|
ทัศนคติดีมีชัยไปกว่าครึ่ง
ผมได้อ่านรายงานสรุปผลการฝึกอบรมโครงการเสริมสร้างสมรรถนะข้าราชการ เพื่อเป็นคลังสมองของกรมการปกครอง (Think Tank) ครั้งที่ ๔ หมวดพัฒนาทักษะและ วัฒนธรรมองค์กร ที่น้อง ๆ ผู้รับผิดชอบโครงการเสนอมาแล้ว รู้สึกชอบใจกับเรื่อง ๆ หนึ่ง ที่วิทยากรสอดแทรก ในเนื้อหาเรื่องการสร้างวัฒนธรรมองค์กร โดยถามว่าอะไรคือสิ่งที่มีแล้วจะทำให้ชีวิตสมบูรณ์ ๑๐๐ % ถ้าให้แทนค่า A= ๑ % B = ๒ % ไปจนถึง Z = ๒๖ % มาลองดูกันว่าอะไรที่จะทำให้ชีวิตของคนเราเต็มร้อย
W + O + R + K + H + A + R + D = ๙๘ %
K + N + O + W + L + E + D + G + E = ๙๖ %
L + O + V + E = ๕๖ %
L + U + C + K = ๔๗ %
ทั้งสี่คำนี้ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ชีวิตเราเต็มร้อย ถ้าเช่นนั้นท่านคิดว่าอะไรที่ถ้าหากเรามีแล้วจะทำให้ชีวิตเราสุขสมบูรณ์ คิดออกมั้ยครับ ที่แท้จริงก็คือคำ ๆ นี้ A + T + T + I + T + U + D + E ซึ่งรวมกันแล้ว = ๑๐๐ % พอดี นั่นก็คือ ทัศนคติของเรานั่นเอง ทัศนคติในที่นี้เป็นทัศนคติที่ดีที่เรามีต่อการดำเนินชีวิตในเรื่องต่าง ๆ ผมมองว่านี่เป็นกลยุทธ์ในการสอนให้เรารู้จักการสร้างทัศนคติที่ดี โดยอาศัยเทคนิคการแทนค่าของตัวอักษรภาษาอังกฤษ ทำให้เห็นว่าการทำงานหนักเป็นสิ่งที่ดี แต่ก็อาจไม่ใช่คำตอบที่ถูกที่สุด หรือการมีความรู้มาก ๆ ก็ยังไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องเสมอไป เพราะอาจจะกลายเป็นประเภทมีความรู้ท่วมหัวแต่เอาตัวไม่รอดก็ได้ แต่การมีทัศนคติที่ดีต่างหากที่จะทำให้เราเกิดความพยายามไม่ย่อท้อต่อสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เป็นการสร้างขวัญและกำลังใจให้กับตนเองในการฝ่าฟันอุปสรรคต่าง ๆ นานา และนำไปสู่ความสำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
ทัศนคติคืออะไร? ทัศนคติ เป็นคำสนธิระหว่าง ทัศน,ทัศน์ หรือ ทัสสนะ ซึ่งหมายความว่า ความเห็น ความเห็นด้วยปัญญา ส่วนคติ หมายความว่า แนวทาง ดังนั้นคำว่า ทัศนคติ จึงน่าจะรวมความได้ว่า คือ แนวความคิดเห็นที่ประกอบด้วยปัญญาเป็นที่ตั้ง เป็นความคิดเห็นซึ่งมีพื้นมาจากปัญญา ทั้งนี้
มนุษย์ทุกคนล้วนต้องมีทัศนคติตลอดเวลา และทัศนคติที่จะกล่าวถึงต่อไปในที่นี้ หมายถึง กระบวนการคิดโดยไม่พิจารณาว่าสิ่งที่คิดนั้นจะได้แสดงออกมาภายนอกหรือมีผู้ใดรับรู้ถึงความเห็นดังกล่าวหรือไม่
ประเภทของทัศนคตินั้นอาจแบ่งแยกโดยเอาตัวเราเป็นที่ตั้งได้เป็น ๒ ประการหลัก ๆ คือ ทัศนคติต่อตนเอง และ ทัศนคติต่อคนอื่น สิ่งอื่นรอบข้าง ซึ่งทัศนคติทั้ง ๒ ประการดังกล่าวจะเป็นตัวขับเคลื่อนที่ก่อให้เกิดกระบวนการคิด การกระทำต่างๆ ตามมา ทั้งด้านที่ดีและไม่ดี ดังนั้นการที่เราจะสามารถดำเนินกิจกรรมใดๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใดนั้น ส่วนสำคัญประการหนึ่งก็คือ ทัศนคติของตัวเรานั่นเอง ที่เป็นปัจจัยที่มีบทบาทสำคัญประการหนึ่ง ฉะนั้นจึงกล่าวได้ว่า การมีทัศนคติที่ดี ก็เป็นปัจจัยที่อาจก่อให้เกิดความสำเร็จในทางที่ดีเช่นกัน
และที่หยิบยกเรื่องทัศนคติมากล่าวในครั้งนี้ก็เพราะอยากให้ทุกคนสร้างทัศนคติที่ดีหรือที่เรียกว่า การคิดในเชิงบวก (Positive Thinking) กันมากขึ้นจนติดเป็นนิสัย โดยเฉพาะการนำมาใช้กับการทำงาน บางครั้งเราอาจรู้สึกไม่อยากทำงาน เพราะงานนั้นเป็นงานใหม่ที่ไม่เคยทำ มาก่อนหรือเป็นงานที่ยุ่งยากซับซ้อนต้องใช้ความละเอียดรอบคอบและความอดทนในการทำงานมาก ๆ จนรู้สึกท้อแท้เบื่อหน่าย ไม่อยากจะคิดหรือทำอะไรทั้งนั้น แถมยังพาลคิดว่า ทำไมหัวหน้าต้องมอบหมายให้เราทำงานนี้ด้วย แต่ถ้าหากเรามีทัศนคติที่ดีลองมองในมุมกลับที่เป็นเชิงบวก โดยมองว่าเป็นความท้าทายและเป็นโอกาสที่เราจะได้แสดงความรู้ความสามารถฝึกฝนงานใหม่ ๆ ก็จะทำให้เกิดความกระตือรือร้นและมีแรงผลักดันที่จะพยายามทำให้งานสำเร็จลงได้
ดังนั้น มาร่วมกันสร้างทัศนคติที่ดีกันมาก ๆ เถอะครับ ใครที่ชอบคิดชอบมองอะไรในแง่ร้าย ๆ ก็ลองคิดใหม่ ด้วยการมองทุกสิ่งในทางบวกมากขึ้น อย่างน้อยจะทำให้มีแรงและพลังที่จะคิด จะทำในเชิงสร้างสรรค์ และเมื่อเราตั้งใจดีและพยายามอย่างเต็มที่แล้ว ความสำเร็จก็จะเกิดขึ้นตามมาได้อย่างแน่นอน
นอกจากการสร้างทัศนคติที่ดีแล้ว ยังมีอีกเรื่องที่น่าสนใจที่อยากนำเสนอให้ทุกคนได้รับรู้ร่วมกัน นั่นก็คือ The 7 Habits of Highly Effective People เจ็ดอุปนิสัยสำหรับผู้มีประสิทธิผลสูง ซึ่งเรื่องนี้คงมีบางท่านได้ยินได้ฟังและรับรู้มาบ้างแล้ว เพราะเป็นหนังสือที่ค่อนข้างขายดีเล่มหนึ่ง เขียนโดย Stephen R. Covey มีการแปลเป็นภาษาไทยและตีพิมพ์หลายครั้งแล้ว แต่เพื่อเป็นการเน้นย้ำให้มีความเข้าใจมากขึ้น และเป็นการเชื่อมโยงกับการสร้างทัศนคติที่ดี จึงขอหยิบยกเรื่องนี้มากล่าวถึงด้วย เริ่มกันที่…
อุปนิสัยที่ ๑ Be Proactive คำนี้ไม่สามารถระบุคำจำกัดความได้อย่างเฉพาะเจาะจง แต่เป็นการสื่อความในแง่ของอุปนิสัยที่เป็นการเสริมสร้างให้มีการกล้าเผชิญสิ่งใหม่ ๆ กล้ารับผิดชอบกับสิ่งที่ตนเองเลือกที่จะทำ และปรับปรุงการยอมรับในหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย เพื่อที่จะได้บรรลุถึงวัตถุประสงค์ บุคคลที่มีลักษณะโปรแอคทีฟ จะสามารถใช้ความอิสระในการเลือกตัดสินใจ ตามค่านิยมของตนเอง เพราะแต่ละคนมีอำนาจเป็นของตัวเองในการที่จะตัดสินใจ สามารถลดความกังวลในสิ่งที่ตนเองควบคุมไม่ได้ ในขณะที่สามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสิ่งที่อยู่ในความควบคุมให้ดียิ่งขึ้นได้ด้วย
อุปนิสัยที่ ๒ Begin With the End in Mind เริ่มต้นด้วยจุดมุ่งหมายในใจ เราจะเป็นบุคคลผู้ที่มีประสิทธิผลสูง หากสามารถกำหนดทิศทางอนาคตด้วยตนเอง จากการเริ่มต้นด้วยการตั้งจุดมุ่งหมายในใจเกี่ยวกับชีวิตของเราแทนที่จะปล่อยให้คนอื่นหรือ ปัจจัยภายนอกมาเป็นตัวกำหนดผลที่จะเกิดแก่เรา ทำให้สามารถใช้ชีวิตได้อย่างกลมกลืนกับเป้าหมายที่ได้มีการกำหนดไว้ด้วยตัวของเอง
อุปนิสัยที่ ๓ Put First Things First ทำสิ่งที่สำคัญก่อน มุ่งเน้นทำสิ่งที่สำคัญก่อน อะไรก็ตามถ้าเราคิดว่ามีคุณค่า จะส่งผลดีกับเรา จะช่วยให้เราดำเนินชีวิตไปในทางที่ถูก สามารถนำเราไปสู่เป้าหมายแห่งชีวิตได้ จะมีความสำคัญมากและมักจะมาพร้อมกับความเร่งด่วนอื่น ๆ ดังนั้น เราจะต้องจัดลำดับความสำคัญในเรื่องที่มีความสำคัญมากก่อนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่เราได้วางไว้
อุปนิสัยที่ ๔ Think Win Win คิดแบบชนะ-ชนะ เป็นการส่งเสริมให้มีการแก้ปัญหาและความขัดแย้งร่วมกัน แสวงหาหนทางที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน บุคคลที่คิดแบบชนะ ชนะ จะประกอบด้วยคุณสมบัติ ๓ ประการ กล่าวคือ ความซื่อสัตย์ต่อตนเองและผู้อื่น จะมีความซื่อสัตย์ในความรู้สึก ค่านิยมและข้อผูกมัดที่ตนเองมีต่อผู้อื่นและตนเอง วุฒิภาวะ จะเป็นการแสดงความคิดและความรู้สึกของตนเองด้วยความกล้าแสดงออกถึงความใส่ใจต่อผู้อื่น ทั้งในด้านความคิดและความรู้สึก และความใจกว้าง จะมีความเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีมากเกินพอสำหรับทุกๆ คน
อุปนิสัยที่ ๕ Seek First to Understand,Then to be Understood เข้าใจผู้อื่นก่อนแล้วจึงให้ผู้อื่นเข้าใจเรา พูดง่าย ๆ ตามแบบของไทยก็คือ เอาใจเขามาใส่ใจเรา เป็นอุปนิสัยแห่งการติดต่อสื่อสารอย่างเข้าอกเข้าใจ สร้างความชัดเจนในการติดต่อสื่อสารให้มากขึ้น โดยใช้ทักษะในการฟัง เมื่อเราฟังเพื่อที่จะเข้าใจผู้อื่น การติดต่อสื่อสารระหว่างบุคคลจะเป็นไปอย่างมีประสิทธิผล เพราะเราจะเปิดใจและไม่ยึดติดกับกรอบความคิดของเราที่จะคอยตัดสินว่าสิ่งใดถูก สิ่งใดผิดบนพื้นฐานของประสบการณ์ของเราเอง อุปนิสัยที่ ๖ Synergy ผนึกพลังประสานความต่าง เป็นอุปนิสัยแห่งการร่วมมือกันอย่างสร้างสรรค์ เมื่อบุคคลสองคน ร่วมมือกันและพึ่งพาซึ่งกันและกันอย่างสร้างสรรค์ จะช่วยให้เกิดผลสำเร็จมากกว่าผลบวกของแต่ละฝ่ายมาร่วมกัน เมื่อแต่ละฝ่ายให้คุณค่ากับความต่างของอีกฝ่ายหนึ่ง ก็จะทำให้ แต่ละฝ่ายมีใจที่เปิดกว้างเพื่อที่จะหาโอกาสและความเป็นไปได้ใหม่ๆ ช่วยให้แต่ละฝ่ายคิดแบบชนะ ชนะ และสร้างความไว้วางใจซึ่งกันและกัน การกระทำเช่นนี้จะช่วยให้มีการส่งเสริมซึ่งกันและกัน
อุปนิสัยที่ ๗ Sharpen the Saw ลับเลื่อยให้คมอยู่เสมอ เป็นอุปนิสัยแห่งการเติมพลัง เราทุกคนจำเป็นจะต้องได้รับการลับเลื่อยให้คมอยู่เสมอ เพื่อเตรียมความพร้อมในการทำงานกล่าวคือ ทุกคนจะต้องรักษาและพัฒนาตนเองอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง หมั่นทำเป็นกิจวัตร หมั่นฝึกฝน เพื่อพัฒนาทั้ง ๖ อุปนิสัยให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ
ดังนั้น การสร้างอุปนิสัยทั้ง ๗ นี้จะช่วยพัฒนาตนเองทั้งในด้านชีวิตส่วนตัวและการทำงาน
โดยเฉพาะในการทำงานทำให้ความสัมพันธ์กับผู้อื่นเป็นไปอย่างราบรื่น ใคร ๆ ก็อยากรู้จัก อยากทำงานด้วย และที่สำคัญที่สุดจะทำให้สามารถปรับเปลี่ยนไปสู่การมีทัศนคติที่ดีต่อทุก ๆ สิ่งมากขึ้น มาลองฝึกให้มีอุปนิสัยเหล่านี้กันดู เชื่อเถอะว่า ผู้ที่มีทัศนคติดีเหมือนมีชัยในการทำงานไปแล้วกว่าครึ่งจริง ๆ
“หว่านความคิด แล้วจะได้เก็บเกี่ยวการกระทำ หว่านการกระทำ แล้วจะได้เก็บเกี่ยวนิสัย หว่านนิสัย แล้วจะได้เก็บเกี่ยวอุปนิสัย หว่านอุปนิสัย แล้วจะได้เก็บเกี่ยวโชคชะตา” - Stephen R. Covey
โดย ภัครธรณ์ เทียนไชย
Create Date : 05 มีนาคม 2552 |
Last Update : 5 มีนาคม 2552 20:31:14 น. |
|
1 comments
|
Counter : 1126 Pageviews. |
|
|
|
โดย: รัตนมาลี วันที่: 7 มีนาคม 2552 เวลา:11:16:06 น. |
|
|
|
|
|
|
|
//www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y7590769/Y7590769.html