศึกกลับมา เรื่องกระไรไม่สบายใจก็อย่าพูดถึงเลย พูดถึงที่ดินที่หลวงรามได้เป็นบำเหน็จศึกเถิดว่าจะทำประการใดดี”
       “ที่ดินที่ใดรึท่านขุนพิมาน”
       “ที่ดินย่านสัมพณี พ่ออยู่หัวท่านมีรับสั่งให้เวนคืน เป็นบำเหน็จศึกแก่หลวงราม ก็เป็นร้อยไร่อยู่นาแม่ลำภู”
       ขุนรามเดชะมีสีหน้ากระหยิ่มดีใจ ในขณะที่ลำภูดีอกดีใจจนออกนอกหน้า

       ในเวลาเย็น ชาวบ้านในแถบสัมพณีจับกลุ่มคุยกันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เพราะถูกเวนคืนที่ดิน และไม่รู้จะเป็นยังไงต่อไป แต้มนั่งหงอยๆอยู่หน้าเรือนของตน กลุ้มใจไม่รู้จะไปอยู่ไหน เอื้อยแตงเดินลงจากเรือนเข้ามาหาพ่อ
       “กับข้าวเสร็จแล้ว กินข้าวเถิดพ่อ”
       “เอ็งยังกินลงคออีกรึนังเอื้อยแตง อีกไม่กี่วัน เรือนเราก็ต้องถูกเวนคืน ให้ขุนน้ำขุนนางผู้ใดก็ไม่รู้ เป็นบำเหน็จศึกแล้ว”
       “มันเป็นประเพณีมาแต่โบราณ มิใช่เราเท่านั้นดอกพ่อที่โดนเวนคืนที่ดิน แต่ที่นาเราก็ยังมีจะกลัวกระไรเล่า”
       “แต่ที่ซุกหัวนอนไม่มีโว้ย”
       เอื้อยแตงยิ้มเจ้าเล่ห์พลางว่า
       “แล้วถ้าฉันหาที่ซุกหัวนอนให้พ่อได้ พ่อคงไม่บ่นกระไรแล้วใช่หรือไม่”
       แต้มมองลูกสาวด้วยสายตางงๆ ว่าจะไปอยู่ที่ไหน ในขณะที่เอื้อยแตงยิ้มเจ้าเล่ห์กะพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสกับตัวเอง

       ในบ้านเสมา แต้มยกขันน้ำขึ้นดื่มแล้ววางลงพร้อมพูด
       “การก็เป็นเช่นนี้หล่ะพี่มั่น ฉันกับนังเอื้อยแตงจึงต้องมาขออาศัยพี่อยู่ พี่คงไม่รังเกียจนา”
       แต้มกับเอื้อยแตงกำลังคุยกับมั่นและเสมา โดยมีจำเรียง สิน และสมบุญอยู่ใกล้ๆ
       “จะรังเกียจรังงอนได้กระไร คราแม่บุญเรือนได้ไข้ก็อาศัยเอื้อยแตงมันเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงดูแล แล้วยามที่พ่อแต้มลำบาก หากฉันรังเกียจก็ใจคับแคบเกินไปหล่ะ” มั่นว่า
       แต้มและเอื้อยแตงยิ้มพอใจ
       “ดีนักที่เป็นเพลานี้ หากเป็นเมื่อเดือนสองเดือนก่อน ฉันยังห่วงว่าจักแคบเกินไป แต่พี่เสมาต่อเรือนออกไปใหม่กว้างขวางโขอยู่ อาแต้มกับแม่เอื้อยแตง เลือกอยู่ตามใจเถิด” จำเรียงพูดขึ้น
       “ขอบน้ำใจนักแม่จำเรียง ฉันไม่กวนนานนักดอก หากหาที่ดินปลูกเรือนใหม่ได้เมื่อใดฉันก็จะไป” เอื้อยแตงบอก
       “จักต้องไปทำกระไรวะเอื้อยแตงอยู่เลยก็ได้ ข้าไม่ค่อยได้กลับเรือนดอก จะได้ฝากฝังเอ็งให้ช่วยดูแลพ่อกับจำเรียงด้วย” เสมาว่า
       เอื้อยแตงยิ้มดีใจที่เสมาพูดแบบนี้เป็นจังหวะดีที่เอื้อยแตงจะได้มีโอกาสใกล้ชิดเสมามากขึ้นอีก
       สินมองเหล่เอื้อยแตงด้วยความหึงหวงจึงพูดแขวะขึ้น
       “ได้ยินเช่นนี้คงถูกใจล่ะซีแม่เอื้อยแตง”
       เอื้อยแตงค้อนใส่
       “พ่อ ฉันไปดูห้องหับก่อน รำคาญหมาแถวนี้เหลือ เห่าหอนไม่หยุดหย่อน”
       เอื้อยแตงเดินหน้าหงิกเข้าข้างในไป เสมาได้แต่ส่ายหน้ายิ้มๆ เพราะชินกับนิสัยของเอื้อยแตง
       “ดูพูดจาเข้าซีนังเอื้อย” แต้มว่า
       “ไม่เป็นกระไรหรอกพ่อแต้ม เข้าไปดูห้องหับด้านในกันเถิด” มั่นบอก
       มั่นพาแต้มเข้าไปดูห้องนอน สมบุญยิ้มขำกับคำพูดของเอื้อยแตง
       “ เอ็งเป็นหมาไปแล้วโว้ยอ้ายสิน”
       สินหันมาจ้องหน้าสมบุญตาแข็งด้วยความโกรธจัดจนสมบุญหน้าเสียไม่คิดว่าเพื่อนจะโกรธขนาดนี้
       จำเรียงหยิกแขนสมบุญเบาๆ ตำหนิที่กระเซ้าเพื่อนแรงไป สินหันไปมองตามเอื้อยแตง ด้วยสีหน้าตาบึ้งตึงหึงหวงเต็มที่

       ภายในห้องนอนของเอื้อยแตงในบ้านของเสมา เอื้อยแตงเดินไปเปิดหน้าต่าง แล้วมองสำรวจห้องนอนด้วยความความพอใจ สินเดินหน้าหงิกเข้ามาในห้อง พอเอื้อยแตงหันกลับมาเจอสินก้เกิดความรำคาญทันที
       “ เอ็งจะตามมาเห่ากระไรอีก ข้ารำคาญเกินทนแล้ว”
       “ใช่ซี คำพูดข้ามันก็แค่เสียงหมาเห่า ไหนเลยแม่เอื้อยแตงจะอยากฟังเหมือนคำพูดของพี่เสมาเล่า”
       เอื้อยแตงหงุดหงิดจะเดินหนีออกจากห้อง แต่สินขวางหน้าเอาไว้ก่อน
       “ถึงพี่เสมาจักผิดใจกับแม่หญิงเรไร แม่เอื้อยก็อย่านึกเลยว่าพี่เสมาจะใยดีในตัวแม่ เพราะพี่เสมาเห็นแม่เอื้อยแตงเป็นเพียงน้องสาวเท่านั้นดอก แม้นจักวางหมากจนได้มาอยู่ชายคาเดียวกันก็หาเป็นผลไม่”
       “มันเรื่องของข้า เอ็งเลิกสอดเสียทีอ้ายสิน”
       “ข้าไม่เข้าใจ เหตุใดแม่เอื้อยถึงไม่มองคนที่มีใจให้แม่ แต่กลับเฝ้าฝันใฝ่ถึงแต่คนที่ไม่มีใจให้เช่นนี้”
       “ก็แล้วเหตุใด เอ็งไม่มองหญิงอื่นบ้างเล่า ข้ากับเอ็งมันก็ไม่ได้ต่างกันดอก”
       เอื้อยแตงผลักอกสิน แล้วเดินออกจากห้องไป สินมองตามด้วยความเจ็บใจ แต่ที่เอื้อยแตงยอกย้อนมาแบบนี้ก็เถียงไม่ออกเหมือนกัน

       สมบุญถือตะเกียงเดินตามหลังสินอยู่บนหนทางเดินเมื่อตอนหัวค่ำ สินเดินนำลิ่วหน้าบึ้งตึงด้วยความหงุดหงิด
       “เฮ้ยๆรอข้าบ้างโว้ยอ้ายสิน เอ็งเดินเร็วเช่นนี้มองทางเห็นรึ ประเดี๋ยวก็โดนงูเงี้ยวเขี้ยวขอกัดเอาดอก” สมบุญบอก
       สินกำลังอัดอั้นเดินกลับเข้ามาหาสมบุญ จ้องหน้าเหมือนจะเอาเรื่อง แล้วพาลตะคอกใส่
       “หุบปากเสียทีได้หรือไม่”
       “กระไรของเอ็งวะ”
       “ข้ากับเอ็งได้พระราชทานบำเหน็จศึก มีมูลนายสังกัดมีศักดินาเป็นร้อยไร่ ไม่ใช่ทหารอาสาดังก่อน แม้พี่เสมาจะเป็นถึงหลวง แต่ก็หามีเงินทองเท่าเอ็งกับข้าไม่ แล้วเหตุใด แม่เอื้อยแตงจึงไม่ชายตามองข้าบ้าง”
       สมบุญถอนใจตบบ่าสินปลอบใจ
       “นึกว่ากระไร เรื่องเช่นนี้ก็แล้วแต่บุพเพ ข้าก็ตอบเอ็งไม่ได้ดอก เอ็งก็อย่าฝืนนักเลย มองหญิงอื่นบ้างเถิด หากเอ็งพึงใจหญิงใดก็บอกข้า ข้าจะช่วยเอ็งเอง”
       สินโมโหปัดมือสมบุญออกแล้วชี้หน้า
       “หากเอ็งเห็นข้าเป็นเกลอ อย่าพูดเช่นนี้อีก หาไม่แล้วข้าจักเอาเลือดปากเอ็งออก”
       สินเดินหนีไปด้วยความโมโห สมบุญเซ็งสุดๆ พูดพลางถอนใจส่ายหน้า
       “อ้ายบ้าสิน บ้าขึ้นทุกวัน ก็คนมันไม่ชอบจักให้ฝืนใจได้กระไรวะ”

       ภายในบ้าน พันอินกับศรีเมืองกำลังทานข้าวในสำรับกันอยู่ กินไปพลางคุยกันไปพลาง ศรีเมืองพูดขึ้นด้วยความไม่สบายใจ
       “แม่เอื้อยแตงย้ายไปอยู่เรือนพี่เสมาจริงหรือจ๊ะพ่อ”
       พันอินพยักหน้ารับ
       “เรือนอ้ายแต้มถูกเวนคืนให้เป็นบำเหน็จศึก อ้ายแต้มกับเอื้อยแตงจึงต้องย้ายไปอยู่เรือนพี่มั่น ครานี้ คงสมใจอ้ายแต้มเป็นแน่” พันอินยิ้มขำ
       “สมใจเรื่องกระไรหรือจ๊ะ”
       “ก็อ้ายแต้ม มันอยากได้เสมาเป็นเขยน่ะซี ได้ไปอยู่เรือนเดียวกันเช่นนี้ก็ดั่งน้ำตาลใกล้มด มีรึที่เสมามันจักอดใจได้”
       “เหตุใดลูกไม่เคยรู้เลย”
       “ก็แต่ก่อน อ้ายแต้มมันรังเกียจที่เสมายากจนหาได้อยากยกเอื้อยแตงให้ไม่ แต่เพลานี้เสมามันรุ่งเรืองเป็นถึงหลวงโจมจัตุรงค์แล้ว แม้ไม่มีศักดินาแต่ก็มีหน้ามีตานัก อ้ายแต้มถึงได้คลายรังเกียจอยากได้เป็นเขยไงเล่า”
       “แล้วพ่อท่านรู้ได้เช่นไรจ๊ะ” ศรีเมืองถาม
       “ก็อ้ายแต้มมันเที่ยวพูดไปทั่วตลาด เช้านี้ผู้ใดไปเดินตลาดเป็นต้องโจษเรื่องนี้กันทั่ว คนเยี่ยงอ้ายแต้ม เอาแต่ได้ แต่คิดการสั้นนักเที่ยวโจษจนอึง คนที่มีมลทินก็มีแต่เอื้อยแตงเท่านั้น”
พันอินกินข้าวต่อไป ในขณะที่ศรีเมืองเคร่งขรึมไปไม่สบายใจกับเรื่องนี้เลย

ครัวในตำหนัก บรรดาข้าหลวงและแม่ครัวต่างช่วยกันทำอาหาร เรไรกำลังใช้ทัพพีไม้คนแกงด้วยท่าทางและดวงตาเหม่อลอย บัวเผื่อนเดินเข้ามาในครัวพอดี ขณะนั้นเอง บัวเผื่อนทำจมูกฟุดฟิดเพราะได้กลิ่นเหม็นไหม้ บัวเผื่อนมองหาที่มาของกลิ่นไหม้จนรู้ว่ามาจากแกงที่เรไรกำลังคนอยู่นั่นเอง บัวเผื่อนเดินเข้ามาดู พอเห็นแกงไหม้ก็ตกใจร้องขึ้น

       “ตายแล้วแม่เรไร ไหม้หมดแล้ว”
       เรไรตกใจรู้สึกตัวจึงรีบใช้ผ้ายกหม้อแกงลงจากเตาทันที
       “ปล่อยแกงไหม้ถึงเพียงนี้เชียว นี่เกิดกระไรขึ้นรึแม่เรไร”
       เรไรหน้าจ๋อยไปแล้วบอก
       “อภัยให้ฉันเถิด ฉันจะรีบปรุงใหม่ประเดี๋ยวนี้”
       บัวเผื่อนมองอย่างจับผิดจึงแกล้งพูดแหย่
       “คงไม่ใช่ฟังเรื่องหลวงโจมกับนังแม่ค้าเอื้อยแตงมา จนเผลอเหม่อลอยกระมังแม่เรไร”
       เรไรหน้าเสียเพราะบัวเผื่อนพูดแทงใจดำเลยพาลโกรธ
       “ต้องให้ฉันพูดสักกี่รอบว่าฉันเกลียดชายชั่วเช่นนั้นเหมือนจะตาย หากแม่บัวเผื่อนพร่ำไม่หยุดเช่นนี้ ก็เลิกพูดคุยกันเถิด”
       เรไรเดินเลี่ยงไปด้วยความหงุดหงิด บัวเผื่อนชายหางตามองตามแล้วแอบยิ้มเยาะสมน้ำหน้า
       “ยังตัดใจไม่ได้แท้ๆ แต่ปากแข็งนัก”

       หมายเหตุ แกงสมัยอยุธยาไม่เหมือนแกงสมัยนี้ เพราะตอนนั้นยังไม่มีพริก เนื่องจากพริกเป็นพืชที่นำเข้ามาสมัยสมเด็จพระนารายณ์

       ดวงแขยืนกำมือแน่นตรงหน้าชานเรือน สายตาเต็มไปด้วยความโกรธเกลียดเต็มเปี่ยมที่รู้ว่าเอื้อยแตงจะย้ายเข้าไปอยู่ในเรือนเสมา ขันเดินออกมาหาดวงแขด้วยสีหน้าบึ้งตึงโดยมีพุฒตามหลังมา
       “แม่ดวงแข” ขันเรียก
       ดวงแขสะดุ้งเล็กน้อย หันมองกลับไป ขันพูดขึ้นอย่างไม่พอใจ
       “น้องปล่อยตัวนังจำเรียงไปทำกระไรกัน รู้หรือไม่ว่าพี่ต้องเสียกำลังแลความคิดไปเท่าใด กว่าจะจับตัวมันได้”
       “พี่ขันไปศึกหารู้กระไรไม่ แม่ของจำเรียงตายแล้วทั้งหนี้สินก็ชดใช้หมดสิ้น แล้วฉันจะถ่วงเอาจำเรียงไว้ในคุกได้อีกรึ”
       “ก็แค่รอพี่สิ้นศึกกลับมาเท่านั้น จะยากเย็นกระไรนัก พี่เฝ้ารอมานานหวังจะได้นังจำเรียงเป็นเมีย เย้ยอ้ายเสมามัน แต่น้องทำเช่นนี้ มิเท่ากับพี่เสียแรงเปล่ามานานปีรึ”
       ดวงแขฟังแล้วก็ยิ่งหงุดหงิด
       “แม่เรไรอยู่ปลายมือแล้ว พี่ยังสนใจดอกหญ้าริมทางอีก เพราะพี่มักง่ายเช่นนี้ ถึงชำนะใจแม่เรไรไม่ได้เสียที”
       ดวงแขสะบัดหน้าเดินหนีไป ขันโวยวายเสียงดังตามหลัง
       “นี่น้องกล้าว่าพี่ถึงเพียงนี้เชียวรึ แม่ดวงแข”
       “อย่าเพิ่งโกรธเลยขุนณรงค์ แม่ดวงแขคงไปพื้นเสียเรื่องอื่นมากระมัง ไว้ใจเย็นลงก่อนแล้วค่อยพูดจากันเถิด” พุฒว่า
       ขันหงุดหงิดเจ็บใจ พุฒมองตามดวงแขแล้วสะแหยะยิ้มอย่างรู้ทัน พอจะรู้ว่าดวงแขโกรธเรื่องอะไร

       ดวงแขเดินหงุดหงิดอยู่ในสวนพาลดึงดอกไม้ใบหญ้ามาขยำทิ้งเพื่อระบายอารมณ์ พุฒเดินตามหลังดวงแขมาติดๆ พุฒยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนพูดขึ้น
       “โกรธเคืองผู้ใดมารึแม่หญิงดวงแข หรือได้ยินเรื่องเล่าใดในตลาด แม่หญิงจึงขุ่นเคืองถึงเพียงนี้”
       ดวงแขโมโหหันกลับมาเล่นงานพุฒทันที
       “มีกระไรก็พูดมาตามตรงเลยเถิดขุนวิเศษ ฉันไม่ชอบอ้อมค้อม”
       “แม่หญิงก็แจ้งอยู่ว่าฉันคิดเช่นใดกับแม่หญิง ที่แม่หญิงพึงใจอ้ายเสมาฉันก็รู้ แต่อย่างไรเสียก็ไม่สำเร็จดอกด้วยขุนณรงค์หายอมรับอ้ายเสมาเป็นน้องเขยไม่”
       “แล้วต้องยอมรับขุนวิเศษแทนกระนั้นรึ”
       คำพูดของดวงแขเล่นเอาพุฒชะงักไป แต่ยังใจดีสู้เสืออยู่
       “เราพูดกันแต่โดยดีเถิดแม่หญิง ฉันรักชอบแม่หญิงด้วยใจจริง ทั้งยศศักดิ์เราสองก็เสมอกัน แล้วแม่หญิงจะทนยากลำบากเพราะอ้ายเสมาไปเพื่อกระไร”
       ดวงแขเชิ่ดใส่ รู้ว่าพุฒพูดถูก แต่ก็ไม่ยอมแพ้
       “เอาเถิด ถึงอ้ายเสมารักชอบแม่หญิงเช่นกัน แต่ก็คงไม่มีแม่หญิงคนเดียวดอก เท่าที่เห็นกับตาเพลานี้ก็มีนังเอื้อยแตงแลแม่ศรีเมือง แล้วที่ลับตาจะอีกกี่คนกันเล่า” พุฒพูดขำหางเสียงหยัน
       ดวงแขจี้ใจดำจึงหึงหวงเสมาขึ้นมาอีก แต่ยังไม่ยอมแพ้พุฒ
       “ขึ้นชื่อว่าชายก็เป็นเช่นนี้ทั้งนั้น ขุนวิเศษเองก็มีเมียทาสอยู่ที่เรือนโขอยู่ มิใช่ฉันไม่รู้”
       “แต่ฉันก็ไม่ยกผู้ใดขึ้นเทียมแม่หญิงเป็นแน่ แต่อ้ายเสมามันเป็นไพร่ต่ำสกุล ได้คนเช่นนังเอื้อยแตงเป็นเมียก็สมกันแล้ว ยิ่งอีกไม่กี่วันต้องอยู่ร่วมชายคาเดียวกัน คงไม่แคล้ว...” พุฒพูดแหย่
       ดวงแขได้ฟังคำยุก็ยิ่งเจ็บแค้นใจ
       “แล้วแม่หญิงดวงแขจะทนเป็นน้อยนังเอื้อยแตงได้หรือไม่หล่ะ”
       ดวงแขแค้นแต่ฝืนปั้นยิ้มหวานใส่พุฒ
       “ฉันฟังขุนวิเศษพูดก็เห็นจริงตามนั้น แต่ข้อที่ว่าขุนท่านรักฉันจริง ฉันยังไม่ใคร่เชื่อถือน้ำคำนัก”
       พุฒดีใจมากที่ดวงแขเริ่มคล้อยตาม
       “แล้วแม่หญิงต้องให้ฉันทำเช่นใดจึงจะเชื่อถือเล่า”
       ดวงแขยิ้มเจ้าเล่ห์อยู่ในที ก่อนจะมองหน้าพุฒด้วยสายตามีแผนการ

       ในเวลาเย็น เอื้อยแตงกำลังเก็บแผงขายเหล็ก มีด ดาบ จอบ เสียมของตน เพื่อจะกลับบ้าน ชาวบ้านหญิงคนหนึ่ง เดินเข้ามาในแผงของเอื้อยแตง
       “จะเก็บของแล้วรึแม่”
       เอื้อยแตงยิ้มแย้มเชิญชวนแล้วว่า
       “เลือกซื้อก่อนได้จ้ะแม่น้า”
       หญิงคนนั้นลองเลือกดูอยู่ซักพักแล้วบอก
       “มีเพียงเท่านี้รึ ยังไม่ได้ที่ถูกใจเลย”
       “มีอีกจ้ะ ประเดี๋ยวฉันเอามาให้ดู”
       ทันทีที่เอื้อยแตงหันกลับไปหยิบของที่เก็บแล้วออกมาให้ลูกค้าดูใหม่ หญิงคนนั้นฉวยโอกาสถอดแหวนมีค่าที่นิ้วออกมาซ่อนไว้ที่กองเหล็กของเอื้อยแตงก่อนจะรีบเดินหนีไป เมื่อเอื้อยแตง หันกลับมาแต่ก็ไม่เจอหญิง คนนั้นเสียแล้ว
       “อ้าว กระไรกันหายไปเสียแล้ว”
       ขณะที่เอื้อยแตงกำลังมองหาหญองคนนั้นก็มีชายสองสามคนเดินเข้ามาในร้าน ชายคนหนึ่งชี้ไปที่แผงขายเหล็กของเอื้อยแตง
       “นี่ล่ะพี่ ฉันตามนังแดงมาติดๆ เห็นมันอยู่ที่นี่ คุยกับแม่คนนี้หล่ะ”
       ชายอีกคนจ้องเอื้อยแตงด้วยหน้าตาดุดันพลางว่า
       “แม่น้องสาว คุยกระไรกับนังแดง แล้วแหวนข้าอยู่ที่ใด”
       “ผู้ใดกันนังแดง แล้วแหวนกระไรข้าหารู้เรื่องด้วยไม่”
       ชายคนที่สองมองเอื้อยแตงด้วยสายตาไม่ไว้ใจ ก่อนจะหันไปพยักหน้าให้ลูกน้อง พวกลูกน้องเข้าไปรื้อของในแผงเหล็กของเอื้อยแตงทันที เอื้อยแตงตกใจ
       “หยุดประเดี๋ยวนี้ พวกเอ็งทำกระไร หยุด ข้าบอกให้หยุดไงเล่า”
       ชายคนแรกค้นเจอแหวนที่ซ่อนเอาไว้แล้วเอาแหวนมาคืนให้ชายคนแรก
       “เจอแหวนแล้วพี่”
       เอื้อยแตงตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
       “ข้าไม่รู้กระไรด้วย”
       พุฒซึ่งแอบดูอยู่ยิ้มสะใจที่วางแผนเล่นงานเอื้อยแตงได้สำเร็จ

       เวลากลางคืน ตำรวจกำลังไขประตูคุกให้เอื้อยแตงออกมาโดยมีสิน และแต้มยืนรออยู่
       “เป็นกระไรบ้างนังเอื้อยแตง โชคดีนักที่อ้ายสินเสียเบี้ยปรับให้ หาไม่แล้วเอ็งต้องนอนคุกอีกหลายคืนเชียว”
       เอื้อยแตงหงุดหงิดที่ได้ยินเช่นนั้น แต่หันไปพูดตามมรรยาทกับสิน
       “ข้าขอบน้ำใจเอ็งอ้ายสิน”
       สินยิ้มปลื้มใจ
       “ไม่เป็นกระไรดอก เพื่อแม่เอื้อยแตงเรื่องเพียงนี้ถือว่าเล็กน้อยนัก”
       เอื้อยแตงแอบเหยียดปากเซ็งๆ
       “แล้วเหตุใดแม่เอื้อยแตงถึงถูกจับเพราะลักขโมยได้เล่า” สินถาม
       เอื้อยแตงพาลใส่ทันที
       “จะไปรู้รึ ข้าก็อยากรู้นักว่าผู้ใดมันใส่ความเล่นงานให้ข้า หากรู้ จะให้มันลิ้มรสโซ่กรวนดูบ้าง”
       เอื้อยแตงมองไปรอบๆแล้วถาม
       “พี่เสมาเล่า”
       สินหน้าบึ้งตึงทันที ที่เอื้อยแตงถามถึงเสมา
       “อ้ายเสมามันเป็นนายเวนคืนนี้ วันพรึ่งก็ต้องเข้าเฝ้าอีก อ้ายนี่พอเดือดร้อนไม่เคยเห็นหัว แล้วต่อไป จะรับมันเป็นเขยได้เช่นไร”
       สินผงะหน้าเสียไปทันที
       “พ่อยังไม่หยุดพูดเช่นนี้อีกรึ พ่อเที่ยวไปโจษให้อึงไปทั้งตลาดจนฉันไม่มีหน้าไปขายของแล้ว”
       “อุบ๋า มาโทษข้าได้กระไรวะนังเอื้อย แล้วที่เอ็งวางแผนไปขออยู่เรือนอ้ายเสมา ไม่ใช่คิดจะเสนอตัวให้มันดอกรึ”
       เอื้อยแตงเหล่มองสินทั้งโกรธทั้งอายเลยรีบเดินหนีฉับๆ ไปด้วยความโมโห แต้มเดินบ่นตามหลังไปอีกคนเหลือแต่สินที่มีสีหน้าเซ็งๆ ไม่ว่าจะทำยังไง เอื้อยแตงก็ไม่เคยสนใจสักที

       ยามสาย ในท้องพระโรง.... เสมา พระราชมนู และบรรดาขุนนางทุกคน กำลังหมอบกราบเข้าเฝ้าพระนเรศวร และ พระเอกาทศรถอยู่
       “บัดนี้เมืองทวาย มะริด ตะนาวศรี ก็ได้กลับมาอยู่กับอโยธยาอีกครา เหลือแต่เมืองละแวก ที่กระทำการหยามหมิ่นเรามาครั้งแล้วครั้งเล่า เราจึงเห็นควรให้ยกทัพไปปราบเมืองละแวกเสีย เพื่อที่ภายหน้าจะได้มิต้องกังวลอีก” สมเด็จพระนเรศวรตรัสขึ้น
       เสมาและขุนนางทุกคนถวายบังคมพร้อมกัน
       “ควรแล้ว พระพุทธเจ้าข้า”
       “พระราชมนู”
       พระราชมนูคลานเข่าออกมาถวายบังคม
       “พระพุทธเจ้าข้า”
       “เจ้าจงเป็นทัพหน้านำไพร่พลบุกเข้าตีเมืองละแวก”
       “รับด้วยเกล้า พระพุทธเจ้าข้า”
       พระเอกาทศรถตรัสเรียก
       “หลวงโจมจัตุรงค์”
       เสมาคลานเข่าออกมาถวายบังคม
       “พระพุทธเจ้าข้า”
       “เจ้าเป็นรองแม่ทัพ ช่วยพระราชมนูกระทำการศึก เรากับพระพุทธเจ้าอยู่หัวจะยกทัพหลวงตามไป อย่าให้ผิดพลาดเป็นอันขาด”
       “รับด้วยเกล้า พระพุทธเจ้าข้า”





Create Date : 22 พฤษภาคม 2555
Last Update : 22 พฤษภาคม 2555 12:17:03 น. 0 comments
Counter : 1122 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

atitaya_t
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




สวัสดีค่ะ ขอร่วม gang ด้วยคนค่ะ
Friends' blogs
[Add atitaya_t's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.