Group Blog
 
All Blogs
 
คนชอบวื่ง

เรื่องสั้น

คนชอบวิ่ง

"เพทาย"

ชีวิตราชการของผมนั้น หลังจากที่สำเร็จจากโรงเรียนนายสิบแล้ว ก็ได้รับการบรรจุให้อยู่ในหน่วยส่วนกลาง ซึ่งมีหน้าที่เกี่ยวกับการเลื่อนลด ปลดย้ายข้าราชการ ตำแหน่งเดียวตลอดเวลาสามสิบปี ผมจึงมีเรื่องที่จะต้องเกี่ยวพัน กับผู้สมัครเข้ารับราชการ ผู้ที่ประสงค์จะขอย้ายตนเองไปอยู่หน่วยอื่น หรือกลับไปอยู่ในหน่วยแถวบ้านเดิม และผู้ที่ขอลาออกจากราชการ นับจำนวนเป็นร้อยเป็นพันคน ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นไปตามหลัก
เกณฑ์ของทางราชการ แต่ที่เป็นไปตามความประสงค์ของผู้บังคับบัญชา ก็ต้องมีบ้างเป็นธรรมดา

การบรรจุบุคคลเข้ารับราชการนั้น เป็นการเปิดรับสมัครสอบคัดเลือก โดยมีคณะกรรมการ ที่เป็นนายทหารผู้ใหญ่ ดำเนินการได้ผลเป็นประการใดแล้ว จึงส่งรายชื่อผู้ที่สอบได้ทั้งหมด มาให้ผมตรวจสอบเอกสาร และรายงานขอบรรจุไปยังหน่วยเหนือ เรียกว่าใช้ระบบคุณธรรม

เว้นแต่การบรรจุทดแทนผู้ที่ถึงแก่กรรม หรือลาออกจากราชการ จึงจะใช้ระบบอุปถัมภ์ คือพิจารณาบรรจุจากบุตรหลาน ของผู้ที่ตายหรือลาออก
ไปก่อน หากไม่มีก็จะบรรจุจากบุตรหลานของข้าราชการผู้อื่น ในหน่วยต่อไป แต่ถ้ามีคนมากกว่าอัตราว่าง ก็ต้องสอบคัดเลือกเช่นเดียวกัน

ผมจึงต้องพบกับผู้ที่คิดว่า ผมจะมีความสามารถทำให้เขา หรือลูกหลานของเขาได้เข้ารับราชการ อยู่เนือง ๆ บางคนก็ติดต่อผ่านนายหน้า ซึ่งเป็นผู้ที่ผมรู้จักคุ้นเคย ให้ช่วยเหลือโดยเสนอให้เงินเป็นจำนวนพอควร ผมก็ต้องปฏิเสธไปทุกครั้ง

บางทีแม้ผมจะอธิบายว่า ผมไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องในการคัดเลือก เขาก็ไม่เชื่อหาว่าไม่ช่วยกัน และถึงกับโกรธกันไปเลยก็มี นอกจากบางครั้งจะมีผู้แอบอ้างว่าได้ติดต่อผมแล้ว และมาขู่เข็ญให้ผมทำอะไรตามใจเขา ผมก็ต้องตะเพิดให้ไปบอกผู้นั้นมายืนยันกับผม ก็ไม่เห็นว่าจะมีใครมา

ผมถึงกับอบรมสั่งสอนลูกน้องว่า อย่าได้ทำสิ่งใดให้ผิดระเบียบข้อบังคับ หรือรับเงินทองของกำนัลใด ๆ เป็นอันขาด

นอกจากเมื่อเขาได้รับความสำเร็จสมประสงค์ ตามระเบียบของทางการแล้ว มีการเลี้ยงแสดงความยินดี แล้วมาเชิญเราไปเป็นแขก อย่างนั้นจึงพอจะรับได้บ้าง ตามความเหมาะสม

แม้แต่ผู้ที่ต้องการจะย้ายก็เหมือนกัน ถ้าไม่เข้าหลักเกณฑ์แล้ว ผมก็ช่วยไม่ได้ เพียงแต่ให้คำแนะนำว่าควรจะไปหาใคร หรือปฏิบัติอย่างไรเท่านั้น บางรายบอกว่าเตรียมเงินไว้วิ่งเต้นเรื่องนี้ เป็นจำนวนมาก ผมก็ต้องบอกให้เก็บเอาไว้ใช้ในเรื่องอื่นเถิด เพราะผมถือคติที่ว่า

............ถ้าทำงานเห็นแก่หน้า จะต้องแก้ปัญหาไม่รู้จบ............

มีกรณีพิเศษอีกอย่างหนึ่งคือ การบรรจุนักกีฬา พวกที่มีความสามารถในการกีฬา ไม่ว่าชนิดใด ประเภทใด ถ้ามาสมัครแล้วจะได้รับการพิจารณาบรรจุทันที และในบางโอกาส ผู้บังคับบัญชาที่รับผิดชอบด้านกีฬาของหน่วย ต้องไปเที่ยวเสาะหานักกีฬา เอามาบรรจุเสียด้วยซ้ำ พวกนี้ส่วนมากจะได้มาในเวลาที่ใกล้เคียงกับฤดูการแข่งขันกีฬา

ซึ่งนอกจากผมจะต้องรวบรวมหลักฐานให้ครบถ้วน เสนอรายงานไปยังหน่วยเหนือผู้อนุมัติบรรจุแล้ว ยังจะต้องติดตามเรื่องไปตั้งแต่ต้นจนจบ เพื่อให้สามารถออกคำสั่งบรรจุได้ทันการแข่งขัน ในปีนั้นอีกด้วย บางทีต้องไปชูคำสั่งบรรจุกันที่ข้างสนามเลยก็มี

เรื่องการกีฬาระหว่างหน่วยนี้ ในกาลครั้งหนึ่งหน่วยของผมได้เอาจริงเอาจังมาก ถึงขนาดคว้ารางวัลชนะเลิศ ได้รับคะแนนรวม เป็นที่หนึ่งในกองทัพบก ๓ ปีซ้อน ซึ่งจะได้ถ้วยรางวัลนั้นเป็นกรรมสิทธิ์ ติด ๆ กันถึง ๓ ครั้งรวม ๙ ปีติดต่อกัน จนมีถ้วยรางวัลเต็มตู้โชว์ในสโมสรทีเดียว

เพื่อนนักเรียนนายสิบรุ่นเดียวกับผม ก็ได้เป็นนักกีฬาที่ทำชื่อเสียงให้แก่หน่วยอย่างระบือลือลั่น เมื่อสามสิบกว่าปีมาแล้วคนหนึ่ง เขาได้เคยเป็นตัวแทนของกอง ทัพบก เข้าแข่งขันกีฬาสี่เหล่าทัพ ซึ่งรวมถึงตำรวจด้วย

ต่อจากนั้นก็เป็นนักกีฬาทีมชาติไปแข่งขันกีฬาแหลมทอง หรือเซียพเกมส์ ซึ่งในปัจจุบันได้เปลี่ยนเป็นซีเกมส์ กีฬาเอเชียนเกมส์ และโอลิมปิคเกมส์ตามลำดับ

เขาผู้นี้เมื่อจบการศึกษาจากโรงเรียนนายสิบแล้ว ก็ได้ออกไปรับราชการทางภาคใต้ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช เขาเป็นคนที่มีพรสวรรค์ในการวิ่งมาแต่กำเนิด วิ่งได้เร็วโดยไม่ต้องฝึกหัด หรือฝึกซ้อมมาก่อนเลย ในต่างจังหวัดมีการแข่งขันวิ่งเร็ว แบบที่ชาวบ้านเรียกกันว่าวิ่งวัว คือแข่งขันกันสองคนตัวต่อตัว ใครวิ่งไปชิงธงที่ปลายทางได้ ก็เป็นผู้ชนะ มีทั้งเดิมพันในระหว่างนักวิ่ง และมีการพนันขันต่อกัน ในระหว่างผู้ดูด้วย

ไม่ว่าระยะทางที่วิ่งจะใกล้ไกลสักเท่าใด เพื่อนของผมคนนี้ก็คว้าเอารางวัลมาได้ทุกครั้ง ไม่เคยแพ้ใครเลย เมื่อมีคนรู้จักมากขึ้นในจังหวัดนั้น ก็ย้ายไปท้าแข่งที่จังหวัดอื่นต่อไป

ครั้นได้ย้ายเข้ามารับราชการในกรุงเทพมหานคร ก็เลยได้เป็นนักกีฬาของหน่วยหลายประเภท แต่ที่ทำชื่อเสียงมากที่สุดก็คือ ชนะเลิศการแข่งขันวิ่ง ๑๐๐,๒๐๐ และ ๔๐๐ เมตร ของประเทศไทย และเป็นตัวแทนไปแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ ที่ประเทศญี่ปุ่น และกีฬาโอลิมปิคที่กรุงโรม ประเทศอิตาลี เรียกว่าตลอดเวลาที่รับราชการอยู่ เขาไม่เคยทำงานอื่นใดเลย นอกจากเข้าค่ายซ้อมกีฬาทั้งปี และทุกปี

ความเร็วในการวิ่งของเขาสมัยนั้น เป็นเรื่องที่เล่าลือกันมาก แต่ที่ผมได้เห็นด้วยตาตนเอง ที่สนามศุภชลาศัยหรือสนามกีฬาแห่งชาติ เขาจะวิ่งระยะทางเท่าใด ในกีฬาระดับไหนจำไม่ได้ พอออกจากจุดสตาร์ทเขาก็วิ่งนำโด่งไปคนเดียวสามสี่ช่วงตัว เหมือนกับว่าคนอื่นไม่ได้วิ่งอย่างนั้นแหละ เขาเกิดนึกอย่างไรไม่ทราบ จึงเหลียวหน้ากลับมาดูนักวิ่งที่แข่งกับเขา เมื่อเห็นว่ามีผู้วิ่งตามมาแน่แล้วเขาก็เข้าเส้นชัยไปอย่างสบายอารมณ์ ดูเหมือนจะยังไม่ทันเหน็ดเหนื่อยเสียด้วยซ้ำ

ต่อมาเมื่ออายุมากขึ้น สังขารก็ร่วงโรยลง มีนักวิ่งหนุ่ม ๆ เกิดขึ้นมาใหม่สามารถเอาชนะเขาได้ จนตำแหน่งชนะเลิศตกไปเป็นของนักวิ่งสังกัดกองทัพอากาศแล้ว เขาก็เบื่อการกีฬา จึงขอลาออกจากราชการ ไปประกอบอาชีพส่วนตัว ซึ่งก็ต้องเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ หลายอาชีพตามความเบื่อง่ายของเขา แต่ส่วนใหญ่นั้นมักจะเกี่ยวข้อง กับการบันเทิงเริงรมย์ทั้งนั้น

ครั้งหนึ่งผมเคยพบเขา เป็นคนต้อนรับแขก อยู่ที่ภัตตาคารใหญ่โต มีชื่อเสียงโด่งดังแถวสะพานยมราชหรือสี่แยกอุรุพงษ์ เมื่อก่อนที่ยังไม่มีทางด่วนพาดผ่าน ผม บังเอิญได้รับเชิญไปในคณะผู้ปฏิบัติงานออกอากาศ ของทีวีวิกสนามเป้าสมัยขาวดำ จากผู้จัดรายการของทางราชการคณะหนึ่ง

เขารีบทักทายผมก่อน พร้อมกับโค้งคำนับอย่างล้อเลียน ผมไต่ถามเขาเพราะจากกันมานาน ก็ได้ความว่าเพิ่งมาอยู่ไม่กี่เดือน จึงถามต่อ
ว่าพนักงานเสริฟหญิงมีทั้งหมดเท่าไร ก็ได้รับคำตอบว่ากว่าสองร้อยคน ผมซักว่ารู้จักแล้วกี่คน เขาบอกว่าหลายสิบแล้ว

จนกระทั่งเกิดสงคราม ภายในสามประเทศของอินโดจีน เขาจึงได้อาสาสมัครเป็นเสือพราน ต้นกำเนิดของทหารพรานในปัจจุบัน ไปปฏิบัติงานนอกประเทศอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่ทุ่งไหหินในประเทศลาวจะแตก ด้วยฝีมือคอมมิวนิสต์

เขาจึงมีประสบการณ์ในการสงคราม มากพอที่จะเอามาเขียนหนังสือขาย ได้เงินมากมาย และมีชื่อเสียงโด่งดัง ยิ่งกว่าการเป็นนักกีฬาหลายเท่าตัว ในยุคสมัยของเขานั้น เรื่องบู๊ปนเซ็กส์กำลังฮิตติดตลาดมาก มีผู้เขียนหลายนามปากกา แข่งขันกันเต็มที่ เขาเขียนเรื่องได้อย่างรวดเร็ว และมากมายจนตัวเองก็จำไม่ได้เหมือนกันว่า มีเรื่องอะไรบ้าง เขาเคยเขียนเรื่องยาวลงในหนังสือพิมพ์หัวเขียวรายวัน แล้วต่อมาไปผิดเส้นอะไรก็ไม่ทราบ เลยย้ายมาลงในหัวชมพูคู่แข่งเป็นรายวันเหมือนกัน

ผมไปเจอเขาเข้าอีก ในงานวันนักเขียนที่ ๕ พฤษภาคม ปีหนึ่งซึ่งจัดที่สมาคมนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ถนนสามเสน หน้าวชิรพยาบาล เขายังจำผมได้ดี แต่ผมจำเขาไม่ค่อยได้ เพราะผมบนศรีษะของเขา หายไปมากกว่าครึ่ง

เขาโด่งดังอยู่ในวงวรรณกรรมหลายปี แต่แล้วก็เงียบหายไปจากวารสารต่าง ๆ ที่เคยลงพิมพ์ รวมทั้งที่เป็นเล่มขนาดพ็อคเก็ตบุ๊คส์ ไม่ทราบว่าด้วยเหตุอันใด ผมพยายามติดตามข่าวคราวของเขา ก็ได้ยินว่าเป็นหนุ่มเจ้าสำราญ ลอยชายอยู่ระหว่าง กรุงเทพกับนครราชสีมา ซึ่งเป็นบ้านเกิดของเขา แม้แต่น้องชายหญิงของเขาที่ทำงานอยู่หน่วยเดียวกับผม ก็ไม่เคยได้เจอหน้าเขาเลย

จนกระทั่งได้ทราบจาก เพื่อนร่วมรุ่นนักเรียนนายสิบ ว่าเขาเสียชีวิตแล้ว ด้วยโรคเส้นโลหิตอุดตัน และผมได้ไปพบกับร่างอันไร้วิญญาณของเขา เป็นครั้งสุดท้าย ที่วัดแห่งหนึ่งในย่านห้วยขวาง ซึ่งเป็นงานฌาปนกิจศพที่เงียบเหงา ไม่สมกับความมีชื่อเสียงอันโด่งดังอย่างสูงสุด ทั้ง
ในด้านการกีฬา และการประพันธ์ มาแล้วในอดีตเลย

ชื่อและนามสกุลจริงของเขา ที่กรอบรูปถ่ายหน้าเมรุนั้นคือ จ.ส.อ.ประจิม วงษ์สุวรรณ น่าเสียดายที่ไม่มีหน่วยใด บันทึกเกียรติประวัติในการแข่งขันกรีฑา ของเขาไว้เลย

ในปัจจุบันจึงหาคนที่จะจำชื่อของเขาได้อยู่เพียงไม่กี่คน

แต่เพื่อนของผมคนนี้ เมื่อเป็นนักเขียน ใช้นามปากกา สยุมภู ทศพล

ซึ่งคงจะมีผู้อ่านหลายท่าน จำได้อย่างแน่นอน.

##########



Create Date : 21 กันยายน 2552
Last Update : 21 กันยายน 2552 6:12:13 น. 4 comments
Counter : 84 Pageviews. Add to





คนเราก็เป้นแบบนี้แหละค่ะ
ถ้าทำความดี ทำประโยชน์ แรกๆก็อาจชื่นชม
แป๊บเดี๋ยว "ใครเหรอ ? " เช่น นักกีฬาของชาติ
แทนที่จะนำเสนอให้รุ่นหลังทำตาม มีแต่สนใจเรื่องฉาบฉวย
หลานคนนี้ ไม่เป็นนักอ่านนะคะ
แต่ชื่อ สยุมภู ทศพล
คุ้นมากค่ะ
ขอบคุณค่ะ


โดย: PANPISA วันที่: 16 กรกฎาคม 2553 เวลา:19:42:38 น.




เพื่อนคนนี้เป็นคนเก่งหลายด้าน เสียดายที่อายุสั้นไปหน่อย
ไม่ทันถึง ๖๐ ปีเลยครับ.

โดย: เจียวต้าย วันที่: 16 กรกฎาคม 2553 เวลา:20:00:32 น.




ตามที่ได้อ่าน เพื่อนของคุณลุงท่านนี้ก็เก่งหลายด้าน
มีพรสวรรค์ด้านกีฬาและเขียนหนังสือ
น่าเสียดายวาระสุดท้ายของท่าน นะครับ

โดย: วิรุฬห์ IP: 124.120.111.88 วันที่: 24 สิงหาคม 2553 เวลา:22:01:42 น.




คนอย่างนี้น่าจะเรียกว่ามีพรสวรรค์ได้
เพราะไม่ว่าจะทำอะไรก็ทำได้ดีที่สุดในงานนั้น

เพียงแต่เขาก็เหมือนคนมีชื่อเสียงทั้งหลาย
ได้เงินมาก็จ่ายสุรุ่ยสุร่าย ลงท้ายก็ตายอย่างเงียบ ๆ

แทบไม่มีใครรู้เลยครับ.

โดย: เจียวต้าย วันที่: 25 สิงหาคม 2553 เวลา:14:47:23 น.





Create Date : 06 กันยายน 2554
Last Update : 6 กันยายน 2554 8:22:48 น. 0 comments
Counter : 525 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

เจียวต้าย
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 45 คน [?]




เชิญหารายละเอียดได้ ที่หน้าบ้านชานเรือนครับ
Friends' blogs
[Add เจียวต้าย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.