All Blog
อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว ตอนที่ 2





ครั้นพอแนนนี่เห็นยายทำท่าตกอกตกใจกับคำพูดของตัวเอง ก็เอียงคอมองทาฮิร่าตาแป๋ว และยังแกล้งอำต่อ

“ทำไมยายต้องทำท่าตกใจขนาดนั้นล่ะคะ” คลำหัวตัวเอง “หรือแนนนี่มีเขางอก! ว้าย! มีจริงด้วย”
“ฮ๊า!” ทาฮิร่าหลงกลรีบจับแนนนี่มาดูหัวอย่างเป็นห่วง
แนนนี่หัวเราะร่วน ทาฮิร่าละมือจากแนนนี่ จ้องเป๋งดุ ๆ
“ล้อยายเล่นใช่มั้ย หืมมันน่าหยิกนักนะเรา มานี่”
ทาฮิร่าจะหยิกแขนแนนนี่ แต่แนนนี่เอี้ยวตัวหนี ปัดป้องพัลวัน
“เล่นเอาซะยายตกใจ ทีหลังอย่าล้อเล่นอย่างนี้อีกนะ โดยเฉพาะคำนั้นน่ะ อย่าพูดให้ยายได้ยินอีก”
“คำว่าอสูรน่ะเหรอคะ”
“..ใช่ เย้ย! พูดทำไมอี๊ก…”
“ก็...แนนนี่เป็นอสูร”
แนนนี่ย้ำหน้าซื่อ สีหน้าทาฮิร่าเจื่อนสนิท
“ตกลง..เมื่อกี้..ไม่ได้ล้อเล่น” แม่มดแห่งเมืองเวทมนตร์หน้าเสียใจเสีย
แนนนี่พยักหน้าซื่อๆ “ยายจ๋า นี่ยายแก่ลงมากเลยนะคะเนี่ย แนนนี่เป็นอสูร ยายก็รู้ดีอยู่ อย่าบอกนะว่ายายจำไม่ได้”
“แนนนี่ โอ...หลานยาย...”
ทาฮิร่าครางพลางปัดป่ายมือสะเปะสะปะไปทางชิกเก้น ชิกเก้นวางมือใส่ฝ่ามือทาฮิร่า ทาฮิร่าคว้ามาดมฟี้ดๆ ทีละรูจมูก พอรู้ว่าเป็นมือชิกเก้นก็รีบสะบัดทิ้ง
“จะบ้าเหรอเจ้าชิกเก้น เอามือมาให้ข้าดมทำไม! ยาดม ข้าจะเป็นลม เอายาดมมา”
“อ้าวเห็นยื่นมือมา จะรู้มั้ยล่ะ”
ชิกเก้นเสกยาดมใส่มือทาฮิร่า ทาฮิร่าคว้ามาดมหมับ
“เป็นไรมากเปล่าคะยาย” แนนนี่ถาม
ทาฮิร่าสูดยาดมยาวพรืดก่อนจะตอนหลานจอมแก่น “ทำไมจู่ ๆเจ้าถึงนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ยายเคยบอกเจ้าแล้วไม่ใช่ เหรอว่าเจ้าแค่ถูกสงสัยว่า...”
“เป็นอสูร” แนนนี่ชิงตอบหน้าตาเฉย
“โฮ้ยแนนนี่ ยายบอกแล้วไงว่าอย่าพูด ยังไม่มีอะไรพิสูจน์ได้ว่าเจ้าเป็นอสูร แต่ที่แน่ๆ เจ้าคือแม่มดนะแนนนี่ ...แม่มดที่พิเศษ” ทาฮิร่าว่า
“แล้วถ้าวันนึง แนนนี่เกิดมีเขางอก มีหางแหลมเป็นหัวลูกธนู ตัวโตเท่าตึก” แนนนี่ยังเจื้อยแจ้วต่อ
“ให้มันถึงวันนั้นก่อนเหอะ เอ้ยไม่ใช่! มันจะไม่มีวันนั้น เพราะยายจะเลี้ยงเจ้าให้เป็นแม่มดที่ดี เจ้าจะต้องเป็นแม่มดที่ดีเท่านั้น ไม่มีทางเป็นอย่างอื่น จำไว้นะแนนนี่
แนนนี่จะอ้าปากเถียงแต่ทาฮิร่ายกนิ้วชี้ขึ้นปิดปาก ชิงพูดก่อน
“อยากได้ของขวัญใช่ไหม?”
แนนนี่ตาลุกวาว ยิ้มแย้มอย่างดีใจ พยักหน้าหงึกหงัก ลืมสิ่งที่คุยค้างเมื่อครู่เป็นปลิดทิ้ง
“เจ้าอยากได้อะไรล่ะ”
แนนนี่ยิ้มกว้าง ดึงมือทาฮิร่าออกจากปาก
“ยายจะให้แนนนี่จริงๆ นะ ถ้าแนนนี่ขอ...ไม่ว่าจะเป็นอะไรยายก็จะให้ใช่ไหมจ๊ะ?”
“ถ้าให้ได้ ยายก็จะให้”
“แนนนี่อยากได้ตะเกียงแก้ว! ที่แนนนี่เคยเข้าไปตอนเล็กๆ มันสบาย แนนนี่รู้สึกว่ามันเป็นบ้านของแนนนี่
ทาฮิร่ากับชิกเก้นมองหน้ากันเศร้าๆ แนนนี่มองสองคนอย่างสงสัย
“เกิดอะไรขึ้นกับตะเกียงแก้วเหรอคะ”
“ตะเกียงแก้วมันแตกแล้ว” ชิกเก้นตอบแทน
“หา?”
ทาฮิร่าพยักหน้ารับในสิ่งที่ชิกเก้นพูด ทอดถอนหายใจพลางย้อนนึกถึงเหตุการณ์ในอดีตในค่ำคืนนั้น

เหตุเกิดภายในบ้านของทาฮิร่าในเมืองเวทมนตร์
คืนนั้นทาฮิร่าอยู่ในชุดนอน กำลังลุกจากเตียงท่ามกลางความมืด แล้วควานหาแว่นตา
“ทำไมคอแห้งอย่างนี้นะ อ้าว แว่นหายไปไหนอีก ...เจ้าชิกเก้น เห็นแว่นตาฉันรึเปล่า เจ้าชิกเก้น”
ทาฮิร่าหันหาชิกเก้นที่ข้างๆ พลางคลำไปเจอชิกเก้นหลับกรนไม่รู้เรื่องอยู่ ทาฮิร่าส่ายหัวแล้วคลำมือไปยกกาน้ำบนถาดที่โต๊ะหัวเตียง ปรากฏว่าน้ำชาในนั้นหมดเกลี้ยง
“อ้าว ชาหมดตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย”
ทาฮิร่าลุกขึ้นนั่งหย่อนขา แล้วคว้าเอาตะเกียงแก้วไปแทนที่จะเป็นกาน้ำชา เหตุที่มีรูปร่างใกล้เคียงกัน ในมือทาฮิร่าเวลานี้ถือตะเกียงแก้ว ขณะลุกจากเตียงไป

เสียงทาฮิร่าเล่าเรื่องให้แนนนี่ฟังอย่างเศร้าสร้อย
“ยายหยิบตะเกียงแก้วไปโดยไม่รู้ว่านั่นคือตะเกียงแก้ว ไม่ใช่กาน้ำชา”
แนนนี่ตาลุก ตกใจ
“ห๊า อย่า..อย่าบอกนะคะว่า”
ทาฮิร่าพยักหน้า รู้สึกผิด
“ยายเอามันไปตั้งเตาไฟ เพราะไม่ได้ใส่แว่นตาจ้ะ”
“โธ่...น่าสงสารจังเลย เจ้าตะเกียงแก้ว”

ทาฮิร่าเล่าต่อ...เวลานั้นเตาหุงต้มในครัวมีตะเกียงแก้วตั้งอยู่ ควันน้ำเดือดฉุย ทาฮิร่าเดินเข้ามา สีหน้ายิ้มกริ่ม หลังจากสวมแว่นสายตาแล้ว
“ค่อยมองเห็นชัดหน่อย”
ทาฮิร่าตรงไปที่เตา มองตะเกียงแก้วอย่างพอใจ
“เดือดแล้วสินะ” จนเมื่อสังเกตว่าเป็นตะเกียงแก้วไม่ใช่กาน้ำชาก็ตกใจ “เฮ้ย! ใครเอาตะเกียงแก้วมาต้มน้ำ แย่แล้ว ทำไงดี! ทำไงดี!” ทาฮิร่าหมุนซ้ายหมุนขวา
ทาฮิร่าคว้าตะเกียงแก้ว แล้วร้อนมาก จึงปล่อยมือตะเกียงแก้วตกลงพื้น
“อ๊าย”
จังหวะนั้นชิกเก้นก็ตะกุยตะกายเข้ามา
“เกิดอะไรขึ้นเจ้านาย ห๊า นั่นมัน...”
ทาฮิร่าทรุดตัวฮวบลงบนพื้น มองดูตะเกียงแก้วที่แตกเป็นเสี่ยง น้ำเสียงละห้อย
“ตะเกียงแก้ว”

ทาฮิร่าเล่าเรื่องในอดีตสีหน้าเศร้า
“ยายพยายามจะต่อตะเกียงแก้วให้กลับมาดังเดิม ร่องรอยการแตกหายไปก็จริง...”
“แต่ตะเกียงแก้วเปลี่ยนไป” ชิกเก้นต่อให้
“กลายเป็นตะเกียงขี้โมโห หงุดหงิดง่าย พูดมาก อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน” ทาฮิร่าว่า
แนนนี่เป่าปากโล่งอก
“แต่สรุปว่าตะเกียงแก้วก็ยังอยู่ใช่มั้ยคะ”
“แบบพิการ” ทาฮิร่าบอก
“งั้นยิ่งต้องส่งมาให้แนนนี่เลยค่ะ แนนนี่จะดูแลตะเกียงแก้วเอง รับรองว่าตะเกียงแก้วต้องกลับไปเป็นตะเกียงแก้วที่แสนดีพูดน้อย เรียบร้อยน่ารักเหมือนเดิม
ชิกเก้นมองหน้าทาฮิร่า ส่ายหน้าห้าม
แนนนี่มองหน้าทาฮิร่าตาปริบๆ อ้อนสุดชีวิต ทาฮิร่าทอดถอนหายใจอีก

โป่งหัดเล่นมายากล เสกของหาย โดยมีถาดใส่จานชาม แก้วน้ำ เป็นอุปกรณ์ ใช้กับผ้าดำผืนใหญ่คลุมลงไปบนถาดนั้น แล้วทำมือร่ายมนตร์เลียนแบบแนนนี่ที่เคยหลอกโป่งไว้
“จงหาย...จงหาย วึ๊บ!” โป่งกระตุกผ้าออกเร็ว ๆ
ทว่าจานชาม แก้วน้ำยังอยู่เหมือนเดิม โป่งก้มลงมองดูใต้โต๊ะที่วาง ครุ่นคิดสีหน้าจริงจัง
“ด้านล่างต้องมีลิ้นชัก แล้วตรงนี้มีประตูกล กดปุ่มปุ๊บ ของก็จะหล่นลงในนั้นปั๊บ ใช่แน่ๆ คุณแนนนี่ต้องทำอย่างนี้แน่ ๆ วะฮะฮ่า”
พรเข้ามาเท้าสะเอวมองด้วยความรำคาญ
“อีกแล้วนะไอ้โป่ง ซ้อมเล่นกลบ้า ๆบอ ๆอะไรของแก ฉันรอจะล้างจานอยู่ รีบยกไปซี” พรเอ็ด
“บ้าบอที่ไหน ฉันกำลังจะทำตามอาจารย์ต่างหากล่ะ”
“อาจารย์? คุณแนนนี่ของแกน่ะนะ”
“ก็เออสิ ถ้าฉันทำได้ครึ่งของอาจารย์นะ ฉันจะเลิกเป็นคนใช้ ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ คุณแนนนี่เคยเสกต้นไม้ใหญ่ๆ” โป่งทำมือเลียนแบบแนนนี่ “หายไปทั้งต้นเลยนะ” โป่งสาธยาย
“นั่นมันแม่มดแล้ว ไอ้ปัญญานิ่มเอ้ย กลอะไรมันจะทำได้ขนาดนั้น จ้างให้ฉันก็ไม่เชื่อ ยกจานไปล้างได้แล้ว เดี๋ยวเจอป้าผาดเล่นกลจานลอยลงกบาลเข้าให้บ้างหรอก” พรว่าเป็นชุด
โป่งหน้างุด ยกถาดออกไป
“วันนึงโป่งเล่นกลดังขึ้นมาแล้วอย่ามาเรียกพี่ลูกโป่งคะพี่ลูกโป่งขาละกัน” โป่งบ่นอุบ
“เออว่าแต่อาจารย์แกน่ะไปไหนซะล่ะ คุณๆ ข้างในเค้าถามถึงแน่ะ” พรถามขึ้น
“คุณแนนนี่เหรอ โน่นไง ขี่ไม้กวาดอยู่”
โป่งแกล้งชี้นิ้วไปบนท้องฟ้า พรหันมองตาม
“ไหนวะไม่เห็นมี” พรนึกขึ้นได้ “ขี่ไม้กวาด...มันก็แม่มดสิวะ หืม! หลอกฉันนะไอ้โป่ง ไอ้ปัญญาอ่อน”
พอพรหันมาโป่งหายไปแล้ว แต่กลายเป็นผาดแทน
“เอ่อ...แหะ...ป้าผาด”
“แกว่าใครปัญญาอ่อน”
“ว..ว่าตัวฉันเองจ้ะ”
ผาดปราดตามองพรแบบถ้าจับหักคอได้จับหักไปแล้ว
“รีบเข้าไปช่วยในครัวโน่น”

ทุกคนยังรวมอยู่ในห้องนั่นเล่น ภวัตกับธานีเล่นเกมอยู่ที่ทีวี เป็นเกมยอดฮิตที่ผู้ชายชอบเล่นกัน โดยมีรัดเกล้ากับดารกานั่งเป็นผู้ชมคอยเชียร์
จังหวะที่ภวัตเป็นต่อธานี รัดเกล้ากับดารกาปรบมือเชียร์
“ตาเกล้าแล้ว”
รัดเกล้าแบมือขอจอยและแจมด้วย แต่ธานีแกล้งทำเหมือนไม่เห็น เล่นเกมต่อหน้าตาเฉย
“เอาจริงแล้วนะ นี่แน่ะ อ้าวเฮ้ย”
“แกแพ้อีกแล้วธานี” ภวัตย้ำ
รัดเกล้ายิ้มแต้ แบมือใส่ธานีอีกที ธานีไม่สน กดเล่นใหม่อีก รัดเกล้าโวยลั่น
“หืม อย่างนี้อยากมีเรื่องนี่ ไหนบอกใครแพ้ออกไง”
“ผู้ชายเค้าจะเล่นกัน เราน่ะนั่งเชียร์กับน้องดาแหละดีแล้ว
“พี่ธานี!” รักเกล้าหันมาหาภวัต “พี่ภวัตช่วยเกล้าด้วยสิคะ”
“ไม่รู้ เคลียร์กันเอง ฮ่ะๆ” ภวัตออกตัวขอไม่เอี่ยว
รัดเกล้าหันมาหาดารกาเป็นแนวร่วม
“น้องดา จัดการพี่ชายตัวเองหน่อยสิ”
“จัดการยังไงดีล่ะคะ พี่ธานีก็แปลก ทีกับน้องดากับแนนนี่ไม่เห็นเป็นอย่างนี้ ทำไมชอบแกล้งพี่เกล้าจังคะ" ดารกายิ้ม
“ก็แกล้งแล้วสนุกไง ชอบดูทอมกรี้ด” ธานีว่า
รัดเกล้าโดนจี้ใจดำ ตาลุกพอง
“พี่ธานีว่าใครทอมคะ ว่าใคร”
ธานี ดารกา ภวัตหัวเราะขำกับท่าทีของรัดเกล้า

ระหว่างนั้นปัทมนเทน้ำชาเติมให้จักรวาล และอิงอร
“ของคุณอิงอรต้องดื่มชาในความฝันแล้วละครับ”
ปัทมนทำหน้างง หันมองอิงอรแล้วประหลาดใจ เพราะอิงอรหลับไปกับหมอนอิง อ้าปากแบบหลับสนิท
ปัทมนขยับถ้วยชาออกห่างอิงอร
“พี่อิงแกมักจะอดนอนอยู่กับอินเตอร์เน็ตน่ะค่ะ นี่เห็นว่าทำวิจัยเรื่องจักรวาลอยู่”
“วิจัยเรื่องผมน่ะเหรอฮะ” จักรวาลหัวเราะ
ปัทมนยิ้ม “ไม่ใช่ค่า...คุณจักรนี่ก็จริงๆ เลย ไปล้อพี่เค้า”
“อย่างนั้นผมว่าเดี๋ยวเราแยกย้ายเลยดีมั้ยครับ” จักรวาลหัวเราะอีก
ปัทมนมองไปทางเด็กๆ แล้วปรารภขึ้น “แล้วเราจะบอกพวกเด็กๆ เลยมั้ยคะ”
“เรื่องนั้นใช่มั้ยครับ”
พอพูดจบ จักรวาลก็มองไปที่เด็กๆ อย่างครุ่นคิด

ส่วนภายในห้องนอนของแนนนี่ เวลานั้นทาฮิร่าวางมือบนหลังมือแนนนี่เป็นมั่นเป็นเหมาะ
“เอาละ ยายสัญญาว่าจะเอาตะเกียงแก้วมาให้”
“เย้ แนนนี่รักยายที่สุดเลย” แนนนี่รีบประจบ เข้าไปจุ๊บแก้มซ้ายขวาไม่หยุด
“พอแล้วๆ แต่วันนี้เราต้องลงไปช่วยทุกคนเก็บงานก่อน ทิ้งทุกคนมาอย่างนี้มันใช้ได้ที่ไหน วันเกิดเราแท้ๆ นะ”
แนนนี่ลุกพรึบ ทำท่าตะเบ๊ะแบบทหาร
“ครับผม! ไปเดี๋ยวนี้ค่า”
แนนนี่ทำท่าจะออกไป ทาฮิร่ารั้งแขนไว้
“เดี๋ยวก่อน ยายยังมีอีกเรื่องนึงต้องคุยกับเรา”
“จ๋าจ้ะ”
ทาฮิร่าเหล่ที่ชิกเก้นแล้วเอ่ยขึ้น “ต่อไปนี้ชิกเก้นจะอยู่กับเจ้า”
ทั้งแนนนี่กับชิกเก้นร้องเสียงหลงพร้อมๆ กัน
“ห๊า ไม่เอา”
“จะฟังต่อได้รึยัง เลิกโวยวายซะที” ทาฮิร่าตัดบท
แนนนี่กับชิกเก้นเงียบเสียงลง มองทาฮิร่าหน้าม่อย
“หลานโตขึ้นทุกวันๆ และการที่หลานเป็นเด็กพิเศษไม่เหมือนใคร ถ้าไม่มีผู้ช่วยที่รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับหลาน หลานอาจจะอยู่ในเมืองมนุษย์อย่างมีปัญหาได้ ยายเองก็ไม่สามารถมาอยู่เป็นเพื่อนเจ้าได้ จะมีก็แต่เจ้าชิกเก้นนี่ละที่คอยดูแลหลาน เป็นหูเป็นตาแทนยายได้”
“แต่ชิกเก้น...” ชิกเก้นแย้ง
“ทำไม! เจ้าจะขัดคำสั่งข้าเรอะ เจ้าเองก็เห็นแนนนี่มาแต่อ้อนแต่ออก ดูแลกันแค่นี้ไม่ได้ใช่มั้ย ถ้าไม่ได้ข้าจะได้รู้ไว้ ว่าเจ้ามันเป็นแมวแล้งน้ำใจ เจ้ามัน...” ทาฮิร่าตัดพ้อต่อว่าชิกเก้นเป็นชุด จนชิกเก้นไม่กล้าขัดใจ แต่มีข้อแม้
“พอแล้วๆ ก็ได้ๆ แต่ต้องให้ชิกเก้นกลับเมืองเวทมนตร์บ้างนะ”
ทาฮิร่ายิ้มแต้ หันหาแนนนี่ “หลานล่ะว่าไง
“ถ้าเป็นแมวเปอร์เซียร์ ดูคุณหนูๆ เข้ากับแนนนี่ก็โอเคอ่ะนะ ...แต่นี่...” แนนนี่ทำท่าเหล่มองชิกเก้นอาการหน่ายๆ
“หืมพูดงี้ไม่อยู่ด้วยแล้ว คิดว่าง้อเหรอ ชิ!” ชิกเก้นงอน
แนนนี่หัวเราะชอบใจขึ้นมา “ล้อเล่น” พร้อมกับคว้าชิกเก้นมากอดรัด “ดีใจจัง ต่อไปนี้แนนนี่ไม่เหงาแล้ว แนนนี่รักชิกเก้น! มาจุ๊บที” แนนนี่ทำปากจู๋จะจุ๊บชิกเก้น
ขณะที่ชิกเก้นหันหน้าหนีสุดฤทธิ์ “อี๋..ป..ปล๊อยย...หายใจไม่ออก อี๊...”
ชิกเก้นดิ้นพล่านตาเหลือก ในขณะที่ทาฮิร่าหัวเราะขำชิกเก้น

พอแนนนี่อุ้มชิกเก้นลงมาหา ทุกคนดูหน้าเครียดไปหมด ยกเว้นอิงอรที่ยังหลับไม่เลิก
“ทำอะไรกันอยู่ค้าทุกคน แนนนี่มีอะไรจะเซอร์ไพรส์ค่า ทาดา! นี่คือชิกเก้น แมวที่แนนนี่ให้เป็นของขวัญวันเกิดตัวเอง”
ภวัตยิ้มเอ็นดูแนนนี่
“น่ารักดี ชื่ออะไรนะจ๊ะ”
แนนนี่ชักเริ่มผิดสังเกตสีหน้าของดารกา
“ชิกเก้นค่ะ...พี่ดาเป็นอะไรอ่ะคะ”
ดารกาเบือนหน้าหนีไปเช็ดน้ำตาปัทมนมองดารกากับแนนนี่อย่างเป็นกังวล
“นั่งลงก่อนสิจ๊ะแนนนี่”
แนนนี่ทำตามนั่งลงพร้อมอุ้มเจ้าชิกเก้นบนตัก
“มีเรื่องอะไรกันเหรอคะ หรือว่าแนนนี่ทำอะไรไม่ดีให้พี่ดามาฟ้องคุณแม่อีกแล้ว” แนนนี่หน้างอ เผลอขยุ้มคอชิกเก้น
ชิกเก้นตาลุก เจ็บ ส่งเสียงในความคิดแนนนี่
“โอ้ย! มาลงอะไรที่ชิกเก้นล่ะเจ็บนะ”
แนนนี่เหล่มองดารกาที่ก้มหน้านิ่ง ปัทมนหันมองจักรวาลกับภวัต
“ให้เจ้าตัวเค้าบอกกันเองดีกว่ามังคะ” ปัทมนบอก
จักรวาลหันพยักหน้าให้ภวัต
“คืออย่างนี้จ้ะแนนนี่ อาทิตย์หน้า พี่จะต้องไปเรียนต่อที่อเมริกาน่ะจ้ะ”
แนนนี่ค่อยๆ หันหาภวัตอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง
“อเมริกา”
“จ้ะ พี่คงคิดถึงเรานะ” ภวัตยิ้มให้
“ไปซัมเมอร์แป๊บเดียวอย่างที่พี่ภวัตกับพี่เกล้าเคยไปใช่มั้ยคะ” แนนนี่ฝืนยิ้ม
“ไม่จ้ะ พี่ภวัตไปนานเลยละ จบปริญญาโทถึงจะกลับเมืองไทย”
ดารกาน้ำตาคลอขึ้นมาอีก
“เจ็ดปีได้มั้ยวะภวัต” ธานีถาม
“ประมาณนั้น” ภวัตบอก
แนนนี่ลุกขึ้นพรึ่บ ปล่อยตัวชิกเก้นไหลลงบนโซฟา
“นี่ถ้าแนนนี่ไม่ลงมา ก็คงไม่มีใครบอกแนนนี่เรื่องนี้ใช่มั้ยคะ พี่ภวัตใจร้าย ไม่เห็นแนนนี่สำคัญ แนนนี่รู้คนสุดท้ายเลย” แนนี่น้ำตาคลอ “ใจร้ายที่สุด”
แนนนี่วิ่งออกไปทันที
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะแนนนี่”
แนนนี่วิ่งพรวดพราดกลับเข้ามาคว้าชิกเก้น แล้ววิ่งขึ้นข้างบนไป ปัทมนมองหน้าจักรวาลเครียด ๆ
“ปล่อยแกไปก่อน ผมว่าอย่าเพิ่งพูดอะไรตอนนี้เลย” จักรวาลแนะนำ
ดารกาฝืนยิ้มปลอบภวัต
“น้องดาจะช่วยพูดกับแนนนี่ให้ด้วยค่ะ”
รัดเกล้ากับธานีพยักหน้าพอใจ แต่แล้วหันสบตากันโดยบังเอิญ ต่างคนต่างเชิดใส่กัน
ทุกคนกังวลใจ ในขณะที่อิงอรยังคงหลับไม่รู้เรื่อง พร้อมกรนเสียงคร่อกออกมา

วันเดินทางไปเรียนต่อที่อเมริกาของภวัตมาถึง จักรวาลมองดูกระเป๋าเดินทางของภวัตที่โป่งยกเข้ามา มีอิงอรยืนอยู่ด้วย พลางทวนเวลาเครื่องบินออก
“ไทม์ฟลาย เวลาผ่านไปไวจริงๆ เลยนะคะคุณจักร ได้เห็นเด็กๆ เติบโตจนไปเรียนเมืองนอกเมืองนาอย่างนี้แล้วก็ชื่นใจนะคะ”
อิงอรพูดพลางมั่วนิ่มคล้องแขนจักรวาล ยิ้มเยื้อนมองสัมภาระของภวัตราวกับเป็นคุณแม่ จักรวาลยิ้มเก้อๆ อึดอัด
“เอ่อ..ครับ” จักรวาลก้าวหาตัวช่วยอย่างโป่ง อิงอรมือตก สีหน้าตุ่ยๆ
“แล้วกระเป๋าสีดำอีกใบล่ะไอ้โป่ง คุณภวัตลืมรึเปล่า”
“ไม่เห็นเลยนี่ครับ” โป่งว่า
ภวัตยกกระเป๋าสีดำลงมาอีกใบ
“อยู่นี่ครับพ่อ”
รัดเกล้ายกถาดแก้วน้ำส้มเข้ามาพอดี
“แพ็คของเหนื่อยๆ ดื่มน้ำส้มคั้นทิ้งทวนฝีมือน้องสาวหน่อยค่า”
รัดเกล้าไล่เสิร์ฟน้ำส้มคั้นให้ ภวัต จักรวาล ไปจนถึงอิงอร ซึ่งอิงอรคล้อยหน้าไปมาขณะมองภวัตอย่างตื้นตัน
“โถพ่อคู๊ณ เห็นมาแต่อ้อนแต่ออก วันนี้จะไปใช้ชีวิตตัวคนเดียวที่เมืองนอกซะแล้ว ยังไงก็ใจเย็น ๆอย่ารีบคว้าสะใภ้มาฝากคุณพ่อล่ะจ๊ะ”
จักรวาลสำลักน้ำส้ม รัดเกล้ารีบเข้าลูบหลังพ่อ
“เป็นอะไรรึเปล่าคะคุณพ่อ” รัดเกล้าถามพร้อมกับแอบค้อนอิงอร
ปัทมนเข้ามาพร้อมดารกา และธานี ทั้งหมดแต่งตัว เตรียมพร้อมไปส่งภวัตที่สนามบิน
“พร้อมกันรึยังคะ อามีของขวัญเล็ก ๆน้อย ๆมาให้ภวัตจ้ะ”
ปัทมนยื่นกล่องปากกาให้ภวัต ภวัตไหว้ขอบคุณและรับไว้
“ขอบคุณครับอาปัท”
“ของน้องดาก็มีนะ” ปัทมนว่า
ดารกายิ้มสุภาพให้ภวัต ก่อนจะยื่นพวงกุญแจตุ๊กตาหมีถักให้ภวัต
“น้องดาทำเองค่ะ อาจจะไม่สวยนะคะ”
“ใครบอก น่ารักดีออกจ้ะ”
“นี่ละน้า ปากหวานเป็นพระเอกอย่างนี้สิน้องๆ ฉันถึงพากันเศร้า” ธานีเย้า
ภวัตหัวเราะก่อนจะถามออกมาถึงอีกคน “อืม..แล้วแนนนี่ล่ะ”
ธานียักไหล่ สั่นหัว หันหาปัทมนให้ตอบแทน
“น่าจะยังงอนอยู่น่ะจ้ะ คงไม่ได้ไปส่งภวัตนะ”
“พี่ภวัตอย่าถือโทษแนนนี่เลยนะคะ ที่น้องเป็นอย่างนี้ก็เพราะเค้ารักพี่ภวัตนะคะ” ดารกาบอก
ภวัตยิ้มอ่อนโยน
“พี่เข้าใจจ้ะ”
ภวัตพูดเหมือนจะเข้าใจ แต่สีหน้ามีแววเสียดายฉายขึ้นมาแวบหนึ่ง อีกทั้งนึกเป็นห่วงแนนนี่
จักรวาลตัดบท
“ปาย ออกเดินทาง มีเวลาล่ำลากันอีกเยอะที่สนามบิน”

ชิกเก้นเดินป้วนเปี้ยน แหงนคอคุยกับแนนนี่บนต้นไม้
“นี่ใจคอจะอยู่บนต้นไม้นี่จนมืดเลยใช่มั้ย”
แนนนี่นั่งแกว่งขา กอดอก หน้างุด
“ช่าย!”
ชิกเก้นส่ายหน้าหน่าย แล้วกระโดดขึ้นไปนั่งข้างแนนนี่
“คิดว่ามีใครเค้าสนด้วยเหรอว่าเธอหายไปไหนน่ะ” ชิกเก้นจี้ใจจำอย่างได้ผล
แนนนี่ตาลุกวาวด้วยความโกรธ
“นี่ฉันคิดผิดรึคิดถูกเนี่ยที่ให้เธออยู่ด้วยกันห้ะ ชิกเก้น ไม่ช่วยอะไรแล้วยังมา ตอกย้ำกันอีก ใจร้ายทั้งคนทั้งแมวเลย”
“เอาเข้าไป อยากว่าอะไรเชิญว่าไป แต่ที่แน่ๆนั่งอยู่อย่างนี้มันไม่ได้ช่วยให้อะไรๆ มันดีขึ้นหรอกนะ”
“เรื่องของฉัน” แนนนี่เชิดหน้าหนี
“งั้นก็ตามใจ เอ๊ะ เสียงรถนี่ ฉันแอบขึ้นรถไปส่งภวัตที่สนามบินดีก่า”
ชิกเก้นกระโดดแผลวลงพื้นไป แนนนี่เลิ่กลั่ก
“เดี๋ยวสิ ชิกเก้น! ฉันไปด้วย! ชิกเก้น!”
แนนนี่รีบลงจากต้นไม้ ตกแอ้กลงกับพื้น ชิกเก้นหันมองกลับมา ส่ายหน้าหน่ายขึ้นมาอีก
“ให้มันได้อย่างนี้สิแม่คุณเอ๊ย ขี้โมโห ขี้งอน แถมยังซุ่มซ่ามโก๊ะกังได้อีก”
“มัวแต่พูดมากอยู่นั่นละ มาช่วยฉันหน่อยซี อูย... ก้นฉัน”
แนนนี่ลุกขึ้นในท่าเก้กัง ก้นเอียงไปข้าง ชิกเก้นหัวเราะขำ
“เอ้อ หมดฤทธิ์อย่างนี้ก็ดีนะ”

ทุกคนนอกจากภวัตกับโป่งนั่งอยู่ในรถตู้ พร้อมออกเดินทางไปส่งภวัตที่สนามบิน ภวัตขึ้นรถเป็นคนหลังสุด โป่งเตรียมปิดประตูเลื่อน แต่ภวัตเหลียวมองหาแนนนี่เป็นครั้งสุดท้าย
“ลืมอะไรเหรอครับคุณภวัต”
“เปล่า ไม่มีอะไร”
ภวัตเข้าในรถ โป่งเลื่อนประตูปิด
ขณะที่ในอีกมุมหนึ่งไกลๆ แนนนี่เดินเก้ๆ กังๆ มือกุมสะโพกก้าวอย่างช้าๆ มาพร้อมชิกเก้น
“เร็วหน่อยสิยาย เดินอย่างนี้จะทันเค้ามั้ยล่ะนั่นน่ะ” ชิกเก้นบ่น
“หยุดพูดมากซะทีได้มั้ย เก่งนักนะเรื่องซ้ำเติมฉันเนี่ย” พลันเห็นโป่งขึ้นรถ แนนนี่รู้สึกตกใจขึ้นมา
แนนนี่เห็นโป่งเปิดประตูรถตู้ ขึ้นนั่งตำแหน่งคนขับ แนนนี่โวยวายเอะอะ จะวิ่งก็เจ็บสะโพก
“นายโป่ง! รอฉันด้วย” แนนนี่โบกมือหยอยๆ เรียก โป่งหันเจอแนนนี่ก็โบกมือให้ ยิ้มแฉ่ง
แนนนี่ยิ้มออก
“นายโป่งเห็นฉันแล้ว!” แนนนี่โบกมือต่อ
โป่งโบกมือตอบอีก แล้วขึ้นรถ ขับออกไป แนนนี่อ้าปากค้าง
“ฉันไม่ได้บ๊ายบาย ฉันบอกให้รอฉันด้วย! โธ่...นายโป่ง ตามไปเร็วชิกเก้น”
ประตูรั้วปิดลงช้าๆ ด้วยรีโหมทอัตโนมัติ ชิกเก้นวิ่งเข้ามาเบรกเอี๊ยด แนนนี่นิ่งงัน ค่อยๆ ทิ้งตัวลงนั่งแปะกับพื้น ร้องไห้ เงียบงัน ต่างไปจากแนนนี่จอมโวยวาย
“พี่ภวัตไปแล้ว...”
ชิกเก้นเกยคางกับขาแนนนี่อย่างปลอบใจ
“อย่าร้องเลย ภวัตไปเดี๋ยวก็กลับ” ชิกเก้นบอก
“เจ็ดปีเนี่ยนะ...” แนนนี่ปาดน้ำตาป้อยๆ อย่างน่าสงสาร
ชิกเก้นปลอบต่อไม่ออก ได้แต่มองแนนนี่ด้วยความสงสาร
“พอจะมีวิธีนะ”
แต่แนนนี่มัวแต่ร้องไห้ ไม่สนใจฟังชิกเก้น
“ฉันจะทำให้เธอได้เจอภวัตอีกครั้ง สนใจมั้ย” ชิกเก้นเสียงดังกว่าเดิม
“ว่าไงนะ!” แนนนี่หูผึ่ง ตาลุกวาว
“แต่แค่ครั้งนี้ครั้งเดียว และที่สำคัญ ทาฮิร่าจะรู้ไม่ได้เด็ดขาด” ชิกเก้นขอคำสัญญา
แนนนี่ยิ้มทั้งน้ำตา “ฉันจะได้เจอพี่ภวัตจริงๆ นะ!”
ชิกเก้นพยักหน้าอย่างมาดมั่น

แนนนี่ชูไม้กวาดในมือ มองอย่างฉงน
“เราจะไปเจอพี่ภวัตด้วยไม้กวาดเนี่ยนะ”
ชิกเก้นนั่งไขว่ห้างกอดอก วางท่ากุนซืออยู่บนเตียง
“ถูกต้อง เธอต้องหัดขี่ให้เป็น ณ บัดนาวเลย”
“มันจะเป็นไปได้ยังไง เผลอ ๆจะไม่ทันพี่ภวัตขึ้นเครื่องบินเอาซะด้วย ฉันยอมถูกคุณแม่ทำโทษเพราะนั่งแท็กซี่ไปสนามบินยังจะดีซะกว่า”
“งั้นก็ตามใจ เชิญไปเรียกแท็กซี่เลย ไม่ยุ่งด้วยแล้ว” แมวที่คิดว่าตัวเองเป็นไก่เดินเชิดหนี
“ฮื้อ เดี๋ยวสิ โอเคๆ หัดก็หัด มันต้องเริ่มยังไงล่ะชิกเก้นนน” แนนนี่หันมาอ้อน
ชิกเก้นค้อนให้แนนนี่ แล้วเริ่มสอนการขี่ไม้กวาด
“เริ่มต้นด้วย...”

ครู่ต่อมามีเสียงหวีดร้องของแนนนี่ดังนำมาก่อน ภาพแนนนี่สวมหมวกกันน็อคขี่ไม้กวาด มีชิกเก้นซ้อนท้าย บินฉวัดเฉวียน เดี๋ยวจะตก เดี๋ยวทะยานขึ้นฟ้า สีหน้าแนนนี่ตื่นตาตื่นใจ สนุกสุด ๆ
“วู้วไม่ยากเลยนี่นา ขี่ไม้กวาดสนุกกว่าที่คิด วู้ว”
ชิกเก้นตาลายเป็นวง กอดเอวแนนนี่ สลับกับเกาะไม้กวาดแน่น
“ขี่อยู่กับที่อย่างนี้ ปีนึงคงไปไม่ถึงไหน ฉันบอกให้ขี่ตรงไป”
แนนนี่ได้ฟังก็หยุดไม้กวาดกึกไม่บอกไม่กล่าว จนชิกเก้นหน้าทิ่มหัวคะมำไปข้างหน้า
“อ้าวเหรอ แล้วตรงไปมันต้องทำยังไงล่ะ”
“เฮ้ย แล้วหยุดทำไม อย่างนี้ก็ตกน่ะซี อ๊าย...” ชิกเก้นร้องตาเหลือก
แนนนี่ตาเบิกโพลง มองพื้นเบื้องล่าง กรีดร้องลั่น ก่อนจะบังคับไม้กวาดให้เชิดหัวขึ้นบนฟ้า

พนักงานต้อนรับเดินดูความเรียบร้อย ของผู้โดยสารที่นั่งประจำที่ก่อนเครื่องขึ้น มีเสียงประกาศต้อนรับผู้โดยสาร
“...ซึ่งจะเดินทางไปสนามบินจอห์นเอฟเคเนดี้ โดยจะใช้เวลาบิน17 ชั่วโมงโดยประมาณ กรุณาศึกษาคู่มือความปลอดภัยซึ่งอยู่ในกระเป๋าหน้าที่นั่งด้านหน้าของท่าน เพื่อความปลอดภัยของท่าน...”
ภวัตนั่งอยู่ถัดไปจากที่นั่งริมหน้าต่าง ซึ่งผู้โดยสารเป็นชายหนุ่มกำลังอ่านหนังสือ ภวัตรัดเข็มขัด แล้วพิงศีรษะกับพนักพิง เมื่อหลับตาลงก็เห็นหน้าแนนนี่ในท่าทางอ้อนๆ น่ารัก หัวเราะให้
ครู่ต่อมาภวัตลืมตาขึ้น ใบหน้ามีรอยยิ้มเศร้า เมื่อนึกถึงแนนนี่ เสียงประกาศดังต่อเนื่อง
“ประกาศ...และโปรดปิดเครื่องมือกรุณาปิดอุปกรณ์อิเล็คโทรนิกส์จนกว่าสัญญาณแจ้งรัดเข็มขัดจะดับลง”
ภวัตหยิบโทรศัพท์มือถือมากดปิดเครื่อง เห็นเป็นรูปแนนนี่เป็นวอลล์เปเปอร์ที่หน้าจอ ภวัตกำลังกดดูรูปแนนนี่หลากหลายอิริยาบถ
ผ่านเวลาไป เครื่องบินแล่นอยู่บนท้องฟ้า
ผู้โดยสารชายที่นั่งข้างหน้าต่างยังคงอ่านหนังสือเช่นเดิม ภวัตมองเหม่อออกนอกหน้าต่างก่อนจะหลับตาลง
โดยไม่รู้ว่าที่นอกหน้าต่างนั้น แนนนี่ขี่ไม้กวาด พยายามโบกไม้โบกมือเรียกภวัต และโชคดีที่ชายหนุ่มริมหน้าต่างไม่เห็นแนนนี่
ภวัตรู้สึกประหลาดใจ ขมวดคิ้ว ก่อนจะลืมตาขึ้นแล้วหันไปที่หน้าต่าง อ้าปากค้าง ภวัตเห็นแนนนี่ยิ้มร่า โบกมือให้หยอยๆ

แนนนี่ขี่ไม้กวาด มีชิกเก้นเกาะท้าย แนนนี่ตื่นเต้น ดีใจมากๆ ที่เห็นภวัต
“พี่ภวัต แนนนี่เองค่ะ แนนนี่เอง” จู่ๆ แนนนี่ก็น้ำตาไหลออกมา “แนนนี่มาส่งพี่ภวัตค่ะ”
แนนนี่พูดพลางมองผ่านหน้าต่างเครื่องบิน เห็นภวัตงง ตาตั้ง อ้าปากค้าง พูดไม่ออก แนนนี่ตัดสินใจขี่ไม้กวาดขยับเข้าไปใกล้หน้าต่าง ภวัตยังไม่เชื่อสายตาตัวเอง มองหน้าแนนนี่พลางขยี้ตา
“แนนนี่”
ชายหนุ่มริมหน้าต่างเหลือบมองภวัต สีหน้ามีคำถาม
“คุณเห็นมั้ย” ภวัตถามออกมา
“อะไรครับ” ชายคนนั้นถามกลับ
“ที่หน้าต่าง” ภวัตบอกพลางชี้ไปที่หน้าต่าง
แนนนี่เอาหน้าแนบกระจกหน้าต่าง จนหน้ายู่ น่าเกลียดน่าชัง และใกล้ชายหนุ่มคนนั้นเอามาก ๆ ชายคนดังกล่าวสั่นหัว แล้วทำเอียงอาย เข้าใจว่าภวัตหาเรื่องคุยด้วย
“สวัสดีครับ”
“...มายังไงเนี่ย” ภวัตพึมพำ ขณะเพ่งมองอย่างตาค้างจับจ้องอยู่ที่แนนนี่
“คุณแม่มาส่งครับ” หนุ่มคนข้างๆ ตอบ
ภวัตไม่ได้สนใจฟังชายหนุ่ม สายตานิ่งงันอยู่ที่แนนนี่ เห็นแนนนี่โบกมือลาร้องไห้
“แนนนี่จริงๆ ใช่มั้ย”
แนนนี่พยักหน้ารับ
“แนนนี่เองค่ะ” แนนนี่ยังร้องไห้อยู่
ภวัตโยกตัวไปใกล้หน้าต่าง ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ถึงกับเหวอ ทำตัวไม่ถูก
“...อย่าร้องไห้”
ชายหนุ่มมองภวัตตาปริบ ๆ
“หงะ...ว่าไงนะครับ”
ภวัตพูดอยู่กับแนนนี่ “พี่จะคิดถึงแนนนี่นะ”
ชายหนุ่มได้ยินนึกว่าภวัตพูดกับตัวเองถึงกับหลุดออกสาว “ว้าย...พูดอย่างนี้เขินนะครับ”
ระหว่างนั้นภาพของแนนนี่เริ่มจะแล่นห่างออกจากหน้าต่าง
“แนนนี่ก็จะคิดถึงพี่ภวัตค่ะ ...พี่ภวัต!”
เครื่องบินลอยลำทิ้งตัวห่างแนนนี่ออกไป
“รีบกลับมานะคะ!”
แนนนี่พยายามบังคับไม้กวาดตามเครื่องบินไปอีก แต่เครื่องบินก็ยิ่งห่างออกไป ห่างออกไป
“พอได้แล้วแนนนี่ เราต้องกลับแล้ว” ชิกเก้นร้องเตือน

แนนนี่ร้องไห้โฮ ปาดน้ำตาอย่างน่าสงสาร






Create Date : 02 กุมภาพันธ์ 2555
Last Update : 2 กุมภาพันธ์ 2555 21:13:08 น.
Counter : 581 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

มิกัง
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]