Group Blog
 
All Blogs
 
ขาของเพื่อน

เรื่องสั้น

ขาของเพื่อน

" เพทาย "

ผมบังเอิญเป็นคนที่มีเพื่อนมาก ทั้งพลเรือน ตำรวจ และทหาร เมื่อมีชีวิตอยู่มานานเกินไป เพื่อนที่ว่านั้นก็ลดน้อยถอยไปหลายคน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีเหลืออยู่พอประมาณ และที่เหลืออยู่ก็ล้วนแต่ได้สร้างวีรกรรมวีรเวรเอาไว้คนละหลายเรื่อง ที่พอจะนำมาเล่าสู่กันอ่านได้ในคราวนี้สักสองคน

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ถ้าขึ้นต้นอีแบบนี้ก็คงไม่แคล้ว นิทานปรำปรา ที่เล่าสืบต่อกันมาตั้งแต่เด็ก จนแก่เฒ่าใกล้จะเข้าโลง แต่ความจริงเรื่องนี้ไม่นานนักหนา เพียงแค่ประมาณสามสิบกว่าปีเท่านั้น สมัยที่ในกรุงเทพมหานคร ยังมีรถเก๋งที่มีชื่อทางการค้า เหมือนกับเครื่องพิมพ์ดีด คือไทรอัมพ์ ซึ่งคงจะอ่านว่าไทรอั้ม หรือไทรอ้ำ ไม่ใช่อ่านว่าไซอ้ำ

รุ่นที่เรียกกันว่าเมย์ฟลาวเออร์ มีสัญลักษณ์เป็นรูปเรือใบอยู่บนบนกระโปรงหน้าหม้อของรถ รถชนิดนี้แปลกอยู่ตรงที่รูปร่าง ซึ่งไม่มีความโค้งมนให้ลู่ลมเหมือนอย่างรถสมัยนี้เอาเสียเลย เป็นเหลี่ยมหักมุมไปหมดทั้งคัน ตั้งแต่หัวจรดท้าย

เพื่อนของผมคนที่ชื่อ นายผึ่ง เป็นครูโรงเรียนราษฎร์แถวเทเวศร์ ซึ่งในปัจจุบัน ได้เลิกกิจการไปแล้ว เขาได้เป็นเจ้าของอยู่หนึ่งคัน ไม่ทราบว่าไปเลหลังต่อมาจากใคร เขาชอบพาเพื่อน ๆ นั่งรถของเขาไปเที่ยวตามที่ต่าง ๆ ก็ที่กินเหล้านั่นแหละครับ เราเรียกอาการอย่างนี้ว่าการย้ายที่กินเหล้า ไม่ได้ปักหลักกินอยู่ใต้ต้นสาเกที่เดียว เหมือนบางกลุ่ม พวกเราขนานนามเจ้ารถคู่ยากของเพื่อนนี้ว่า รถประป๋อง

เจ้ารถกระป๋องคันนี้เป็นเหมือนเท้าของเพื่อนผม บางครั้งเขาไปส่งพวกเรา หลังจากที่กินกันสามสี่แห่ง ซึ่งเป็นที่นิยมกันในสมัยนั้นก็คือ เริ่มด้วยร้านอาหารธรรมดา แล้วก็ต่อด้วยร้านที่มีไฟฟ้าสลัว ๆ มีดนตรี และสาวสวยนุ่งกระโปรงสั้นที่สุดเท่าที่จะสั้นได้ แล้วสวมรองเท้าหนังสูงเลยหัวเข่า เป็นนักร้อง จากนั้นก็แถไปตามร้านข้าวต้มที่เปิดโต้รุ่ง โดยไม่ได้กินข้าวกันเลยสักคนเดียว เมื่อเขาขับรถไปส่งเพื่อนจนถึงบ้านครบทุกคนแล้ว เขาจึงจะขับรถกลับบ้านซึ่งอยู่แถวบางพลัด

พอถึงหน้าบ้านที่แน่ใจว่าเป็นบ้านของเขาแล้ว เขาก็จะดับเครื่อง นอนฟุบหลับอยู่กับพวง มาลัยรถจนสว่าง ภรรยาต้องมาปลุกให้ อาบน้ำอาบท่าไปทำงานเสียที

กาลครั้งหนึ่ง(อีกแล้ว) เราไปในงานแต่งงานแถว ๆ ถนนตก ขากลับก็นั่งกลับมาด้วยกันถึงหกคน เพราะไม่มีใครอยู่แถวนั้นเลย ขณะนั้นเป็นเวลาดึกมากแล้ว สมัยนั้นยังไม่มีรถเต็มถนนทุกเวลาอย่างเดี๋ยวนี้ เขาจึงค่อย ๆ ประคองรถแล่นมาจนถึง สามแยกโรงภาพยนต์โอเดี้ยน จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่า ทางตรงนั้นห้ามเข้า ต้องแยกซ้ายอ้อมมาทางซอยหน้าโรงภาพยนต์ เราที่เป็นผู้โดยสารต่างก็คุยกันเสียงลั่นรถ เลยไม่มีคนเตือนนายผึ่งให้เลี้ยว ดันผ่าไปในทางที่เขาไม่ให้เข้า

พอได้ยินเสียงนกหวีดดังอยู่ข้างหลัง นายผึ่งถามว่าเขาเป่านกหวีดทำไม พรรคพวกต่างก็บอกว่า ตำรวจจราจรเขาคงเรียกรถคันอื่นกระมัง ไม่เกี่ยวกับเราหรอก อย่าไปสนใจเลย

พอถึงแยกที่จะเข้าถนนเยาวราชและถนนเจริญกรุง ก็มีตำรวจจราจรออกมาโบกมือให้รถหยุด นายผึ่งก็ถามว่าเกิดอะไรขึ้น เขาก็ขอใบขับขี่ พวกเราต่างก็ชี้แจงประสานเสียงกันเอะอะ จนจราจรผู้นั้นต้องชะโงกหน้าเข้ามาชิดหน้าต่างรถ แล้วถามด้วยเสียงที่ไม่อ่อนหวานว่า เมาทั้งหมดใช่ไหม จะได้เอาไปโรงพัก นั่นแหละพวกเราจึงได้เงียบเสียงลง รวมทั้งนายผึ่งด้วย และยอมให้ใบขับขี่ไปแต่โดยดี

วันรุ่งขึ้น นายผึ่งจึงได้ขอร้องให้เพื่อนที่เป็นนายทหาร ช่วยไปเอาใบขับขี่คืน โดยมีการว่ากล่าวตักเตือนตามธรรมเนียม

เย็นวันหนึ่งผมเดินผ่านโรงพักสามเสน ก็เห็นรถเมย์ฟลาวเออร์จอดอยู่ ริมถนนข้างหน้า โดยมีสภาพที่ดูยับเยินเต็มที เพราะแม้ทั้งหัวและท้ายจะเรียบร้อยดี แต่หลังคาด้านขวาตั้งแต่กระจกหน้า ย่นยู่เข้าไปจนเกือบถึงกระจกหลัง แล้วคนขับจะรอดไปได้อย่างไร ผมรีบเข้าไปถาม สิบเวรด้วยความตื่นเต้นว่าคนขับเป็นยังไงบ้าง ก็ได้รับคำตอบว่าบาดเจ็บเล็กน้อย ทำแผลที่โรงพยาบาลแล้วก็คงกลับบ้านไปได้ เพราะเรื่องเกิดขึ้นเมื่อสองสามวันก่อน

ผมก็ค่อยเบาใจ แต่ก็รีบโหนรถเมล์ข้ามสะพานกรุงธน ไปบางพลัดทันที เมื่อถึงบ้านนายผึ่งก็พบว่า เจ้าของบ้านคือเพื่อนผมกำลังเปิดจุกขวดโซดาอยู่พอดี

"ไงห่อ" เขารีบทักผม ซึ่งมีชื่อเล่นว่า นายห่อ

"ไปไงมาไงถึงมาถึงนี่ได้"

"ก็มาเยี่ยมแกน่ะซี เป็นไงบ้างล่ะ"

"ไม่เห็นเป็นไร ก็สบายดีอย่างเคยแหละ มาพอดีทีเดียว"

"อ้าว..." ผมอ้าปากไม่ออกด้วยความงุนงง เขารีบส่งแก้วที่มีน้ำสีอำพันเป็นฟองเดือดปุด ๆ ให้อย่างรู้ใจ

"เอ้า...ล่อซะคนละกรุบ จะได้หายเหนื่อย ดูหน้าแกซิยังกะเห็นผี"

"แกไม่เป็นอะไรหรอกรึ"

"ก็เป็นครูไงล่ะ"

"ไอ้เวร..." ผมว่าจะนึกในใจแต่ดันโพล่งออกไปแล้ว

"นึกว่าแกเป็นผีไปแล้ว ถึงได้มาถามข่าว เห็นรถไปจอดแหงแก๋อยู่ที่หน้าโรงพักสามเสน...."

"เฮ้ย...รถฉันเข้าอู่ ซ่อมแล้วมันกระดำกระด่าง ก็เลยว่าจะเปลี่ยนสี
ใหม่ อีกสองสามวันก็ได้นั่ง"

"งั้นที่โรงพักมันของใคร รถกระป๋องเหมือนกันเดี๊ยะเลย"

"อ๋อ.….รู้แล้ว" เขาว่าพลางหัวร่อกั้ก ๆ

"รถคันนั้นมันของครู โรงเรียนวัดสมอแครง เพื่อนฉันเอง ชื่อครูสำรวม"

นายผึ่งค่อย ๆ บรรจงรินเหล้าไทยเติมแก้วทั้งสอง ผมรีบใส่น้ำก้อนรินโซดาตาม แล้วซดกันคนละฮวบ สมัยนั้น (อีกที) โซดายังเป็นฟอง กระเด็นขึ้นถึงจมูก ดื่มชื่นใจดีจริง ๆ แล้วจึงถามเขาว่า

"เรื่องเป็นยังไง เขาถึงไม่เป็นอะไรมาก"

"มันเล่าให้ฟังว่า....." เขาหมายถึงครูสำรวม

"มันขับรถข้ามสะพานกรุงธนจะไปโรงเรียน ตอนขาลงฝั่งโน้น ใกล้จะถึงวัดส้มเกลี้ยง สวนกับสิบล้อที่แซงล้ำเข้ามาทางขวา มันหลบไม่ได้เพราะรถเรียงสองตามกันมาเป็นพืด เลยเหยียบเบรค แล้วล้มตัวลงฟุบบนเบาะ มุมรถสิบล้อข้างตัวคนขับก็ปาดเอาหลังคาเปิงไป แต่ตัวเองไม่ไเป็นไรเลย"

ผมก็เลยดื่มคล่องคอขึ้นมาหน่อย

อยู่ต่อมาอีกนานรถกระป๋องของนายผึ่งก็ทำเหตุขึ้นอีก แต่คราวนี้
เขาไปสองคนกับเพื่อนที่ชื่อ นายชั้น ขากลับจากเลิกงานแล้ว ก็ไถลไปตามเคยจนดึกพอสมควรแล้ว ก็กลับมาทางถนนจรัญสนิทวงศ์ สมัยนั้นถนนยังไม่ได้เป็นทางคู่ อย่างเดี๋ยวนี้ และทางเท้าก็ยังไม่สมบูรณ์เรียบร้อยตลอดสาย

นายชั้นเล่าว่านายผึ่งขับรถกินขวา เกินครึ่งถนนมาตลอด นาน ๆ จึงจะแถกลับมาอยู่ในทางซ้ายของตน พอดีมีรถบรรทุกขนาดใหญ่เปิดไฟจ้าสวนมา นายผึ่งตกใจได้สติ รีบหักพวงมาลัยรถหลบเข้าทางซ้ายอย่างรวดเร็ว โดยไม่เห็นทางข้างหน้า รถ จึงเข้าไปในซอยเล็ก ๆ แล้วชนเข้ากับมุมตึกแถว เสียงดังกึงแล้วรถก็หยุดนิ่งอยู่กับที่

ตัวนายผึ่งนั้นฟุบเงียบอยู่กับพวงมาลัย แต่นายชั้นไม่บาดเจ็บที่ไหนเลย เพราะรถแล่นช้ามาก เมื่อตรวจดูว่าเพื่อนก็ไม่มีบาดแผล แต่เขย่าเท่าไรก็ไม่หือไม่อือ คิดว่าคงจะสลบไป นายชั้นจึงเดินไปหาตู้โทรศัพท์ เพื่อจะแจ้งตำรวจท้องที่ให้ช่วยมาดูแลหน่อย และในสมัยนั้นตู้ โทรศัพท์ก็ไม่เกลื่อนเมืองเหมือนเดี๋ยวนี้ จึงเดินออกไปไกลกว่าที่เกิดเหตุมาก กว่าจะได้กลับมา ก็มีคนมุงเต็มไปหมด

ท่ามกลางเสียงวิจารณ์กันจ้อกแจ้กจอแจ ว่าคนขับคงจะแย่แน่ นายผึ่งก็ผงกหัวขึ้นมาร้องถามว่า

"เฮ้ย....เกิดอะไรขึ้น คนง่วงจะตายขอนอนสักงีบก็ไม่ได้รึไง"

นายชั้นรีบเข้าไปเปิดประตูด้านคนขับ ถามว่า

"เป็นไงบ้างพี่ผึ่ง เป็นอะไรหรือเปล่า"

"เปล่า..ไม่ได้เป็นอะไรเลย นอนหลับอยู่ดี ๆ ดันมีคนมาถอดนาฬิกาข้อมือซะนี่ ถ้าไม่ตื่นก็คงสูญไปแล้ว"

พลันก็มีเสียงฮาขึ้นพร้อมกัน แล้วกลุ่มชนเหล่านั้น ต่างก็แยกย้ายสลายตัวไปในความมืดอย่างรวดเร็ว

ปัจจุบันนายผึ่งยังคบหาสมาคม กับเพื่อนกลุ่มเดิมอยู่อย่างสม่ำเสมอ แต่เขาเลิก ขับรถอย่างเด็ดขาดแล้ว เพราะต้องใช้ไม้เท้าเป็นขาที่สาม ตั้งแต่เกษียณอายุราชการมาเมื่อไม่กี่ปีนี้เอง

#############

นิตยสารทหารปืนใหญ่
มกราคม ๒๕๔๖

ถนนนักเขียน ห้องสมุดพันทิป
๒๙ ธันวาคม ๒๕๔๘

Create Date : 13 พฤศจิกายน 2550
Last Update : 13 พฤศจิกายน 2550 6:49:51 น. 8 comments
Counter : Pageviews. Add to





ลงชื่ออ่านครับ

นอนไปได้ยังไงเนี่ย 555

โดย: blackguard (boris_chung ) วันที่: 13 พฤศจิกายน 2550 เวลา:9:20:36 น.




เมามากก็เลยหลับคาพวงมาลัยครับ.

โดย: เจียวต้าย วันที่: 14 พฤศจิกายน 2550 เวลา:16:40:16 น.




อิอิอิ ตลกดี

โดย: ข้าวโพด IP: 121.55.227.70 วันที่: 2 มีนาคม 2551 เวลา:15:30:00 น.




เรื่องตลกแบบนี้ยังมีอีกครับ.

โดย: เจียวต้าย วันที่: 5 มีนาคม 2551 เวลา:19:53:08 น.




ยุคไหน ก็มีคนมาปลดทรัพย์สินของผู้ประสบอุบัติเหตุ

โชคดีที่ไม่เป็นอะไรเลยนะครับ

โดย: พี่แต้ วันที่: 12 มีนาคม 2551 เวลา:22:42:11 น.




เวลารถโดยสารต่างจังหวัดคว่ำก็มี
ถ้ามีคนมากแบบเครื่องบินตกก็เป็นคดีความใหญ่โตครับ.

โดย: เจียวต้าย IP: 58.9.203.88 วันที่: 27 กรกฎาคม 2551 เวลา:19:48:50 น.




เพื่อนคุณลุงเยอะจริงๆนะครับ
เอามาเขียนเรื่องคงได้เล่มหนาทีเดียว


โดย: วิรุฬห์ IP: 124.120.96.180 วันที่: 25 กันยายน 2553 เวลา:21:01:22 น.




เลือกรวมแล้วทั้งเรื่องตนเองและเพื่อน ประมาณ ๒๐ เรื่อง
ไม่มีใครรับพิมพ์ให้ครับ
ต้องพิมพ์เองไว้แจกในงานเผาศพครับ.

โดย: เจียวต้าย วันที่: 26 กันยายน 2553 เวลา:8:13:47 น.

 

นายชั้นตายเมื่อประมาณ พ.ศ.๒๕๕๕

นายพึงตายเมื่อ ปลาย พ.ศ.๒๕๕๖

 

 

 





Create Date : 25 สิงหาคม 2554
Last Update : 17 กุมภาพันธ์ 2557 13:16:21 น. 6 comments
Counter : 1030 Pageviews.

 
เพื่อนเรา ขับรถมาจากกินดื่ม ฟังเพลง

มาจอดรถจะแวะทานบะหมี่

เราตามมาก็เห็นจอดตั้งนานรถก็ยังติดอยู่ ปรากฎว่านอนหลับต้องปลุกมาตั้งตัวซักพักถึงกลับไปได้


โดย: tuk-tuk@korat วันที่: 25 สิงหาคม 2554 เวลา:15:10:25 น.  

 
เพื่อนของผมมีอยู่อีกคนหนึ่งที่เมาแล้วหลับ

พอเลิกกินขึ้นรถแท็กซี่กดลับพร้อมกัน แวะส่งเขาก่อน
แกหลับเสียแล้ว เรียกไม่ลุกปลุกไม่ตื่น

ต้องเรียกคนในบ้านให้มาลากไปครับ.


โดย: เจียวต้าย วันที่: 26 สิงหาคม 2554 เวลา:19:25:31 น.  

 
เจ้าโกร่งคันที่ใช้มานานปีนี่ก็เรียกชื่อว่า...เจ้ากระป๋อง เหมือนกันค่ะ
เธอตกฟากเมื่อ กรกฎาคม 2528
อายุอานามตอนนี้ก็เลยวัยเบญเพสแล้ว
ก็คงจะอยู่กันไปเรื่อยๆจนกว่าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจะทนเบื่อไม่ได้ขอลาไปก่อนค่ะ

ขาที่สามของนายผึ่งคาดว่าได้มาพร้อมกับคำว่า ฒ ผู้เฒ่านะคะ
คงไม่ใช่รางวัลจากการขับรถแต่ประการใด



โดย: ร่มไม้เย็น วันที่: 29 สิงหาคม 2554 เวลา:20:20:06 น.  

 
ก่อนเกษียณอายุ เขาป่วยเส้นโลหิตในสมองตีบ
ทำให้ร่างกายซีกหนึ่งอ่อนแรง เลยต้องถือไม้เท้าครับ.


โดย: เจียวต้าย วันที่: 30 สิงหาคม 2554 เวลา:20:43:15 น.  

 
อ่านเรื่องนี้แล้ว ทำให้นึกถึงภาพสี่แยกไฟฉาย
เมื่อครั้งที่ขนส่งสายใต้ตั้งอยู่
ข้ามสะพานพระปิ่นมาฝั่งธน ยังเป็นสวนอยู่เลยค่ะ


แอมอร


โดย: peeamp วันที่: 23 ตุลาคม 2554 เวลา:21:30:17 น.  

 
เมื่อสร้างสะพานพระปิ่นเกล้า ดูเหมือนถนนจรัยสนิทวงศ์ขยายแล้วนะครับ
ถนนเดิมสองเลนสวนกัน ไม่มีเกาะกลาง และไม่มีทางเท้าคล้าย ๆ จะเป็นทางหลวงครับ.


โดย: เจียวต้าย วันที่: 24 ตุลาคม 2554 เวลา:5:50:15 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

เจียวต้าย
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 45 คน [?]




เชิญหารายละเอียดได้ ที่หน้าบ้านชานเรือนครับ
Friends' blogs
[Add เจียวต้าย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.