All Blog
อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว ตอนที่ 21 (ต่อ1)



คำชี้แจงทีมงาน ละคร อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว จบ 21 ตอนทีวีนะจ๊ะ ไม่ใช่ 21 ตอนตามละครออนไลน์ หมายถึงว่า ตอนที่อัพให้อ่านอาจยาวไปถึง 23-24 ตอน โปรดรับทราบโดยทั่วกัน

อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว ตอนที่ 21 (ต่อ1)

ในเวลาเดียวกัน ผาดกับพรช่วยกันจัดวางจาน ช้อน และแก้วน้ำ เตรียมจะตั้งโต๊ะอาหารเย็น เว้นที่ของดารากา ไม่ได้จัด แนนนี่อยู่ในห้องรับแขก หารีโมททีวีไม่เจอ ดีดนิ้วเปิดทีวีแทน พรเห็นพอดี ตกใจจนช้อนหล่น แนนนี่แอบหันมามองขำๆ แบมือรีโมทเสกปรากฏในมือ

ผาดหันมาดุ “อะไรนังพร ใจลอยไปไหน”
พรยังผวา มองแนนนี่ “ก็...”
แนนนี่หันมา ทำหน้าซื่อบริสุทธิ์ รีโมทอยู่ในมือ พรเห็นแต่ผาดไม่เห็น
พรงึมงำ “ตาฝาดเหรอ ไม่นะ”
พรหันมามองอีก แนนนี่ก็ยังถือรีโมทดูทีวีไปพูดไป
“ไปตัดแว่นได้แล้วมั้งคะพี่พร”
พรมองรีโมทในมือแนนนี่ให้แน่ใจ ยิ้มกร่อยๆ ในอาการกลัวๆ
ผาดพูดเออออไปงั้นเอง ไม่รู้ว่าเรื่องอะไร “น้าก็ว่างั้นแหละค่ะ”
พรไปหยิบช้อนคันใหม่

ระหว่างนั้นปัทเดินเข้ามาจะไปหาแนน เห็นที่นั่งประจำของดารกาไม่มีจาน
“น้องดาจะไม่ทานข้าวเย็นเหรอจ๊ะผาด”
“ค่ะ คุณดาบอกว่าจะไปติวกับเพื่อนที่มหาวิทยาลัยค่ะ”
ปัทมนรับทราบ
แนนนี่พูดเบาๆ กับตัวเอง “โกหก ต้องไปหาพี่ภวัตแน่ๆ”
แนนนี่หายตัว ในขณะที่ปัทมนหันมาหา
“อ้าว ไปไหนซะแล้ว” ปัทมนบ่นน้ำเสียงเอ็นดู “ผลุบผลับเปิ๊บป๊าบซะจริงลูกคนนี้”
ปัทมนนั่งลงดูทีวี จะเปลี่ยนช่อง หารีโมทไม่เจอ หันไปถามผาดกับพร พร้อมกับมองหาเองด้วย
“เห็นรีโมททีวีไหมจ๊ะ”
พรขนลุกซู่ พูดกับผาดไม่ให้ปัทได้ยิน “นั่นไง ชั้นตาฝาดซะที่ไหน”
ผาดแอบหยิกพร จนพรเจ็บ หน้าเหยเก
“เดี๋ยวผาดกับพรหาให้ค่ะคุณผู้หญิง คุณแนนนี่อาจถือติดมือไป” ชะงักนึกได้ “เอ๊ะ เมื่อคืนเหมือนผาดจะเห็นอยู่ในห้องทำงานคุณธานี แต่อันเดียวกันหรือเปล่าไม่แน่ใจค่ะ”
ธานีเข้ามาพอดี
“น้าผาดนินทาอะไรผม”
ผาดยิ้มแย้ม “เปล่าค่า” แล้วแยกกันไปหารีโมทกับพร
พรเดินมา พลางพูดเบาๆ กับตัวเอง
“ถ้าเจอในห้องทำงานคุณธานีละก็...ฮือๆ...คุณแนนนี่...กลายเป็นผีไปแล้วเหรอ”
ธานีเดินไปกดปุ่มที่ทีวีเปลี่ยนช่องให้แม่ ปัทมนช่วยถอดเสื้อนอกให้ลูกชาย
“เหนื่อยมั้ยลูก งานหนักหน่อยนะจ๊ะ”
“สู้ครับ จะรักษามาตรฐานที่คุณแม่ปูไว้ เดี๋ยวผมรบกวนปรึกษาคุณแม่เรื่องประมูลงานก่อสร้างโครงการของทางราชการหน่อยครับ”
“เอาสิจ๊ะ” ปัทมนตั้งใจนิ่งฟัง

เวลาต่อมา ภวัตกำลังเขียนบันทึกเกี่ยวกับคนไข้ แนนนี่หายตัวมาปรากฏตรงหน้า
ภวัตสะดุ้ง “จะมาอย่างคนธรรมดาบ้างได้มั้ย”
“ไม่ได้ค่ะ รถติด แนนนี่จะประสาทคิดถึงพี่ภวัตตายก่อน รถใต้ดินบนดินก็เร็วสู้แนนนี่ไม่ได้”
“สอบวันนี้วันสุดท้ายใช่มั้ย”
สีหน้าแนนนี่ลิงโลด ดีใจมากที่ภวัตใส่ใจ “ โอ๊ย รักพี่ภวัตที่สุดในโลก พี่ภวัตสนใจแนนนี่ทุกรายละเอียดเลย พี่ภวัตจะพาแนนนี่ไปเลี้ยงที่ไหนมั้ยคะ”
“ที่ห้องอาหารของโรงพยาบาลนี่ไง”
แนนนี่หุบยิ้ม หน้างอ “เซ็งเลย”
“พี่มีคนไข้อีก 4-5 ราย แนนนี่รอพี่เลิกงานได้มั้ยล่ะจ๊ะ พี่พาไปทานไอติม”
แนนนี่ดีใจกระโดดจนตัวลอย “ได้อยู่แล้ว เดี๋ยวแนนนี่โทรบอกคุณแม่ก่อนนะคะ”
แนนนี่ทำท่าจะใช้เวทมนต์
“สัญญากับพี่ว่าไง”
แนนนี่ยิ้มแหยๆ ภวัตยื่นมือถือให้ “โทรในห้องนี้ละ คลื่นจะได้ไม่รบกวนคนไข้แผนกอื่น”
“ขอบคุณค่ะ” แนนนี่กดเบอร์

ทางด้านดารกากำลังช่วยมาลีล้างจาน หลังทานอาหารเสร็จแล้ว พร้อมกับคุยไปด้วย มาลีมีความสุขมาก
“แม่กับพ่อแต่งงานกันนานมั้ยคะกว่าจะมีหนู” ดารกาถามขึ้น
สีหน้ามาลีจากที่มีความสุขมาก สลดลงด้วยความสะเทือนใจ
“ไม่ได้แต่ง พ่อของหนูข่มขืนแม่จนแม่ท้องหนู แม่เลยต้องเลยตามเลยอยู่กับเขามา”
ดารกานิ่งอึ้ง แค่กำเนิดก็ไม่ดีซะแล้ว มาลีมองดารกา กลัวลูกโกรธ
“หนูอย่าโกรธแม่นะ ชีวิตคนจนมันก็เป็นอย่างนี้ ยิ่งเป็นผู้หญิง ผู้ชายมันก็คิดกับเราแค่เรื่องนั้นละ”
ดารกาตาลุกวาว คล้ายโกรธแทนมาลี แต่ก้มหน้า ซ่อนแววตา ในขณะที่มาลีคิดว่าลูกโกรธ
มาลีพูดอย่างจริงใจตรงๆ แบบหญิงชาวบ้าน “แม่ขอโทษที่เอาหนูไปทิ้ง แม่ยอมรับว่าแม่เลว แม่จะเอาหนูออกตั้งแต่รู้ว่าท้องด้วย” มาลีร้องไห้ รู้สึกผิดบาป ละอายใจ “ลูกอย่าโกรธอย่าเกลียดแม่นะ”
มาลีกอดดารกา ดารกานิ่งให้กอด แต่ไม่ได้กอดตอบ แค่จับแขนมาลีเป็นเชิงปลอบใจ
วินาทีนั้นดารกาสะเทือนใจนักกับกำเนิดของตัวเอง แต่ไม่ร้องไห้
“เพราะแม่เกลียดขยะแขยงพ่อของหนู อยู่กับมันมาชีวิตไม่มีอะไรดีเลยหนูอย่าเกลียดแม่นะ”
ดารกาพูดเสียงแผ่วๆ “หนูไม่เกลียดแม่ค่ะ”
จริงๆ ในใจเวลานั้นดารกาเกลียดสดับนัก ที่ทำให้ตัวเองกลายเป็นอสูร และดารกาแน่ใจแล้วว่ามาลีไม่ได้เป็นอสูร
“แต่ลูกวาสนาดี ฟ้าดินถึงให้คุณนายปัทมนมาเจอแม่กำลังทำชั่ว เขาเลยรับหนูไปเลี้ยง ไม่งั้น...ถ้าลูกไม่ตายอยู่ข้างถนน ลูกก็คงโตขึ้นมาเป็นแบบแม่ แม่ขอโทษ...แม่เลวจริงๆ”
ดารกาค่อยๆ กอดมาลี อย่างสนิทใจขึ้น สักครู่มาลีถอยตัวออกมา พูดเสียงจริงจัง
“จากนี้ไปแม่จะไม่รบกวนหนูอีก ไม่ว่าเรื่องเงินทองหรืออะไร แม่ขอร้องหนูอย่างเดียว”
ดารกานิ่ง รอฟัง มาลีมองจ้องหน้าดารกา
“ขอให้หนูรักเคารพและกตัญญูคุณนายปัทมนให้มากๆ นะลูกนะ”
ดารกามองมาลีนิ่ง สีหน้าเรียบเฉย ดูไม่ออกว่าคิดอะไร มาลีมองดารกา ด้วยความรักล้นหัวใจ
ดารกานิ่งไปอีกสักครู่ จึงรับปากออกมา
“ค่ะแม่ นอกจากพ่อกับแม่ หนูก็ไม่มีใครอีกแล้วนอกจากคุณแม่ปัทมน บุญคุณท่านล้นชีวิตหนู หนูจะรักเคารพและกตัญญูท่านตลอดไปค่ะ”

ภวัตพาแนนนี่มาเลี้ยงไอติม และกำลังหยิบไอติมสีส้มขึ้นมาแท่งหนึ่งออกมาจากถังไอติม แนนนี่นั่งยองๆ รออยู่ ภวัตส่งไอติมให้แนนนี่ซึ่งออกอาการตื่นเต้นน่ารัก เพราะ ไม่เคยกินอะไรแบบนี้
และสำหรับแนนนี่แล้วอะไรก็ตามที่มีภวัตทำให้ ดีเลิศประเสริฐศรีทุกสิ่งอย่าง
“เอาอีกแท่งนึง สีเขียว”
ภวัตขำๆ “ควบสองเลยเหรอ”
“อยู่แล้ว”
ภวัตหยิบไอติมสีเขียวส่งให้แนนนี่ แล้วหยิบสีขาวให้ตัวเอง แนนนี่เลียไอติมแท่งซ้ายทีแท่งขวาทีไปเรื่อย
“พี่ภวัตก็ต้องควบสองเหมือนกันค่ะ”
“กลัวโดนว่าตะกละอยู่คนเดียว”
“ถูก” แนนนี่หันเลียกินต่อ
ภวัตหยิบอีกแท่งที่สีไม่เหมือนสามแท่งแรก แล้วจ่ายเงิน
“เอาไปเลยน้อง ไม่ต้องทอน”
“ขอบคุณครับ”
เด็กคนขายสะพายกระติกอติม มือสั่นกระดิ่ง ไปต่อ
“ไอติมแท่งหวานเย็นครับ...ไอติม...” เสียงร้องขายไอติมดัง ห่างออกไป
ภวัตกับแนนนี่เดินออกไปคนละทางกับเด็กขายไอติมคนนั้น
“ไม่โกรธใช่มั้ย จากไอติมในห้างมาเหลือไอติมข้างถนน”
“ไม่โกรธเลยสักตี๊สส...เดียวค่ะ”
ภวัตไม่กินไอติม มัวเพลินมองแนนนี่กินเพลิน แนนนี่หันมางับไอติมของภวัต
“ทานก็ไม่ทาน ละลายหมดแล้ว” งับไอติม “ง่ำๆๆๆ”
แนนนี่แก้มป่อง ไอติมเต็มปาก ทั้งของตัวเองทั้งของภวัต เย็นยะเยือกในปาก
“อูย เย็น ฟันหลุดหมดปากแล้วมั้งเนี่ย”
ภวัตหัวเราะก๊าก ขำแนนนี่ แนนนี่กินไอติมไปเรื่อย สลับแท่งไปมา ภวัตมองแนนนี่อย่างรักใคร่
ทั้งสองคนเดินกันไป แนนนี่อิงศีรษะกับไหล่ภวัต กินไอติมไปเรื่อยอย่างสุขล้น

ภวัตกับแนนนี่เดินมาด้วยกันจนถึงรั้วริมโรงพยาบาล แนนนี่ยังอิงไหล่คลอเคลียภวัตไม่ห่าง
ภวัตเสียงทุ้มนุ่นอินเลิฟนิดๆ “ทานที่ไหนก็ไม่สำคัญนะ...”
“ถ้าที่นั่นมีเราเพียงซ้องงงงงงง...คน” แนนนี่ต่อให้
แล้วแนนชะงักกึกเมื่อเห็นบุษบา สีหน้าแนนนี่หน่ายๆ “ไม่สองคนซะแล้ว... เหนื่อยอีกแล้วฉัน”
บุษบายืนกอดอกหน้าบึ้งเอาเรื่องจ้องอยู่ ก่อนจะเดินฉับๆ มาหาอย่างโกรธจัดที่เห็นแนนนี่อยู่กับภวัต
บุษบาหึงจนลืมตัว “ยัยแมวขโมย...”
“อ๊ะ อ๊ะ พูดดีเป็นศรีแก่ปาก พูดมากปากจะมีหนอนนะคะ...” มองยั่วยียวน ทำเสียงเล็กเสียงน้อย “นะคะ..นะคะ..นะคะ” แนนนี่ตีไม้เสียบไอติมเล่น เหมือนฟันดาบเข้าจังหวะขณะพูด
บุษบาอ้อนฟ้อง “ภวัต”
แนนนี่แอบพูดเลียนเบาๆ “ภวัต...แหวะ”
บุษบาพูดต่อ “ภวัตทนดูยัยเด็กก้าวร้าวนี่ทำกับบุษได้ยังไงคะ”
“ไปคุยกันข้างในดีกว่านะครับ”
บุษบากับแนนนี่เกาะแขนภวัตคนละข้างแบบไม่มีใครยอมใคร ภวัตปลดมือออกทั้งสองคน
“ต่างคนต่างเดินครับ ไม่งั้นผมไม่คุยด้วย”
ทั้งแนนนี่ทั้งบุษบาจ๋อยสนิท จำใจยอมเดินไป
แนนนี่แอบทำหน้าประหลาดๆใส่บุษบา
ภวัตหันมอง แต่แนนนี่ทำเรียบร้อย ไม่รู้ไม่ชี้
ภวัตระอา บุษบาแค้นหนัก แต่ทำอะไรแนนนี่ไม่ได้เพราะอยู่ต่อหน้าภวัต

ดารกานั่งนิ่งที่เตียง นึกถึงที่มาลีเล่าให้ฟัง เสียงดารกาถามขึ้นมา
“พ่อพูดแปลกๆเรื่องการเกิดของหนู...พ่อเคยพูดกับแม่บ้างมั้ยคะ”
มาลีนิ่ง นึกถึงวันที่โดนสดับข่มขืน รู้สึกสยองเย็นวาบขึ้นมาทันที
“เคย” มาลีนิ่งไปสักครู่
ดารกาตื่นเต้น ตาวาววับอยากรู้ แต่สำรวมกิริยา
“แม่เล่าให้หนูฟังได้มั้ยคะ”
มาลีนิ่งอีก เหมือนลังเลนิดๆ แต่ในที่สุดตัดสินใจ เล่า
“สดับมันมาจากไหนไม่มีใครรู้...”

ภาพเหตุการณ์ ประกอบคำเล่าของมาลีค่อยๆ ผุดขึ้นมาทีละฉาก ทีละตอน

สดับในวัยหนุ่มเดินนิ่งๆ ทื่อๆ เฉียดมาลีในวัยสาว แบบจงใจเฉียดผู้หญิงทุกคนเพื่อดูว่าคนไหนเหมาะจะเป็นแม่ของทายาทอสูรได้
เสียงมาลีเล่าต่อ “ ..จู่ๆมันก็โผล่มา ไม่ยอมพูดจากับใคร”
ภาพสดับเฉียดมาลี แล้วมีแสงสีแดงเข้มเรืองวาบขึ้นตรงจุดที่เฉียดกัน เป็นสัญญาณว่าผู้หญิงคนนี้ใช่ สดับเดินผ่านไปแล้วหยุดกึก ส่วนมาลีหันไปต่อว่า
“เฮ้ย เดินไม่ดูตาม้าตาเรือ”
สดับหันมามองมาลีแบบเห็นธาตุอะไรบางอย่างในตัวมาลี ตาแข็งกร้าวเรืองแสงสีแดง มาลีเห็นแล้วรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้น่ากลัว
มาลีกลัวมาก รีบเดินแกมวิ่งหนีไป แล้วไปซ่อนตัวแอบดู อยากรู้อยากเห็น
มาลีเห็นสดับเดินไปนอนลงที่ม้ายาวพังๆ ของชาวบ้านที่ต่อเอง สดับหลับตาลงทันที
มาลีเล่าต่อ “...มันมานอนอยู่แถวบ้านที่แม่อยู่อยู่สามวันสามคืนไม่เคยตื่นเลย”
ภาพสดับนอนหลับสนิทนิ่ง จนเวลาผ่านไป 3 วัน สดับลืมตาขึ้นทันใด แต่ยังไม่ลุกขึ้น มาลีแอบดูอยู่อีกที่หนึ่งตกใจวิ่งหนีกลับบ้านไป

เสียงของมาลีเรื่องราวต่อ “แล้วพอมันตื่นมันก็ฉุดแม่ไป”

ภาพเหตุการณ์ผุดขึ้นมาในหัวมัวลี
มาลีอุทาน “ฮะ” ขณะกำลังเก็บผ้าชิ้นสุดท้ายที่ตากไว้ หันมา ตกใจสุดๆ ตะกร้าในมือหล่น เมื่อเห็นสดับเดินทื่อเข้ากระชากมาลีจนตัวปลิวราวกับมาลีเป็นเศษผ้า มาลีกรีดร้องให้คนช่วย
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย”
ครู่ต่อมามาลีถูกมัด นั่งอยู่ในที่คุมขัง
เสียงมาลีเล่าบรรยายดังขึ้นอีก
“มันไม่ได้ข่มขืนแม่ทันที มันบอกว่ารอเวลาให้ดาวชื่ออะไรแม่ฟังไม่รู้ เรื่อง หมุนผ่านกลางพระอาทิตย์ก่อน”
ภาพดวงอาทิตย์ที่ดูน่ากลัว ดวงโต มีจุดดำเล็กๆ ลอยผ่านในแนวระนาบ จนถึงกึ่งกลางดวงอาทิตย์ จู่ๆ มีแสงวาบขาวจ้าพุ่งออกมาโดยรอบ

มาลีโดนกระชากเสื้อผ้าขาด (ไม่ต้องโชว์โป๊) ลากตัวไปข่มขืน มาลีดิ้น ร้องห้าม-อ้อนวอน-ร้องขอความช่วยเหลือ และเราไม่แสดงภาพการข่มขืน ให้เห็นเพียงสดับเหวี่ยงมาลีหลุดเฟรม สดับหันหน้าหากล้องแล้วโน้มตัวลงหลุดเฟรมล่าง หน้าตายังคงไม่มีชีวิต (แบบข่มขืนตามหน้าที่) แล้วแฝดดำ
“อย่า...อย่า...อย่าทำอะไรฉันเลยนะ...” มาลีตะโกนกรีดร้องขอความช่วยเหลือ “ช่วยด้วย ช่วยด้วย”

ขณะเล่ามาถึงตอนนี้ มาลีดวงตามองเหม่อ ไร้อารมณ์ความรู้สึก หมดแรงใจเมื่อนึกถึงเรื่องเก่า มาลีมองไปทางดารกา สีหน้าดารกานิ่งขรึม ดวงตาบ่งบอกความสะเทือนใจในกำเนิดของตน
“มันบอกว่า...ทุกอย่าง “ท่าน” ลิขิตไว้แล้ว” มาลีนึกถึงคำพูดที่สดับพูดบอกซ้ำๆ
พอได้ฟังดารกาตาวาววับขึ้นมาเหมือนคิดอะไรได้พูดเบาๆกับตัวเอง “อสุรพรหม”
มาลีได้ยินแว่วๆ “อะไรนะ”
“เปล่าค่ะ” ดารกาปฏิเสธ
มาลีมองหน้าดารกาอย่างรักใคร่
“ชื่อดารกามันเป็นคนตั้งให้ลูกตั้งแต่วันที่มันได้แม่”
ดารกานิ่งฟัง
“แม่ก็หวังว่ามันคงจะรักลูกบ้าง แต่พออยู่ด้วยกันมันก็ลายออก ทำความเลวทุกสิ่งอย่าง ตบตีแม่ทุกวัน แม่จะหนีมัน แต่แปลก...” นิ่งคิดทบทวน “...พอคิดจะหนีทีไร แม่ก็ลืมไปทุกที”
ดารกาหน้านิ่ง แต่เข้าใจแล้วว่า ตัวเองไม่มีทางหลีกพ้นการเป็นอสูร

ดารกายังนั่งอยู่ที่เดิม หน้าตาเจ็บปวด
ดารกาเยาะหยันตัวเอง “กำเนิดชีวิตของฉันอัปมงคลสมจะเกิดมาเป็นอสูรจริงๆ”
ยิ่งพูด ยิ่งรู้สึกเจ็บปวด ดารกาคับแค้นใจในชะตากรรมยิ่งนัก แล้วผุดลุกพรวด
“แต่ฉันจะไม่อยู่เฉย จะไม่ยอมแพ้อสุรพรหมนั่น ฉันจะลบล้างความเป็นอสูรให้ได้ ไม่งั้นฉันจะสูญเสียพี่ภวัต สูญเสียความสุขทั้งหมดในชีวิต” น้ำเสียงหมายมั่น “มันต้องมีทางที่ฉันจะลบล้างความเป็นอสูรได้”

ห้องทำงานของภวัต กลายเป็นสมรภูมิรักอีกจนได้ เวลานี้แนนนี่กำลังเชิดใส่ บุษบา
“แนนนี่ไม่พูดค่ะ”
บุษบาจ้องหน้าแนนนี่อย่างเอาเรื่อง ภวัตอยู่ห่างออกไป หน้าตาบอกว่าสุดเบื่อเรื่องหึงหวงกัน
แนนนี่พูดต่อ “ งี่เง่าและน่าเบื่อที่สุด ป้าบุษบาไม่มีสิทธิละเมิดสิทธิส่วนตัวของแนนนี่ด้วยค่ะ”
บุษบาโกรธจี๊ด ปรี๊ดขึ้นมา “หยาบคาย อย่ามาเรียกฉันว่าป้านะ”
“ป้า...” แนนนี่เน้นๆ
ภวัตออกโรงปราม “แนนนี่...พูดดีๆ”
“ก็แนนนี่จะไม่พูดไงคะ คุณบุษบาเป็นคนสมองช้าปัญญาแคระ พูดไปเสียเวลาแนนนี่จู๋จี๋กับพี่ภวัตเปล่าๆ”
แนนนี่จงใจยั่วประสาทบุษบา ขยับตัวยื่นหน้าจะจูบแก้มภวัตยั่ว แต่ภวัตไม่ยอมให้ทำ มองห้ามด้วยสายตาดุเข้ม
“แนนนี่” ภวัตเสียงเข้มดุ
“อ๊าย นังแนนนี่” ได้ผล บุษบาถลาจะมาตบแนนนี่
แนนนี่รู้ทันหายตัววับไป บุษบาเจอแต่อากาศหน้าคะมำลงไปจูบพื้น ภวัตรับไม่ทัน เสียงแนนนี่หัวเราะชอบใจแว่วๆแล้วค่อยๆ จางหายไป
ภวัตประคองบุษบาขึ้นอย่างเห็นใจ บุษทั้งเจ็บทั้งอาย น้ำตาเอ่อ
“มันเป็นผีร้ายในร่างคน บุษเป็นมนุษย์ ไม่มีทางสู้มันเลย ภวัตยังเข้าข้างมันอีก”
“ผมไม่ได้เข้าข้าง แต่แนนนี่ยังเด็ก เราเป็นผู้ใหญ่กว่า ควรเมตตาเขานะ”
“แกล้งทำเป็นเด็กอ้อนภวัตน่ะสิ ใกล้ชิดไปใกล้ชิดมา ภวัตจะเผลอ...”
ภวัตรีบตัดบท “ผมไปส่งบ้านครับ”
“ต้องพาบุษไปทานข้าวด้วยบุษถึงจะหายโกรธ”
ภวัตไม่ตอบ แต่ดูออกว่ายอมไปด้วย ถือกระเป๋าให้ บุษบาท่าทียอมอ่อนลง หน้าตาสดชื่นทันใด

ทางด้านพรกำลังทำงานจุกจิก แนนนี่ย่องเข้ามาข้างหลัง แกล้งร้องขึ้น “ตุ๊กแก!”
พรตกใจสุดๆ “ว้าย พ่อแก้วแม่แก้วช่วย....” พรมองค้างตาเหลือกเมื่อเห็นเป็นแนนนี่
แนนนี่ล้อเล่นต่อ “ว้าย พ่อก้วแม่แก้วช่วยไม่ทันแล้ว ฮิฮิ”
“ฮือๆ คุณแนนนี่ พรกลัวแล้วค่ะ อย่าทำอะไรพรเลย”
“พี่พรอะ แค่เรื่องรีโมท พี่พรจะเหมาว่าแนนนี่เป็นผีเลยเหรอ” แนนนี่แสร้งทำเป็นงอน “พี่พรใจร้ายที่สุด”
พรชักลังเล “ก็...ก็พี่พรไปหาเจอในห้องคุณธานีอะค่ะ แล้วอันที่คุณ แนนนี่ถือ...ฮือๆ...มาจากไหน” พรทำท่าจะร้องไห้
“ก็มาจากห้องแนนนี่ไง้ ทีวียี่ห้อเดียวกันรีโมทเหมือนกันอยู่แล้ว”
“เหรอคะ” พรยังไม่ค่อยแน่ใจว่าเป็นรีโมทจากห้องแนนนี่จริง
แนนนี่ลากแขนพรไปที่โซฟาหน้าทีวี
“มาดูสิคะ แนนนี่ยังทิ้งไว้ที่โซฟา”
แนนนี่ใช้มือล้วงตามซอกโซฟา สักครู่หนึ่งก็เอามือขึ้นมา มีรีโมทติดมาด้วย แนนนี่เทียบกับรีโมทอีกอัน
“เห็นปะ เหมือนกันเรย”
พรค่อยมีท่าทีคลายใจ
“แนนนี่ไม่ใช่ผีนะ อย่ากล่าวหากันอีก น้อยใจ”
พรยิ้มอย่างรู้สึกผิด พยายามเอาใจคืน “ค่า...ไม่กล่าวหาแล้วค่า...”
แนนนี่เดินถือรีโมทขึ้นข้างบนไป
“สำเร็จ” พลันรีโมทหายไปจากมือแนน

หลายวันต่อมาปัทมนเดินโอบแนนนี่และดารกาออกมาจากตัวบ้าน ธานีหิ้วกระเป๋าเดินทางใบเล็กแบบไปค้างคืนสัก 1 สัปดาห์ มาใส่รถ
ดารกากอดเอวแม่หน้านิ่งๆ ส่วนแนนนี่หน้าบู้บี้ แบบติดแม่ ไม่อยากให้แม่ไปไหนนาน
ปัทมนพูดขึ้นอย่างเอ็นดูแนนนี่ “ไม่ต้องทำหน้าอย่างนี้ เดี๋ยวหน้าย่นหมด แม่ไปฝึกวิปัสสนาขั้นสูง 7 วันเองจ้ะ”
“ตั้ง 7 วัน ไม่ใช่ 7 วันเอง” แนนนี่ว่า
“ยัยเด็กขี้อ้อนเอ๊ย” ธานีสัพยอก
“น่า... ถือว่าแม่ขอลางานหน้าที่คุณแม่ไปพักร้อนนะจ๊ะ”
พอถึงรถ ธานีเอากระเป๋าเก็บที่ท้ายรถ ปัทมนหันมาจูบลาแนนนี่แล้วจูบลาดารกา
“แม่ไปนะจ๊ะ แนนี่อย่ารังแกพี่ดานะลูก”
“จะรังแกทุกวันเลย แก้เหงาที่คุณแม่ไม่อยู่”
ดารกาแอบทำหน้าโกรธ แต่ไม่มีใครเห็น พลางคิดอยู่ในใจ “นึกว่าฉันจะยอมเหรอ”
ปัทมนขำในท่าทางแนนนี่ “น้องดาจ๋า คราวนี้แม่อนุญาตให้ตีแนนนี่ได้ครั้งละ 1 ทีนะจ๊ะ ถ้าแนนนี่รังแกน้องดา”
“น้องดาไม่ทำหรอกค่ะคุณแม่ น้องดารักน้อง”
แนนนี่แหวะใส่
“สะ-ตรอ-เบอ-รี่ ไปมั้งคะพี่ดา”
ปัทมนตีเผียะเข้าที่แขนแนนนี่ “นี่แน่ะ แม่ตีก่อนเลย พูดแต่ละคำแรงเหลือเกิน ห้ามว่าพี่เขาอย่างนี้อีกนะจ๊ะ”
“จะว่า” แนนนี่เถียงล้อเล่น
“ดู๊...”
ปัทมนเงื้อมือ แนนนี่กระโดดหนี หัวเราะชอบอกชอบใจ ดารกามองภาพนั้นอย่างริษยาและชิงชัง

ทุกคน ธานีออกรถ ปัทมนนั่งคู่ หน้าตายิ้มแย้ม โบกมือให้แนนนี่และดารกา ที่โบกส่งอยู่หน้าตึก ภายในรถใบหน้าปัทมนที่มองลูกสาว จากที่ยิ้มแย้ม จะค่อยๆ นิ่งลง
ปัทมนพูดอยู่ในใจ “แม่ต้องดึงลูกทั้งสองคนให้พ้นเงื้อมมืออสูรให้ได้จ้ะลูก”
ภาพของแนนนี่และดารกาห่างออกไปๆ ปัทมนค่อยๆ เอามือลง

รถธานีเลี้ยวออกไปจนลับตาดารกาจะกลับเข้าตึก แนนนี่กระแทกดารกาจนกระเด็น เพื่อแย่งเข้าก่อน ดารกาหันขวับ หน้าตาเอาเรื่อง ผลักแนนนี่กลับอย่างไม่หวั่นเกรง แม้จะยังไม่ได้ใช้พลังอสูรเต็มที่ แต่แนนนี่ก็กระเด็น เซไป
แนนนี่พูดเย้ยออกมา “ในที่สุดก็เผยตัวจนได้ละสิ ยัยนางร้าย เสียดาย คุณแม่ไม่เห็น”
ดารกาหน้าตาเอาเรื่องมองจ้องแนนนี่ไม่กระพริบตา แล้วเข้าตึกไปโดยไม่พูดอะไร
แนนนี่มองตาม หน้าตานิ่งลง ไม่เหลืออารมณ์เด็กเอาแต่ใจ พึมพำกับตัวเอง

“ยัยพี่ดา...ฉันจะกัดไม่ปล่อย ฉันต้องรู้ให้ได้ว่าแกเป็นมนุษย์หรือเป็นตัวอะไร สายพันธุ์อะไร”

เวลาเดียวกันสองแม่มดหน้าตาไม่สเบย ดูออกว่าไม่ค่อยสบายใจนัก
“เหลืออีกปีเดียวนะบาบาร่า ที่อสูรน้อยจะอายุครบ 22 ปี แล้วมีฤทธิ์สูงสุด พวกเราแม่มดจะต้านทานไม่ไหว เมืองเวทมนต์จะล่มสลายตามคำทำนาย” ทาฮิร่าปรารภ
“แต่คำทำนายก็บอกนี่ว่าหากฆ่าอสูรน้อยได้ จะทำทำให้อสูรสิ้นสูญเผ่าพันธุ์เหมือนกัน” บาบาร่าบอก
“แต่พวกเราก็ยังหาตำราวิธีฆ่าอสูรน้อยไม่เจอ” ทาฮิร่าเศร้า
สองแม่มดกลุ้มหนัก

ที่เมืองเวทย์เวลาเดียวกันนั้น ท่านผู้นำแม่มด แห่งเมืองเวทมนตร์ อยู่ที่บ้าน สายตาจดจ้องอยู่ที่ปฏิทินเมืองแม่มดเขม็ง
ตรงกลางปฏิทิน เป็นใบหน้าท่านผู้นำ ซึ่งเปลี่ยนไปตามยุคสมัย ใครเป็นผู้นำเมืองแม่มดก็จะมีใบหน้าคนนั้นในปฏิทิน ใบหน้าดังกล่าวเคลื่อนไหวได้ ยิ้ม หัว สุข เศร้า ราวกับคนมีชีวิต

ผู้นำยืนหันหลัง ใช้นิ้วแตะที่จมูกตัวเองในภาพที่ศูนย์กลางของปฏิทิน
ศีรษะท่านผู้นำแม่มดในปฏิทิน ขานเวลา
“นี่คือเสียงจากวงจรแห่งกาลเวลา ขณะนี้เป็นวาระถอยหลังสู่วรรษะ (อ่านว่า วัด-สะ) ที่ยี่สิบสอง เหลืออีกเพียงหนึ่งรอบวรรษะ ทายาท อสูรจะทรงพลังสูงสุด...เหลืออีกเพียงหนึ่งรอบวรรษะ ทายาทอสูรจะทรงพลังสูงสุด”
ท่านผู้นำกดจมูกตรงใบหน้าในศูนย์กลางปฏิทิน เสียงหยุดหายไป สักครู่หนึ่งผู้นำแม่มดหันมาสีหน้าร้อนรนใจ
“เวลากระชั้นชิดมากเข้าทุกที”
ผู้นำแม่มดส่งสัญญาณเสียงเรียกประชุม

ที่เมืองเวทมนตร์ เวลานั้น มีเสียงสัญญาณเรียกประชุมดังกึกก้องไปทั่วทั้งเมือง เสียงนั้นลอยลิ่วขึ้นสู่ท้องฟ้า
เสียงพ่อมดแม่มดตะโกนร้องเสียงเซ็งแซ่
“ท่านผู้นำเรียกประชุม ท่านผู้นำเรียกประชุม”

ทาฮิร่ากับบาบาบาร่า ได้รับเสียงสัญญาณเรียกประชุมด่วนจากนครเวทมนตร์
“ท่านผู้นำเรียกประชุม” ทาฮิร่าเอ่ยขึ้น
ทาฮิร่ากับบาบาร่าดีดมือเรียกไม้กวาด ทั้งคู่อยู่ในชุดแม่มด ขึ้นคร่อมไม้กวาด

อิงอรกำลังใช้สายยางรดน้ำต้นไม้ จู่ๆ เหมือนมีอะไรวืดผ่านหน้าไป อิงเงยมองตาม และมองสูงขึ้นๆ อ้าปากค้าง
“อีกแล้ว แลนดิ้ง-เท้กอ๊อฟ เท้กอ๊อฟ-แลนดิ้ง”
หัวฉีดสายยางรดต้นไม้ ตกใส่เท้าอิงอรอย่างแรง อิงอรเจ็บสุดๆ เขย่งเก็งกอยกุมเท้ากระโดดไปมา
“อู๊ย... หล่นจริง เจ็บจริง”

ที่นครเวทมนตร์ บรรดาพ่อมดแม่มด รวมทั้งบาบาร่า และทาฮิร่า ต่างยืนรวมตัวกันอยู่ในห้องประชุมสภาโดยพร้อมเพียง รอประธาน ท่านผู้นำแม่มด ทุกคนมีสีหน้าเคร่งเครียด ตืนตระหนก








Create Date : 29 กุมภาพันธ์ 2555
Last Update : 29 กุมภาพันธ์ 2555 2:35:34 น.
Counter : 401 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

มิกัง
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]