ปัญหาสิวๆ ของชายหนุ่ม...
Q. เป็นสิว เป็นๆ หายๆ มานาน บางครั้งซื้อยามาใช้เอง บางครั้งไปพบแพทย์ ได้ทั้งยาทา ยากิน บางครั้งแต่ละคลินิกก็ให้ยาไม่เหมือนกัน ล่าสุดมีการแนะนำให้ฉายแสงเพื่อรักษาสิว จึงอยากทราบเกี่ยวกับการรักษาสิวครับ
A. โรคสิวเป็นโรคผิวหนังที่พบบ่อยที่สุด ไม่ได้เป็นแค่ความสวยความงาม จึงมีแนวทางการรักษาทาง การแพทย์อย่างชัดเจน เมื่อไม่นานมีการประชุมที่สิงคโปร์และได้มีข้อตกลงร่วมกันในแนวทางการรักษาสิวของประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ดังนี้
1. ยาทาเบนซอยล์ เปอร์ออกไซด์ (Benzoyl peroxide) ถือว่าเป็นยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคสิวที่มีประโยชน์แต่ได้ผลเล็กน้อยต่อสิวชนิดอุดตัน (คอมีโดน) จึงให้ใช้ในสิวที่รุนแรงน้อยไปจนถึงรุนแรงปานกลาง โดยไม่ใช้เพียงตัวเดียวในกรณีของสิวอุดตัน ยาทาตัวนี้ต้องใช้อย่างระมัดระวังและใช้ในความเข้มข้นต่ำ โดยเฉพาะในผู้ที่มีผิวแห้งหรือผิวแพ้ง่าย หรือผิวที่ไวต่อการแพ้อยู่แล้ว
2. ยาทากลุ่มเรตินอยด์ (Retinoid) หรือยาในกลุ่มกรดวิตามินเอ ที่มีหลายยุค จัดว่าได้ผลดีต่อสิวชนิดสิวอุดตันและสิวที่มีการอักเสบ ยังช่วยทำให้รอยดำที่เกิดจากสิวจางลง และมีประสิทธิภาพในการใช้รักษาอย่างต่อเนื่อง ยาชนิดนี้ช่วยการดูดซึมของยาชนิดอื่นๆ ผ่านผิวหนัง ทำให้เกิดการระคายเคืองและแพ้ต่อแสงได้ง่าย ใช้ในกรณีที่เป็นสิวรุนแรงน้อยจนถึงปานกลาง โดยให้ใช้ร่วมกับยาฆ่าเชื้อ (ในรูปของยาทาหรือยารับประทาน) เมื่อเป็นสิวอักเสบ ยากลุ่มนี้ให้ทาเฉพาะบริเวณที่เป็นสิว และให้ใช้ในกรณีที่เป็นสิวอักเสบได้ อาจใช้ในรูปแบบครีมหรือรูปแบบที่พัฒนาเป็นยุคที่ 3 (third generation retinoids) สำหรับผู้ที่มีผิวแห้งหรือผิวแพ้ง่าย และใช้ในรูปแบบเจล สำหรับผู้ที่มีผิวมันเรตินอยด์หรือยาทากรดวิตามินเอยุคที่ 3 ได้แก่ adapalene และ tazarotene
3. ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics) มีผลใช้รักษาสิวอักเสบโดยตรง แต่ก็พบปัญหาเชื้อดื้อยาสูงขึ้น พบว่าการใช้ยาปฏิชีวนะร่วมกับเบนซอยล์เปอร์ออกไซด์จะลดปัญหาเชื้อดื้อยาได้ อาจใช้ร่วมกับยาทาชนิดอื่น เช่น ยาละลายขุย (Keratolytic agents) และเรตินอยด์ เพื่อเพิ่มผลการรักษา โดยให้ใช้ทาในกรณีของสิวที่เป็นน้อย ให้ใช้ในช่วงระยะเวลาเท่าที่จำเป็น เพื่อลดปัญหาเชื้อดื้อยา (3 4 เดือน) ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาปฏิชีวนะในรูปแบบยารับประทานและรูปแบบยาทาร่วมกัน โดยเฉพาะถ้าเป็นยาคนละชนิด ไม่ควรใช้ยาปฏิชีวนะชนิดทาตัวเดียว (ควรใช้ยาชนิดอื่นร่วมด้วย) และหลีกเลี่ยงการใช้ยาปฏิชีวนะชนิดทาในการรักษาต่อเนื่อง
4. ยารับประทานกลุ่มกรดวิตามินเอ (Isotretinoin) ที่มีชื่อการค้าหลายอย่าง เช่น Roaccutane, Acnotin, Sortret, Isotane ฯลฯ ให้ใช้เฉพาะในโรคสิวหัวช้าง สิวที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาโดยวิธีอื่นๆ และสิวที่เกิดจากความเครียด ผู้ป่วยต้องทราบผลข้างเคียงของยา โดยเฉพาะต้องทราบว่ายาตัวนี้ทำให้ทารกในครรภ์พิการ จึงต้องใช้ยาภายใต้การดูแลของแพทย์ผิวหนังเท่านั้น ต้องไม่ตั้งครรภ์ระหว่างรับยา ต้องหยุดยานาน 1 เดือนขึ้นไปจึงจะตั้งครรภ์ได้ปลอดภัย ต้องไม่บริจาคเลือดและไม่นำยาไปให้ผู้อื่น ยาตัวนี้ตามกฎต้องสั่งจ่ายโดยแพทย์ผิวหนังเท่านั้น แต่เพราะความละเลยทำให้มียาตัวนี้ วางขายตามร้านขายยาหลายแห่ง ยาตัวนี้ต้องให้ต่อเนื่องกันจนได้ขนาดยาสะสมรวม 120 มก. ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม เช่น ถ้าน้ำหนักตัว 60 กิโลกรัม ก็ต้องรับประทานยาไปจนครบ 120 x 60 = 7,200 มก. ถ้าทานยาเม็ด 20 มก.ต่อวัน ก็ต้องทานไปจนครบ 7,200 ? 20 = 360 วัน
ถือว่าการรักษาด้วยยาตัวนี้ประสบผลสำเร็จ เมื่อไม่มีสิวเป็นระยะเวลา 46 สัปดาห์ บางรายต้องได้ยาหลายคอร์ส โดยต้องเว้นระยะเวลาห่างกัน 2-3 เดือน
สำหรับการรักษาโรคสิวด้วยการฉายแสงนั้น ยังจัดว่าเป็นวิธีใหม่ แต่องค์การอาหารและยา (FDA) ของสหรัฐอเมริกาก็อนุมัติให้ใช้วิธีนี้แล้วครับ เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นสิวอักเสบที่ไม่ต้องการรับประทานยา การฉายแสงและความร้อน (light and heat energy) ไปยังผิวหนังที่เป็นสิวอักเสบ พลังงานจะทำปฏิกิริยากับสารเคมีในแบคทีเรียทำให้เกิดออกซิเจนขึ้นมา เนื่องจากแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิวไม่ชอบออกซิเจน จึงนับเป็นวิธีการขจัดเชื้อแบคทีเรียทางหนึ่ง
นอกจากนั้นก็มีเทคนิครักษารอยแผลเป็นจากสิวคือรอยแดง ด่างดำ รอยแผลเป็นหลุมบ่อ และรอยแผลเป็นคีลอยด์ เช่น การทำไอออนโต (Iontophoresis), การฉายแสง เช่น IPL (intensed pulse light), IPL + RF (Aurora หรือ ELOS technic, RF คือ radiofrequency = พลังงานคลื่นวิทยุ), การฉายแสงสี LED (light emitting diodes, L Smart), การขัดหน้า (microdermabrasion), การไถพรวนใบหน้าด้วยลูกกลิ้งหนาม (Dermarolling), การฉีดสเตียรอยด์รักษาคีลอยด์ ซึ่งแพทย์จะเลือกใช้เทคนิคเสริมเหล่านี้ตามความเหมาะ
Create Date : 30 กรกฎาคม 2551 |
Last Update : 30 กรกฎาคม 2551 12:20:35 น. |
|
0 comments
|
Counter : 503 Pageviews. |
|
|
|
| |