All Blog
อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว 3 (ต่อ)





ภวัตจับไหล่แนนนี่ให้นั่งลงที่เก้าอี้ตรวจคนไข้

“สงบสติอารมณ์ซะหน่อยเถอะแม่คุณ”
“แนนนี่ไม่ใช่คนไข้ของพี่ภวัตนะคะ แนนนี่ไม่ได้บ้า”
“ใครบอกแนนนี่จ๊ะว่าคนที่มาพบจิตแพทย์ต้องเป็นคนบ้าเท่านั้น” ภวัตยิ้มขำ
“อ้าว จะไปรู้เหรอคะ ดูอย่างยัยบุษบานั่นสิ เห็นคุยโม้ใหญ่เลยว่าสนิทกับพี่ภวัต ติดกันหนึบเป็นตังเมเลยไม่ใช่เหรอคะ” แนนนี่ประชด
“เค้าเป็นนักศึกษารุ่นน้องที่มหา’ลัยเดียวกับพี่ แต่คนละคณะ” ภวัตอธิบาย
“พอๆๆค่ะพอ แนนนี่ไม่ได้อยากรู้เรื่องยัยเจ๊นั่นซักกะหน่อย พี่ภวัตไม่เป็นหมอ ที่โรงพยาบาลนี้ไม่ได้เหรอคะ”
ภวัตหัวเราะชอบใจ “เกเรใหญ่แล้ว จะให้พี่ย้ายโรงพยาบาลแค่เพราะแนนนี่ไม่ชอบเจ้าของโรงพยาบาลเนี่ยนะ”
บุษบาเปิดประตูเข้ามาอย่างถือวิสาสะ
“คุยอะไรกันอยู่ค้า”
แนนนี่เม้มปากอย่างข่มอารมณ์ พลางคิดแผนเล่นงานบุษบา
บุษบายิ้มตรงหาภวัตอย่างอารมณ์ดี
“บุษว่าจะมาชวนภวัตกับน้องแนนนี่ไปทานข้าวด้วยกันน่ะค่ะ ทานอะไรกันดีคะ”
แนนนี่เป่ามนตร์สร้างกำแพงตรงหน้าบุษบา แล้วเสกให้กำแพงนั้นโปร่งแสง บุษบาชนเข้าอย่างจัง กุมหน้าผาก ร้องลั่น
“โอ๊ย”
“บุษ”
ภวัตตกใจ จับมือบุษบาที่กุมหน้าผากอยู่ออก ปรากฏว่าบวมปูดเป็นลูกมะนาว แนนนี่กลั้นยิ้ม
“ทำไมบวมปูดเลยล่ะ เกิดอะไรขึ้น”
“บุษ..บุษเหมือนกับเดินชนกำแพงน่ะค่ะ” บุษบาเล่าตามจริง
“กำแพง?” ภวัตงง
“สงสัยพี่ภวัตต้องเช็คประสาทคุณบุษบาแล้วละค่ะ กลางห้องจะมีกำแพงได้ยังไง ไปล้มหน้าคะมำที่ไหนมาแล้วจำไม่ได้มากกว่ามังคะ ไม่ความจำเสื่อมก็แก่นั่นเอง ฮ่าๆๆๆ”
พูดจบแนนนี่ก็เดินออกไป แต่ไม่วายเหลียวกลับมาร่ายมนตร์ เสกรูปคู่ของตัวเองกับภวัตวางตรงโน้นนี้เต็มห้อง
บุษบาไม่ทันสังเกตเอาแต่เหล่มองแนนนี่ออกไปอย่างพอใจ ก่อนจะออดอ้อนภวัต
“บุษเวียนหัวจังค่ะภวัต”
“ผมว่าบุษนั่งก่อนดีกว่าครับ”
บุษบาเซซบอกภวัต แต่แล้วเหลือบมองรูปคู่ของแนนนี่กับภวัตก็ผละออกมาพรึบ
“นี่มันอะไรกันคะ ภวัตมีรูปแบบนี้ในห้องตั้งแต่เมื่อไหร่”
ภวัตงงไม่แพ้กัน หยิบมาดูบ้าง
“แนนนี่?”
บุษบาเหลียวไปรอบ แล้วยิ่งแค้นใจ
“นี่ก็อีก นั่นก็ใช่ อ๊ายนี่มันห้องตรวจนะคะภวัต”
ภวัตเหลียวตามไปที่รูปคู่ในชุดแต่งงงานของแนนนี่กับภวัตรูปใหญ่ที่ข้างฝา งงงัน
ภวัตไม่ทันสังเกตว่าที่รูปนั้น แนนนี่ยักคิ้วให้กับตัวเองอยู่!!!

แนนนี่เดินหน้างุดเข้ามาหาปีเตอร์ ซึ่งนั่งแช็ทมือถือคอยอยู่บริเวณลอบบี้โรงพยาบาล
“จะนอนนี่ใช่มั้ย ฉันจะได้กลับคนเดียว”
“ใช่ เอ้ยไม่ใช่ เฮ้ เดี๋ยวสิแนนนี่”
ปีเตอร์ลุกตามแนนนี่ซึ่งก้าวฉับๆ พลางถามออกมา
“อะไรของแนนนี่อ่ะ ปีเตอร์ตามไม่ทันแล้ว เมื่อกี้เข้าไปก็ยังดีๆ ออกมาไหงอารมณ์บูดอีกแล้วล่ะ”
“ก็ยัยบุษบ้าบุษบาอะไรนั่นน่ะสิ ออดอ้อนออเซาะพี่ภวัตซะไม่มี พี่ภวัตก็ยอมให้เค้ากระทำชำเราอยู่ได้ ไม่มีศักดิ์ศรีของลูกผู้ชายเอาซะเล้ย”
แนนนี่บ่นเป็นหมีกินผึ้ง แล้วต้องชะงักเท้ากึก เพราะเวลานั้นภวัตยืนอยู่ตรงหน้า
“พี่ภวัต”
“แนนนี่ทำอะไรคุณบุษ” ภวัตเสียงเข้มไม่พอใจอย่างแรง
“แนนนี่เนี่ยนะคะทำยัยบุษบา” แนนนี่ถามย้ำ น้ำเสียงม่พอใจ
“พี่รู้ว่าเป็นฝีมือแนนนี่” ภวัตหันไปทางปีเตอร์พูดเสียงสุภาพ “ขอผมคุยกับแนนนี่สักครู่นะครับ”
ภวัตไม่รอคำตอบ จูงแขนแนนนี่ไป ปีเตอร์โวยวาย
“เฮ้ เดี๋ยวสิ ผมยังไม่โอเคเลยนะ”
ห่างปีเตอร์ออกมา ภวัตคาดคั้นแนนนี่
“นายโป่งเคยเล่าให้พี่ฟังว่าแนนนี่ชอบสอนมายากล”
แนนนี่หัวเราะกิ๊กอย่างชอบใจ
“พี่ภวัตก็เลยคิดว่าแนนนี่ใช้มายากลแกล้งยัยบุษบามารศรีของพี่ภวัต? ฮ่ะๆๆๆ ทำอย่างนั้นได้ก็มีแต่แม่มดเท่านั้นละค่ะ แบร่” แนนนี่ทำท่ายกมือหลอก
“ทำไมชอบพูดถึงแม่มดนักนะเรา ล้อเล่นอย่างนี้น่ะ พี่ถึงกับเคยเก็บเอาไปฝันว่าแนนนี่ขี่ไม้กวาดตามเครื่องบินตอนไปอเมริกา” ภวัตว่า
“ตื่นขึ้นมาคนนั่งข้างๆ หัวเราะพี่ภวัตใหญ่เลย” แนนนี่เล่าเสริม
“ก็จำได้นี่ แล้วยังจะล้อพี่เล่นเรื่องแม่มดอีก เอาละ..เลิกนอกเรื่องซะที กลับมาเรื่องคุณบุษ”
แนนนี่หน้าบูดบึ้งใส่ภวัต
“พี่ไม่สนว่าเราจะแก้ตัวยังไง แต่อย่าให้มันเกิดขึ้นอีก ครั้งนี้เค้าหัวบวมปูด แต่ถ้าครั้งหน้าเค้าเจ็บตัวมากกว่านี้แล้วเค้าเอาเรื่องแนนนี่ขึ้นมาล่ะ จะทำยังไง”
“มีหลักฐานเล่นงานแนนนี่เหรอคะ” แนนนี่เผลอหลุดปาก
“ยอมรับแล้วใช่มั้ยว่าเป็นคนทำ”
สีหน้าของแนนนี่มีพิรุธ หาทางแก้ตัวไม่ได้เลยทำหงุดหงิดใส่
“แนนนี่น้อยใจแล้วนะคะ พี่ภวัตเห็นคนอื่นดีกว่าแนนนี่ แนนนี่ไปดีกว่า แล้วอย่าได้คิดเชียวนะคะว่าจะให้แนนนี่ไปขอโทษยัยเจ๊นั่น แหยะ”
แนนนี่เบ้ปากใส่ ก้าวฉับไปหาปีเตอร์แล้วควงแขนออกไป ปีเตอร์ยืดอก ค้อมหัวและเหล่มองภวัตเยาะๆ
ภวัตมองตามไป สีหน้าหนักใจ

แนนนี่พาตัวเองมาเดินช็อปปิ้งของสวยๆ งามๆ ภายในห้างหรู เพื่อจะแข่งกับบุษบา โดยมีปีเตอร์ถือถุงช็อปปิ้งนับสิบใบเดินตามต้อย จังหวะหนึ่งในขณะที่แนนนี่เลือกดูเสื้อที่ราวในร้านหนึ่งอยู่ แนนนี่ก็เอ่ยขึ้น
“ได้เดินช็อปปิ้งกับแนนนี่อย่างนี้ปีเตอร์ชอบจังเลย แต่ถ้าจะให้ดี ปีเตอร์จ่ายเงินให้ดีกว่ามั้ย จะได้ดูเป็นแฟนกัน ฮุ้ยเขิน”
แนนนี่ปาเสื้อที่ดูอยู่ใส่ปีเตอร์
“เลิกเพ้อ! ช่วยดูหน่อยซิ ตัวนี้สวยสู้ยัยบุษบาได้มั้ย” แนนนี่เอ็ดแล้วถามขึ้น
“อ้าวนี่ปีเตอร์เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าที่แนนนี่เดินซื้อเสื้อผ้าซะเยอะแยะเพราะจะไปแต่งตัวแข่งกับแฟนหมอภวัต”
“อ๊าย... ยัยบุษบาไม่ใช่แฟนพี่ภวัตนะ ถอนคำพูดเดี๋ยวนี้เลยปีเตอร์!” แนนนี่ปรี๊ดทันควัน
“โอเคถอนจ้ะถอน ทำไมต้องโกรธขนาดนั้นด้วย”
ครู่ต่อมาแนนนี่เหล่มองถุงช็อปปิ้งในมือปีเตอร์
“แล้วของที่ซื้อๆ มาน่ะ เอาไปคืนร้านให้หมดเลย ฉันไม่อยากได้แล้ว”
“อ้าวไหงงั้นล่ะ”
“ก็เธอเพิ่งพูดอยู่หยกๆ ว่าฉันซื้อไปแต่งตัวแข่งกับยัยบุษบา ชึ! อย่างฉันเนี่ยนะต้องแข่งกับยัยนั่น เห็นๆ กันอยู่ว่าเริดกว่าตั้งเยอะ จริงไม่จริง!”
“จริงจ้ะจริง แนนนี่ไม่ต้องแต่งอะไรเลยก็สวย ยิ่งถ้าใส่เครื่องเพชรที่ปีเตอร์ให้ไปละก็ ต้องเหมือนเจ้าหญิงแน่ๆ เลย”
ปีเตอร์หมายถึงเครื่องเพชรที่แอบหย่อนใส่กระเป๋าแนนนี่หลายวันก่อน
“เครื่องเพชร? เครื่องเพชรอะไรของเธอ”

เวลาผ่านไป ผู้คนที่เดินผ่านไปมาหลายๆ จุด ต่างหันพรึบไปทางเดียวกัน เมื่อได้ยินเสียงแนนนี่โวยลั่น
“อีตาบ้าปีเตอร์”
แนนนี่โวยลั่นใส่ปีเตอร์
“เครื่องเพชรราคาเป็นล้าน เอามาหย่อนใส่กระเป๋าฉันได้ไงห๊า ป่านนี้มิหายไปแล้วเหรอ แล้วฉันจะเอาปัญญาที่ไหนมาซื้อใช้นาย บ้าๆๆ บ้าที่สุดเลย”
“หายก็ช่างมันสิ ปีเตอร์ซื้อให้ใหม่วันนี้เลยก็ได้”
ปีเตอร์บอกหน้าซื่อ ตาใส ไม่รู้สึกอะไร
“โฮ้ย ฉันอยากจะบ้า! ..กี่ล้านนะ?”
“ห้า” ปีเตอร์หมายถึง 5 ล้านบาท!
แนนนี่กรอกตา ทำท่าอยากกรี๊ด แต่ต้องกลั้นเสียงไว้

เวลาเดียวกันนั้นดารกาอยู่ในชุดนักศึกษา นั่งอยู่ภายในบ้านมาลีกับสดับ แววตาที่กวาดมองบรรยากาศซอมซ่อของบ้านนั้นเต็มไปด้วยความรังเกียจ มาลีกุลีกุจอยกแก้วน้ำมาให้ดารกา
“ขอบคุณคุณหนูมากที่อุตส่าห์มาแทนลูกดารกา”
“ดารกาเรียนหนัก หาเวลามาหา..เอ่อ..”
“เรียกฉันน้าก็ได้จ้ะ ถ้าไม่รังเกียจ”
“ดารกามาหาน้าไม่ได้ เลยให้ฉันมาแทน” ดารกาปด
“ไม่เป็นไร แค่รู้ว่าจดหมายถึงมือลูกดารกาก็พอแล้ว”
ดารกามองมาลี ตอบกลับด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย
“น้ามีอะไรอยากจะให้ดารกาช่วยรึเปล่า”
“ไม่เป็นไร รอให้เค้าว่างมาหาน้า แล้วน้าจะคุยกับเค้าเอง” มาลีเอ่ยขึ้น
ดารกายิ่งฟังยิ่งอึดอัด เอ่ยขึ้นอย่างหงุดหงิด
“ดารกาสั่งให้น้าบอกมา ถ้าเค้าช่วยได้เค้าจะช่วย”
“อ้าว เค้าว่างั้นเหรอ คือ.. ก็เรื่องเงินนั่นละจ้ะ” มาลีงงๆ
ดารกาฟังหน้าเครียด
“น้ากับพ่อดารกามีหนี้นอกระบบอยู่ ก็หลายตังค์อยู่ แต่เจ้าหนี้ขอคืนเงินต้นก่อนก้อนนึง”
“เท่าไหร่” ดารกาถามคิดว่าเงินคงไม่มาก
“สองแสน” มาลีบอก
ดารกาตกใจมากหลุดปากออกมา
“สองแสน ฉันจะไปหาจากไหนมาให้!
มาลีมองหน้าดารกางุนงง
“เอ่อ..ฉันหมายถึงดารกา ดารกาจะไปหาเงินตั้งสองแสนจากไหนมาให้น้าได้”
“ก็เห็นว่าแม่บุญธรรมเค้ารวย เค้าน่าจะขอกันได้” มาลีไม่ผิดสังเกต
“เงินสองแสนเค้าขอกันง่ายๆ อย่างที่น้าพูดได้ก็ดีสิ” ดารกาว่า
“ก็แล้วแต่บุญแต่กรรมก็แล้วกัน ยังไงน้าก็รบกวนคุณช่วยคุยกับดารกาให้หน่อย บอกเค้าว่าเจ้าหนี้ขู่จะฆ่าทั้งฉันแล้วก็พ่อดารกา ถ้าหาเงินไปคืนพวกมันไม่ได้”
ดารกาโกรธๆ อยู่ ก็มีสีหน้าเจื่อนไป แต่ในที่สุดก็คว้ากระเป๋าสะพายลุกพรวดขึ้น
“แล้วจะบอกให้ก็แล้วกัน”
ดารกาหมุนตัวมาประจันหน้ากับสดับพอดี สดับอยู่ในสภาพเปลือยท่อนบน มีเสื้อพาดบ่า เนื้อตัวมีกลิ่นเหล้าคละคลุ้ง
“ดารกาลูกพ่อ...”
สดับเข้ามาจับไหล่ดารกา ในขณะที่ดารกาตัวแข็งทื่อ ช็อกที่เห็นสภาพพ่อบังเกิดเกล้า
“ลูกพ่อจริงๆ ด้วย”
สดับยื่นมืออีกข้างจะจับตัวดารกา พลันมาลีเข้ามาดึงสดับออก
“อย่านะพี่ นี่ไม่ใช่ลูกเรา ดารกาไม่ว่างเลยให้เค้ามาแทน”
“ไม่เชื่อ” สดับพูดพลางจ้องหน้าดารกาเขม็ง
ดารกาแววตาหวาดผวา พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“พวกคุณจะได้เงินที่ขอมา แต่ต้องรับปากว่าจะไม่ไปที่บ้านดารกาอีก...อย่าไปที่นั่นเด็ดขาด”
ดารกาวิ่งออกไปทันทีที่พูดจบ

ดารกาวิ่งไปร้องไห้ไป จนมาหยุดหอบที่ริมฟุตบาท กรีดร้องลั่น ด้วยความคับแค้นใจในโชคชะตาที่มีพ่อเป็นคนอย่างสดับ และมีแม่เป็นมาลี ผู้คนที่ผ่านไปมา หันมามองดารกา ทว่าดารการ้องไห้ออกมาโดยไม่สนใจใคร

ค่ำคืนนั้นประตูห้องแนนนี่ค่อยๆ เปิดออก ดารกาก้าวเข้ามาในความมืด ดูมีพิรุธ ดารกากวาดสายตามองภายในห้อง ไม่มีใครอยู่ในนั้น
เวลาผ่านไปที่ลิ้นชักโต๊ะถูกมือดารกาดึงเปิดออก เห็นข้าวของ บัตรประจำตัวต่างๆของแนนนี่ ดารกาหยิบซองสมุดธนาคารสองสามเล่มขึ้นมาเปิดดู จนไปหยุดที่เล่มหนึ่ง สีหน้าพอใจ
แต่ทันใดนั้นเองประตูห้องถูกเปิดออก แนนนี่ก้าวเข้ามา ตกใจมากที่เห็นดารกา
“นั่นใครน่ะ”
ดารกาสะดุ้งเฮือก พร้อมๆ กับไฟที่สว่างพรึบ แนนนี่ประหลาดใจมากที่เห็นว่าเป็นดารกา
“พี่ดาเข้ามาค้นห้องแนนนี่ทำไม” แนนนี่ถาม
ดารกาลุกขึ้น สีหน้านิ่งสงบ ไม่มีวี่แววตกใจหลงเหลือ
“คุณแม่ให้พี่มาเอาสมุดบัญชีธนาคารร่วมของเราสองคน เห็นท่านบอกว่าแนนนี่เอามาถ่ายเอกสารหน้าบัญชี แต่ก็ไม่เห็นเก็บคืนเข้าตู้เซฟ”
“ทำไมคุณแม่ไม่ทวงกับแนนนี่” แนนนี่สงสัย
“แนนนี่ต้องไปถามคุณแม่เองแล้วละ เล่มนี้ใช่มั้ย” ดารกาหันมาถาม
แนนนี่พยักหน้าอย่างเคืองๆ ดารกาเดินผ่านตัวแนนนี่ไป แต่แล้วเหลียวหลังกลับมาเอ่ยสำทับขึ้น
“อ้อ คุณแม่ทราบเรื่องที่แนนนี่ไปก่อเรื่องวุ่นวายที่โรงพยาบาลแล้วนะ คุณบุษบาถึงกับหน้าผากบวมเลยนี่? ทางที่ดี... พี่ดาว่าแนนนี่ยังไม่ควรกวนใจท่านเวลานี้”
แนนนี่ทำท่าจะเอ่ยตอบโต้ แต่ดารกาออกไปในทันที แนนนี่ได้แต่มองตามดารกาอย่างงงงัน

ตอนกลางวัน อีกหลายวันต่อมา ดารกาวางซองเอกสารสีน้ำตาล มีรอยนูนของเงินสองแสนอยู่ในนั้น ต่อหน้าสดับและมาลี ภายในบ้านของสองคน
สดับฉวยซองนั้นมาเปิด แล้วหยิบเงินปึกหนึ่งออกดูอย่างตื่นเต้น
“เงินจริงๆ ด้วย”
มาลีซึ่งอยู่ด้วยกัน หันมองอย่างดีใจ
“ขอบใจมากนะคะคุณ ที่อุตส่าห์เป็นธุระให้ น้าคิดอยู่แล้วละว่าคุณปัทน่ะใจบุญ ยังไงเค้าก็ต้องช่วย ฝากขอบใจลูกดารกาด้วยนะ”
“ไม่ต้องขอบใจเค้าหรอก แค่ไม่ไปที่บ้านเค้าอีกก็พอ รับปากฉันสิ”
ดารกาพูดแล้วหยุดสายตาจ้องที่สดับ
“เธอเป็นใครมาสั่งห้ามลูกห้ามพ่อเค้าเจอกัน” สดับพูดอย่างโมโห
“ไฮ้ พี่ดับนี่ ทำไมไปพูดกับคุณเค้าอย่างนั้น เค้าอุตส่าห์เป็นธุระเอาสตุ้งสตางค์มาให้แทนลูกดารกา” มาลีหันไปพูดกับดารกา “น้าขอโทษแทนพ่อดารกาด้วยนะจ๊ะ” มาลีรีบยกมือไหว้ขอโทษแทนสามี
ดารกาผงะตกใจที่มาลีซึ่งเป็นแม่ยกมือไหว้ รีบลุกขึ้นหนี
“ฉันไปละ” ดารกาเอ่ยขึ้น
“ฉันสัญญาว่าจะไม่ไปวุ่นวายที่บ้านพวกคุณอีก มีอะไรก็จะโทรเข้าเบอร์ที่คุณให้ไว้นี่ละจ้า” มาลีพูดพลางหยิบกระดาษเล็กๆ ขึ้นดู
สีหน้าดารกาสุดจะทน อยากรีบๆ ไปจากที่นั่นให้เร็วที่สุด

ธานีป้วนเปี้ยน ชะเง้อชะแง้มองข้ามรั้วบ้านที่กั้นระหว่างตัวเองกับบ้านภวัตเป็นระยะอย่างร้อนใจ เพราะรอรัดเกล้า
“ยัยเกล้า มัวทำอะไรอยู่นะ”
เสียงรถรัดเกล้าแล่นเข้ามา ธานีหันมองขวับ
ธานี เห็นรถเก๋งเก่าๆ ของรัดเกล้าแล่นเข้าจอดที่หน้าตัวบ้านภวัต ธานีมีสีหน้าโล่งใจ รีบก้าวเข้าประตูเล็กที่เชื่อมระหว่างสองบ้านเข้าไป

ครู่ต่อมารัดเกล้ายื่นม้วนกระดาษแบบ แฟ้มงาน ข้าวของต่างๆ ให้ธานีช่วยถือ
“ของพวกนี้น่ะไว้ก่อนได้มั้ย จะบอกพี่ได้รึยังว่าน้องดาเป็นไงบ้าง” ธานีถามขึ้น
“ว่าไงนะคะ อ้าว...ที่มาดักรอเกล้านี่ไม่ใช่เพราะจะมาช่วยเกล้าถือของหรอกเหรอ”
“ไม่ตลกยัยเกล้า ที่เราตกลงว่าจะตามดูน้องดาน่ะว่ายังไง วันนี้ไม่ใช่เหรอที่น้องดาเค้านัดเจอแม่เค้า”
“เกล้าว่าเกล้าน่าจะเป็นฝ่ายถามพี่ธานีมากกว่านะคะ อย่าบอกนะว่าพี่ธานีไม่ได้ตามไปดูน้องดาอย่างที่เราตกลงกัน”
ธานีสั่นหัวเอ่ยขึ้น “พี่คิดว่าเกล้าจะไป แล้วได้ไปรึเปล่า”
รัดเกล้าสั่นหัวงงๆ ปนเซ็ง
“โธ่ ไอ้เราก็คิดจะฝากความหวัง”
“อ้าว พี่ธานีมาโทษเกล้าคนเดียวได้ไงคะ คุยไม่รู้เรื่องเอง แล้วมาโบ้ยว่าเป็นความผิดเค้า” รัดเกล้าโวยกลับ
“โอเคๆๆ ไม่ใช่เวลามาหาว่าใครผิดใครถูก จะเอายังไงกันดี พี่เป็นห่วงน้องดา”
“เกล้าก็เป็นห่วงน้องดาไม่น้อยไปกว่าพี่ธานีหรอกค่ะ แต่จะให้เค้ารู้ว่าเราสองคนแอบอ่านจดหมายนั่นก็กระไรอยู่ อืม...ปรึกษาพี่ภวัตดูดีมั้ยคะ”
ธานีนิ่งฟังอย่างเห็นด้วย

สภาพห้องแนนนี่เวลานี้มีข้าวของรก วางเกลื่อนกลาด กระจัดกระจาย แนนนี่รื้อห้อง หาเครื่องเพชรของปีเตอร์
“หางานให้ฉันแท้ ๆเลยปีเตอร์ บ้าๆๆ บ้าที่สุด” แนนนี่โวยไม่หยุด
แนนนี่คว้ากระเป๋าสะพายทุกใบมาคว่ำ เทของออก แต่ไม่เจอ ในที่สุดก็หยิบมือถือมากดโทรออกหาปีเตอร์
“อีตาบ้าปีเตอร์ กระเป๋าใบไหนล่ะที่นายหย่อนเครื่องเพชรลงไปน่ะ ฉันหาเท่าไหร่ก็ไม่เห็นมี ...จำไม่ได้? พูดง่าย ๆอย่างเนี้ยนะว่าจำไม่ได้ นี่นายหัวเราะงั้นเหรอ ของๆ นายๆ ยังไม่เสียดาย นายมันบ้าปีเตอร์ ดีละ งั้นฉันจะเลิกหาแล้วเหมือนกัน”
แนนนี่กดตัดสาย แล้วโยนโทรศัพท์ลงบนเตียงอย่างหัวเสีย
“เพชรราคาเป็นล้าน ฉันหัวเราะไม่ออกหรอกตาบ้า... ฮื้อ...ชิกเก้น! ใช่! หรือว่าชิกเก้นเอาไป?”
ชิกเก้นกระโดดโหยงมายืนที่ขอบหน้าต่าง โวยลั่น
“แหมๆๆ ไม่อยู่หน่อยละโทษฉันเลยนะ”
“โอ..ชิกเก้น แกมาถูกเวลาเลย ฉันทำเพชรของปีเตอร์หาย แกเอาไปรึเปล่า” แนนนี่ดีใจ
“นี่ๆๆ คิดหน่อยดีมั้ยก่อนจะพูดน่ะ ฉันเป็นแมวนะ จะเอาเครื่องเพชรไปใส่โชว์ใครหา”
“แล้วมันหายไปไหนล่ะ” แนนนี่สงสัย
“เศษกะตังค์สำหรับนายปีเตอร์น่า ช่างมันเหอะ เธอสัญญาว่าจะพาฉันไปกินไอติม จำได้เปล่า” ชิกเก้นทวงสัญญา
“ฉันกลุ้มออกอย่างนี้ แกยังมีกะจิตกะใจกินไอติมลงอีกเหรอ ดีละ ฉันจะฟ้องคุณยายว่าแกไม่ดูแลฉัน” แนนนี่โวยใส่
“ฮึ้ย อย่านะ โอเคๆ ฉันจะช่วยดมให้”
ชิกเก้นไล่ดมมุมโน้นนี้ ทำจมูกฟุดฟิด
“มีแต่กลิ่นดารกา...กลิ่นร้ายกาจ”
“อ๋อ วันก่อนพี่ดามาเอาสมุดบัญชีธนาคารน่ะ” แนนนี่พูดขึ้นมา
“สมุดบัญชีธนาคาร?” ชิกเก้นถามย้ำ
“ใช่ เป็นบัญชีร่วมของฉันกับพี่ดาที่คุณแม่เปิดให้ ทำไมต้องทำหน้าสงสัยอย่างนั้นด้วย”
“แล้วเธอได้เห็นตัวเลขในบัญชีอีกรึเปล่า” ชิกเก้นตั้งข้อสังเกตขึ้น
แนนนี่หัวเราะชอบใจ
“ชิกเก้น นี่แกกำลังจะบอกว่าพี่ดาแอบเบิกเงินในบัญชีงั้นเหรอ”
ดารกาเคาะประตูและเปิดเข้ามา
“คุยกับใครอยู่เหรอแนนนี่”
ชิกเก้นกระโดดแผลว หลบหลังแนนนี่
“มันเรื่องของแนนนี่ คราวนี้พี่ดามีธุระอะไรอีกล่ะ”
“ไม่ใช่พี่หรอก แต่เป็นคุณแม่ ...คุณแม่อยากเจอแนนนี่แน่ะ”
แนนนี่เหลือบตาลงไปมองที่ชิกเก้น อย่างขอความเห็น ชิกเก้นทำเพียงส่งเสียงร้องเมี้ยว

สีหน้าแนนนี่ตะลึงงัน เมื่อเห็นสร้อยเพชรที่ปัทมนถืออยู่และกำลังวางลงบนโต๊ะ
“ของแนนนี่ใช่มั้ยคะ” น้ำเสียงของแนนนี่บอกให้รู้ว่าเธอดีใจมาก
“พรเอากระเป๋าสะพายของลูกไปซัก แล้วก็เจอมัน”
แนนนี่หยิบขึ้นดู ดีใจมาก
“ใช่จริงๆ ด้วย แนนนี่หาอยู่ตั้งนานแน่ะค่ะ ขอบคุณนะคะ”
ดารกานั่งอยู่ไม่ห่าง มองปฏิกิริยาของแนนนี่ไม่วางตา ปัทมนน้ำตาคลอ เสียใจที่แนนนี่ยอมรับซึ่งๆ หน้า แนนนี่งง
“คุณแม่...”
“ทำไมหนูทำอย่างนี้แนนนี่”
แนนนี่งงงัน ปัทมนปรายตาไปทางดารกา ดารกาเลื่อนสมุดบัญชีธนาคารให้แนนนี่ แนนนี่รับไปเปิดดู
“สมุดบัญชีธนาคารของแนนนี่กับพี่ดา”
ปัทมนมองแนนนี่นิ่งๆ ก่อนเอ่ยขึ้นอย่างเสียใจ
“เงินในบัญชีหายไปสองแสน”
แนนนี่ตะลึงงัน
“คุณแม่กำลังจะบอกว่าแนนนี่เอาเงินไปงั้นเหรอคะ”
ปัทมนนิ่งเงียบแทนคำตอบ
“คุณแม่! แนนนี่จะทำอย่างนั้นทำไมกันคะ เงินตั้งสองแสนแนนนี่จะเอาไปทำอะไร”
“แล้วเครื่องเพชรนี่ล่ะ” ปัทมนคาดคั้น
“...มันไม่ใช่อย่างที่คุณแม่คิดค่ะ เพชรนี่ไม่ใช่ของแนนนี่”
“แล้วลูกได้มันมายังไง” ปัทมนซัก
“ปีเตอร์ เพื่อนของแนนนี่น่ะค่ะ เค้าแกล้งแนนนี่ แอบเอามาใส่ไว้ในกระเป๋า”
“เครื่องเพชรราคาเป็นล้านๆ เนี่ยเหรอจ๊ะ” ปัทมนไม่อยากจะเชื่อ
“ใช่ค่ะ ปีเตอร์เป็นคนอย่างนั้นจริงๆ ค่ะ เค้า...”
แนนนี่พูดไม่ทันจบ ดารกาก็เอ่ยแทรกขึ้นอย่างสุภาพ
“ขอโทษนะคะคุณแม่ น้องดาเองก็เคยเห็นปีเตอร์เพื่อนของแนนนี่”
แนนนี่มองดารกาอย่างไม่วางใจ
“ปีเตอร์เค้าจะแปลกๆ” หันมาพูดกับแนนนี่ “คนที่ชอบซื้อของแพงๆ ให้แนนนี่ใช่มั้ยจ๊ะ”
แนนนี่ขมวดคิ้ว งุนงงที่จู่ ๆ ดารกาก็กุเรื่องมาช่วยไกล่เกลี่ย จังหวะนั้นดารกาหันมาพูดกับปัทมน
“น้องดาคิดว่าเค้าน่าจะเป็นคนซื้อสร้อยนี่ให้แนนนี่จริงๆ นะคะ”
ปัทมนมองดารกาสลับกับแนนนี่อย่างสับสน
“แม่ขอโทษนะจ๊ะ ที่เข้าใจลูกผิด”
ดารกาหันยิ้มโล่งใจกับแนนนี่ พลันแนนนี่ส่งเสียงกร้าว
“ถึงคุณแม่จะเชื่อว่าแนนนี่ไม่ได้เอาเงินไป แต่แนนนี่ต้องรู้ให้ได้ว่าเงินสองแสนนั่นหายไปไหน” แนนนี่ปรายสายตามองไปที่ดารกา
ดารกาหุบยิ้ม แววตากระตุกไปทันที

ภวัตมีสีหน้าเครียดจัด ขณะคุยอยู่กับธานี ภายในห้องนั่งเล่นบ้านภวัต
“เรื่องของนายเอาไว้ก่อนได้มั้ยวะ ฟังเรื่องฉันก่อน”
“เรื่องแกกับน้องดา”
“เออ”
“เกือบๆ จะเรื่องเดียวกัน เพราะที่ฉันจะมาปรึกษานาย ก็เรื่องน้องดานี่แหละ”
“ปรึกษาฉันเรื่องน้องดา” ภวัตร้องถามออกมา
“ว่าเรื่องแกมาก่อนเถอะ ฉันว่ามันต้องเกี่ยวกับที่แกไปรับไปส่งน้องดาใช่มั้ย”
“คุณพ่อฉันกับอาปัทจะจับฉันหมั้นกับน้องดา”
“ไม่ขำว่ะ” คราวนี้ธานีร้องขึ้นบ้าง
“ไม่ได้พูดให้ขำ ฉันพูดเรื่องจริง คุณพ่อกับอาปัทบังเอิญไปเห็นฉันกับน้องดาเอ่อ...”
ภาพอดีตวันนั้นผุดขึ้นมาในหัวภวัต อีกครั้ง เขาถูกดารกาสารภาพรักและจูบโดยไม่ทันตั้งตัว
“น้องดารักพี่ภวัตค่ะ”
ภวัตหน้าตาเครียดหนัก ธานีได้ฟังถึงกับอ้าปากค้าง”
“แกกับน้องดา” ชี้ภวัต ชี้ลม ชี้ที่ปากตัวเอง
ภวัตพยักหน้าเครียด ๆ
“ถ้าฉันพูดว่าฉันไม่ได้ตั้งใจนายจะต้องโกรธฉัน”
“ไม่โกรธ เพราะมันไม่ใช่นายเลย”
ภวัตยิ้มออก สีหน้าดูมีความหวังขึ้นมา
“และที่สำคัญ นายไม่เคยสนใจน้องดามากไปกว่าน้องสาว ...มันเกิดขึ้นได้ยังไง”
สองหนุ่มต่างมองหน้ากันนิ่ง ธานีเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้น
“...น้องดา”
ภวัตทอดถอนใจ พยักหน้าเครียดๆ
“คุณพ่อไม่เปิดช่องให้ฉันอธิบายอะไรเลย” ภวัตพูดเสียงเครียด
“ลองได้เห็นเข้าขนาดนั้น ใครจะอยากฟังคำอธิบายวะ ...นายต้องรับผิดชอบ”
“นั่นละคือสิ่งที่ฉันกลุ้ม ...ไม่ได้หมายความว่าฉันรังเกียจน้องดา ..แต่ฉัน…”
“น้องดาคือน้องของเรา น้องก็คือน้อง เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้”
ธานีพูดอย่างเข้าอกเข้าใจเพื่อน ภวัตมองธานีอย่างขอบคุณ
“ขอบใจนะ ...ฉันควรจะทำยังไงดีวะธานี”
“ทำให้ทุกฝ่ายสบายใจที่สุด ฝั่งฉันไม่ต้องห่วง ฉันจะค่อยๆ หาทางอธิบายกับคุณแม่ มีอีกคนนะที่นายลืมไม่ได้ ...ยัยแนนนี่” ธานีบอก
“ตั้งแต่มีเรื่องที่โรงพยาบาลก็ไม่ยอมเจอหน้าฉันอีกเลย ไม่รู้โกรธอะไร” ภวัตรู้สึกกังวล
ธานีหัวเราะออกมา
“ต้องสงสัยด้วยเหรอวะ นายน่ะรู้อยู่แก่ใจดีภวัต ไหนจะเรื่องน้องดาที่ทำให้ยัยแนนนี่เสียหน้า แล้วไหนจะคุณบุษบาของนายอีก”
“ไร้สาระ แนนนี่ก็แค่งอแงไปตามประสาเด็ก” ภวัตมั่นใจ
“แน่ใจ?” ธานีถามย้ำ
รัดเกล้าคืบเท้าเข้ามาหลบที่มุมหนึ่ง พยายามส่งสัญญาณมือกับธานีว่าจะให้ตนเข้าไปได้รึยัง
“อะไรของน้องนายวะภวัต” ธานีทำหน้างง
ภวัตหันไปเจอรัดเกล้าเข้าพอดี
“อ้าวยัยเกล้า ไปทำอะไรตรงนั้น”
รัดเกล้าออกจากที่กำบัง ธานีลุกขึ้นขอตัวกลับ ตบไหล่ภวัต
“ค่อยๆ คิดเว้ย”
รัดเกล้างุนงง หันไปพูดเสียงรอดไรฟันกับธานี
“แล้วเรื่องน้องดา”
ธานีทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ เดินออกไปเลย
“พี่ธานี!” รัดเกล้าฉุน
“อะไรกันเหรอยัยเกล้า” ภวัตมองรัดเกล้างง ๆ
“ไม่มีอะไรค่ะ”
รัดเกล้าเม้มปากอย่างฉุนๆ ธานี

แนนนี่เดินวนไปวนมาอยู่ในตะเกียงแก้ว เสียใจมากที่ปัทมนเข้าใจผิด ใบหน้าตะเกียงแก้วกรอกตาวนไปมาตามการเดินของแนนนี่
“ไหนๆ คุณแม่ก็เชื่อแล้วนี่ว่าเธอไม่ได้เป็นคนเอาเงินไป แล้วเธอจะเดินวนทำหน้าเครียดทำไมอี๊ก” ตะเกียงแก้วถาม
“ฉันต้องรู้ให้ได้ว่าใครเป็นคนเอาเงินไป” น้ำเสียงแนนนี่มุ่งมั่นมาก
“แล้วไง ต่อให้เธอรู้ ใครเค้าจะเชื่อ หลักฐานรึก็ไม่มี เออถ้ามีลูกแก้วข้ามเวลาก็ว่าไปอย่าง”
“ลูกแก้วข้ามเวลา?” แนนนี่สนใจขึ้นมาทันควัน
“ลูกแก้วข้ามเวลา อินเทรนด์สุดๆ ที่เมืองเวทมนตร์ ทุกร้านไอทีมีหมด”
“ร้านไอที!” แนนนี่อึ้ง
“หยู้ด! หยุดความคิดเธอไว้เลย ไม่ใช่เมืองมนุษย์ แต่เป็นเมืองเวทมนตร์โอนลี่จ้ะ”
“แล้วจะมาพูดให้ความหวังทำไม”
“ก็รู้ไงว่ายังไงเธอก็ไปเมืองเวทมนตร์ไม่ได้” ตะเกียงแก้วว่า
แนนนี่สีหน้าเจ้าเล่ห์ กรอกตาครุ่นคิด
“แน่ใจเหรอว่าฉันไปไม่ได้”
“ยิ่งกว่าแน่ เพราะถ้าเธอเหยียบไปที่นั่นเมื่อไหร่ เธอจะถูกพ่อมดแม่มดที่นั่นจับตัวในทันที อย่าลืมสิว่ากลิ่นตัวเธอน่ะมันไม่ใช่แม่มดร้อยเปอร์เซ็นต์นะ แต่มันเป็น...” ตะเกียงแก้วเผลอหลุดปาก
“มันเป็นอะไร กลิ่นตัวฉันเป็นอะไร”
“ไม่รู้ ไม่พูด”
“ยิ่งเธอทำอย่างนี้ฉันยิ่งอยากพิสูจน์ ดีเหมือนกัน จะได้รู้กันไปซะทีว่า ฉันเป็นแม่มดหรือว่าอสูรกันแน่ ฉันจะไปเมืองเวทมนตร์!”
แนนนี่ว่าแล้วร่ายมนตร์ เกิดเป็นเกลียวควันล้อมรอบตัวแนนนี่ ตะเกียงแก้วส่งเสียงร้องลั่น
“อย่านะแนนนี่ ฉันล้อเล่น ลูกแก้วข้ามเวลาบ้าบออะไรนั่นไม่มีหรอก แนนนี่”
ไม่ทันเสียแล้ว เพราะเกลียวควันหนาตามากขึ้นล้อมรอบกายแนนนี่ พร้อมกันนั้นแนนนี่หลับตากำหนดจิต ปากสั่งการออกมา

“ไปเมืองเวทมนตร์!





Create Date : 02 กุมภาพันธ์ 2555
Last Update : 2 กุมภาพันธ์ 2555 21:18:43 น.
Counter : 490 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

มิกัง
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]