All Blog
อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว ตอนที่ 22(ต่อ2)



ค่ำวันนั้น ภายในห้องพิธีกรรมบ้านสดับ ทั่วทั้งห้องสลัวทึม สักครู่มาลีเปิดประตู แล้วปิดอย่างแผ่วเบาค่อยๆ ย่องเข้ามา มาลีมองหาว่าคัมภีร์น่าจะซ่อนอยู่ที่ไหน กลัวก็กลัว แต่รักลูกมากจนยอมทำตามที่ทาฮิร่าสั่ง

“คัมภีร์นั่นมันจะอยู่ที่ไหนล่ะ แล้วฉันจะรู้มั้ยเนี่ยว่าหน้าตามันเป็นไง”
มาลีหาไปตรงนั้นตรงนี้ จนเริ่มรู้สึกหนาวๆร้อน เพราะอุปาทานจากความกลัว
“ฮึ่ย หนาวจนขนลุกขนพอง ไอ้ห้องผีสิงนี่”
มาลีหันหาไปต่ออีกหน่อย
“คุณพระคุณเจ้าช่วยด้วยเถอะ ห้องก็แค่นี้ มันเอาไปเก็บไว้ที่ไหนกันถึงหาไม่เจอสักที”
ทางด้านคัมภีร์ฯ ก็พยายามจะดึงตัวเองออกจากที่ฝังอยู่ เป็นรอยนูนขึ้นมา มีแสงเรืองอ่อนๆ
มาลีรู้สึกได้ว่ามีแสงเรืองๆ จึงหันไปมอง เห็นผิวผนังห้องตรงบริเวณนั้นนูนๆ และเรืองแสง แต่ยังไม่หลุดออกมาเป็นคัมภีร์)
มาลีตกใจตาเหลือกร้องลั่น “อ๊าย....ผีหลอก” แล้วเป็นลมหมดสติไป

เวลาเดียวกันนั้นชิกเก้นยังคงสลบ นอนนิ่งอยู่บนที่นอน แนนนี่ร้องไห้อย่างน่าเวทนา ทาฮิร่าน้ำตาซึม ในขณะที่กำลังสาละวนต้มยาอยู่
“พี่ชิกเก้น ฟื้นซี่..ฟื้น...พี่ชิกเก้น...ฮือๆ”
ทาฮิร่าพยายามกลั้น ไม่ร้องไห้ แต่น้ำตาไม่วายเอ่อ
“ชิกเก้น...ใครเป็นอะไรฉันรักษาหายหมด ถ้าฉันรักษาแกไม่ได้ ฉันจะเผาตำราทิ้ง”

รุ่งเช้าวันต่อมา ผาดกับพรกำลังรดน้ำต้นไม้ สักครู่ดารกาเดินมา กำลังจะไปบ้านภวัต
“พี่พรคะ ช่วยตัดกุหลาบให้น้องดาสักสี่ห้าดอกค่ะ น้องดาจะเอาไปฝากป้าบานเย็น”
“ได้ค่ะ” พรเดินไปทำตามสั่ง

จังหวะนั้นเสียงอสูรสดับแว่วลอยลมมา ดารกาชะงักกึก
“ดารกา...”
ดารกาหน้าเครียด หันเดินกลับไปตึก
ผาดมองตาม งงอาการของดารกา พึมพำออกมา “แปลกๆขึ้นทุกวัน”

ด้านชิกเก้นยังสลบไสล นอนหันหลังให้ทาฮิร่า โดยที่ทาฮิร่ากำลังใช้เวทมนตร์ดึงพลังอสูรที่คุมร่างชิกอยู่ให้ออกมา แต่ไม่ง่ายนัก มือทาฮอร่าวาดขึ้นลงอยู่เหนือร่างชิกเก้น เมื่อมือเคลื่อนขึ้นมีควันสีดำบางๆ ลอยออกมาจากร่างชิกเก้น แต่บางครั้งก็ไม่สำเร็จ แนนนี่ลุ้นอยู่ข้างๆ สักครู่แนนนี่รู้สึกว่ามีอะไรกวนใจแปลกๆ
แนนนิ่งสำรวจความรู้สึกของตนเอง แล้วแนนนี่ตกใจ เมื่อรับรู้ว่าภวัตจะมีอันตราย
“พี่ภวัต ! ยาย”
ทาฮิร่าลืมตาขึ้นมามองแนนนี่

เวลาเดียวกันดารกาเปิดประตูเข้ามาในห้อง เห็นสดับรออยู่ ดารการีบเข้าห้องปิดล็อคประตู
“เจ้าทำงานที่พ่อสั่งหรือยัง”
“ยังค่ะ ยังไม่ทันดูงาน ลูกต้องออกไปจัดการกับตะเกียงแก้วเสียก่อน”
“เรียบร้อย?” อสูรสดับดักคอ
ดารกาพูดไม่ค่อยเต็มเสียงนัก เพราะตะเกียงหายไป ไม่ได้ถูกทำลายต่อหน้า
“เรียบร้อยแล้วค่ะ”
“ดีมาก”
ร่างสดับขยับไปที่หน้ากระจกเงาในห้อง กระจกค่อยๆ สร้างภาพบาบาร่าในคราบบานเย็นขึ้นมา เป็นภาพที่ตลาด ตอนที่ที่สดับกับบานเย็นเจอกัน แต่ ภาพในกระจกมัวลงกว่าเดิม คล้ายมีอะไรบางๆ บัง หน้าบานเย็นไม่ค่อยชัด เสื้อผ้าพอจะดูใกล้เคียงกับชุดแม่บ้าน แต่สีเพี้ยนๆ
ดารกาเห็นภาพแล้วตกใจ พูดเบาๆกับตัวเอง “ป้าบานเย็นหรือเปล่านั่น”
สดับหันมา “นางนี่เป็นแม่มด”
ดารกาตกใจ
“ขณะนี้มันอยู่ในเมืองมนุษย์ พ่อเจอมันที่ตลาด มันเอาคราบมนุษย์สวมบังเนื้อแท้ของมัน เจ้าตามหาให้เจอว่ามันอยู่ที่ไหน แล้วเอาตัวมันมาให้พ่อ”
ดารกาอึ้งสุดๆ หากเป็นบานเย็นที่เธอรู้จัก และบานเย็นอยู่บ้านภวัต ภวัตอาจจะเดือดร้อนไปด้วย ระหว่างที่สดับกับดารกาพูดกัน ภาพบานเย็นจะค่อยๆ เลือนหายไป
อสูรสดับเห็นดารกาเหม่อ จึงเรียกขึ้นเสียงดัง “ดารกา”
ดารกาหลุดจากภวังค์ “คะ”
“ได้ยินที่พ่อพูดหรือเปล่า”
“ได้ยินค่ะ”
สดับจ้องมองดารกาอย่างสำรวจ รู้สึกได้ว่าดารกามีอะไรปั่นป่วนใจ
“แล้วอีกเรื่องที่พ่อเคยพูดไว้”
ดารกาหลบตาวูบ รู้ว่าอสูรร้ายจะพูดเรื่องอะไร สดับจ้องดารกาเขม็ง
“เจ้ามีความรักไม่ได้เด็ดขาดนะดารกา”
ดารกาอึ้ง เจ็บร้าวในใจ
“ได้ยินมั้ย”
ดารกาอึ้งไปไม่มีทีท่าว่าจะยอมตอบ
สดับรู้ว่าดารกาดื้อ “หากเจ้าไม่ฟังพ่อ ดูนี่”
ดารกาเงยหน้ามามอง เห็นอสูรสดับสะบัดมือไปที่กระจก

ภาพภวัตปรากฏขึ้นในกระจก เวลากลางวันที่บ้านภวัต ภวัตเดินคุยหัวเราะกับรัดเกล้า แล้วแยกกัน ภวัตออกไปริมถนน มอเตอร์ไซค์คันหนึ่งแล่นมาอย่างเร็ว แล้วจู่ๆ เบรกแตก เพราะสดับทำให้แตก วิ่งเข้าใส่ภวัต
จังหวะนั้นแนนนี่วิ่งพรวดเข้ามา กันมอเตอร์ไซค์ให้พ้นจากภวัต แต่ทว่ามอเตอร์ไซค์คันนั้นลอยหมุนคว้างกลับเข้ามาชนภวัตอย่างแรงอีกจนได้ ภวัตกระเด็นไป
แนนนี่ไม่รู้ว่าพลังของตัวเองยังไม่อาจเทียบเท่าพลังของอสูรสดับ เพราะยังไม่อายุไม่ครบ 22
ดารกาช็อก ตกใจสุดๆ “ว้าย”
บาบาร่าในคราบบานเย็นกับโป่งวิ่งเข้าไปช่วยภวัต
สดับสะดุดตาด้านหลังบานเย็น จ้องมองเขม็ง แต่ในขณะนั้นโป่งช่วยบังบานเย็น จึงเห็นไม่ถนัด นัก แล้วรัดเกล้าวิ่งออกมาอีกคน จึงยิ่งบังบานเย็นจนมิด
ดารกาใจจะขาด แต่ต้องคุมไว้สุดๆ ไม่ให้สดับเห็น
ภาพในกระจก แนนนี่วิ่งเข้ามา เห็นหน้าชัดเจนมากๆ ดารกาผุดลุกพรวดด้วยความโกรธ ส่วนสดับรู้สึกสะดุดใจแนนนี่มาก
“เด็กนั่น...”
ดารกาแค้นแนนนี่ก็แค้น ห่วงภวัตก็ห่วง
อสูรสดับเข้าไปดูใกล้ๆ สัมผัสกระจกตรงที่มีภาพแนนนี่ สดับหน้าขรึมขึ้น
“พ่อรู้สึกถึงพลังมหาศาลของเด็กผู้หญิงคนนี้...” นึกได้ “..นี่ใช่ไหม...แนนนี่”
ดารกาพยักหน้ารับว่าใช่ น้ำตาหยด พูดไม่ออกเพราะยังห่วงภวัต สดับมองดารกานิ่งไปสักครู่ หน้าตาร้ายกาจบ่งบอกความใจทมิฬสุดๆ ออกมา
“หากเจ้าไม่มีความรัก เจ้าก็ไม่ต้องถูกจองจำอยู่กับความรู้สึกเจ็บปวดใดๆ อันเกิดจากความรัก”
ดารกายิ่งเจ็บปวด
“อสูรต้องไม่มีความรัก! สิ่งที่เกิดกับชายผู้นั้นวันนี้เป็นแค่การเตือนเจ้านะดารกา หากเจ้ายังดื้อกับพ่อ ผู้ชายคนนั้น...ตาย!”
ดารกาแทบดับดิ้นลงไปตรงนั้น
อสูรสดับหัวเราะดังลั่น เสียงน่ากลัว ชวนขนลุกสยองแสยง
ระหว่างนั้นธานีเดินมา ได้ยินเสียงหัวเราะของสดับแว่วๆ ธานีขนลุก
“น้องดาพาผู้ชายขึ้นมาถึงบนห้องเหรอ...” ธานีไม่เชื่อว่าดารกาจะเป็นอย่างนั้น “เป็นไปไม่ได้”
ธานีเคาะประตูห้อง “น้องดา น้องดา”
ดารการีบปาดน้ำตา แต่ยังไม่ขยับไปไหน
สักครู่ประตูเปิดออกมา ดารกายิ้มให้ธานี
“พี่ได้ยินเสียงผู้ชายหัวเราะดังลั่นในห้องน้องดา หูฝาดไปหรือเปล่าไม่รู้”
“ไม่ฝาดหรอกค่ะ” ทำเป็นยกมือถือให้ดู “น้องดากำลังเลือกเสียงเรียกเข้ามือถือค่ะ”
ธานีขำ ทำท่าขนลุก “อย่าเลือกเสียงหัวเราะนั่นก็แล้วกัน ใครได้ยินมีหวังวิ่งหนีกันทั้งเมืองแน่ พี่เองยังขนลุกไม่หายเลย” เห็นน้องท่าทางกระวนกระวายนิดๆ จึงขอตัว “พี่ไปละ แวะมาถามดูแค่นั้นเอง เป็นห่วงจ้ะ”
“ขอบคุณค่ะ”
ธานีไปแล้ว ดารกาปิดประตู หันกลับสดับยังอยู่ในห้อง
“จำไว้นะดารกา เจ้าต้องตัดใจจากความรักให้เด็ดขาด ถ้ายังอยากให้ผู้ชายคนนั้นมีชีวิตอยู่ต่อไป” สดับสั่งกำชับ
น้ำตาดารกาที่แห้งไปเมื่อครู่ ค่อยๆ เอ่อขึ้นมาอีกหน เจ็บปวดร้าวลึกในใจเหลือแสน ร่างสดับค่อยๆ จางหายไป ดารกาทิ้งตัวลงนอนตัวงอบนเตียง ร้องไห้แทบว่าจะขาดใจตาย

ทางด้านภวัตเข้าเฝือกเขน ขากะเผลก เคล็ดขัดยอกนิดหน่อย โป่งคอยช่วยประคองลงไปนั่ง แนนนี่กับรัดเกล้านั่งห่างออกมา
“ขอบคุณครับพี่โป่ง”
“คราวหน้าจะข้ามถนนต้องมีผู้ใหญ่พาข้ามนะครับ” โป่งล้อ
“อาอิงเสนอตัวนะคะ”
รัดเกล้าแอบขำๆ กับแนนนี่ “จีบพ่อพี่แล้วก็จีบพี่ชายพี่อีก ยกให้เป็นนางพญาเทครัวไปเลย”
“แต่แนนนี่ชอบอาอิงนะคะ ตลกดี รู้สึกอาอิงทำให้มีความสุขตลอดเลย”
“ก็จริง นี่แนนนี่จะให้พี่ยกทั้งพ่อทั้งพี่ให้อาอิงเหรอ”
“ไม่ พี่ภวัตเป็นของแนนนี่ ห้ามยกให้ใคร”
รัดเกล้าได้ฟังก็หน้าขรึมลงเมื่อนึกถึงดารกา แนนนี่มองภวัตคุยกับจักรวาลและอิงอร หน้าตาแนนนี่มีความสุข
รัดเกล้ามองแนนนี่อย่างห่วงใย สักครู่แนนนี่นึกได้
“อุ๊ย แนนนี่ต้องกลับแล้ว แนนนี่ลืมไปว่าชิกเก้นไม่สบาย ฝากลาพี่ภวัตกับลุงจักรอาอิงด้วยนะคะ”
“จ้ะ”
แนนนี่เดินเลี่ยงออกไปที่ลับตา แล้วหายตัวแว้บ

แนนนี่กลับมาบ้านเห็นชิกเก้นยังสลบ นอนหันหลังให้ทาฮิร่า ส่วนทาฮิร่ายังคงถอนพิษอสูรให้ต่อเนื่อง
“ชิกเก้น แกฟื้นขึ้นมานะ ฉันไม่ได้ยินเสียงแกแล้วเหงามากๆ เลย”
“ชิกเก้น แนนนี่ก็คิดถึงเสียงชิกเก้นนะ ไม่ได้ยินแล้วนอนไม่หลับเลย ชิกเก้นตื่นขึ้นมาคุยกันนะ”
ทั้งๆ ที่พูดเล่น แต่ทั้งสองคนยังกังวล
“ชิกเก้น ที่แล้วมาที่แกล่วงเกินฉัน ฉันอภัยให้หมดแล้วนะ...” ทาฮิร่าหน้าเศร้า
ชิกเก้นพูดทั้งๆ ที่ยังคงหลับตา “เสียงนกเสียงกาที่ไหนเนี่ย รบกวนคน..เอ๊ย...แมวจะนอน”
ทาฮิร่ากับแนนนี่น้ำตาไหลทั้งหัวเราะทั้งร้องไห้
“ชิกเก้น” สองยายหลานประสานเสียง
แนนนี่ลุกขึ้นกระโดดอย่างดีใจ

“พี่ชิกเก้นฟื้นแล้ว พี่ชิกเก้นฟื้นแล้ว” แนนนี่ดีใจร้องเพลงลั่น “ไก่ย่างถูกเผา ไก่ย่างถูกเผา...”
“มันใช่เวลามั้ยเนี่ย เป็นมงคลต้อนรับการฟื้นเหลือเกิ๊นนนนน”
ชิกเก้นเดาะสำนวนฝรั่ง พลางยิ้มให้ทาฮิร่าและแนนนี่อย่างซาบซึ้งใจแมวเป็นที่สุด
“เคยได้ยินแต่น้ำตาจระเข้ วันนี้มีวาสนาได้เห็นน้ำตาแม่มด ฮ่าๆๆๆๆ”
ทาฮิร่ากลับคืนสภาพคู่กัดกับชิกเก้นทันที “ ไม่น่าช่วยมันเล้ยยยย พอมันพูดได้ ฉันอยากจะฆ่ามันทิ้งทุกที”
ชิกเก้นอ่าปากจะพูดวลีติดปาก แนนนี่ลอยหน้าใส่ทาฮิร่า พูดพร้อมชิกเก้น รู้ว่าจะพูดอะไร
“เวรก๊ำ...เวรกรรม”
สองคนกับอีกหนึ่งตัวหัวเราะมีความสุข

สดับโมโหเมื่อเห็นมาลีสลบอยู่ในห้อง คิดได้ทันทีว่ามาลีต้องมาค้นห้องหาบางอย่าง จึงตบมาลีจนร่างกระเด็นเซ แซดๆ
“แกมาทำอะไรในห้องนี้”
มาลีโกหก “เปล่าจ้ะพี่”
สดับตบซ้ำอีก “โกหก แกทำลับๆล่อๆหลายครั้งแล้ว” สดับจิกผมถามคาดคั้น “บอกมา!”
“เปล่าจริงๆจ้ะ ฉันแค่เหนื่อยเผลอหลับไป”
สดับโกรธ เหวี่ยงมาลีกระเด็น จะตามเอาเรื่องต่อ
เสียงดารดาดังขัดจังหวะขึ้นเสียก่อน “พ่อคะ”
ทั้งสดับทั้งมาลีชะงัก หันไปมอง ดารกายังหน้าช้ำเพราะร้องไห้ มาลีเกือบเผลอเรียกลูก แล้วนึกได้ จึงไม่เรียก มาลีฉวยโอกาสวิ่งหนีไปตั้งหลักก่อน แต่คิดในใจว่าจะไม่ไปไกล เพื่อจะแอบดู รู้ว่าหากดารกามามักมีเรื่องลับคุยกัน
ไม่นานหลังจากนั้น สดับนั่งอยู่กับดารกาที่หน้าโต๊ะพิธีกรรม
“ลูกมากราบขอร้อง พ่ออย่าทำอะไรพี่ภวัต ลูกจะทำตามคำสั่งของพ่อทุกอย่าง”
อสูรในร่างสดับหัวเราะพอใจ “ดีมาก”
สดับเพ่งกระแสจิต ส่งพลังเรียกคัมภีร์พิฆาตอสูรออกมา
“นี่คือคัมภีร์ของพวกแม่มดที่อสูรขโมยมาได้ มันคือคัมภีร์พิฆาตอสูร”
ดารกาทั้งตกใจทั้งตื่นเต้น
ทั้งคู่ไม่ทันคิดว่าที่นอกห้อง มาลีแอบดูอยู่ รู้สึกตื่นเต้นและดีใจสุดขีด เพราะเห็นส่วนหนึ่งของคัมภีร์นั้นด้วย
“นี่เอง คัมภีร์พิฆาตอสูร”
อสูรสดับกับดารกามองจ้องที่คัมภีร์ไม่กระพริบตา ส่วนมาลีเนื้อเต้นดีใจที่จะช่วยลูกสาวสุดที่รัก

ภายในบ้านทาฮิร่าที่เมืองมนุษย์ ทาฮิร่า แนนนี่ และชิกเก้น ทั้งสามกำลังหารือกันเรื่องที่ภวัตไปช่วยแนนนี่ แต่เกือบได้รับอันตราย
“พ่อภวิตแขนหักงั้นเหรอ แนนนี่ไปไม่ทันเหรอ” ทาฮิร่าหน้าตาเป็นกังวล
“แนนนี่ไปทันค่ะ ปัดมอเตอร์ไซค์จนพ้นไปแล้ว แต่...” แนนนี่คิดอยู่แวบหนึ่ง “...แปลก...
มอเตอร์ไซค์วกกลับมาชนพี่ภวัตจนได้”
ทาฮิร่าฉุกใจคิดอะไรขึ้นมาได้ และพูดออกมาเบาๆ
“อสูร” แล้วหันมาพูดกับแนนหน้าตาซีเรียสจริงจัง “อย่าออกไปไหนนะแนนนี่ เดี๋ยวยายมา”
“ค่ะ” แนนนี่รับคำ

ทางด้านอสูรในร่างสดับกับดารกายังอยู่ในห้องพิธีกรรม โดยมีมาลีแอบดูอยู่ พริบตานั้น ทาฮิร่าในชุดคุณนายไฮโซก็หายตัวเข้ามา มาลีหันมามอง ยังไม่ทันตั้งตัวหรือพูดอะไร ทาฮิร่าก็จับข้อมือมาลีพาหายตัวไป
แล้วสักครู่ต่อมาทาฮิร่ากับมาลีก็ปรากฏตัวขึ้นในที่ลับตาคนแห่งหนึ่ง
“โอย...ฉันจะเป็นลม คลื่นเหียนเวียนหัวไปหมด บอกหน่อยสิ ฉันมาถึงนี่ได้ไงเนี่ย สองครั้งแล้วนะ” มาลีบ่นอุบ
“ไว้ครั้งที่สามแล้วจะบอก เรื่องคัมภีร์พิฆาตอสูรว่าไง หาเจอรึยัง” ทาฮิร่าถามอย่างร้อนใจ
“เจอแล้ว...” มาลีบอก
ทาฮิร่าดีใจมาก “เหรอ ไหน อยู่ที่ไหน”
“อยู่ที่ไอ้ดับ ผัวฉัน”
“อ้าว” ทาฮิร่าเซ็งเป็ด
“แต่ถึงจะอยู่ที่ฉัน คุณนายเล่นพาฉันมาสายฟ้าแลบแบบเนี้ย ฉันจะหยิบทันมั้ย ใครมันจะบ้าพกไว้กับตัวเล่า” มาลีบ่นอีก
ทาฮิร่าหันไปค้อนใส่มาลี
พอมาลีนึกขึ้นได้ ก็ถามเสียงจริงจังขึ้นบ้าง “อสูรนี่มันมีจริงเหรอ”
“เธอเชื่อว่าผีมีจริงไม่ใช่เหรอ” ทาฮิร่าถามย้อนกลับ
มาลีอึ้งๆ แบบยอมรับ
“อสูรมันก็มีจริงได้” ทาฮิร่าเข้าเรื่องที่จับตัวมาลีมา “ฉันจะรอให้มืด แล้วเธอพาฉันเข้าไปเอคัมภีร์นั่น”
“ไอ้พี่ดับมันซ่อนของเก่ง ไม่รู้จะหาเจอมั้ย” มาลีกังวลใจ
“เอาเถอะน่า พาฉันเข้าไปแล้วฉันหาเอง”

ดารกากลับมาที่หอพัก นั่งนิ่งสีหน้าแววตาร้ายกาจ รีบเปิดกระเป๋าสะพาย หยิบคัมภีร์พิฆาตอสูรออกมา คัมภีร์เล่มนั้นถูกมัดด้วยเชือกซึ่งทำจากรากไม้ผสมหนังสัตว์น่าเกลียดๆ น่าขยะแขยง มีการลงอาคมควบคุมไว้อย่างแน่นหนา เสียงอสูรสดับดังแว่วเข้ามาในห้วงคำนึงของดารกา พูดซ้ำไปซ้ำมาด้วยประโยคเดิม

“เจ้าเอาคัมภีร์พิฆาตอสูรนี่ไปเก็บไว้ พ่อลงเวทมนตร์คุมมันไว้แล้ว เมื่อลูกอายุครบ 22 ปี ลูกจะมีฤทธิ์ทำลายมันได้สำเร็จ ต่อไปแม้จะมีแม่มดหลงเหลืออยู่ มันก็จะไม่มีคัมภีร์พิฆาตอสูรอยู่ในมืออีกต่อไป”
ดารกาเดินไปหาที่ซ่อนคัมภีร์ หาสัก 1-2 ที่ แล้วจึงเจอที่เหมาะ พอหาที่ซ่อนได้เรียบร้อย เสียงอสูรร้ายก็เงียบหายไป ดารกาจัดการซ่อนคัมภีร์ทันที คัมภีร์พิฆาตอสูร ค่อยๆ จมตัวหายลงไปในพื้นผิวของบริเวณที่ซ่อน

ค่ำวันนั้นทาฮิร่าและมาลี ปรากฏตัวขึ้นภายในห้องพิธีกรรม ทาฮิร่าใช้พลังแม่มดดูดดึงคัมภีร์จากตรงนั้นตรงนี้ แต่ไม่มีวี่แววคัมภีร์จะปรากฏออกมาให้เห็นเลยสักจุด
“คัมภีร์ไม่อยู่ที่นี่แล้ว มันรู้ตัว ย้ายคัมภีร์ไปไว้ที่อื่นแล้ว” ทาฮิร่าบ่นอย่างหนักใจ
“ฉันไม่ได้ทำอะไรให้พี่ดับมันจับได้นะ แล้วพี่ดับมันก็ไม่ใช่อสูรด้วย ฉันว่าผัวฉันไม่มีหรอก ไอ้คัมภีร์พิฆาตอสูรอะไรนั่น” มาลีบ่นอีก
ทาฮิร่ามองจ้องหน้ามาลีอย่างเอือมระอา มาลีจะรีบออกไปจากห้อง เพราะกลัวผีขึ้นมา
“เสร็จละยังล่ะ ฉันกลัวผี คืนก่อนที่แอบเข้ามาหาคัมภีร์ให้คุณน่ะ ฉันโดนผีหลอกเป็นลมแหง็กอยู่ในเนี้ย โดนพี่ดับมันตบซะ” มาลีบอก
“ผีหน้าตาเป็นไง” ทาฮิร่าติดใจ
“เป็นผีสี่เหลี่ยม” มาลีว่าทาทีสยองพองขน
ทาฮิร่ารู้ทันทีว่าน่าจะเป็นคัมภีร์ ทำสีหน้าเหนื่อยหน่ายออกมา
มาลียังพ่นต่อ “...มีแสงด้วย ผุดขึ้นมาจากพื้นอะ แต่ยังไม่ทันเห็นหน้ามัน ฉันเป็นลมซะก่อน”
ทาฮิร่าบ่นพึมพำกับตัวเองอย่างระอาทั้งตัวเองทั้งมาลี
“พลาดแล้วฉัน ไม่น่าให้ยายนี่ทำแทนเล้ย...”
มาลีไม่รู้ตัวถามขึ้นมา “เอาไงต่อล่ะคุณ”
“เธอหาคัมภีร์ให้ฉันต่อไปก็แล้วกัน”
“ฉันรู้แล้ว นั่นน่ะฉันทำแน่อยู่แล้ว ฉันไม่ยอมให้ลูกฉันเป็นอันตรายหรอก ฉันหมายถึงตอนนี้...จะเอาไงต่อ”
ทาฮิร่าฉวยมือมาลีพาหายตัวไป “กลับ”

ทางด้านดารกา พอหาที่ซ่อนคัมภีร์พิฆาตอสูร ในหอพักได้แล้ว ดารกาก็กลับมาที่บ้านปัทมนทันที และเวลานี้ กำลังยืนกอดอกอยู่ที่หน้าต่าง มองลงไปทางบ้านภวัต
เห็นบรรยากาศอันแสนอบอุ่น สามคนพ่อลูกคุยกัน หัวเราะอย่างมีความสุข โดยมีโป่งถือถาดกาแฟเข้ามา ในขณะที่บาบาร่าในคราบบานเย็นยกเสิร์ฟให้อย่างพินอบพิเทา ดูเป็นแม่บ้านแสนดีไร้พิษสง ดารกาเพ่งมองเป็นพิเศษเฉพาะที่บานเย็นบาบาร่า
ดารกามองภาพนั้นต่ออีกนิดแล้วหันหลังกลับมา สีหน้าดารกาขรึมเคร่ง เริ่มสับสนว้าวุ่นภายในใจ
“ป้าบานเย็นคือแม่มดคนนั้นหรือเปล่า หากใช่ แล้วเราไม่จับไปให้พ่อ...” ดารกาชะงักกึก รีบเปลี่ยนคำใหม่ “...ไอ้อสูรสดับ พี่ภวัตก็พอจะมีคนช่วยคุ้มครองได้บ้าง... แต่ป้าบานเย็นจะมีฤทธิ์ต้านอสูรสดับได้แค่ไหน... แล้วถ้าป้าบานเย็นไม่ใช่แม่มดล่ะ”
ยิ่งคิด ดารกาสับสนว้าวุ่นและลังเลใจ

เวลาเดียวกันนั้นปัทมนกำลังปิดทีวีในห้องรับแขก จะขึ้นนอน ทาฮิร่าก็ปรากฏตัวขึ้นมาในชุดคุณนายไฮโซเมื่อครู่นี้
ปัทมนมองแล้วรู้สึกขำๆ อารมณ์ดี “อุ๊ย คุณยายแต่งชุดนี้แล้วสาวขึ้นสองพันปีเลยนะคะ”
ทาฮิร่าก้มลงดูตัวเอง “อ้าว ลืมเปลี่ยน” ทาฮิร่าดีดนิ้วเปลี่ยนชุดทันที
ปัทมนลงนั่งคุยกับทาฮิร่า เพราะคิดว่าต้องมีเรื่องร้อนใจ
“ฉันคิดว่าแนนนี่กำลังมีอันตราย”
ฟังทาฮิร่าแล้ว ปัทมนรู้สึกห่วงลูก หน้าขรึมลง
ทาฮิร่าพูดต่ออีก ฉันขอพาแนนนี่ไปอยู่ด้วย จนกว่าจะแน่ใจว่าแนนนี่พ้นอันตรายนะคุณปัทมน”
“ค่ะ คุณยาย”
“แต่ก็จะพาแนนนี่มาเจอครอบครัวบ่อยๆ”
“ค่ะ”

ปัทมนขึ้นห้องนอนมา คิดหนัก รู้สึกกังวลและห่วงใย ภาพแสดงความร้ายกาจที่ปัทมนเจอกับตาตัวเอง ผุดขึ้นมาในความคิด 2-3 เหตุการณ์ ปัทมนยิ่งรู้สึกเป็นกังวลมาก
“ลูกดาหรือเปล่านะที่จะเป็นอันตรายกับแนนนี่ โอย...อึดอัดเหลือเกิน จะพูดกับใครก็ไม่ได้ แม้แต่กับคุณยาย ว่าเราเห็นอะไรมาบ้าง”
ปัทมนกลัดกลุ้มเหลือกำลัง

วันต่อมาทั้งสองยายหลานกับอีกหนึ่งบ่าวแมว กำลังช่วยกันกวาดบ้านเช็ดถูบ้าน สักครู่ก็มีเสียงสัญญาณเรียกประชุมจากเมืองเวทมนตร์ดังเข้ามา
“ท่านผู้นำเรียกประชุม” ทาฮิร่าส่งอุปกรณ์ทำความสะอาดที่ถืออยู่ให้แนนนี่ “ยายไปประชุมก่อน
นะแนนนี่ จำไว้นะ ห้ามออกไปไหน”
“ค่ะ ยาย”
“ชิกเก้นดูแลหลานฉันด้วย”
“ใครน่าจะดูแลใครกันแน่เนี่ย แค่ขนาดก็ผิดกันสุดๆแล้ว เวรก๊ำ...เวรกรรม”
“ฉันสิ” ทาฮิร่าพูดเลียนเสียงชิกเก้น “เวรก๊ำ...เวรกรรม จับฉลากได้แมวพูดมากมาเลี้ยง”
ทาฮิร่าหายตัววับไป
“เวรก๊ำ...เวรกรรม” แนน นี่กับชิกเก้นพูดพร้อมๆ กัน โดยแนนพูดใส่ชิกเก้นอย่างขำๆ

เวลาเดียวกันโป่งกำลังจัดโต๊ะอาหารง่วนอยู่ในห้องอาหาร จักรวาล ภวัต และรัดเกล้าเดินเข้ามา
“วันนี้โป่งบริการ แม่บ้านล่ะ” จักรวาลถามขึ้น
“บอกว่าไปเยี่ยมญาติครับ” โป่งบอก
“อีกแล้วเหรอ” ภวัตประหลาดใจ
“แต่แกไปไม่นานหรอกครับ วันก่อนก็บอกว่าไปเยี่ยมญาติแถวอีสาน โป่งยังทานข้าวไม่หมดจานเลยครับ กลับมาแหล่ว เหลือเชื่อ ไวยิ่งกว่าฟ้าแลบอีก” โป่งว่า
“ก็ป้าบานเย็นบอกว่าไปเยี่ยมญาติแถวอีสาน ไม่ได้บอกว่าไปเยี่ยมญาติที่อีสานสักหน่อย ก็คงเยี่ยมญาติที่เป็นชาวอีสานอยู่แถวๆใกล้บ้านเรานี่ละ” รัดเกล้าแก้ต่างให้
“คุณหมอมีน้องสาวฉลาดจังนะครับ” โป่งแซว
รัดเกล้าขำกิ๊ก “น้อยๆ หน่อยพี่”
โป่งเสิร์ฟทุกอย่างเสร็จก็เดินออกไป เป็นจังหวะเดียวกับที่ธานีโผล่เข้ามา
“มารับไปทำงานแล้วครับคุณรัดเกล้า” ธานีบอก
รัดเกล้าเขินพ่อกับพี่ เข่นเขี้ยวใส่ธานี เสียงไม่ดังนัก “ใครให้บุกมาถึงในนี้”
ธานีพูดตอบเสียงปกติ “เอ๊า ก็เมื่อก่อนเคยบุกได้ทุกวัน”
รัดเกล้าเข้ามาลากธานีออกไป “ก็นั่นมันเมื่อก่อน”
ทั้งคู่ออกไป จักรวาลหันมามองภวัตเป็นเชิงถาม ภวัตยิ้มแหยๆ สองพ่อลูกคุยกันแบบอารมณ์ดี
จักรวาลยังขำไม่เลิก “นั่น...เขาจีบกันตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะ”
“คุณพ่อต้องถามเขาเองครับ งานนี้ผมไม่เกี่ยว”
“อ้าว เป็นพี่ยังไงไม่รู้เรื่องน้อง”
“คุณพ่อเป็นพ่อยังไม่รู้ แล้วผมเป็นพี่จะรู้มั้ยครับ”
“ย้อนพ่อแน่ะ”
อิงอรเดินนวยนาดเข้ามา ในมือถือจานอาหารเช้าของตัวเองมาด้วย
“คุยอะไรกันคะพ่อลูก น่าร้ากกกกก เชียว”
โดยไม่ได้นัดหมาย จักรวาลกับภวัตมองหน้ากันหุบปาก หันมายิ้มแหะๆ ให้กัน
“ขอร่วมรับประทานอาหารเช้าด้วยนะคะ เอาอาหารมาเองพร้อมค่ะ”
อิงอรรับประทานอย่างสำราญใจ ในขณะที่จักรวาลกับภวัตมองยิ้มๆ คิดในใจว่าชินแระ
อิงอรพูดเชื้อเชิญให้พ่อลูกกินอาหารราวกับเป็นบ้านตัวเอง “เชิญสิคะ เชิญรับประทานเลยค่ะ”
จักรวาลกับภวัตลงมือกินต่อ อิงอรตักอาหารชิ้นที่น่าทานของตัวเองให้จักรวาลลองชิม

ที่นครเวทมนตร์ ท่านผู้นำแม่มดเรียกประชุมตอนย่ำค่ำ ทาฮิร่า กับบาบาร่า รวมอยู่ในกลุ่มพ่อมดแม่มดอื่นๆ รายล้อมฟังอย่างตั้งใจ
“สืบเนื่องจากที่เมื่อหลายเพลาก่อนมีแม่มดแจ้งว่าเห็นผู้แปลกหน้าเข้ามาประชิดถึงกำแพงมนตราของเมืองเวทมนต์ เราจะไม่เห็นผู้แปลกหน้านั้นด้วยตนเอง จึงตัดสินไม่ได้ว่าใช่ผู้แปลกหน้าหรือว่าเป็นเพียงภาพลวงตา แต่เราไม่พึงตกอยู่ในความประมาท หากมีผู้แปลกหน้ามาจริง และรู้ที่ตั้งเมืองเวทมนต์ อสูรก็ย่อมรู้ได้เช่นกัน หรือไม่ผู้แปลกหน้านั้นก็อาจเป็นอสูร เราจึงเรียกชุมนุมพวกท่านทั้งหลายเพื่อเสริมพลังกำแพงมนตรา และปรับหันทิศทางเมืองเวทมนตร์เพื่อลวงตาผู้มิใช่ชาวเมืองเวทมนต์ เชิญทุกท่านร่วมใจกัน ณ บัดนี้”

ผู้นำแม่มดเริ่มทำพิธีกรรมสุดอลังการ ขลังเข้ม และดูศักดิ์สิทธิ์ แม่มดพ่อมดนั่งเป็นวงใหญ่ เทียนมากมายกว่าพนเล่ม ถูกจุดวางรายรอบที่วงพิธี มีคบเพลิงติดเป็นแนวไปตามถนนยาวสุดสายตา เสียงหึ่งๆ จากการสวดมนต์ก้องกระหึ่ม ฟังไม่ออกว่าสวดอะไร
ทันใดนั้นกำแพงนครก็ถูกเพิ่มความแน่นหนาความแข็งแกร่ง มีแสงวูบวาบอุบัติขึ้นชวนตื่นตาตื่นใจ

แล้วสักครู่กำแพงค่อยๆ ใสขึ้นๆ จนดูไม่ออกว่ามีกำแพงบริเวณนั้น ในขณะที่เสียงสวดค่อยๆ เบาลง และเงียบไปในที่สุด








Create Date : 11 มีนาคม 2555
Last Update : 11 มีนาคม 2555 21:45:17 น.
Counter : 342 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

มิกัง
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]