All Blog
อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว ตอนที่ 9




ภวัตชายหนุ่มผู้ถูกสองยายหลานพูดถึง กำลังลืมตาขึ้น แล้วกวาดสายตามองไปโดยรอบห้อง จังหวะนั้นมีเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ภวัตสะดุ้งเฮือกด้วยกำลังใช้ความคิด

ภวัตปล่อยให้โทรศัพท์ดังอยู่ครู่หนึ่ง จึงเอื้อมมือไปหยิบมา ภวัตถอนหายใจนิดหนึ่งเมื่อเห็นชื่อ แล้วกดรับสาย
“คุณบุษถึงบ้านแล้วหรือครับ”
บุษบาอยู่ที่บ้าน และยังอยู่ในชุดเดิม ขณะคุยมือถือน้ำตาไหลออกมาด้วยความน้อยใจ
“มาถึงตั้งเกือบจะครึ่งชั่วโมงแล้วค่ะ บุษรอว่าเมื่อไหร่ภวัตจะโทร.มาถามด้วยความเป็นห่วงเป็นใย แต่ก็ไม่มีเลย” บุษบาสะอื้นเล็กๆ “บุษเสียใจ เสียใจเหลือเกิน”
ภวัตรับฟังด้วยสีหน้ายุ่งยากลำบากใจ “ผมขอโทษ”
“คุณใจร้าย คนบ้านคุณก็ใจร้าย เอาหนอนมาให้บุษกิน ...อย่าบอกนะคะว่าบุษตาฝาด เพราะบุษยังยืนยันว่าไม่ใช่แน่ อีกทั้งสติสัมปชัญญะก็ครบถ้วนบริบูรณ์ บุษ บุษไม่ไหวแล้ว”
บุษบาร้องไห้ปล่อยโฮออกมาอีกชุด
“คุณบุษ”
“แค่นี้ละค่ะ ถ้าบุษทำให้ภวัตรำคาญละก็ ต้องขอโทษด้วย แต่บุษไม่ไหวแล้ว ไม่ไหวจริงๆ”
บุษสะอึกสะอื้นส่งท้าย แล้วปิดโทรศัพท์ไป
“เดี๋ยวครับ”
ภวัตถอนใจเฮือก แล้ววางโทรศัพท์ในมือลง

ไชยกำลังนั่งดูทีวีอยู่ในห้องนั่งเล่น ครู่ต่อมาบุษบาซึ่งอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนอน สวมทับด้วยเสื้อคลุมเดินเข้ามาแล้วทรุดตัวลงนั่งข้างพี่ชาย ไชยชำเลืองมองแวบหนึ่ง ถามขึ้น
“หายโศกเศร้าโศกาอาดูรแล้วเรอะ
“ค่ะ ทีนี้ก็เหลือแต่ความแค้น” บุษบาบอกพี่ชาย
“ตอนกลับมา เห็นร้องไห้จะเป็นจะตาย”
“พี่ไชยคิดว่า นังแนนนี่มันมีคุณไสยหรือเปล่าคะ” บุษบาถามขึ้น เพราะยังแปลกใจไม่หาย
“ไม่” ไชยตอบพลางหัวเราะร่วน
“แต่บุษเห็นหนอนเต็มชามจริงๆ สาบานได้ว่าตาไม่ได้ฝาดด้วย”
“มันเป็นไปไม่ได้” ไชยไม่เชื่อว่าจะเป็นจริง
บุษบานิ่งคิดครู่หนึ่ง
“บุษรู้แล้วว่าจะทำยังไง”
สีหน้าบุษบาเวลานี้ ฉายแววมั่งมั่นและหมายมาดเอาจริงผ่านดวงตาชัดเจน

บุษบาแอบมานั่งจิบกาแฟหลบมุมอยู่ พร้อมกับเปิดนิตยสารแฟชั่นไฮโซดูฆ่าเวลา สลับกับมองไปที่ประตูร้าน
จังหวะนั้นมีคนที่พักในคอนโดฯ แห่งนั้น 2-3 คน เดินคุยกันเข้ามา แล้วตรงไปสั่งกาแฟและขนมอย่างคุ้นเคย พร้อมกับเดินไปนั่งรอ
บุษบาชำเลืองมองนาฬิกา แล้วถอนใจเบาๆ สีหน้าหงุดหงิดบ่นพึมพำกับตัวเอง
“หวังว่าสายสืบของพี่ไชยคงรายงานไม่ผิดนะ”
ไม่นานหลังจากนั้นประตูร้านเปิดออก ปีเตอร์เดินเข้ามา แล้วตรงไปสั่งกาแฟและขนม โดยไม่ทันได้มองบุษบา ในมือปีเตอร์ถือโน้ตบุ๊คมาด้วย คาดว่าน่าจะทำรายงาน
บุษบาเพ่งมองนัยน์ตาเป็นประกายแวบหนึ่ง แล้วลุกขึ้นเดินกรีดกรายมาหยุดตรงหน้าปีเตอร์ซึ่งกำลังเปิดโน้ตบุ๊ค พลางกระแอมเล็กๆอย่างมีจริต
“อะแฮ้ม”
ปีเตอร์เงยหน้าขึ้นมอง แล้วร้องโวยลั่น “ผีหลอก”
ทุกคนในร้านพากันหันมามองโต๊ะปีเตอร์เป็นตาเดียว บุษบารีบทรุดตัวลงนั่งด้วยความตกใจแกมไม่พอใจ
บุษบารีบกลบเกลื่อนอารมณ์เหล่านั้น “แหม ผีเผอที่ไหนคะ บุษบาต่างหาก”
“เจ๊มาสิงที่นี่ได้ยังไง” ปีเตอร์ถาม
“พูดจาน่าเกลียด สิงเสิงอะไร พอดีเพื่อนฉัน เขาอยู่แถวนี้เลยนัดมาเจอ” บุษบาตอแหล
“แล้วทำไมไม่ไปเจอ”
“เขาเกิดมีธุระด่วนขึ้นมาน่ะซิ ฉันก็เลยนั่งจิบกาแฟ ไม่นึกเลยว่าจะเจอเธอ” บุษบาเว้นวรรคทิ้งช่วงนิดหนึ่งแล้วเอ่ยออกมา “ขอนั่งด้วยคนนะ”
“ผมต้องทำงานส่งอาจารย์ ต้องการความสงบ”
“ฉันจะเงียบให้เหมือนป่าช้าเลย” บุษบาว่า
ปีเตอร์ไม่สนขยับตัวลุกขึ้นจะเดินออกไป
“จะไปไหนล่ะ” บุษบารีบถาม
“ไหนว่าจะเงียบเป็นป่าช้าไง” ปีเตอร์เว้นนิดนึง “ผมลืมของ จะกลับไปเอา”
ปีเตอร์พูดแล้วเดินออกไปทันที บุษบามองตาม ด้วยสีหน้าปลื้มเปรม รู้แล้วว่าจะดำเนินการต่อไป อย่างไร
“สงสัยจะชอบเราเหมือนกัน”

เวลานั้นแนนนี่กำลังมุ่งมั่นอ่านหนังสือเวทมนตร์ โดยชิกเก้นมองอย่างทึ่งๆ
“ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ...อยู่ดีๆ โจรก็กลับใจ”
“เงียบ แนนนี่กำลังใช้สมาธิ แนนนี่เพิ่งค้นพบความจริงว่า ตัวเองมี กิ๊ฟท์ (Gift - พรสวรรค์) ทางนี้มาก”
ชิกเก้นหาวหวอด พร้อมกับเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น แนนถอนใจเฮือกอย่างรำคาญที่ถูกขัดจังหวะการเรียนเวทมนตร์
“ปิดซะก็สิ้นเรื่อง”
แนนเดินมาหยิบโทรศัพท์ขึ้นดูชื่อเห็นเป็นปีเตอร์ก็สงสัยขึ้นมา
“ปีเตอร์โทร. มาทำไม” กดรับสาย “ว่าไง ปีเตอร์”
“ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เจ๊บุษบายาใจถ่อมากินกาแฟร้านประจำของผม” ปีเตอร์รายงานข่าว
“หา” แนนนี่ร้องออกมา
“พูดอย่างไม่เข้าข้างตัวเองนะ มาดักรอผมแน่ๆ ไม่งั้นจะกระเสือกกระสนมาทำไม ว่ามั้ย” ปีเตอร์ออกความเห็น
“แล้วเจ๊พูดอะไรบ้าง”
“ยังไม่ทันได้พูด เพราะผมออกมาโทร.บอกแนนนี่ก่อน”
“งั้นกลับไปฟังเดี๋ยวนี้เลย แล้วโทร.มาบอกแนนนี่”
“โอเค”
ปีเตอร์ปิดโทรศัพท์แล้วเดินย้อนกลับไป
“มีอะไร ฮึ แนนนี่”
“ยัยเจ๊บุษบาน่ะซิ”
แนนนี่เล่าให้ชิกเก้นซึ่งฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ

ผู้คนเดินเข้าออกในร้านกาแฟแห่งนั้นตามปกติ บุษบานั่งชะเง้อมองด้วยความหงุดหงิด
“นี่ถ้าไม่ต้องการล้วงความลับละก็ แม่ไม่นั่งรอให้เสียเกียรติหรอก”
สักพักใหญ่ ปีเตอร์ก็เดินเข้ามาพร้อมถือโทรศัพท์อยู่ในมือ หลังจากที่ก่อนหน้านี้เอาใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกง
บุษบาหันไปเห็นก็ฉีกยิ้มที่ดูออกว่า Fake ทักขึ้นทันที “อ้อ ลืมโทรศัพท์เหรอจ๊ะ”
พอปีเตอร์ลงนั่งถามธุระของบุษบา “ฮะ ว่าแต่เจ๊มีธุระอะไรก็ว่ามาเลย ผมจะได้ทำงานต่อ”
“ก็ไม่มีอะไรมาก นอกจากจะถามเรื่องแนนนี่”
“นึกแล้ว”
“ถามเรื่องดี ไม่ใช่เรื่องร้าย” บุษบารีบพูดออกมา
“เช่น...”
“แนนนี่ไปเรียนมายากลมาจากไหน เมื่อวานถึงได้เสกสปาเก็ตตี้เป็นหนอนได้ พูดแล้วยังขยะแขยงไม่หายเลย! อึ๋ย ....” ว่าพลางทำท่าทางขนลุกขนพองออกมา
“เห็นบอกว่าไปเรียนที่สำนักตักกะศิลา” ปีเตอร์แกล้งบอกมั่ว
“สำนักตักกะศิลา ... ฉันเคยได้ยินแต่ในนิทาน” บุษบางง
“นิทานมันก็มาจากชีวิตจริงนั่นแหละเจ๊” ปีเตอร์แถต่อ
บุษบาเอื้อมมือไปจับมือปีเตอร์แล้วพลิกหงายขึ้น พลางเอานิ้วตัวเองวนไปมาเบาๆ อย่างเป็นนัย
“ถามจริง...”
“จั๊กจี๋” ปีเตอร์รีบชักมือออกทันที
“บอกมาเถอะน่า แล้วฉันจะยอมควงไปดูหนังด้วย” บุษบาไม่ยอมลดละ หันมาทำตาหวานใส่
“ผมไม่ชอบคนแก่” ปีเตอร์โพล่งออกมา
บุษบาชะงักแล้วเบิกตากว้าง นึกฉุนขึ้นมา
“ยิ่งแก่แบบเจ๊ยิ่งไม่ใช่สเป็ค” ปีเตอร์บอกต่อหน้าตาเฉย
บุษบาสุดจะทนไหวผุดลุกขึ้นทันที “ไอ้เด็กบ้า”
ลูกค้าทุกคนต่างสะดุ้ง หันมามองด้วยความแปลกใจ
“ยังกับแกใช่สเป็คฉันนักนี่ ไอ้เด็กผี....เด็กเปรต”
ปีเตอร์โดนด่าก็โมโหลุกขึ้นบ้าง พูดเสียงดังแบบไม่ไว้หน้า
“อ้าว พูดดีๆ ซิ เจ๊ เจ๊เป็นฝ่ายมาหาผมเองนะ ทำเป็นวางแผนเสียดิบดีว่ามาหาเพื่อน เจ๊ไม่มีเพื่อนอยู่แถวนี้หร้อก...แถวนี้มีแต่วัยรุ่นพวกไม้ใกล้ฝั่งแบบเจ๊หาทำยายาก”
“อร๊ายยย” บุษบาร้องกรี๊ด แล้วกระทืบเท้าอย่างโกรธจัด
“เดี๋ยวก็เป็นลมตายหรอก” ปีเตอร์เอามืออุดหู จัดไปอีกดอก
บุษบาชี้หน้าปีเตอร์ด่าอย่างโมโหสุดๆ “ไอ้เด็กบ้า ฉันขอแช่งแกให้มีเมียแก่ แล้วจะคอยสมน้ำหน้า”
จากนั้นก็สะบัดหน้าเดินฉับๆ ออกไป
“แก่แบบเจ๊ไม่เอานะ” ปีเตอร์ตะโกนไล่ตามหลัง
ผู้คนในร้านต่างอมยิ้มขบขัน

ปีเตอร์พุ่งมาหาแนนนี่ที่บ้านปัทมน และเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง โดยเฉพาะเรื่องตัวเองบอกว่าจะไม่ยอมเอาสาวแก่อย่างบุษบามาเป็นแฟน แนนนี่พูดออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง
“เฮ้ย ระวังเป็นจริงนะ”
“บ้า”
“จริง”
“เลิกพูดเรื่องนี้ได้แล้ว” ปีเตอร์รีบตัดบท
“นับว่ายัยเจ๊บุษบายาใจแกช่างกล้า อุตส่าห์พยายามทำดีกับปีเตอร์เพื่อจะล้วงความลับของแนนนี่”
“ตลกอ่ะ แกคิดว่าแนนนี่เสกสปาเกตตี้เป็นหนอนได้จริงๆ” ปีเตอร์ขำกลิ้ง
“ไอ้เรื่องแบบนี้ มนุษย์ทำไม่ได้หรอก .... นังแม่มดหรืออสูรเท่านั้น” แนนนี่ว่าขำๆ
“แล้วแนนนี่เป็นอย่างไหนล่ะ” ปีเตอร์ถามยิ้มๆ
“ไม่รู้เหมือนกัน ใจจริงอยากเป็นแม่มด แต่ดูท่าทางแล้วน่าจะเป็นอสูรมากกว่า” แนนนี่ว่า
คราวนี้ปีเตอร์ขำกลิ้งไปทันที “ขอปีเตอร์เป็นด้วยคนได้มั้ย”
“ของแบบนี้ เราเลือกไม่ได้หรอก แนนนี่อยากเป็นเสียที่ไหน”
ขณะพูดสีหน้าแนนนี่เศร้าลง แต่แล้วครู่เดียวก็หัวเราะออกมาเมื่อเห็นปีเตอร์ชักจะงงๆ ปีเตอร์หัวเราะตาม

เมื่อพึ่งพาปีเตอร์ไม่ได้ บุษบาจึงตรงดื่งมาหาอิงอรถึงที่บ้าน เวลานั้นอิงอรเดินนำบุษบาเข้ามาในห้องรับแขก ...
“เชิญนั่งค่ะ หนูบุษ จะรับน้ำเปล่าหรือน้ำผลไม้ดีคะ”
“บุษไม่ได้กระหายน้ำคะ แค่มีเรื่องจะมาถามคุณอาอิงหน่อย” บุษบาทำหน้าสีซีเรียส
“ว่ามาเลยค่ะ คุณอาอิงรู้จักหมดทุกบ้าน ตั้งแต่หัวซอยยันท้ายซอย...รู้ตื้นลึกหนาบาง...ใครรักกับใครเลิกกับใครรู้ไปหมด ยกเว้นบ้านข้างๆ บ้านคุณอาอิงไงค่ะ พวกนี้เป็นคนประหลาดค่ะ ...จะว่าผีก็ไม่ใช่มนุษย์ก็ไม่เชิง” อิงอรได้ทีระบายชุดใหญ่
“เหรอคะ” บุษบาฟังแล้วตาโต
“ค๊า...” อิงอรบอกเสียงสูง พอประโยคต่อมาจึงลดเสียงตามเดิม “ยัยคุณปัทมนก็ไม่รู้อะไร ดันเก็บเอามาเลี้ยง”
บุษบาตาโตขึ้นไปอีก “เก็บเอามาเลี้ยง”
“ค้า”
“เป็นความรู้ใหม่นะคะเนี่ย”
“ถ้าหนูบุษอยากรู้ คุณอาอิงจะบรรยายให้ฟังตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันเลยค่ะ คืออย่างนี้นะคะ”
จากนั้นอิงอรก็จีบปากจีบคอเล่าอย่างออกรส โดยมีบุษบาฟังด้วยสีหน้าตื่นเต้น

ไม่นานหลังจากนั้นผาดยกข้าวเหนียวมะม่วงมาวางให้ ผาดเหลือบมองท่าทีของทั้ง แนนนี่ กับปีเตอร์แว่บหนึ่งอย่างสังเกต
“น่ากินจัง ขอบคุณฮะ ป้าผาด”
“มะม่วงหวานเจี๊ยบเชียวค่ะ ข้าวเหนียวก็หอมนุ่ม คุณปีเตอร์จะอยู่ทั้งวันหรือเปล่าคะ ป้ามีข้าวอบกุนเชียง”
ปีเตอร์พยักหน้า อ้าปากจะตอบรับ แต่แนนนี่รีบตอบปฏิเสธแทนก่อน
“เดี๋ยวเขาก็จะกลับแล้วค่ะ”
ปีเตอร์มองแนนเหมือนจะน้อยใจ ขณะแนนหันมาพยักเพยิด
“ใช่มั้ย ...ปีเตอร์”
ปีเตอร์พูดทีเล่นทีจริงประชดอยู่ในทีเพราะน้อยใจ “ถ้าแนนนี่อยากให้กลับ ผมก็จะกลับ”
“ทำไมคุณหนูไม่ให้คุณปีเตอร์มาช่วยติวให้ละค่ะ จะได้ได้คะแนนดีๆ กับเขาบ้าง”
แนนนี่ฟังผาดแนะนำก็หน้างอทันที
“ทำไม! ป้าผาดหาว่าแนนนี่โง่เหรอ”
“อุ้ย! เปล่านะคะ ป้าแค่หวังดีกับคุณหนู”
“แนนนี่ดูเองได้ค่ะ ปีเตอร์เขาก็มีงานของเขาเหมือนกัน”
“งั้นป้าก็ต้อง ขอโทษด้วยค่ะ”
ผาดค้อมตัวเดินออกไป สีหน้าน้อยใจเล็กๆ ปีเตอร์มองตามแว่บหนึ่ง
“ท่าทางป้าผาดจะเสียใจนะ”
“ไม่หรอก ป้าผาดแกรักพี่ดา ไม่ได้รักแนนนี่สักหน่อย แนนนี่จะพูดอะไรก็ไม่มีผลกับแกหรอก”
“งั้นผมกลับละ” ปีเตอร์ขยับตัวทำท่าจะกลับ
“อ้าว! แล้วไม่กินข้าวเหนียวมะม่วงเหรอ”
“ผมยังไม่หิว”
“งั้นแนนนี่จะเก็บไว้ให้พี่ภวัต...พี่ภวัตชอบข้าวเหนียวมะม่วง...ไป..แนนนี่จะไปส่ง”
ปีเตอร์ฟังที่แนนนี่พูดถึงภวัตแล้วน้อยใจสุดๆ “ไม่เป็นไร ผมออกไปเองได้”
ปีเตอร์เดินออกไปทันที แนนนี่รีบลุกตามมา
“เฮ้! โกรธแนนนี่หรือเปล่า”
ปีเตอร์หันมาปั้นหน้าฝืนยิ้มอย่างสดใส “ปีเตอร์เคยโกรธแนนนี่ที่ไหน” ปีเตอร์โบกมือให้แล้วหันหลังกลับเดินออกไป
แนนนี่มองตามด้วยสีหน้าครุ่นคิด “วันนี้ปีเตอร์ท่าทางแปลกๆ”

ปีเตอร์ขับรถออกมา พอดีกับที่บุษบาขับออกมาจากบ้านอิงอรเช่นกัน ปีเตอร์กับบุษบาต่างก็ชะงัก
“นั่นรถยัยเจ๊บุษนี่”
“หน็อยแน่ะ! แจ้นมาฟ้องนังแนนนี่ทันทีทันใดเชียว”
ทั้งสองคน ต่างเปิดประตูรถออกมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ทั้งคู่เปิดฉากปะทะคารมกันอีกรอบ
“เจ๊”
“ว่าไงตี๋ .... มาหาแนนนี่เรอะ”
“เจ๊คงมาหาหมอภวัตละซี”
“ฉันมาเยี่ยมคุณอาอิงย่ะ คุณอาอิงเล่าเรื่องแนนนี่กับคุณยายตัวประหลาดให้ฟังเยอะแยะ ฉันไม่ต้องง้อแกแล้วนะ”
“เช่น....”
“เช่น...แนนนี่เป็นเด็กขอมาเลี้ยง” บุษบาพูดอย่างเป็นต่อ
ปีเตอร์ฟังแล้วนิ่วหน้า บุษบายิ้มเยาะ
“นั่นไง ยังไม่รู้ใช่มั้ยล่ะ ถ้าฉันเป็นเธอ ฉันจะไม่คบคนไม่มีหัวนอนปลายตีน เอ๊ย ปลายเท้า”
“แต่เจ๊ไม่ใช่ผม ผมคบคนไม่เคยดูที่ฐานะความเป็นอยู่ แต่คบที่น้ำใจ คบด้วยความจริงใจ แนนนี่เป็นคนดี”
“เล่นคุณไสยน่ะหรือยะเป็นคนดี”

ปีเตอร์ส่ายหน้าอย่างระอา
“เจ๊นี่เป็นคนแย่มากๆ ใจคอคับแคบ ดูถูกคน ขี้อิจฉา ต่อให้เหลือเจ๊คนเดียวในโลก ผมก็ไม่เอาหรอก ยอมเหี่ยวแห้งตายดีกว่า”
พูดจบปีเตอร์ก้าวขึ้นรถ แล้วขับออกไปทันที ส่วนบุษบาโกรธจนปากคอสั่น พูดไม่ออกไปพักหนึ่ง
“อ๊าย แล้วคิดเรอะว่าฉันจะเอาแก ไอ้ปีเตอร์ ไอ้เด็กปากมอม”

การจราจร
ปีเตอร์ขับรถมาติดไฟแดงอยู่บนถนนเส้นหนึ่ง จังหวะนั้นปีเตอร์เอนตัวพิงพนักเบาะ นึกถึงคำพูดแนนนี่ขึ้นมา
“งั้นแนนนี่จะเก็บไว้ให้พี่ภวัต พี่ภวัตชอบข้าวเหนียวมะม่วง”
ไฟแดงเปลี่ยนเป็นเขียว สีหน้าปียังคงเศร้า จนมีเสียงบีบแตรไล่ ปีเตอร์สะดุ้งรีบขับออกไป

ทางด้านแนนนี่นอนหลับตาบนเตียง มีหนังสือเรียนวางกางปิดหน้าอยู่ ส่วนชิกเก้นนอนขดตัวหลับอยู่ที่พื้น
ไม่นานนักแนนนี่ก็ผุดลุกขึ้น ดึงหนังสือออกจากหน้า เหมือนเพิ่งนึกอะไรออก
“ตายแล้ว”
ชิกเก้นปรือตาขึ้นมองแว่บหนึ่ง แล้วหลับต่อ
“ลืมไปเลยว่า จะเอาข้าวเหนียวมะม่วงไปให้พี่ภวัต”
ชิกเก้นลืมตาขึ้นทันทีด้วยความตกใจ “อย่านะ แนน...”
ชิกเก้นพูดยังไม่จบชื่อ แนนนี่ก็กลายเป็นควันสีชมพูหายแว้บไป
“นี่ ......” ชิกเก้นอาปากหวอ “เวรก๊ำ .....เวรกรรม”

อิงอรค่อยๆ ย่องเข้ามาภายในห้องรับแขกบ้านปัทมน เหลียวซ้ายแลขวา แล้วมาหยุดที่จานข้าวเหนียวมะม่วง
“คนหายไปไหนหมด เหลือแต่ข้าวเหนียวมะม่วง”
อิงอรเห็นข้าวเหนียวมะม่วงหายวับไปต่อหน้าต่อตา อิงอรร้องกรี๊ดลั่นบ้าน
“ข้าวเหนียวมะม่วงก็ไม่เหลือ”

เวลานั้นภวัตกำลังฟังหัวใจคนไข้ อยู่ในห้องที่โรงพยาบาล แนนนี่ปรากฏตัวขึ้นพร้อมจานข้าวเหนียวมะม่วง
“ข้าวเหนียวมะม่วงค่ะ” แนนนี่ยิ้มแป้นพูดด้วยน้ำเสียงง้องอน
คนไข้อ้าปากค้าง ตกใจจนเป็นลมหมดสติไป ต่อหน้าภวัต
“แนนนี่ ทำไมทำอย่างนี้”
“แนนนี่เห็นพี่ภวัตชอบข้าวเหนียวมะม่วง ก็เลยเอามาให้”
“แล้วเห็นมั้ยว่า คนไข้พี่เขาเป็นลม”
แนนนี่หันไปมองแล้วเริ่มว่าคาถา ขณะยื่นมือออกมาจะวน “.... แฮ” ทำเสียงในลำคอ “อาฮา...”
ภวัตรีบจับมือแนนนี่ไว้ “จะทำอะไรน่ะ”
“ก็ทำให้เขาฟื้นไง”
“หยุดเลย ห้ามยุ่งกับคนไข้ของพี่”
แนนนี่วางจานข้าวเหนียวมะม่วงลงบนโต๊ะ “แสดงว่าพี่ภวัตเชื่อแล้วว่า แนนนี่เป็นแม่มด”
“กลับไปก่อน เดี๋ยวเย็นนี้ค่อยคุยกัน”
“งั้นแนนนี่ไปก่อนนะคะ”
ร่างแนนนี่หายวับไปทันที ในขณะที่คนไข้ฟื้นพอดี แล้วคนไข้ก็สลบไปอีกด้วยความตกใจ
ภวัตถอนหายใจเฮือกใหญ่

ปัทมนกำลังเดินมาส่งอิงอรซึ่งถือยาดมเดินระโหยโรยแรงที่บ้าน
“คุณอิงเห็นกับตาว่า ข้าวเหนียวมะม่วงหายวับไปจริงๆนะคะ ... คุณอิงไม่ได้โกหก”
“ค่ะ” ปัทมนอ้อมแอ้มตอบแบบไม่เต็มปากเต็มคำ
“แล้วคุณปัทเชื่อคุณอิงหรือเปล่าคะ”
“เอ้อ...ปัทเชื่อว่าสุสานย่อมไม่หายไปจากโลกน่ะค่ะ”
“แปลว่าเชื่อหรือไม่เชื่อคะ” อิงอรซัก
“ถึงแล้วค่ะ”
ปัทมนไม่ยอมตอบ เปิดประตูเล็กบ้านอิงอร แล้วพาเดินเข้าไป

ปัทมนประคองอิงอรเข้ามานั่งบนโซฟาในบ้าน
“ปัทไปก่อนนะคะ”
“เดี๋ยวค่ะ” อิงอรเรียกไว้
“พอดีปัทมีธุระด่วนค่ะ คุณอิงพักผ่อนก่อนดีกว่า”
ปัทรีบเดินออกไป อิงอรตะโกนบอกไล่ตามหลังมา
“แนนนี่ลูกสาวคุณปัทไม่ใช่มนุษย์ธรรมดานะคะ” คราวนี้หันมาบ่นกับตัวเอง “ไม่เชื่อก็ตามใจ ระวังตัวให้ดีเถอะ”

ปัทมนรีบเดินเข้ามาในบ้าน เห็นดารกานั่งรออยู่ในห้องรับแขก
“คุณอาอิงไม่เป็นอะไรแล้วนะคะ”
“จ้ะ”
ดารกาลุกขึ้น “โล่งใจไปที”
ปัทมนขอตัวเดินเลยจะขึ้นบันได
“คุณแม่ขา”
ปัทมนหยุดแล้วหันมามอง
“เรื่องที่คุณอาอิงพูดน่ะค่ะ”
“คุณอาอิงคงตาฝาดน่ะจ้ะ....แม่จะไปสวดมนต์ต่อ”
ปัทมนเดินขึ้นบันไดไป ดารกามองตามด้วยสีหน้าครุ่นคิด
ปัทมนเดินจะไปห้องพระ แต่พอผ่านหน้าห้องแนนนี่ก็หยุดชะงัก เอื้อมมือจะเคาะประตู แต่แล้วก็เปลี่ยนใจเดินเลยไป

ส่วนภายในครัวผาดกำลังล้างผักจะทำสลัดขณะที่ดารกาเดินเข้ามา
“ป้าผาด”
ผาดหันกลับมาตามเสียงเรียก
“คุณหนูดา หิวหรือคะ ป้าจะทำสลัด”
“น้องดาไม่ได้หิวค่ะ แค่อยากจะถามอะไรหน่อย” ดารกาเว้นนิดนึงจึงพูดต่อ “คุณอาอิงเป็นอะไรหรือคะ น้องดามัวแต่ท่องหนังสือ”
“อ๋อ! คุณอิงแกบอกว่าเห็นข้าวเหนียวมะม่วงหายไปต่อหน้าต่อตาน่ะค่ะ”
ดารกาพยักหน้ารับรู้ “คุณอาอิงชอบเห็นอะไรแปลกๆอยู่แล้ว”
“แต่จะว่าไปมันก็แปลกนะคะ เพราะป้าเป็นคนยกไปให้คุณแนนนี่กับคุณปีเตอร์รับประทานเอง พอได้ยินคุณอิงร้อง ป้าออกไปดู ข้าวเหนียวมะม่วงหายไปจริงๆ ค่ะ”
“แนนนี่อาจจะให้ปีเตอร์เอาไปทานที่บ้านก็ได้” ดารกาว่า
ผาดฟังแล้วยิ้มออกมาได้
“จริงซีคะ ป้าก็ลืมคิดไป คุณหนูดาจะทานบ้างไหมคะ”
“น้องดายังไม่หิวค่ะ”
ดารกาเดินกลับออกไป ผาดหันกลับไปทำงานต่อ

“ชิกเก้นคิดว่า แนนนี่ควรจะเรียกข้าวเหนียวมะม่วงกลับมาเหรอ” แนนนี่ถูกชิกเก้นต่อว่าเรื่องที่ผลีผลามเอาข้าวเหนียวมะม่วงไปให้ภวัตที่โรงพยาบาล
ชิกเก้นพยักหน้า แล้วทำเสียงฮึมฮัมในลำคอ จนแนนนี่เริ่มลังเล
“เผื่อพี่ภวัตยังไม่ได้ทาน”
จังหวะนั้นมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“สงสัยจะเป็นคุณแม่”
แนนนี่ลุกเดินไปเปิดประตู รู้สึกแปลกใจที่เห็นว่าเป็นใคร
“พี่ดา”
“พี่เข้าไปได้มั้ย” ดารกาถาม
“ได้ซิคะ”
แนนเบี่ยงตัว ให้ดารกาเดินเข้ามา

รถยนต์กลางเก่ากลางใหม่คันหนึ่ง แล่นเข้ามาในซอยได้เพียงเล็กน้อย แล้วก็จอด ประตูรถคันดังกล่าวเปิดออก มีขาข้างหนึ่งก้าวลงมา และอีกข้างก้าวตาม
จากกระโปรงไปจนถึงเสื้อผ้า ชุดของบาบาร่าที่ไทเกอร์มองอยู่เวลานี้ เป็นการแต่งตัวเมื่อหลายปีมาแล้ว ราวกับหลงเข้าไปในพ.ศ. เดียวกับฮันนี่ หลานสาวทาฮิร่า
ไทเกอร์นั่งที่เบาะด้านหน้าข้างคนขับ กระโดดไปที่เบาะคนขับเพื่อจะได้พูดคุยกันได้อย่างสะดวก
บาบาร่ามองไปโดยรอบ ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“กลิ่นอสูรอบอวลชวนคลื่นเศียรอยู่แถวนี้”
“ไทเกอร์ยังคิดไม่ออกเลยว่า”
ระหว่างทั้งสองพูดกันอยู่นั้น ก็มีหญิงสาว 2-3 คน นุ่งกางเกงขาสั้น แต่งตัวทันสมัย เดินคุยกันมา
ไทเกอร์คอยืดคอยาวมองตาม
“เมี้ยว”
บาบาร่าก็มองตามไปเช่นกัน
“เขาแต่งกันแบบนี้แล้วเรอะ”
“มิน่า ! ไทเกอร์ถึงได้ดูคุณยายบาเชยๆ ยังไงก็ไม่รู้” ไทเกอร์กัด
“ฉันก็แต่งได้”
เมื่อเห็นว่าไม่มีคนผ่านมา บาบาร่าจึงท่องคาถาเสกมนตร์ ชุดเดิมหายไป กลายเป็นชุดขาสั้นทันสมัยเหมือนสองสาวที่เดินผ่านไปเมื่อครู่นี้
“เป็นไง”
“ชุดสวยดี แต่ไม่เข้ากับใบหน้า”
บาบาร่าชะงัก แล้วก้มลงมองดุๆ ไทเกอร์กระโจนไปนั่งข้างหลัง

แนนนี่กอดอก เชิดหน้าอยู่ในห้อง กำลังถูกดารดาจี้ถามเรื่องอิงอร
“แนนนี่จะไปรู้ได้ยังไงล่ะคะ ไม่ได้นั่งเฝ้าไว้นี่
“แต่คุณอาอิงตกใจมากนะ ขนาดพี่ลงไปทีหลังยังเห็นแกหน้าซีดตัวสั่นอยู่เลย” ดารกาว่า
“เหรอ ...”แนนนี่ทำหน้าตาย
ชิกเก้นร้องเมี้ยว ออกมา
“แนนนี่”
“พี่ดาก็รู้นี่คะว่า ยัยคุณอิงแกชอบคิดว่า แนนนี่เป็นผีสางนางไม้ หรือไม่ก็พวกเล่นคุณไสย!”
แนนนี่พูดด้วยสีหน้าจริงจังขึ้นมา “จะเป็นอะไรก็ไม่สำคัญ ถ้าหากเป็นคนดี... อย่างที่คุณแม่สอนเราอยู่เสมอไงคะ”
ดารกาฟังแล้วนิ่งไป ในขณะที่แนนนี่หันไปยักคิ้วกับชิกเก้น

บาบาร่าขับรถมาเรื่อยๆ ช้าๆ พลางสอดส่ายสายตาไป 2 ข้างทาง จังหวะหนึ่งบาบาร่าทำจมูกฟุดฟิดเหมือนได้กลิ่นบางอย่าง ไทเกอร์ซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ กำลังยืดคอขึ้น พลางทำจมูกฟุดฟิดเช่นกัน
“ต้องเป็นแถวนี้แน่ กลิ่นงี้หึ่งเลย” บาบาร่าพูดอย่างตื่นเต้น
“คุณยายก็พูดเกินไป๊ กลิ่นหึ่งน่ะมันอีกอย่างนึง”

เป็นเวลาเดียวกับที่อิงอรเปิดหน้าต่างออกมารับลม สีหน้าหวาดระแวง ท่าทีลับๆ ล่อๆ มองไปที่บ้านปัทมนตรงห้องแนนนี่
ไทเกอร์เงยหน้าขึ้นมองพอดี ร้องขึ้นด้วยความตื่นเต้น
“เจอแล้ว”
“ไหน” บาบาร่าเบรครถทันทีจนแทบหน้าหงายทั้งคู่
“โน่น” ไทเกอร์พยักหน้าโบ้ยให้หันไปดูทางหน้าต่าง โน่น
อิงอรทำท่าทางลึกลับ ขณะหยิบกล้องส่องทางไกลมาส่ายดูทางโน้นทีทางนี้ที
“ยายแก่นั่นน่ะเรอะ”
ไทเกอร์รีบค่อนขวดทันควัน
“แหม พูดยังกับตัวเองสาวเสียเต็มประดา ปีนี้กี่พันเข้าไปแล้วล่ะ”
บาบาร่าฟาดหัวไทเกอร์โป๊ก ไทเกอร์ร้องเมี้ยวลั่น
“เมี้ยว ! เบาหน่อยคุณยาย...คนแก่นั่นแหละน่าสงสัย เพราะพวกอสูรมันต้องรู้ตัวว่ากำลังถูกแม่มดตามล่า... มันจึงพยายามซ่อนสังขารที่แท้จริง” ไทเกอร์ออกความเห็น
“แกพูดก็มีเหตุผล” บาบาร่าเห็นด้วย
บาบาร่าตัดสินใจถอยรถกลับไปจอดบริเวณหน้าบ้านอิงอร แล้วเปิดประตูรถลงมา
ทาฮิร่าซึ่งเปิดหน้าต่างออกมาเห็นพอดี ชะงักทันทีเมื่อเห็นภาพนั้นเข้า
“บาบาร่า ไทเกอร์ ตายแล้ว มาได้ยังไง”

ทาฮิร่าวิตกกังวลอย่างหนัก รีบผลุบเข้าไป

ขณะที่อิงอรเดินมาทรุดตัวลงนั่ง ทวนคำพูดปัทมนเยาะๆ ปนเจ็บใจ
“สุสานย่อมหายไปจากโลก แล้วไอ้ข้าวเหนียวมะม่วงจานนั้นมันอยู่ที่ไหน... เฮอะ มันอยู่ที่ไหน”
อิงอรลุกขึ้นแล้วออกท่าออกทาง “Why you do this to me.”
เสียงกริ่งที่ประตูหน้าบ้านดังขึ้น อิงอรชะงัก
“ใครมา”
อิงอรค่อยๆ ย่องไปโผล่ที่หน้าต่าง เห็นบาบาร่าซึ่งตัวเองไม่รู้จักกำลังกดกริ่ง อิงอรทำสีหน้างงๆ

กดออดไปนานสองนาน แต่ไม่มีใครออกมาสักที จนไทเกอร์ทนรอไม่ไหว
“ชักช้าเสียเวลา เข้าไปเองดีกว่า” ไทเกอร์ชะโงกหน้าพูดออกมาจากหน้าต่างรถ
อิงรีบเดินออกจากตัวบ้าน บาบาร่ามองเห็นรีบบอกให้ไทเกอร์สงบปาก
“ไม่ต้อง มาโน่นแล้ว แกเงียบได้”
พอดีกับที่อิงอรเดินมาถึงประตูบ้าน แล้วมองบาบาร่าอย่างแปลกใจ “มีธุระอะไรหรือคะ”
บาบาร่าไม่ตอบมองอิงอรอย่างสำรวจตรวจตรา
จังหวะนั้นเองทาฮิร่าก็ค่อยๆ ย่องมาแอบดูเหตุการณ์
ดารกาเดินมาพร้อมกระเช้าขนาดกระทัดรัด พร้อมกรรไกรตัดดอกไม้ เวลานั้นเหมือนกับว่ากลิ่นอสูรจากร่างดารกาลอยออกมาคละคลุ้งครอบคลุมบริเวณนั้นจนทั่ว ขณะที่ดารกากำลังตัดดอกไม้

อิงอรเดินนำบาบาร่าเข้ามาในบ้าน กลิ่นอสูรจากดารกาลอยเข้ามาอบอวล
“ต้องใช่แน่” บาบาร่าทำจมูกฟุดฟิด
“ว่าอะไรนะคะ” อิงอรหันหันกลับมา
บาบาร่าซึ่งยื่นจมูกมาจะดม รีบทำท่าปกติ
“จะทำอะไรน่ะ” อิงอรมองบาบาร่าอย่างไม่ไว้ใจ
“ฉันได้กลิ่น...” บาบาร่าบอก
“กลิ่นอะไร...” อิงอรนิ่วหน้า
“กลิ่น....” บาบาร่านึกขึ้นได้รีบเปลี่ยนเรื่อง “น้ำหอม ใช่! กลิ่นน้ำหอมไทยหอมเย็นชื่นใจ...เอ๊ะ คุณก็น่าจะรู้จักนะ”

ทาฮิร่าแอบดูอยู่ด้วยความสงสัย
“บาบาร่าจะทำอะไรคุณอิง” ทาฮิร่านิ่งคิดครู่หนึ่ง แล้วว่าคาถาขึ้นมา “อลา...ควา...ปารูจา...เอล...ฮิเด...เด”
นัยน์ตาของทาฮิร่าเปลี่ยนเป็นแสงแวบวาบ ทาฮิร่าชะงักก้มมองตัวเองด้วยความประหลาดใจ

“เชิญนั่งก่อนนะคะ”
อิงอรพูดไม่ทันจบ ร่างก็กลับกลายเป็นตะขาบตัวเขื่อง อิงอรไม่ทันตั้งตัวจึงตกใจร้องลั่น
“ว้าย”
ตะขาบอิงอรส่ายหัวไปมาเหมือนอยู่ในอาการมึนงง ในขณะที่บาบาร่าไม่รู้ว่าเป็นฝีมือและผลงานของแม่มดเพื่อเลิฟ กลับคิดไปอีกอย่าง
“หน็อยแน่! เจ้าอสูรร้าย แปลงเป็นตะขาบเรอะ...ข้าจะจับไปต้มทำยาให้เข็ด!”

ว่าพลางบาบาร่าย่างสามขุมเข้าไปหา ตะขาบอิงอรรีบวิ่งหนีไปซ่อนตัวในมุมหนึ่งอย่างรวดเร็ว






Create Date : 02 กุมภาพันธ์ 2555
Last Update : 2 กุมภาพันธ์ 2555 21:31:34 น.
Counter : 498 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

มิกัง
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]