กระบือบาล ตอนที่ 12



ค่ำคืนนั้น ขณะที่อรอนงค์กำลังเช็ดผมอยู่ที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง สรนุชก็เปิดประตูเข้ามาในห้อง

“อ้าว...ไปไหนมา”
“ฉันคิดแผนการตลาดไม่ออกก็เลยออกไปเดินเล่นน่ะ”
สรนุชทิ้งตัวลงบนที่นอนด้วยความเหนื่อยใจ
“แกมีความคิดอะไรดีๆบ้างมั้ยอร”
อรอนงค์ คิด แล้วลุกขึ้นไปนั่งข้างสรนุชที่เตียง “แก...ก็กลับกรุงเทพฯไง”
สรนุชเหล่มองตาขวาง “หมายความว่าไง”
“อ้าว...ก็ฉันไม่เข้าใจนี่ว่าแกจะมาลำบากลำบนที่นี่ทำไม”
“อร...ฉันพาแกมาให้มาช่วยกันคิดช่วยกันสู้...ไม่ใช่ให้ทำให้ฉันท้อแท้...เข้าใจมั้ย”
“ฉันไม่ได้ทำให้แกท้อแท้...ฉันแค่เตือนสติ...ฉันว่าแกก็รู้ว่า...ถ้าแกเดินทางนี้ต่อไป...คนที่เจ็บก็คือแก...แล้วแกจะเดินต่อไปทำไม”
สรนุชนิ่งไป อรอนงค์แอบลุ้นว่าสรนุชจะโอนอ่อนไปกับเธอ
“เพราะฉันไม่มีทางอื่นให้เดินแล้วไงอร”
อรอนงค์มองสรนุชด้วยความเห็นใจ

เช้าวันใหม่ สรนุชเปิดประตูเดินเข้ามาในบริษัท อรอนงค์เดินตามมาติดๆ
“อร...ช่วยตามเรื่องกับชิดชัยด้วย”
“เรื่องอะไร”
“ฉันกระชากยอดขาย...ฉันอยากรู้ว่าทุกคนมีไอเดียอะไรบ้าง”
ขณะที่อรอนงค์กำลังจะอ้าปากพูด อยู่ๆ อรอนงค์ก็โดนลูกบอลพลาสติกเข้าเต็มหน้า เสียงดังตุ้บ !
อรอนงค์ล้มคว่ำไป สรนุชตกใจ
“ยัยอร” สรนุชมองไปที่ลูกบอล “ใครให้เตะบอลในนี้”
สรนุชหันไปจะต่อว่าพนักงาน แต่แล้วก็ต้องอึ้งไปเมื่อภาพที่เห็นตรงหน้าคือเด็กเป็นสิบคนกำลังเล่นเจี๊ยวจ๊าวอยู่ในโถงทางเดิน ลูกโป่ง ลูกบอลปลิวว่อนไปมา พนักงานต่างกำลังช่วยกันวิ่งจับเด็กกันเป็นที่วุ่นวาย
“เกิดอะไรขึ้น..! ชิดชัย...ชิดชัย”
ชิดชัยโผล่พรวดจากกลุ่มเด็กที่กำลังโดนสกรัมอยู่
“อยู่นี่ครับ”
ชิดชัยรีบสลัดเด็กออกก่อนจะวิ่งเข้ามาหาสรนุชที่ช่วยประคองอรอนงค์ยืนขึ้น
“เป็นไรมั้ยอร”
“มึนดิ...ถามได้”
“มีอะไรครับคุณนุช”
“ฉันอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น...เด็กพวกนี้มาจากไหน”
ระหว่างที่สรนุช อรอนงค์ กับชิดชัยยืนคุยกัน ทั้งสามยังต้องคอยหลบลูกบอลไปมาเหมือนนักมวยเต้นฟุตเวิร์คอีกด้วย
“ก็โครงการที่คุณนุชให้ผมไปคิดไงครับ...ผมขอเรียกโครงการนี้ว่า...โครงการคาบาตี้รักเด็ก !!!
“แต่ฉันเกลียดเด็ก...” สรนุชบอก
“ใจเย็นนะครับคุณนุช...ฟังเหตุผลผมก่อน...คือไอ้เด็กพวกนี้เนี่ยส่วนใหญ่ก็เป็นลูกชาวไร่ชาวนาในหนองระบือนี่แหละครับ...วันๆไม่ได้ทำอะไรนอกจากเลี้ยงควาย...หรือเรียกง่ายๆว่าเด็กเลี้ยงควายนั่นเอง”
อรอนงค์ตกใจ มีท่าทีหวาดกลัว “ไม่นะ”
“มีอะไรเหรออร” สรนุชงง
“ก็คุณชิดชัยกำลังจะบอกว่า...ถ้าเราเอาเด็กเลี้ยงควายพวกนี้มา...ควายก็จะไม่มีอะไรกิน...แล้วมันก็จะอดตายใช่มั้ย”
ชิดชัยทำหน้าเซ็ง
“ใช่ที่ไหนครับ...คุณนุชเคยได้ยินมั้ยว่าไม้อ่อนดัดง่ายไม้แก่ดัดยาก” สรนุชพยักหน้า ชิดชัยฝอยต่อ “ถ้าเราเอาเด็กพวกนี้มาอยู่กับเรา...เราก็สามารถล้างสมองพวกนี้ให้โตขึ้นเป็นคนที่รักรถไถแทนควายไงครับ”
“นี่...ฉันว่านายท่าทางจะเลอะเทอะไปกันใหญ่แล้ว”
“ช้าก่อนครับ...นั่นคือเป้าหมายระยะยาว...ส่วนเป้าหมายระยะสั้นของผมคือ...”
ชิดชัยยิ้มเจ้าเล่ห์ สรนุชกับอรอนงค์มองจ้องหน้าชิดชัยด้วยความอยากรู้

ส่วนใจเด็ดแปลกใจหลังจากได้ยินเรื่องที่คนงานบอก “คาบาตี้ช่วยสังคมเหรอ”
“ครับหัวหน้า”
“แล้วพวกนั้นบอกหรือเปล่าว่าจะเอาไข่ย้อยไปทำอะไร”
“ก็บอกว่าจะเอาไปเลี้ยงให้นะครับ...แล้วตอนเย็นก็จะเอามาส่งที่บ้านให้” คนงานบอก
ใจเด็ดนิ่งไปพลางใช้ความคิด “มาไม้นี่เหรอ”

ตอนกลางวันของวันนั้น สรนุชนั่งอยู่ในร้านไอติมกับอรอนงค์ ด้านหลังเห็นชิดชัยกับลูกน้องกำลังช่วยกันเลี้ยงช่วยกันจับเด็กๆ
“ถ้าฉันไม่ติดเรื่องที่ทำให้ภาพลักษณ์ของเราดูดี...ฉันส่งกลับบ้านไปหมดแล้ว”
“ก็ดีเหมือนกัน...อย่างน้อยจะได้ทำให้ชาวบ้านเห็นเราดีขึ้นจากเมื่อวาน”
สรนุชเหล่มองอรอนงค์
“เปล่า...ฉันไม่ได้ว่าอะไร...ก็ฉันว่าเมื่อวานเราน่าจะเสียคะแนนไปเยอะไง”
“รู้แล้ว...เดี๋ยวจัดการเรื่องค่าไอติมด้วย”
“อ้าว...แล้วแกจะไปไหน”
“รอข้างนอก...อยู่ในนี้ฉันจะบ้าตายอยู่แล้ว”
สรนุชพูดจบก็เดินออกไป อรอนงค์หยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมาดู บ่นเบาๆ
“แต่ถ้าสร้างภาพอย่างนี้ทุกวันก็ไม่ไหวนะ”

สรนุชเดินออกมาอยู่หน้าร้าน ท่าทางปวดหัวอย่างแรง
“ให้ฉันอยู่กับควายยังดีซะกว่า” สรนุชชะงักไป
“พูดอะไรออกไปเนี่ย...เอาใหม่...ให้ฉันอยู่กับรถไถยังจะดีซะกว่า”
จังหวะนั้นเสียงใจเด็ดดังขึ้น
“นี่คุณจะทำทุกอย่างเพื่อชนะผมให้ได้เลยใช่มั้ย”
สรนุชหันขวับมาแล้วก็เจอใจเด็ดทำหน้ายียวนอยู่
“อะไร”
“คราวนี้เลี้ยงเด็ก...ต่อไปจะเลี้ยงอะไร”
“คงไม่เลี้ยงควายอย่างนายแน่”
“หึ...ก็ดี”
ระหว่างนั้นอรอนงค์กับชิดชัยวิ่งหน้าตาตื่นออกมาจากร้าน
“นุช...นุช...อ้าว...คุณใจเด็ด...หวัดดีค่ะ”
“มีอะไร...ตังค์ไม่พอเหรอ” สรนุชแปลกใจ
“เด็กหายไปคนนึง” อรอนงค์บอก
“อะไรนะ...อร...แกอย่ามาล้อเล่นกับฉันนะ”
“ไม่ได้ล้อเล่นครับคุณนุช...หายจริงๆ ครับ”
“แล้วหายไปได้ยังไง”
“ถ้าผมรู้จะเรียกว่าหายเหรอครับ”
สรนุชชะงักมองหน้าชิดชัย ชิดชัยรีบพูดต่อ...แก้ต่าง
“เอ่อ...ก็ไม่รู้เหมือนกันครับ...เมื่อกี้พอทานไอติมเสร็จก็เช็คชื่อจะพากลับบ้าน...แล้วผมก็เพิ่งรู้ตอนนั้นแหละครับ”
“แล้วเด็กที่หายไปชื่ออะไร”
ชิดชัยเหล่มองใจเด็ดไม่พอใจ แต่หันไปตอบกับสรนุช “เห็นว่าชื่อไข่ย้อยน่ะครับ”
“อะไรนะ...ไข่ย้อยเหรอ”
“ทำไมคะ...คุณใจเด็ดรู้จักเหรอคะ” อรอนงค์ถาม
“ครับ...ไข่ย้อยเป็นลูกของคนงานที่สถานี...ผมว่าเราแยกย้ายกันตามหาดีกว่า...ตลาดไม่ได้ใหญ่...คงไม่ได้ไปไหนไกล”
“แกเป็นใคร...ฉันถามคุณนุช..” ชิดชัยว่าใจเด็ดเสือก แล้วหันไปถามสรนุช “เอาไงดีครับ”
“ก็บอกทุกคนช่วยกันตามหาซิ...ไป๊”
ชิดชัยหน้าเจื่อนไปก่อนจะรีบวิ่งออกไป สรนุชมีสีหน้าเครียดด้วยความกังวลขึ้นมาทันที

สรนุชวิ่งถามแม่ค้าในตลาด
“โทษนะคะ...เห็นเด็ก...ที่ชื่อไข่ย้อยมั้ยคะ”
แม่ค้าส่ายหน้า
“ขอบคุณค่ะ”
ส่วนใจเด็ดเดินวนหารอบๆ ตลาด

อีกมุมหนึ่งอรอนงค์มาถามพ่อค้าอีกคน
“ลุง...ลุงเห็นเด็กวิ่งผ่านมาแถวนี้มั้ย”
“เห็น” พ่อค้าบอก
“เห็นเหรอคะ...แล้วเห็นมั้ยคะว่าวิ่งไปทางไหน”
“มันก็วิ่งไปวิ่งมาแถวนี้แหละ...โน่นไง”
อรอนงค์หันไปทางที่พ่อค้าชี้ ก็เห็นเด็กๆ วิ่งไล่จับกันสนุกในตลาด
“เอ่อ...ไม่ใช่น่ะค่ะ”
“ไม่รู้แล้ว...ไปๆ...อย่ามายืนเกะกะหน้าร้าน”
อรอนงค์หน้าจ๋อยเดินออกมา
สรนุชกับอรอนงค์เดินแยกย้ายไปทั่วตลาด ถามพ่อค้าแม่ขายแทบทุกซอกมุกมุมของตลาด เพื่อตามหาเด็กชายไข่ย้อย

เมื่อหาจนทั่วก็ไม่เจอสรนุชจึงมายืนรออยู่ที่หน้าร้านไอติม จนได้เสียงของอรอนงค์เรียกดังขึ้น
“นุช”
สรนุชหันไปด้วยความหวัง แต่แล้วความหวังของสรนุชก็ดับวูบเมื่อเห็นอรอนงค์กลับมาคนเดียว
“ได้เบาะแสอะไรบ้างมั้ย”
“ไม่เลย”
“โอ๊ย...จะทำยังไงดีเนี่ย...แล้วฉันจะไปบอกพ่อแม่เขายังไง”
ระหว่างนั้นแม่ไข่ย้อยเดินเข้ามา “คุณๆ...ฉันมารับไอ้ไข่ย้อยค่ะ”
สรนุชได้ยินอย่างนั้นก็ชะงักไป “เอ่อ...คุณเป็นแม่ไข่ย้อยเหรอคะ”
แม่ไข่ย้อยพยักหน้ารับ “ค่ะ”
“เอ่อ...” สรนุชพูดไม่ออก
อรอนงค์เห็นอย่างนั้นก็ตัดสินใจบอกความจริง
“คือ...ใจเย็นๆ นะคะ”
“ทำไม...มีอะไร...ไอ้ไข่ย้อยมันเป็นอะไร”
แม่ไข่ย้อยเริ่มโวยวายเสียงดัง จนทำให้ชาวบ้านที่อยู่บริเวณรอบๆ เริ่มหันมามอง
“เอ่อ...ไข่ย้อยหายไปค่ะ”
“อะไรนะ”
สรนุชรีบพูดเสริม “ไม่ต้องห่วงนะคะ...ตอนนี้เรากำลังตามหากันอยู่...แล้วเราก็พร้อมรับผิดชอบทุกอย่าง”
“รับผิดชอบ ฉันไม่ต้องการความผิดชอบ...ฉันต้องลูกฉันคืน...เอาไอ้ไข่ย้อยฉันมาเดี๋ยวนี้”
แม่ไข่ย้อยเข้ามาจะเอาเรื่องสรนุช จนอรอนงค์ต้องรีบเข้ามาขวางเอาไว้
สรนุชเครียดหนัก คิดไม่ออกว่าจะทำไงดี
ส่วนทางใจเด็ดเข้ามาถามกับพ่อค้าขายข้าวเหนียวหมูปิ้ง
“ลุงๆ”
“อ้าว...ว่าไงหัวหน้า” ลุงยิ้มทักทายอย่างคุ้นเคย
“เห็นไอ้ไข่ย้อยมาแถวนี้มั่งมั้ย”
“ไอ้ไข่ย้อยเหรอ...มาซื้อข้าวเหนียวไปได้ซักพักแล้ว”
ใจเด็ดดีใจ “แล้วลุงเห็นมั้ยว่าไปทางไหน”
“โน่น...เดินไปทางศาลเจ้าโน่นแน่”
“ขอบคุณมากนะลุง” ใจเด็ดรีบวิ่งออกไปทันที
ใจเด็ดวิ่งมาตามทาง ระหว่างนั้นใจเด็ดเหมือนเห็นอะไรบางอย่างจึงหยุดทันที ใจเด็ดหันมองไปที่ตรอกเล็กๆ ก็เห็นขาของเด็กคนหนึ่งยื่นออกมา
ใจเด็ดเดินเข้าไปที่ตรอกแล้วก็ต้องตกใจ “ไข่ย้อย”

ด้านแม่ของไข่ย้อยยังเอาเรื่องกับสรนุชและอรอนงค์
“อ๋อ...รู้แล้ว...แกเห็นว่าฉันทำงานกับหัวหน้าใจเด็ด...ก็เลยเอาลูกฉันไป...แก้แค้นหัวหน้าใช่มั้ย”
“ไม่ใช่นะคะ”
“ไม่ใช่แล้วอะไร...ไอ้พวกคาบาตี้ก็อย่างนี้แหละ...ไม่มีความรับผิดชอบ” ชาวบ้านเริ่มมาแจม
ว่าแล้วชาวบ้านคนนั้นก็หันไปหยิบผักก่อนจะปาใส่สรนุช
“นี่คุณ...พวกเราก็ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้นะคะ ทุกคนใจเย็นกันก่อนได้มั้ย” อรอนงค์พยายามคุมสถานการณ์
“นี่นังหนู...ถ้าเป็นลูกเธอจะพูดอย่างนี้มั้ย...ไอ้พวกหลอกลวง”
ชาวบ้านคนที่ 2 ก็หันไปหยิบผักมาปาใส่สรนุชกับอรอนงค์อีก เหตุการณ์เริ่มวุ่นวายเมื่อชาวบ้านไม่พอใจจนเริ่มขว้างปาสิ่งของใส่สรนุชและอรอนงค์มากยิ่งขึ้น
ระหว่างนั้นเสียงของไข่ย้อยก็ดังขึ้น
“แม่”
สรนุชกับอรอนงค์ ชะงักไปก่อนจะค่อยๆ หันไปมองทางด้านหลัง แล้วความหวังที่ดับมืดของสรนุชก็กลับสว่างขึ้นอีกครั้ง เมื่อเห็นไข่ย้อยเดินมากับใจเด็ด
“ไข่ย้อย”
แม่ไข่ย้อยโผเข้าไปหาลูกทันที “ไข่ย้อย...เป็นไงลูกแม่...ไปเจอไข่ย้อยที่ไหนคะหัวหน้า”
“นั่งหลับอยู่ข้างศาลเจ้าน่ะ...สงสัยกินข้าวเหนียวเยอะไปหน่อย”
“นักสู้พันธุ์ข้าวเหนียวอย่างผมมันต้องกินข้าวเหนียว...ย้าก...สู้...สู้ๆ” ไข่ย้อยออกลีลาเลียนพระเอกในทีวี
“ไป...พาไข่ย้อยกลับไปได้แล้ว”
แม่ไข่ย้อยรีบพาไข่ย้อยออกไปแต่ไม่วายมองสรนุชด้วยหางตา
ใจเด็ดหันบอกกับชาวบ้าน “ไม่มีอะไรแล้วทุกคน”
ชาวบ้านต่างส่งเสียงด่าสรนุชกันอื้ออึงก่อนที่จะแยกตัวกันไป ใจเด็ดหันมาหาสรนุช แล้วทันใดนั้นสรนุชก็ผลักอกใจเด็ดเอาเรื่อง
“สนุกมากใช่มั้ยที่ทำแบบนี้”
ใจเด็ดงงในเบื้องแรก แต่แล้วก็พอเข้าใจ “คุณคิดว่าผมเอาไข่ย้อยไปซ่อนเพื่อแกล้งคุณงั้นเหรอ”
“หรือนายจะบอกว่าไม่ใช่ละ...แม่เขาก็เป็นคนงานที่สถานีนาย...นายคงเตี๊ยมกันเพื่อมาทำให้ฉันขายหน้าใช่มั้ย”
“ถ้าคุณคิดได้แค่นี้...ผมว่าทีหลังคุณอย่าเอาลูกเต้าคนอื่นมาทำอย่างนี้ดีกว่า”
สรนุชพูดไม่ออก เพราะมันจริงอย่างที่ใจเด็ดว่า
“คุณคิดถึงบริษัทตัวเอง...แต่ช่วยคิดถึงหัวอกคนอื่นบ้าง”
สรนุชเหลืออด “แล้วนายเห็นสารรูปฉันมั้ย...คิดว่าฉันสบายใจหรือไง”
“ตอนนี้คุณพูดได้...แต่ถ้าไข่ย้อยหรือลูกคนอื่นเป็นอะไรขึ้นมา...บริษัทรถไถของคุณรับผิดชอบไม่ไหวแน่”
“นายขู่ฉันเหรอ” สรนุชเลือดขึ้นหน้า ยังวึดวือไม่ฟังเหตุผล
ใจเด็ดเริ่มอ่อนใจ “ผมพูดขนาดนี้แล้วคุณยังไม่เข้าใจอีกเหรอ...ถ้าคุณเสแสร้งแกล้งทำเป็นคนดีที่เข้าใจหัวอกคนอื่นเหมือนสามเดือนก่อน...ผมว่าก็ยังดี...ผมไม่รู้ว่าต่อไปแผนการตลาดของพวกคุณจะเป็นอะไร...แต่ผมขอเตือนเอาไว้แล้วกัน...ว่าสิ่งที่คุณทำ...มันจะเป็นสิ่งที่ย้อนกลับมาหาตัวคุณเอง”
สรนุชยืนนิ่ง พูดอะไรไม่ออก

ทางด้านสุบินซึ่งอยู่กรุงเทพฯ ไปเสนอพล็อตละครที่บริษัทกำกับการดี สุบินนั่งสัปหงกอยู่ในห้องประชุมเพียงคนเดียว สักพักใหญ่ผู้จัดละคร ก็เปิดประตูเข้ามาในห้อง พร้อมกับเอกสารในมือหลายฉบับ
ผู้จัดฯเห็นสุบินนั่งสัปหงกก็สะกิดเรียกเบาๆ
“คุณสุบิน...” สุบินยังไม่ตื่น “คุณสุบินครับ”
สุบินงัวเงียตื่นขึ้น ละล่ำละลักทันที “คะครับๆ ...แหม...ผมกำลังจินตนาการถึงพล็อตใหม่น่ะครับ”
“ผมอ่านพล็อตที่คุณส่งมาให้ทั้งหมดแล้ว” ผู้จัดบอก
“เป็นไงครับ...ชอบเรื่องไหนครับ”
ผู้จัดฯดันเอกสารที่กองเป็นตั้งให้กับสุบิน “ทั้งหมดนี่”
สุบินตกใจ “หมดนี่เลยเหรอครับ”
“ทั้งหมดนี่ผมไม่ชอบเลยครับ”
สุบินอึ้ง สีหน้าเศร้าลง “อ้าว”
แต่แล้วผู้จัดฯ ก็หยิบอีกหนึ่งเรื่องขึ้นมา “ผมชอบเรื่องนี้เรื่องเดียวครับ...” โชว์หน้าปกพล็อตเรื่องนั้นให้สุบินดู “คุณชายเลี้ยงหมู...คุณหนูเลี้ยงแกะ”
สุบินอึ้งๆ ไป “เหรอครับ...แหมเรื่องนั้นเนี่ยผมชอบมากเหมือนกันครับ”
“แต่ผมสงสัยว่าชื่อคุณหนูเลี้ยงแกะ...แต่ที่ผมอ่าน...นางเอกไม่ได้เลี้ยงแกะเลยนี่” ผู้จัดฯว่า
“อ๋อ...ใช่ครับ...ผมอยากให้มันเป็นซิมโบลอารมณ์ประมาณว่านางเอกเป็นคนชอบโกหกน่ะครับ” สุบินนึกถึงสรนุช “ส่วนเรื่องพระเอกเลี้ยงหมูเนี่ย...ผมอินสปายร์มาจากครั้งนึงผมเคยไปอยู่ในสถานีเพาะพันธุ์ควาย...ก็เลยเอามาดัดๆ ดูน่ะครับ”
“ควายเหรอ...น่าสนใจนะ...ชอบๆ...ผมชอบควายมากกว่า”
“ห๊า ! จริงเหรอครับ”
“จริงซิ...ผมว่าคุณกลับไปปรับให้เป็นเรื่องของควายดีกว่า...แล้วอีกอย่าง...ถ้าไม่รบกวนเกินไป...ผมอยากให้คุณช่วยหาข้อมูลเรื่องควายมาให้ผมด้วย...ผมจะเสนอขึ้นไปที่ช่องพร้อมพล็อตของคุณเลย...ช่องจะได้เห็นว่าเราเตรียมพร้อมทุกอย่าง”
ผู้จัดฯยื่นพล็อตละครคุณชายเลี้ยงหมูกับคุณหนูเลี้ยงแกะ คืนให้ สุบินรับมาด้วยความดีใจ

ไม่นานหลังจากนั้นสุบินเดินออกมาที่บริเวณด้านหน้าบริษัทกำกับการดี ทิ้งพล็อตละครกองเบ้อเริ่มลงในถังขยะ เดินถือพล็อตคุณชายเลี้ยงหมูฯ ในมือด้วยความปลาบปลื้ม
“เอาเว้ย...ควายให้โชค” สุบินคิดหนัก “แต่ให้กลับไปหาข้อมูลควายนี่ซิ...เอาไงดีวะเรา”
สุบินครุ่นคิดอย่างลังเล

สรนุชยืนอยู่ริมหน้าต่างในห้องทำงานที่บริษัท มองออกไปอย่างใช้ความคิด ตัวหมาดๆแล้ว อรอนงค์นั่งอยู่ในห้องด้วย มองสรนุชเงียบๆ ไม่กล้าพูดอะไร
ระหว่างนั้นเสียงมือถือของอรอนงค์ดังขึ้น
อรอนงค์สะดุ้ง ตกใจ “ว้าย” รีบหยิบขึ้นมาดู อุทานออกมา “สุบิน” พลางเหล่มองสรนุชก่อนจะกดรับสายแล้วเอามือป้องปาก “หายไปเลยนะแก”

สุบินยังอยู่หน้าบริษัทละครกำลังหามุมเหมาะๆ คุย
“หายอะไร...แกต่างหากที่หาย...นี่ถ้าฉันไม่โทร.มาแกก็คงไม่โทร.มาละซิ”
“ก็ตอนนี้มันยุ่งอยู่...แค่นี้ก่อนนะ...เดี๋ยวฉันค่อยโทร.กลับ”
อรอนงค์ตอบแต่สายตาจับจ้องที่สรนุชอย่างเกรงๆ
“เฮ้ย ! เดี๋ยวก่อนดิ”
“อะไรอีก”
สุบินเกริ่นนำ “แล้วยัยนุชดีกับคุณใจเด็ดหรือยังวะ”
“แย่ยิ่งกว่าเก่าอีก...แค่นี้นะ”
สุบินถูกอรอนงค์วางสายใส่
“เฮ้ย ! ยัยอร...ยัยอร” สุบินนึกที่อรอนงค์บอก “แย่ยิ่งกว่าเก่า...แล้วถ้าเราไปที่หนองระบือจะไปอยู่ข้างไหนวะเนี่ย”
สุบินหนักใจ

ตกเย็นจนมืดค่ำ สรนุชยังอยู่ที่บริษัทคาบาตี้ สุรินทร์ และยังยืนมองทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่างเหมือนเดิม อรอนงค์มองนาฬิกาข้อมืออย่างกังวลใจ
ระหว่างนั้นเสียงเคาะประตูดังขึ้นก่อนจะเห็นชิดชัยเปิดประตูเข้ามาภายในห้อง
“เอ่อ...ผมส่งเด็กทุกคนกลับบ้านเรียบร้อยแล้วครับ”
สรนุชค่อยหันมามองชิดชัยนิ่งๆ ไม่พูดอะไร แต่แค่สายตาและรังสีอำมหิตของสรนุชก็เพียงพอที่จะทำให้ชิดชัยต้องหลบตา
“ฉันคงไม่ต้องพูดอะไรใช่มั้ย”
“ครับ...ผมจะไม่ให้เกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นอีก”
“แล้วเราจะเอาไงต่อไปละนุช”
คำถามของอรอนงค์ ทำเอาสรนุชนิ่งไป
“ก็ขายตรงถึงบ้าน...ฉันอยากให้นายกลับไปคิดโปรโมชั่นมา...จะผ่อนฟรีหกเดือน...หรือผ่อนศูนย์เปอร์เซ็นต์...แถมน้ำมันฟรีหนึ่งปี...อะไรก็ได้...คิดออกมาให้ได้มากที่สุด” สรนุชพูดพร้อมกับมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างมุ่งมั่น “พรุ่งนี้...เราจะบุกหนองระบือ”
อรอนงค์กับชิดชัยได้ยินอย่างนั้นก็อึ้งไป
สรนุชไม่พูดอะไรอีก เพราะสายตาของเธอบอกให้รู้ถึงความมุ่งมั่นเพียงพอแล้ว

เช้าวันต่อมา ใจเด็ดเปิดประตูออกมาจากบ้านพัก แล้วใจเด็ดก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นเจนจิรายืนอยู่
“อ้าว...เจน...มีอะไรหรือเปล่า”
เจนจิรายิ้มก่อนจะเอาหม้อแกงที่อยู่ด้านหลังออกมา
“คือ...เจนต้มแกงส้มมะรุมมาให้พี่เด็ดน่ะค่ะ”
ใจเด็ดรู้ดีว่าเจนจิราคิดอะไร “เอ่อ...พี่ว่าเราเอาไปทานพร้อมกันที่สถานีดีมั้ย”
“แต่เจนอยากให้พี่เด็ดทานคนเดียวนี่คะ...” พอเห็นใจเด็ดทำหน้าลำบากใจ เจนจิราเลยพยายามหาเหตุผล “ก็...เจนเห็นว่าพักนี้พี่เด็ดไม่ค่อยสบาย..แล้วไหนจะต้องสู้กับพวกคาบาตี้อีก”
ใจเด็ดอึกอัก ระหว่างนั้นเสียงช่อผกาดังขึ้น “พี่เด็ด...พี่เด็ด”
ใจเด็ดกับเจนจิราหันมาก็เห็นช่อผกาวิ่งเข้ามา เจนจิราหน้าตึงแอบไม่พอใจที่ช่อผกามาขัดจังหวะ ช่อผกาเองพอเห็นเจนจิราเองก็ยิ้มเยาะ
“เชอะ...ว่าแต่ฉัน”
“อะไรของเธอ”
“ฉันเคยได้ยินแต่สมภารอยากกินไก่วัด...แต่นี่...ไก่วัดอยากให้สมภารกิน” ช่อผกาเยาะหยัน
“พูดดีๆ นะ...ไม่อย่างนั้นฉันจะเอาแกงส้มนี่ราดหน้าเธอเดี๋ยวนี้”
ช่อผกาตั้งท่าเตรียมพร้อมเหมือนกัน “ก็ลองดูซิ...คนไม่ได้เป็นง่อยเว้ย”
เจนจิรากับช่อผกาทำท่าจะเปิดศึกใหญ่โต ใจเด็ดต้องรีบเข้ามาห้าม
“หยุด” ใจเด็ดเข้ามาแทรกกลาง “ว่าไงผกา...มาหาพี่แต่เช้าทำไม”
“อุ้ย...ผกาลืมไปเลยคะ...นี่คะพี่เด็ด” ช่อผกาส่งใบปลิวให้ใจเด็ด “พวกคาบาตี้กำลังบุกหมู่บ้านค่ะ”
ใจเด็ดมองใบปลิวในมือก็อึ้งไป เมื่อเห็นโปรโมชั่นจัดเต็มของคาบาตี้ในมือ

ใบปลิวในมือของใจเด็ด เป็นภาพที่มีข้อความเหมือนกันเป๊ะ แต่ใหญ่กว่าและติดอยู่ข้างรถกระบะ
มีเสียงของสรนุชดังแทรกเข้ามา
“วันนี้พวกเราชาวคาบาตี้เข้าใจพี่น้องหนองระบือเป็นอย่างดี”
สรนุชยืนพูดอยู่บนรถกระบะ ที่แล่นเข้ามาในหมู่บ้าน โดยมีอรอนงค์ยืนถือป้ายคล้ายๆ กับพริตตี้ในงานโชว์รถยนต์ ส่วนชิดชัยกับลูกน้องและพนักงานคนอื่นๆ กำลังช่วยกันแจกใบปลิวให้กับชาวบ้าน
“หลายคนทำไมยังลืมตาอ้าปากไม่ได้...นั่นก็เพราะเรายังทำเกษตรแบบเก่า...ดิฉันในฐานะตัวแทนของคาบาตี้...แล้วยังเป็นเทพีแห่งหนองระบือนี้...จึงอยากให้ทุกคนมีชีวิตที่ดีขึ้น...แล้วชีวิตของทุกคนต้องดีขึ้นแน่นอน...ถ้าทุกคนใช้...คาบาตี้รุ่นใหม่ล่าสุดตัวนี้”
สรนุชชี้ไปที่ป้ายที่อรอนงค์ถือโบกไปมาอยู่ ขณะที่ชาวบ้านเริ่มจับกลุ่มฟังสรนุชด้วยความสนใจ
“ทุกคนคงคิดว่ารถไถคันนี้คงจะแพงเกินกว่าที่ทุกคนจะซื้อได้...ทุกคนคิดผิดคะ...เพราะเรากำลังจะบอกว่า...รถไถคันนี้...เราให้ทุกคนผ่อนศูนย์เปอร์เซ็นต์นานถึงยี่สิบสี่เดือน”
ชาวบ้านที่ฟังเริ่มฮือฮา สรนุชเห็นอย่างนั้นก็รีบกระแทกบิ้วท์ต่อทันที
“ไม่เพียงแค่นั้น...เรายังแถมน้ำมันให้ตลอดอายุการใช้งานด้วย”
เสียงฮือฮาเริ่มดังขึ้นอีก สรนุชเห็นว่าชาวบ้านเริ่มคล้อยตามจึงรีบฉวยโอกาสทันที
“หากใครสนใจ..ยกมือเลยค่ะ” พอเห็นชาวบ้านละล้าละลัง “ยกเลยค่ะ” พอชาวบ้านที่โดนเร่งเร้าเลยเผลอยกมือกันแบบไม่รู้ตัว “นั่นแหละค่ะ”
สรนุชเห็นชาวบ้านยกมือกันสลอนก็หันไปยิ้มให้กับอรอนงค์ด้วยความดีใจ

บริเวณลานอเนกประสงค์ของหมู่บ้าน สรนุชยืนอยู่ตรงกระดานดำ มีอรอนงค์นั่งโต๊ะพร้อมกับสมุดจดรายชื่อ
“แค่เดือนพันกว่าบาท...ทุกคนก็สามารถเป็นเจ้าของรถไถคันนี้ได้เลยทันที...เดี๋ยวลงชื่อจองกันได้เลยนะคะ”
ระหว่างนั้นมีชาวบ้านคนหนึ่งยกมือขึ้น
“มีอะไรเหรอคะ”
“พันกว่าบาทเลยเหรอนังหนู...แค่เงินร้อยพวกเรายังไม่รู้จะหามายังไงเลย”
ชิดชัยที่อยู่ข้างๆ แอบยิ้มเยาะบุ้ยใบ้กับลูกน้อง
“หึ...ต้องให้เจอของจริงดูดิ๊ว่าทำยังไง”
สรนุชอึ้งไปก่อนจะรีบคิดหาทาง ก่อนจะใช้ไหวพริบแก้ปัญหาเฉพาะหน้า
“คุณมีหลักร้อยใช่มั้ยคะ...” ลุงพยักหน้า “แล้วทุกคนก็คงจะมีเหมือนกัน” ทุกคนพยักหน้าอีก “แล้วทำไมเราไม่เอาเงินมารวมกันละคะ...คนนี้สองร้อย...คนนี้อีกสองร้อย...สักห้าหกคน...แค่นี้เองค่ะ” สรนุชแนะ
ทุกคนหันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก สรนุชเห็นว่าทุกคนกำลังลังเลก็ไม่ยอมปล่อยโอกาส รีบหยิบชอล์คขึ้นมาเขียนเชิญชวนต่อ
“ก็เหมือนกับการที่เราตั้งสหกรณ์ไงคะ...ในเมื่อทุกคนมีหุ้นในรถไถคันนี้...ก็ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันใช้...” สรนุชคิดไตร่ตรองอยู่สักครู่ ก่อนจะพูดขึ้นอีก “แล้วที่สำคัญ...ใครสามารถพาคนมาซื้อรถไถคาบาตี้...ก็จะได้รับเปอร์เซ็นต์จากรถไถคันต่อไป”
ชาวบ้านเริ่มฮือฮาขึ้นมาทันที แต่ทันใดนั้นเสียงของใจเด็ดก็ดังขัดขึ้น
“เพื่อให้คุณสุขสบาย...แล้วชาวนาเป็นหนี้น่ะเหรอ”
สรนุชหันไปก็ต้องชะงักไปเมื่อใจเด็ด เจนจิรา และช่อผกาเดินเข้ามา ใจเด็ดเดินเข้ามาหน้ากระดานดำ
“ทุกคนอย่าไปเชื่อเด็ดขาด...สิ่งที่ทุกคนได้ยินมันคือการหลอกลวง”
“ฉันหลอกลวงตรงไหน...ฉันกำลังให้ทุกคนมีในสิ่งที่อยากจะมีต่างหาก” สรนุชฉุน
“มีงั้นเหรอ...งั้นดู”
ใจเด็ดเดินไปหยิบชอล์คแล้วหันไปเขียนที่กระดานดำ พลางอธิบายสำทับ
“ผมเอาแค่ราคารถไถเดินตามก็แล้วกัน...คันนึงห้าหมื่น...แต่ควายตัวนึงไม่เกินหมื่นห้า”
“อันนั้นฉันไม่เถียง...แต่รถไถวันนึงสามารถทำงานเท่าไหร่ก็ได้เท่าที่อยากทำ...แต่ควายของนายน่ะ...แค่สี่ชั่วโมงก็เต็มที่แล้ว” สรนุชบอก
“แต่ควายของผมสามารถทำงานได้ถึงยี่สิบปี...รถไถของคุณ...ดีไม่ดีจะถึงห้าปีหรือเปล่า”
“แต่...แต่รถไถของฉันไม่ต้องลำบากหาหญ้าให้มันกิน” สรนุชเยาะ
“แต่ต้องไปซื้อน้ำมันแทนไง” ใจเด็ดท้วง
“รถไถของฉันไม่มีเวลาเจ็บป่วย”
“แล้วคุณผลิตอะไหล่แพงๆ ออกมาให้เปลี่ยนทำไม” ใจเด็ดหยัน
ใจเด็ดจ้องหน้าสรนุช ในขณะที่สรนุชกำหมัดแน่นด้วยความโกรธเพราะถูกไล่จนแต้ม
“คิดว่าผมรู้ไม่ทันหรือไง...พอทุกคนซื้อรถไถจากคุณแล้ว...ก็ต้องซื้ออะไหล่โน่นอะไหล่นี่มาเปลี่ยน...ถูกมั้ย...แล้วคุณก็คิดราคาไอ้อะไหล่ที่คุณขายแพงกว่าปกติเพื่อชดเชยดอกเบี้ยที่คุณต้องได้”
“พวกชาวนาเขาทำนากันลำบากแล้ว...พวกคุณยังคิดจะทำนาบนหลังพวกเขาอีกเหรอ” เจนจิราว่า
“อย่างนี้ต้องแจ้งตำรวจให้จับให้หมดเลยคะพี่เด็ด”
พอช่อผกาพูดถึงตำรวจขึ้นมา ชาวบ้านก็เริ่มขยับขยายลุกขึ้น
“เชิญ...คิดจะไปแจ้งอะไรกับใครก็เชิญ...เพราะฉันบริสุทธิ์ใจ...แล้วนายก็ไม่มีหลักฐานว่าไอ้สิ่งที่นายพูดมาฉันจะทำ”
“ถ้ามีหลักฐาน...ไอ้พวกแชร์ลูกโซ่มันไม่เกิดเต็มบ้านเต็มเมืองอย่างนี้หรอก”
ชาวบ้านเริ่มเห็นความวุ่นวายก็ไม่อยากยุ่งจึงค่อยๆ สลายตัวกันออกไป
“อุ้ย...เดี๋ยวก่อนซิคะ..จะไปไหนกันคะ” อรอนงค์เรียกไว้ แต่ไม่มีใครสน
“ดี...กลับไปเลย...กลับไปให้หมด” ช่อผกาชอบอกชอบใจ
สรนุชโกรธใจเด็ดจนตัวสั่น “นายคิดว่าจะขัดขวางฉันได้หรือไง”
ใจเด็ดจ้องหน้ากลับ “คุณก็เห็นแล้วนี่ว่าผมทำได้หรือเปล่า”
สรนุชกัดฟันแน่นก่อนจะสะบัดหน้าเดินออกไปด้วยความเจ็บใจ
“รอด้วยซินุช...” อรอนงค์หันมาบอกลาใจเด็ด “เอ่อ...ไปก่อนนะคะ”
ชิดชัยกับลูกน้องรีบวิ่งตามเจ้านายออกไปทันที ใจเด็ดยืนมองตามด้วยความเจ็บใจ

สรนุชกับอรอนงค์เปิดประตูเข้ามาในห้องพักในโรงแรม
“อะไรเนี่ยอร...แกจะพาฉันกลับมาโรงแรมทำไมเนี่ย
“นุช...ฉันปวดหัวจริงๆ เนี่ย...อะไรก็ไม่รู้”
“อร..! ฉันขอโทษที่พาแกมาเจอเรื่องแบบนี้...แต่...เราหนีความขัดแย้งนี้ไม่ได้”
“อันนั้นฉันเข้าใจ...แล้วเมื่อไหร่มันจะจบ”
“ฉันตอบไม่ได้...ขึ้นอยู่ว่าพวกนั้นจะยอมถอยเมื่อไหร่” สรนุชอ้าง
“แล้วทำไมเราไม่ถอยก่อนละ...” สรนุชชะงักไปนิดหนึ่ง อรอนงค์เตือนสติต่อ “นุช...ถอยก่อนก็ใช่ว่าเราจะเป็นฝ่ายแพ้นะ...แกคิดดูดีๆ แล้วกัน”
อรอนงค์พูดจบก็เดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าก่อนจะหยิบผ้าเช็ดตัวแล้วเข้าห้องน้ำไป สรนุชนิ่งไปแล้วถอนหายใจด้วยความหนักใจ
สรนุชทิ้งตัวลงนั่งที่เตียง ก่อนที่สายตาของเธอจะเหลือบไปเห็นบางอย่างที่ตู้เสื้อผ้า
สรนุชเดินไปหยิบเสื้อที่ใจเด็ดมอบให้ขึ้นมามอง แล้วครุ่นคิดบางอย่างออก

เย็นวันนั้น บนถนนเลียบเขา ใจเด็ดขับรถมาตามทาง แต่แล้วใจเด็ดก็เลี้ยวเข้ามาจอดเบรกเอี้ยดข้างทาง ใจเด็ดนั่งเงียบๆ คิดเครียดอยู่คนเดียว ก่อนจะตัดสินใจเดินลงจากรถ
ใจเด็ดเดินเข้าป่าข้างทาง ไปยังลำธารกลางป่า
ที่ใต้ต้นไม้อีกมุมหนึ่ง รถสรนุชจอดหัวรถมีดงไม้บังอยู่ โดยที่ใจเด็ดไม่ทันสังเกตเห็น

สรนุชยืนอยู่ที่ริมธารกลางคนเดียว...สรนุชยืนถือเสื้อใจเด็ดพร้อมจะโยน
“ฉันเคยมีใจให้นาย ทำให้ฉันสูญเสียความเป็นตัวเอง เสียน้ำตาให้นาย...แต่ต่อจากนี้...สรนุชคนเดิมจะกลับมา....ฉันจะทำให้นายแพ้จนไม่มีที่ยืนในตำบลนี้”
สรนุชโยนเสื้อลงลำธารข้างล่าง

ใจเด็ดเดินอยู่ริมลำธาร คงมีแต่ความเงียบเท่านั้นที่จะช่วยบรรเทาความรู้สึกเจ็บในใจเขาได้
ใจเด็ดมองไปที่มุมที่เขากับสรนุชเคยอยู่ด้วยกัน ภาพเก่าของเขากับสรนุชก็หวนกลับมาในห้วงความคิด
ใจเด็ดกำหมัดด้วยความอัดอั้นใจ กำลังจะหันหลังกลับ แต่แล้วใจเด็ดก็เหลือบไปเห็นเสื้อตัวหนึ่งลอยน้ำมา ใจเด็ดเดินไปคว้ามันขึ้นมาดู จำได้ว่าเป็นเสื้อที่ให้สรนุชไว้
“มันมาอยู่ที่นี่ได้ไง”
ทันใดนั้นเสียงของสรนุชก็ดังก้องขึ้น
“ฉันเกลียดนาย.....”
ใจเด็ดหันไปมองทางต้นลำธารทันที

สรนุชกำลังตะโกนเพื่อบอกกับหัวใจตัวเอง
“ฉันเกลียดนาย..... ได้ยินมั้ย...ฉันเกลียดนาย”
สรนุชหายใจหอบจนตัวโยนหลังจากที่ตะโกนออกไปสุดเสียง
“ต่อไปนี้ฉันคือสรนุชคนใหม่...นายไม่มีทางทำร้ายหัวใจฉันได้อีก”
สรนุชกำหมัดด้วยความมุ่งมั่น ก่อนที่จะได้ยินเสียงดังก๊อกแก๊กหลังโขดหิน สรนุชหันขวับมองไปทางเสียงนั้น รีบวิ่งเข้าไปหลบที่หลังโขดหิน แล้วค่อยๆชะโงกหน้าออกมามองด้วยความกลัวว่าจะเป็นสัตว์ป่า
“อย่าให้เป็นเสือเลย...สาธุ”
แต่แล้วสรนุชก็ต้องอึ้งไปเมื่อเห็นใจเด็ดเดินพ้นมุมต้นไม้ออกมา
“เฮ้ย” สรนุชร้องขึ้นอย่างลืมตัว รีบปิดปากตัวเองทันที
ใจเด็ดมองไปรอบๆ รู้สึกแปลกใจเมื่อไม่เห็นใคร ก่อนจะเดินมาที่โขดหินที่สรนุชแอบอยู่
สรนุชค่อยๆ ก้าวอย่างช้าหมุนตามทิศทางเพื่อซ่อนตัวจากใจเด็ด
ใจเด็ดมองไปรอบๆก่อนจะสีหน้าเศร้า “หูแว่วเหรอเนี่ย”
ใจเด็ดพูดพร้อมหันหลังจะเดินกลับ แต่แล้วทันใดนั้นอาการปวดหัวของใจเด็ดก็กำเริบขึ้น
“โอ๊ย”
สรนุชเห็นทุกอย่างนิ่งเงียบอยู่นานจนสงสัย “ไม่ได้ยินเสียงอะไร...ไปแล้วมั้ง”
ว่าพลางสรนุชค่อยๆ เดินออกมาจากโขดหินมองไปในราวป่า สรนุชเป่าปากด้วยความโล่งอก
“เกือบไปแล้ว” สรนุชหันหลังกลับไปมองลำธารเป็นครั้งสุดท้าย

แต่แล้วทันใดนั้น สรนุชก็ต้องตกใจ เมื่อเห็นร่างของใจเด็ดนอนหมดสติอยู่ตรงโขดหินนั้นเอง










Create Date : 13 เมษายน 2555
Last Update : 13 เมษายน 2555 0:29:08 น.
Counter : 575 Pageviews.

0 comment
กระบือบาล ตอนที่ 11 (ต่อ)



ในเวลาต่อมาบรรดาเหล่ากระบือบาลต่างออกแรงช่วยกันทำป้าย เริ่มตั้งแต่เอาไม้อัดเท่าที่หาได้มาโยนกองรวมกัน อีกส่วนก็เอาสีมาทา เขียนข้อความบางอย่าง ทุกคนช่วยกันลงมือทำอย่างขันแข็ง ใจเด็ดยืนมองป้ายอย่างพอใจ และดีใจที่ทุกคนพร้อมสู้สุดตัว

เวลาเดียวกันบนถนนเส้นทางมุ่งหน้าเข้าสู่หนองระบือ...รถของสรนุชแล่นมาตามทาง สรนุชเป็นคนขับ มีอรอนงค์นอหลับข้างๆ
“นอนได้นอนดีจริงๆ ยัยนี่...”
สรนุชส่ายหน้า ก่อนจะเห็นป้ายทางแยกบอกว่าทางไปหนองระบือ สรนุชเลี้ยวไปตามทาง
แต่ทันทีที่รถของสรนุชเลี้ยวเข้าสู่ถนนที่มุ่งหน้าสู่หนองระบือ สรนุชก็เบรกรถดังเอี๊ยด!
อรอนงค์ที่หลับอยู่ไม่ทันตั้งตัวก็ทำให้หัวไปกระแทกกับกระจก
“อูย...มีอะไร...ทำไมต้องเบรกซะขนาดนี้ด้วย”
“ดูนั่นซิ”
อรอนงค์หันมองไปที่ถนนแล้วอรอนงค์ก็ถึงกับอึ้งไป
สรนุชกับอรอนงค์ก้าวลงมาจากรถ ทั้งคู่มองไปสุดตา เห็นว่าตามรายทางที่มุ่งหน้าสู่หนองระบือมีป้ายประท้วงคาบาตี้อยู่เต็มสองข้างทาง
“เอ่อ...แกกลับตอนนี้ยังทันนะนุช” อรอนงค์ว่า หน้าจ๋อย
สรนุชมองป้ายเหล่านั้นด้วยแววตาที่แข็งกร้าวกว่าเดิม
“กลับทำไม...เรื่องสนุกกำลังจะเริ่ม...หึ...นายใจเด็ด...นายมาแรงเท่าไหร่...ฉันก็แรงกลับไปเท่านั้น”
สรนุชมีแววตามุ่งมั่นที่จะเอาชนะให้ได้

ส่วนที่บริษัทคาบาตี้ สาขาสุรินทร์ ชิดชัยดูนาฬิกาเหงื่อตก ชาวคณะที่เกณฑ์มาต้อนรับเองก็ยืนรอเหงือกแห้งกันเป็นแถว
“ลูกพี่...ทำไมให้ผู้พันแกกลับไปก่อนละครับ...ไม่กลัวเสียแนวร่วมเหรอพี่”
“จะบ้าเหรอไง...ขืนยัยนั่นรู้ว่าฉันไปตกลงให้ผู้พันเป็นดีลเลอร์ก็แย่ซิวะ...” ชิดชัยมองนาฬิกาอย่างหงุดหงิด “ฮึ่ยย์...คนกรุงนะคนกรุง...ตรงเวลาไม่เป็นหรือไง”
ทันทีที่ชิดชัยบ่นจบ..รถของสรนุชก็แล่นเข้ามาจอดที่หน้า
“มาแล้ว”
ชิดชัยรีบวิ่งเข้าไปเปิดประตูให้กับสรนุชทันที สรนุชก้าวลงจากรถ
ชิดชัยให้สัญญาณ ชาวคณะต้อนรับกล่าวเสียงดังฟังชัดพร้อมๆ กัน
“ยินดีต้อนรับคุณสรนุชครับ” / “ยินดีต้อนรับคุณสรนุชค่ะ”
ชิดชัยวิ่งเข้ามาหาสรนุชกับอรอนงค์อย่างประจบประแจง
“เดินทางเหนื่อยมั้ยครับคุณนุช”
สรนุชไม่ตอบก่อนจะแบมือให้ชิดชัยดู ชิดชัยเห็นก็รีบตบมือ
“เอ้า...มาเร็ว”
แล้วลูกน้องก็วิ่งเอาแก้วน้ำผลไม้เย็นเจี๊ยบสองแก้วเข้ามา
“มาแล้วครับน้ำผลไม้เย็นชื่นใจ...แล้วพอหลังจากนั้นผมได้เตรียมอาหารอย่างดีที่สุดในตำบลนี้”
“ฉันต้องการรายชื่อของพนักงานที่นี่ทั้งหมด” สรนุชบอก
ชิดชัยงง “เอ่อ...ผมยังไม่ได้เตรียมไว้ให้ครับ”
“ถ้างั้นเรียกทุกคนให้มา...ฉันจะเริ่มงานเดี๋ยวนี้”
สรนุชพูดพร้อมกับเดินเข้าบริษัทไปพร้อมกับอรอนงค์ ชิดชัยถึงกับยืนเหวอ

ในขณะที่สรนุชกำลังเดินบอกนโยบายกับพนักงานคาบาตี้ที่ยืนเข้าแถว โดยมีอรอนงค์เดินตามคอยจดเหมือนเป็นเลขา
“คิดว่าฝ่ายดิฉันคงไม่ต้องแนะนำตัวกันแล้ว...เพราะคุณชิดชัยคงบอกเรื่องดิฉันกับอรอนงค์ให้ทุกคนฟังเรียบร้อยแล้ว”

เป็นเวลาเดียวกับที่ใจเด็ดก็กำลังพูดกับทุกคนภายในห้องประชุมเช่นกัน
“เพราะฉะนั้น...ผมอยากให้ทุกคนลืมว่าผู้หญิงคนนี้...เคยมาที่สถานีเรา...เคยรู้จักเรา...หรือแม้แต่หน้าเธอเราก็ไม่เคยเห็น”
“แผนแรกที่ดิฉันวางเอาไว้ก็คือ...การแย่งมวลชน” สรนุชกล่าว
“เราต้องทำให้ชาวบ้านทุกคนเห็นว่ารถไถไม่มีอะไรดีเลย...มันมีแต่ข้อเสีย” ใจเด็ดบอกทุกคน
“ฉันอยากให้ทุกคนลงพื้นที่ให้มากที่สุด...หนึ่งคนรับผิดชอบสิบบ้าน...ขอให้ทุกคนลงไปสัมผัสกับชาวบ้านให้มากที่สุด” สรนุชว่า
“ในเมื่อฝ่ายโน้นเคยปลอมตัวเข้ามาทำความสนิทสนมกับชาวบ้าน...เราเองก็ทำได้เหมือนกัน...ขอให้ทุกคนบอกกับชาวบ้านว่าถ้าพวกคาบาตี้มาเสนออะไรก็ให้รับไว้...ถ้าทุกคนจะบอกว่าเรากำลังเล่นละครเหมือนพวกนั้น...ผมก็ไม่เถียง” ใจเด็ดแจงต่อ
“ฉันต้องการเห็นรถไถคาบาตี้ขายได้ห้าคันแรกภายในอาทิตย์นี้” สรนุชประกาศเสียงกร้าว
พนักงานของคาบาตี้ต่างยกมือโห่ร้องอย่างฮึกเหิม
ส่วนใจเด็ดเองก็ประกาศก้องออกมาเหมือนกัน
“เราต้องไล่พวกนั้นกลับไป...แม้แต่ล้ออะไหล่...พวกนั้นก็ต้องขายไม่ได้”
กระบือบาลทุกคนต่างก็ส่งเสียงร้องออกมาอย่างฮึกเหิมเช่นกัน เกริกไกรมองใจเด็ดด้วยความหนักใจ
สงครามระหว่างระหว่างใจเด็ด กับ สรนุช เริ่มต้นอย่างเป็นทางการแล้ว

เหล่ากระบือบาลต่างแยกตัวกันไปทำงาน ใจเด็ดเดินออกมา ระหว่างนั้นเกริกไกรเรียกขึ้น
“ไอ้เด็ด...ไอ้เด็ด”
ใจเด็ดหยุดก่อนจะหันไปเห็นเกริกไกรเดินเข้ามา “มีอะไรหมอ
เกริกไกรลำบากใจที่จะพูด “ฉันไม่เห็นด้วยกับเรื่องที่เราจะไปบอกชาวบ้านให้ต่อต้านพวกคาบาตี้”
“ไม่เห็นด้วย...หรือหมอจะรอเห็นด้วยตอนที่หนองระบือนี่มีแต่รถไถวิ่งเต็มไปหมด”
“ก็ในเมื่อแกไม่ชอบวิธีที่คุณนุชเขาไปหลอกชาวบ้าน...แล้วเราจะใช้วิธีเดียวกันทำไม” เกริกไกรว่า
“เราไม่ได้หลอกชาวบ้าน...เราไปบอกความจริงกับพวกเขาต่างหาก...ไม่มีอะไรแล้วนะหมอ...ฉันรีบ”
“แกจะไปไหน”
ใจเด็ดหรี่ตาลงอย่างครุ่นคิด “ไปในที่ที่พวกนั้นจะไปเป็นที่แรกไง”
ใจเด็ดสีหน้าเครียดหวังว่าเขาจะเดาถูก

รถของสรนุชแล่นเข้ามาจอดที่หน้าที่ทำการอบต. สรนุชเปิดประตูลงมาจากรถก่อนจะมองเข้าไปข้างในอย่างไม่มีอาการกลัวใดๆ
ระหว่างที่สรนุชกำลังจะเดินเข้าไป เสียงของใจเด็ดก็ดังขึ้น
“นึกแล้วว่าคุณต้องมาที่นี่”
สรนุชหันไปก็เห็นใจเด็ดเดินเข้ามา “รู้ได้ยังไงว่าฉันมาแล้ว”
“คนดังอย่างคุณมันเป็นข่าวง่ายอยู่แล้วนี่”
“ก็ดี...ถือว่าเราจะได้ประกาศสงครามกันอย่างเต็มตัว”
สรนุชประจันหน้ากับใจเด็ดอย่างไม่เกรงกลัว
“แน่ใจเหรอว่าคุณจะชนะ”
“ไม่มั่นใจ...ฉันก็คงไม่มา”
“แต่ผมว่าคุณมันเป็นพวกปากกล้าขาสั่นมากกว่า...ไม่อย่างนั้นคุณคงไม่มาที่นี่เพื่อให้นายกเขาช่วยมั้ง”
“ใครว่าฉันจะให้นายกช่วย”
“ก็คุณมันถนัดในการใช้มารยาอยู่แล้วนี่...คราวนี้คุณเอามาเท่าไหร่ละ...เท่าที่ได้ยินมารยาร้อยแปดเล่มเกวียน...แต่ของคุณคงจะเยอะกว่านั้น..ถ้ายังไง...ให้ควายของผมไปช่วยลากมาได้นะ”
สรนุชกำหมัดแน่นด้วยความโกรธ
“แต่ที่จริงแล้วคุณไม่ต้องเอามาเยอะก็ได้นะ...เพราะคนที่นี่เขารู้ทันคุณหมดแล้ว...คุณคงจะใช้เสน่ห์ของคุณกับนายกได้...แต่คงไม่ใช่ผม”
“เข้าใจผิดอะไรหรือเปล่าคะ...ที่ผ่านมา...ฉันยังไม่ได้ใช่เสน่ห์มารยากับคุณเลย แต่คุณก็ติดกับซะแล้ว”
สรนุชยิ้มเยาะ รอยยิ้มนั่นทำให้ใจเด็ดถึงกับสติแตกทันที ใจเด็ดปรี่เข้ามาหาสรนุช
“คุณยังบอกว่าไม่ได้ใช้อีกเหรอ...แล้วไอ้ที่ผ่านมาคุณใช้อะไร...ห๊า”
“นายจะทำอะไร...ถอยไปนะ...ไม่อย่างนั้นฉันจะร้องให้คนช่วย...ช่วยด้วยค่ะ...ช่วยด้วย”
ระหว่างนั้นโชคชัยวิ่งเข้ามาพอดี “คุณนุช”
โชคชัยปราดเข้ามาผลักใจเด็ดเพราะคิดว่าใจเด็ดจะทำร้ายสรนุช สรนุชได้ทีเลยเล่นละครต่อ
“ช่วยด้วยค่ะคุณโชค...เขาจะทำร้ายฉัน”
ใจเด็ดฉุนกึก “เฮอะ...ทำร้าย..? ถ้าทำร้ายมันต้องอย่างนี้ต่างหาก”
ว่าพลางใจเด็ดจะเข้าไปหาสรนุช แต่แล้วโชคชัยก็เอาตัวเข้ามาบัง ใจเด็ดชะงักรู้ได้ทันทีว่าโชคชัยคิดยังไง
“ก็ได้...ผมขอเตือนนายกเอาไว้ตรงนี้แล้วกัน...ว่าระวังผู้หญิงคนนี้ไว้ให้ดี”
ใจเด็ดพูดจบก็เดินออกไป โชคชัยรีบหันมาถามสรนุชด้วยความเป็นห่วง
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับคุณนุช”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
สรนุชตอบแต่สายตายังแอบมองใจเด็ดที่เดินจากไป

สรนุชแปลกใจมากๆ ที่โชคชัยไม่โกรธเธอ ที่ปลอมตัวมาครั้งก่อน
“คุณโชคชัยไม่โกรธเหรอคะ”
โชคชัยยิ้มให้อย่างอบอุ่น
“ไม่เลยครับ...ถ้าผมมาเจอคนอย่างนายใจเด็ด..ผมเองก็คงต้องปลอมตัวเข้ามาทำงานในพื้นที่เหมือนกัน”
โชคชัยพยายามพูดให้สรนุชรู้สึกไม่ดีกับใจเด็ด
สรนุชเป่าปากโล่งอก
“ได้ยินคุณโชคชัยพูดอย่างนี้...ค่อยสบายใจหน่อยค่ะ”
โชคชัยเห็นอย่างนั้นก็สำทับลงไปอีก “สบายใจเถอะครับ...ผมพร้อมที่จะช่วยเหลือคุณนุชทุกเรื่อง”
“อย่าพูดว่าช่วยฉันเลยคะ...ต้องพูดว่าช่วยชาวบ้านถึงจะถูก...ที่ฉันอยากให้ทุกคนใช้รถไถไม่ใช่ว่าฉันจะขายรถไถ...แต่ฉันอยากเห็นชาวบ้านที่นี่สามารถแข่งกับคนอื่นได้...ไม่ใช่บอกให้ชาวบ้านใช้ควายแล้วบอกว่ารักควายต้องใช้ควาย...คงจะทันกินคนอื่นเขาหรอก...หึ!”
สรนุชยิ่งพูดก็ยิ่งหงุดหงิดเหมือนเห็นหน้าใจเด็ดมาลอยอยู่ตรงหน้า
โชคชัยแอบมองสรนุชที่พูดถึงใจเด็ดแล้วหงุดหงิดก็เห็นโอกาส โชคชัยนิ่งไปอย่างครุ่นคิด

โชคชัยเดินออกมาส่งสรนุชที่รถ สรนุชหันมากล่าวลา
“ขอบคุณมากนะคะ”
“ไม่เป็นไรครับ” โชคชัยมองสบตาสรนุช ก่อนจะพูดขึ้น “รู้มั้ยครับทำไมผมถึงช่วยคุณนุช”
สรนุชเห็นโชคชัยจ้องมาก็ไม่แน่ใจว่าโชคชัยจะคิดอะไรกับเธออีกหรือเปล่า
“เอ่อ...” สรนุชพยายามไม่พูดเรื่องรัก “เพราะคุณโชคอยากเห็นชาวบ้านมีชีวิตที่ดีขึ้นเหมือนกันใช่มั้ยคะ”
“นั่นก็ถูกครับ...แต่ผมอยากให้คุณนุชเห็นถึงความจริงใจของผม”
สรนุชนิ่งไปเพราะรู้ว่าโชคชัยยังไม่ตัดใจจากเธอ
“แน่นอนคะ...เอ่อ...ฉันไปก่อนนะคะ”
โชคชัยยิ้มแล้วพยักหน้าให้ สรนุชหันมาจะเดินไปที่รถก่อนลอบถอนหายใจด้วยความหนักใจ
ระหว่างนั้นสรนุชเหมือนนึกบางอย่างขึ้นมาได้ จึงหันไปถามโชคชัย
“วันมะรืนคุณโชคว่างมั้ยคะ”
“ทำไมเหรอครับ” โชคชัยนิ่วหน้าด้วยความสงสัย

เวลาเดียวกันที่สถานีฯ เจนจิรากำลังดูใบปลิวเชิญชาวบ้านให้ไปร่วมงานเปิดตัวของคาบาตี้
“ไปเอามาจากไหน”
“ที่ตลาดค่ะ...พวกคนของคาบาตี้มายืนแจกใบปลิวหัวถนนท้ายถนน...แถมตรงกลางถนนพวกนั้นยังเอาผู้หญิงอะไรก็ไม่รู้มาเต้นด้วยนะคะ”
“เต้น...? ยังไง” เกริกไกรถาม
“ก็อย่างนี้ไงคะ”
ว่าแล้วสมหญิงก็จัดท่าเต้นของพวกโคโยตี้ให้ทุกคนดู ใจเด็ดกับเกริกไกรยิ่งเครียด
“เต้นอย่างนี้น่ะค่ะ...เขาเรียกว่าอะไรนะ”
“โคโยตี้” ภิรมย์บอก
“เออ...นั่นแหละ”
เจนจิราเข้ามาหาใจเด็ดที่เครียดยิ่งกว่าเดิม
“ทำยังไงดีคะหัวหน้า...เจนว่าเราไปบอกนายกให้ช่วยห้ามพวกนั้นดีมั้ยคะ”
“ไม่มีประโยชน์หรอก...ตอนนี้นายกคงจะเป็นพวกนั้นไปอีกคนแล้ว”
“เฮ้อ...ร้ายจริงๆ...ไม่คิดเลยนะคะว่าคุณนุชจะใช้ความรักหลอกใช้นายก” เจนจิราใส่ไฟสรนุช
เกริกไกรได้ยินอย่างนั้นก็พยายามแย้งเพื่อไม่ให้ใจเด็ดมองสรนุชไม่ดี
“เจน...เรายังไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร...รีบตัดสินคุณนุชอย่างนี้มันไม่ถูกนะ” เกริกไกรตำหนิ
“แล้วยังไงถึงจะถูกคะ...ต้องรอให้คนในหมู่บ้านนี้เปลี่ยนใปใช้รถไถกันหมดแล้วเอาควายไปเข้าโรงเชือดเหรอคะ”
“เจน” เกริกไกรปราม
เจนจิราพยายามพูดใส่ไฟสรนุช ใจเด็ดที่กำลังอยู่ในอาการหึงและโกรธก็ยิ่งหงุดหงิด
“อย่าทะเลาะกันได้มั้ย” เกริกไกรกับเจนจิรายังต่างตีหน้ายักษ์ใส่กัน “ในเมื่อเราเตือนพวกนั้นดีๆ แล้วไม่ฟัง...ก็จะได้เห็นดีกัน”
ใจเด็ดสีหน้าเครียดมากขึ้น ขณะที่เกริกไกรลอบมองใจเด็ดด้วยความกังวล

ที่บ้านพักของสรนุช อรอนงค์เครียดหลังจากที่สรนุชเล่าให้ฟัง
“แต่ฉันว่ามันไม่ค่อยดีเท่าไหร่นะนุช...ทำไมแกไม่ลองคุยกับคุณใจเด็ดดีๆ ละ”
สรนุชกำลังรื้อของออกจากกระเป๋า
“คุยดีเหรอ..? หึ...เธอไม่เห็นท่าทางของนายนั่น...นี่ถ้าฉันเป็นผู้ชายคงโดนต่อยไปแล้ว”
“กลัวอะไร...แกก็จูบคืนซิ”
“ฮือ...ไม่ใช่ละคร...จะได้ตบจูบ”
“แต่ฉันว่าถ้าแกบอกเหตุผลกับคุณใจเด็ด...เขาน่าจะเข้าใจนะ”
สรนุชเหลือทนกระแทกกระเป๋าก่อนจะหันมาคุยกับอรอนงค์อย่างจริงจัง
“อร...แกเลิกพูดเรื่องได้แล้ว...ฉันกับนายใจเด็ดมันเลยจุดนั่นมานานแล้ว”
“ทำไมอ่ะ...แล้วตอนนี้แกสองคนอยู่จุดไหน”
“จุดเดือดไง...จุดเดือดที่ฉันกับนายนั่นจะระเบิดใส่กันได้ตลอดเวลา” สรนุชว่า
“แต่...”
สรนุชชี้หน้า “ถ้าแกยังไม่เลิกพูด...ฉันให้แกกลับกรุงเทพฯจริงๆ ด้วย”
อรอนงค์ก้มหน้างุด จ๋อยไป ระหว่างนั้นเสียงของชาญณรงค์ดังขึ้นที่หน้าบ้าน
“ ฮัลโหล...ยู้ฮู้”
สรนุชกับอรอนงค์มองหน้ากันด้วยความแปลกใจ

สรนุชกับอรอนงค์ออกมาจากบ้านก็แปลกใจเมื่อเห็นชาญณรงค์ยืนอยู่
“ผู้พัน..?!”
สรนุชกับอรอนงค์เดินลงมาหาชาญณรงค์ด้วยความแปลกใจ
“ผู้พันมีอะไรเหรอคะ”
“ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ...พอดีวันนี้ฉันไปรอต้อนรับพวกเธอแต่ไม่ได้เจอ...ก็เลยมาเซย์ฮัลโหลที่นี่แทน...เป็นยังไง...บ้านช่องห้องหับอยู่กันสบายมั้ย”
“ก็ดีค่ะ...ลมเย็นดี” สรนุชนึกได้ “ทำไมเหรอคะ”
“เอ้า...ฉันก็กลัวว่าจะไม่ถูกใจ...จะย้ายไปอยู่หลังอื่นก็ได้นะ...บ้านฉันมีหลายหลัง”
“เอ่อ...นี่บ้านของผู้พันเหรอคะ”
“ถูกต้อง...”
สรนุชกับอรอนงค์ยิ่งงงเข้าไปอีก
“เหรอคะ...ทำไมชิดชัยไม่เห็นบอกหนูเลย” สรนุชว่า
“ฉันไม่ให้บอกเองแหละ...กลัวว่าพวกหนูจะเกรงใจ...แต่ไม่ต้องห่วงนะฉันไม่เก็บค่าเช่า”
“จะดีเหรอคะ” อรอนงค์กังวล
“ดีซิจ๊ะ...แหม...หนูอรกับพี่ก็ใช่ว่าจะเป็นคนอื่นคนไกล...หนูนุชก็เหมือนกัน...ไม่ต้องเกรงใจเลยนะ...ยังไงเรามันก็พวกเดียวกันอยู่แล้ว”
ชาญณรงค์พยายามเน้นเสียงเพื่อสื่อความหมายให้กับสรนุช
“ถ้ามีอะไรให้ช่วย..บอกเลยนะ...ฉันยินดีช่วยทุกอย่างเพื่อให้ควายมันหมดไปจากที่นี่”
สรนุชได้ยินอย่างนั้นสมองก็เริ่มทำงานทันที
“เห็นว่าผู้พันมีบ้านหลายหลังเหรอคะ”
“อืม...ทำไม...หลังนี้ไม่ถูกใจหรือไง”
“เปล่าค่ะ...แล้วผู้พันมีไร่มีนาหรือที่ดินที่ไม่ใช้ประโยชน์หรือเปล่าคะ”
“เพียบ..! ถามทำไมจ้ะ”
สรนุชยิ้มให้ชาญณรงค์อย่างมีเลศนัย

เวลาต่อมา อรอนงค์ตกใจที่รู้เรื่องแผนการณ์จากสรนุช
“จะสาธิตรถไถเหรอ”
สรนุชเก็บข้าวของต่ออย่างสบายใจ
“ก็ใช่น่ะซิ...ถ้าจะให้ชาวบ้านรู้ว่ารถไถมันดียังไงก็ต้องให้เขาเห็นกับตา...แล้วฉันก็จะใช้ที่ของผู้พันนี่แหละ...เป็นแปลงนาสาธิต”
“แต่ฉันไม่ค่อยชอบให้ผู้พันมายุ่งกับเราเลย...ฉันรู้สึกยังไงไม่รู้”
“ก็ไม่ต้องรู้สึกอะไร...ในเมื่อเขาเป็นฝ่ายเสนอมาเอง...เราไม่ได้เรียกร้องอะไรซักหน่อย”
อรอนงค์เห็นท่าทีของสรนุชก็พยายามจะเตือนสติ
“นุช...แกต้องการชนะคุณใจเด็ดมากเลยเหรอ”
“แน่นอน...ฉันจะทำให้นายนั่นเห็นว่า...ฉันไม่ได้ใช้มารยาอย่างที่นายนั่นว่า”
สรนุชดูหงุดหงิดขึ้นมาทันทีที่พูดถึงใจเด็ด ขณะที่อรอนงค์ก็มองสรนุชอย่างหนักใจ

เวลาต่อมาคืนเดียวกันนั้น อรอนงค์เดินเข้ามาบริเวณริมหนองน้ำแห่งหนึ่ง อรอนงค์มองไปรอบๆ ท่าทางกลัวนิดๆ
“เมี้ยว...เมี้ยว...เมี้ยว”
ทันใดนั้นก็มีเสียงหมาดังขานรับขึ้นมาทันที “ฮ่ง...โฮ่ง..โฮ่ง”
พอสิ้นเสียงสุนัขเห่า อรอนงค์ก็รอแต่ไม่เห็นมีอะไรเคลื่อนไหวก็ทำหน้าเซ็ง ก่อนจะส่งสัญญาณอีก
“เมี้ยว...เมี้ยว”
มีเสียงรับ “โฮ่ง...โฮ่ง”
อรอนงค์รอแต่ก็ไม่เห็นอะไรอีก จึงหยิบท่อนไม้โยนเข้าไปในพุ่มหญ้า แล้วได้ยินเสียงดังโป๊ก !
“เอ้ง...เอ้ง”
พร้อมกับที่ เกริกไกรกำหัวตัวเองออกมาจากพงหญ้า
“โห...ผมเจ็บนะครับคุณอร”
“ก็หมอไม่ยอมออกมาซักทีนี่คะ...เป็นไงบ้างคะ”
“ไม่ถึงกับแตกหรอกครับ”
“ไม่ใช่ค่ะ...อรหมายถึงคุณใจเด็ดใจอ่อนลงบ้างหรือเปล่าคะ”
เกริกไกรทำท่าน้อยใจ “ไอ้เราก็นึกว่าห่วงเรา...”
“หมอ...ฉันมีเวลาไม่มาก...ถ้าไม่รีบกลับยัยนุชต้องสงสัยแน่ๆ...ไงคะ...คุณใจเด็ดอ่อนลงบ้างหรือเปล่า”
“ไม่เลยครับ...แล้วคุณนุชละครับ”
อรอนงค์เศร้าใจ “ก็ไม่เหมือนกันค่ะ”
ว่าแล้วเกริกไกรกับอรอนงค์ก็ถอนหายใจออกมาพร้อมๆ กัน
“เอ่อ...แล้วคุณอรรู้มั้ยครับว่าคุณนุชมีแผนจะโปรโมตรถไถยังไงอีก”
“รู้ค่ะ” เกริกไกรหูผึ่งสนใจขึ้นมาทันที “แต่ฉันบอกไม่ได้...ไม่อย่างนั้นยัยนุชเล่นฉันตายแน่ๆ ค่ะ”
แล้วเกริกไกรกับอรอนงค์ก็ถอนหายใจออกมาพร้อมกันอีก
“แล้วหมอรู้มั้ยคะว่าคุณใจเด็ดจะสู้กับทางคาบาตี้ยังไง”
“รู้ครับ” อรอนงค์อยากรู้เหมือนกัน “แต่ผมก็บอกไม่ได้เหมือนกัน”
แล้วเกริกไกรกับอรอนงค์ก็ถอนหายใจพร้อมกันอีก
“แล้วอย่างนี้เราจะนัดเจอกันทำไมคะ”
“เรื่องนั้นผมรู้ครับ”
อรอนงค์มองเกริกไกรด้วยความสงสัย
“เพราะผมอยากเจอคุณอรไงครับ”
เกริกไกรเอื้อมมือไปจับมืออรอนงค์ อรอนงค์สะบัดมือออกอย่างขวยเขิน
“หมออ่ะ”
“จริงๆ นะครับ...คุณอรไม่รู้เหรอครับว่าที่ผมอยากให้ไอ้เด็ดกับคุณนุชดีกันเพราะอะไร”
“เพราะอะไรคะ”
“เพราะผมไม่อยากปิดซ่อนความรู้สึกของผมไงครับ”
อรอนงค์ก้มหน้างุดอย่างเขินๆ ขณะที่เกริกไกรก็อมยิ้มอย่างมีความสุข

เช้าวันใหม่ที่หนองระบือ สรนุชกับอรอนงค์ยืนรอด้วยความหงุดหงิดที่หน้าคาบาตี้
“นัดกี่โมง...ป่านนี้แล้วทำไมยังไม่มาอีก”
“ใจเย็นซินุช...เดี๋ยวก็มาน่า”
ระหว่างนั้นเสียงเพลงมาร์ชดังขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ สรนุชกับอรอนงค์หันไปมองก็ตกใจเมื่อเห็นชิดชัยเดินนำหน้าเป็นดรัมเมเยอร์ โดยมีวงโยธวาทิตตามมาด้านหลัง
สรนุชถึงกับอึ้งพูดไม่ออก จนกระทั่งชิดชัยนำขบวนแห่มาหยุดต่อหน้าสรนุช
“หยุด.....”
“นี่มันอะไร”
“ก็วงดนตรีที่คุณนุชอยากได้ในการเปิดตัวไงครับ...วงนี้อันดับหนึ่งของจังหวัดเลยนะครับ” ชิดชัยสอพลอ
“ฉันบอกเหรอว่าอยากได้วงดนตรี”
“แล้วนี่ไม่ใช่เหรอครับ”
“ไม่ใช่” สรนุชกุมขมับอย่างกลุ้มใจ
“ไม่ต้องห่วงครับ...ผมได้เผื่อทางเลือกเอาไว้ในกรณีที่คุณนุชไม่ชอบอยู่แล้วครับ”
“คุณชิดชัยมีวงดนตรีอีกวงเหรอคะ”
“เด็ดยิ่งกว่านั้นอีกครับ”
ชิดชัยพยักหน้าให้ลูกน้อง แล้วเสียงเพลงมาร์ชก็ดังขึ้นอีก ลูกน้องเข้าไปดึงผ้าที่คลุมอยู่หลังรถหกล้อออก แล้วสรนุชกับอรอนงค์ยิ่งอึ้งไปเมื่อเห็นบรรดาโคโยตี้กำลังเต้นอยู่บนรถหกล้อ
“นี่เลยครับ...โคโยตี้ที่พลิ้วที่สุดในจังหวัด”
สรนุชโกรธจนตัวสั่น “ใครให้ทำแบบนี้”
ชิดชัยยังไม่รู้ตัว คิดว่าจะได้คำชม “นี่ครับ...มันสมองของผมเองครับ...ผมเห็นว่าบริษัทเราชื่อคาบาตี้...ผมก็เลยใช้โคโยตี้ให้มันคล้ายๆ กัน...เป็นไงครับ...ชอบมั้ยครับคุณนุช”
“เอากลับไปให้หมด” สรนุชตวาดแว้ด
“ห๊า ! อะไรนะครับ”
“ฉันบอกให้เอากลับไปให้หมด”
ชิดชัยเอ๋อ อึกอัก “เอ่อ...” แล้วหันไปตะคอกลูกน้องต่อ “ได้ยินแล้วนี่...บอกพวกนี้เอากลับไปให้หมด”
สรนุชหายใจแรงยังโมโหไม่หาย ระหว่างนั้นสรนุชหันไปเห็นรถหกล้อก็ได้ความคิดขึ้นมา
“เดี๋ยว ! ฉันอยากได้รถคันนั้นเอาไว้ก่อน”
“ยัยนุช...อย่าบอกนะว่าแกจะขึ้นไปเต้นเอง”
สรนุชเหล่มองเอาเรื่อง
อรอนงค์ จ๋อย “อ้าว...ก็ฉันไม่รู้นี่ว่าแกจะเอาไปทำอะไร”
สรนุชมองรถหกล้อด้วยความคิดบางอย่าง

ไม่นานต่อมาสรนุชก็มาอยู่บนรถหกล้อแล้ว มีอรอนงค์อยู่ข้างๆ รอบรถมีป้ายโฆษณารถไถอยู่รอบคัน
ชาวบ้านชาวช่องต่างมองตามด้วยความสนใจ
“สวัสดีคะพ่อแม่พี่น้อง...วันนี้พวกเราชาวคาบาตี้...มาบอกข่าวดีให้กับทุกท่าน...ด้วยโปรโมชั่นสุดพิเศษสำหรับรถไถรุ่นใหม่ที่พวกเราต้องการนำเสนอ”
ชิดชัยกับลูกน้องและพนักงานคนอื่นๆ เดินนำหน้ารถหกล้อคอยแจกใบปลิวให้กับชาวบ้านที่อยู่เรียงรายสองข้างทาง
“บ้าเอ๊ย...สบายจริงจริ๊ง...ให้คนอื่นเดิน...ตัวเองนั่งรถ”
ระหว่างนั้นเห็นเท้าของใครคนนึงก้าวเข้ามาหยุด ก่อนจะเห็นเท้าของคนอื่นๆก้าวเข้ามายืนเคียงข้าง ชิดชัยหันไปกำลังจะแจกใบปลิว แต่แล้วชิดชัยก็ต้องชะงักไป
ส่วนบนรถ...สรนุชยังพูดออกไมค์ต่อเนื่อง
“ถ้าหากทุกท่านสนใจรถไถของเรา...เรามีเงื่อนไขพิเศษที่จะมอบให้ก็คือ...”
จังหวะนั้นอรอนงค์เหมือนเห็นบางอย่างข้างหน้าก็สะกิดสรนุช
“นุช...นุช”
“อะไร...อย่าเพิ่งขัดซิ...ฉันกำลังได้ที่เลย”
อรอนงค์ บุ้ยใบ้ให้ดู “โน่นน่ะ”
สรนุชหันมองไปตามที่อรอนงค์บอก แล้วสรนุชก็ชะงักไปเมื่อเห็นเข้ากับ ใจเด็ด เจนจิรา เกริกไกร ภิรมย์ สมหญิงที่พาควายฝูงใหญ่ยืนทะมึนขวางทางเข้าหมู่บ้านอยู่ พร้อมป้ายต่างๆ เช่น เราไม่ต้องการรถไถ อย่ามาเบียดเบียนแย่งงานควาย ฯลฯ

จังหวะนั้นสรนุชกับใจเด็ดสบตากัน อย่างไม่มีใครยอมถอย
ทางฝั่งเหล่ากระบือบาลต่างมองดูพวกคาบาตี้เขม็ง ใจเด็ดมองไปที่สรนุชอย่างไม่ยอมกัน ขณะที่เกริกไกรมองไปที่อรอนงค์และสรนุชด้วยความลำบากใจ ส่วนเจนจิราหรี่ตามองสรนุชด้วยสายตาชิงชัง

ในขณะที่สรนุชมองนิ่งๆ ไปที่ใจเด็ดเหมือนจะหยั่งเชิง ชิดชัยกับลูกน้องต่างก็มองสรนุชแล้วยิ้มเยาะ
“ดูซิ...จะทำยังไง” ชิดชัยหยัน
ประเมินสถานการณ์แล้วอรอนงค์รีบเดินเข้ามาถามสรนุชทันที
“เอาไงดีนุช...ฉันว่าวันนี้เราถอยไปตั้งหลักก่อนมั้ยอ่ะ”
“ไม่” สรนุชสวนขึ้นทันควัน “ฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อถอยให้ใคร...เอาโทรโข่งมา”
ฝั่งกระบือบาลต่างสงสัยเมื่อเห็นสรนุชหยิบโทรโข่งขึ้นมา ระหว่างนั้นสรนุชก็พูดขึ้น
“พวกเรามาอย่างสันติ...ไม่ต้องการมีเรื่องกับใคร...กรุณาถอยออกจากถนนด้วย”
ทีมกระบือบาล...ต่างมองใจเด็ดเป็นตาเดียวกันว่าจะเอายังไง เจนจิราได้โอกาสเลยเสี้ยมทันที
“พูดอย่างนี้หมายความว่าไง...หาว่าเรามาหาเรื่องหรือไง” ตะโกนโต้สรนุชก่อนจะหันมาบิ้วท์ใจเด็ด “...หัวหน้า...คุณสรนุชคงต้องการทำให้เราเป็นคนไม่ดีในสายตาของชาวบ้าน”
“คุณสรนุชร้ายถึงขนาดนี้เลยเหรอคะ”
สมหญิงหลงคำเสี้ยมของเจนจิราไปหนึ่งคน แต่ใจเด็ดกลับนิ่งครุ่นคิดว่าจะเอายังไง
ระหว่างนั้นสรนุชเร่งเร้าผ่านโทรโข่งอีก
“พวกนายต้องการอะไร...ขอให้ส่งตัวแทนมาพูดจากัน...พวกเราพร้อมปรองดองเพื่อความสุขของคนที่นี่”
จากนั้นสรนุชก็ส่งโทรโข่งคืนให้กับอรอนงค์ อรอนงค์พยายามห้ามปราม
“จะทำอะไรน่ะนุช”
“ก็ไปคุยกับนายนั่นไง...ตอนนี้เรากำลังได้เปรียบ...ชาวบ้านก็เห็นอยู่ว่าเรามาของเราดีๆ...แต่พวกนั้นมาขวางทางเราเอง...แล้วอีกอย่างฉันก็เป็นผู้หญิง...นายนั่นคงไม่กล้าทำอะไรให้เสียคะแนนหรอกน่า” สรนุชบอก
ด้านฝั่งกระบือบาล...ใจเด็ดทำท่าจะเดินออกไปเมื่อเห็นสรนุชเดินมา เกริกไกรรีบห้าม
“ไอ้เด็ด...ให้ฉันไปดีกว่า”
“เดี๋ยวแกก็ใจอ่อนอีก...ฉันไปน่ะแหละ...จะได้รู้ด้วยว่า...ทางนั้นจะมาไม้ไหนอีก”
เจนจิรามองใจเด็ดด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะเอ่ยห้ามพร้อมกับขออาสาขึ้น
“ให้เจนไปดีกว่าค่ะ...” ทุกคนหันมองเจนจิราด้วยความแปลกใจ รวมถึงใจเด็ดด้วย “หัวหน้าก็รู้ว่าคุณสรนุชเล่นละครหลอกเรามาแล้วครั้งนึง...ไม่มีใครดูออกนอกจากเจน...เจนคิดว่า...ผู้หญิงย่อมมองผู้หญิงด้วยกันออกค่ะ”
ใจเด็ดนิ่งคิดตัดสินใจ

สรนุชยืนรออยู่กลางถนน ท่ามกลางความลุ้นระทึกของทุกคน แต่แล้วสรนุชก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นเจนจิราเดินออกมาจากกลุ่มกระบือบาล ทางฝั่งคาบาตี้เองก็แปลกใจ ขณะที่ฝั่งกระบือบาลเองก็ลุ้นแทบหยุดหายใจเหมือนกัน
เจนจิราเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าสรนุช สรนุชมองไปที่ใจเด็ดก่อนจะหันมองมาที่เจนจิรา
“ทำไมนายใจเด็ดไม่ออกมาคุยเอง”
“พี่เด็ดเขาไม่อยากเจอกับมารยาของเธอไง” เจอคำพูดนี้เข้าสรนุชถึงกับชะงัก “ไม่ใช่เพราะพี่เด็ดกลัวเธอนะ...แต่สะอิดสะเอียนมากกว่า”
สรนุชที่ตั้งรับทุกรูปแบบอยู่แล้ว แต่พอเจอเจนจิราเปิดประเด็นมาอย่างนี้ก็อึ้งไปเหมือนกัน
“เจน...ฉันรู้ว่าเธอไม่ชอบฉันเท่าไหร่...แต่ฉันขออธิบายหน่อยได้มั้ย”
“มันไม่สายไปเหรอ...เธอหลอกทุกคนให้คิดว่าเธอเป็นเทพธิดานางฟ้ามาที่นี่...แล้วสุดท้าย..เธอก็ตบหัวพวกเรา”
อรอนงค์มองไปที่สรนุชด้วยความเป็นห่วง “ขอให้ตกลงกันได้ด้วยเถอะ”
ฝั่งกระบือบาล...เกริกไกรเห็นเจนจิราคุยกับสรนุชก็พยายามพูดกับใจเด็ดให้ผ่อนคลาย
“คุยกันดีอย่างนั้น...ฉันว่าต้องตกลงกันได้แน่นอน”
“อย่าเพิ่งมองโลกในแง่ดีเกินไปหมอ”
ใจเด็ดมองไปที่สรนุชกับเจนจิราไม่กระพริบตา
สรนุชพ่นลมหายใจเพื่อตั้งสติใหม่ หลังจากเห็นท่าทีของเจนจิรา
“เอาละ...ถ้าอย่างนั้นเราก็ไม่คุยเรื่องที่ผ่านมากันแล้ว” สรนุชยิงตรงประเด็น “หัวหน้าเธอจะเอายังไง”
“คุณไม่น่าจะถามคำตอบที่คุณรู้อยู่แล้ว”
“แต่คำตอบของเธออาจจะช่วยพวกควายของเธอเอาไว้ก็ได้”
“หมายความว่าไง” เจนจิราประหลาดใจ
“ไปบอกหัวหน้าเธอว่า...ถ้ายินยอมให้พวกเราขายรถไถที่หนองระบือนี่...ฉันจะดูแลควายของเธอเอง” สรนุชบอกเงื่อนไข
เจนจิราได้ยินอย่างนั้นก็นิ่งไป
“แล้วฉันจะเชื่อเธอได้ยังไง”
สรนุชยิ้มค่อยๆ ยื่นมือออกไปเพื่อแสดงความจริงใจ
“ฉันสัญญาด้วยเกรียติของฉันเอง”
ทุกคนเห็นสรนุชยื่นมือออกมาก็แทบไม่เชื่อสายตา เจนจิรามองมือสรนุช ก่อนจะยื่นมือออกมาจับด้วย
“เธอตกลงเหรอ”
สรนุชรีบเข้าไปจับมือเพราะคิดว่าเจนจิราตกลงตามเงื่อนไขของเธอ
แต่แล้วรอยยิ้มของเจนจิราก็เปลี่ยนไป พร้อมกับที่สรนุชรับรู้ได้ถึงแรงบีบอย่างแรงที่มือของเธอ
“คิดว่าฉันโง่เหรอ...เธอมันไม่เหลือเกรียติอะไรให้น่าเชื่อถือแล้ว”
เจนจิราออกแรงบีบที่มือของสรนุชเต็มที่ จนสรนุชต้องสะบัดมือออกด้วยความเจ็บ
“โอ๊ย”
แต่ทันทีที่สรนุชสะบัดมือออก เจนจิราก็ทำทีเป็นล้มลงไปกับพื้นทันที ทั้งฝ่ายกระบือบาลและฝั่งคาบาตี้ต่างก็ตกใจ ท่ามกลางเสียงร้องตกใจของชาวบ้าน
ใจเด็ดเห็นอย่างนั้นก็ตกใจ “เจน”
ใจเด็ดกับฝ่ายกระบือบาลรีบวิ่งเข้ามาที่สรนุชและเจนจิรา ขณะที่อรอนงค์และฝ่ายคาบาตี้ก็วิ่งมาที่สรนุชเช่นกัน
ใจเด็ดรีบเข้ามาดูเจนจิราด้วยความเป็นห่วง “เป็นไรหรือเปล่าเจน”
“ไม่เป็นไรค่ะ” เจนจิราพูดเสียงอ่อยๆ
ใจเด็ดหันขวับมองไปที่สรนุชทันที สรนุชพยายามจะอธิบาย
“ฉันไม่ได้ทำอะไรนะ”
“ขนาดผมเห็นกับตาว่าคุณเป็นคนผลักเจนล้มลงอย่างนี้...คุณยังบอกอีกเหรอว่าคุณไม่ได้ทำ”
“ก็ฉันไม่ได้ทำ” สรนุชยืนกรานเสียงกร้าว
“พอได้แล้ว...เลิกเสแสร้งเป็นคนดีซะที”
“ว่าไงนะ”
อรอนงค์กับเกริกไกรที่ยืนอยู่ต่างก็รีบเข้ามาแทรกกลางเพราะกลัวจะเกิดเรื่องใหญ่โต
“ไปเถอะนุช”
“ไม่...ฉันไม่ได้ทำอะไรผิด...ทำไมฉันต้องหนีด้วย”
“เอ่อ...แต่ชาวบ้านมองพวกเราอยู่นะ” อรอนงค์เตือนสติ
สรนุชหันมองไปก็เห็นชาวบ้านต่างมองมาที่เธอแล้วจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์ สรนุชเริ่มอ่อนลงเพราะได้สติ
อรอนงค์รีบดึงสรนุชออกไป เจนจิราแอบยิ้มดีใจที่ใจเด็ดเป็นห่วงเธอ สรนุชหันมาเห็นรอยยิ้มของเจนจิราพอดี รู้ทันทีว่าเธอเสียรู้เจนจิราซะแล้ว


สรนุชเดินดุ่ยๆ มาตามถนนด้วยความอัดอั้นใจ มีอรอนงค์คอยวิ่งตาม ชิดชัยกับลูกน้องเดินตามมาติดๆ ชิดชัยได้โอกาสก็สอพลอทันที
“มันต้องอย่างนี้ซิครับคุณนุช...ทำอย่างนี้มันจะได้รู้ว่าเราไม่ได้กลัวพวกมัน”
“ใช่ครับ...ท่าที่คุณนุชบิดมือนังกระบือบาลสาวคนนั้นเนี่ย...ยังติดตาผมอยู่เลยนะครับเนี่ย”
สรนุชได้ยินอย่างนั้นก็หันขวับมาระเบิดอารมณ์ที่อัดอั้นใส่ทันที
“ถ้าพวกนายยังไม่เลิกพูดเรื่องนี้...ฉันจะไล่ออกทุกคน”
ชิดชัยกับลูกน้องได้ยินอย่างนั้นก็ถึงกับผงะไป อรอนงค์รีบเข้ามาถามด้วยความเป็นห่วง
“นุช...ฉันว่าแก...”
สรนุชรีบพูดสวนขึ้น “เดี๋ยวอร...ก่อนที่แกจะพูดอะไร...ขอเวลาฉันแป๊บนึง”
ว่าแล้วสรนุชก็รีบเดินออกไปทันที อรอนงค์ ชิดชัยและลูกน้องต่างมองตามด้วยความแปลกใจ

สรนุชเดินมาถึงที่โล่งแห่งหนึ่งก่อนจะหยุด แล้วทันใดนั้นสรนุชก็กรี๊ดออกมาดังลั่นทุ่ง
“อ๊ายยย”
เสียงร้องของสรนุช ทำให้นกบริเวณแตกรังด้วยความตกใจ
สรนุชหายใจหอบโยนด้วยความเจ็บใจที่ทุกอย่างไม่เป็นอย่างใจ

เหล่ากระบือบาลกลับมาที่สถานีบำรุงพันธุ์สัตว์ ใจเด็ดกำลังเอาผ้ายืดพันที่ข้อมือของเจนจิรา ขณะที่ทุกคนยืนรายล้อมด้วยความเป็นห่วง ใจเด็ดแปลกใจเมื่อได้ยินเจนจิราเล่า
“จะให้เงินอุดหนุนสถานีแลกกับการให้เขาขายรถไถเหรอ”
เจนจิราตีหน้าเศร้า
“ค่ะ”
เกริกไกรมองเจนจิราด้วยความแปลกใจจึงทักขึ้น
“แต่ฉันเห็นเธอยื่นมือออกไปขอจับมือกับคุณนุช”
เจนจิราชะงัก “เอ่อ...”
ระหว่างนั้นสมหญิงพูดขึ้นอย่างเห็นใจเจนจิรา
“แค่นี้หมอยังไม่รู้อีกเหรอคะ...มันก็แค่ลูกเล่นของคุณนุชไงคะ”
“ใช่ๆ...หนอย...เห็นหน้าสวยๆ อย่างนั้น...ไม่คิดเลยว่าจะร้ายขนาดนี้” ภิรมย์ว่า
เจนจิรานิ่งไปด้วยสีหน้าลำบากใจ “ขอบใจทุกคนที่เข้าใจเจนนะคะ”
ว่าแล้วเจนจิราก็เอื้อมมือไปจับมือสมหญิง ก่อนที่เจนจิราจะสะดุ้งด้วยความเจ็บ
“โอ๊ย”
ใจเด็ดได้ยินอย่างนั้นก็รีบเข้ามาดูเจนจิราด้วยความเป็นห่วง
“พี่ว่าช่วงนี้เจนอย่าขยับมือดีกว่า”
เจนจิรามองใจเด็ดด้วยสีหน้าที่เปี่ยมสุข เกริกไกรเหล่มองเจนจิราด้วยความสงสัย
“คุณนุชไม่น่าใช่คนอย่างนั้นนะเจน”
เจนจิราชะงักไป สมหญิงรีบตอบแทนเจนจิรา
“หมอกำลังจะบอกว่าคุณเจนใส่ร้ายคุณนุชเหรอคะ”
“ฉันไม่ได้บอกว่าเธอใส่ร้าย...แต่เท่าที่เรารู้จักเธอ...เธอไม่ได้เป็นคนอย่างนั้น”
“ทั้งพวกเรา...ทั้งชาวบ้านโดนหลอกมาครั้งนึงแล้ว...หมอยังจะให้พวกนั้นหลอกได้อีกเหรอคะ” สมหญิงบอก
“ใช่ครับ...ก็เห็นๆ อยู่ว่าคุณเจนโดนคุณนุชผลักล้มลง” ภิรมย์ผสมโรง
“แต่ตรงนั้นมีเธอกับคุณนุชแค่สองคน...ฉันว่ามันต้องถามทั้งสองฝ่าย”
เจนจิราเหล่มองใจเด็ดก็กลัวว่าจะเอนเอียงไปทางเกริกไกรก็หน้าเจื่อนลง
“ไม่ต้องถามหรอกค่ะ ยังไงหมอก็ต้องเชื่อพวกคาบาตี้อยู่แล้ว เพราะคุณอรเธออยู่ฝ่ายนั่นนี่” สมหญิงประชด
“เรื่องนี้คุณอรไม่เกี่ยว”
ทันใดนั้นใจเด็ดก็โพล่งขึ้นเพื่อยุติศึกน้ำลาย
“พอได้แล้ว” ทั้งหมดเงียบลง “หมอ...ฉันเชื่อในสิ่งที่ฉันเห็น”
เกริกไกรจะพูดทักท้วง “ไอ้เด็ด...”
ใจเด็ดสวนขึ้น “พวกนั้นไม่ได้ดีอย่างที่เราคิด...ฉันพูดแค่นี้...คิดว่าหมอน่าจะเข้าใจนะ”
เกริกไกรถึงกับพูดไม่ออกเมื่อเห็นท่าทีของใจเด็ด เจนจิรามองใจเด็ดด้วยความปลาบปลื้มที่ใจเด็ดเข้าข้างตน
ใจเด็ดคิดไปถึงสรนุชก็ยิ่งโกรธเธอมากขึ้น

สรนุชทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ตัวเองในห้องทำงานอย่างหัวเสีย
“ฉันบอกว่าฉันไม่ได้ทำ”
“แล้วทำไมคุณเจนถึงได้ล้มลงไปอย่างนั้นละ”
สรนุชโชว์มือให้อรอนงค์ดู
“ฉันต่างหากที่โดนทำ...แกเห็นมั้ย...ยัยนั่นบีบมือฉันจนเป็นรอยอย่างนี้...ฉันเจ็บ...ฉันก็สะบัดออก...ก็เท่านั้น”
“แกกำลังจะบอกว่าคุณเจนแกเล่นละครใส่ร้ายแกหรือไง”
“ฉันคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้...อร...ท่าทางเกมคงจะยากกว่าที่คิด”
สรนุชหรี่ตาลงอย่างใช้สมอง อรอนงค์หนักใจ
ระหว่างนั้นเสียงมือถือของสรนุชดังขึ้น สรนุชหยิบขึ้นมาดู แล้วก็ชะงักไป

สมพละกำลังเดินไปมาในห้องทำงาน ขณะที่คุยมือถือกับสรนุช
“ไม่มีอะไร...พ่อแค่จะโทรมาถามว่าเป็นไงบ้าง...อยู่กันได้มั้ย”
สรนุชทำหน้าเซ็ง อรอนงค์รีบจับมุมปากของสรนุชให้ฉีกยิ้ม
“หนูอยู่มาได้ถึงสามเดือน...ทำไมหนูจะอยู่ไม่ได้ล่ะคะ...หนูว่าคุณสมพลคงต้องการถามเรื่องยอดขายมากกว่าค่ะ”
“เปล่าๆ...พ่อไม่ได้จะถามเรื่องนั้น...เพราะพ่อมั่นใจในศักยภาพของหนูอยู่แล้ว...แล้วอีกอย่าง...หนูนุชก็คงไม่อยากให้คุณพ่อหนูเสียชื่อหรอก...จริงมั้ย”
สรนุชรู้ทันทีว่าสมพลกำลังกดดันเธอโดยเอาพ่อเธอมาอ้าง
สมพลแอบยิ้มร้าย แต่แล้วระหว่างนั้นพิภพก็เปิดประตูเข้ามาในห้อง สมพลเห็นก็แปลกใจ
“พิภพ...แกเข้ามาทำไม”
“ก็เข้ามาเซ็นเอกสารไง...เห็นว่าแค่เรื่องเดียวฉันเดินมาเซ็นเองคงจะเร็วกว่า...คุยต่อไปเถอะ...ฉันจัดการเองได้”
สรนุชได้ยินการสนทนาระหว่างสมพลกับพิภพ
พิภพเดินมาลงนั่งที่โต๊ะของสมพลก่อนจะเปิดเอกสารขึ้นอ่าน ก่อนจะเจอเอกสารที่หา พิภพมองไปรอบๆ ก่อนจะเห็นปากกาที่หน้าอกของสมพล
พิภพลุกขึ้นแล้วหยิบปากกาที่หน้าอกสมพลไปเลยเหมือนไม่ให้เกียรติสมพล
ระหว่างเซ็นพิภพก็ชวนสมพลคุย “ไง...ว่าที่ลูกสะใภ้ขายได้สักคันหรือยัง”
ความรู้สึกสมพลพุ่งปรี้ดทันที
“เป็นถึงผู้บริหาร...ไม่น่าถามอะไรโง่ๆ นะพิภพ...ผมกำลังคุยกับคุณสรนุช...เธอโทร.มารายงานว่าแค่วันแรกที่เธอไป...ก็มียอดจองเข้ามาแล้วสิบสองคัน”
สรนุชได้ยินอย่างนั้นก็ตกใจ “สิบสองคัน”
สมพลยิ้มแล้วเกทับพิภพ
“ถูกต้อง...ไง...คราวนี้อะไรๆ ที่หวังไว้...ก็อย่าหวังให้มันสูงแล้วกัน...ตกมาแล้วมันจะเจ็บ”
พิภพเซ็นเสร็จก็ลุกขึ้นก่อนจะเอาปากกามาเสียบไว้ที่หน้าอกของสมพลตามเดิม
“เกมมันเพิ่งเริ่ม”
พิภพตบที่หน้าอกของสมพลเบาๆ ก่อนจะเดินยิ้มเยาะออกไป
สมพลมองตามด้วยความเจ็บใจก่อนจะค่อยๆ ยกมือถือขึ้นมาพูด
“หนูนุชคงได้ยินแล้วใช่มั้ย...พ่อฝากด้วยนะ”

ที่บริษัทคาบาตี้สาขาสุรินทร์ ในห้องทำงานสรนุช อรอนงค์ตกใจเช่นเดียวกับสรนุช
“สิบสองคันในหนึ่งเดือน”
สรนุชทำหน้าเซ็ง “ก็ใช่น่ะซิ...ทำไมคนที่ซวยต้องเป็นฉันด้วยเนี่ย”
“โห...แล้วแกจะทำไง...ที่นี่น่ะสองเดือนขายได้คันนึงก็เก่งแล้ว”
สรนุชนิ่งครุ่นคิด ก่อนจะกดโทรศัพท์ต่อสายภายใน “เข้ามาพบฉันหน่อย”
สรนุชวางสาย อรอนงค์แปลกใจ “แกมีแผนแล้วเหรอ”
ยังไม่ทันที่สรนุชจะตอบ มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“เข้ามา”
ชิดชัยเปิดประตูเข้ามาในห้อง “มีอะไรให้รับใช้ครับคุณนุช”
“ฉันต้องการขายให้ได้สามคันภายในอาทิตย์นี้”
“ห๊า ! เอ่อ...แล้วคุณนุชจะให้เราขายยังไงเหรอครับ”
“ยังไงก็ได้...ฉันไม่สนว่านายจะใช้วิธีอะไร...แต่ฉันต้องการเห็นยอดขายเพิ่มขึ้น”
สรนุชนิ่งไปอย่างมุ่งมั่น

ด้านชาญณรงค์กำลังนอนให้สมคิดทาครีมกันแดด ผลจากเมื่อตอนกลางวัน
“เบาๆซิวะ...แสบนะเว้ย...ไม่เข้าใจจริงว่าไอ้พวกชาวนามันทำนากันได้ยังไงกลางแดดอย่างนั้น...อูย”
“นายไม่คิดได้ยินเหรอครับว่าถ้าเราอยู่กับอะไรมากๆ มันก็เหมือนจะเหมือนอย่างนั้น...ไอ้ชาวนาพวกนั้นคงอยู่กับควายจนชินก็เลยหนังหนาเหมือนกัน”
ระหว่างนั้นช่อผกาเดินยิ้มอย่างมีความสุขเข้ามาก่อนจะแปลกใจเมื่อเห็นชาญณรงค์
“เป็นไรน่ะพ่อ”
“จะเป็นอะไร...ก็คุณสรนุชบอกว่าวันนี้จะมีการโชว์รถไถสาธิต...พ่อก็เลยไปรอตั้งแต่เช้า...จนป่านนี้ก็ยังไม่เห็น...หึ...เห็นฉันเป็นหัวหลักหัวตอหรือไง”
ชาญณรงค์ยิ่งพูดก็ยิ่งเจ็บใจ แต่ช่อผกาได้ยินอย่างนั้นก็ยิ้มดีใจแทน
“นี่พ่อไม่รู้เหรอว่ายัยนั่นน่ะโดนพี่เด็ดเอาควายมาขวางถนนเอาไว้”
“อะไรนะ”
“หุๆ...นี่ฉันได้ยินมานะพ่อ...ว่ายัยนั่นเนี่ยหน้าแตกละเอียดกลับคาบาตี้ของมันไปเลย” แล้วนึกได้ที่พ่อพูด “เมื่อกี้พ่อบอกว่าพวกมันจะเอารถไถมาไถโชว์ในที่ของเราเหรอ”
“เออซิวะ”
“ไม่ได้ละ...ต้องไปบอกพี่เด็ดก่อน”
ช่อผกาจะเดินออกไป ชาญณรงค์คว้าผมจิกหมับเอาไว้
“แกจะไปบอกมันทำไม...ห๊ะ ! สมองแกน่ะมีมั้ย...แกรู้ไหม๊ถ้าชาวบ้านเกิดอยากได้รถไถขึ้นมา...มันก็ไม่มีปัญญาซื้อก็ต้องมากู้เงินฉันไปซื้อ...ฉันก็ได้ลูกหนี้เพิ่ม แล้วถ้าพวกมันสนใจมากๆ ฉันก็จะซื้อรถไถให้พวกมันเช่าไถน่าคิดค่าเช่าเป็นชั่วโมง...มีแต่เงินไหลมาเทมา”
“แต่พี่เด็ดไม่ไหลมานี่พ่อ”
“ก็ไอ้ใจเด็ดไม่ใช่น้ำนี่ครับ” สมคิดสอดขึ้น
ช่อผกาหันไปทำปากแต่ไม่ออกเสียง “เสือก” แล้วหันมาคุยกับชาญณรงค์ “พ่อ...เงินเราก็มีเยอะแล้ว...แต่ที่เรายังไม่มี...ก็คือครอบครัวที่อบอุ่นนะพ่อ...พ่อคิดดูนะ...หนูกับพี่เด็ดพอแต่งงานกัน...ก็จะมีหลานตัวเล็กๆ มาให้พ่อเลี้ยงซักโหลนึงดีมั้ยพ่อ”
“พอเลยนังนี่...แค่แกคนเดียวฉันก็กลุ้มใจไม่รู้จะยังไงแล้ว...เกิดลูกแกได้เชื้อโง่จากแกมาอีก...ฉันไม่แย่เหรอไง”
“พ่ออ่ะ...ไม่คุยด้วยแล้ว”
ช่อผกาหันหลังแล้วเดินออกจากบ้านไปเลย
“เอ้า...จะไปไหนอีก...นี่มันจะค่ำแล้วนะเว้ยนังผกา”

ด้านสรนุชกำลังคิดหมกมุ่นหนักกับวิธีที่จะขายรถไถให้ได้ ระหว่างนั้นสรนุชวางปากกาลงอย่างหงุดหงิดก่อนจะนึกไปถึงเรื่องการเผชิญหน้ากันเมื่อตอนกลางวัน
ใจเด็ดรีบเข้ามาดูเจนจิราด้วยความเป็นห่วงหลังจากที่เจนจิราล้มลง
ใจเด็ดรีบเข้ามาดูเจนจิราด้วยความเป็นห่วง “เป็นไรหรือเปล่าเจน”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
ใจเด็ดหันมองไปที่สรนุชทันที สรนุชพยายามจะอธิบาย
“ฉันไม่ได้ทำอะไรนะ”
“ขนาดผมเห็นกับตาว่าคุณเป็นคนผลักเจนล้มลงอย่างนี้...คุณยังบอกอีกเหรอว่าคุณไม่ได้ทำ”
“ก็ฉันไม่ได้ทำ”
“พอได้แล้ว...เลิกเสแสร้งเป็นคนดีซะที”

นึกถึงตอนนี้ สรนุชทุบโต๊ะด้วยความโมโห “ไม่ได้...ฉันจะปล่อยให้มันเป็นอย่างนี้ไม่ได้”
ว่าแล้วสรนุชก็ลุกเดินออกจากไป

คืนนั้นใจเด็ดกำลังนั่งทำสถิติของควายอยู่ภายในบ้านพัก ระหว่างนั้นใจเด็ดวางปากกาลงก่อนจะนึกไปถึงเรื่องของสรนุชกับโชคชัย
สรนุชเจอกับใจเด็ดที่หน้าที่ทำการอบต. แล้วมีโชคชัยเข้ามาแทรก ใจเด็ดปรี่เข้ามาหาสรนุช
“นายจะทำอะไร...ถอยไปนะ...ไม่อย่างนั้นฉันจะร้องให้คนช่วย...ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย”
ระหว่างนั้นโชคชัยวิ่งเข้ามาพอดี
“คุณนุช”
โชคชัยปราดเข้ามาผลักใจเด็ดเพราะคิดว่าใจเด็ดจะทำร้ายสรนุช สรนุชได้ทีเลยเล่นละครต่อ
“ช่วยด้วยค่ะคุณโชค...เขาจะทำร้ายฉัน”
“เฮอะ...ทำร้าย..? ถ้าทำร้ายมันต้องอย่างนี้ต่างหาก”
ใจเด็ดจะเข้าไปหาสรนุช แต่แล้วโชคชัยก็เอาตัวเข้ามาบัง ใจเด็ดชะงักรู้ได้ทันทีว่าโชคชัยคิดยังไง

ใจเด็ดพยายามสลัดความคิดออก แต่แล้วขณะที่ใจเด็ดกำลังจะทำงานต่อ อาการปวดหัวของเขาก็กำเริบ
“อ้าก”
ใจเด็ดดิ้นทุรนทุรายก่อนจะที่เขาจะพยายามเปิดลิ้นชักเพื่อหยิบยาแก้ปวดขึ้นมา ก่อนจะรีบกินมันทันที

คืนนั้นระหว่างที่ช่อผกาขับมอเตอร์ไซค์เข้ามาจอดที่หน้าสถานี เห็นคนงานคนหนึ่งเลื่อนประตูเล็กกำลังจะปิด
“เดี๋ยวๆ...”
ช่อผกาบีบแตรเสียงดังลั่น ก่อนจะมาหยุดที่หน้าประตู
“นี่...จะรีบปิดไปไหน...พี่เด็ดอยู่ไหนรู้มั้ย”
“สงสัยอยู่ที่บ้านพักแล้วครับ”
ช่อผกาผุดยิ้มร้าย ออกมาคิดแผนลึกล้ำขึ้นมาทันที


ใจเด็ดนอนอยู่ที่โซฟาในบ้านพัก สายตาของใจเด็ด เห็นภาพทุกอย่างเบลอๆ ระหว่างนั้นเสียงเคาะประตูดังขึ้น ใจเด็ดค่อยๆหันมองไปที่ประตู
ใจเด็ดถามเสียงแหบแห้งแผ่วเบา “ใคร”
แต่ยังไม่ทันที่ใจเด็ดจะลุกไปเปิด เขาก็เห็นประตูค่อยๆ เปิดออก ใจเด็ดพยายามเพ่งมองภาพแต่ที่เขาเห็นก็คือภาพของผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่หน้าประตู
“พี่เด็ด...เป็นอะไรคะ”
ผู้หญิงคนนั้นเข้ามาหาใจเด็ดด้วยความเป็นห่วง ใจเด็ดต้องตะลึงเมื่อเห็นว่าผู้หญิงคนนั้นคือสรนุช
“คุณ”
“อะไรคะ...ทำเหมือนไม่เคยเห็น...พี่เด็ดเป็นไรคะเนี่ย”
ใจเด็ดที่กำลังสะลึมสะลือ พยายามปัดไม้ปัดมือสรนุชออก
“ไม่ต้องมายุ่งกับผม...ปล่อย”
“จะไปไหนล่ะคะ”
ใจเด็ดที่พยายามหนีแต่เพราะฤทธิ์ยากำลังออกฤทธิ์เต็มที่ ทำให้ใจเด็ดเสียหลักล้มลงไปพร้อมกับสรนุชที่ประคองกันอยู่
ใจเด็ดถึงกับอึ้งไปเมื่อเห็นใบหน้าของสรนุชใกล้ไม่ถึงคืบ สรนุชค่อยๆ หลับตาลงพร้อมกับเลื่อนริมฝีปากเข้ามาใกล้ปากใจเด็ด ใจเด็ดค่อยๆ หลับตาลง

แต่ยังไม่ทันที่สรนุชกำลังจะจูบใจเด็ด เสียงของเจนจิราก็ดังขึ้น
“ทำอะไรน่ะผกา”
ใจเด็ดได้ยินอย่างนั้นก็พยายามมองไปที่ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้า แล้วใจเด็ดก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าเป็นช่อผกา ไม่ใช่สรนุช
“ผกา”
“ก็ผกาน่ะซิคะ...แล้วพี่เด็ดคิดว่าใคร”
เจนจิราปรี่เข้ามาจากประตูก่อนจะรีบกระชากร่างของช่อผกาออกจากตัวของใจเด็ด ใจเด็ดสะลึมสะลือเต็มที แล้วใจเด็ดก็สลบไปในที่สุด เกริกไกรรีบเข้ามาดูใจเด็ด
“ไอ้เด็ด...ไอ้เด็ด...” บอกกับทุกคน “หลับไปแล้ว”
“ย่องเข้าหาผู้ชายอย่างนี้...ไม่รักศักดิ์ศรีตัวเองบ้างหรือไง” เจนจิราเปิดฉากด่า
“ศักดิ์ศรีฉันก็รัก...แต่ฉันรักพี่เด็ดมากกว่า” ช่อผกาไม่สน
“หน้าด้าน...”
“หน้าด้านอะไร...ไม่เห็นหรือไงว่าฉันกับพี่เด็ดรักกัน...ไม่อย่างนั้นพี่เด็ดจะยอมนอนนิ่งๆ ให้ฉัน...” ช่อผกาทำท่าจูบเย้ยเจนจิรา
“ผกา...ที่ไอ้เด็ดมันไม่ขัดขืนเธอเพราะยานอนหลับอย่างแรงนี่ต่างหาก”
ช่อผกาหน้าเจื่อนลง แต่ยังไม่ยอมแพ้
“ไม่รู้แหละ...ยังไงพี่เด็ดก็ต้องรับผิดชอบผกา”
“เธอยังจะกล้าพูดอีกเหรอ...ไปเลยนะ...ก่อนที่ฉันจะเอาควายมาลากเธอออกไป...ไป๊”
เจนจิราคว้าไม้กวาดขึ้นทำท่าจะตีช่อผกา จนทำให้ช่อผกาต้องรีบโกยอ้าวทันที
“อ๊าย...นังบ้า”
เจนจิราโยนไม้กวาดทิ้งก่อนจะรีบเข้ามาหาใจเด็ด “พี่เด็ด...พี่เด็ด”
“อย่าไปเรียกมันเลยเจน...ไอ้เด็ดไม่เป็นไรหรอก...ไป...ช่วยฉันแบกมันขึ้นไปนอนที่ห้องหน่อย”

เกริกไกรกับเจนจิราเข้ามาช่วยพยุงใจเด็ด












Create Date : 12 เมษายน 2555
Last Update : 12 เมษายน 2555 16:37:12 น.
Counter : 290 Pageviews.

0 comment
กระบือบาล ตอนที่ 11



จอภาพในกล้องดิจิตอลที่กำลังถ่ายอยู่ในเวลานั้น เป็นภาพของสุบินในชุดทักซิโด้ ดูดีกว่าที่เคยเห็น สุบินกำลังยิ้มร่าด้วยความดีใจสุดๆ ในมือถือถ้วยรางวัล

“รู้สึกเป็นเกรียติอย่างยิ่งสำหรับรางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยม...ที่จริงแล้ว...ผมไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้สัมผัสกับรางวัลนี้มาตลอดชีวิต...จนกระทั่ง”
ระหว่างนั้นเสียงของอรอนงค์พูดแทรกขึ้น
“ยัยนุชเช่าชุดทักซิโด้มาให้แก”
เป็นอรอนงค์กำลังถ่ายวิดีโอให้กับสุบินที่ยืนอยู่มุมหนึ่งในห้องตัวเอง
“เฮ้ย ! แกจะพูดให้เสียฟีลทำไมเนี่ย...เอาใหม่..คัทๆๆ”
“ไม่ถ่ายให้แล้ว...อยากถ่ายก็ถ่ายเอง”
“โธ่...นะอรนะ...ฉันไม่รู้ว่าฉันจะมีโอกาสได้ใส่ชุดอย่างนี้อีกหรือเปล่า..ฉันแค่อยากสร้างจินตนาการเอาไว้...เผื่อวันไหนฉันขึ้นไปรับรางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยม...จะได้ไม่เขินไง”
“แต่ฉันว่าชุดที่ยัยนุชเช่าให้แกเนี่ย...ไม่เหมาะจะขึ้นไปรับรางวัลหรอก”
“แล้วเหมาะกับอะไร”
“เหมาะที่เป็นบ๋อยในร้านอาหารมากกว่า”
“โห...เสียเลย...พูดอย่างนี้เดี๋ยวก็ไม่ไปเป็นเพื่อนเลย”
“เหรอ...จริงอ่ะ...ชอบของฟรีไม่ใช่เหรอ”
สุบินค้อนให้ที่ดันรู้ทัน “ไม่ได้ชอบ...แต่เสียดาย...แล้วตกลงนุชมันบอกแกหรือเปล่าว่าเป็นงานอะไร”
“เห็นบอกว่าเป็นงานเลี้ยงรับตำแหน่งที่ปรึกษาของพ่อนุชน่ะ”
“เหรอ...ฉันอยากรู้จริงๆว่าบริษัทอะไรถึงได้ให้นายทหารระดับพ่อนุชไปเป็นที่ปรึกษาด้วย”
สุบินทำหน้าครุ่นคิดสงสัย

ค่ำคืนนั้นใจเด็ดนั่งอยู่ในร้านอาหารหรู ในโรงแรมห้าดาวกลาง มุมที่เขานั่งสามารถมองเห็นแสงไฟระยิบระยับของกรุงเทพฯ ยามราตรี กับนักธุรกิจคนหนึ่ง โดยมีเกริกไกรนั่งอยู่โต๊ะถัดไปคอยชำเลืองมองอยู่ทุกการเคลื่อนไหว
เช่นเดียวกับคนอื่นๆ ที่นั่งอยู่ในที่แห่งนั้นต่างพากันซุบซิบเม้าท์แตกกับสภาพและการแต่งตัวสไตล์หนุ่มภูธรของใจเด็ด
“เรื่องที่ดินผืนนั้น...ผมเองก็เคยคุยกับคุณใจจอมหลายครั้งแล้ว” นักธุรกิจเอ่ยขึ้น
ใจเด็ดมีสีหน้าแสดงออกถึงความดีใจ “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีปัญหาอะไรใช่มั้ยครับ”
นักธุรกิจทำหน้าเบ๊ไปนิดก่อนจะพูดขึ้น
“ไม่มีหรอกครับ...เพราะผมเองก็ชอบที่ผืนนั้น...จะติดอยู่อย่างเดียว”
“อะไรครับ”
“คุณใจจอมแกไม่ยอมขายที่ผืนนั้น” ใจเด็ดชะงักไป นักธุรกิจคนนั้นจึงพูดต่อ “แต่ถ้าคุณใจเด็ดสามารถพูดกับคุณใจจอมได้...ผมก็ยินดีที่จะซื้อทันที...ถ้าคุณคุยกับคุณใจจอมรู้เรื่องแล้ว...ยังไงติดต่อผมได้เลยนะครับ”
ว่าแล้วนักธุรกิจคนนั้นก็ลุกออกไป เกริกไกรรีบปรี่เข้ามาหาใจเด็ดทันที
“เป็นไงวะ...ขายได้มั้ย”
ใจเด็ดสีหน้าเครียดลงเพราะมีปัญหาใหญ่รออยู่ตรงหน้า

โรงแรมหรูแห่งเดียวกันนั้น สรนุชในชุดราตรีหรูเดินเข้ามาที่หน้าลิฟต์ก่อนจะเรียกลิฟต์แล้วยืนรอ โดยไม่เห็นเลยว่าใจเด็ดกำลังเดินออกมาจากห้องอาหาร เกริกไกรตามมาข้างหลัง ต่างคนต่างไม่เห็นกัน
“เดี๋ยวก่อนซิวะ...เขาไม่ซื้อหรือไง” เกริกไกรเซ้าซี้ถาม
“ซื้อ...แต่พ่อฉันไม่ยอมขาย...แล้วแกจะให้ฉันบอกพ่อฉันยังไง”
ระหว่างนั้นลิฟต์ที่สรนุชเรียกมาพอดี ประตูลิฟต์เปิดออก สรนุชก้าวเข้าไปในลิฟต์ก่อนจะหันหน้าออกมามองด้านนอก เป็นจังหวะเดียวกับที่ใจเด็ดหันมาเห็นพอดี
“คุณนุช”
ประตูลิฟต์ปิดลงโดยที่สรนุชไม่ทันได้เห็นใจเด็ดที่กำลังวิ่งเข้ามา

สรนุชได้ยินเสียงคุ้นหูของใจเด็ดแว่วมาก็พยายามจะชะโงกหน้าออกไปดู แต่ก็ไม่ทันเพราะประตูลิฟต์เลื่อนปิดซะก่อน
สรนุชแปลกใจนิดๆ “หูแว่วเหรอเรา”

ใจเด็ดกำลังอึ้งอยู่ที่เห็นสรนุช ใจเด็ดตรงเข้าไปกดลิฟต์ เกริกไกรเข้ามาถามด้วยความแปลกใจ
“มีอะไร”
“เมื่อกี้แกไม่เห็นคุณนุชเหรอ”
“อะไรนะ”
ใจเด็ดหันมองรอบๆ ก็เห็นแท่นป้ายบอกสถานที่จัดงานอยู่ข้างๆ ลิฟต์ ใจเด็ดรีบวิ่งเข้าไปดู
ใจเด็ดเห็นป้าย ‘งานของบริษัทคาบาตี้ แสดงความยินดีกับตำแหน่งใหม่ของพลเอกสุรยุทธ’
“งานเลี้ยงพวกคาบาตี้”
ใจเด็ดสีหน้าเครียดขึ้นมาทันที

บรรยากาศในงานเลี้ยงตกแต่งอย่างเรียบๆ แต่ดูดีสมกับงานเลี้ยงต้อนรับ ช่างภาพสื่อมวลชนรุมทำข่าว แสงแฟลชวูบวาบไปทั้งงาน แขกส่วนใหญ่ซึ่งเป็นนักธุรกิจมาร่วมงานไม่ขาดสาย
ที่โต๊ะหนึ่งในงาน บริเวณหน้าเวทีสมพลนั่งอยู่กับสุรยุทธและคุณหญิงเลิศหล้า มีพิภพกับผู้ถือหุ้นบางส่วนนั่งอยู่ด้วย พิภพยกแก้วไวน์ขึ้นดื่มก่อนจะกระแทกแก้วลงกับโต๊ะอย่างมีอารมณ์
สมพลได้ทีจึงรีบพูดข่ม “ท่าทางคุณพิภพคงจะดีใจมากที่ได้ท่านสุรยุทธรับเกรียติมาเป็นที่ปรึกษาให้กับคาบาตี้ของเรา...ดูซิ...ดื่มฉลองให้ท่านไม่วางแก้วเลย”
พิภพชะงักเหล่มองสมพล
“ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณที่ไว้ใจผม...” สรยุทธเอ่ยขึ้น
“ก็ดีเหมือนกันครับท่าน...มีท่านเป็นที่ปรึกษา...เพราะผมเชื่อว่าผู้บริหารบางคนก็ทำงานไม่เป็น...เป็นแต่จะรักษาอำนาจของตัวเองเอาไว้” พิภพแขวะสมพล
สมพลชะงักเหล่มองพิภพทันที สุรยุทรกับเลิศหล้ามองหน้ากันไม่เข้าใจคำพูดของพิภพ
“พิภพ..! ผมว่าคุณคงจะดื่มมากไปแล้ว” สมพลฉุนมากๆ
“ขอตัวนะครับท่าน”
พิภพทำเสียงครางในลำคอแล้วลุกขึ้นไม่สนใจก่อนจะหันไปหยิบแก้วไวน์ที่เด็กเสิร์ฟกำลังเดินผ่านแล้วเดินออกไป
“ไม่ไหว...ผมว่าเราอย่าไปสนใจดีกว่าครับ...เอ่อ...ไม่เห็นหนูนุชเลยครับ”
“ถึงแล้วล่ะคะ...เมื่อกี้โทรมาบอกว่ากำลังขึ้นมา” คุณหญิงเลิศหล้าบอก
ระหว่างนั้นเสียงพิธีกรบนเวทีดังขึ้นพอดี
“เอาละครับ...ตอนนี้ก็ถึงเวลาสำคัญแห่งค่ำคืนนี้แล้ว...ขอเชิญคุณสมพล...กรรมการผู้จัดการบนเวทีเลยครับ”
เสียงตบมือดังไปทั่วงาน ก่อนจะเห็นสมพลลุกขึ้นแล้วเดินขึ้นบนเวที
“ขอบคุณครับ...ขอบคุณครับ...วันนี้ผมมีความดีใจมาก...ทุกท่านคงทราบดีแล้วว่าบริษัทคาบาตี้ของเราเติบโตขึ้นทุกปี...แต่...การเติบโตของเรานั่นก็เหมือนกับการเดินเรือในมหาสมุทร...แม้ว่าเราจะเดินหน้าทุกวัน...แต่เราไม่รู้เลยว่าเรากำลังจะไปในทิศทางไหน...สิ่งที่ผมจะบอกทุกคนในวันนี้ก็คือ...ผม...ได้กัปตันที่จะมาควบคุมทิศทางให้กับบริษัทคาบาตี้ของเรา...ขอทุกท่านปรบมือต้อนรับ...พลเอกสุรยุทธ...เลิศพิทักษ์...ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ของเราด้วยครับ”
เสียงตบมือดังสนั่นทั่วห้องจัดงาน สุรยุทธลุกขึ้นยิ้มให้กับทุกคน

เวลาเดียวกันนั้น สุบินกับอรอนงค์ต่างรีบวิ่งกุลีกุจอเข้ามาที่หน้าลิฟต์
“เร็วซิ” สุบินเร่งยิกๆ
“สุบิน...แกจะเร่งอะไรนักหนาเนี่ย”
“เอ้า...ไม่เร่งได้ไง...เดี๋ยวก็ไม่ทันของดีๆ หรอก”
“ไหนบอกว่าไม่ชอบของฟรีไง”
“เออๆ...เร็วๆ ซิ...เดี๋ยวก็อุ้มขึ้นไปเลยนี่”
สุบินกับอรอนงค์ต่างกระวีกระวาดวิ่งเข้าไปลิฟต์ไป

ทางด้านณวัตยืนอยู่หน้าห้องจัดงาน คอยชะเง้อมองหาสรนุช
“งานเริ่มแล้วทำไมยังไม่มาอีก”
ระหว่างนั้นสรนุชในชุดราตรีเดินเข้ามา เมื่อสรนุชเจอณวัตก็ออกอาการงง
“วัต...คุณมาได้ยังไง”
“แปลกใจเหรอครับ...พอดีคุณพ่อกับคุณแม่คุณกลัวว่าคุณจะเหงาก็เลยให้ผมมาด้วย...นุชรู้มั้ยครับว่านุชสวยมาก
“เก็บคำชมของคุณไว้พูดกับคนอื่นเถอะคะ...ฉันสายแล้ว”
สรนุชเดินเบียดณวัตเข้าไปในงาน ณวัตมองตามแล้วยิ้มร้ายออกมา

เวลานั้นพลเอกสุรยุทธกำลังกล่าวอยู่บนเวที
“ผมรู้สึกเป็นเกรียติมากที่ได้รับความไว้วางใจจากทุกท่านในที่นี่...ผมขอสัญญาว่าถ้ามีสิ่งใดที่ผมจะทำให้บริษัทคาบาตี้เจริญก้าวหน้า...ผมจะไม่รีรอแม้แต่วินาทีเดียว”
สรนุชเดินเข้ามาในงานแล้วเธอก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นสุรยุทธยืนกล่าวบนเวที โดยมีสมพลและผู้บริหารคนอื่นอยู่ด้วย
จังหวะนั้นณวัตเดินเข้ามายืนข้างสรนุช
“คุณพ่อคุณ...รับเป็นที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ให้กับทางคาบาตี้ของเรา”
“ว่าไงนะ”
สรนุชเพิ่งรู้ตัวว่าโดนหลอกจึงจะเดินออกจากงาน ณวัตรีบดึงแขนเอาไว้
“จะไปไหน”
“ปล่อย...ฉันจะกลับบ้าน”
“แล้วคุณจะไม่รออยู่รับตำแหน่งใหม่หรือไง”
“ตำแหน่ง..? ตำแหน่งอะไร” สรนุชฉงน

ใจเด็ดกับเกริกไกรเดินเข้ามาบริเวณหน้างาน เห็นพนักงานต้อนรับอยู่ที่โต๊ะลงชื่อ
“ไอ้เด็ด...ฉันว่าไม่ใช่หรอก...คุณนุชจะมางานเลี้ยงพวกคาบาตี้ทำไม”
ใจเด็ดนิ่งคิดตามอย่างลังเล “นั่นซิ...งั้นฉันคงจำคนผิด”
ระหว่างนั้นสมพลมองลงไปเห็นณวัตกับสรนุชยืนอยู่ที่ประตูงาน ก็รีบพูดผ่านไมค์ขึ้นมาทันที
“มาแล้วครับ...เจ้าหญิงแห่งค่ำคืนนี้...ขอเสียงตบมือให้กับคุณสรนุช...”
ใจเด็ดกับเกริกไกรกำลังจะหันหลังเดินกลับ แต่พอได้ยินเสียงของสมพลที่ประกาศชื่อของสรนุช ทำให้ใจเด็ดถึงกับชะงักทันที สมพลแนะนำสรนุชต่อ
“...ลูกสาวคนเดียวของพลเอกสุรยุทธด้วยครับ”
ใจเด็ดกับเกริกไกรได้ยินอย่างนั้นก็มองหน้ากันอึ้งๆไป

เสียงตบมือดังขึ้น ทุกคนหันมองสรนุชเป็นตาเดียว
“มาลูก...ขึ้นมาแสดงความยินดีกับพ่อหน่อย” นายพลสรยุทธเรียกลูกสาวขึ้นเวที
เสียงตบมือยังดังไม่ขาดสาย ณวัตเห็นสรนุชลังเลเลยรีบสำทับ
“ไปครับ...ไปแสดงความยินดีกับท่านหน่อย”
ณวัตไม่รอคำตอบ รีบดึงสรนุชขึ้นมาบนเวที
ใจเด็ดเดินเข้ามาในงาน เกริกไกร ตามมาทางด้านหลัง
บนเวทีสมพลเริ่มร่ายยาวผลงานของสรนุชให้ทุกคนได้ฟัง
“ทุกท่านทราบกันดีอยู่แล้วว่า...รถไถคาบาตี้ของเราสามารถทำยอดขายจากทั่วประเทศได้กว่าหนึ่งแสนคัน...แต่มีอยู่ที่เดียวที่เราไม่สามารถทำยอดขายได้เลย...นั่นก็คือ...ที่หนองระบือ”
ใจเด็ดกับเกริกไกรยืนอึ้งกับสิ่งตรงหน้า ใจเด็ดยืนฟังด้วยความเจ็บปวด
“แต่หลังจากนี้...ทุกอย่างจะเปลี่ยนไปนั่นก็เพราะ...ผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่สมองไม่เล็กคนนี้”
เสียงของผู้คนในงานต่างฮือฮา พร้อมกับเสียงตบมือเป็นจังหวะ
“ผมอยากจะตบมือดังๆ ให้กับความทุ่มเทของเธอที่ลงไปคลุกคลีอยู่ที่หนองระบือร่วมสามเดือน...จนได้แผนกลยุทธ์ที่จะทำให้ยอดขายรถไถของคาบาตี้เพิ่มขึ้นในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้”
ระหว่างที่สมพลพูดอวยอยู่นั้น สรนุชก้าวเดินขึ้นมาบนเวที ในขณะที่ใจเด็ดเจ็บเกินจะเอ่ย หัวใจของเขาเหมือนกำลังถูกฉีกเป็นชิ้นๆ
จังหวะนั้นอรอนงค์กับสุบินวิ่งเข้ามาในงาน สุบินกับอรอนงค์อึ้งไป
“อ้าว...ไหนแกบอกว่าเป็นงานเลี้ยงรับตำแหน่งพ่อยัยนุชไง...ไหงกลายเป็นยัยนุชละ”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน”
ระหว่างนั้นอรอนงค์เหลือบไปเห็นใจเด็ดกับเกริกไกรยืนอยู่ที่มุมหนึ่ง
“หมอ”
สุบินหันมองตามอรอนงค์ แล้วทั้งสองก็อึ้งอ้าปากค้าง

สรนุชก้าวเดินขึ้นมาบนเวทีอย่างงามสง่า
“แล้วจากแรงกายแรงใจที่เธอทุ่มเทให้กับคาบาตี้...ทำให้ผมไม่สามารถปฏิเสธได้ที่จะมอบตำแหน่ง...ผู้จัดการฝ่ายขายของบริษัทคาบาตี้ให้กับเธอ”
สรนุชยืนอยู่บนเวทีทั้งอึ้งทั้งงงกับเสียงตบมือที่ดังลั่นไปทั่วงาน แสงสีเสียงดังขึ้นอย่างยิ่งใหญ่
แล้วเมื่อทุกอย่างสงบสิ่งที่สรนุชหันมาเห็นเป็นสิ่งแรกก็คือสายตาของใจเด็ดที่มองมาที่เธออย่างเจ็บปวด
สรนุชช็อกคาที่ “ใจเด็ด”
ทุกคนแปลกใจว่าสรนุชตกใจอะไร จึงหันไปมองตามสรนุช แล้วทุกคนก็ต้องงงเมื่อใจเด็ดยืนอยู่ ทุกคนสงสัยว่าใจเด็ดกับเกริกไกรเป็นใคร
ใจเด็ดค่อยๆ เดินเข้ามาหาสรนุชบนเวที วินาทีนั้นสรนุชกับใจเด็ดต่างสบตากันด้วยความรู้สึกที่ปวดร้าวเป็นที่สุด ผู้คนที่นั่งเรียงรายระหว่างทางต่างมองใจเด็ดด้วยความแปลกใจ
สุบินกับอรอนงค์ถึงกับปิดหน้าไม่อยากจะมองว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น
ใจเด็ดก้าวเดินเข้ามายืนต่อหน้าสรนุช
“นาย...นายฟังฉันพูดก่อน”
“ผมคงไม่มีอะไรต้องฟังคุณอีก...เพราะที่ที่คุณยืนอยู่ตอนนี้...มันบอกทุกอย่างอยู่แล้ว”
สมพลกับณวัตหันมองหน้ากัน
“เฮ้ย ! ปล่อยให้มันเข้ามาได้ยังไง...เอามันออกไป” ณวัตตะโกนเรียกรปภ.
พนักงานรักษาความปลอดภัยต่างวิ่งกรูกันเข้ามาจับตัวเกริกไกรก่อน
“ปล่อย...ปล่อยซิวะ”
ใจเด็ดสบตาสรนุชอย่างร้าวราน
“นี่ใช่มั้ย...ธุระด่วนที่คุณบอกว่าคุณต้องรีบกลับมากรุงเทพฯ” ใจเด็ดถาม
“ไม่ใช่นะ”
ใจเด็ดบอกเสียงดัง “ธุระของคุณคือการกลับมารับตำแหน่งใหม่กับไอ้บริษัทนี่ใช่มั้ย...” สรนุชอึ้งพูดอะไรไม่ออก “ผมอยากถามคุณคำเดียว...คุณทำได้ยังไง”
สิ้นคำถามของใจเด็ด พนักงานรักษาความปลอดภัยก็วิ่งกรูกันเข้ามารวบตัวใจเด็ดออกไป
สรนุชพยายามร้องห้าม
“ปล่อย...ปล่อยเขา...อย่าทำอะไรเขานะ”
สรนุชรีบวิ่งลงจากเวที ท่ามกลางความแตกตื่นของคนในงาน

ใจเด็ดกับเกริกไกรถูกรปภ.ลากออกมาที่หน้างาน
“ปล่อยซิวะ...ฉันไม่ได้อยากอยู่ข้างในหรอกเว้ย” เกริกไกรโวยลั่น
ระหว่างนั้นสรนุชวิ่งตามเข้ามาจะห้าม แต่แล้วณวัตก็ดึงแขนสรนุชเอาไว้ ก่อนจะบอกกับรปภ.
“ปล่อยพวกมัน”
รปภ.โยนใจเด็ดกับเกริกไกรจนล้มลงไปกอง อรอนงค์กับสุบินวิ่งตามออกมาอีกมุม
ใจเด็ดลุกขึ้นมาแล้วเห็นณวัตกับสรนุชยืนอยู่ด้วยกันก็ยิ่งปวดใจ
“คุณสร้างเรื่องทุกอย่างขึ้นมา...แม้แต่เรื่องที่คุณเลิกกับแฟน”
“ไม่ใช่นะ” สรนุชพยายามจะอธิบาย
ณวัตหันไปสั่งรปภ. “จับเธอเอาไว้”
รปภ.ต่างก็เข้ามาคุมสรนุชเอาไว้ ณวัตเดินเข้ามาใจเด็ด
“เออ...รู้แล้วก็ดี...ฉันกับนุชไม่ได้เลิกกันจริงๆ...ทุกอย่างที่แกเห็นมันก็แค่ละครที่ฉันกับนุชสร้างมันขึ้นมา”
“หึ...อยากขายรถไถมากขนาดนี้เลยเหรอ...พวกแกมันน่าสมเพช” ใจเด็ดเยาะ
“ไอ้นี่...”
ทันใดนั้นณวัตก็ต่อยเข้าไปที่หน้าของใจเด็ด ใจเด็ดล้มคว่ำลง
“ไม่”
สรนุชร้องลั่นสะบัดตัวสุดแรงเกิด จนหลุดจากการควบคุม สรนุชรีบวิ่งมาดูใจเด็ด
“นายเป็นอะไรมั้ย”
ใจเด็ดสะบัดมือสรนุชออกก่อนจะลุกขึ้นอย่างทระนง สรนุชอึ้งไปกับสิ่งที่ใจเด็ดทำ
“คุณจำได้มั้ย...ที่คุณเคยบอกว่า...คุณอยากเจอผู้ชายที่เป็นเหมือนควาย” ใจเด็ดเอ่ยขึ้น
“ฉันจำได้”
“คุณเจอเขาแล้ว...ผมเองที่เป็นควายให้คุณหลอกใช้มาตลอด”
ใจเด็ดพูดเสร็จก็ค่อยๆ หันหลังเดินออกไปอย่างเจ็บปวดอย่างที่สุด
สรนุชถึงกับยืนอึ้ง เหมือนโลกทั้งใบแตกลงตรงหน้า

ใจเด็ดเดินดุ่มๆ มาตามทางเดินในโรงแรม เกริกไกรวิ่งตามเข้ามาด้วยความเป็นห่วง
“ไอ้เด็ด...แกจะไปไหน...ไอ้เด็ด”
ใจเด็ดหยุดแล้วหันมาบอก “ฉันขออยู่คนเดียวซักพัก”
ใจเด็ดพูดแล้วก็เดินออกไปเลย เกริกไกรพูดไม่ออกเพราะรู้ว่าใจเด็ดรู้สึกยังไง
ระหว่างนั้นเสียงของอรอนงค์ก็ดังขึ้น “หมอ”
เกริกไกรค่อยๆ หันมาก่อนจะเห็นอรอนงค์ยืนอยู่
“คุณอร...”
เกริกไกรที่กำลังโมโหกรุ่นๆ เช่นกันกลับหันหน้าหนีจะเดินออกไป อรอนงค์วิ่งมาดักหน้า
“หมอ...หมอฟังฉันก่อน”
“ผมไม่อยากฟังคำโกหกอะไรอีก”
“แต่ถ้าหมออยากรู้ความจริง...หมอต้องฟัง”
เกริกไกรสบตาอรอนงค์นิ่งด้วยความรู้สึกลังเล
ด้านใจเด็ดเดินมาหยุดบริเวณที่ปลอดคน ในมุมสวยมุมนั้นเขาพยายามกลั้นความเสียใจ ทั้งเจ็บทั้งอายจนน้ำตาคลอ
อรอนงค์คุยกับเกริกไกรที่มุมส่วนตัวในโรงแรม
“ใช่คะ...ฉันเองก็เป็นพนักงานของบริษัทคาบาตี้”
เกริกไกรยืนกำหมัดแน่นข่มความโกรธ
“และทุกอย่างที่หมอได้ยินที่คุณสมพลก็เป็นเรื่องจริง”
“คุณอรทำไมถึงได้ทำกับพวกเราได้ลงคอ...ทุกคนที่สถานีต่างก็รักพวกคุณทั้งนั้น...อย่าว่าแต่ที่สถานีเลย...ชาวบ้านทุกคน...ถ้าควายที่สถานีมันพูดได้...มันก็คงบอกว่ามันรักพวกคุณเหมือนกัน...แต่ทำไม...ทำไมคุณอรถึง” เกริกไกรพูดไม่ออก
“คิดว่าฉันไม่รู้เหรอคะว่าทุกคนที่หนองระบือเป็นยังไง...นั่นแหละคะ...ที่มันทำให้พวกเราเปลี่ยนไป...จากตอนแรกที่พวกเราคิดจะสืบข้อมูลเพียงอย่างเดียว...แต่...เมื่อเราอยู่ๆไป...ความรัก...ความเอื้ออาทรของทุกคน...ทำให้พวกเราไม่อยากโกหกอีกต่อไป” อรอนงค์อธิบาย
“แต่คุณอรก็ยังเลือกที่จะโกหก...ถ้าผมกับไอ้เด็ดไม่มาเห็นเอง...พวกคุณก็คงโกหกพวกเราต่อไป”
“ใครว่าคะ...นุชเพิ่งไปลาออก...แล้วก็ตัดสินใจจะไปบอกความจริงกับคุณใจเด็ดที่หนองระบือ”
“แล้วไอ้ตำแหน่งใหม่ที่ผมได้ยินละ...”
“ฉันไม่ได้โกหกนะหมอ...ฉันเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น...ทำไมเรื่องมันถึงได้เป็นแบบนี้”
อรอนงค์นิ่งไปเพราะไม่รู้จะพูดยังไงเช่นกัน
“คุณอรมองหน้าผมซิครับ...” อรอนงค์ค่อยๆ มองจ้องหน้าเกริกไกร “มองผม...แล้วบอกผมว่า...คุณอรไม่ได้โกหกผมอีก”
“ฉันไม่รู้ว่าหมอจะเชื่อหรือเปล่า...แต่ฉันอยากจะบอกว่า...พวกเรา...ทั้งนุช...ฉันและสุบิน...พวกเรารักหนองระบือ...ตอนที่เราอยู่ที่นั่น...มันเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตของพวกเราทุกคน” อรอนงค์พรั่งพรูคามรู้สึก
เกริกไกรสบตาอรอนงค์เหมือนกำลังจะมองหาความจริงจากแววตาคู่นั้นอีก
“ขอบคุณครับ...ผมเชื่อคุณ” เกริกไกรผ่อนคลายลมหายใจ “แต่ไอ้เด็ดมันต้องไม่เข้าใจแน่ๆ”
“หมอช่วยพูดไม่ได้เหรอคะ”
“เป็นคุณอรเจออย่างนี้...ต่อให้ผมอีกสิบคนมันก็ไม่ฟังหรอกครับ”
แล้วทั้งสองก็นิ่งไปอย่างหนักใจ
“แล้วถ้าให้นุชบอกกับคุณใจเด็ดเองล่ะคะ”
เกริกไกรได้ยินอย่างนั้นก็นิ่งครุ่นคิด

สรนุชยืนเหม่อลอยออกไปยังความมืดมิดเบื้องหน้า มีแสงไฟจากตึกสูงระยิบระยับ สุบินยืนห่างออกไปมองดูสรนุชด้วยความเป็นห่วง ไม่นานอรอนงค์ก็เดินเข้ามา
“เป็นไง”
“นุชมันยืนอยู่อย่างนั้นจะเป็นชั่วโมงแล้ว”
อรอนงค์ มองยังเพื่อนแล้วอยากจะร้องไห้ “นุช...”
สุบินกับอรอนงค์ยืนมองสรนุชด้วยความเป็นห่วง สรนุชน้ำตารินไหลออกมาด้วยความเสียใจ

ใจเด็ดยืนอยู่ริมน้ำแห่งนั้นด้วยความปวดใจที่ยังไม่จางหาย เกริกไกรเดินเข้ามายืนข้างๆ
ทั้งสองต่างนิ่งเงียบเหมือนว่าทั้งคู่ต่างเข้าใจกันและกัน
“ไอ้เด็ด...แกไม่คิดจะคุยกับคุณนุชเขาหน่อยเหรอวะ...บางทีมันอาจจะไม่เป็นอย่างที่เราคิดก็ได้”
“ขนาดนี้แล้วแกยังจะแก้ตัวให้พวกนั้นอีกเหรอ...หมอ...ฉันเองก็พยายามมองโลกในแง่ดีมาตลอด...แต่ผลมันเป็นยังไง”
ใจเด็ดมองออกไปเบื้องหน้าเหมือนกำลังตัดสินใจบางอย่าง
“ฉันคงไม่มีอะไรต้องพูดกับเขาแล้ว”
เกริกไกรถอนหายใจ “แล้วแกจะเอายังไงต่อไป”
ใจเด็ดนิ่งไปอย่างครุ่นคิด “พรุ่งนี้ฉันจะเข้าไปเอาโฉนด”
เกริกไกรได้ยินที่ใจเด็ดพูดก็พยายามคิดหาทางว่าจะให้ใจเด็ดเจอกับสรนุชยังไง แล้วเกริกไกรก็เหมือนคิดแผนขึ้นมาได้

เช้าวันรุ่งขึ้น สรนุชเข้าออฟฟิศใหญ่ และตรงไปยังห้องสมพล พร้อมกับยื่นซองขาวขอลาออก สมพลเห็นซองขาวถึงกับสะอึก
“อะไรกันจ้ะลูกนุช”
“ใบลาออกที่ดิฉันเคยบอกว่าจะเอามาให้ไงคะ”
“แต่...เมื่อวานเราเพิ่งได้ตำแหน่งใหม่นะ”
“ต่อให้ดิฉันได้ตำแหน่งที่ใหญ่กว่านี้...ดิฉันก็จะลาออกค่ะ”
สรนุชพูดจบก็ลุกขึ้นจะเดินออกจากห้อง สมพลรีบเข้ามาห้าม
“ใจเย็นก่อนซิลูก...มีอะไรไม่สบายใจบอกพ่อได้นะ”
“ดิฉันว่าคุณสมพลน่าจะรู้นะคะ”
สรนุชเดินไปที่ประตูห้องโดยไม่ฟังคำทักท้วงใดๆ จากสมพล สรนุชกำลังจะเปิดประตูแล้วนึกบางอย่างขึ้นมาได้ จึงหันกลับมา
“แล้วก็...อย่าเรียกดิฉันว่าลูกอีกเลยค่ะ”
สรนุชพูดจบจึงเปิดประตูออกจากห้องไป สมพลถึงกับทุบโต๊ะไม่พอใจ
“นังนี่...คิดว่าฉันจะยอมปล่อยเธอไปง่ายๆ หรือไง”

สมพลหรี่ตาร้ายอย่างเอาเรื่อง

บริเวณทางเดินในบริษัทคาบาตี้ อรอนงค์ยืนรอสรนุชอยู่อย่างกระวนกระวาย จนเมื่อเห็นสรนุชเดินออกมาจากห้องสมพล อรอนงค์รีบเข้าไปหาทันที

“เป็นไงมั้งนุช...คุณสมพลเขารับใบลาออกจากเธอหรือเปล่า”
สรนุชถอนหายใจแล้วพยักหน้าแทนคำตอบ
“แกว่างมั้ย..ออกไปกับฉันหน่อยซิ”
“ไปไหน”
“ไม่รู้...ตอนนี้ฉันว่างงานแล้ว...จะไปไหนก็ได้...ขับรถไปทะเล...ไปเที่ยว”
“แต่ฉันว่าแกควรไปหาคุณใจเด็ดมากกว่า”
สรนุชนิ่งไปเมื่อได้ยินชื่อใจเด็ด
“แกยังคิดว่าฉันมีหน้าไปเจอเขาได้อีกเหรอ”
“แน่นอน...นอกจากแกจะมีหน้าแล้ว...แกยังมีความจริงที่ต้องไปบอกเขาไง...แกจะปล่อยให้เขาเข้าใจแกผิดๆ อย่างนี้เหรอ”
สรนุชนิ่งไปอีกเพราะเธอเองก็อยากจะเจอใจเด็ดอีกครั้ง
“แกกำลังจะบอกให้ฉันกลับไปที่หนองระบือเหรอ”
“ไม่ต้องไปถึงนั่นหรอก”
สรนุชมองอรอนงค์ด้วยสีหน้าฉงน

เวลาเดียวกันเกริกไกรนั่งอยู่ในร้านกาแฟแห่งหนึ่ง กำลังมองจ้องมือถือที่วางอยู่ข้างตัวอย่างใจจดใจจ่อ ระหว่างนั้นเสียงมือถือดังขึ้น เกริกไกรรีบจับขึ้นมาดูทันที
“คุณอร”
เกริกไกรดีใจกำลังจะรับ แต่แล้วเกริกไกรก็เหมือนนึกบางอย่างขึ้นมาได้ แล้วแกล้งยิ้มเจ้าเล่ห์
เกริกไกรรับสาย ดัดเสียง “สวัสดีครับ”

อรอนงค์แอบมาคุยอยู่ที่มุมหนึ่งทำหน้าแปลกใจ เพราะเสียงไม่คุ้นหู
“นั่นใช่เบอร์หมอเกริกไกรหรือเปล่าคะ”
เกริกไกรแอบอมยิ้มแล้วดัดเสียงต่อ “ไม่ใช่ครับ”
“อุ้ย...ขอโทษค่ะโทรผิด...ขอโทษนะคะ”
“อย่าเพิ่งวางซิครับ...คือ...ไหนๆคุณก็โทรมาแล้ว...ไม่อยากทำความรู้จักกันหน่อยเหรอครับ”
อรอนงค์ถึงกับเหวอ
“ไม่ล่ะค่ะ...แค่นี้นะคะ”
“เดี๋ยวซิครับ”
อรอนงค์ นึกโมโหขึ้นมา “เอ๊ะ...จะเอายังไงเนี่ยคุณ...ฉันจะรีบทำธุระ”
“อย่าเพิ่งซิครับ...ผมหมอเกริกไกรเอง”
อรอนงค์ชักจะมีน้ำโหมากขึ้น
“ชักจะโรคจิตใหญ่แล้วนะ...นายเอาคำพูดฉันมาแอบอ้างเป็นหมอเกริกไกรใช่มั้ย”
“ไม่ใช่จริงๆครับ...ผมหมอเกริกไกร...คุณอรจำเสียงผมไม่ได้เหรอครับ”
อรอนงค์ชะงักไป จนเมื่อใคร่ครวญดีแล้ว “หมอเนี่ย...เล่นอะไรก็ไม่รู้”
“แหม...ผมก็อยากรู้น่ะซิครับ...ว่าถ้ามีผู้ชายคนอื่นมาคุยด้วย...คุณอรจะว่ายังไง”
อรอนงค์ เสียงแข็งด้วยความโมโห “หมอไม่ลองเล่นต่ออีกหน่อยละคะ...จะได้รู้ว่าจะเป็นยังไง”
“ไม่กล้าละครับ...”เกริกไกรรีบเปลี่ยนมาเข้าเรื่อง “เอ่อ...แล้วเป็นไงครับ...วิธีผมใช้ได้ผลมั้ยครับ”
“ไม่รู้เหมือนกันคะ...เอ่อ...แล้วหมอแน่ใจเหรอคะว่าวิธีที่หมอบอกจะทำให้คุณใจเด็ดกับนุชกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้”
“ก็...ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่หรอกครับ”
“อ้าว...”
“ผมแค่คิดว่าปัญหาใหญ่ของสองคนนั้นก็คือไม่ยอมคุยกัน...พอไม่คุยกันก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไร”
“ก็ขอให้เป็นอย่างที่หมอคิดเถอะคะ...” อรอนงค์นึกขึ้นมาได้ “แต่...”
“อะไรเหรอครับ”
“คือ...อรยังไม่อยากจะเชื่อว่าคุณใจเด็ดเป็นลูกชายของคุณใจจอมจริงๆ” อรอนงค์อยากรู้ “แล้วทำไมคุณใจเด็ดถึงไม่อยู่ที่บ้านละคะ”
เกริกไกรพูดไม่ออก อรอนงค์สงสัย อึดใจหนึ่งเกริกไกรสีหน้าเครียดขึ้นมาทันที

ที่บ้านใจจอม หทัยกำลังนั่งจัดดอกไม้จิบชายามบ่าย ระหว่างนั้นเด็กรับใช้เข้ามาบอก
“คุณท่านคะ...มีคนมาขอพบค่ะ”
หทัยยังมีสมาธิกับสิ่งที่ทำ “เขาบอกหรือเปล่าใคร”
ระหว่างนั้นเสียงใจเด็ดดังขึ้น “ผมเองครับแม่”
หทัยหันมองไปแล้วก็เห็นใจเด็ดยืนอยู่ หทัยถึงกับตะลึงทิ้งทุกอย่าง
“ใจเด็ด!” หทัยโผเข้ามากอดลูกชาย “ใจเด็ด...ใจเด็ดลูกแม่...มาเมื่อไหร่...มายังไง...ลูกจะกลับมาอยู่กับแม่แล้วใช่มั้ย”
“เอ่อ...”
“ใครมาเหรอคุณ”
เสียงใจจอมดังขึ้น หทัยกับใจเด็ดหันมอง ใจจอมเดินเข้ามา ทันทีที่ใจจอมเห็นใจเด็ดก็อึ้งไป
“ไอ้เด็ด...!”
หทัยรีบเข้ามาบอก “ใจเย็นๆ นะคะคุณ...ลูกจะกลับมาอยู่กับเราแล้วค่ะ”
ใจจอมหันมองใจเด็ดอย่างไม่เชื่อหูที่ได้ยิน ใจเด็ดลำบากใจแต่ก็จำเป็นต้องพูด
“ผมจะกลับมาขอโฉนดของผมครับ”
ใจเด็ดพูดจบก็รู้สึกไม่ดีเพราะรู้ว่าทำให้หทัยกับใจจอมผิดหวัง ใจจอมกับหทัยถึงกับอึ้งไป แล้วใจจอมก็โมโหขึ้นมาเหมือนเดิม
“ฉันคิดแล้วไม่ผิดว่าน้ำหน้าอย่างแกเหรอจะมาอยู่นี่”
หทัยพยายามพูดให้สามีใจเย็นลง “คุณคะ...นานๆ ลูกจะกลับมาที...ค่อยๆ พูดกับลูกซิคะ”
“ค่อยๆ พูดเหรอ ! คุณได้ยินแล้วนี่...ที่มันกลับมานี่...มันไม่ได้คิดถึงเรา...มันกลับมาเอาโฉนดไปช่วยควายโง่ๆ พวกนั้นของมัน”
ใจเด็ดไม่อยากเถียง จึงรีบพูดตัดบท “พ่อครับ...ขอโฉนดให้ผมเถอะครับ”
“ฉันไม่ให้...ทำไมฉันจะต้องเอาสิ่งที่ฉันหามาไปช่วยควายของแกด้วย...ไป...ออกไปจากบ้านฉันเดี๋ยวนี้”
ใจเด็ดยืนนิ่งไม่ขยับ ใจจอมเห็นก็ยิ่งโมโห “แกคิดจะลองดีกับฉันใช่มั้ย”
ใจจอมหันไปคว้าแจกัน จะปาใส่ใจเด็ด หทัยรีบเข้ามาขวาง
“อย่าค่ะคุณ...อย่าทำลูก”
แล้วทันใดนั้นใจเด็ดก็คุกเข่าลงกับพื้น ใจจอมกับหทัยถึงกับมองด้วยความแปลกใจ
“พ่อครับ...ผมขอร้อง...ถ้าผมไม่ได้โฉนดไป...ควายพวกนั้นต้องตายอย่างแน่นอนครับ”
ใจจอมกับหทัยถึงกับนิ่งไป ใจจอมมองใจเด็ดที่ไม่เคยทำอย่างนี้มาก่อนก็ค่อยๆ เดินเข้ามาหาใจเด็ด
ใจเด็ดสบตากับใจจอม จู่ๆ ใจจอมก็เอ่ยขึ้น กระแทกเสียงใส่หน้า
“ก็ให้มันตายไปซิ”
ใจเด็ดถึงกับอึ้งไป มองใจจอมด้วยแววตาผิดหวัง และคาดไม่ถึงจนน้ำตารื้นขึ้นมา
“คุณพูดอย่างนี้ได้ยังไง” หทัยเองก็ฉุน
“ไม่เป็นไรครับแม่”
ใจเด็ดค่อยๆ ลุกขึ้นก่อนจะเดินออกไป
“ใจเด็ด...เดี๋ยวก่อนลูก” หทัยโผตามลูกชาย
“จะตามมันไปทำไม” ใจจอมตวัดเสียงกร้าวใส่ รั้งตัวหทัยไว้
“ฉันไม่คิดเลยนะว่าคุณจะโหดร้ายได้ขนาดนี้”
หทัยสะบัดมือใจจอมออกก่อนจะรีบตามใจเด็ดออกไป ใจจอมมองตามสีหน้าเครียดและครุ่นคิดบางอย่าง

ใจเด็ดเดินออกมาจากบ้าน หทัยวิ่งตามมา “ใจเด็ด...รอแม่ก่อนลูก”
ใจเด็ดเดินต่อไม่สนใจ หทัยรีบวิ่งมาขวางใจเด็ดเอาไว้
“อย่าโกรธพ่อเขาเลยนะลูก...พ่อเขาโมโหก็เลยพูดไปอย่างนั้น”
“ผมเข้าใจครับ...พ่อคงต้องการบีบให้ผมกลับมาอยู่บ้านให้ได้...แต่ผมทิ้งควายพวกนั้นไม่ได้จริงๆครับแม่”
ระหว่างนั้นเสียงใจจอมดังขึ้น “แกก็ไม่ต้องทิ้ง”
ใจเด็ดกับหทัยหันไปก็เห็นใจจอมเดินเข้ามาก่อนจะโยนโฉนดใส่หน้าใจเด็ด
“โฉนดที่แกอยากได้”
หัวใจของใจเด็ดพองโตขึ้นมาทันที สายตากลับมาเป็นประกาย...มีความหวังอีกครั้ง
“พ่อ”
ใจเด็ดกำลังจะโผเข้าไปกอดใจจอม แต่ใจจอมกลับพูดขึ้นว่า
“แล้วแกไม่ต้องกลับมาเหยียบที่นี่อีก”
“คุณ”
ใจจอมพูดแค่นั้น แล้วก็เดินกลับเข้าไปในบ้านทันที ใจเด็ดพูดสวนขึ้นมาเสียงดัง
“ผมไม่ได้เลือกควาย...แต่พ่อเป็นคนทำให้ผมเลือก”
ใจจอมชะงักไปก่อนจะเดินเข้าไปในบ้านโดยไม่หันมองใจเด็ดอีกเลย หทัยโมโหแทนใจเด็ด
“คุณ...คุณไล่ลูกอย่างนั้นได้ยังไง...คุณใจจอม”
ใจเด็ดตัวสั่นเทิ่มด้วยความเสียใจ ก้มลงเก็บโฉนดขึ้นมาดู ความดีใจที่เคยมีกลับกลายเป็นความเบาโหวงในความรู้สึก

รถของสรนุชเลี้ยวเข้ามาที่หน้าบ้านของใจจอม สรนุชจอดรถแล้วลงมามองที่หน้าบ้านด้วยความแปลกใจ
“บ้านคุณใจจอม”
สรนุชก็เหมือนเอะใจในชื่อของใจจอม “ใจจอม...ใจเด็ด”
แล้วสรนุชก็นึกไปถึงคำพูดของใจเด็ดที่เคยบอกว่าเขาเป็นลูกชายของใจจอม ในวันที่เจอกันครั้งแรก
วันนั้นสรนุชเจอกับใจเด็ดที่ท้ายรถหลังจากออกมาจากงานเลี้ยงใจจอม
“ไม่ใช่แล้วอะไร...หรือจะบอกว่าที่เข้าไปในบ้านของคุณใจจอมเพราะแกเป็นลูกของคุณใจจอม”
“ใช่...ผมเป็นลูกของคุณใจจอม”
“ขำมาก...เอาไว้ไปขำต่อในตะรางดีกว่ามั้ย”
“อะไรนะ”
ทันใดนั้นตำรวจก็กรูกันเข้ามาก่อนจะจับใจเด็ดใส่กุญแจมือไพล่หลัง

นึกถึงตอนนี้สรนุชอึ้งๆไป “นี่นายเป็นลูกของคุณใจจอมจริงเหรอเนี่ย”
สรนุชมองไปก็เห็นรถของใจเด็ดจอดอยู่ห่างออกไปไม่ไกล สรนุชเดินเข้ามาที่รถเป็นจังหวะเดียวกับที่ใจเด็ดเดินออกมาจากบ้านพอดี
สรนุชเห็นใจเด็ดก็หัวใจพองโตขึ้นมาทันที
“ใจเด็ด”
ใจเด็ดได้ยินเสียงของสรนุชก็รู้สึกไม่เชื่อหูตัวเองก่อนจะหันไปเห็นสรนุชตัวเป็น ยืนอยู่ตรงหน้า
สรนุชเดินเข้ามาหาใจเด็ด แต่ใจเด็ดกลับเบือนหน้าหนีแล้วเดินไปที่รถ
“นายจะไปไหน”
สรนุชเข้าไปหาใจเด็ดด้วยความไม่เข้าใจ
“อะไร...นายอยากเจอฉัน...แต่พอฉันมา...นายกลับเดินหนี”
“ผมไม่ได้อยากเจอคุณ”
“ก็ยัยอร” สรนุชชะงักไป เพราะเริ่มเข้าใจทุกอย่างขึ้นมาทันที โกรธอรอนงค์สุดขีด “ยัยอรนะยัยอร”
สรนุชหันมองใจเด็ดอีกครั้งก่อนจะตัดสินใจเข้ามาปรับความเข้าใจ
“นายฟังฉันอธิบายหน่อยได้มั้ย”
“ผมไม่มีเวลา” ใจเด็ดเดินไปเปิดประตูรถ
ถึงใจเด็ดไม่ฟังสรนุชก็จะพูด “ฉันไม่ได้ตั้งใจหลอกนาย...”
ใจเด็ดสะดุดกับคำพูดของสรนุชทันที
“สามเดือน...สามเดือนคุณยังกล้าบอกว่าคุณไม่ตั้งใจอีกเหรอ”
“ใช่...ฉันทำเพราะความจำเป็น”
ใจเด็ดปิดประตูรถดังปัง แล้วเดินเข้ามาจ้องหน้าสรนุช “คุณรู้อะไรมั้ย...ตอนนี้ผมเชื่ออะไรคุณไม่ได้อีกแล้ว”
คำพูดของใจเด็ดทำให้น้ำตาของสรนุชค่อยเอ่อขึ้นมาด้วยความเสียใจ
ใจเด็ดยิ้มหยัน “หึ...เชื่อมั้ยว่าผมคิดอยู่แล้วเชียวว่าสักพักคุณต้องบีบน้ำตาโชว์...โห...คุณนี่ไม่น่าจะมาขายรถไถนะ...น่าจะไปเป็นนักแสดงมากกว่า”
ทันทีที่ใจเด็ดพูดจบ สรนุชก็ตบหน้าใจเด็ดดัง เผียะ !
“ฉันรักนาย...”
ใจเด็ดอึ้งโครตๆ
“นี่ต่างหากที่เรียกว่าโกหก...นี่ต่างหากที่เรียกว่าการแสดง...พอใจหรือยัง”
ใจเด็ดใจหล่นวูบ “รวมทั้งเรื่องที่ลำธารด้วยใช่มั้ย”
สรนุชนิ่งไปก่อนจะตอบเพราะต้องการเอาชนะ “ใช่...นั่นมันก็แค่การแสดงอย่างนึงของฉัน...อย่าบอกนะว่านายคิดว่าฉันชอบนาย”
“คุณมันก็แค่ผู้หญิงที่น่ารังเกียจ...ที่มีมารยาเอาไว้หลอกลวงผู้ชายเท่านั้น”
“ใช่...แล้วฉันก็ทำสำเร็จซะด้วย...ไม่อย่างนั้นฉันว่านายคงจะไม่โกรธขนาดนี้หรอก”
ใจเด็ดพยายามข่มความโกรธเอาไว้
“ถ้าคุณคิดว่าสิ่งที่คุณทำ...จะทำให้ไอ้บริษัทคาบาตี้ชนะละก็...ลองดู”
“ฉันลองแน่...นายเตรียมตัวเก็บควายของนายเข้าคอกได้เลย...เพราะฉันจะทำให้หนองระบือเป็นที่ที่ใช้รถไถมากที่สุด”
สรนุชประจันหน้า ยืนยันคำพูดของเธอก่อนที่จะเดินกลับไปขึ้นรถแล้วขับรถออกไปอย่างรวดเร็ว ใจเด็ดมองตามด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ทั้งความรักและความเกลียดอัดแน่นอยู่ในหัวใจเขาตอนนี้

รถของสรนุชเลี้ยวเข้ามาในซอยเปลี่ยวแห่งหนึ่งก่อนจะเห็นรถเบรกเอี๊ยด...จอดเข้าข้างทาง
สรนุชออัดอั้น จนร้องไห้ด้วยความเสียใจอยู่ในรถ

รถของใจเด็ดจอดอยู่ที่เดิม อึดใจต่อมาใจเด็ดนั่งเสียใจ กุมโฉนดไว้ในมือ รักสรนุชมากเท่าไหร่ก็ยิ่งแค้นมากเท่านั้น

ตกตอนค่ำของวันนั้น เกริกไกรอยู่ที่ร้านอาหารริมน้ำแห่งหนึ่ง นั่งอยู่ที่โต๊ะด้วยความกระวนกระวาย
“เป็นไงมั่งวะ”
เสียงของใจเด็ดดังขึ้น “ไอ้หมอ”
เกริกไกรหันไปก็เห็นใจเด็ดปรี่เข้ามากระชากคอเสื้อ
“เฮ้ย ! อะไรวะไอ้เด็ด”
“ยังจะถามอีก...แกเป็นคนบอกให้คุณนุชไปหาฉันที่บ้านใช่มั้ย”
เกริกไกรดูจากท่าทีคงจะปรับความเข้าใจกันไม่ได้เลยรีบปฏิเสธ “เอ่อ...เปล่า”
“แล้วเขารู้ได้ยังไงว่าฉันอยู่ที่ไหน”
เกริกไกรกลืนน้ำลายเอื้อก

ส่วนสามคนอยู่ที่คอนโดสุบิน เวลานั้นอรอนงค์ตอบเสียงอ่อย
“ก็ฉันอยากให้แกกับคุณใจเด็ดเข้าใจกันนี่”
“เข้าใจกันเหรอ...แกรู้มั้ยว่านายนั่นว่าอะไรฉันบ้าง”
“ก็พวกเราทำผิด...เขาจะโกรธเขาจะว่า...ก็ไม่เห็นแปลก” สุบินว่า
สรนุชหันมองสุบินตาขึงขึ้นมาทันที
“นี่ฉันเป็นกลางนะ” สุบินบอก
“แล้วแกอยากเจอนิ้วกลางมั้ย...หึ...ฉันยังไม่มีเวลาได้พูดอะไรด้วยซ้ำ”

ใจเด็ดกำลังคุยอยู่กับเกริกไกร เป็นเวสลาเดียวกับที่สรนุชคุยอยู่กับอรอนงค์และสุบิน
“ดีแล้ว...แค่สามเดือนฉันก็เอียนคำโกหกของยัยนั่นเต็มทีแล้ว” ใจเด็ดบอกขึ้น
“ถ้าคิดได้แค่นั้น...ก็สมควรกลับไปเลี้ยงควายเหมือนเดิมเถอะ” สรนุชบอกสองเพื่อนซี้
“แล้วแกจะเอาไงต่อไปวะ” เกริกไกรถามใจเด็ด
“ก็ทำให้นายนั่นรู้ว่าคนอย่างสรนุชไม่เคยยอมแพ้อะไรง่ายๆไง
สรนุชตอบเสียงมุ่งมั่นขณะที่สุบินกับอรอนงค์มองด้วยความอยากรู้

วันรุ่งขึ้นณวัตนั่งดูหนังสือ FHM ในห้องทำงานพ่อ สีหน้าชิลล์ไม่อินังขังขอบใดๆ
“พ่อจะกลัวอะไร...เงินเราก็มีตั้งเยอะ...ทำไมไม่เอาไปฟาดไอ้พวกเซลล์เก่งๆมาอยู่กับเราแล้วก็ส่งไปที่หนองระบือไงพ่อ”
สมพลเดินเครียดไปมาอยู่ในห้องของณวัต
“ฉันจะฟาดหัวแกก่อนนี่แหละ...ปัญหาไม่ได้อยู่ที่นั่นเว้ย...ปัญหามันอยู่ที่หนูนุช...ลาออกไปอย่างนี้แล้วฉันจะไปตอบคำถามท่านสุรยุทธยังไง”
“ไม่ต้องห่วงน่าพ่อ...เรื่องนั้นเดี๋ยวผมจัดการเอง”
“จัดการ..? แกเคยจัดการอะไรที่ฉันสำเร็จมั้ย”
สมพลทำท่าเหมือนจะของขึ้นอีก ระหว่างนั้นเสียงเคาะประตูดังขึ้น ณวัตรีบตะโกนบอกไปก่อนที่ตัวเองจะโดนสมพลทำร้าย
“เข้ามา”
เลขาเปิดประตูเข้ามาในห้อง
“ท่านคะ...มีคนมารอพบท่านค่ะ”
“ใคร..? ฉันไม่ได้นัดใครไว้...บอกเขากลับไปซะ”
“ได้ค่ะ...เดี๋ยวดิฉันจะไปบอกคุณสรนุชให้กลับไปก่อน”
เลขาเดินออกไป สมพลกับณวัตถึงกับมองหน้ากันด้วยความแปลกใจ

ครู่ต่อมาภายในห้องทำงานสมพล สองพ่อลูกแปลกมาก
“หนูนุชจะกลับไปที่หนองระบือเหรอ”
สรนุชอยู่ในชุดทำงานเต็มฟอร์มยืนยันอย่างมั่นใจ
“คะ...ทำไมต้องตกใจขนาดนั้นคะ...หรือว่า...ใบลาออกของหนูมีผลแล้ว”
“มีผลอะไร...พ่อฉีกทิ้งไปตั้งแต่วันนั้นแล้ว” สมพลรีบบอก
“ใช่ครับ...ผมเป็นคนบอกพ่อเองว่ายังไงนุชก็ต้องกลับมา...นุชคิดถึงผมใช่มั้ยครับ”
สรนุชเหล่มองณวัตอย่างเอาเรื่อง จนทำให้ณวัตหน้าเจื่อนลง
“แล้วหนูนุชจะไปหนองระบือเมื่อไหร่”
“เร็วที่สุดค่ะ”
สรนุชสีหน้าจริงจังมุ่งมั่น
ชิดชัยกับชาญณรงค์กำลังนั่งคุยกันอยู่ที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่ง กำลังต่อรองบางอย่าง
“เจ็ดสิบสามสิบน่าผู้พัน”
ชาญณรงค์เหล่มองชิดชัยอย่างอ่านเกมออก
“มันไม่น้อยไปเหรอคุณชิดชัย...ถ้าจะให้ผมเป็นตัวแทนจำหน่ายจริงๆ...คนที่ลงแรงมันเป็นผมนะ”
“งั้น...หกสิบสี่สิบ” ชิดชัยว่า
“แหม...แต่ผมก็เสี่ยงที่ต้องโดนชาวบ้านเขาเกลียดนะ...”
“แล้วผู้พันจะเอาเท่าไหร่...ห้าสิบห้าสิบเหรอ”
ระหว่างนั้นช่อผกาเดินหน้าเซ็งเข้ามา “เสร็จหรือยังพ่อ”
“เอ...นี่ฉันกำลังคุยงานอยู่จะมาเร่งทำไม...ไป...จะไปซื้อของช้อปปิ้งก็ไปไป๊”
“โห...อย่างกับของที่นี่มันน่าซื้อนักนี่พ่อ...ถ้าเป็นกรุงเทพฯก็ว่าไปอย่าง...แล้วนี่คุยเรื่องอะไรกันอยู่...ทำไมมันนานจัง”
“พอดีผมอยากให้ผู้พันแกเป็นดีลเลอร์คาบาตี้น่ะครับ...ดีมั้ยครับ...เผื่อคุณผกาจะ...”
ชิดชัยพูดยังไม่ทันจบ ช่อผกาก็แว้ดขึ้นทันที
“ดีกับผีอะไร...” ช่อผกาพูดกับชาญณรงค์ “ห้ามเป็นเด็ดขาดนะพ่อ...พ่อจะให้พี่ใจเด็ดเขาเกลียดผกาหรือไง”
“โธ่...นังผกา...ที่ฉันเห็นตอนนี้ไอ้ใจเด็ดมันก็เกลียดแกอยู่แล้ว”
ช่อผกากรี๊ดลั่น “อ๊ายยย”
ระหว่างนั้นลูกน้องของชิดชัยวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาพร้อมกับกระดาแฟกซ์ในมือ
“ลูกพี่...ลูกพี่ครับ...สาขาใหญ่แฟกซ์มาครับ”
ชิดชัยยิ้มกับชาญณรงค์ “แหม...สงสัยจะเป็นคำชมน่ะครับ”
ชิดชัยรับกระดาษมาจากลูกน้อง ชิดชัยก้มลงอ่านแล้วชิดชัยก็ตกใจแทบตกเก้าอี้
“เฮ้ย”
ชาญณรงค์กับช่อผกาเองก็ตกใจเช่นกัน
“มีอะไร”
ชิดชัยพูดไม่ออกจนปล่อยกระดาษแฟกซ์หลุดมือ ชาญณรงค์หยิบขึ้นมาอ่าน ช่อผกาก้มลงอ่านด้วยอย่างอยากรู้อยากเห็น แล้วช่อผกาก็ตกใจเมื่อเห็นรูปของสรนุชอยู่ในแฟกซ์
“คำสั่งแต่งตั้งผู้จัดการคนใหม่...นี่มันอะไรกัน...ยัยนี่เป็นอะไรกับคาบาตี้...อธิบายมาให้ฉันฟังเดี๋ยวนี้”
ชิดชัยที่กำลังช็อกก็ถึงกับหน้าซีดเหงื่อตก

เจนจิรา ภิรมย์ และสมหญิงกำลังหอบหิ้วข้าวของมาตามตลาด
“แกว่าหัวหน้าจะเจอคุณนุชมั้ย” ภิรมย์ถามสมหญิง
เจนจิราที่เดินมาด้วยถึงกับชะงักกึกทันที
“ไม่รู้...แต่ถ้าสองคนนั่นเขาเป็นเนื้อคู่กันจริงๆ...ต่อให้ไกลแค่ไหนก็ต้องเจอ” สมหญิงบอก
“อะไร...พูดงี้หมายความว่าไง...หัวหน้ากับคุณนุชชอบกันเหรอ” ภิรมย์แปลกใจ
“เอ้า...นี่แกมองไม่มองเหรอ...ว่าตั้งแต่ที่คุณไม่อยู่หัวหน้าก็ดูเศร้าๆไป...ถ้าไม่ชอบจะเป็นอะไร”
“เลิกพูดกันซะที” เจนจิราตวาดสมหญิงอย่างไม่พอใจ
ภิรมย์กับสมหญิงถึงกับตกใจที่อยู่ๆเจนจิราก็ตวาดขึ้นมา
“สิ่งที่หัวหน้ารักมีสิ่งเดียวก็คือควาย”
“แต่คนกับควายมันต่างกันนะคะคุณเจน” สมหญิงแย้ง
“ฉันบอกให้เลิกพูดไง”
ภิรมย์กับสมหญิงหน้าจ๋อยลงอย่างไม่เข้าใจว่าเจนจิราเป็นอะไร ระหว่างนั้นเสียงช่อผกาดังแทรกเข้ามา
“เร่เข้ามา...เร่เข้ามา...ฉันจะทำให้ทุกคนตาสว่าง”
เจนจิรา ภิรมย์ สมหญิงหันไปก็เห็นช่อผกายืนอยู่บนโต๊ะขายผัก ถือกระดาษพร้อมกับโทรโข่งอันเล็กส่วนตัว ป่าวประกาศอยู่
“นังสรนุชที่ทุกคนโหวตให้เป็นเทพีหนองระบือ...ที่แท้มันก็คือคนของคาบาตี้ปลอมตัวเข้ามา”
“ผกา...แกไม่ต้องมามั่ว...คุณนุชจะเป็นคนของคาบาตี้ได้ยังไง” สมหญิงเถียงทันที
“ใช่...นี่แกยังไม่เลิกจองเวรคุณนุชอีกเหรอ” ภิรมย์ผสมโรง
“จองเวรเหรอ ! หึ...ถ้างั้นก็แหกตาดูซะว่านี่อะไร”
ช่อผกายื่นกระดาษแฟกซ์ให้ทั้งสามดู เจนจิรารับกระดาษแฟกซ์มาดูแล้วอึ้งไป

ไม่นานหลังจากนั้น โชคชัยอยู่ที่ที่ทำการอบต. กำลังดูกระดาษแฟกซ์ในมือสีหน้าเครียด “แล้วคุณมาบอกผมทำไม”
เจนจิราหันมา
“ก็อยากให้นายกรู้ความจริงไงคะ...ความจริงที่คุณนุชไม่ได้นางฟ้าอย่างที่หลายๆ คนคิด”
โชคชัยขำในลำคอก่อนจะยื่นกระดาษแฟกซ์คืนให้กับเจนจิรา
“ถ้าคุณคิดว่าความจริงเรื่องคุณสรนุชเป็นคนของคาบาตี้จะทำให้ผมเกลียดเธอละก็...คุณคิดผิด...การที่คนเราจะรักใครซักคน...ไม่ว่าคนนั้นจะชั่วจะเลวแค่ไหน...เราก็ไม่อาจเลิกรักได้”
“หึ...นายกต่างหากที่คิดผิด” เจนจิราเยาะ
โชคชัยมองเจนจิราด้วยความแปลกใจ
“ที่ฉันมาบอกกับนายก...เพราะนี่เป็นโอกาสของนายกต่างหาก...นายกก็รู้ว่าพี่เด็ดเกลียดพวกคาบาตี้แค่ไหน...แล้วถ้าพี่เด็ดรู้ความจริงเรื่องคุณสรนุชเป็นคนของคาบาตี้...นายกคิดว่าพี่เด็ดจะรับเรื่องนี้ได้งั้นเหรอ”
โชคชัยครุ่นคิดในสิ่งที่เจนจิราบอก ขณะที่เจนจิรายิ้มร้ายสะใจ เหมือนฟ้ากำลังเป็นใจให้เธอ

คืนนั้นรถของใจเด็ดแล่นเข้ามาจอดในสถานีบำรุงพันธุ์สัตว์ ใจเด็ดกับเกริกไกรลงจากรถเพื่อจะมายกของที่ท้ายรถ ไม่นานภิรมย์และสมหญิงต่างก็วิ่งเข้ามา เจนจิราเดินตามมาทีหลัง
“หัวหน้า...หัวหน้า”
“โห...ไม่วิ่งส่ายหางมาด้วยละ...ประจบเหลือเกิน” เกริกไกรแซว
“ประจบอะไรคะ...เขาเรียกว่าคิดถึงค่ะ” สมหญิงว่า
“เอ้าๆ...เดี๋ยวพวกเราช่วยกันยกของไปไว้ข้างในก่อนแล้วกัน”
ภิรมย์กับสมหญิงต่างสะกิดกันให้พูด
“แกบอกดิ”
“แกนั่นแหละบอก”
“มีอะไร”
ภิรมย์กับสมหญิงต่างก้มหน้างุดไม่มีใครกล้าพูด
ระหว่างนั้นเจนจิราก็เอ่ยขึ้น “ฉันพูดเอง”
ทุกคนหันไปก็เห็นเจนจิราเดินเข้ามา
“คุณสรนุชเป็นคนของคาบาตี้ค่ะ”
ใจเด็ดชะงักไป เกริกไกรหันมองใจเด็ด เจนจิรายื่นกระดาษแฟกซ์ให้กับใจเด็ด
ใจเด็ดมองหน้าสรนุชในกระดาษแฟกซ์
เกริกไกรพยายามจะบอกเรื่องที่ใจเด็ดรู้ความจริงแล้ว “เอ่อ...เจน”
“อย่าเพิ่งค่ะหมอ...เจนไม่ได้ปรักปรำหรือใส่ร้ายคุณสรนุช...แต่เจนมีหลักฐานว่าคุณสรนุชหลอกลวงพวกเรามาตลอด...เธอหลอกพี่...เธอหลอกชาวบ้าน...เธอหลอกทุกคน”
เจนจิรากำลังจะพูดต่อแต่แล้วใจเด็ดกลับสวนขึ้น “พี่รู้เรื่องทุกอย่างแล้ว”
ทุกคนถึงกับงงว่าใจเด็ดรู้ได้ยังไง
“ไม่มีอะไรแล้วใช่มั้ย...”
ใจเด็ดเดินหน้าเครียดออกไป เจนจิราพยายามจะตาม
“พี่เด็ด...เดี๋ยวซิคะ”
เกริกไกรเข้ามารั้งเจนจิราเอาไว้ “อย่าเจน”
“หมายความว่าไงหมอ...พี่เด็ดรู้เรื่องคุณนุชแล้วเหรอ”
เกริกไกรพยักหน้า
“แล้วพี่เด็ดรู้ได้ยังไง” เจนจิราคาดคั้น
เกริกไกรสีหน้าเครียดลง

คืนนั้นใจเด็ดมองกระดาษแฟกซ์ในมือ รับรู้เรื่องที่สรนุชจะมาเป็นผู้จัดการคนใหม่ที่คาบาตี้ ใจเด็ดขยำกระดาษแฟกซ์ก่อนจะปาออกไป ใจเด็ดหันหลังจะเดินกลับแล้วก็ชะงักไป เมื่อเห็นเจนจิรายืนอยู่
“หมอเล่าเรื่องให้เจนฟังแล้วค่ะ”
ใจเด็ดนิ่งไปแล้วเอ่ยขึ้น “พี่ขอโทษ”
“เรื่องอะไรคะ”
“ก็...ถ้าพี่เชื่อเรา...มันก็คงไม่เป็นอย่างนี้”
เจนจิราเดินเข้ามาหาใจเด็ด รู้สึกดีที่ใจเด็ดเริ่มเห็นความสำคัญของเธอ
“อะไรที่มันผ่านไปแล้วก็ปล่อยให้มันผ่านไปเถอะคะ...” เจนจิราขยับเข้ามาจับมือใจเด็ด “พี่ยังมีเจนนะคะ
ใจเด็ดชะงักไปเพราะยังจำได้ในสิ่งที่เจนจิราทำไว้ก่อนที่เขาจะไป
ใจเด็ดพยายามดึงมือออกจากมือของเจนจิราแล้วเอามือมาตบไหล่
“ขอบใจมากนะเจน...เอ่อ...พี่ไปนอนก่อนนะ”
ใจเด็ดหันหลังจะเดินจากไป แต่แล้วทันใดนั้นเจนจิราก็โผเข้ากอดใจเด็ดจากทางด้านหลัง
“พี่จำได้มั้ยก่อนที่พี่จะไปกรุงเทพฯ...เจนพูดว่าอะไร”
“เอ่อ...ปล่อยพี่เถอะเจน...ใครมันเห็นมันจะไม่ดี”
“ไม่ค่ะ...เจนจะไม่ปล่อยให้พี่เด็ดให้ใครอีกแล้ว”
ใจเด็ดพูดไม่ออก
“เจนจะอยู่เคียงข้างพี่เด็ด...ไม่ว่าคุณสรนุชจะมารูปแบบไหนก็ตาม...เจนพร้อมจะสู้กับพี่เด็ดคะ
ใจเด็ดรู้สึกถึงการรุกเร้าของเจนจิราแต่เขารู้สึกเหมือนมีบางอย่างจุกที่คอทำให้พูดอะไรไม่ออก

ด้านชิดชัยกำลังเตรียมความพร้อมในการต้อนรับสรนุช ที่บริษัทคาบาตี้ สาขาสุรินทร์ มีพนักงานคนอื่นยืนรอพร้อมป้ายผ้าอย่างเอิกเกริก
“เอ้าๆ...ยืนให้มันดีๆ...อย่าหย่อน...เราต้องทำให้คุณสรนุชเห็นว่าพวกเราคาบาตี้สุรินทร์พร้อมสู้ไปกับเธอ”
ลูกน้องเข้ามากระซิบ “ลูกพี่...ลูกพี่ไม่โกรธเหรอที่โดนแย่งตำแหน่ง”
“โกรธซิวะ...ถ้าเป็นคนอื่นก็คงต้องมีงัดกันบ้าง...แกก็รู้ว่านังนี่...อุ้ย...ว่าคุณสรนุชเป็นคู่หมั้นคุณณวัต”
ระหว่างนั้นเสียงใครคนหนึ่งดังขึ้น
“โอ้โฮ...ยิ่งใหญ่จริงๆ”
ชิดชัยกับลูกน้องหันไปก็เห็นชาญณรงค์เดินเข้ามากับช่อผกา
“อ้าว...ผู้พัน...มาทำไมครับเนี่ย”
“ทำไมถามอย่างนั้นละ...ผมก็อยากมาแสดงความยินดีกับผู้จัดการคนใหม่ของที่นี่ไง...แหม...นึกไม่ถึงจริงๆว่าคุณสรนุชจะเก่งขนาดนี้” ชาญณรงค์บอก
“เก่งอะไรพ่อ...อย่างนังนั่นต้องเรียกว่าสตอบอแหลมากกว่า” ช่อผกาเยาะแกมหยัน
“พูดอย่างนั้นมันก็ไม่ถูกเว้ยผกา...คนโง่ย่อมเป็นเหยื่อคนฉลาด”
“แต่ผกาอยากตบมันซักฉาดที่มาหลอกพวกเรา...พ่อคิดดูซิว่าคนที่สถานีจะเป็นยังไง”
“นี่แกยังเรียกพวกมันว่าคนอีกเหรอ...โง่อย่างนี้ต้องเรียกว่าควายแล้ว...แหม...สะใจจริงเว้ย” ชาญณรงค์กัดฟันด้วยความแค้นเคืองใจ “คอยดูเถอะไอ้พวกกระบือบาล...ฉันจะทำให้ควายสูญพันธุ์ไปจากหนองระบือให้ได้”
ชาญณรงค์หรี่ตาร้ายอย่างเอาเรื่อง

ที่สถานีบำรุงพันธุ์สัตว์ ใจเด็ดกำลังประชุมอยู่ในห้องเพื่อรับมือกับการมาของสรนุช
“ทุกคนคงรู้อยู่แล้วเรื่องที่คาบาตี้เปลี่ยนผู้จัดการคนใหม่”
ทุกคนในที่ประชุมต่างนิ่งเงียบ เมื่อเห็นใจเด็ดหลีกเลี่ยงที่จะเรียกชื่อสรนุช
“ฉันคิดว่า...ต่อไป...พวกนั้นคงจะเริ่มทำการตลาดอย่างเต็มรูปแบบ”
“แล้วอย่างนี้เราจะสู้เขาไหวเหรอครับหัวหน้า...คุณนุชแกเล่นล้วงข้อมูลพวกเราไปหมดอย่างนี้”
ใจเด็ดชะงัก สมหญิงกระทุ้งศอกใส่ท้องภิรมย์เข้าให้
“หุบปากไปเลย”
ใจเด็ดพูดขึ้นเพื่อปลุกปลอบทุกคน
“ข้อมูลของเรามีเพียงสิ่งเดียวก็คือ...พวกเรารักควาย...ชาวบ้านทุกคนรักควาย”
เจนจิราได้ยินอย่างนั้นก็รีบเสริมทันที
“เจนเห็นด้วยคะ...ถ้าคนเรารักอะไรให้แล้ว...ก็ไม่สามารถเปลี่ยนใจเขาได้”
ใจเด็ดชะงักไปเพราะรู้สึกได้ว่าเจนจิราส่งสารบางอย่างให้เขา
“หัวหน้าไม่คิดจะทำอะไรต้อนรับผู้จัดการคนใหม่ของคาบาตี้หน่อยเหรอคะ”
“พี่คิดไว้แล้ว..!”

ทุกคนหันมองใจเด็ดด้วยความอยากรู้ทันทีว่าคิดอะไร..?












Create Date : 12 เมษายน 2555
Last Update : 12 เมษายน 2555 16:33:11 น.
Counter : 207 Pageviews.

0 comment
กระบือบาล ตอนที่ 10 (ต่อ)




ปลดพันธนาการได้ทั้งเรื่องโชคชัย และเรื่องณวัต เย็นวันนั้นสรนุชเดินลั้นลายิ้มอย่างสบายใจมาตามทางในสถานีบำรุงพันธุ์สัตว์ ระหว่างนั้นใจเด็ดเพิ่งเดินกลับมาจากคอกควายมาทางนั้นพอดี ทั้งคู่เห็นกัน ใจเด็ดเห็นสรนุชยิ้มร่าก็ยิ่งปวดใจ จึงทำเป็นจะเดินเลี่ยงไปอีกทาง สรนุชเห็นก็รีบเรียกเอาไว้

“นี่...” สรนุชรีบวิ่งเข้ามาขวางใจเด็ด
“เป็นไรของนาย...ทำไมเห็นหน้าฉันแล้วต้องเดินหนีด้วย”
ใจเด็ดพูดงอนๆ “เปล่า...ผมจะไปทางลัด”
“ไม่ต้องเลย...ก็เห็นๆ อยู่...ทำไม...นายโกรธฉันเรื่องอะไร”
“ผมจะไปมีสิทธิโกรธคุณได้ยังไง”
“นายพูดอย่างนี้แสดงว่าโกรธฉันแน่นอน”
ใจเด็ดไม่ยอมตอบแต่ทำท่าจะเดินเลี่ยงไป สรนุชไม่ยอมขยับตัวขวางไว้ ใจเด็ดขยับไปอีกทาง สรนุชก็ขยับขวางทางอีก
“วันนี้คุณไปทำอะไรกับนายกมา” ใจเด็ดตัดสินใจถาม
“อ๋อ...นึกว่าเรื่องอะไร...แล้วทำไมนายถึงอยากรู้ละ”
ใจเด็ดถอนหายใจเซ็งก่อนจะทำท่าจะเดินออกไป สรนุชรีบเอ่ยขึ้น
“คุณโชคชัยเขาบอกว่าชอบฉัน”
ใจเด็ดชะงักก่อนจะหันกลับมามองสรนุช หัวใจของใจเด็ดเจ็บแปลบขึ้นมาทันที
“มิน่า...คุณถึงได้ดูสบายใจ”
“ใช่” ได้ฟังใจเด็ดยิ่งเศร้าลงถนัด สรนุชพูดต่อ “แต่ที่ฉันสบายใจ...เพราะฉันบอกเขาไปว่า...ฉันไม่ได้ชอบเขา”
ใจเด็ดอึ้ง รู้สึกเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ ก่อนจะลองถามหยั่งเชิงเพราะอยากรู้ “แต่นายกก็เป็นคนดี”
“คนดีกับคนรักมันไม่เหมือนกันซักหน่อย...ถ้าเป็นนาย...นายจะบังคับความรู้สึกตัวเองให้ชอบคนที่ไม่ได้ชอบได้หรือเปล่าละ”
ใจเด็ดได้ยินอย่างนั้นก็เผลอตัวยิ้มออกมาด้วยความดีใจ สรนุชเห็นรอยยิ้มของใจเด็ดก็แอบคิดเข้าข้างตัวเองเหมือนกันว่าใจเด็ดคงจะหึง
ใจเด็ดเห็นสรนุชมองมาก็หุบยิ้ม
“แล้วอีกอย่าง...ฉันคิดว่าถ้าฉันจะมีความรักอีกครั้ง...ฉันก็อยากเจอผู้ชายที่เป็นเหมือนควาย”
“เหมือนควาย..?” ใจเด็ดฉงน
“ก็สามารถรักฉันโดยไม่มีเงื่อนไขไงละ”
ใจเด็ดถึงกับนิ่งงันไป ไม่อยากจะคิดเข้าข้างตัวเองว่าสรนุชหมายถึงเขา
“ไม่อยากรู้อะไรอีกแล้วใช่มั้ย...ฉันจะได้กลับเรือนรับรอง”
“เอ่อ...อืม”
สรนุชหันหลังเดินออกไป ใจเด็ดมองตามพลางอมยิ้ม จังหวะนั้นจู่ๆ สรนุชก็หยุดกึก ใจเด็ดเห็นก็รีบหลังกลับ สรนุชหันมาทางใจเด็ดก่อนจะพูดขึ้นอีก
“แล้วถ้านายเจอผู้ชายที่เหมือนควาย...ช่วยบอกฉันด้วยนะ”
พูดจบสรนุชพูดก็เดินออกไป โดยไม่รู้เลยว่าใจเด็ดนั้นกำลังยิ้มหน้าบานอยู่

ค่ำคืนนั้นสรนุชเอาแต่นั่งมองใบบัวบกในมือแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ระหว่างนั้นสรนุชได้ยินเสียงหินก้อนเล็กๆ มาโดนกระจกหน้าต่าง กิ๊ก !
สรนุชหันไปมองอย่างไม่แน่ใจ จึงเดินไปที่หน้าต่างเปิดออก ก่อนจะเห็นหินอีกก้อนห่อกระดาษหล่นเข้ามาในห้อง
สรนุชหยิบมาอ่าน “พบกันที่หน้าสถานี”
สรนุชอมยิ้มอย่างเขินๆ “นายเจอผู้ชายคนนั้นแล้วเหรอ”
สรนุชหัวใจพองขึ้นมาทันที

ด้านเจนจิราเดินออกมาจากบ้านพัก เพราะนอนไม่หลับ ลงมานั่งที่บันไดหน้าบ้าน ระหว่างนั้นเจนจิรามองเห็นแสงไฟห่างออกไปไม่ไกล และเห็นว่าแสงไฟนั่นค่อยๆ เคลื่อนเดินเข้ามา เจนจิราเขม้นมองด้วยความสงสัยก่อนจะเห็นว่าเจ้าของไฟฉายนั้นเป็นสรนุชนั่นเอง
“ดึกขนาดนี้จะไปไหนอีก”
เจนจิราครุ่นคิด ในที่สุดก็ตัดสินใจเดินตามสรนุชไป

สรนุชเดินเข้ามายังบริเวณที่นัดเอาไว้ตามกระดาษโน้ต
“นายอยู่ไหน...ฉันมาแล้ว”
ระหว่างนั้นสรนุชได้ยินเสียงสวบสาบดังมาจากทางด้านหลัง สรนุชอมยิ้มก่อนจะปั้นหน้านิ่งแล้วหันไปด้วยหัวใจที่พองโต
แต่แล้วสรนุชก็ต้องอึ้งไป เพราะคนที่ยืนอยู่ไม่ใช่ใจเด็ด แต่เป็นชิดชัย
“แก”
“จะตกใจทำไม...ก็รู้อยู่แล้วว่าเป็นฉันไม่ใช่เหรอ”
ในอีกมุมหนึ่ง เจนจิราเองก็อึ้งไป เมื่อเห็นว่าคนที่สรนุชแอบมาพบคือชิดชัย
“พวกคาบาตี้...ทำไมสองคนนั่นถึงได้”
เจนจิราคิดไปคิดมา ก่อนจะตัดสินใจค่อยๆ ย่องออกไป

เจนจิราเคาะประตูใจเด็ดเสียงดัง “พี่เด็ด...พี่เด็ด”
เสียงของเกริกไกรขานรับมาจากข้างใน
“มาแล้ว...มาแล้ว”
เกริกไกรเปิดประตูออกก่อนจะมองเจนจิราอย่างแปลกใจ
“มีอะไรกัน...ควายที่ไหนเจ็บท้องหรือไง”
ใจเด็ดเดินตามออกมา “มีเรื่องอะไรเจน”
“คุณสรนุชเป็นสายลับให้พวกคาบาตี้ค่ะ” เจนจิราบอกอย่างมั่นใจในสิ่งที่เห็น
ใจเด็ดฟังแล้วอึ้งไป “เจน...พี่ว่ามันเกินไปแล้วนะ”
“เจนไม่ได้กล่าวหาคุณสรนุชลอยๆ นะคะ...ถ้าพี่เด็ดอยากรู้ความจริงก็รีบไปกับเจนตอนนี้...เพราะคุณสรนุชกำลังคุยอยู่กับผู้จัดการของคาบาตี้”
ใจเด็ดสีหน้าเครียดลงทันที

เวลาดียวกันสรนุชกำลังคุยกับชิดชัย สีหน้าเครียด
“ฉันคุยกับสมพลเรียบร้อยแล้ว...ทำไมฉันต้องโทร.ไปหาอีก”
“โธ่...ถ้าเรียบร้อยจริง...ทำไมคุณสมพลต้องให้โทร.กลับอีกเล่า” ชิดชัยเยาะ
“เรื่องนั้นฉันไม่รู้...แต่แกกลับไปได้แล้ว”
“ไม่กลับ...จนกว่าเธอจะโทร.หาคุณสมพล”
“ฉันไม่โทร....จะไปมั้ย”
“ไม่”
สรนุชหันไปมองรอบตัวก่อนจะหยิบกิ่งไม้ขนาดเหมาะมือขึ้นมา
“ไป๊”
“คิดว่าฉันจะกลัวหรือไง...ถ้าเธอไม่ยอมโทร.หาคุณสมพล...ฉันก็ต้องเอาตัวเธอไป”
ว่าแล้วชิดชัยก็ขยับเข้ามาประชิดตัวสรนุชทันที สรนุชฟาดไม้ในมือใส่ แต่ชิดชัยคว้าไว้ได้ ก่อนที่ชิดชัยจะเหวี่ยงสรนุชล้มลง แล้วโยนไม้ที่แย่งมาได้ทิ้ง
“ก็แค่นี้”
ชิดชัยโผจะเข้าไปจับสรนุช แต่ทันใดนั้นใจเด็ดก็กระโดดเข้ามาแล้วถีบยอดอกชิดชัยจนเซล้มหงายหลัง
“แกจะทำอะไร”
“ไอ้พวกกระบือบาล” ชิดชัยตกใจมาก
ใจเด็ดเดินเข้ามา เกริกไกรก้มลงหยิบไม้กระชับในมือ ชิดชัยเห็นท่าไม่ดี เลยหันหลังแล้ววิ่งออกไปทันที
พอชิดชัยไปใจเด็ดก็รีบเข้ามาหาสรนุชทันที “เป็นไรมั้ยคุณ”
ใจเด็ดประคองสรนุชลุกขึ้น บาดตาเจนจิรานัก ทันใดนั้นเจนจิราก็เข้ามาทันที เสียงขุ่นเขียว
“เธอคุยอะไรกับพวกมัน”
“เอ่อ...”
“เจน...คุณนุชโดนมันทำร้าย...เธอไม่เห็นหรือไง” ใจเด็ดหันมาเอ็ดเจนจิราที่ไม่รู้กาลเทศะ
“พี่เด็ดอาจจะมาเห็นตอนนั้นพอดี...แต่ก่อนหน้านี่พี่เด็ดไม่เห็นนี่คะ...” เจนจิราพูดพลางเดินเข้าไปหาสรนุช “บอกมาว่าเธอคุยอะไร” เจอคาดคั้นแบบนี้สรนุชถึงอึ้งๆ “เธอเป็นพวกเดียวกับมันใช่มั้ย” เจนจิราเขย่าตัวสรนุชอย่างเคืองแค้น “ใช่มั้ย...ใช่มั้ย”
ใจเด็ดเห็นอย่างนั้นก็รีบเข้าไปขวางเจนจิราทันที “พอได้แล้วเจน”
“พี่เด็ด...พี่เด็ดไม่เชื่อเจนเหรอคะ” เจนจิราโวยวาย
“พี่เชื่อในสิ่งที่พี่เห็น” ใจเด็ดตัดบท “หมอ...ฉันฝากพาเจนกลับไปที่บ้านด้วย” หันมาพูดกับสรนุช “เดี๋ยวผมไปส่ง”
ใจเด็ดดึงสรนุชออกไป เจนจิรามองตามด้วยความเจ็บใจที่ตัวเองกลายเป็นคนโกหกไปซะงั้น

ครู่ต่อมาใจเด็ดเดินนำสรนุชมาตามทาง สรนุชเดินครุ่นคิดตามมาข้างหลัง
“นายไม่น่าว่าเจนเขาอย่างนั้น”
ใจเด็ดหยุดเดินทันที “ทำไม...หรือคุณจะบอกว่าคุณเป็นพวกคาบาตี้อย่างที่เจนว่างั้นเหรอ”
สรนุชนิ่งไปคิดในใจว่าจะเอายังไง ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจที่จะบอกความจริงกับใจเด็ด
สรนุชกำลังจะอ้าปากบอก ใจเด็ดสวนออกมาทันที “ผมไม่เชื่อ”
สรนุชชะงักอ้าปากค้าง
“ผมไม่มีทางเชื่อว่าคุณจะเป็นพวกเดียวกับคาบาตี้...ผมรู้ว่าที่เจนพูดออกมาอย่างนั้น เพราะเขาไม่ค่อยชอบคุณ”
“แต่...แต่นายยังไม่รู้จักฉันดีเลยนะ” สรนุชท้วง
“แต่ก็ดีพอที่จะรู้ว่าคุณยอมเสี่ยงชีวิตช่วยผม” ใจเด็ดบอก
ทั้งคู่เดินเดินมาจนถึงเรือนรับรอง สรนุชทำท่าจะเดินขึ้นเรือนรับรอง ก่อนจะตัดสินใจหันมาบอกกับใจเด็ดที่ยืนรออยู่
“เอ่อ...ฉันมีเรื่องจะบอกนาย”
“ผมเองก็มีเรื่องจะบอกคุณเหมือนกัน...พรุ่งนี้คุณไปพบผมที่ลำธารที่เราเคยไปได้มั้ย”
“ทำไมต้องไปที่นั่นด้วย” สรนุชงง
“พรุ่งนี้คุณก็จะรู้เอง”
สรนุชมองตามใจเด็ดด้วยความสงสัย

เวลาผ่านไปจนดึกดื่น...สามคนสามหัวใจอยู่ในอาการแตกต่างกัน
สรนุชนอนไม่หลับ นั่งครุ่นคิดสงสัยไปมาว่าใจเด็ดจะบอกอะไรเธอ ส่วนที่บ้านพักของใจเด็ด...ใจเด็ดหยิบเสื้อที่เคยคิดจะมอบให้สรนุชขึ้นมาดู ใจเด็ดมองมันแล้วยิ้มเป็นสุข แตกต่างจากเจนจิราที่กำลังนอนร้องไห้ด้วยความชอกช้ำใจ

เช้าวันรุ่งขึ้น สรนุชตื่นแต่เช้า อาบน้ำแต่งตัวอยู่ในชุดสวยกำลังส่องกระจกด้วยสีหน้าสุขใจ
ระหว่างนั้นเสียงคนงานดังขึ้นที่หน้าเรือนรับรอง
“คุณนุชคะ คุณนุช”
สรนุชหันมองไปทางเสียง พอเดินออกมาจากห้องก่อนจะเห็นคนงานยืนอยู่
“คะ”
“หัวหน้าใจเด็ดฝากเสื้อนี่มาให้คุณค่ะ”
สรนุชรับมาด้วยความแปลกใจ “ขอบคุณคะ”
คนงานเดินจากไป สรนุชคลี่เสื้อออกดูพร้อมกับเห็นกระดาษโน้ตร่วงออกจากเสื้อ
สรนุชหยิบมันขึ้นมาอ่าน “ที่ลำธารอากาศเย็น ผมอยากให้คุณใส่เสื้อตัวไป”
สรนุชยิ้มอย่างมีความสุข ระหว่างนั้นเสียงสุบินดังขึ้น
“ไหน...ใครเอาอะไรมาให้หรือไง”
สรนุชหันไปเห็นสุบินเดินคอตั้งใส่เฝือกคอ ออกมา
“ไม่มีอะไร”
“ไม่มีอะไรได้ไง...ก็นั่นไง...เสื้อใคร”
สุบินพยายามจะเดินเข้ามาดูเสื้อในมือสรนุช ระหว่างนั้นอรอนงค์วิ่งพรวดพราดหน้าตาตื่นขึ้นมาบนบ้าน
“นุช...นุช”
“อะไร”
“พ่อเธอโทร.มา”
สรนุชนิ่วหน้าด้วยความประหลาดใจเป็นที่สุด

สรนุชรีบมารับสายภายในสำนักงาน
“สวัสดีค่ะ..” นิ่งฟัง “คะพ่อ” สีหน้าแปลกใจเปลี่ยนเป็นช็อก “อะไรนะคะ”
อรอนงค์กับสุบินก็พลอยตกใจไปกับอาการของสรนุชด้วย

ไม่นานหลังจากนั้นรถของสรนุชขับมาตามทางด้วยความเร็วสูง ภายในรถ...เห็นว่าอรอนงค์เป็นคนขับ สุบินนั่งอยู่ข้างหลัง สรนุชนั่งอยู่ข้างๆ ร้อนใจ
“ขับเร็วกว่านี้ไม่ได้เหรออร”
“นี่ก็เร็วแล้วนะนุช...เอาน่า...แม่เธอต้องไม่เป็นไร”
อรอนงค์กุมมือสรนุชให้กำลังใจ เช่นเดียวกับสุบินที่ตบไหล่ให้กำลังใจสรนุชที่ดูกระวนกระวายเช่นกัน

ตอนสายวันนั้นใจเด็ดยืนอยู่ริมลำธาร รอคอยสรนุชอย่างเป็นสุข

บ่ายวันเดียวกันนั้นรถของสถานีแล่นเข้ามาจอดก่อนที่จะเห็นเกริกไกร เจนจิรา ภิรมย์ สมหญิงและคนงานทยอยลงจากรถ
“ดีนะที่พวกเราไปถึงทันเวลา...ไม่อย่างนั้นมีหวังได้ตายคาท่อแน่” เกริกไกรเอ่ยขึ้น
“ทำไมควายมันถึงได้ตกท่อคะหมอ” สมหญิงงงไม่หาย
“เอ...ถามแปลกๆ...ควายมันรู้จักท่อมั้ยละ...ถ้ามันรู้จักมันก็คงไม่ตกหรอก” ภิรมย์หยัน
เกริกไกรหันไปหยิบของฝากออกมาจากท้ายรถกระบะ
“โห...ไหนว่าช่วยควายไม่หวังผลตอบแทนไงหมอ”
“ฉันไม่ได้เอามากินเองซะหน่อย...ฉันเอามาให้คุณอร...ฉันฝากเก็บเครื่องมือด้วยนะ”
เกริกไกรรีบถือของฝากเดินออกไปทางเรือนรับรองทันที เจนจิรามีสีหน้าไม่พอใจ

เกริกไกรถือวิสาสะเดินขึ้นมาบนเรือนรับรอง “คุณอรครับ...คุณอร”
เกริกไกรทำหน้าแปลกใจเมื่อไม่พบใครจึงตะโกนเรียกอีก “ไปไหนกันหมด...คุณนุช...คุณสุบิน”
จังหวะนั้นเกริกไกรผลักประตูเข้าไปในห้องนอนของอรอนงค์ แล้วเกริกไกรก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าเสื้อผ้าในตู้หายไป
เกริกไกรกำลังจะเดินออกพ้นประตูห้อง แล้วเกริกไกรก็ต้องชะงักไปเมื่อเห็นกระดาษโน้ตติดอยู่ที่ประตู
เกริกไกรดึงกระดาษโน้ตมาอ่านก่อนจะมีสีหน้าตกใจ

ตั้งแต่สาย เวลาบ่ายคล้อย จนเวลานี้เย็นย่ำ วันนั้นทั้งวันใจเด็ดรอการมาของสรนุชอย่างกระวนกระวาย
“ทำไมช้าจัง...หรือว่าจะหลง”
ใจเด็ดมองไปทางราวป่าด้วยความเป็นห่วง
เวลาผ่านไป...พระอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำ แสงรายรอบตัวใจเด็ดเริ่มมืดลง แต่ใจเด็ดยังคงนั่งรออยู่บนโขดหินที่เดิม
ค่ำคืนนั้นชาวกระบือบาลทุกคนนั่งรวมกลุ่มต่างคนต่างอารมณ์ เกริกไกรดูยังช็อกไม่หาย ภิรมย์กับสมหญิงหน้าเศร้าๆ ขณะที่เจนจิราดูไม่รู้สึกรู้สมอะไร
ระหว่างนั้นใจเด็ดเดินกลับเข้ามา เอ่ยถามขึ้น “ทุกคนมานั่งทำอะไรกันตรงนี้”
ทุกคนได้ยินเสียงใจเด็ดต่างก็กรูกันเข้ามา
“มีอะไร...หรือว่ามีควายล้ม”
“ไม่ใช่เรื่องควายหรอกไอ้เด็ด”
เกริกไกรพูดแล้วก็นิ่งไปเหมือนจุกที่ลำคอ เจนจิราพูดต่อทันที
“คุณสรนุชกลับกรุงเทพฯไปแล้วค่ะ”
“ว่าไงนะ...ไม่จริง...เจน...เลิกเล่นได้แล้ว”
“เจนไม่ได้เล่นค่ะ...ถ้าพี่เด็ดไม่เชื่อก็ไปดูเองได้”
ใจเด็ดหุนหันจะวิ่งออกไป แต่เกริกไกรเรียกเอาไว้ “แกไม่ต้องไปหรอก”
ใจเด็ดชะงัก แล้วหันกลับมาจึงเห็นเกริกไกรเดินเข้ามาพร้อมกับส่งกระดาษโน้ตให้
ใจเด็ดรับมาอ่าน “ฉันมีธุระด่วนต้องกรุงเทพเดี๋ยวนี้ ขอโทษทุกๆ คนด้วย...สรนุช”
ใจเด็ดถึงกับอึ้งไป

กลางดึกคืนนั้น รถของสรนุชแล่นปราดเข้ามาจอดที่ด้านหน้า สรนุชรีบเปิดประตูแล้ววิ่งพรวดลงจากรถไป สุบินกับอรอนงค์ ตามลงมา
ภายในบ้านเวลานั้น...พลเอกสรยุทธนั่งหัวเราะอยู่กับคุณหญิงเลิศหล้า โดยมีสมพล และณวัตร่วมวงอยู่ด้วย คุณหญิงเลิศหล้าไม่มีทีท่าของคนเจ็บป่วยแต่อย่างใด
สรยุทธมองไวน์ในมืออย่างชื่นชม
“ไวน์ทุกขวดมันก็มีเรื่องราวของตัวมันเอง...ประหลาดนะคุณสมพล...ถ้าเรารู้เรื่องราวของมันก่อนที่ดื่ม...มันจะทำให้รสชาติของมันดีขึ้นอีกเยอะเลย”
“ขอบคุณครับท่าน...ผมเองก็เพิ่งรู้วันนี้นี่เอง...และหวังว่าเรื่องราวของไวน์ขวดนี้จะทำให้ท่านไม่ผิดหวัง” สมพลปะเหลาะ
ระหว่างนั้นสรนุชวิ่งพรวดพราดเข้ามาในห้องรับแขก “แม่”
ทุกคนหันไปก็ตกใจ เมื่อเห็นสรนุชยืนอยู่ สรนุชเองก็อึ้งไปเพราะคุณหญิงเลิศหล้าดูสบายดี
“ยัยนุช” สรยุทธอุทาน
“แม่ไม่ได้เป็นอะไรเหรอคะ”
ทุกคนทำหน้าเลิ่กลั่กเพราะไม่รู้จะพูดยังไง โดยเฉพาะณวัตที่หลบตาไม่กล้าสู้ สรนุชเห็นทุกอย่างก็เดาออกได้ทันที
“ทุกคนรวมหัวกันหลอกนุชใช่มั้ยคะ”
สรนุชนิ่งไป ด้วยความโกรธ

ระหว่างนั้นสุบินกับอรอนงค์วิ่งเข้ามาด้วยความเป็นห่วง
“เป็นไงบ้า..”สุบินหันไปมองรอบห้อง “อุ้ย...!”
แล้วสุบินกับอรอนงค์ก็ถึงกับชะงักไปเมื่อเห็นทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา อรอนงค์รีบเข้าไปหาคุณหญิงเลิศหล้า
“เป็นไงบ้างคะคุณแม่...ไปโรงพยาบาลมั้ยคะ”
“อร...สุบิน...แกสองคนไปรอข้างนอกก่อนไป” สรนุชสั่ง
“อ้าว...ทำไมละ...แกไม่พาแม่ไปส่งโรงพยาบาลก่อนเหรอ”
“แม่ฉันไม่ได้เป็นไร...ไปรอข้างนอกก่อนไป”
สุบินรู้ทางลมจึงเข้ามาดึงอรอนงค์ให้เดินออกไป ทั้งคู่ยกมือไหว้เลิศหล้ากับสรยุทธ ไม่ยอมไหว้ สมพล ก่อนจะเดินออกไป
สมพลเมื่อเห็นสรนุชโกรธจัด ก็ลุกขึ้นมาจะอธิบาย
“ลูกนุชฟังพ่อก่อนนะ”
“ทุกคนอยากให้หนูกลับมาก็บอกกันตรงๆ ก็ได้...ทำไมต้องมาแช่งให้แม่ไม่สบายด้วย” สรนุชเสียงแข็ง
สมพลรีบปฏิเสธทันที “ใครบอก...พวกเราไม่เคยคิดอะไรอย่างนั้นเลย”
“รู้มั้ยว่าหนูรีบขับมาเท่าไหร่...ดีที่หนูไม่ตายเพราะรถคว่ำก่อน”
แต่ยังไม่ทันที่สมพลจะเข้ามาพูดกับสรนุช สรยุทธผู้เป็นพ่อก็สวนขึ้น
“พอได้แล้ว...มันจะอะไรนักหนา...คุณสมพลเขาเป็นผู้ใหญ่...ลูกพูดกับคุณสมพลอย่างนั้นได้ยังไง”
“ผู้ใหญ่ก็ควรทำตัวให้น่านับถือแบบผู้ใหญ่ซิคะ” สรนุชตอกกลับอย่างไม่ยี่หระ
สมพลถึงกับสะดุ้งหันมองหน้ากับณวัตกันเลิ่กลั่ก
“พ่อเป็นคนคิดเรื่องทุกอย่างขึ้นมาเอง...ถ้าพ่อไม่ทำอย่างนี้แล้วแกจะยอมกลับมามั้ย” สรยุทธบอก
“แม่คิดถึงลูกนะ...ลูกก็รู้ว่าแม่ไม่ค่อยแข็งแรง...สามวันดีสี่วันไข้...จะเป็นอะไรขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้...กลับมาอยู่บ้านเรานะลูก” คุณหญิงผสมโรง
สรนุชมองเลิศหล้าด้วยความรู้สึกผิดเช่นกัน
สมพลรีบสอดขึ้นเมื่อเห็นสรนุชอ่อนลง “ไม่ต้องห่วงที่สุรินทร์นะลูกนุช...พ่อกำลังหาคนไปทำหน้าที่แทนลูกอยู่...ตอนนี้ลูกนุชจะได้กลับมาดูแลคุณหญิง...แล้วอีกอย่างจะได้มีเวลาเตรียมตัวสำหรับงานหมั้นด้วยไง”
“หมั้น..? !!” สรนุชฉงนภายในใจ
สมพลเห็นสรนุชทำหน้าประหลาดใจ ก็รีบเหยียบเท้าส่งซิกให้กับณวัต
ณวัตร้องลั่น “โอ้ย” พอหันไปเห็นสมพลส่งซิกให้ณวัตพูดอย่างที่เตี๊ยมกันมา “ใช่จ้ะ...นุช...คุณก็รู้ว่าผมอยากจะแต่งงานกับคุณ...แต่ถ้าคุณไปอยู่สุรินทร์อย่างนี้แล้วเมื่อไหร่เราจะแต่งงานกันละครับ”
สรนุชงง อึ้งกับสิ่งที่ณวัตพูด “แต่งงานอะไร...ก็ในเมื่อคุณกับฉัน”
ณวัตรีบสอดขึ้นเพราะกลัวสรนุชพูดออกมาเรื่องที่ตัวเองบอกเลิก และไปอาละวาดที่สุรินทร์มา
“ผมเองก็ไม่ได้อยากเร่งเร้าอะไรนุชหรอก...แต่คุณแม่คุณซิ...บอกว่าอยากอุ้มหลานเร็วๆ”
เลิศหล้ารีบเสริมทันที “ใช่จ้ะ...แม่คุยกับคุณสมพลแล้ว...ว่าให้หาตำแหน่งอะไรที่มันสบายๆ ไม่ต้องทำอะไรมาก...นะ...ทำเพื่อแม่สักครั้งนะลูก”
สรนุชนิ่งไปไม่อยากพูดอะไรเพราะกลัวทำให้เลิศหล้าไม่สบายใจ ก่อนจะมองไปที่ณวัตด้วยแววตารังเกียจ

ทางด้านสุบินกับอรอนงค์นั่งรอสรนุชอยู่ที่สนาม
“นี่ฉันงงไปหมดแล้ว...ตกลงแม่นุชสบายหรือไม่สบายกันแน่”
“แค่นี้แกดูไม่ออกหรือไง...ร้อยเอาบาท...ฉันว่ามันต้องเป็นแผนของไอ้ณวัตแน่นอน”
ระหว่างนั้นสรนุชเดินเข้ามา
“นุช...” อรอนงค์เดินเข้าไปหา “ทั้งหมดเป็นแผนของณวัตเหรอ”
“พวกแกกลับไปก่อน...แล้วฉันจะเล่าให้ฟังทีหลัง”
สุบินกับอรอนงค์เห็นสรนุชสีหน้าเครียดก็ชักจะเป็นห่วง ระหว่างนั้นเสียงณวัตดังขึ้น
“นุช”
ณวัตเดินออกมาแล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นสรนุชอยู่กับสุบินและอรอนงค์ สุบินพอเห็นณวัตก็ของขึ้นทันที
“หนอย...ขอเอาคืนหน่อยเถอะวะ”
สุบินปรี่เข้าไปจะเอาเรื่องณวัต สรนุชกับอรอนงค์รีบห้าม
“อย่า...เดี๋ยวก็ได้หนักกว่าเก่าหรอก” อรอนงค์บอก
“ไม่สนเว้ย...ฉันไม่ยอมให้มันทำฉันฝ่ายเดียวหรอก”
ณวัตเดินเข้ามาแล้วทำหน้าท้าทาย
“ก็ดี...คราวที่แล้วฉันเบามือไปหน่อย...คราวนี้แกอยากให้ตรงไหนหักละ”
“ดั้งแกไง...หน้าตัวเมียอย่างแกถ้าไม่เล่นทีเผลอไม่มีทางชนะฉันหรอกเว้ย”
“แกว่าใครหน้าตัวเมีย”
“ก็ใครที่มันตบหน้ายัยนุชละ”
สรนุชเสียงดังขึ้นห้าม “สุบิน...!” สุบินยอมหยุด “ฉันขอร้อง...กลับไปก่อนนะ”
สุบินมองหน้าสรนุชที่ดูขึงขังจริงจัง จึงต้องยอมอ่อนลง
“ไปอร”
สุบินเดินฮึดฮัดออกไป อรอนงค์หันมาบอกสรนุชด้วยความเป็นห่วง
“มีอะไรรีบโทรหาพวกฉันนะ” สรนุชพยักหน้าให้อรอนงค์ “ฉันไปก่อนนะ”
อรอนงค์รีบวิ่งตามสุบินออกไป ณวัตเดินเข้ามาหาสรนุช
“วัตนึกว่านุชจะเข้าข้างไอ้พวกนั้นมากกว่าวัตซะอีก” ณวัตยิ้มเดินเข้ามาหาสรนุช
“คุณอย่าเข้าใจผิด...ฉันไม่อยากให้มีเรื่องมีราวในบ้านฉัน”
สรนุชจะเดินหนี ณวัตดึงแขนสรนุชเอาไว้
“นุชยังโกรธวัตอยู่อีกเหรอ”
“ปล่อย” สรนุชเสียงกร้าว
“ไม่...นุช...ผมขอโทษ...ผมรู้ว่าผมทำรุนแรงไปหน่อย...แต่ที่ผมทำลงไปก็เพราะว่าผมหึงคุณนะ...นุช...เรากลับมาเป็นเหมือนเดิมนะ...คุณไม่เสียดายผู้ชายที่เพียบพร้อมอย่างผมหรือไง”
สรนุชแค่นยิ้มออกมาอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง “คุณนี่ชอบทำอะไรที่ฉันคิดไม่ถึงจริงๆ”
“วัตรู้ว่านุชชอบเซอร์ไพรส์ไง” ณวัตยังไม้รู้ตัว
“ใช่...คุณทำเซอร์ไพรส์ฉันหลายๆ อย่าง...ทั้งด่า...ทั้งตบ...แล้วก็บอกเลิก...แถมตอนนี้...คุณยังมาขอคืนดี...เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน...ฉันถามจริงๆ เถอะ...คุณทำได้ยังไง”
ณวัตชะงักหน้าเจื่อนรู้ว่าถูกสรนุชกัด แต่ณวัตก็ทำเป็นแกล้งโง่
“ก็เพราะว่าวัตรักนุชไง”
สรนุชสะบัดมือของณวัตออก “คุณมันน่าขยะแขยงที่สุด”
สรนุชพูดจบก็เดินเข้าไปในบ้านทันที ณวัตพยายามเรียกเอาไว้
“นุช...นุช”
เพียงชั่วพริบตาแล้วณวัตก็เปลี่ยนสีหน้าแววตาเป็นร้ายกาจขึ้นมา
“ถ้าไม่ใช่เพราะพ่อเธอ...คิดว่าฉันจะสนผู้หญิงอย่างเธอหรือไง...หึ!”

เวลาเดียวกันนั้นใจเด็ดมาสุมไฟไล่ยุงให้ควายที่คอกควายในสถานี แล้วนั่งคิดถึงสรนุช ด้วยความไม่เข้าใจหลายอย่าง

ขณะเดียวกัน ข้าวของต่างๆ ที่สรนุชรื้อออกมาจากกระเป๋า วางเกลื่อนพื้นห้อง แต่แล้วสรนุชก็ต้องชะงักไปเมื่อเห็นเสื้อที่ใจเด็ดมอบให้เธอ สรนุชค่อยๆหยิบมันขึ้นมา คิดไปถึงใจเด็ด
“ฉันขอโทษ...ฉันไม่มีโอกาสพูดกับความจริงกับคุณ แต่รอฉันนะ...ฉันจะกลับไป...ไปสารภาพทุกอย่างกับคุณ”
สรนุชมองเสื้อที่ใจเด็ดมอบให้ด้วยความรู้สึกหลายอย่าง ทั้งคิดถึง รู้สึกผิด สับสนไปหมด
เป็นเวลาเดียวกับที่ใจเด็ดยังนั่งเหม่อที่คอกควาย ใจเด็ดถอนหายใจก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้น แต่แล้วทันใดนั้นใจเด็ดก็รู้สึกปวดหนึบขึ้นมาที่แผล
ใจเด็ดกุมแผลที่ศรีษะแล้วเซไปพักที่คอกควาย ใจเด็ดกัดฟันทนความเจ็บ ระหว่างนั้นควายเข้ามาดุนๆ ที่หลังใจเด็ดด้วยความเป็นห่วง ใจเด็ดหันมองไปที่ควายแล้วยกมือขึ้นลูบหัว
“ไม่เป็นไรหรอกน่า”

ใจเด็ดตบหัวควายเบาๆ อย่างเอ็นดูก่อนจะรู้สึกว่าความเจ็บปวดที่ศีรษะเริ่มทุเลาลงแล้ว
ตอนเช้าวันต่อมา สมพลกำลังคุยโทรศัพท์กับผู้ถือหุ้นรายหนึ่ง ภายในห้องทำงานที่คาบาตี้สำนักงานใหญ่ กรุงเทพฯ

“ใช่ครับ...พลเอกสรยุทธ...เลิศพิทักษ์...ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด...ผมคงจะเชิญท่านมารับตำแหน่งสำคัญที่นี่...แล้วคิดดูซิครับว่าถ้าเป็นอย่างนั้น...บริษัทรถไถอื่นๆ ที่คิดจะแข่งกับเราก็คงต้องคิดหนักเหมือนกัน..” สมพลเงียบฟัง “แต่ผมมีข้อแลกเปลี่ยน...ผู้ถือหุ้นทุกคนจะต้องให้ผมมีอำนาจเต็มในการจัดการทุกอย่างที่นี่เหมือนเดิม”
ระหว่างนั้นเสียงเคาะประตูดังขึ้น ก่อนจะเห็นสรนุชเดินเข้ามาภายในห้อง สมพลพอเห็นสรนุชก็ตกใจแต่เก็บอาการได้
“ยังไง...เดี๋ยวผมจะโทรไปฟังคำตอบอีกทีนะครับ”
สมพลรีบวางสายไปเพราะกลัวสรนุชจะได้ยินอะไร ก่อนจะหันมายิ้มให้กับสรนุช
“สวัสดีลูกนุช...พ่อนึกว่าลูกจะพักให้หายเหนื่อยก่อนซะอีก”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ...หนูไม่ได้เหนื่อยอะไร”
“เออ...มาก็ดีแล้ว...เมื่อกี้พ่อคุยกับผู้ถือหุ้น...เขาบอกว่าเขาได้อ่านรายละเอียดของยุทธศาสตร์ดาวเปื้อนดินแล้ว...เขาชอบมากที่ลูกหาข้อมูลได้ลึกขนาดนั้น...แล้วลูกมานี่มีอะไรหรือเปล่า...หรือว่าไอ้วัตมันก่อเรื่องอะไรอีก”
สรนุชนิ่งไปก่อนจะตัดสินใจพูดขึ้น “หนูมาลาออกค่ะ”
สมพลได้ยินอย่างนั้นถึงกับอึ้งไป
“เอ่อ...อะไรนะ...เมื่อกี้พ่อได้ยินไม่ชัด...ลูกมาลาพักใช่มั้ย”
สรนุชย้ำชัด “ลาออกค่ะ”
“พ่อรู้ว่าลูกเพิ่งกลับมาอาจจะยังเหนื่อย...เอาอย่างนี้...พ่ออนุญาตให้ลาพักไม่มีกำหนด...แล้วถ้าจะชวนอรอนงค์ไปด้วยก็ได้...พ่อไม่ว่าอะไรเลย”
“แต่ว่า...”
“ไม่พอเหรอ...เอาไอ้วัตไปด้วยอีกคนมั้ย...พ่ออนุญาตให้เราใช้งานมันได้เต็มที่”
สมพลพูดพร้อมกับจะหยิบมือถือขึ้นมาโทร.หาลูกชายแสบ แต่สรนุชพูดขัดขึ้น
“หนูตั้งใจไว้แล้วค่ะ...ที่หนูมาบอกคุณพ่อวันนี้เพราะอยากจะแจ้งให้ทราบก่อน...ส่วนหนังสือลาออก...หนูจะทำมาให้อย่างเป็นทางการอีกที...หนูไม่รบกวนเวลาของคุณพ่อแล้วค่ะ”
สรนุชยกมือไหว้สมพลก่อนจะลุกเดินออกไป สมพลถึงกับชะงัก อ้าปากค้าง
“หนูนุช...หนูนุช ! โธ่เว้ย...อะไรนักหนาวะ”
สมพลทุบโต๊ะด้วยความหงุดหงิดขณะที่เริ่มคิดทันทีว่าจะทำยังไงต่อไป

เวลาเดียวกันนั้นเกริกไกรกำลังกดโทรศัพท์สำนักงานโทรออกก่อนจะรอสาย เกริกไกรกดวางสายแล้วกดใหม่อีกครั้ง แต่ก็ผลก็ยังเป็นเหมือนเดิม
ใจเด็ดแอบมองเกริกไกรเผลอลุ้นไปในตัว ขณะที่เจนจิราเองที่นั่งอยู่ที่โต๊ะเกริกไกรกดโทรศัพท์ก็สุดจะทน
“พอได้แล้วหมอ...ก็เห็นอยู่ว่าพวกเขาปิดเครื่อง”
“หรือไม่ก็...ตอนนี้คุณอรอาจจะอยู่ในที่ที่ไม่มีสัญญาณก็ได้”
เกริกไกรกดโทรศัพท์อีกครั้ง แต่แล้วเจนจิราก็กดที่พักหูเพื่อตัดสาย
“แล้วหมอแน่ใจได้ยังไงว่าเบอร์ที่พวกเขาให้มาจะเป็นเบอร์ที่ติดต่อพวกเขาได้จริง” เจนจิราเยาะ
“หมายความว่าไง”
“ไม่รู้ซิ...บางทีพวกเขาอาจจะไม่ให้พวกเราโทร.ไปตั้งแต่แรกแล้วก็ได้”
“ไม่...คุณอรไม่ใช่คนอย่างนั้น...ไอ้เด็ด...แกไม่คิดจะทำอะไรเลยหรือไง” เกริกไกรหันมาทางใจเด็ด
“สิ่งที่ฉันทำได้...แกก็กำลังทำอยู่นั่นไง...ไม่ต้องห่วงน่าหมอ...เดี๋ยวพวกเขาต้องติดต่อมาเอง”
“แต่ฉันสังหรณ์ใจว่ามันจะไม่ใช่อย่างนั้นซิวะ”
คำพูดของเกริกไกรทำให้ใจเด็ดเองก็นิ่งไปเช่นกัน
“นี่หมอกับพี่เด็ดเป็นอะไร...ทำไมถึงได้เป็นเดือนเป็นร้อนนักหนา...แต่ก่อนตอนที่พวกนั้นยังไม่มา...เจนก็ไม่เห็นว่าจะเป็นอะไร”
“เจน...เธอไม่เข้าใจหรอกว่าความรักมันเป็นยังไง...มันทรมานแค่ไหนที่เราไม่ได้หน้าคนที่เรารัก” เกริกไกรเริ่มเพ้ออีก
“แต่สำหรับเจน...การได้เห็นหน้าคนที่เราแอบรักทุกวัน...แต่รู้ว่าเขาไม่รักเรามันเจ็บกว่าค่ะ”
เจนจิราตั้งใจจะพูดเพื่อกระทบกระเทียบให้ใจเด็ดได้รู้ แต่ใจเด็ดเองกลับไม่ได้คิดอะไร
“หมายความว่าไง”
เจนจิรารีบเสพูดไปเป็นเรื่องของเกริกไกร “ก็หมายความว่า...เจนไม่อยากให้หมอรออย่างไม่มีความหวัง...พวกเขาก็มีชีวิตของพวกเขา...บางทีหมออาจจะไม่รู้ว่าคุณอรอาจจะมีแฟนอยู่ที่กรุงเทพฯเหมือนคุณสรนุชก็ได้”
คำพูดของเจนจิราทำให้ทั้งใจเด็ดและเกริกไกรต่างก็นิ่งไปด้วยความเศร้า

เวลาต่อมาใจเด็ดเดินออกมาที่หน้าสำนักงาน ก่อนจะหยุดคิดถึงคำพูดของเจนจิรา
“ก็หมายความว่า...เจนไม่อยากให้หมอรออย่างไม่มีความหวัง...พวกเขาก็มีชีวิตของพวกเขา...บางทีหมออาจจะไม่รู้ว่าคุณอรอาจจะมีแฟนอยู่ที่กรุงเทพเหมือนคุณสรนุชก็ได้”
ใจเด็ดพยายามสลัดความคิดออกแล้วเดินต่อ แต่ใจเด็ดก็ต้องชะงักไปเมื่อเห็นโชคชัยเดินเข้ามาพอดี
“ใจเด็ด”
“นายกมาทำอะไรครับ” ใจเด็ดเอ่ยทัก
โชคชัยเดินเข้ามาประจันหน้ากับใจเด็ด
“นายติดต่อคุณนุชได้หรือยัง”
ใจเด็ดชะงักไปด้วยความหึง “ยังครับ...”
โชคชัยสีหน้าเครียดลง ใจเด็ดเห็นอย่างนั้นก็พูดขึ้นเหมือนต้องการจะบอกบางอย่างกับโชคชัย
“ไม่ต้องห่วงหรอกครับนายก...ยังไงคุณนุชก็ต้องกลับมา...เธอยังมีเรื่องที่ไม่ได้ทำ”
“เรื่องที่ยังไม่ได้ทำ..? หมายความว่าไง” โชคชัยงง
“เอ่อ...ก็คงเป็นสารคดีที่เธอยังถ่ายไม่จบ”
โชคชัยนิ่งไปก่อนจะพูดขึ้นตามความรู้สึกของตนเอง
“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดี...ถ้าคุณนุชกลับมาที่นี่...ฉันจะไม่ยอมเสียเธอไปอีก”
ใจเด็ดชะงักไปเพราะไม่รู้ว่าโชคชัยหมายความว่าไง แต่เขาเองก็รู้สึกว่าหน้าร้อนผ่าวด้วยความหึงขึ้นมาทันที

บ่ายวันเดียวกันนั้นเสียงกริ่งดังลอดเข้ามาในห้องที่คอนโดสุบิน
สุบินเปิดประตูห้องออกมา แล้วสุบินก็ต้องตกใจเมื่อเห็นสรนุชกับอรอนงค์ยืนอยู่
“เฮ้ย!”
สรนุชกับอรอนงค์สงสัยกับอาการของสุบิน
“เป็นไร...ทำไมต้องตกใจอย่างนั้นด้วย”
“เปล่า...แล้วแกสองคนมาทำอะไร”
“ก็มาหาแกไง” แล้วยกข้าวของที่ซื้อมาฝากให้ดู “นี่...”
สุบินเหล่มองเข้าไปในห้องอย่างมีพิรุธ
“เอ่อ...ฉันว่าเอาไว้วันหลังก็ได้...พอดีวันนี้ฉันไม่ค่อยว่าง”
“ไม่ว่าง...” อรอนงค์เห็นอาการของสุบินก็ยิ่งสงสัย “ทำไม...มีใครอยู่ในห้องหรือไง”
อรอนงค์ทำท่าจะเดินเข้าไป สุบินรีบเอาตัวมาขวางทันที
“เฮ้ย...ไม่มีอะไร”
แต่แล้วอรอนงค์กับสรนุชก็รวมพลังกันดึงสุบินออก ก่อนที่ทั้งสองจะรีบเข้าไปในห้อง
“เฮ้ย ! แย่แล้ว..” สุบินรีบตามเข้าไปทันที

สรนุชกับอรอนงค์พากันสำรวจทุกซอกมุมภายในห้องของสุบิน สุบินเดินตามเข้ามา
“ก็ฉันบอกแล้วไงว่าไม่มีอะไร...ไม่เชื่อหรือไง”
“เอ้า...ไม่มีอะไรแล้วทำไมไม่อยากให้พวกฉันเข้าห้องละ”
ระหว่างนั้นสรนุชเหลือบไปเห็นกระดาษปากกาที่สุบินเขียนเอาไว้ที่โต๊ะทำงาน สรนุชเดินเข้าไปหยิบดูด้วยความสงสัย
“ทำอะไรน่ะ”
สุบินเห็นสรนุชเดินไปหยิบกระดาษขึ้นมาอ่านก็ตกใจ จะเข้าไปแย่ง
“เฮ้ย ! อย่าอ่านนะเว้ย...ยัยนุช”
สรนุชยื้อแย่งกับสุบิน ก่อนจะอ่านออกเสียงให้กับอรอนงค์ฟัง
“กระบือบาล..! ตัวละครสำคัญ...หัวหน้าใจเด็ด...นี่มันอะไร”
สรนุชหันมองสุบิน
สุบินดึงคืนพลางบอกออกมา “เรื่องย่อละครใหม่...ฉันกำลังจะเอาไปเสนอผู้จัด”
อรอนงค์ สงสัยไม่หาย “แล้วทำไมต้องทำลับๆ ล่อๆ ด้วย”
“นี่แกสองคนไม่โกรธเหรอ” สุบินฉงนในใจ
“ทำไมต้องโกรธด้วย”
“อ้าว...แกสองคนลืมไปแล้วหรือไงว่าแกทำงานที่คาบาตี้...”
สรนุชนิ่งไปก่อนจะพูดขึ้น “แต่ฉันเพิ่งไปลาออกวันนี้”
สุบินกับอรอนงค์ประสานเสียง “ลาออก”
สรนุชพยักหน้าให้สองเพื่อนซี้
“เยส...เยส ! มันต้องอย่างนี้ซิเพื่อนฉัน” สุบินระรื่น ชอบใจ
“ดีใจอะไร...หมายความว่าไงนุช...นี่แกจะทิ้งให้ฉันอยู่คนเดียวหรือไง” อรอนงค์หน้าง้ำเริ่มนอยด์
“ไม่รู้ซิ...ฉันรู้สึกเบื่อๆ ยังไงไม่รู้” สรนุชบอก
“ฉันรู้ว่าไอ้ความรู้สึกเบื่อๆ ของแกมันคืออะไร” สุบินพูด สรนุชค่อยๆ หันมองสุบินเหมือนอยากรู้เช่นกัน “แกรู้สึกผิดกับเรื่องที่หนองระบือไง”
สรนุชถึงกับนิ่งไปเมื่อสุบินยิงเข้ากลางแสกหน้า
“แกรู้สึกผิดกับชาวบ้าน...รู้สึกผิดกับควาย...แล้วที่สำคัญ...แกรู้สึกผิดกับคุณใจเด็ด! ...นุช...ไหนๆแกก็ลาออกจากคาบาตี้แล้ว...แกไม่คิดจะกลับไปบอกความจริงกับพวกเขาหน่อยเหรอวะ”
สรนุชนิ่งไปนาน จนสุบินและอรอนงค์ไม่รู้ว่าสรนุชคิดอะไรอยู่

ขณะนั้น ภิรมย์ และสมหญิงกำลังช่วยกันต้อนควายให้ขึ้นตาชั่ง โดยมีเจนจิราคอยจดบันทึกน้ำหนัก เจนจิรามองตาชั่งแล้วสีหน้าเครียดลง ใจเด็ดที่คอยจับควายบนตาชั่งเห็นท่าทางของเจนจิราก็สงสัย
“เป็นอะไรหรือเปล่าเจน”
“เอ่อ...เปล่าค่ะ”
เจนจิราพูดแล้วพยายามหันไปทำงานต่อ ใจเด็ดสังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่างจึงเข้าไปดู
“ขอพี่ดูสมุดหน่อย”
“พี่เด็ดอย่าดูเลยคะ...ลายมือเจนพี่เด็ดคงอ่านไม่ออก”
ใจเด็ดแบมือนิ่งไม่พูดอะไร จึงทำให้เจนจิราค่อยๆ ยื่นสมุดให้ใจเด็ด ใจเด็ดรับสมุดมาเปิดๆๆดู
“ทำไม...ควายน้ำหนักลงทุกตัวอย่างนี้”
เจนจิรา สมหญิง และภิรมย์ต่างสบตากันไม่มีใครบอกใจเด็ด
“บอกมาเดี๋ยวนี้ว่าเกิดอะไรขึ้น” ใจเด็ดคาดคั้น
เกริกไกรเห็นทุกคนไม่กล้าจึงพูดขึ้น
“เพราะตอนนี้เราไม่มีเงินซื้ออาหารเสริมให้มันไง”
“ว่าไงนะ...เรื่องสำคัญอย่างนี้ทำไมไม่มีใครบอกฉัน”
“เพราะพวกเราไม่อยากให้พี่เหนื่อยไง” ใจเด็ดชะงักไป เจนจิราพูดต่อ “พวกเรารู้ว่าตอนนี้พี่ไม่มีเงิน...พวกเราก็ทำเท่าที่จะทำได้” เข้าไปจับมือสมหญิงให้ดู “พี่เด็ดเห็นมั้ยว่านี่อะไร...สมหญิงกับภิรมย์ต้องตัดหญ้าเพิ่มจนมือแตกอย่างนี้ก็เพราะว่าทุกคนเขาอยากช่วยพี่”
ใจเด็ดสีหน้าเครียดลงก่อนจะเดินออกไป เจนจิราทำท่าจะเดินตาม แต่เกริกไกรจับไหล่เจนจิราเอาไว้
“เดี๋ยวฉันไปดูเอง”
เกริกไกรหันมองหน้าทุกคนเป็นเชิงบอกให้สบายใจก่อนจะเดินตามใจเด็ดออกไป

ใจเด็ดเปิดประตูเข้ามาในบ้านพัก ตรงมาเปิดลิ้นชักหยิบสมุดบัญชีขึ้นดู ใจเด็ดต้องอึ้งไปเพราะเงินในสมุดบัญชีเหลือเพียงแค่หมื่นกว่าบาทเท่านั้น ทันใดนั้นอาการปวดหัวของใจเด็ดก็กำเริบขึ้น
“โอ๊ย”
ใจเด็ดถึงกับต้องปล่อยสมุดบัญชีลง มือไขว่คว้าหาที่ยึดสะเปะสะปะไปชนข้าวของหล่นกระจัดกระจาย ระหว่างนั้นเกริกไกรตามขึ้นมาบนบ้านพอดี
“ไอ้เด็ด! เป็นไร”
ใจเด็ดเอาแต่ร้องโอดโอยปวดหัวด้วยความทรมาน
“แกรอนี่นะ...เดี๋ยวฉันจะให้ภิรมย์มันเอารถออก”
เกริกไกรทำท่าจะวิ่งออกไป แต่แล้วมือของใจเด็ดก็คว้าแขนเกริกไกรเอาไว้
“ไม่...ฉันไม่เป็นไร”
“ไม่เป็นไรอะไร...แกปวดหัวขนาดนี้...ฉันว่าไปให้หมอเขาตรวจดีกว่า”
ใจเด็ดดึงรั้งเอาไว้ “อย่า...ฉันไม่อยากให้ทุกคนรู้เรื่องนี้”
ใจเด็ดที่สายตาพร่ามัวหันมองไปที่สมุดบัญชีที่หล่นอยู่ ใจเด็ดค่อยๆ เอามือไปควานจนหยิบมันขึ้นมาได้
“ตอนนี้มีเรื่องที่สำคัญกว่าเรื่องของฉัน”
ใจเด็ดพยายามฝืนทนอาการปวดหัวเอาไว้ เกริกไกรมองใจเด็ดด้วยความเป็นห่วง

เหตุการณ์ที่คอนโดณวัตในกรุงเทพฯ ณวัตเปิดประตูเดินเข้ามาในห้องที่มืดสนิท ทันทีที่ณวัตเปิดไฟ เขาก็ต้องตกใจเมื่อเห็นสมพลนั่งอยู่ที่โซฟา
“พ่อ”
สมพลค่อยๆ ลุกขึ้นแล้วเดินเข้ามาหาณวัต
“พ่อมาทำอะไรในห้องผม...แล้วทำไมไม่เปิดไฟละพ่อ”
สมพลเขกหัวเข้าให้ “นี่...ถ้าฉันเปิดไฟแกก็รู้ซิว่าฉันอยู่ในห้อง...ไอ้นี่...แล้วทำไมวันนี้ไม่ไปทำงาน...ห๊ะ”
ณวัตพูดดักคอ “ผมรู้ว่าพ่อคงไม่ได้มาหาผมเพราะเรื่องแค่นี้หรอก”
“ไม่ต้องมาต่อปากต่อคำ...แกง้อหนูนุชภาษาอะไร...ทำไมวันนี้หนูนุชถึงได้มาขอลาออกกับฉัน”
“ลาออก..?” ณวัตตกใจ
“เออซิวะ...แล้วคราวนี้จะทำยังไง...แกก็รู้ว่าถ้าไม่มีหนูนุช...ฉันโดนไอ้พวกผู้ถือหุ้นนั่นมันปลดไปนานแล้ว”
“โธ่พ่อ...ถ้ามันลำบากมากนัก...ทำไมพ่อไม่แต่งกับพลเอกสุรยุทธไปเลยละ” ณวัตประชดส่ง
“ไอ้...ไอ้ลูกเวร...ยังมีหน้ามาพูดเล่นอีก...แกต้องง้อหนูนุชให้รีบแต่งงานกับแกให้เร็วที่สุด...ไม่อย่างนั้น...ฉันจะเอาทุกอย่างไปจากแก”
สมพลชี้หน้าคาดโทษก่อนจะเดินออกไปจากห้องด้วยความหงุดหงิด ณวัตสีหน้าเครียดอย่างเป็นกังวล

ใจเด็ดนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ในสถานี ดูควายทั้งฝูงกำลังกินหญ้าอยู่ในทุ่ง ระหว่างนั้นมีควายตัวหนึ่งเดินเข้ามาใกล้ใจเด็ด ใจเด็ดเห็นก็อดนึกถึงสรนุชไม่ได้
“ผู้ชายที่เป็นเหมือนควายเหรอ”
ระหว่างนั้นภิรมย์วิ่งเข้ามา “หัวหน้าครับหัวหน้า”
ใจเด็ดหันไปก็เห็นภิรมย์วิ่งเข้ามาพร้อมกับจดหมายในมือ
“มีจดหมายมาถึงหัวหน้าน่ะครับ”
ใจเด็ดรีบดึงมาดูทันที ภิรมย์แอบเหล่สังเกตอาการ
“จดหมายจากคุณสรนุชหรือเปล่าครับ”
ใจเด็ดเปิดจดหมายขึ้นอ่านก่อนจะเห็นว่าสีหน้าของใจเด็ดเปลี่ยนไป

สรนุชอยู่ในห้องนอนที่บ้าน กำลังดูรูปที่เธอแอบถ่ายใจเด็ดเพื่อเก็บเป็นข้อมูล แต่ยิ่งดูสรนุชก็ยิ่งรู้สึกคิดถึงใจเด็ดมากยิ่งขึ้น ระหว่างนั้นเสียงเคาะประตูดังขึ้น สรนุชรีบคลิกเพื่อปิดภาพทันที
“คะ”
“อาหารเช้าพร้อมแล้วค่ะคุณนุช” เด็กรับใช้บอก
“ได้...เดี๋ยวฉันลงไป”
สรนุชพูดจบก็นั่งทบทวนความรู้สึกตัวเอง ก่อนที่เธอจะลุกเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าแล้วหยิบเสื้อที่ใจเด็ดมอบให้เธอเอามาใส่
สรนุชเดินมาหน้ากระจกแล้วสัญญากับตัวเอง
“รอฉันนะ...ฉันจะใส่เสื้อตัวนี้ไปบอกความจริงกับนาย”

ที่สถานีเวลาเดียวกัน เกริกไกรอ่านจดหมายเสร็จพอดี
“กรมเขาเรียกฉันไปอบรมเรื่องการป้องกันเชื้อวัวบ้าสายพันธุ์ใหม่ที่กรุงเทพฯน่ะ”
เกริกไกรพูดแล้วสังเกตกริยาใจเด็ดที่เอาแต่นิ่งเฉยไม่พูดไม่จา
“นี่แกไม่รู้สึกอะไรหรือไง”
“รู้สึกอะไร...ก็กรมเขาเรียกแกไม่ได้เรียกฉัน”
“แต่นี่มันเป็นโอกาสดีที่เราจะได้เข้ากรุงเทพฯ นะเว้ย...พวกเราจะได้ไปตามหาคุณอรไง”
“ฉันไม่ทิ้งที่นี่ไปเพราะเรื่องแค่นั้นหรอก” ใจเด็ดว่า
“โอเคๆ...ฉันพูดผิด...ที่จริงแล้ว...ฉันอยากให้แกไปตรวจไอ้หัวของแกที่อยู่ๆมันก็ปวดขึ้นมาต่างหาก...ที่กรุงเทพฯ มีเครื่องไม้เครื่องมือ...ฉันว่าเขาต้องรู้ว่าแกเป็นอะไร”
ใจเด็ดนิ่งไปอย่างครุ่นคิด เกริกไกรเข้ามาตบไหล่
“ไม่ต้องคิดอะไรแล้ว...เดี๋ยวฉันไปเก็บเสื้อผ้าก่อน...แกก็เหมือนกัน”
เกริกไกรเดินออกไป ใจเด็ดหยิบสมุดบัญชีขึ้นมาดูแล้วคิดว่าต้องทำอะไรซักอย่าง

ทางด้านสรนุชกำลังเก็บเสื้อผ้าลงกระเป๋าไปด้วยคุยโทรศัพท์ไปด้วย
“ฉันไม่ได้โทร.มาชวน...ฉันแค่โทร.มาบอกว่าฉันจะไปหนองระบือพรุ่งนี้”
คนที่สรนุชโทร.คุยคืออรอนงค์ที่กำลังตกใจมากมายอยู่ตอนนี้
“พรุ่งนี้” พนักงานคนอื่นหันมองจนทำให้อรอนงค์ต้องลดเสียงเบาลง “นี่แกจะบ้าเหรอยัยนุช...กลับมาก้นยังไม่ทันหายร้อนเลย...แกจะกลับไปอีกแล้วเหรอ”
สรนุชเองก็มีสีหน้าเครียดลง “ฉันว่าฉันอาจจะรู้สึกผิดอย่างที่สุบินมันว่าจริงๆ”
“แล้วไง...แกไปคนเดียว...พอบอกความจริงเสร็จ...แกไม่โดนประชาทัณฑ์หรือไง”
“แต่มันก็ยังดีกว่าที่ฉันรู้สึกอยู่ตอนนี้...ฉันไม่อยากโกหกอีกต่อไปแล้ว”
สายตาของสรนุชเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นที่จะทำทุกอย่างให้ถูกต้อง

เจนจิราอุทานออกมาเมื่อรู้เรื่อง “จะเข้ากรุงเทพฯเหรอคะ”
“ใช่...พี่จะไปกับหมอซักสามสี่วัน...แต่ถ้าพี่ไปนานกว่านั้น...ยังไงพี่ฝากดูที่นี่ด้วย”
เจนจิราได้ยินอย่างนั้นก็เหมือนฟางเส้นสุดท้าย จึงโพล่งออกมา น้ำเสียงไม่พอใจ
“พี่จะไปตามหาคุณสรนุชทำไม...แค่นี้พี่ยังเจ็บไม่พออีกเหรอ”
ใจเด็ดอึ้งไปที่เจนจิราพูดออกมาอย่างนั้น
“เจน...ฟังพี่ก่อน”
“พี่รู้มั้ยว่าพี่เปลี่ยนไปตั้งแต่พวกนั้นมาที่นี่...เจนรู้ว่าพี่คิดยังไงกับคุณสรนุช...แต่พี่หยุดได้มั้ย...หยุดทุกอย่างไว้แค่นี้ได้มั้ย” เจนจิราใส่เป็นชุด
ใจเด็ดพยายามพูดปรามเพื่อห้าม “เจน...” แต่ไม่ได้ผล
“ถ้าพี่เป็นห่วงสถานีเหมือนที่เป็นห่วงคุณสรนุชซักครึ่งนึง...ที่นี่คงไม่ต้องเจอกับปัญหาอย่างนี้”
“เจน...พี่รู้ว่าเจนเป็นห่วงพี่...แต่พี่ไม่ได้จะเข้าไปตามหาคุณสรนุชอย่างที่เจนคิด”
เจนจิราได้ยินก็อึ้งไปชั่วขณะ “อะไรนะคะ...เอ่อ...แล้ว...”
“พี่จะเข้าไปขายที่...เพื่อเอาเงินมาทำให้สถานีนี่อยู่ต่อไปได้”
เจนจิราได้ยินอย่างนั้นก็พูดไม่ออก

คืนนั้นสมพล กับณวัต นัด สุรยุทธ คุณหญิงเลิศหล้า ที่ร้านอาหารหรู เป็นภัตตาคารจีนมีระดับ อาหารวางเรียงรายเต็มโต๊ะ สมพล ณวัต นั่งอีกฝั่ง ขณะที่สุรยุทธและเลิศหล้านั่งตรงกันข้าม
“อาหารจีนที่นี่ขึ้นชื่อมากเลยนะครับ” สมพลรีบปะเหลาะ
“นี่...ทีหลังไม่ต้องเปลืองเงินเปลืองกินอาหารแพงๆ อย่างนี้หรอก...ถ้ามีอะไรก็ไปหาผมที่กองพันก็ได้” สรยุทธยิ้มให้
“นั่นซิ...เลี้ยงพวกเราบ่อยๆ...ระวังจะเคยตัวนะคะ”
สมพลกับณวัตหัวเราะ ก่อนที่ทั้งวงจะพากันหัวเราะเช่นกัน
“คุณสมพลนัดพวกเรามาวันนี้...คงไม่ได้จะมาคุยเรื่องงานหมั้นของยัยหนูหรอกนะคะ” เลิศหล้ากระเซ้า
“แหม...เรื่องนั้นคงต้องให้เจ้าวัตกับหนูนุชคุยกันเอง...แต่ที่ผมนัดท่านกับคุณหญิงมาในวันนี้...เพราะมีเรื่องสำคัญที่จะรบกวนท่านครับ” สมพลว่า
“ไม่มีปัญหา...เรามันคนกันเองอยู่แล้ว...เรื่องอะไรละ” สรยุทธบอก
สมพลกับณวัตแอบยิ้มให้กันที่สุรยุทธเปิดทางสะดวก
“แต่ก่อนที่เราจะคุยเรื่องสำคัญ...ผมอยากขอให้ท่านกับคุณหญิงช่วยเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ...โดยเฉพาะนุช...ผมไม่อยากให้เธอรู้เรื่องนี้ครับ”
สุรยุทธกับเลิศหล้าแปลกใจ ขณะที่ณวัตยิ้มเย็นเยือก

สรนุชนั่งรอสุรยุทธกับคุณหญิงเลิศหล้าที่ห้องรับแขก สรนุชมองนาฬิกาแล้วแปลกใจ
“วันนี้ไม่ได้มีงานเลี้ยงอะไร...แล้วทำไมกลับดึกอย่างนี้นี่”
ทันใดนั้นเสียงรถของสุรยุทธก็ขับเข้ามาพอดี สรนุชรีบวิ่งไปดูที่หน้าต่างก่อนจะกระแอมเตรียมพร้อม
“โอเค...พร้อม”
ระหว่างนั้นสุรยุทธกับเลิศหล้าเดินเข้ามาในห้องรับแขก พอเห็นสรนุชก็แปลกใจ
“อ้าว...ยังไม่นอนอีกเหรอลูก”
“ค่ะ...พ่อกับแม่ไปไหนมาคะ”
“เอ่อ...” เลิศหล้าอึกอัก เหล่มองสุรยุทธว่าจะเอายังไง
“ก็...ไปกินเลี้ยงนิดหน่อย...เออ...เจอเราก็ดีแล้ว...พ่อว่ามีเรื่องจะคุยกับเราเหมือนกัน”
“หนูก็มีเรื่องจะบอกพ่อกับแม่เหมือนกันค่ะ”
“ฮือ...เรื่องอะไร” คุณหญิงถาม
สรนุชสะอึก รู้สึกกลัวพ่อกับแม่จะเสียใจนิดๆ จึงรีบเปลี่ยนเรื่อง
“เอ่อ...พ่อบอกเรื่องของพ่อก่อนก็ได้คะ”
“ไม่มีอะไร...พอดีมีบริษัทเอกชน...เขาเชิญพ่อไปเป็นที่ปรึกษาที่นั่น...แล้วพรุ่งนี้เพื่อนพ่อเขาจะเลี้ยงรับตำแหน่งใหม่ให้...พ่อก็อยากให้เราไปงานด้วย”
“นะ...ไปเป็นเพื่อนแม่นะลูก” เลิศหล้าคะยั้นคะยอ
“แต่หนูไม่ค่อยชอบงานพวกนี้น่ะค่ะ” สรนุชบ่ายเบี่ยง
“แล้วหนูจะให้แม่นั่งคนเดียวหรือไง...ลูกก็รู้เวลาพ่อเราพาแม่ไปงานอย่างนี้ทีไรก็ทิ้งแม่ไปคุยกับเพื่อนเป็นนานสองนานทุกที...นะ...ไปกับแม่นะลูก”
สรนุชได้ยินอย่างนั้นก็มีสีหน้าหนักใจ ก่อนจะตัดสินใจเมื่อเห็นเลิศหล้าเว้าวอน
“ได้ค่ะ...เอ่อ...ดึกแล้ว...พ่อกับแม่ไปพักผ่อนเถอะค่ะ”
สุรยุทธกับเลิศหล้าพากันเดินออกไป สรนุชมองตามหน้าเศร้า พึมพำถึงใจเด็ด
“รอฉันอีกวันเดียวนะ...นายใจเด็ด”
เช้าวันต่อมา ใจเด็ดถือกระเป๋าเดินออกมาจากบ้านพัก ขณะกำลังจะเดินออกไป เจนจิราก็เดินออกมาจากหลังต้นไม้
“เจน...”
เจนจิราไม่พูดอะไร เดินเข้ามาหาใจเด็ดเงียบๆ
“เจนขอโทษคะที่เข้าใจพี่เด็ดผิดไป”
“ไม่เป็นไร...พี่เข้าใจว่าเจนห่วงพี่...” พอเห็นเจนจิราสีหน้าเครียดใจเด็ดจึงสงสัย “เป็นไร...จะไม่ยิ้มให้พี่ก่อนที่พี่จะไปหรือไง”
ใจเด็ดเอามือไปลูบหัวเจนจิรา
“จะให้เจนยิ้มออกได้ยังไงคะ...ก็ในเมื่อพี่เด็ดทำทุกอย่างจนตัวเองเหนื่อยขนาดนี้”
“นั่นแหละ...เราถึงต้องยิ้มไง...เพราะแค่พี่เห็นรอยยิ้มของเรา...ก็ทำให้พี่หายเหนื่อยแล้ว”
จู่ๆ เจนจิราก็โผเข้ากอดใจเด็ด ใจเด็ดชะงักทันที
“พี่เด็ดดูแลเจนมาตลอด...ต่อไปนี้...ให้เจนดูแลพี่เด็ดได้มั้ยคะ”
ใจเด็ดอึ้ง “เจน..”
“ที่เจนไม่อยากให้พี่ไปกรุงเทพ...เพราะเจนกลัวว่าพี่จะเจอกับคุณนุช...เจนไม่อยากให้พี่ต้องเสียใจ...สัญญานะคะ...ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น...พี่ต้องกลับมาหาเจน...แล้วเจนจะไม่ทำให้พี่ต้องเสียใจเหมือนผู้หญิงคนนั้น”
เจนจิราคลายวงแขนแล้วสบตาใจเด็ด ใจเด็ดถึงกับอึ้งไปเมื่อรู้ว่าเจนจิรารู้สึกยังไงกับเขา
“เจน...เอ่อ...คือพี่”
ยังไม่ทันที่ใจเด็ดจะอธิบาย เสียงของเกริกไกรก็ดังขึ้น
“ไอ้เด็ด...ไอ้เด็ด”
ใจเด็ดกับเจนจิราต่างผละออกจากกัน
“เอ้า...สั่งลากันเสร็จหรือยัง...เดี๋ยวก็ไปถึงค่ำพอดี”
ใจเด็ดชำเลืองมองเจนจิราที่มองมาที่เขาอย่างอาวรณ์ แล้วรีบทำหน้าปกติเหมือนไม่รู้สึกอะไร ก่อนจะรีบเดินตามเกริกไกรออกไป
เจนจิรามองตามด้วยความรู้สึกโล่งใจที่ได้บอกความรู้สึกของตนที่เก็บมานาน

ภิรมย์ สมหญิงกำลังยืนอยู่กับหลวงพ่อ เกริกไกรกับใจเด็ดเดินเข้ามา
ใจเด็ดยกมือขึ้นไหว้ “นมัสการครับหลวงพ่อ...เอ่อ...หลวงพ่อมีกิจอะไรหรือเปล่าครับ”
“ไม่มีอะไรหรอก...ก็โยมเกริกไกรเขามานิมนต์อาตมาให้มาอวยพรก่อนที่จะเดินทาง...อาตมาเห็นว่ามันเป็นเรื่องดี...ก็เท่านั้นแหละ”
ระหว่างนั้นเห็นเจนจิราเดินมาหลบมุมหลังต้นไม้ สายตาจับจ้องที่ใจเด็ดตลอดเวลา
“เขาเรียกว่าเริ่มต้นดีมีชัยไปกว่าครึ่ง...อย่าเสียเวลาเลยครับหลวงพ่อ...เริ่มเลยครับ”
ว่าแล้วก็เห็นภิรมย์ถือบาตรน้ำมนต์มาใกล้ๆ หลวงพ่อ หลวงพ่อเริ่มพรมน้ำมนต์
“เอ้า...ไปดีมาดี...คิดสิ่งใดขอให้สมปรารถนา...ขอจงปลอดภัยในทุกที่ทุกสถาน...พุทธังแคล้วคลาด...ธัมมังแคล้วคลาด...สังฆังแคล้วคลาด”
ทุกคนยกมือขึ้นจบอิ่มบุญกันถ้วนหน้า ใจเด็ดลุกขึ้น หลวงพ่อเดินเข้ามาพร้อมกับกระดาษให้กับใจเด็ด
“เอ่อ...คาถาคุ้มครองเหรอครับ”
“หือ...รายการของที่อาตมาฝากซื้อน่ะ”
ใจเด็ดมีสีหน้าเจื่อน ขณะที่คนอื่นๆ ถึงกับเซกันเป็นแถว
“ไป...เดี๋ยวจะมืดแล้วจะขับรถลำบาก” เกริกไกรบอก
“ฉันฝากด้วยนะทุกคน” ใจเด็ดว่า
“ขอให้เจอคุณนุชนะคะหัวหน้า” สมหญิงพูดพาซื่อ
ใจเด็ดสะอึกเพราะเห็นสมหญิงทำหน้ากรุ่มกริ่ม ระหว่างนั้นใจเด็ดก็เหลือบไปเห็นเจนจิราอยู่มุมหนึ่ง
ใจเด็ดมองสบตาเจนจิราที่ส่งสายตาสื่อความนัยมาให้ ใจเด็ดทำหน้านิ่งก่อนจะเดินไปขึ้นรถแล้วขับออกไป

ถนนสายนั้นรถราวิ่งกันน้อยคัน สองข้างทางเป็นทุ่งหญ้า ระหว่างนั้นใจเด็ดยืนรออยู่ข้างรถ พลางดูนาฬิกาข้อมืออย่างร้อนใจ ไม่นานนัก เกริกไกรเดินรูดซิปขึ้นมาจากริมถนน
“เฮ้ย ! แวะยิงกระต่ายแป๊ปเดียวมันไม่เสียเวลามากนักหรอกน่า”
“ฉันกลัวว่าจะไปไม่ทันนัด”
ใจเด็ดหันหลังกลับจะเดินไปขึ้นรถ เกริกไกรเดินเข้าไปขวาง
“ถึงแกจะไปทัน...แกแน่ใจเหรอว่าเขาจะซื้อที่แก...แล้วถ้าเขาซื้อ...แกจะมีปัญญาเอาโฉนดมาจากพ่อแกได้ยังไง”

สีหน้าของใจเด็ดเครียดลงอย่างเห็นได้ชัด











Create Date : 12 เมษายน 2555
Last Update : 12 เมษายน 2555 16:30:55 น.
Counter : 364 Pageviews.

0 comment
กระบือบาล ตอนที่ 10




เช้าวันต่อมา ภายในห้องประชุมบริษัทคาบาตี้ สำนักงานใหญ่กรุงเทพฯ สมพล ณวัต ภิภพ และผู้บริหารคนอื่นๆ ร่วมประชุมกันพร้อมหน้า

ภาพบนจอภายในห้องประชุมเวลานั้น กำลังโชว์กราฟสินค้าตัวต่างๆ ของบริษัท โดยแยกเป็นแต่ละตัว ผู้บริหารท่านหนึ่งกำลังพรีเซนต์อยู่ด้านหน้า
“ตอนนี้ยอดขายของเราโตขึ้นจากปีที่แล้วสิบห้าเปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว...ทั้งหมดนี้...ผมว่าคนที่น่าจะได้เสียงปรบมือน่าจะเป็นคุณสมพล...กรรมบริหารของเราที่มีวิสัยทัศน์เฉียบคม...ถึงได้ทำให้คาบาตี้มีกำไรสวนทางกับเศรษฐกิจของประเทศในเวลานี้”
พอผู้บริหารคนแรกพูดจบ เสียงตบมือดังสนั่นทั้งห้องประชุม สมพลค้อมศีรษะรับ ส่วนณวัตก็เอาแต่เล่นบีบีไม่สนใจอะไร
“เราโชคดีจริงๆ ที่ได้คุณสมพลมาบริหาร...ไม่ต้องห่วงนะ...ปีหน้าผมเลือกคุณอีกแน่”
“ขอบคุณที่ให้เกียรติครับ...ที่จริงแล้ว...ผมต้องขอบคุณทุกท่านที่ไว้วางใจให้ผมบริหารบริษัทคาบาตี้แทนพวกท่าน...ผมรับรองว่าผมจะไม่ทำให้พวกท่านผิดหวังแน่นอน”
ระหว่างนั้นภิภพผู้บริหารอีกคนเหล่มองด้วยความหมั่นไส้
“โทษนะครับ...ผมอยากจะรู้ว่ายอดขายที่คุณบอกนี่...รวมที่หนองระบือหรือยัง”
ทุกคนเงียบกริบลงทันที สมพลชะงักเหล่มอง ขณะที่ณวัตเองก็หยุดเล่นบีบีแล้วมองภิภพเอาเรื่อง ภิภพพูดต่อ
“แหม...เงียบกันขนาดนี้...คงไม่ได้รวมละซิ...ผมว่าถ้าที่หนองระบือมันไม่เวิร์คก็น่าจะยุบมันทิ้งไปเลยเป็นไง...ดีกว่าเอากำไรทั้งบริษัทไปจมอยู่ตรงนั้น”
“คุณภิภพ...เราตกลงกันว่าจะให้เวลาคุณสรนุชหนึ่งเดือนไม่ใช่เหรอ” สมพลกล่าว
“แต่นี่มันก็ใกล้จะครบเดือนแล้วนะครับ...ผมยังไม่เห็นความคืบหน้าอะไรเลย..” ภิภพหันมาพูดกับณวัต “หรือว่าไงครับคุณณวัต”
“เอ่อ...” ณวัตอึกอักพูดไม่ออก
“อ๋อ...ลืมไปว่าคุณณวัตคงกำลังยุ่งกับการปิดปากนักข่าวเรื่องเลขานั่น...แหม...ถ้าเอาเงินก้อนนั้นไปอุดที่หนองระบือ...ผมว่ามันน่าจะมีประโยชน์กว่านะครับ”
ทันใดนั้นณวัตก็ตบโต๊ะปัง! ลุกขึ้นยืนเอาเรื่อง
“เอาไว้อุดปากแกเถอะ”
ณวัตพูดพร้อมกับกระโจนเข้าไปหาภิภพ ทุกคนต้องรีบดึงณวัตเอาไว้
สมพลปรามเสียงดัง “ไอ้วัต”
“ปล่อย...ฉันบอกให้ปล่อยไงเล่า”
ภิภพแสยะยิ้มลุกขึ้นขยับเสื้อสูทโดยไม่ตื่นเต้นตกใจอะไร
“ค่าทำขวัญของผมมันแพงนะคุณวัต...ผมว่าเก็บเงินคุณเอาไว้ปิดเรื่องฉาวๆของคุณเถอะ” ภิภพยิ้มเยาะหันหลังจะเดินออก นึกได้ก่อนจะหันมา “อ้อ...แล้วก็อย่าลืมสัญญาของคุณละ...ถ้าคุณสรนุชไม่สามารถขายรถไถได้ภายในหนึ่งเดือนละก็…”
ภิภพเว้นจังหวะ แล้วนิ่งไม่พูดต่อ แต่มองไปที่เก้าอี้ของณวัตอย่างสื่อความหมาย ก่อนที่ภิภพจะเดินหัวเราะออกไป
ณวัตที่ถูกทุกคนจับเอาไว้มองตามด้วยความแค้น

เวลาต่อมาณวัตตกใจเมื่อได้ยินที่สมพลบอก “พ่อจะให้ผมไปหนองระบือ”
สมพลหันมาสีหน้าเครียด “ใช่...!”
“เอ่อ...ไหน...ไหนบอกว่าเราจะรอดูแผนของนุชไงพ่อ”
“แกจะรอดูแผนของหนูนุชหรือจะรอให้ไอ้ภิภพมันมาถอนหงอกฉันอีก”
“พ่อจะไปกลัวอะไรมัน...ถ้ามันมีปัญหามากก็ไล่มันออกก็สิ้นเรื่อง”
“ไล่ออก ! แกก็รู้ว่าฉันไม่ชอบวิธีที่มันง่ายอย่างนั้น...ไอ้ภิภพมันต้องการเก้าอี้ของแก...ถ้าแกสามารถทำยอดขายที่หนองระบือได้...เก้าอี้ของแกก็ปลอดภัย...ส่วนไอ้ภิภพมันก็ต้องนั่งจุกอกมองแกไปอีกกี่ปี...” สมพลฉายแววตาเหี้ยมออกมา “ให้มันตายช้าๆอย่างทรมานมันสะใจกว่าไม่ใช่หรือไง”
ณวัตหนักใจมาก “แต่ว่า...”
สมพลรีบพูดตัดบท “ไม่มีแต่อีกแล้ว...ฉันไม่สนว่าแกจะใช้วิธีอะไร...ฉันต้องการเห็นยอดขายที่หนองระบือ”
สมพลเสียงกร้าวก่อนจะเดินออกจากห้องไป ณวัตหน้าเครียดเพราะไม่รู้จะทำยังไง ก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมาโทร.หาสรนุช
“เฮ้อ...มือถือก็ไม่เปิด...แล้วจะรู้มั้ยว่าแผนของเธอมันคือะไร”
ณวัตหงุดหงิด แต่แล้วณวัตก็นึกวิธีขึ้นมาได้

ชิดชัยอยู่ที่สำนักงานคาบาตี้ สุรินทร์ กำลังเอาแหนบดึงเสี้ยนที่มือออก
“หาไม้ยังไงให้มีเสี้ยนวะ” ชิดชัยบ่น พร้อมกับโวยใส่ลูกน้องคนเมื่อคืนนี้
ระหว่างนั้นเสียงมือถือของชิดชัยดังขึ้น ชิดชัยมองเบอร์แล้วก็แปลกใจ
ชิดชัยรีบกดรับสาย “สวัสดีครับ...ณวัต...ณวัตไหนไม่รู้จัก” พอฟังแล้วตกใจสะดุ้งพรวดลุกขึ้นยืนตรง “สวัสดีครับ...ยินดีที่ท่านให้เกรียติโทร.มาหาผมครับ”
ณวัตโทร.จากห้องทำงานที่กรุงเทพฯ “ฉันมีเรื่องอยากให้แกทำ”
ชิดชัยทำหน้าสงสัย “หาแฟนคุณวัตเหรอครับ...ได้ครับ...ยินดีรับใช้ครับผม...ชื่ออะไรนะครับ...สรนุช...แหม...แค่ฟังชื่อก็รู้ว่าเธอสวยเลอเลิศคู่ควร”
แต่แล้วชิดชัยก็ต้องสะดุ้งเพราะอยู่ๆ ณวัตก็วางสายไป
“อะไรวะ” ชิดชัยหงุดหงิด
เพียงไม่นานเสียงข้อความภาพก็ดังขึ้นที่โทรศัพท์ ชิดชัยรีบหยิบโทรศัพท์มากดดู ทันใดนั้นชิดชัยก็ต้องตกใจ อ้าปากค้างเมื่อเห็นเป็นภาพของสรนุชในมือถือตน
ระหว่างนั้นเอง สรนุชก็เปิดประตูห้องของชิดชัยออก โดยมีลูกน้องพยายามห้ามเอาไว้
“เดี๋ยวก่อนครับ...เข้าไม่ได้นะคุณ”
“หลีกไป”
ชิดชัยถึงกับไม่เชื่อตาตัวเอง มองรูปในมือถือแล้วก็มองตัวจริงสลับกันไปมา
“ยาม ! ยามไปไหนหมดวะ...มาเอาผู้หญิงคนนี้ออกไปที” ลูกน้องตะโกน
“เฮ้ย ! ปล่อยคุณสรนุชเดี๋ยวนี้”
ลูกน้องของชิดชัยถึงกับชะงัก สรนุชเองก็แปลกใจเมื่อเห็นกริยาอาการของชิดชัย
“พวกแกรู้จักฉันหรือไง”
“ทำไมจะไม่รู้จักละครับ...คุณสรนุชคือคู่หมั้นของคุณณวัตไงครับ”
สรนุชอึ้งไปเมื่อชิดชัยล่วงรู้ความลับของเธอ
“ว่าไงนะพี่”
ชิดชัยตบปากลูกน้องทันที ก่อนจะรีบเข้ามาพินอบพิเทาแทบเท้าสรนุช
“แหม...ผมดีใจจริงๆ ครับได้มีโอกาสพบกับคุณสรนุช...คือ...อันที่จริงแล้ว”
สรนุชยกมือขึ้นเพื่อไม่ให้ชิดชัยพูดต่อ “...ในเมื่อรู้ความจริงก็ดีแล้ว...ฉันจะได้พูดอะไรได้สะดวกหน่อย”
“ดีเลยครับ...บอกมาเลยครับว่าแผนของคุณนุชเป็นยังไง”
ชิดชัยหันมองซ้ายมองขวาก่อนจะรีบเข้ามาใกล้สรนุช สรนุชรีบผลักชิดชัยออก
“ถอยไปไกลๆเลย...ฉันไม่ได้มีแผนอะไรทั้งนั้น...ที่ฉันมาที่นี่...เพื่อจะบอกนายว่า...ฉันไม่ชอบวิธีที่นายทำกับนายใจเด็ดเมื่อคืน”
ชิดชัยออกอาการงงๆ “แต่ไอ้หมอนั่นมันคือศัตรูตัวฉกาจของเราเลยนะครับ”
“ฉันต้องการสู้กันแบบแฟร์ๆ...ไม่ใช่เหมือนหมาลอบกัดอย่างนี้”
ชิดชัยสะดุ้งเมื่อโดนด่า แล้วแอบบ่น “หึ...อย่างกับวิธีตัวเองแฟร์นักนี่”
“บ่นอะไร”
“เอ่อ...เปล่าครับ...คุณนุชครับ...ที่ผมทำทุกอย่างก็เพื่อ...”
สรนุชตัดบท “ถ้าขืนนายพูดอีกคำเดียว...ฉันจะให้วัตเขาไล่นายออก”
สรนุชจ้องหน้าเอาเรื่องก่อนจะเดินออกไปจากห้อง ชิดชัยกับลูกน้องค้อมหัวส่งอย่างนอบน้อม
“สวัสดีครับ...เดินทางปลอดภัยนะครับ”
ครั้นพอสรนุชปิดประตูเท่านั้นแหละ ชิดชัยก็หยิบแฟ้มปาไปที่ประตูระเบิดอารมณ์ จนลูกน้องต้องสะดุ้ง
“โธ่เว้ย...นังคางคกขึ้นวอ! คิดจะไล่ฉันออกเหรอ...มันไม่ง่ายนักหรอก”

เวลาต่อมาณวัตเดินมาที่รถสปอร์ตที่จอดอยู่ลานจอดรถบริษัท ระหว่างนั้นเสียงมือถือดังขึ้น ณวัตมองเบอร์ แล้วกดรับ “ได้เรื่องมั้ย”
ชิดชัยกำลังเล่นละครร้องไห้ฟูมฟาย
“คุณวัตต้องช่วยผมนะครับ...ผมไม่อยากโดนย้ายมาที่นี่”
“ย้าย..? ใครย้ายแก”
“นี่คุณนุชยังไม่โทร.ไปบอกคุณวัตอีกเหรอครับ”
“แกพูดอะไรให้มันเข้าใจหน่อยได้มั้ย...เจอคู่หมั้นฉันแล้วใช่มั้ย”
ชิดชัยผุดยิ้มร้ายตรงมุมปาก เริ่มพูดเข้าแผนทันที
“ถ้าผมบอกคุณวัตไปแล้ว...คุณวัตอย่าโกรธผมนะครับ”
ณวัตหรี่ตาลงด้วยความสงสัยทันที

ถูกชิดชัยเป่าหู ไม่นานต่อมาณวัตกำลังขับรถด้วยความเร็วสูงมาตามถนน ออกจากกรุงเทพฯ หน้าตาโกรธขึ้งสุดขีด
“เห็นไอ้พวกบ้านนอกดีกว่าฉันได้ยังไง...ฮึ่ยย์”
รถสปอร์ตของณวัตขับแล่นมุ่งหน้าตรงไปทางสระบุรี ผ่านโคราช และแน่นอนว่าปลายทางคือ...สุรินทร์

ณวัตขับรถแทบจะเป็นบิน มุ่งหน้าสู่จังหวัดสุรินทร์ เพราะอยากรู้เรื่องที่ชิดชัยพูดทิ้งท้ายไว้
เพียงไม่กี่ชั่วโมงถัดมาณวัตก็มาถึงบริษัทคาบาตี้ สาขาสุรินทร์ ตรงเข้าไปหาชิดชัยอย่างมีโมโห
“มีอะไรก็พูดมาซิวะ...”
“เอ่อ...ใจเย็นก่อนครับคุณวัต”
ชิดชัยบอกแล้วเล่าต่อ “ก่อนอื่นผมต้องถามก่อนว่า...คุณสรนุชมาทำอะไรที่สุรินทร์ครับ”
“เห็นบอกว่าจะไปดูเรื่องตลาด...เพื่อปรับแผนที่จะสู้กับไอ้พวกเลี้ยงควายอะไรนั่น”
“แต่ที่ผมเห็นไม่ใช่อย่างนั้นน่ะครับ” ณวัตอึ้งสีหน้าสงสัยขึ้นมาทันที ชิดชัยพ่นไฟต่อ “รู้มั้ยครับว่าทำไมผมกลัวคุณนุชถึงสั่งย้ายผม...เพราะผมเห็นคุณนุชกับไอ้พวกกระบือบาลกำลังอี๋อ๋อกันครับคุณวัต”
“อะไรนะ” ณวัตไม่อยากเชื่อ
“จริงๆ นะครับ...เท่าที่เห็น...ผมว่า...ตอนนี้คุณนุชกำลังหลงไอ้หนุ่มเลี้ยงควายนั่นหัวปักหัวปำเลยครับ”

ณวัต ขับรถพุ่งทะยานตรงไปยังโรงพยาบาล ตามหาสรนุช พบว่าอยู่กับใจเด็ด จึงตรงเข้าไปหมายจะเอาเรื่องใจเด็ด แต่ถูกสุบิน อรอนงค์ โดยเฉพาะสรนุช ห้ามไว้ เพราะกลัวความลับจะแตก แต่สรนุชทนไม่ไหวที่ณวัตด่าว่าเธอ จึงไล่ให้ณวัต กลับกรุงเทพฯ ไป

นึกมาถึงตรงนี้ณวัตถึงกับทุบพวงมาลัยรถด้วยความโมโห
“ฮึ่ยย์...คุณจะต้องเสียใจที่คิดจะทิ้งผมไปหาไอ้บ้านนอกนั่น”

พอณวัตกลับไปสรนุชกับโชคชัยเดินมาด้วยกันที่สวนหย่อมของโรงพยาบาล จังหวะหนึ่งโชคชัยหยุดเดินก่อนจะหันมามองสรนุชด้วยแววตาจริงจัง สรนุชแปลกใจจนต้องถาม
“มีอะไรหรือเปล่าคะ...วันนี้คุณโชคชัยดูแปลกๆ นะคะ”
“ผมอยากจะขอโทษกับเรื่องที่เกิดขึ้นครับ”
“เรื่องอะไรคะ”
“ก็...ผมเป็นคนที่ทำให้คุณนุชกับแฟนต้อง...ต้องเลิกกัน”
“ไม่ใช่หรอกค่ะ...ดีซะอีก...ที่ทำให้นุชตาสว่างได้เห็นอะไรที่ไม่เคยเห็น...แล้วคนที่ควรจะขอโทษ...ไม่ใช่คุณโชค...แต่เป็นฉัน...คุณโชคต้องมาเจ็บตัวก็เพราะฉัน...ขอโทษนะคะ”
โชคชัยสบตาสรนุชนิ่ง
“ผมยินดีที่จะเจ็บมากกว่านี้...ร้อยเท่า..พันเท่า...ถ้ามันจะแบ่งความเจ็บปวดจากคุณนุชได้บ้าง”
สรนุชอึ้งไปกับคำพูดและท่าทางของโชคชัย สรนุชรีบเฉทำขำไปเพราะรู้ว่าโชคชัยคิดอะไร
“แหม...คุณโชคอย่าพูดเหมือนตัวเองเป็นซุปเปอร์แมนซิคะ...น่าอิจฉาชาวหนองระบือนะคะที่มีนายกคอยดูแลเอาใจใส่อย่างนี้”
“ผมไม่ได้ห่วงคุณนุชเพราะความเป็นนายกอบต.ที่นี่...แต่ผมเป็นห่วงคุณนุช...ในฐานะของผู้ชายคนนึง...ที่อยากจะดูแลคุณนุชให้ดีกว่านี้”
“คุณโชค...”
สรนุชไม่คิดว่าโชคชัยจะพูดตรงๆ กับเธอแบบนี้ ชั่วเพียงความคิดสรนุชรู้ว่าต้องบอกความรู้สึกจริงๆ ของตัวเองบ้างแล้ว
“เอ่อ...คือ...ฉัน”
“คุณนุชยังไม่ต้องตอบผมตอนนี้ก็ได้ครับ”
โชคชัยรีบพูดขึ้นเพราะเขาเองก็กลัวความผิดหวังเช่นกัน
“ผมรู้ว่าคุณนุชเพิ่งผ่านเรื่องร้ายๆ มา...ผมแค่อยากจะบอกคุณนุชว่า...ถ้าหัวใจของคุณนุชพร้อมเมื่อไหร่...ผมก็อยากจะเป็นคนแรกที่คุณนุชหันมอง”
สรนุชนิ่งไปเหมือนไม่ทันได้ตั้งตัว

ด้านเจนจิรากำลังป้อนข้าวต้มให้กับใจเด็ด ทั้งสองต่างคนต่างเงียบไม่พูดไม่จา ทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยความอึดอัด
เจนจิราป้อนข้าวให้กับใจเด็ด แต่ใจเด็ดกลับส่ายหน้า “พี่อิ่มแล้ว”
เจนจิราชะงักไปก่อนจะค่อยๆตักข้าวขึ้นมาใหม่
“เจนขอโทษนะคะที่ทำให้พี่เด็ดทานข้าวไม่ลง...แต่ยังไงพี่เด็ดก็ต้องทานอะไรซักหน่อย...พี่เด็ดไม่อยากหายแล้วกลับไปอยู่กับพวกเราเร็วๆ เหรอคะ”
ใจเด็ดนิ่งไม่ยอมอ้าปาก เจนจิรารู้ว่าตอนนี้ใจเด็ดรู้สึกอะไร
“เจนรู้ว่าตอนนี้พี่เด็ดกำลังสับสนเรื่องคุณนุช...แต่ที่เจนต้องพูด...เพราะเจนหวังดีกับพี่จริงๆ”
เจนจิราจ่อช้อนให้ใจเด็ด ใจเด็ดหน้านิ่วเริ่มไม่พอใจนิดๆ
“พี่อิ่มแล้ว”
เจนจิราไม่สน ยังคงยื่นช้อนให้ “งั้นคำสุดท้ายก็ได้คะ”
“พี่บอกว่าพี่อิ่มแล้ว”
ใจเด็ดเผลอผลักแขนของเจนจิราออกเต็มแรง จนทำให้ช้อนและชามข้าวต้มหล่นลงไปกับพื้น เจนจิรารู้สึกเจ็บแปล้บขึ้นมาในใจ
“เอ่อ...พี่ขอโทษ” ใจเด็ดรู้สึกตัวว่าทำเกินไป
เจนจิรานิ่งไปก่อนจะลุกขึ้นไปเก็บชาม ช้อนที่พื้น
“เจน..”
เจนจิราหันมา มองจ้องหน้ารอฟัง
“พี่อยากอยู่คนเดียว”
เจนจิราอึ้งไป ริ้วสะอื้นค่อยๆ ก้อตัว หัวใจของเธอกำลังร้องไห้
“พี่เด็ดไม่เคยเป็นอย่างนี้...”
เจนจิราพูดจบก็เดินออกไปจากห้องทันที ใจเด็ดสีหน้าเครียดขึ้นมาทันที

เจนจิราเปิดประตูออกมาจากห้อง แล้วก็ต้องชะงักไปเมื่อเจอกับสุบิน เจนจิราไม่อยากคุยกับสุบินเลยเลือกที่จะเดินหนีไป แต่สุบินก็ไม่วายปากสุนัขใส่
“อ้าว...คุณเจน...ทำไมทำหน้าเหมือนคนอกหักอย่างนั้นละ...นี่...ผมเรียกหมอให้เอามั้ย”
เจนจิราหยุดกึก ก่อนจะหันหลังกลับมาแล้วเดินเข้ามาหาพูดตอกหน้าสุบิน
“ที่ทุกอย่างมันวุ่นวายอย่างนี้ก็เพราะนาย...เพราะเพื่อนของนาย”
“อ้าว...เป็นไรคุณ...ผมแซวคุณเล่น...ไม่ต้องจริงจังก็ได้น่า” สุบินอึ้ง แต่ยังปากดีต่อ
“ที่นี่ไม่ใช่ของเล่นของพวกนาย...ก่อนที่พวกนายจะมาที่นี่ไม่เคยมีปัญหาอะไร...จนกระทั่งนายกับเพื่อนของนายมาที่นี่”
“ปัญหาอะไร...ผมไม่เห็นจะมีปัญหาอะไรเลย”
“แล้วไอ้ที่แฟนของเพื่อนนายมาก่อเรื่องอาละวาดที่นี่...มันไม่ใช่หรือไง...ถ้านายบอกซักคำว่าเพื่อนนายมีแฟน...คนที่นี่หลายๆ คนจะได้ไม่เสียใจ”
“เฮ้ย...ที่ผมไม่บอกเพราะมันไม่ใช่เรื่องของผม...จำเป็นด้วยเหรอที่ทุกคนต้องรู้ว่าผมมีแฟนกี่คน...คนไหนชื่ออะไร...รสนิยมทางเพศผมเป็นยังไง...บ้าแล้ว...ผมจะบอกให้ฟังนะว่าคนที่มีปัญหาไม่ใช่พวกผม...แต่เป็นคุณ”
“ฉันมีปัญหาอะไร”
“ก็คุณมันไม่ยอมรับความจริงไง...ความจริงที่คุณใจเด็ดไม่ได้ชอบคุณ”
ทันใดนั้นเจนจิราก็ตบหน้าสุบินดัง เผียะ! ก่อนที่หยดน้ำตาของเจนจิราค่อยๆ ไหลริน เจนจิราเดินหนีไปจากตรงนั้นทันที
“อ้าว...เรื่องอะไรมาตบหน้าผมละ...เดี๋ยวก่อนซิคุณ”

ชิดชัย ชาญณรงค์ ช่อผกาและลูกน้องมายืนรอส่งณวัตที่หน้า บริษัทคาบาตี้ สาขาสุรินทร์

“แหม...ไม่น่ารีบกลับเลยเนอะ...ทำไมไม่อยู่เที่ยวอีกสองสามวันละ”
“เอาไว้โอกาสหน้าแล้วกันนะครับ...พอดีผมมีธุระจริงๆ”
“ธุระหรือว่าแฟนโทร.ตามครับ” ช่อผกาถามอย่างมีจริต
“ถ้าอยากรู้...ทำไมไม่ไปด้วยกันละครับ” ณวัตหยอดหวาน
ชาญณรงค์ได้ยินอย่างนั้นก็หูผึ่ง ขยับไปอีก “นั่นซิ...ไปมั้ยเดี๋ยวพ่อกลับไปจัดกระเป๋าให้เดี๋ยวนี้เลย”
“ไม่ละคะ...พอดีผกาไม่ใช่ผู้หญิงใจง่าย...แล้วอีกอย่าง...ผกาไม่ไปจะได้ให้คุณวัตคิดถึงที่นี่ไงคะ...รับรองว่าคราวหน้าผกาจะทำให้คุณวัตมาถึงสุรินทร์จริงๆ”
ช่อผกาส่งสายตาหว่านเสน่ห์ให้ณวัต ณวัตยิ้มมุมปากอย่างรู้ทัน
“แหม...คุยกันถูกคออย่างนี้ สงสัยอนาคตคงได้ร่วมมือกันทำอะไรซักอย่างแน่ๆ” ชิดชัยว่า
“เรื่องนั้นมันก็ขึ้นอยู่กับเวลา...เอาไว้ผมจะกลับมาใหม่นะครับ”
ทุกคนล่ำลาเสร็จ ณวัตขึ้นสปอร์ตแล้วขับออกไป ชาญณรงค์รีบเข้ามาว่าช่อผกา
“แกนี่โง่หรือไง...เขาชวนไปด้วยทำไมไม่ไป...ขับรถอย่างนั้นคิดดูซิว่าที่บ้านจะมีเงินขนาดไหน”
“พ่อ...หนูก็เล่นไปอย่างนั้นแหละ...ยังไงพี่เด็ดก็เป็นคนที่หนูจะแต่งงานด้วยเพียงคนเดียว”
“แหม...แล้วผู้จัดการคาบาตี้อนาคตไกล...จะไม่รับพิจารณาบ้างเหรอครับ” ชิดชัยทำท่ากะลิ้มกะเหรี่ยใส่
ช่อผกาหันมองชิดชัยด้วยหางตา ก่อนจะยื่นขาออกให้ชิดชัยดู “เห็นอะไรมั้ย”
ชิดชัยมองแล้วส่ายหน้า “ไม่เห็นอะไรนี่ครับ”
“ก็ใช่ไง...แม้แต่ขนหน้าแข้งฉัน...แกก็อย่าหวังว่าจะได้เห็น”
ช่อผกาพูดเสร็จก็เดินเชิดออกไป ชาญณรงค์ร่ำลากับชิดชัยแล้วรีบเดินตามช่อผกาไปอีกคน
ลูกน้องเข้ามาถามชิดชัยด้วยความสงสัย
“สงสัยจริงๆเนอะลูกพี่ว่าไอ้ใจเด็ดมันมีดีอะไรนักหนา...ผู้หญิงถึงได้ชอบมันจัง”
“ใช่...ที่ฉันไม่มีเมียจนถึงทุกวันนี้ก็เพราะมัน...แกลองคิดดูซิ...ถ้าไม่มีไอ้ใจเด็ดอยู่ที่นี่ทั้งคน...มันจะเป็นยังไง”
ชิดชัยหรี่ตาลงอย่างร้ายกาจ

สรนุชเดินเข้ามาในห้องน้ำก่อนจะมองกระจกคิดถึงคำพูดของโชคชัย สรนุชมองสำรวจตัวเองในกระจกแล้วแปลกใจ
“ก็ดีแล้วนี่มีคนมาชอบ...” สรนุช นิ่งไป ชักสงสัยตัวเอง “แต่ทำไมเราไม่รู้สึกดีใจเลยละ”
ขณะที่สรนุชกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น อยู่ๆ ก็มีป้าลึกลับคนหนึ่งออกมาจากห้องน้ำพร้อมกับคุยมือถือไปด้วย
“ถึงแล้วใช่มั้ย...รออยู่ข้างหน้าแหละ...งานนี้เราจะพลาดไม่ได้...ต้องแน่ใจว่าของถึงมือหัวหน้าใจเด็ดจริงๆ”
สรนุชได้ยินชื่อใจเด็ดก็สนใจขึ้นมาทันที ก่อนจะแอบมองตามป้าท่าทางแปลกๆ ที่เดินออกไป
“แค่มาเยี่ยม...ทำไมต้องพูดซะลึกลับขนาดนั้นด้วย”
สรนุชมองตามป้าไปด้วยความแปลกใจ

สรนุชรีบล้างมือล้างไม้ออกมาจากห้องน้ำ แต่แล้วสรนุชต้องชะงักเมื่อเห็นป้าคนนั้นกับชายอีกคนที่ดูแล้วไม่ใช่คนดี ยืนคุยกันอย่างมีลับลมคนใน
“งานนี้ห้ามพลาดเข้าใจมั้ย” ป้ากำชับ
“ป้าก็รู้นี่ครับว่าผมทำงานไม่เคยพลาด”
“ให้มันเรียบร้อยก่อนเถอะแล้วค่อยคุย...แล้วทำอย่างที่สั่งหรือเปล่า” ชายลึกลับเปิดกล่องในมือให้ป้าดู
ป้าทำหน้าบู้บี้ปิดจมูกด้วยความเหม็น
“อื้อฮือ...นี่ทำมากกว่าที่สั่งนี่”
“ก็ผมกลัวไม่ชัวร์นี่...ป้าก็รู้ว่าวงการนี้ข่าวมันเร็วแค่ไหน...ถ้าเกิดพลาดขึ้นมาชื่อเราก็เสียไปด้วย...ไม่ต้องห่วง...รับรองแค่คำเดียวจะรู้ว่านรกมีจริง...หึๆ”
“ถ้าทุกอย่างเรียบร้อย...ฉันจะมีรางวัลพิเศษให้แก”
ชายลึกลับคนนั้นยิ้มหน้าเหี้ยม “รอฟังข่าวดีได้เลย”
ระหว่างนั้นเห็นพยาบาลคนหนึ่งเดินเข้ามา ป้าจากที่หน้าเหี้ยมอยู่ก็ปั้นหน้ายิ้มถามพยาบาล
“หนู...หนู” ป้าเรียก พยาบาลหยุดหันมามอง “หัวหน้าใจเด็ดอยู่ห้องไหนเหรอหนู”
“ห้องนี้ ค่ะ” พยาบาลบอกเลขห้อง
“ขอบใจนะหนู” พยาบาลเดินออกไป ป้าหันมองชายลึกลับคนนั้น “ได้ยินแล้วใช่มั้ย”
ชายลึกลับถือกล่องปริศนาเดินออกไป สรนุชนึกตอนที่ชายคนนั้นถือกล่องเดินผ่านไป แล้วนึกไปถึงคำพูดของโชคชัย
“ตอนนี้...เห็นว่าทางตำรวจอาจจะส่งคนมาเฝ้า...เพราะเกรงว่าพวกนั้นจะกลับมาทำร้ายใจเด็ดอีก”
สรนุชหน้าตาตื่นขึ้นมาทันที
“อาหาร? หรือว่า...ไอ้พวกนั้นจะส่งคนมา” สรนุชตกใจ “แย่แล้ว”

เวลานั้นใจเด็ดกำลังนอนอยู่บนเตียง ระหว่างนั้นสรนุชผลักประตูห้องเข้ามาหน้าตาตื่น
สรนุชเหนื่อยจนหอบแฮ่กๆ “ยะ..แย่แล้ว”
ใจเด็ดหันมองสรนุชที่โผล่เข้ามาด้วยความแปลกใจ สรนุชรีบวิ่งเข้ามาบอกใจเด็ด
“มีอะไร”
“นายต้องรีบหนีเดี๋ยวนี้เลย”
“เดี๋ยวๆ...คุณใจเย็นๆ...แล้วบอกผมว่าเกิดอะไรขึ้น”
“มีคนจะฆ่านาย”
“อะไรนะ” ใจเด็ดตกตะลึง
“เดี๋ยวฉันอธิบายให้ฟัง...ไปเร็ว”
อะดินาลีนของสรนุชทำงานทันที สรนุชรีบเข้าไปพยุงใจเด็ดให้ลุกขึ้นก่อนจะรีบพากันออกไปจากห้อง

สรนุชพยุงใจเด็ดออกมาที่ตรงทางเดิน ใจเด็ดยื้อเอาไว้
“นี่เป็นวิธีเบี่ยงเบนความสนใจของเธอหรือไง”
“เบี่ยงเบนความสนใจ...เรื่องอะไร..?”
“ก็เรื่อง...เรื่องที่เธอออกไปกับนายกไง” ใจเด็ดฉุนเรื่องนั้นไม่หาย
“หน้าสิ่วหน้าขวานอย่างนี้...นายยังจะกัดฉันอีกเหรอ”
สรนุชหน้าขึ้งขึ้นมาทันที ขณะที่ใจเด็ดเสียงแข็ง
“ฉันจะไม่ไปไหนจนกว่าเธอจะบอกว่าเรื่องมันเป็นยังไง”
“เมื่อกี้ฉันได้ยินผู้หญิงกับผู้ชายคุยกันว่า...พวกเขาจะ...จะ...”
“จะอะไรก็พูดมาซิ” ใจเด็ดคาดคั้น
“จะฆ่านาย!”
ใจเด็ดอึ้งมองหน้าสรนุช ก่อนจะหัวเราะออกมา
“จะฆ่าผม...เรื่องอะไร...แล้วทำไมพวกเขาต้องทำอย่างนั้น”
“ฉันไม่รู้...ก็ฉันได้ยินมาอย่างนี้...บางที...อาจจะเป็นไอ้พวกที่ตีหัวนายใช้พวกนั้นมาก็ได้”
ใจเด็ดมองหน้าสรนุชนิ่ง
สรนุชเร่งท่าทีร้อนใจสุดๆ “เร็วซิ”
สรนุชพยายามเร่งใจเด็ด แต่ก็ไม่ทันการเสียแล้วเมื่อชายลึกลับคนนั้นเดินเข้ามาที่ทางเดิน แล้วเห็นใจเด็ดกับสรนุช
“อยู่นี่เอง”
สรนุชกับใจเด็ดหันมาก็เห็นชายคนนั้น
สรนุชตกใจ “คนนั้นไง...หนีเร็ว”
ว่าแล้วสรนุชก็รีบดึงใจเด็ดออกวิ่งทันที ชายลึกลับรีบวิ่งตามเช่นกัน

สรนุชพาใจเด็ดหนีมาตามทาง ใจเด็ดวิ่งไม่ค่อยไหวเพราะยังมีอาการบาดเจ็บอยู่ จังหวะหนึ่งใจเด็ดซวนเซทำท่าจะล้ม สรนุชต้องรีบเข้ามาประคอง
“อดทนหน่อย”
ชายลึกลับวิ่งตามมาข้างหลัง “หยุดนะ”

สรนุชกับใจเด็ดหันไปเห็นชายลึกลับวิ่งเข้าก็รีบวิ่งหนีทันที ชายลึกลับวิ่งจี้ตามไปติดๆ อย่างไม่ลดละ
ใจเด็ดกับสรนุชวิ่งวนกลับมาที่หน้าห้องใจเด็ด สรนุชนั้นถึงกับหอบแฮ่กๆ ดึงรั้งใจเด็ดเอาไว้

“ไม่ไหวแล้ว...พักหน่อยนะ”
ระหว่างนั้น ร่างของชายลึกลับวิ่งพ้นมุมกำลังเข้ามาที่ทั้งคู่ สรนุชกับใจเด็ดหันไปเห็น
“ไปเร็ว”
สรนุชกับใจเด็ดหันหลังกลับจะวิ่งหนีต่อ แต่แล้วทั้งสองก็ต้องชะงัก เพราะด้านหลังเป็นทางตัน
ชายลึกลับคนนั้นเดินย่างสามขุมเข้ามาหา สรนุชกับใจเด็ดค่อยๆ ถดตัวถอยหนี
ชายลึกลับคนนั้นเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ สรนุชตัดสินใจเข้ามายืนบังร่างใจเด็ดเอาไว้
“ฉันรู้นะว่าใครสั่งแกมา”
“รู้ตอนนี้แล้วพวกแกจะทำอะไรได้”
ชายลึกลับเปิดกล่องที่อยู่ในมือ สรนุชหันไปกอดใจเด็ดแล้วหลับตาปี๋
“ไม่”
แล้วใจเด็ดกับสรนุชก็ต้องนิ่งงันไปด้วยความสงสัย เพราะไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้น สรนุชค่อยๆ ลืมตาหันมากลับเห็นว่าชายลึกลับคนนั้นกำลังส่งถุงส้มตำมาให้ใจเด็ด
“อะไรน่ะ” สรนุชอึ้ง
“ก็ส้มตำไงคุณ...ผมเป็นพนักงานส่งที่ร้านป้าชื่นครับ”
ใจเด็ดกับสรนุชหันมองหน้ากันด้วยความแปลกใจทันที

ใจเด็ดหัวเราะขำก๊าก พร้อมกับเทกับข้าวกับปลา อาหารอีสานรสแซบประดามีออกจากกล่อง
“ยาพิษ! คุณคิดว่าจะมีคนวางยาพิษในอาหารผมเหรอ”
สรนุชก้มหน้างุดด้วยความอาย
“ก็ใครจะไปรู้ละ....ถ้านายได้ยินอย่างฉัน...นายก็ต้องคิดเหมือนกันนั่นแหละ...แล้วอีกอย่างฉันก็ต้องคิดในแง่ร้ายไว้ก่อน...ใครจะไปรู้ว่าไอ้คนตีหัวนายพอรู้ว่านายไม่เป็นไร...มันอาจจะกลับมาจัดการนายอีกทีก็ได้”
ใจเด็ดเหล่มองรู้ซึ้งถึงความเป็นห่วงซ่อนอยู่ในคำพูดประโยคนั้น
“ก็ได้...ผมขอโทษที่ผมไม่เห็นความเป็นห่วงของคุณ”
สรนุชชะงัก อดเขินไม่ได้ แต่รีบพูดกลบเกลื่อนซะงั้น “ใครห่วงนาย...ฉันก็แค่กลัวว่าพรรคพวกนายจะโทษฉันต่างหาก”
ใจเด็ดยิ้มก่อนจะส่งห่อข้าวเหนียวให้กับสรนุช “ไม่ทานเหรอคุณ”
“ไม่ ! เขาเอามาเยี่ยมนาย...ไม่ได้มาเยี่ยมฉัน”
ใจเด็ดมองข้าวเหนียวก่อนจะหยิบมันมาปั้นแล้วจิ้มกินกับส้มตำทานอย่างอร่อย
“ตามใจ...ขอบอกว่าส้มตำป้าชื่นนี่อร่อยที่สุดในประเทศแล้ว”
สรนุชเหล่มองแล้วแอบกลืนน้ำลายเอื้อก จังหวะนั้นใจเด็ดก็รู้ถึงความผิดปกติขึ้นมาทันที
“อ้าก”
สรนุชตกใจ “เป็นอะไร”
ใจเด็ดจับคอตัวเอง ดิ้นทุรนทุราย “ส้มตำ...ส้มตำมัน”
สรนุชยิ่งตกใจกระโดดพรวดเข้ามาหาใจเด็ดทันที
“มันมียาพิษเหรอ”
ใจเด็ดพูดทำเป็นเสียงติดๆ ขัดๆ “มั...น....อร่อย...มาก”
สรนุชชะงักไป ก่อนจะเห็นใจเด็ดยิ้มแป้น
“นายหลอกฉันเหรอ”
“เอ้า...ก็ผมเห็นคุณเครียดอยู่ก็อยากให้อารมณ์ดีไง”
“อารมณ์ดี” สรนุชนึกหมั่นไส้ “อยากให้ฉันอารมณ์ดีใช่มั้ย”
ว่าแล้วสรนุชก็ระดมตีไปที่ใจเด็ด
“โอ๊ย ! คุณ...ตีผมทำไม”
“ก็นายอยากให้ฉันอารมณ์ดีไง...แล้วฉันจะอารมณ์ดีได้มันก็ต้องมีการระบาย”
ระหว่างนั้นใจเด็ดจับมือของสรนุชที่กำลังระดมตีไม่ยั้งไว้ พอเนื้อสัมผัสเนื้อก็เกิดการสปาร์คทันที
สรนุชกับใจเด็ดสบตากันนิ่ง ก่อนที่สรนุชจะหลบตาแล้วลุกกลับไปนั่งที่เดิม
ใจเด็ดอมยิ้มก่อนจะหันไปมองใบบัวบกที่เป็นผักแกล้มแล้วส่งให้สรนุช
“ลองทานผักนี่กับส้มตำซิ...อร่อยมากนะ”
ใจเด็ดโบกผักยั่วสรนุช สรนุชรับเป็นรับมางอนๆ
“ถ้าไม่อร่อยมีเรื่องแน่”
ว่าแล้วสรนุชก็ตักส้มตำทานทาน ก่อนจะตามด้วยผักที่ใจเด็ดส่งให้ แล้วสรนุชก็อึ้งไป
“อร่อยจริงๆ ด้วย...ผักอะไรเหรอ”
“ใบบัวบกน่ะ...ผมว่าตอนนี้คุณเหมาะที่จะกินมันมากที่สุด” ใจเด็ดบอกอย่างจริงใจ
สรนุชชะงักไปเพราะรู้ว่าใจเด็ดอยากจะบอกว่ามันรักษาอาการช้ำในช้ำรัก
“นี่...”
สรนุชกำลังจะว่าใจเด็ด แต่แล้วสรนุชก็ต้องอึ้งอีกเมื่อใจเด็ดหยิบใบบัวบกขึ้นมาแล้วทัดหูให้กับสรนุชอีกใบ
“เหน็บเอาไว้อย่างนี้แล้วกัน...เมื่อไหร่ที่หัวใจของคุณหายดีแล้ว...คุณก็ไม่ต้องใช้มันอีก”
ใจเด็ดทอดยิ้มส่งให้อย่างอบอุ่น สรนุชเองก็รู้สึกใจเต้นตูมตามกับความรู้สึกห่วงใยที่ใจเด็ดส่งผ่านมาให้

ใจเด็ดกับสรนุชเดินมาตามทาง สรนุชเดินนำหน้าเพราะไม่อยากให้ใจเด็ดรู้เห็นว่าเธอกำลังเขิน
“ขอบคุณนะ”
สรนุชหันมามองสีหน้างง
“ก็ขอบคุณที่ทำให้ผมหายเบื่อไง...” ใจเด็ดอ้าง
“เอ่อ...ไม่เป็นไร...นายก็เลี้ยงส้มตำฉันแล้วไง” สรนุชว่า
ขณะที่ใจเด็ดมองจ้องที่ใบหน้าของสรนุช สรนุชเองก็เหมือนโดนสะกดให้หยุดนิ่ง จู่ๆ ใจเด็ดถามขึ้นทำลายบรรยากาศซึ้งๆ นั้น
“แล้วใบบัวบกละคุณ”
“ฉันก็ทิ้งไปแล้วซิ...จะให้ฉันทัดหูทำไม...ฉันไม่ใช่คนบ้านะ”
ใจเด็ดยิ้ม “ผมแค่รู้สึกว่ามันทำให้คุณดูดีไปอีกแบบ...อืม...ถ้างั้น...ผมเข้าห้องก่อนนะ”
สรนุชอึกอัก “เอ่อ...ฉันเองก็จะไปเหมือนกัน”
ใจเด็ดอึกอัก รู้สึกเขินๆ เหมือนกัน “งั้น...ผมไปนะ”
“ฉันก็ไปนะ”
ใจเด็ดกับสรนุชสบตากันอีกครั้ง ก่อนที่ใจเด็ดจะเปิดประตูกลับเข้าไปในห้อง พอใจเด็ดเข้าห้องไปสรนุชถึงกับเป่าปากระบายความอึดอัด
“เป็นไรเนี่ยเรา”
แล้วสรนุชก็นึกขึ้นมาได้ เลยหยิบใบบัวบกออกจากกระเป๋าเสื้อขึ้นมาดู ก่อนจะเอามาทัดหูอีกครั้ง
“ดูดีจริงเหรอ”
สรนุชจะหันหากระจกประตูห้องผู้ป่วย แต่แล้วสรนุชก็ต้องอึ้งไปเมื่อเห็นอรอนงค์ยืนอยู่
“อร”
“ไปไหนมายัยนุช”
สรนุชหน้าเจื่อนขึ้นมาทันที

สีหน้าสุบินอึ้งๆ หลังทราบเรื่องชุลมุนเมื่อครู่
“ไม่อยากจะเชื่อ...! ฉันไม่สบายขนาดนี้ แกยังมีกะจิตกะใจไปนั่งทานส้มตำกับคุณใจเด็ดอีกเหรอ”
“เอ้า...แล้วมันผิดตรงไหน...แกจะให้ฉันนั่งเฝ้าแกไม่เห็นเดือนเห็นตะวันหรือไง...ฉันไม่อยากเป็นง่อยตามแกนะ”
“อ้าว...ฉันไม่ได้บอกว่าแกผิด...แต่ฉันสงสัยว่าแกเพิ่งเลิกกับไอ้ณวัต...แกไม่เสียใจหรือไง” สุบินถาม
“เสียใจซิ”
“แต่แกเหมือนไม่เสียใจเลยนะ” อรอนงค์คาดคั้น
สรนุชอ้อมแอ้มบอกออกมา “ก็...มันหายแล้วนี่”
อรอนงค์กับสุบินถึงกับมองหน้ากัน
“อะไรนะ...หายแล้วเหรอ” สุบินไม่อยากเชื่อ
สรนุชพยักหน้ารับ
“เห็นมั้ยฉันว่าแล้ว”
“ว่าแล้วอะไร” สรนุชนึกสงสัย
“เอ้า...ก็ว่าแล้วว่าแกไม่ได้รักไอ้หมอนั่น...ไม่อย่างนั้นแกจะหายเร็วอย่างนี้ได้ยังไง”
สุบินเริ่มรุกถามคาดคั้นสรนุชที่ชะงักไป “หรือไม่...แกกำลังพบรักใหม่”
สรนุชอ้ำอึ้ง “เอ่อ...รักใหม่อะไรของแก”
สุบินยิงตรงประเด็นทันที “ก็คุณใจเด็ดไง”
สรนุชถึงกับพูดไม่ออก
“จริงเหรอนุช” อรอนงค์ซักต่อ
“จริงอะไรเล่า...”
“แล้วแกไปทานข้าว...เดินเล่น...นอนเฝ้าคุณใจเด็ดทำไม”
“เอ่อ...ฉันก็กลัวเขาจะเป็นไรไง...คิดดูซิถ้าเขาเป็นไรไป...ตำรวจก็ต้องสืบหาคนร้าย...แล้วถ้าเขารู้ว่าคนร้ายเป็นใคร...พวกเราก็อาจจะโดนไปด้วย”
สรนุชทำเป็นพูดแล้วสู้สายตากับสุบินและอรอนงค์เพื่อไม่ให้มีพิรุธ
“เดี๋ยวฉันกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน”
สุบินไม่ยอม “เดี๋ยวก่อน...ฉันยังถามไม่จบเลย”
ทันทีที่สุบินพูดจบ สรนุชก็ซัดโครมเข้าให้
“แกจะถามอะไรอีก...ฉันไม่ใช่นักโทษของแกนะ”
ว่าแล้วสรนุชก็เดินออกไปเลย สุบินถึงกับชะงักกระตุกเพราะโดนแผลเก่า

ที่สำนักงานใหญ่บริษัทคาบาตี้ กรุงเทพฯ สมพลกำลังเซ็นเอกสารอยู่ในห้องทำงาน มีเลขายืนรอเอกสารอยู่
สมพลพลิกหน้าต่อไปอ่านเพื่อเซ็นแล้วสมพลก็ต้องสงสัย
“นี่มันอะไร...ก็เรื่องอนุมัติซื้อที่ดินทำโรงซ่อมบำรุงใหม่ฉันเซ็นไปแล้วนี่”
“คะ...แต่ดิฉันเพิ่งทราบว่าตอนนี้...ทุกเรื่องที่คุณสมพลเซ็นจะต้องได้รับการอนุมัติจากคุณภิภพก่อน”
“ภิภพ..! แล้วมันมาเกี่ยวอะไร”
“คุณภิภพถูกแต่งตั้งขึ้นมาเป็นผู้ตรวจสอบเมื่ออาทิตย์ที่แล้วค่ะ...หนังสือแจ้งให้ทราบอยู่หน้าถัดไปค่ะท่าน”
สมพลพลิกไปอ่าน ก่อนจะกำหมัดแน่นด้วยความโมโห

ที่คอนโดณวัต เสียงกริ่งประตูหน้าห้องของณวัตดังลอดเข้ามาในห้องนอน เสียงกริ่งนั้นยังดังอย่างต่อเนื่อง ณวัตค่อยๆ เดินหัวยุ่งออกมา
“มาแล้วๆ...ใครวะ” ณวัตเดินมาเปิดประตูอย่างหัวเสีย
“จะกดอะไร” แล้วก็ต้องตาสว่างเมื่อเห็นสมพลยืนอยู่ “พ่อ”
สมพลไม่พูดพร่ำทำเพลงเดินปรี่เข้ามาในห้องของณวัต ณวัตมองตามด้วยความแปลกใจ
“พ่อ...หาอะไร...ไม่มีใครหรอกพ่อ”
“แล้วหนูนุชละ”
ณวัตชะงักไป “เอ่อ...” รีบเปลี่ยนเรื่อง “มีอะไรเหรอพ่อ...เกิดอะไรขึ้น”
“จะเกิดอะไร...ไอ้ภิภพมันไปปะเหลาะผู้ถือหุ้น...จนตอนนี้มันมีอำนาจเท่าฉันแล้ว”
ณวัตตกใจ “ห๊า”
“หนูนุชไม่อยู่นี่...ก็แสดงว่าอยู่ที่บ้านใช่มั้ย...ไอ้วัต...แกรีบไปแต่งตัวแล้วไปกับฉัน”
“เอ่อ...นุชเขายังอยู่สุรินทร์”
สมพลแปลกใจ “แล้วกัน...ไหนบอกว่าคุยกันเรียบร้อยแล้วไง...แล้วไอ้ที่แกบอกว่าเรียบร้อยมันคืออะไร”
“เอ่อ...ก็...ก็ผมเลิกกับนุชเขาเรียบร้อยไงพ่อ”
“ว่าไงนะ”
สมพลถึงกับช๊อก ก่อนจะไล่ตีณวัตไม่ยั้ง ณวัตตกใจรีบวิ่งหนี สมพลหาอะไรใกล้มือปาใส่
“แกรู้มั้ยว่าพ่อของหนูนุชเขาสนิทกับผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของเรา...ห๊า ! ทางเดียวที่ฉันจะได้ทุกอย่างกลับมา...ก็ต้องให้พ่อหนูนุชเขาช่วย”
“พ่อ ! ก็ผมกับนุชไปกันไม่ได้...ถึงแต่งไปก็ต้องเลิกกันอยู่ดี”
“แต่ไม่ใช่เวลานี่เว้ย ! ไอ้นี่...ไอ้...ฉันไม่รู้จะด่าแกว่าอะไรดี”
จังหวะนั้นสมพลหันไปหยิบโคมไฟตั้งโต๊ะจะปาใส่ลูกชายแสบ ณวัตเห็นอย่างนั้นก็อยู่ไม่ได้รีบวิ่งแจ้นออกจากห้องไปทันที
สมพลหายใจหอบเหนื่อย “ไอ้ลูกเวร ! เคยทำอะไรให้ฉันดีใจมั่งมั้ย”
สมพลพยายามสงบสติอารมณ์ ก่อนที่สมพลจะบางอย่างขึ้นมาได้

ในเวลาเดียวกัน ที่บริษัทคาบาตี้ สาขาสุรินทร์ชิดชัยกำลังจ้องมองโทรศัพท์อย่างใจจดใจจ่อ โดยมีลูกน้องอยู่ลุ้นด้วยข้างๆ
“พี่แน่ใจเหรอครับว่าสาขาใหญ่จะโทร.มา” ลูกน้องถาม
“บาทนึงกับขี้หมากองเดียวม่ะ...โธ่...ถามแปลกๆ...ฉันบริการคุณวัตขนาดนั้น...ดีไม่ดี...ฉันอาจจะถูกเรียกตัวเข้ากรุงเทพฯ ไปรับตำแหน่งใหม่วันนี้ก็ได้”
ระหว่างนั้นเสียงมือถือของชิดชัยดังขึ้น
“มาแล้วพี่” ลูกน้องบอก
ชิดชัยรีบเข้าไปดู แปลกใจ “ไม่ใช่เว้ย...เบอร์ใครวะ” แล้วกดรับ “ฮัลโหล...สมพล...สมพลไหน” พอฟังแล้วตกใจสะดุ้งพรวดยืนตรง “ครับผม...ได้ครับ...ครับ...เอ่อ...ได้ครับ...ครับ...ไม่ต้องห่วงครับ...ผมจะอย่างสุดความสามารถครับ”
ชิดชัยกดวางสาย ลูกน้องเข้ามาอย่างรู้ทัน พูดสอพลอทันที
“สาขาใหญ่โทรมาเลื่อนตำแหน่งให้พี่เหรอ”
“เลื่อนตำแหน่งอะไรเล่า ! คุณสมพลผู้บริหารใหญ่โทรมาบอกให้ฉันไปบอกนังนั่นให้โทรกลับคุณสมพลเดี๋ยวนี้ต่างหาก”
“นังนั่นของพี่...มันใครเหรอ”
“ก็แฟนคุณวัตไง...บ้าเอ๊ย...ไอ้ผู้หญิงคนนี้มันมีดีอะไรวะ”
ชิดชัยสีหน้าเครียดลง

อรอนงค์กำลังเคาะประตูเรียกสรนุช “เสร็จยังนุช...สุบินมันรอแย่แล้ว”
เสียงสรนุชตะโกนดังออกมาจากในห้อง “แกห้ามหัวเราะฉันนะ”
อรอนงค์ แปลกใจ “ทำไม...มีอะไรเหรอนุช”
สรนุชเปิดประตูออกมา อรอนงค์ถึงกับหน้าแปลกใจเพราะสรนุชอยู่ในชุดกระโปรง ดูสวยไปอีกแบบ
“เอ่อ...ตลกเหรอ” สรนุชเสียเซ้ลฟ์
“ตลกอะไร...สวยออก...ฉันเพิ่งเคยเห็นแกใส่กระโปรงก็วันนี้แหละ...” อรอนงค์สงสัย “แล้วทำไมแกถึง…”
สรนุชรีบตอบเหมือนมีพิรุธ “อ๋อ...ก็...กางเกงฉันซักหมดน่ะ...ฉันก็ลืมไปว่าวันนี้ต้องไปรับสุบินด้วย...ไม่มีอะไรหรอก...ไปเถอะ”
สรนุชจะเดินนำอรอนงค์ลงเรือนรับรอง แต่แล้วสรนุชก็ต้องชะงักไปเมื่อโชคชัยเดินขึ้นมาพอดี
“คุณโชคชัย”
โชคชัยเห็นสรนุชในชุดกระโปรงก็ถึงกับอึ้งในความสวยของสรนุช
“สวัสดีค่ะคุณโชคชัย...มาแต่เช้ามีอะไรหรือเปล่าคะ” อรอนงค์ทักขึ้น
“คือ...”
โชคชัยลำบากใจที่จะพูดเพราะความเขิน อรอนงค์รู้ดีว่าโชคชัยรู้สึกยังไง
“นุช...แกอยู่คุยกับคุณโชคชัยก่อนแล้วกัน...เดี๋ยวเรื่องสุบินฉันจัดการเอง...ไปก่อนนะคะคุณโชคชัย”
“อ้าว...เดี๋ยวก่อนซิอร”
อรอนงค์พูดจบก็เดินออกไปเลย
“คุณนุชลำบากใจอะไรหรือเปล่าครับ”
“เอ่อ...เปล่าหรอกค่ะ...แล้วคุณโชคมีอะไรหรือเปล่าคะ”
โชคชัยนิ่งไป

ใจเด็ดกำลังแต่งตัวอยู่ในห้อง ตาก็แอบชำเลืองมองไปที่ประตู โดยไม่รู้ว่าเจนจิราที่กำลังเก็บเสื้อผ้าใจเด็ดใส่กระเป๋าก็แอบชำเลืองมองใจเด็ดเช่นกัน
ใจเด็ดมองไปที่ประตูหวังใจว่าสรนุชจะมารับเขา ระหว่างนั้นเจนจิราพูดขึ้นให้ใจเด็ดรู้สึกตัว
“เรียบร้อยแล้วค่ะ”
“อืม...”
เจนจิราสังเกตเห็นหน้าของใจเด็ดดูเศร้าๆ ก็รู้ว่าใจเด็ดกำลังรอสรนุชอยู่
“พี่เด็ดรอแป๊ปนึงนะคะ...ขอเจนไปถามคุณสุบินก่อนว่าจะกลับด้วยกันมั้ย”
ใจเด็ดดีใจที่จะได้พบกับสรนุช “เอาซิ”
เจนจิราเห็นสีหน้าของใจเด็ดก็อดเหน็บไม่ได้ “ดีนะคะที่คุณอรมารับคุณสุบินคนเดียว...เพราะถ้าคุณสรนุชมาด้วย...คงต้องเบียดกันแย่เลย”
เจนจิราทำท่าจะเดินออกไป ใจเด็ดสงสัยในคำพูดของเจนจิราขึ้นมาทันที
ในใจของใจเด็ดอยากถามถึงสรนุช แต่กลัวเจนจิรารู้สึก “คุณอรมาคนเดียวเหรอ”
“ค่ะ...เห็นคุณอรบอกว่าคุณนุชไปกับนายก” เจนจิราเจาะจงพูดให้รู้ว่าสรนุชไปกับโชคชัยจึงมารับไม่ได้
ใจเด็ดได้ยินอย่างนั้นจากหัวใจที่ฟูฟ่องก็แฟ่บลงทันที
“ก็ดีเหมือนกันนะคะ...พี่เด็ดจะได้ไม่ต้องเจอกับข้อหามือที่สาม...แล้วอีกอย่าง...เจนว่าคุณนุชคงต้องคิดอะไรกับนายก...ไม่อย่างนั้นจะยอมไปไหนด้วยกันสองต่อสอง...พี่เด็ดว่าจริงมั้ยคะ”
ใจเด็ดรู้สึกขมที่คอขึ้นมาทันที

โชคชัยชวนสรนุชมาคุยกันที่ร้านไอศกรีมในตลาด บนโต๊ะที่ทั้งคู่นั่งอยู่มีไอศกรีมที่ตกแต่งอย่างสวยงาม แบบบ้านๆ วางอยู่ตรงหน้า มีวัยรุ่นนั่งทานไอศกรีมเป็นคู่ๆ
“คุณโชคชอบทานไอติมเหรอคะ”
“ไม่หรอกครับ...นี่เป็นครั้งแรกที่ผมมานั่งร้านนี้”
“แล้วพาฉันมานี่ทำไมคะ”
สรนุชมองไอศกรีมบนโต๊ะแปลกใจ
“ผมคิดว่าคุณนุชน่าจะชอบ”
สรนุชรู้ทันทีว่าโชคชัยกำลังจีบ “แหม...แต่ชอบยังไง...คุณโชคก็ไม่น่าจะสั่งมาเยอะขนาดนี้”
“ที่จริงผมเองก็ทานไม่หมดหรอกครับ”
“อ้าว...แล้วสั่งมาทำไม”
“เพราะผมอยากจะอยู่กับคุณนานๆ ไงครับ”
สรนุชได้ยินที่โชคชัยพูดก็ชะงักทำหน้าไม่ถูก
“วันนี้คุณดูแปลกๆ นะคะ” สรนุชว่า
“คุณนุชจำเรื่องที่ผมพูดกับคุณที่โรงพยาบาลได้มั้ยครับ”
สรนุชนึกได้ “เอ่อ...”
“ผมรู้ว่ามันยังไม่ถึงเวลา...แต่ผมไม่สามารถเก็บความรู้สึกของผมที่มีต่อคุณไว้ได้อีกต่อไป”
สรนุชทำเป็นจะตักไอติมกิน “เราทานกันก่อนมั้ยคะ...เอาไว้ทานเสร็จแล้วเราค่อยคุยกัน”
โชคชัยไม่รอช้า เอื้อมมือไปจับมือของสรนุชเอาไว้ ก่อนจะบอกความในใจ
“คุณนุช...ผมชอบคุณ”
สรนุชอึ้งทำหน้าไม่ถูก

เวลาเดียวกันชิดชัยกับลูกน้องกำลังเดินอยู่ในตลาด
“พี่...พวกนั้นจะมาที่ตลาดทำไม”
“แล้วฉันจะรู้มั้ย...ก็ไอ้คนงานที่สถานีมันบอกอย่างนี้นี่หว่า”
ลูกน้องพยักหน้ารับทราบ ระหว่างนั้นลูกน้องหันไปเห็นบางอย่างที่ร้านร้านไอศกรีมฝั่งตรงข้าม จึงรีบเรียกชิดชัย
“พี่ๆ”
“อะไรอีกวะ...รีบอยู่เห็นมั้ยเนี่ย”
“โน่นน่ะพี่”
ลูกน้องบุ้ยปากให้ชิดชัยดู ชิดชัยหันมองตามแล้วก็เห็นว่าสรนุชนั่งอยู่กับโชคชัยในร้านไอศกรีม
ชิดชัยครุ่นคิดแผนการขึ้นมาทันที

สรนุชอึ้งทำหน้าไม่ถูก หลังจากที่ถูกโชคชัยสารภาพรัก
“แล้ว...คุณนุชคิดยังไงกับผมครับ”
“ผู้ชายที่แสนดีอย่างคุณโชคชัย...มาบอกชอบฉันอย่างนี้...ฉันก็ต้องดีใจซิคะ”
โชคชัยยิ้มดีใจที่คิดว่าสรนุชยอมรับความรักของเขา สรนุชนิ่งไปก่อนจะตัดสินใจในสิ่งที่ตัวเองตั้งใจมาบอกเหมือนกัน
“แต่...ฉันคงชอบคุณไม่ได้”
โชคชัยชะงักทันที “ทำไม...ทำไมคุณชอบผมไม่ได้”
“เพราะ...เพราะฉันไม่ได้ชอบคุณ...ขอโทษนะที่ฉันต้องพูดตรงๆ อย่างนี้”
โชคชัยรู้สึกเหมือนโลกทั้งโลกแตกสลายลงตรงหน้า
สรนุชกังวล “คุณไม่โกรธใช่มั้ยคะ”
โชคชัยยิ้มขมๆ “ผมจะโกรธหัวใจคุณได้ยังไง”
ระหว่างนั้นพนักงานร้านไอศกรีมเดินเข้ามา
“ขอโทษครับ...มีคนฝากโน้ตนี่ให้คุณครับ”
สรนุชหยิบโน้ตขึ้นมาอ่านก่อนจะเห็นสีหน้าของสรนุชเครียดลง
“เอ่อ...ฉันขอตัวก่อนได้มั้ยคะ...พอดีมีเรื่องสำคัญ”
“ครับ”
สรนุชมองโชคชัยด้วยความลำบากใจ ก่อนจะตัดใจลุกขึ้นแล้วเดินจากมาปล่อยโชคชัยให้นั่งอยู่กับความเศร้าเพียงลำพัง

ที่สถานีบำรุงพันธุ์สัตว์ ใจเด็ดกลับจากโรงพยาบาล กำลังเดินมากับเจนจิรา เจนจิราช่วยหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้า ส่วนอรอนงค์ก็เดินมากับสุบิน จังหวะนั้นภิรมย์ สมหญิงพร้อมกับคนงานอีกจำนวนหนึ่งวิ่งออกมาจากสำนักงานสถานี
“หัวหน้ามาแล้ว” สมหญิงตะโกน
“หัวหน้า...ผมคิดถึงหัวหน้าจะแย่...ขอกอดทีนะครับ”
ภิรมย์ทำท่าจะโผเข้าไปกอดใจเด็ด แต่เกริกไกรเข้ามาขวางเอาไว้
“น้อยๆหน่อย...หัวแตกไม่ใช่ไปเสริมเต้า...ฉันขนลุกแทน...ไอ้เด็ด...โทษทีไม่ได้ไปรับ...พอดีฉันยุ่งๆทางนี้อยู่”
“ดีแล้ว...ขอบใจที่แกช่วยดูแลที่นี่ตอนที่ฉันไม่อยู่”
ใจเด็ดตบบ่าเกริกไกรอย่างซี้ปึ้ก ก่อนจะรู้สึกใจแป้วเมื่อเห็นสรนุชยังไม่กลับ แล้วเสียงสุบินก็ดังขึ้น
“อะไรวะ...ยัยนุชนี่ยังไง...เพื่อนออกจากโรงพยาบาลทั้งที...แทนที่จะรอต้อนรับ”
“เอ้า...ยัยนุชอาจจะมีธุระไปทำกับคุณโชคชัยก็ได้” อรอนงค์บอก
“ธุระอะไร...ฉันไม่เห็นว่าจะมีธุระอะไรสำคัญไปกว่าฉัน” สุบินว่า
เจนจิราแอบชำเลืองมองใจเด็ดเพื่อสังเกตอาการ
“ไปพักก่อนดีกว่าค่ะ...เจนกับสมหญิงจัดที่จัดทางให้เรียบร้อยแล้วค่ะ”
ใจเด็ดเอาแต่มองไปทางอื่น จนทำให้ไม่ได้สนใจเจนจิรา
“หัวหน้าคะ...” สมหญิงเรียก
ใจเด็ดรู้สึกตัว “เอ่อ...ว่าไงสมหญิง”
“หัวหน้าหาอะไรเหรอคะ” สมหญิงถาม
“เปล่าหรอก...เมื่อกี้เจนว่าอะไรนะ”
“รีบไปพักเถอะค่ะ”
“พี่ว่าพี่จะไปดูควายก่อน...ไม่ได้เจอพวกมันหลายวันแล้ว”
ใจเด็ดพูดจบก็เดินออกไป เจนจิรามองตาม สมหญิงพูดขึ้นโดยไม่รู้เรื่องอะไร
“แหม...ไอ้เราก็นึกว่าหัวหน้ามองหาอะไร...ที่แท้ก็คิดถึงควาย”
เจนจิรานิ่งเงียบเพราะรู้ว่าใจเด็ดคิดถึงสรนุชต่างหาก

สรนุชเดินหยุดหน้าตู้โทรศัพท์สาธารณะ ลังเลว่าจะเอายังไง ก่อนที่จะหยิบกระดาษโน้ตของชิดชัยขึ้นดู สรนุชครุ่นคิดหน้าเครียด

สมพลกำลังเดินไปเดินมาอยู่ภายในบ้าน สายตาจับจ้องมือถือที่วางบนโต๊ะด้วยความร้อนใจ ระหว่างนั้นเสียงมือถือของสมพลก็ดังขึ้น สมพลรีบพุ่งมารับแล้วมองเบอร์
“เบอร์ต่างจังหวัด” สมพลนิ่งคิด “หนูนุช” รีบกดรับ “หนูนุช”

สรนุชอยู่ในตู้โทรศัพท์สาธารณะ
“รู้ได้ยังไงคะว่าเป็นดิฉัน”
“เอ่อ...ก็ไอ้วัตมันบอกว่าหนูยังอยู่ที่สุรินทร์”
“ถ้าอย่างนั้นวัตคงจะบอกเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วใช่มั้ยคะ”
“จ้ะ...หนูนุช...พ่อต้องขอโทษแทนไอ้วัตมันด้วยนะ...ไอ้นี่มันโง่...มันไม่รู้ว่าอะไรเป็นเพชรอะไรเป็นอิฐ”
“ที่คุณสมพลให้ดิฉันโทรกลับ...เพื่อจะบอกแค่นี้หรือเปล่าคะ”
สมพลชะงักไปเพราะสัมผัสได้ถึงความเหินห่าง
“คือ...พ่ออยากจะบอกให้หนูนุชใจเย็นๆ...ชีวิตคู่มันก็ต้องมีกระทบกระทั่งกันบ้าง...ดูอย่างพ่อกับแม่ไอ้วัตมันซิ...แต่ก่อนรักกันที่ไหน...แต่พออยู่ๆไป...ความรักความผูกพันมันก็มาเอง”
สรนุชเอาหูโทรศัพท์ออกเพราะขี้เกียจฟัง
“ให้โอกาสไอ้วัตมันอีกครั้งนะ...คราวนี้พ่อจะดูมันเอง...เมื่อไหร่ที่มันทำให้หนูนุชเจ็บ...พ่อจะทำให้มันเจ็บกว่าเป็นร้อยเท่า” สมพลต้องแปลกใจเมื่อสรนุชเงียบไป “ฮัลโหล...ฮัลโหล..หนูนุชฟังพ่ออยู่หรือเปล่า”
สรนุชได้ยินเสียงสมพลดังแว่วๆ ออกมาจากหูโทรศัพท์จึงกลับไปพูดเหมือนเดิม
“เอ่อ...ขอโทษนะคะคุณสมพล...พอดีเหรียญของดิฉันหมดแล้ว...แต่ดิฉันขอบอกคุณสมพลตอนนี้ก็ได้คะว่าดิฉันกับคุณณวัตคงกลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้อีก...แค่นี้นะคะ”
“เดี๋ยวก่อนซิหนูนุช...หนูนุช...โธ่เว้ย”
สรนุชเป่าปากฟู่ใหญ่ เหมือนยกภูเขาออกจากอก

สมพลพยายามกดโทรศัพท์กลับไปที่เบอร์ที่สรนุชโทร.กลับมา แต่ก็เป็นสัญญาณที่ติดต่อไม่ได้
“อวดดี! ถ้าพ่อแกไม่ได้เป็นนายพลคิดว่าฉันจะง้อผู้หญิงอย่างเธอหรือไง”
สมพลลงนั่งด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะกดโทรศัพท์หาชิดชัยอีกครั้ง สมพลพูดกรอกสายเสียงกร้าว

“ชิดชัย...ฉันมีเรื่องให้แกทำ”










Create Date : 12 เมษายน 2555
Last Update : 12 เมษายน 2555 16:23:44 น.
Counter : 177 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  

มิกัง
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]