Q[-___-Q ma leaw ja
Group Blog
 
All Blogs
 

ทารองพื้นถูกวิธี หน้าเรียบสวยดุจนางแบบ

เห็นใบหน้าของนางแบบและนักแสดงแล้ว ช่างน่าอิจฉาเสียจริง เพราะเธอเหล่านั้นใบหน้าเนียนสวย หันกลับมามองที่กระจก เราก็แต่งหน้าเหมือนกัน แต่ทำไมไม่เรียบเนียนสวย

นั่นเพราะการลงรองพื้นบนใบหน้า เขามีวิธีที่ถูกต้องด้วย ไม่ใช่ว่าจะใช้พัฟทาๆ ถูๆ ให้ทั่ว แต่พื้นที่บนใบหน้าแต่ละส่วน ล้วนแล้วแต่ต้องการความหนาบางของรองพื้นไม่เท่ากัน

เคล็ดลับการทารองพื้นให้สวยเรียบเนียนนี้ ชู อูเอมูระ เป็นผู้ใจดีมาเผยแบบหมดเปลือก เพราะอยากให้สาวๆ ได้เทียมเท่ากับนางแบบและนักแสดง ซึ่งเทคนิคนี้เรียกว่า "เฟซ อาร์ชิเทค" (Face Architect) ซึ่งจะเป็น การทำความรู้จักกับโซนต่างๆ ของใบหน้า ซึ่งจะแบ่งออกเป็น

"ทีโซน" บริเวณหน้าผากลงมาถึงจมูก

"เอสโซน" บริเวณพวงแก้มทั้ง 2 ข้าง

"โอโซน" บริเวณรอบริมฝีปาก

"อาย แอเรีย" บริเวณรอบดวงตา

"เนค" บริเวณรอบลำคอ


รู้จักโซนต่างๆ แล้ว เริ่มกันเลย.



ขั้นตอนที่ 1 เกลี่ยรองพื้นบริเวณแก้ม (เอสโซน) ทั้ง 2 ข้างในทิศทางลง

ขั้นตอนที่ 2 เกลี่ยรองพื้นบริเวณใต้จมูกในทิศทางลงและใต้ปากในทิศทางขึ้น

ขั้นตอนที่ 3 เกลี่ยรองพื้นบริเวณจมูกในทิศทางลง

ขั้นตอนที่ 4 เกลี่ยรองพื้นบริเวณรอบดวงตา (อาย แอเรีย) โดยการใช้คอนซีลเลอร์ปกปิดรอยคล้ำใต้ตา

ขั้นตอนที่ 5 เกลี่ยรองพื้นบริเวณหน้าผากโดยเริ่มจากจุดกึ่งกลางหน้าผากในทิศทางออกด้านข้าง

ขั้นตอนที่ 6 เกลี่ยรองพื้นบริเวณต้นคอลากลงไปจนถึงปลายคอเพื่อให้สีผิวเนียนเรียบเท่ากัน ไม่ยาก ไม่ยาก

ปิดท้ายด้วยเคล็ดลับอีกนิดนึงว่า ก่อนลงรองพื้นควรบำรุงผิวให้มีความชุ่มชื่นมากพอสมควรเพราะถ้าผิวแห้งเกินไปจะทำให้รองพื้นไม่ติดผิว และบริเวณที่มักเกิดเงา 3 จุดคือ ปลายหางตา ปลายจมูก และมุมปาก ควรอำพรางเงาด้วยคอนซีลเลอร์หรือครีมรองพื้น

เอาล่ะ มองกระจกอีกครั้งหนึ่ง แล้วยิ้มให้กับความสวยเรียบเนียน




 

Create Date : 30 กรกฎาคม 2551    
Last Update : 30 กรกฎาคม 2551 12:28:43 น.
Counter : 373 Pageviews.  

เรื่องการแต่งหน้าเมื่อเป็นสิว

สาวๆ หลายคนคงจะอยากรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้กัน เรื่องการแต่งหน้าเวลาที่เป็นสิวหรือผลิตภัณฑ์แต่งหน้าแบบไหนที่เหมาะกับเราบ้าง บทความนี้ก็จะพูดถึงเรื่องรองพื้น สีที่จะใช้ เพื่อให้คนที่เป็นสิวแล้วหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องแต่งหน้าใช้กันอย่างถูกวิธี แต่ที่ดีที่สุดคือควรหลีกเลี่ยงพวกนี้ในขณะที่เป็นสิวอยู่


เรื่องแต่งหน้ากับสิว
การทายารักษาสิวและการใช้เครื่องสำอางอำพรางรอยด่างดำจากสิวนั้นเป็นสิ่งสำคัญ การใช้เครื่องสำอางเพื่อปกปิดสิวที่ผิดจะทำให้ปัญหายิ่งแย่ลง

วิธีก็คือการเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับสภาพผิว
โดยปกติแล้วการแข่งขันด้านเครื่องสำอางมักจะเกี่ยวข้องกับสิวและปกปิดระหว่างการรักษา “สิวที่เกิดจากการใช้เครื่องสำอาง” จะพบได้บ่อยในหญิงที่มีอายุ 20-30 ปี และมีรายงานว่ากลุ่มนี้ไม่เคยเป็นสิวในช่วงวัยรุ่น
ผู้เป็นสิวต้องการปกปิดอำพรางสิวที่ยังไม่หายและรอยดำจากสิว แต่ผลิตภัณฑ์ในการปกปิดบางอย่างก็สามารถทำให้เกิดสิวมากขึ้นได้ ซึ่งนำไปสู่วงเวียนการใช้ผลิตภัณฑ์ในการปกปิดที่มากขึ้น

Comedogenicity เป็นปัจจัยที่อาจทำให้เกิดสิวอุดตัน สิวเสี้ยน และสิวอักเสบในที่สุด ตามลำดับโดยการอุดตันรูขุมขน

Acnegenicity เป็นตัวที่ทำให้เกิดสิวหัวหนอง สิวอักเสบ เกิดจากการระคายเคืองของรูขุมขน และที่แย่ก็คือแม้ว่าผลิตภัณฑ์ที่ระบุว่าเป็น non-comedogenic หรือ non-acneginic ก็ยังอาจทำให้เกิดสิวได้ในบางคน

ดังนั้นก่อนตัดสินใจเลือกผลิตภัณฑ์ควรทดลองปริมาณน้อย ๆ ก่อน คอนซีลเลอร์และรองพื้นที่มีน้ำมันเป็นส่วนประกอบจะช่วยให้ผลิตภัณฑ์คงอยู่บนผิวหน้าได้นานขึ้นและปกปิดได้มากขึ้น แต่ผู้ที่เป็นสิวควรจะต้องหลีกเลี่ยง หากเป็นผลิตภัณฑ์ประเภท oil-free (ไม่มีน้ำมัน) หรือที่มีส่วนประกอบเป็นน้ำจะเหมาะกับคนเป็นสิวมากกว่าและโอกาสที่สิวจะขึ้นน้อยกว่า


ทำอย่างไรให้หน้ามันน้อยลง
ปัญหาอีกอย่างหนึ่งที่คนเป็นสิวประสบพบเจอก็คือ วิธีที่จะทำให้หน้ามันน้อยลง เมื่อรองพื้นที่เป็นสูตรน้ำและปราศจากน้ำมันผสมกับซีบั่มบนผิวหน้า สีของรองพื้นก็จะเปลี่ยน, ปกปิดได้น้อยลง

ดังนั้นผลิตภัณฑ์ “ควบคุมความมัน” จะให้ผลดีกว่า เพราะมีส่วนประกอบของตัวดูดซับที่หนาแน่น

ส่วนผสมประเภทแป้งหรือทัลคัมที่ดูดซับซีบั่มเพื่อให้หน้ามันน้อยลงและปกปิดได้นานขึ้น สามารถตบแป้งฝุ่นที่ดูดซับความมันทับบนครีมรองพื้นหรือรองพื้นชนิดน้ำ หรือคอนซีลเลอร์ชนิดปราศจากน้ำมัน เพื่อให้ติดทนนานขึ้นและสามารถทาเพิ่มได้เมื่อต้องการ

คนที่เป็นสิวมักจะบ่นกันว่าผลิตภัณฑ์ปกปิดสิวมักจะปิดไม่อยู่ หรือไม่ก็ไม่ติด หลังจากการทายารักษาสิว เทคนิคก็คือรอให้ผลิตภัณฑ์รักษาสิวแห้งสนิทก่อนที่จะทาผลิตภัณฑ์ปกปิดสิว เนื่องจากยารักษาสิวบางชนิดมีผลให้ผิวไวต่อแดด จึงจำเป็นมากที่จะต้องทาครีมกันแดดทุกวัน

สำหรับผู้ที่ทาครีมกันแดดก่อนลงรองพื้นแล้วรู้สึกว่าเหนียวหรือหนักเกินไป ลองใช้ครีมบำรุงผสมรองพื้นแบบบางเบาหรือ บรอนเซอร์ ที่ผสมครีมกันแดดในตัว จะให้ความรู้สึกเบาสบายผิวมากกว่าโดยทั่วไปมักจะเข้าใจกันว่าสิวที่เกิดจากเครื่องสำอางนั้นเป็นเหตุจากการทารองพื้น, แป้งแข็ง, ครีมเนื้อหนา และบลัชออน ดังนั้นการตรวจสอบส่วนผสมของผลิตภัณฑ์สำหรับผิวของคุณทุกชิ้นว่ามีส่วนผสมที่สามารถทำให้เกิดสิวได้ผสมอยู่หรือไม่



ประเด็นหลักของผลิตภัณฑ์ปกปิดสิวคือ การปกปิดอำพราง จึงมีรายละเอียดเกี่ยวกับการเลือกสีที่เหมาะสม หลายคนคิดว่าการทาเมคอัพสีเขียว หรือสีม่วงบริเวณโหนกแก้ม หรือใต้เบ้าตาจะทำให้นึกถึงวันฮาโลวีน จริง ๆ แล้วการใช้สีเหล่านี้มีที่มา - - การแต่งเพื่อปกปิดโดยการใช้สีของรองพื้นหรือคอนซีลเลอร์ที่อ่อนกว่าสีผิว สีเขียวจะช่วยอำพรางหรือลดสีแก้มแดง ๆ ของคนที่เป็น rosacea (มักจะแดงกว่าปกติเมื่ออากาศเย็น) สีม่วงจะช่วยลดสีผิวเหลือง ๆ ที่ถูกแสงแดดทำลาย สีขาวจะช่วยปกปิดจุดน้ำตาลของฝ้ากระ




 

Create Date : 30 กรกฎาคม 2551    
Last Update : 30 กรกฎาคม 2551 12:23:11 น.
Counter : 463 Pageviews.  

หนวดเครากับผู้ชาย



ซึ่งโดยปกติแล้ว หนวดเคราจะงอกเฉลี่ยวันละ 0.2-0.5 มม. และมีอายุประมาณ 3-6 เดือนแล้วแต่กรรมพันธุ์ ทำให้ระยะเวลาและความถี่ในการโกนหนวดของแต่ละคนไม่เท่ากัน บางคนอาจต้องโกนทุกวัน ในขณะที่บางคนอาจโกนเพียงอาทิตย์ละ 1-3 ครั้ง

ขั้นตอนการโกนหนวดเครา เริ่มจาก

ล้างหน้า-ล้างมือให้สะอาด โดยเลือกผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่เหมาะกับผิว เพื่อกำจัดสิ่งสกปรกบริเวณใบหน้าและมือ

เพราะมีบ่อย ๆ ที่บางคนโกนหนวดเคราโดยยังไม่ทำความสะอาดผิวหน้าก่อน เช่น โกนด้วยเครื่องโกนหนวดไฟฟ้า ทำให้สิ่งสกปรกและเชื้อแบคทีเรียแทรกซึมเข้าไปตามรูขุมขน ทำให้เกิดสิวอักเสบหลังโกนหนวดเคราได้ภายหลัง

ใช้โฟมโกนหนวด ทาบริเวณที่ต้องการจะโกนให้ทั่ว เพราะโฟมจะช่วยให้หนวดเคราอ่อนตัว ลื่นไหลได้มากขึ้น ทำให้การโกนหนวดไม่ทำลายเซลล์ผิวหน้า ไม่แนะนำให้โกนด้วย มีดโกนทันที หรือใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าอย่างอื่น เช่น สบู่ ทาแทนโฟมโกนหนวด

ใช้ผ้าร้อนประคบให้หนวดเคราอ่อนตัว โดยนำผ้าขนหนูชุบน้ำร้อน หรือนำเข้าไมโครเวฟประมาณ 30-60 วินาที แล้วนำมาเช็ดและซับโฟมบนใบหน้าที่ติดอยู่ออกให้หมดจด

ใช้โฟมโกนหนวดทาอีกครั้ง แล้วเริ่มต้นใช้ใบมีดโกนที่สะอาดและคม เริ่มโกนเคราและหนวดโดยโกนไปตามแนวเส้นขน ไม่โกนย้อนแนวเส้นขน เพื่อรบกวนต่อต่อมไขมันและรูขุมขนให้น้อยที่สุด นอกจากนี้ไม่ควรโกนซ้ำที่เดียวหลาย ๆ ครั้ง เพราะจะทำให้ระคายเคืองผิว เกิดการแพ้ อักเสบ และสิวได้

ล้างหน้าด้วยน้ำเย็นเพื่อกระชับรูขุมขน แล้วทาอาฟเตอร์เชพโลชั่นเพราะโลชั่นจะช่วยสมานผิวกรณีที่เกิดบาดแผล ที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า และควรจะทาน้ำมันบำรุงผิว เพื่อช่วยรักษาความชุ่มชื้นแก่ผิวบริเวณที่โกนหนวดเครา

ควรเปลี่ยนใบมีดโกนทุกอาทิตย์ เพราะถ้าใบมีดด้านจะทำให้โกนได้ไม่เกลี้ยงเกลาและระคายเคืองผิว จนอาจจะทำให้เกิดบาดแผลได้

การโกนหนวดเคราที่ถูกวิธี และใส่ใจดูแลรักษา จะช่วยเสริมบุคคลิกภาพของท่านชายให้ดูน่ามอง สะอาดสะอ้าน โดยเฉพาะหนุ่มออฟฟิศทั้งหลาย คงไม่ต้องบอกเลยว่า ผลประโยชน์หลายด้านอาจจะตามมาโดยที่คุณคาดไม่ถึง!




 

Create Date : 30 กรกฎาคม 2551    
Last Update : 30 กรกฎาคม 2551 12:37:05 น.
Counter : 2252 Pageviews.  

ปัญหาสิวๆ ของชายหนุ่ม...

Q. เป็นสิว เป็นๆ หายๆ มานาน บางครั้งซื้อยามาใช้เอง บางครั้งไปพบแพทย์ ได้ทั้งยาทา ยากิน บางครั้งแต่ละคลินิกก็ให้ยาไม่เหมือนกัน ล่าสุดมีการแนะนำให้ฉายแสงเพื่อรักษาสิว จึงอยากทราบเกี่ยวกับการรักษาสิวครับ


A. โรคสิวเป็นโรคผิวหนังที่พบบ่อยที่สุด ไม่ได้เป็นแค่ความสวยความงาม จึงมีแนวทางการรักษาทาง
การแพทย์อย่างชัดเจน เมื่อไม่นานมีการประชุมที่สิงคโปร์และได้มีข้อตกลงร่วมกันในแนวทางการรักษาสิวของประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ดังนี้

1. ยาทาเบนซอยล์ เปอร์ออกไซด์ (Benzoyl peroxide)
ถือว่าเป็นยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคสิวที่มีประโยชน์แต่ได้ผลเล็กน้อยต่อสิวชนิดอุดตัน (คอมีโดน) จึงให้ใช้ในสิวที่รุนแรงน้อยไปจนถึงรุนแรงปานกลาง โดยไม่ใช้เพียงตัวเดียวในกรณีของสิวอุดตัน ยาทาตัวนี้ต้องใช้อย่างระมัดระวังและใช้ในความเข้มข้นต่ำ โดยเฉพาะในผู้ที่มีผิวแห้งหรือผิวแพ้ง่าย หรือผิวที่ไวต่อการแพ้อยู่แล้ว

2. ยาทากลุ่มเรตินอยด์ (Retinoid)
หรือยาในกลุ่มกรดวิตามินเอ ที่มีหลายยุค จัดว่าได้ผลดีต่อสิวชนิดสิวอุดตันและสิวที่มีการอักเสบ ยังช่วยทำให้รอยดำที่เกิดจากสิวจางลง และมีประสิทธิภาพในการใช้รักษาอย่างต่อเนื่อง ยาชนิดนี้ช่วยการดูดซึมของยาชนิดอื่นๆ ผ่านผิวหนัง ทำให้เกิดการระคายเคืองและแพ้ต่อแสงได้ง่าย ใช้ในกรณีที่เป็นสิวรุนแรงน้อยจนถึงปานกลาง โดยให้ใช้ร่วมกับยาฆ่าเชื้อ (ในรูปของยาทาหรือยารับประทาน) เมื่อเป็นสิวอักเสบ ยากลุ่มนี้ให้ทาเฉพาะบริเวณที่เป็นสิว และให้ใช้ในกรณีที่เป็นสิวอักเสบได้ อาจใช้ในรูปแบบครีมหรือรูปแบบที่พัฒนาเป็นยุคที่ 3 (third generation retinoids) สำหรับผู้ที่มีผิวแห้งหรือผิวแพ้ง่าย และใช้ในรูปแบบเจล สำหรับผู้ที่มีผิวมันเรตินอยด์หรือยาทากรดวิตามินเอยุคที่ 3 ได้แก่ adapalene และ tazarotene

3. ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics)
มีผลใช้รักษาสิวอักเสบโดยตรง แต่ก็พบปัญหาเชื้อดื้อยาสูงขึ้น พบว่าการใช้ยาปฏิชีวนะร่วมกับเบนซอยล์เปอร์ออกไซด์จะลดปัญหาเชื้อดื้อยาได้ อาจใช้ร่วมกับยาทาชนิดอื่น เช่น ยาละลายขุย (Keratolytic agents) และเรตินอยด์ เพื่อเพิ่มผลการรักษา โดยให้ใช้ทาในกรณีของสิวที่เป็นน้อย ให้ใช้ในช่วงระยะเวลาเท่าที่จำเป็น เพื่อลดปัญหาเชื้อดื้อยา (3 – 4 เดือน) ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาปฏิชีวนะในรูปแบบยารับประทานและรูปแบบยาทาร่วมกัน โดยเฉพาะถ้าเป็นยาคนละชนิด ไม่ควรใช้ยาปฏิชีวนะชนิดทาตัวเดียว (ควรใช้ยาชนิดอื่นร่วมด้วย) และหลีกเลี่ยงการใช้ยาปฏิชีวนะชนิดทาในการรักษาต่อเนื่อง

4. ยารับประทานกลุ่มกรดวิตามินเอ (Isotretinoin)
ที่มีชื่อการค้าหลายอย่าง เช่น Roaccutane, Acnotin, Sortret, Isotane ฯลฯ ให้ใช้เฉพาะในโรคสิวหัวช้าง สิวที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาโดยวิธีอื่นๆ และสิวที่เกิดจากความเครียด ผู้ป่วยต้องทราบผลข้างเคียงของยา โดยเฉพาะต้องทราบว่ายาตัวนี้ทำให้ทารกในครรภ์พิการ จึงต้องใช้ยาภายใต้การดูแลของแพทย์ผิวหนังเท่านั้น ต้องไม่ตั้งครรภ์ระหว่างรับยา ต้องหยุดยานาน 1 เดือนขึ้นไปจึงจะตั้งครรภ์ได้ปลอดภัย ต้องไม่บริจาคเลือดและไม่นำยาไปให้ผู้อื่น ยาตัวนี้ตามกฎต้องสั่งจ่ายโดยแพทย์ผิวหนังเท่านั้น แต่เพราะความละเลยทำให้มียาตัวนี้ วางขายตามร้านขายยาหลายแห่ง ยาตัวนี้ต้องให้ต่อเนื่องกันจนได้ขนาดยาสะสมรวม 120 มก. ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม เช่น ถ้าน้ำหนักตัว 60 กิโลกรัม ก็ต้องรับประทานยาไปจนครบ 120 x 60 = 7,200 มก. ถ้าทานยาเม็ด 20 มก.ต่อวัน ก็ต้องทานไปจนครบ 7,200 ? 20 = 360 วัน

ถือว่าการรักษาด้วยยาตัวนี้ประสบผลสำเร็จ เมื่อไม่มีสิวเป็นระยะเวลา 4–6 สัปดาห์ บางรายต้องได้ยาหลายคอร์ส โดยต้องเว้นระยะเวลาห่างกัน 2-3 เดือน

สำหรับการรักษาโรคสิวด้วยการฉายแสงนั้น ยังจัดว่าเป็นวิธีใหม่ แต่องค์การอาหารและยา (FDA) ของสหรัฐอเมริกาก็อนุมัติให้ใช้วิธีนี้แล้วครับ เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นสิวอักเสบที่ไม่ต้องการรับประทานยา การฉายแสงและความร้อน (light and heat energy) ไปยังผิวหนังที่เป็นสิวอักเสบ พลังงานจะทำปฏิกิริยากับสารเคมีในแบคทีเรียทำให้เกิดออกซิเจนขึ้นมา เนื่องจากแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิวไม่ชอบออกซิเจน จึงนับเป็นวิธีการขจัดเชื้อแบคทีเรียทางหนึ่ง

นอกจากนั้นก็มีเทคนิครักษารอยแผลเป็นจากสิวคือรอยแดง ด่างดำ รอยแผลเป็นหลุมบ่อ และรอยแผลเป็นคีลอยด์ เช่น การทำไอออนโต (Iontophoresis), การฉายแสง เช่น IPL (intensed pulse light), IPL + RF (Aurora หรือ ELOS technic, RF คือ radiofrequency = พลังงานคลื่นวิทยุ), การฉายแสงสี LED (light emitting diodes, L Smart), การขัดหน้า (microdermabrasion), การไถพรวนใบหน้าด้วยลูกกลิ้งหนาม (Dermarolling), การฉีดสเตียรอยด์รักษาคีลอยด์ ซึ่งแพทย์จะเลือกใช้เทคนิคเสริมเหล่านี้ตามความเหมาะ




 

Create Date : 30 กรกฎาคม 2551    
Last Update : 30 กรกฎาคม 2551 12:20:35 น.
Counter : 503 Pageviews.  

อย่ามองข้าม...สิวจากเครื่องสำอาง

สาวๆ หลายคนไม่ปฏิเสธภาษิตที่ว่า "ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง" ดังนั้น คุณผู้หญิงทุกคนจึงต้องมีเครื่องสำอางเสริมเติมแต่ง แต่เครื่องสำอางเหล่านี้จำเป็นต้องใช้อย่างระมัดระวังเพราะอาจจะเป็นหนึ่งในสาเหตุของการเกิดสิวให้รำคาญใจได้



เรื่องนี้ นพ.ประวิตร พิศาลบุตร อาจารย์พิเศษวิชาเวชสำอางที่ควรรู้ ภาควิชาเภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บอกว่า ปัจจุบันพบสิวจากการใช้เครื่องสำอางได้บ่อยในหญิงไทย เพราะต้องออกทำงานนอกบ้านมากขึ้นจึงต้องมีการแต่งหน้าเพื่อเสริมบุคลิกภาพ สิวชนิดนี้แต่เดิมมักพบในเพศหญิงหลังวัยรุ่นไปแล้ว คืออายุ 25 ปีขึ้นไป แต่ขณะนี้เริ่มพบตั้งแต่วัยรุ่นได้เพราะวัยรุ่นไทยแต่งหน้ากันเร็วขึ้น และยังพบในชายไทยเพราะผู้ชายหลายคนเริ่มหันมาใช้เครื่องสำอางเสริมความหล่อเช่นกัน (Metrosexual man)

วิธีสังเกตง่ายๆ ของลักษณะสิวจากเครื่องสำอาง แพทย์ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า จะเป็นตุ่มแดงเล็กๆ เป็นผื่นที่แก้ม คาง และหน้าผาก มักพบหลังใช้เครื่องสำอาง 2-3 สัปดาห์ หรือหลายเดือน ถ้าหยุดการใช้เครื่องสำอางต้นเหตุสิวมักดีขึ้น

หากสาวๆ คนใดกำลังเข้าข่ายว่ากำลังประสบกับปัญหาสิวจากเครื่องสำอาง นพ.ประวิตรแนะนำว่า

- ให้หลีกเลี่ยงเครื่องสำอางที่ผสมน้ำมันที่ซึมผ่านผิวหนังได้ เช่น ลาโนลิน (กรดไขมันที่สกัดจากขนแกะ)

- ควรเลือกเครื่องสำอางชนิดปราศจากน้ำมันและไม่ทำให้เกิดสิวอุดตัน

- เลือกเครื่องสำอางที่ไม่ผสมน้ำหอม เพราะพบว่าน้ำหอมเป็นสาเหตุใหญ่ของการทำให้ผิวหน้าแพ้และระคายเคือง

- ไม่ควรเลือกเครื่องสำอางที่ทาแล้วเป็นประกายมากแบบที่กำลังนิยมในขณะนี้ เพราะมักมีส่วนผสมของผงไมก้า (mica) ที่เป็นอนุภาคที่เป็นแผ่นขอบหยักทำให้ผิวระคายเคืองและเกิดสิวอุดตันได้ง่าย

สวยได้แต่ต้องปลอดภัยด้วย




 

Create Date : 30 กรกฎาคม 2551    
Last Update : 30 กรกฎาคม 2551 12:18:22 น.
Counter : 385 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  

นากาชิม่า
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Tried to take a picture
Of love
Didn't think I'd miss her
That much
I want to fill this new frame
But it's empty

Tried to write a letter
In ink
It's been getting better
I think
I got a piece of paper
But it's empty
It's empty

Maybe we're trying
Trying too hard
Maybe we're torn apart
Maybe the timing
Is beating our hearts
We're empty

And I even wonder
If we
Should be getting under
These sheets
We could lie in this bed
But it's empty
It's empty
Friends' blogs
[Add นากาชิม่า's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.