|
ศิลปะของการอยู่ด้วยกัน
ในการอยู่ร่วมกันของคนเรา ความขัดแย้งมากมายหลายประการอาจเริ่มต้นจาก “ บุคลิกภาพไม่พึงประสงค์ ” ในตัวคนเราทุกคนต่างก็มีด้านที่น่ารักและไม่น่ารัก น่าคบและไม่น่าคบ น่าอยู่ใกล้และน่าหนีให้ไกล น่าประทับใจและน่ารังเกียจ การอยู่กับคนอื่นเรามีหน้าที่ “ลดความน่ารังเกียจ ”และเพิ่มความน่าคบ เพิ่มแรงดึงดูดมากกว่าเพิ่มความกดดัน เพื่อให้คนตั้งแต่สองคนขึ้นไปได้สานประโยชน์และสานสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน นำไปสู่การร่วมแรงร่วมใจสร้างสรรค์ สิ่งที่ดี ๆ ให้เกิดขึ้นได้อีกมากมายหลายประการ แต่หากเริ่มต้นด้วยความขัดแย้งกันเสียแล้ว ก็ไม่นำไปสู่อะไรที่สร้างสรรค์เลย นอกจากความขัดแย้งที่มากยิ่งขึ้น ว่าแต่ “ บุคลิกภาพที่ไม่พึงประสงค์ ” นั้นเป็นอย่างไร แฮรี สแต็ค ซัลลิแวน นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน ได้อธิบายบุคลิกภาพที่ไม่พึงประสงค์ พร้อมทั้งระบุสาเหตุที่ก่อให้เกิดลักษณะของบุคลิกภาพที่เป็นปัญหาไว้ 5 ประเภท คือ
1. ประเภทหมกมุ่นอยู่กับตัวเอง บุคคลประเภทนี้มักจะท้อแท้ ผิดหวังง่าย มีความเจ็บแค้นในใจ และคิดว่าตนถูกเข้าใจผิดเสมอ สำหรับสาเหตุแห่งบุคลิกภาพประเภทหมกมุ่นอยู่กับตนเองนี้เป็นเพราะว่าบุคคลประเภทนี้ ผิดหวังในสัมพันธภาพระหว่างตนเองกับบุคคลอื่นมาตั้งแต่เยาว์วัย และถูกกระทำซ้ำซ้อนมาจนฝังใจจำ
2. ประเภทไม่สุงสิงกับใคร บุคคลประเภทนี้มักจะมีความรู้สึกว่าทำบุญกับใครไม่ขึ้น มักจะน้อยใจ สาเหตุแห่งบุคลิกภาพประเภทนี้ อาจจะเป็นเพราะไม่ได้รับความรักหรือไม่มีใครรักในวัยเด็ก ผลจึงสืบเนื่องมาจนถึงวัยอื่น ๆ ต่อ ๆ มา
3. ประเภทต้องพึ่งพาคนอื่น บุคคลประเภทนี้มักจะไม่มีความคิดเป็นของตนเอง คอยปฏิบัติตามคำแนะนำของคนอื่น ต้องยึดหรือพึ่งพาคนอื่นเป็นหลัก สาเหตุแห่งบุคลิกภาพประเภทนี้อาจเป็นผลจากการเลี้ยงดูของบิดามารดาที่แสดง อำนาจเหนือเด็กตลอดเวลา โดยเฉพาะในช่วงวัยเด็กและวัยเยาว์
4. ประเภทไม่เป็นมิตรกับใคร บุคคลประเภทนี้ไม่ประสงค์จะคบหาสมาคมกับใคร อารมณ์มักจะขุ่นมัว หงุดหงิด สาเหตุแห่งบุคลิกภาพประเภทนี้ มักจะเป็นเพราะบิดา มารดาเคี่ยวเข็ญและเอาใจใส่ดูแลบุตรธิดา เพื่อหวังจะให้ได้ดีมากเกินไป อีกทั้งบิดามารดามักจะไม่พอใจ และไม่สนใจเกี่ยวกับผลการกระทำหรือผลงานใด ๆ ของบุตรธิดาของตน
5. ประเภทชอบคัดค้าน บุคคลประเภทนี้มักจะเถียง ชอบคัดค้าน สาเหตุแห่งบุคลิกภาพประเภทนี้เป็นเพราะชอบเรียกร้องความสนใจ เมื่อครั้งยังอยู่ในวัยเด็ก และเมื่อเจริญเติบโตขึ้นก็ยังคงใช้วิธีการเดิมและมักจะใช้วิธีคัดค้าน เมื่อรู้สึกว่าความสุข ความปลอดภัยของตนนั้นกำลังถูกคุกคาม
แต่ความรู้ในเรื่องนี้ก็ไม่ช่วยแก้ไขอะไรจริงไหมคะ หากรู้แล้วเฉย ๆ ไม่นำไปสู่แรงบันดาลใจที่จะแก้ไขบุคลิกด้าน ลบของตัวเอง หรือของคนอื่นด้วยความปรารถนาดี
ความรู้เรื่องนี้สำหรับดิฉันแล้ว ถือว่ามีคุณค่าในการสร้างความเข้าใจว่า คนเรานั้นต่างเบ้าหลอม ต่างที่มา และผลที่เป็นอยู่ในเวลานี้ก็เกิดจากเหตุที่เป็นมาตั้งแต่ครั้งเก่าก่อน ฉะนั้น แทนที่จะด่วนถือสาหาความและต่อยอด ความขัดแย้งให้บานปลายมากไปกว่าเก่า จำเป็นที่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจะต้องหยุด เพื่อลดการกระทบกระทั่งและค่อย ๆ คิดหาหนทางคลี่คลายความขัดแย้งที่มี ในชีวิตของคนเรานี้มีความจริงหรือสัจธรรมแห่งชีวิตอยู่ 6 ประการ เพื่อให้เราเข้าใจตนเองและผู้อื่น รวมทั้งมีเรี่ยวแรงที่จะทำงานด้วยกัน คบหากันหรืออยู่ร่วมกันได้โดยไม่ท้อถอย ทั้ง 6 ประการดังกล่าว ได้แก่
1. มนุษย์เติบโตมาจากภูมิหลังที่ต่างกัน จึงทำให้มนุษย์ไม่เหมือนกัน เราจะคาดคั้นบีบบังคับให้ทุกคนคิดอย่างเดียวกัน พูดอย่างเดียวกัน หรือแสดงออกมาเป็นพิมพ์เดียวกันคงไม่ได้
2. ไม่มีใครดีที่สุดหรือเลวที่สุดแต่เพียงอย่างเดียว ทุกคนมีทั้งดีและเลว ขึ้นอยู่กับว่าเรารู้จักเขาดีเพียงพอหรือไม่ แล้วเราพอที่จะให้อภัยหรือชื่นชมผลการกระทำของเขาได้หรือเปล่า
3. มนุษย์ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงได้ ถ้ามีความตั้งใจที่จะเรียนรู้วิธีเปลี่ยนแปลง ดังนั้นจงอย่าประเมินผู้อื่นต่ำ อย่างดูถูกเหยียบย่ำผู้อื่น แต่จงชี้แนะวิธีทำงานที่ดีกว่าเพื่อให้เขาค้นพบการเปลี่ยนแปลงได้ดีขึ้น
4. มนุษย์จะทำได้หากได้รับโอกาสและจะทำได้ดียิ่งขึ้นหากมีกำลังใจ ได้รับคำชมและคำชี้แนะ จึงแทนที่จะเล่นงานหรือชิงชังก็เปลี่ยนเป็นเมตตา ชี้แนะ ให้โอกาสด้วยความอดทนและมีความหวังต่อกัน
5. คุณค่าของมนุษย์อยู่ที่การประเมินจากผู้อื่น เขาจะถูกประเมินอยู่ตลอดเวลา เขาจะเป็นคนดีเมื่อมีเสียงชื่นชมมากกว่าเสียงสาปแช่ง และสุดท้ายเมื่อเขาจากโลกไป โดยเสียงที่ประเมินครั้งสุดท้ายจะเป็นการประเมินผลงานรวมตลอดชีวิตของบุคคลนั้น ทุก ๆ วันจึงควรดำเนินชีวิตอย่างมีสติและฝักใฝ่ในทางดีงาม
6. มนุษย์ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดต้องมีทั้งความดี ความเก่ง และโอกาสจะสำเร็จหรือล้มเหลวล้วนเป็นฝีมือของเหล่ามนุษย์ด้วยกันทั้งสิ้น
ทั้งหมดที่เล่ามานี้ก็เพื่อจะชี้ให้เห็นอย่างชัด ๆ ว่าโดยพื้นฐานแล้วคนเราต่างกันมาก ฉะนั้นจะให้คิด พูดทำ แสดงออก วางตัวเหมือน ๆ กันไปเสียทั้งหมดก็คงไม่ได้ แต่จะต้องช่วยกันวางมาตรฐานของ การคิด พูดและแสดงออก สังคมมนุษย์จึงเกิดมีวัฒนธรรม ธรรมเนียม ประเพณี และมารยาทขึ้นมา พอมีตัวบทกฎเกณฑ์เหล่านี้แล้วคนที่ไม่ทำตามย่อมถูกประฌามโดยกฎเกณฑ์นั้น ๆ เป็นเครื่องวัด มิใช่ประฌามเอาตามอำเภอใจของใครคนใดคนหนึ่ง พูดง่าย ๆ ว่าศิลปะของการอยู่ด้วยกันให้ผาสุกทุกระดับนั้น จะต้องคำนึงถึงกฎ กติกา มารยาท เพื่อที่คนเราซึ่งต่างที่มา ผิดแผกแตกต่างกันทางความคิด และถูกหล่อหลอมมา อย่างถูก ๆ และผิด ๆ ต่างกันไปนั้น ได้มีเบ้าหลอมเบ้าเดียวกัน เพื่อให้ทุกคนเท่าเทียมกันและเข้าใจกันได้ง่ายขึ้น ไม่ถือเอากติกาหรือเงื่อนไขของใครคนใดคนหนึ่งเป็นใหญ่ บ้าน...ที่ใครสักคนวางตนเป็นใหญ่แล้วใช้กฎระเบียบตามอำเภอใจ โดยที่คนอื่นไม่ได้รับรู้หรือมีส่วนร่วม บ้านนั้นก็ขาดความสุข มีแต่ความขัดแย้งกับความทุกข์ ที่ทำงานใดก็ตามที่มีใครบางคน “ เป็นใหญ่ ” แล้วกำหนดให้คนอื่นพูด คิด ทำ หรือเป็นอย่างที่ตัวเองอยากจะให้เป็น อยู่ด้วยกันได้ไม่นานก็คงต้องลาออกไป
บ้านเมืองก็เหมือนกันไม่รับฟังกัน ไม่เจรจากัน ต่างก็ถือแต่เงื่อนไขของตัวเอง ย่อมนำไปสู่ความขัดแย้งที่ไม่มีจุดจบ หรือจบก็คงจบแบบไม่สวย โปรดยอมรับและเคารพ “ความต่าง ” แล้วช่วยกันหาทางเพิ่ม “ความเหมือน ” ที่เกิดจากการยอมรับและ ความยินยอมพร้อมใจจะดีกว่า ทำเช่นนี้ได้ไม่ว่าในสังคมเล็กหรือสังคมใหญ่ก็จะมีความราบรื่นและรื่นรมย์
ที่มา : ประฌม ถาวรเวช. โพสต์ทูเดย์
Create Date : 16 เมษายน 2552 |
Last Update : 16 เมษายน 2552 11:32:12 น. |
|
1 comments
|
Counter : 884 Pageviews. |
|
|
|
โดย: namemaru วันที่: 18 เมษายน 2552 เวลา:10:28:35 น. |
|
|
|
|
|
|
|
ที่ซูลิแวนว่าไว้