All Blog
อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว ตอนที่ 12 (ต่อ)



พอปีเตอร์วางสายจากแนนนี่ ก็โทร.ไประบาย กับปะป๊าและหม่าม๊าจนหนำใจ จากนั้นก็เดินเข้ามาในห้องนอน แล้วทิ้งตัวลงนั่งอย่างเซ็งๆ และบ่นอยู่คนเดียวในห้อง

“เดี๋ยวก็หึงบุษบา เดี๋ยวก็หึงน้องดา โทร.มาทีไรก็คร่ำครวญหวนไห้ถึงหมอภวัต ช่างไม่นึกถึงจิตใจของปีเตอร์ซะบ้างเสียเลย”
ปีเตอร์หงายหลังลงนอนแล้วเถียงกับตัวเอง
“จะโทษแนนนี่ก็ไม่ได้ ปีเตอร์มันโง่เอง ในเมื่อไม่กล้าบอก ใครเขาจะไปรู้ละ”
ปีเตอร์ลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่าง
“แต่ถ้าเกิดบอกแล้วแนนนี่หัวเราะเยาะล่ะ มิช้ำใจตายเรอะ”
ปีเตอร์เดินไปอีกมุม
“ช้ำก็ช้ำซิ ให้มันรู้ชัดๆไปเลยยังดีเสียกว่า ต้องทุกข์ทรมานใจจากความไม่รู้” ปีเตอร์เว้นไปนิด สูดลมหายใจเต็มที่แล้วเดินไป “ปีเตอร์สู้ๆ ปีเตอร์ต้องสู้ เป็นไงเป็นกัน”
ปีเตอร์พยักหน้ากับตัวเองในกระจกอย่างหนักแน่น

ชิกเก้นลุกขึ้นบิดขี้เกียจ และหาวหวอดๆ พลางถามแนนนี่เสียงดัง
“กี่ทุ่มกี่ยามแล้วเนี่ย”
“3 ทุ่ม” มีเสียงใครคนหนึ่งตอบขึ้นมาแทน
“โอ๊ยโย่” ชิกเก้นสะดุ้ง จำเจ้าของเสียงได้ อุทานด้วยความตกใจแล้วหันไปมอง “คุณยายทาฮิร่าคนนี้นี่เองนึกจะไปก็ไป นึกจะมาก็มา เวรก๊ำ เวรกรรม”
“เวรกรรมแกน่ะซิ นอนหลับยังไม่ 3 ทุ่ม ขี้เกียจสันหลังยาว” ทาฮิร่าแขวะ
“นี่แหละเค้าเรียกว่าคนแก่ มาถึงก็บ่นยาวยืด”
“อายุแค่เกือบจะ 3 ฟันปี แก่ที่ไหน”
“คุณยายก็ลองไปถามใครดูซิว่าแก่หรือไม่แก่ ถ้าเป็นมนุษย์ เค้าก็ตายแล้วเกิด เกิดแล้วตายไปหลายร้อยชาติแล้ว” ชิกเก้นเรื่อยเจื้อย
“ไอ้ชิกเก้น แกจะยอมฟังฉันเงียบๆ โดยไม่เถียงซักครั้งนึงน่ะเป็นไปได้มั้ย”
“สารภาพตามตรงเลยว่า เป็นไปไม่ได้”
“เออ! ไม่ได้ก็ไม่ได้ แนนนี่อยู่ที่ไหน”
“โน่น! ในตะเกียง”
ทาฮิร่าร่ายคาถา สะบัดนิ้วมือวนๆ กลายเป็นควันลอยเข้าไปในตะเกียง

แนนนี่พยายามทำสมาธิท่องหนังสือ แต่ก็ไม่สำเร็จ วุ่นวายใจอยู่แต่เรื่องภวัต ในขณะที่ร่างทาฮิร่าปรากฏขึ้นมาตรงหน้า
“เฮ้อ ๆๆๆ คุณยายขา คุณยายต้องช่วยแนนนี่หน่อยนะคะ...แนนนี่ไม่มีสมาธิท่องหนังสือเลย”
“จะมีได้ไง ก็ในเมื่อเรามันเข้าไปวุ่นวายก็เขาเสียทุกเรื่อง” ทาฮิร่าประชด
“ก็แหม...”
“...รู้ตัวหรือเปล่าว่า กำลังจะเดือดร้อนเพราะไอ้ความวุ่นวายของเรานี่แหละ” ทาฮิร่าพูดซีเรียส
“แนนนี่น่ะหรือคะ กำลังจะเดือดร้อน” แนนนี่กอดอก แล้วเชิดหน้ารั้นๆ “ใครที่ไหนจะบังอาจมาทำอะไรแนนนี่”

“อย่าพูดอย่างนั้น” ทาฮิร่าสีหน้าจริงจังเคร่งเครียด
“ก็มันจริงนี่คะ แนนนี่เป็น...”
“หยุด” ทาฮิร่าตวาดเสียงเขียว
แนนนี่หน้าเสียสนิท
“คุณยาย คุณยายตวาดแนนนี่ คุณยายไม่รักแนนนี่แล้ว”
“ฟังให้ดีนะ การที่หลานช่วยให้พี่ชายหายเร็วขึ้นมันเป็นการฝืนกฏธรรมชาติ นายคนนั้นเขาจะต้องทุกข์ทรมานกับกรรมเก่าของเขา เพราะฉะนั้นกรรมนั่นจะต้องมาตกที่หลาน”
“จริงหรือคะ” แนนหน้าเสียหนักกว่าเดิม
ทาฮิร่าพยักหน้า แล้วดึงแนนนี่มากอดอย่างห่วงใย
“เวทมนตร์ของหลานจะเสื่อมไปเป็นระยะเวลาหนึ่ง ระหว่างนี้หลานต้องระวังตัวให้ดี”
แนนนี่เริ่มสำนึก หวาดหวั่นจนน้ำตาคลอ
“แนนนี่จะทำยังไงดีคะ แนนนี่กลัว”
“มันยังพอมีทางแก้ แนนนี่จะต้องพยายามทำความดีเพื่อจะล้างความผิดครั้งนี้ เข้าใจไหม อย่าเหวี่ยงใส่ใครอีก”
“แนนนี่จะพยายามค่ะ”
ทาฮิร่าลูบผมหลานสาวจอมแก่นอย่างเวทนา

ไม่นานหลังจากนั้นมีกลุ่มควันลอยออกมาจากตะเกียง แล้วกลายเป็นทาฮิร่า ชิกเก้นถามอย่างกระตือรือร้น
“เป็นไงบ้าง คุณยาย”
ทาฮิร่าทรุดตัวลงนั่งอย่างเหนื่อยใจ แล้วทอดถอนใจ
“ก็ตกใจกลัวไปน่ะซิ อย่าว่าแต่แนนนี่เลยฉันเองก็จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แกต้องเฝ้าระวังแนนนี่ให้ดีนะ” ทาฮิร่ากำชับชิกเก้น
“คุณยายก็มาอยู่เสียด้วยเลยดีมั้ย จะได้ช่วยกันปกป้องคุ้มครองแนนนี่”
“โฮ้ย! แม่บาบาร่าจะได้ทำงานง่ายขึ้นน่ะซิ แกคอยเฝ้าเป็นด่านแรกน่ะดีแล้ว ส่วนฉันจะเป็นด่านที่สองเอง”
“ฟังเผินๆ ก็ดูเสียสละดี แต่คิดให้ลึกๆแล้ว.. ดูเหมือนว่าคุณยายจะเอาตัวรอด”
“ฉันน่ะเหรอ เอาตัวรอด” ทาฮิร่าแผดเสียงดังลั่น

เวลาเดียวกันนั้น ธานีค่อยๆ ใช้ไม้ยันข้างหนึ่ง แล้วใช้อีกมือจับบันไดพยุงตัวขึ้นมา ธานีค่อยๆ เดินมาเรื่อยๆ จนจะผ่านหน้าห้องแนนนี่
“เบาหน่อย คุณยาย เอะอะโวยวายเดี๋ยวใครก็ได้ยินหรอก”
ธานีชะงัก แล้วหยุดฟัง
“ก็แกอยากจี้จุดปรี๊ดของฉันทำไม”
“แน่ะ! บอกให้เบาๆ ยิ่งเสียงดัง เวรก๊ำ...เวรกรรม”
มีเสียงเคาะประตูขัดขึ้นเสียก่อน
“แนนนี่”
ชิคเก้นและทาฮิร่าหันมาจ้องหน้ากัน เบิกตาโพลง
“แนนนี่ เปิดประตูซิ” ธานีเคาะอีก

สองบ่าวนายลนลานอยู่ในห้อง
“แปลงตัว ต้องแปลงตัว” ทาฮิร่าว่า
มีเสียงเรียก พร้อมกับเสียงเคาะประตูยังดังอีก
“จะต้องแปลงทำไม แนนนี่อยู่ในตะเกียง ก็เข้าไปตามซิ คุณย้าย...ย”
“เออ เออ งั้นฉันเข้าไปตามก่อนนะ”
“รีบไปเลย ชิคเก้นจะถ่วงเวลาเอาไว้ก่อน”
ทาฮิร่าว่าคาถาจะเข้าไป แต่ก็เงอะงะด้วยความรีบร้อน
ชิกเก้นสุดจะทนรอ รีบแก้วิกฤตด้วยการทำเสียงเลียนแนนนี่
“ขา...พี่ธานี ...แนนนี่กำลังจัดห้องอยู่ค่ะ จัดเสร็จก็จะอาบน้ำอาบท่า แล้วดูหนังสือ...พรุ่งนี้ปีเตอร์มาติวหนังสือให้
ทาฮิร่าเสกคาถาจะเข้าตะเกียง ก็เข้าไม่ได้สักที
“พี่ได้ยินเสียงแนนนี่พูดอยู่กับใคร” ธานีร้องถาม
“อ๋อ พูดคนเดียวค่ะ แนนนี่เครียดๆ ก็เลยลองพูดกับตัวเองดู” ชิกเก้นดัดเสียงแนนนี่ตอบออกไป

“ไม่เป็นอะไรแน่นะ” ธานีถามอย่างเป็นห่วง
“ค่ะ...ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ” ชิกเก้นแนนนี่ตอบ
“งั้นพี่ไปนอนละ”
“ฝันดีนะคะ”
“จ้ะ ขอบใจ”
ธานียิ้ม แล้วเดินไปเข้าห้อง

จนแล้วจนรอดทาฮิร่าพยายามจะว่าคาถาลงตะเกียง จนเหงื่อแตก แต่ก็ทำไม่ได้ ชิกเก้นส่ายหน้าระอาใจ
“ดูนางทำซิ พอแล้ว คุณยาย คุณธานีเค้าไม่เข้ามาแล้วละ”
“ค่อยยังชั่ว ฉันจะกลับนิวาสสถานละนะ เหนื่อย”
“เชิญเถอะ...ชิคเก้นก็จะนอนแล้ว”
ทาฮิร่าว่าคาถา แล้วหายแว้บไป
“และแล้วโลกนี้ก็เข้าสู่ความสงบสุขเสียที เมี้ยว”
ชิกเก้นขดตัวนอน อย่างสบายอารมณ์

พลันที่ทาฮิร่าปรากฏตัวขึ้นที่บ้านตัวเองในเมืองมนุษย์ ก็มีเสียงทักทายคุ้นหูดังขึ้น
“จันทราสวัสดิ์ ทาฮิร่า”
“บาบาร่า” ทาฮิร่าสะดุ้งเฮือก หันขวับไปมอง
“ใช่ ฉันเอง หาตัวยากจังนะ เพื่อนรัก”
“ฉัน...ฉัน ไม่ได้ไปไหน ก็ ไปๆ มาๆ” บาบาร่าพูดตะกุกตะกัก ส่อพิรุธเต็มขั้น
บาบาร่ากวาดตามองไปโดยรอบบ้าน
“ช่วงหาที่อยู่นะ แล้วนี่ไม่คิดจะกลับไปอยู่นครเวทมนตร์แล้วเรอะ”
“กลับ ... บ ...” ทาฮิร่าลากเสียงยาว “...ฉันแค่มาตากอากาศเมืองมนุษย์”
“มาตากอากาศเมืองมนุษย์ ...หรือว่ามาคอยดูแลใครกันแน่” บาบาร่าดักคอ
“พูดอะไรไม่เห็นรู้เรื่อง” ทาฮิร่าสะดุ้ง แล้วทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
บาบาร่าย่างสามขุมเข้าหา “เธอรู้อยู่เต็มอก”
“ฉันไม่รู้”
“เธอรู้” บาบาร่าผลักอกทาฮิร่า “เธอรู้ว่าแนนนี่เป็นอสูร เธอคิดจะเอาความดีความชอบอยู่คนเดียว โดยไม่แบ่งให้ใคร”
ทาฮิร่าซึ่งตกใจในเบื้องแรก ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นแปลกใจ
“เธออุตส่าห์มาแฝงตัวในหมู่มวลมนุษย์ก็เพื่อจะจับอสูร” บาบาร่าย้ำ
ทาฮิร่าโล่งใจ ค่อยๆ เบิกตากว้าง แล้วรับสมอ้างทันที
“ใช่ ! ใช่แล้ว”
“แต่ฉันไม่มีวันยอมให้เธอทำอย่างนั้นเด็ดขาด ใครดีใครได้ ฉันนี่แหละจะเป็นคนจับอสูรไปให้ ท่านผู้นำ” บาบาร่าเว้นนิดหนึ่ง “เราเตือนคุณแล้ว”
พูดแค่นั้นบาบาร่าก็ร่ายคาถาหายตัวไป ทาฮิร่าถอนใจเฮือกใหญ่ พึมพำอยู่คนเดียว
“นี่ฉันควรดีใจหรือว่าเสียใจดี”

บรรยากาศเงียบสงัด กลางดึกคืนนั้น ขณะที่ภวัตกำลังนอนหลับสนิทอยู่ภายในห้อง ก็มีมือๆ หนึ่งเอื้อมมาเขย่าตัว
“นายภวิต! นายภวิต”
ภวัตลืมตาตื่นขึ้น อ้าปากจะร้องลั่น
“ฉันเอง”
ภวัตลุกขึ้นอย่างหงุดหงิด “คุณยาย! ...ทำไมต้องมาตอนนี้ด้วย...ไม่รู้จักหลับรู้จักนอนกันเรอะไง”
“มันนอนไม่หลับ”
“พรุ่งนี้ ผมจะสั่งยาให้ แต่ตอนนี้คุณยายต้องกลับไป”
“ก็บอกแล้วว่ามันนอนไม่หลับ.....” ทาฮิร่าลากเสียง
“ผมขอแนะนำให้ลองไปพับดาวดู ...คุณยายเป็นแม่มดนี่ อ้อ! หรือ! จะขี่ไม้กวาดขึ้นไปนับบนฟ้าก็ได้ ไม่ก็ย้ายนิวาสถานไปอยู่บนดาวดวงใดดวงหนึ่งเสียเลย” ภวัตพูดแบบประชดประชัน
“แนนนี่กำลังตกอยู่ในอันตราย”
“ไม่ใช่เรื่อง” พอรู้สึกตัวภวัตถึงกับชะงัก “อะไรนะครับ”
“แนนนี่กำลังตกอยู่ในอันตราย อันตรายขั้นร้ายแรงด้วย ซึ่งมันเป็นสาเหตุให้ฉันนอนไม่หลับ”
“ไหนว่าแนนนี่เป็นอสูร”
ทาฮิร่าหงุดหงิดทันใดที่มีใครว่าหลานสาวเป็นอสูร “เป็นแม่มด”
“พวกเดียวกันนั่นแหละครับ”
“คนละพวก”
“ก็คนละพวกเดียวกันละครับ”
“นี่นายภวิต”
“ภวัตครับ! เมื่อไหร่ คุณยายจะเรียกถูกสักที”
“นี่เธอไม่ได้สนใจเลยเรอะว่า แนนนี่จะมีอันตรายอะไร”
ภวัตอ้าปากจะพูด
“ฉันบอกให้ก็ได้ค่ะ แนนนี่ได้ละเมิดกฎธรรมชาติด้วยการช่วยนายธานี ช่วงเวลานี้ดวงชะตาของนายธานีมีเคราะห์หนัก แต่ยังไม่ทันได้ทุกข์ทรมานสักเท่าไหร่ แนนนี่ก็ดั๊นไปทำให้หายซะแล้ว เพราะฉะนั้น แนนนี่จึงต้องรับเคราะห์แทน และเป็นเคราะห์ที่เบิ้ลเป็นสองเท่า” ทาฮิร่าระบายอย่างอัดอั้น
ภวัตฟังแล้วมีสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
“บอกตามตรงๆ ว่า เรื่องของพวกคุณยายเป็นเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้”
“เธอนี่ดื้อยังกับลา! ขนาดฉันกับแนนนี่แสดงให้ดูตั้งหลายอย่าง” ทาฮิร่าชักหงุดหงิด
“มันอาจจะเป็นการร่วมมือกันเล่นกล”
“โง่เหมือนลาด้วย! ฉันคิดผิดถนัดที่มาขอความช่วยเหลือจากเธอ”
ทาฮิร่าพูดจบว่าคาถาหายตัวไป แต่พอลืมตาขึ้น กลับยังอยู่ที่เดิมภวัตกอดอกมอง
“เอาใหม่ก็ได้”
ทาฮิร่าว่าคาถาอีก และก็ยังอยู่ที่เดิมอีก
“ผมว่าเดินกลับไปน่าจะถึงเร็วกว่านะครับ ผมจะไปส่ง”
“ไม่ต้อง”
ไม่ว่าทาฮิร่าว่าคาถากี่ครั้งๆ ก็ยังอยู่ที่เดิม ภวัตมองด้วยสีหน้าง่วง และงุนงง

ภวัตตัดสินใจพาทาฮิร่าเดินมาส่งถึงหน้าบ้าน
“เห็นมั้ยล่ะครับว่า บางครั้งวิธีของมนุษย์ก็ดีกว่าวิธีของแม่มด...นอนหลับฝันดีนะครับ
ภวัตหันหลัง ขยับเดินออกไปทาฮิร่าเรียกไว้
“นายภวิต เธอไม่เชื่อจริงๆหรือว่า ฉันกับแนนนี่เป็นแม่มด”
ภวัตนิ่งอึ้งไป ทาฮิร่าสังเกตเห็นเดินมาจ้องเขม็ง
“เธอรู้... แต่เธอพยายามที่จะไม่ยอมรับ! ...พยายามหาข้อโต้แย้ง อย่าทำอย่างนั้นเลย ขอร้องเพราะแนนนี่ต้องการความช่วยเหลือจากเธอ”
ทาฮิร่าเปิดประตูบ้านเดินเข้าไป
ภวัตยืนนิ่ง มีสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด

บรรยากาศยามเช้าที่ขมุกขมัว ไม่สดใสเหมือนวันก่อนๆ ท้องฟ้ามีกลุ่มเมฆคลุมไปทั่วเหมือนฝนจะตก
แนนนี่ลืมตาตื่นขึ้นภายในตะเกียงแก้ว และบิดขี้เกียจบนเตียงครู่หนึ่งแล้วลุกขึ้น เท้าแนนนี่เหยียบพรม แล้วลื่นไถลหกล้ม
“โอ๊ย” แนนนี่ร้อง
“แนนนี่หกล้ม” ตะเกียงแก้วตกใจเว่อร์ๆ
“แล้วทำไมต้องทำตกใจเว่อร์ยังงั้นด้วย” แนนนี่ฉุน
“มัน...มันเป็นลางร้าย ในตะเกียงแก้วเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับแม่มด ไม่เคยมีแม่มดตนไหนเคยหกล้มในตะเกียง” ตะเกียงแก้วสาธยาย
“โธ่เอ๊ย ของมันล้มกันได้” แนนนี่เถียงและเปิดฉากโต้กันไปมากับตะเกียงแก้ว
“ล้มไม่ได้” / “ได้”
“ไม่ได้” / “ต้องได้”
“ฉันไม่อยากเถียงกับเธอแล้ว แต่ขอเตือนให้ระวังตัวเอาไว้” ตะเกียงแก้วโมโหแต่ไม่วายเตือนอย่างห่วงใย
แนนนี่ว่าคาถา กลายเป็นควันลอยออกไป
“ดื้อเหมือนคุณยายทาฮิร่าเลย” ตะเกียงแก้วพึมพำ

ภวัตกำลังผูกเนคไทด์อยู่หน้ากระจก พอเสร็จจึง เดินเลยไปที่หน้าต่าง แต่แล้วก็ชะงัก เมื่อปีเตอร์กำลังขับรถเข้าไปในบ้านแนนนี่
“อุตส่าห์มาตั้งแต่เช้า”
ภวัตพูดเยาะๆ แล้วหันหลังเดินออกจากห้องไป

จักรวาลจิบกาแฟพลางอ่านหนังสือพิมพ์ ตรงหน้ามีข้าวต้ม รัดเกล้านั่งทานไข่ดาวไส้กรอก มีน้ำส้มวางอยู่ใกล้ๆ
“ไส้กรอกอร่อยจัง อร่อยกว่าที่เคยกินข้าวทั้งหมดเลย คุณพ่อทานมั้ยคะ” รัดเกล้าชื่นชมไม่ขาดปาก
จักรวาลวางหนังสือพิมพ์ในมือลง พลางว่า “อร่อยยังไงมันก็ไส้กรอก”
“น่า! คุณพ่อลองชิมดูซิคะ”
จังหวะนั้นรัดเกล้าใช้ส้อมจิ้มป้อนพ่อ ขณะที่ภวัตเดินเข้ามา
“อืม...ม...อร่อยจริงๆ ด้วย” จักรวาลว่า
“คุณภวัตจะรับข้าวต้มหรือว่าไข่ดาวไส้กรอกครับ” โป่งถาม
“เอาไข่ดาวไส้กรอกมาเลย” รัดเกล้าสั่งโป่ง
“พี่ไม่ชอบอาหารฝรั่ง” ภวัตลงนั่ง
“พ่อก็ไม่ค่อยชอบ แต่ไส้กรอกอร่อยจริงๆ” จักรวาลเอ่ยขึ้น
“ลองดูน่า...นะคะ” รัดเกล้าคะยั้นคะยอ
“งั้นเอาทั้งสองอย่างเลยดีมั้ยครับ” โป่งนำเสนอ
“อย่างเดียวพอ”
“งั้นรอสักครู่ครับ”

โป่งรีบออกไป แล้วเดินเข้ามาภายในครัว
“ขอไข่ดาวไส้กรอกสำหรับคุณหมอภวัตอีกทีนึงครับ เห็นทุกคนชมว่าไส้กรอกอร่อยเริด เลิศล้ำ! คุณแม่บ้านใช้ยี่ห้ออะไรหรือครับ”
“ไดโนซอรัส”
“ไดโนซอรัส” โป่งนิ่งคิด “ฟังคล้ายๆ กับไดโนเสาร์เลย”
“ประมาณนั้น”
บาบาร่าหันหลังให้แว่บหนึ่งแล้วหันกลับมาพร้อมจานไส้กรอกไข่ดาว โป่งเบิกตากว้าง
“เอ้า! เอาไปให้คุณภวัต” บาบาร่าบอก
“โห ! ยังกับเสกแน่ะครับ”
“ก็ประมาณนั้นอีกเหมือนกัน” บาบาร่าพูดเชิดๆ
“เก่งกว่าคุณแนนนี่อีก”
คราวนี้บาบาร่ายักไหล่ “กระดูกคนละเบอร์”
“วันหลังสอนให้ผมบ้างนะครับ”
“ต้องดูก่อนว่า แกจะเชื่อฟังฉันมากแค่ไหน”
สีหน้าแววตาบาบาร่า ขณะพูดดูมีลับลมคมใน

โป่งยกจานไข่ดาวไส้กรอกมาวางให้ภวัต
“บอกแล้วว่า ฉันไม่ชอบอาหารฝรั่ง” ภวัตโวย
“อ้าว” โป่งจ๋อย
“ลองทานดูเถอะน่า” รัดเกล้าว่า
ภวัตกินอย่างเสียไม่ได้ “... อร่อยจริงๆ ด้วย”
“เกล้าบอกแล้ว”
“เดี๋ยวไปเยี่ยมธานีด้วยกันนะ” ภวัตบอก
“ไม่”
“ไปเถอะ เอาไส้กรอกไปให้ด้วย โป่ง ไปถามบานเย็นซิว่า ยังมีไส้กรอกอีกหรือเปล่า” จักรวาลเอ่ยขึ้น
“โป่งไม่เคยเห็นเลยนะครับว่าแกเก็บเอาไว้ที่ไหน” โป่งพูดพาซื่อ
ภวัตฟังแล้วถึงกับชะงัก นิ่วหน้าเหมือนจะทบทวนอะไรบางอย่าง
“ไปถามดูเถอะน่า” จักรวาลสั่ง
“ครับ!”
โป่งเดินเข้าไป ภวัตมองไส้กรอกอย่างใคร่ครวญครุ่นคิด

สองพี่น้องเดินกันมา โดยภวัตถือถุงไส้กรอกมาด้วย
“โชคดีของบ้านเรานะคะ ที่ได้ป้าบานเย็นมา แกทำกับข้าวอร่อยทุกอย่างเลย”
“ก็น่าจะอร่อยหรอก” ภวัตเยาะ
“ทำไมพี่ภวัตพูดแปลกๆ” รัดเกล้างง
ภวัตเสหันไปกดกริ่ง “แปลกที่ไหน แกทำอร่อย พี่ก็บอกว่าอร่อย”
ประตูเปิดออก พรยิ้มกว้าง รายงานทันที
“คุณภวัตกับคุณเกล้ามาแต่เช้าเลย แต่ยังช้ากว่าคุณปีเตอร์ เชิญค่ะ”
2 คนเดินเข้าไป รัดเกล้ากระซิบภวัต
"เกล้าว่านายปีเตอร์ต้องจีบแนนนี่แน่ๆ"

ภวัตมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาทันควันเมื่อได้ยินชื่อ...ปีเตอร์!











Create Date : 03 กุมภาพันธ์ 2555
Last Update : 3 กุมภาพันธ์ 2555 10:13:10 น.
Counter : 530 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

มิกัง
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]