Group Blog
 
All blogs
 
คุณหนูผู้เข้าใจยาก

วันนี้ก็เป็นเหมือนทุกวันกับการเรียกใช้บริการพี่วินแต่ทำไมไม่เห็นมีใครสนใจเธอกันเลยกลับยืนซุบซิบกันอยู่ได้พอเธอเดินไปใกล้ทุกคนรีบหันหนี มองเมินดั่งเธอเป็นสุญญากาศเธอเข้าใจละคงเป็นเหตุต่อเนื่องมาจากเรื่องเมื่อวานภาพพจน์สาวสวยเสียหายไม่เหลือดี เพราะผีสองแม่ลูกนั่น

เมื่อพี่วินทำใจผิดหวังพรพิสุทธิ์จึงต้องเปลี่ยนแผนเดินกลับเข้าบ้านไปขับรถออกมาแทน แต่จังหวะดีมีแท็กซี่ผ่านมาจึงได้ช่วยเติมใจสาวสวยที่พี่วินฯไม่แลพรพิสุทธิ์โบกมือเรียกแท็กซี่ก็ไม่ซ้ำให้ช้ำใจจอดรับแต่โดยดี

“บีทีเอสหมอชิตค่ะ” หญิงสาวเข้ามานั่งเรียบร้อยแล้วแต่ลุงคนขับยังไม่ยอมออกรถนัยน์ตาดูฉงนสงสัย

“เพื่อนหนูทำไมไม่ขึ้นมา” สองแม่ลูกซินะช่างขยันขันแข็ง กะจะตามหลอกหลอนเธอแบบเอาเป็นเอาตายเลยรึไง

“ไปเถอะค่ะลุงเขาแค่มาส่ง” สาวสวยตอบกลับไปลุงถึงจะยอมออกรถ

“หน้าตาดีกันทั้งคู่เลยนะหนู เป็นดารากันหรือเปล่า”

แหม…มีร้อยทิปร้อย มีพันทิปพันเลยแบบนี้

“ไม่ใช่หรอกค่ะคนหาเช้ากินค่ำธรรมดาๆนี่แหละ” จากนั้นบรรยากาศในรถก็เงียบงันทำให้พรพิสุทธิ์ได้มีเวลาอยู่กับตัวเองเรื่องที่ครุ่นคิดก็ไม่พ้นเรื่องพิลึกกึกกือเหนือธรรมชาติ ที่มันจะยาวนานไปถึงเมื่อไหร่กันนะ

พรพิสุทธิ์ลงรถไฟฟ้าที่สถานีสยามและเดินลงบันไดตามปกติสายตาพลันเห็นร่างเล็กของเด็กสาวที่คุ้นเคย คิดเข้าข้างตัวเองดีไหมว่าเด็กแสบมายืนรอเธอเพราะเรามีบางสิ่งที่ค้างคากันอยู่

“มารอพี่เหรอ”

“มาทวงสัญญาต่างหาก” แม้จะสั้นห้วนแต่ในน้ำเสียงเจือความไม่มั่นใจเพราะตนตกอยู่ในภาวะเสียเปรียบพรพิสุทธิ์อมยิ้มกับความใสของเด็กน้อย

“พูดดีๆเพราะๆกับพี่หน่อยซิคะหรือขอร้องแบบอ่อนหวานก็ได้เผื่อพี่จะใจอ่อน” ติวเตอร์สาวเรียกร้องอย่างคนเล่นตัวที่เงื่อนไขนี้มันอาจจะง่ายสำหรับเด็กทั่วไปแต่กับเด็กก้าวร้าวไม่ยอมคนถือเป็นเรื่องยาก

หือ…

คนเล่นตัวใจหายเล็กๆเมื่ออยู่ๆเด็กสาวที่ตัวบางร่างเล็กกว่าเขย่งตัวขึ้นมาจุบแก้มตนอะไรจะทุ่มเทขนาดนั้นเนี่ย!

“เค้าให้มากกว่าคำหวานๆที่ขอมาอีกนะพอใจรึยัง” ดุจดาวปล่อยไม้ตายก่อนจะถอยออกมารอคำตอบ

“ก็ได้ แต่พี่มีข้อแม้นะ”

‘เยอะเด็กสาวเพียงคิดในใจ

ระหว่างทางที่เดินตามกันมา ดุจดาวเพียรถามถึงเงื่อนไขที่ถ้าเป็นเรื่องเงินเธอจัดการได้สบายอยู่แล้วแต่อีกฝ่ายก็ยังนิ่งมึนทำเล่นตัวจนน่าหมันไส้ในมุมของติวเตอร์สาวชอบใจที่มีเด็กสาวหน้าตาดีมานัวเนีย

ทั้งคู่เดินมาถึงหน้าสถาบันบิตในอารมณ์ของทั้งคู่พร้อมใจกันเปลี่ยนไปกับภาพที่ประชาสัมพันธ์สาวอึ๊มกำลังยืนจูจุ๊บอยู่กับสาวหล่อแบบดูดดื่มโดยทั้งคู่ไม่คิดว่าจะมีใครเข้ามาเช้าขนาดนี้พรพิสุทธิ์ดึงเด็กสาวเข้าหาตัวอย่างไวและรีบเอามือปิดตา ไม่อยากให้เยาวชนของชาติเห็นอะไรที่มันไม่เหมาะก่อนวัยอันควร

“อุ่ย เสียงของเด็กสาวเป็นระฆังแยกคู่รักที่กำลังหวานชื่นกันอย่างดูดดื่มแต่ไม่ดูที่ทางไหนพี่หยกว่าเลิกกันแล้วไง พรพิสุทธิ์ตั้งคำถามในใจ

“พี่แจนอ่ะ” เด็กสาวหันมาแหวติวเตอร์สาวที่มาขัดขวางภาพเด็ดๆของวัยอยากรู้อยากเห็น

“ออกไปข้างนอกกันก่อน” ติวเตอร์สาวทั้งลากทั้งดึงเด็กสาวออกไป แต่ความอยากรู้อยากเห็นทำให้เด็กสาวดื้อดึงไม่ยอมออกไปด้วยง่ายๆทำให้อีกฝ่ายต้องกอดรัดฟัดเหวี่ยงพากันออกมาจนได้

“พี่แจนอ่ะก็ดาวอยากดู” ออกมาแล้วก็ยังไม่วายจะเดินกลับเข้าไปอีก

“จะดูให้มันได้อะไรเรื่องแบบนี้โตไปก็รู้เอง”ติวเตอร์สาวดึงเด็กอยากรู้อยากเห็นกลับออกมา ตานี้พาเดินออกไปไกลกว่าเดิมเผื่อต่อมความอยากรู้อยากเห็นเจือจางลงไปบ้าง

“ก็มันเรื่องของเขาพี่แจนจะมายุ่งอะไรด้วยปล่อยเขานะ” พรพิสุทธิ์นึกระอากับเด็กดีระยะสั้นที่กลับมาเถียงคำไม่ตกฟากอีกแล้ว

“อ๋อหรือเพราะพี่แจนกับเจ๊อึ๊มมีซัมติงกันเลยทนดูไม่ได้” ดุจดาวเอาสิ่งที่เห็นวับๆแวมๆไปโยงกับเรื่องราวที่เม้ามอยกันในกลุ่มเมื่อเย็นวานเรื่องที่คาดเดากันว่าพี่หยกกับพี่แจนกินกันเอง ติวเตอร์สาวเหวอไปกับคำของเด็กแก่แดด

“เรารู้เรื่องความรักแบบนี้ด้วยเหรอ” ไม่ตอบรับและไม่ปฏิเสธแล้วยังมีคำถามกลับอีกยิ่งทำให้เด็กสาวปักใจว่าเป็นจริงอย่างที่ตนพูด

“ตอบมาก่อนซิว่าพี่แจนกับเจ๊อึ๊มมีอะไรกัน” คงเพราะจงรักภักดีกับเจ๊อึ๊มน่ะซิถึงไม่ยอมตกปากรับคำเรื่องติวส่วนตัวง่ายๆ

“ไปเรียนกันเถอะใกล้เวลาแล้ว”พรพิสุทธิ์เปลี่ยนประเด็นกลางอากาศ หันเดินกลับไป เบื่อจะคุยกับเด็กแก่แดดป่านนี้สองคนนั้นคงแยกย้ายไปแล้วล่ะ

“เป็นครูอาจารย์แทนที่จะตอบให้ตรงคำถามแล้วแบบนี้จะไปสอนเด็กให้ไปตอบข้อสอบให้ถูกได้ยังไง” เด็กช่างยอกย้อน

“ไม่ใช่เรื่องของเด็กน่ะ”ติวเตอร์สาวเดินชิล ไม่สนใจเด็กชอบเซ้าซี้เรื่องไม่เป็นเรื่อง

“ยิ่งเป็นเด็กซิยิ่งต้องเรียนรู้”เด็กยังไม่ยอมรามือง่ายๆ แต่ผู้ใหญ่ไม่เอาด้วยแล้ว เหนื่อยปนหน่ายเดินกลับเข้าสถาบันไป

หยกมณีรีบออกมาเคลียร์เมื่อเห็นตัวทำเงินเอ้ย!ติวเตอร์คนใหม่เปิดประตูเข้ามา

“คือมันเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันน่ะคือที่แจนเห็น…” หยกมณีตีหน้าเศร้าเกาะเกี่ยวแขนอีกฝ่ายเข้ามาหาตัว

“พี่ไม่ได้เต็มใจ” ประชาสัมพันธ์สาวเสียงอ่อยพรพิสุทธิ์ไม่เข้าใจหยกมณีว่าจะมาพูดเรื่องนี้กับเธอทำไม ก็มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเธอสักหน่อยแต่ยังไม่ทันจะตอบกลับอะไรเด็กสาวก็ดันประตูเข้ามาหยกมณีถึงยอมปล่อยแขนและกลับไปนั่งประจำที่ดั่งว่าไม่เคยมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นส่วนติวเตอร์สาวก็เดินเข้าไปเตรียมการสอนในห้อง โดยมีเด็กสาวเดินตามเข้าไป

ในห้องตอนนี้มีเด็กรอติวอยู่จำนวนหนึ่งและกำลังทยอยเข้ามารวมถึงกลุ่มของดุจดาว

“ปากแข็งและไม่ตรงกับใจภาษาอังกฤษเขาว่ายังไง” ดุจดาวถามติวเตอร์ดั่งเป็นเด็กใฝ่รู้ มีแต่พรพิสุทธิ์รู้เจตนาดี

“คำที่ตรงตัวเลยมันไม่มีหรอกคำที่ใกล้เคียงคำว่า ‘ปากแข็ง’ ที่สุดก็น่าจะเป็นstubborn ที่แปลว่าดื้อดึง หรือไม่ก็ refuse to acceptส่วน ‘ปากไม่ตรงกับใจ’ ก็hypocrite แต่ฝรั่งเขาใช้ในเชิงเสียดสี ประมาณว่า พวกเสแสร้งมือถือสากปากถือศีล อะไรประมาณนี้ค่ะ” ดุจดาวหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ ที่ได้กินสองต่อได้ทั้งคำศัพท์ได้ทั้ง…

ท่าทางชอบใจของเด็กสาวทำให้ติวเตอร์ต้องกลับมาทบทวนทวนไปทวนมาก็ถึงบางอ้อว่า เด็กสาวกำลังเอามะโนของตัวเองเป็นที่ตั้งเรื่องของเธอกับพี่หยกและกำลังชอบใจว่าได้เสียดสีเธอ เด็กหนอเด็ก

ติวเตอร์สาวรู้สึกคอแห้งและเห็นว่ายังพอมีเวลาจึงเดินออกไปจากห้องติวเพื่อไปหาน้ำดื่มที่ห้องอเนกประสงค์แปลกใจที่ไม่เห็นประชาสัมพันธ์อยู่ที่โต๊ะประจำตำแหน่งแต่ก็ไม่ใช่เรื่องเมื่อเปิดประตูห้องอเนกประสงค์เข้าไปก็ต้องรีบปิดมันกลับไปอย่างเบามือที่สุดอีกแล้วกับอะไรที่มันไม่สร้างสรรค์สายตาเป็นภาพเดียวกับเมื่อเช้าแต่ถึงพริกถึงขิงมากกว่าทำให้นึกถึงคำพูดและการกระทำของหยกมณีสรุปได้ง่ายๆแบบไม่ต้องฉลาดมากว่า ที่แท้พี่หยกก็หวังจะใช้เสน่ห์มาผูกมัดเธอเพื่อผลประโยชน์พรพิสุทธิ์หยุดคิดทุกอย่างก่อนจะเดินกลับเข้าห้องติว เรื่องที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือการติวให้เด็กๆ

พรพิสุทธิ์เริ่มติวเมื่อได้เวลา ความที่เคยมีประสบการณ์เป็นพี่เชียร์งานรับน้องที่มหาวิทยาลัยทำให้เพ็ญพิสุทธิ์คุ้นชินกับการใช้เสียงดังโดยไม่ใช้ไมโครโฟนติวเตอร์สาวสามารถพูดเต็มเสียงแบบไม่ต้องตะเบ็งให้เด็กร่วมร้อยชีวิตในห้องนี้สามารถได้ยินเต็มโสตประสาทสายตาของติวเตอร์สาวมือใหม่กวาดมองไปรอบห้อง มีเด็กนักเรียนในความดูแลของเธอร่วมแปดเก้าสิบคนส่งเสียงให้แซดไปหมดกลุ่มของดุจดาวนั่งอยู่ข้างหน้าด้านขวามือของเธอ ส่วนที่เหลือก็ดูว่าไม่น่าจะมีแสบสันเพราะเด็กส่วนใหญ่มาเดี่ยวโชคดีหน่อยที่คอร์สตะลุยโจทย์สามารถกรองเด็กได้ระดับหนึ่ง ก็ช่วยให้เบาใจขึ้นมาหน่อยแต่ก็ยากเย็นที่จะระงับความตื่นเต้นให้หดหายยิ่งครั้งแรกแบบนี้ หายห่วงใครไม่มายืนอยู่ตรงนี้คงยากจะเข้าใจ การมายืนพูดให้คนนับร้อยแตกต่างที่มาเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย

พรพิสุทธิ์เริ่มคลาสด้วยการแนะนำตนเอง

“สวัสดีค่ะทุกๆคน”ติวเตอร์สาวบอกชื่อเสียงเรียงนามและประวัติส่วนตัวพอสังเขปและเกริ่นนำให้เด็กๆทำธุระส่วนตัวให้เรียบร้อย ไม่อนุญาตให้นำของขบเคี้ยวเข้ามารับประทานปิดเสียงเครื่องมือสื่อสารทุกชนิด อนุญาตให้บันทึกเสียงได้ บันทึกภาพได้ แต่ขอสงวนลิขสิทธิ์การนำไปเผยแพร่ต่อจากนั้นจะเข้าสู่บทเรียนที่เข้มข้นแบบ non-stop หยกมณีเดินเข้ามาตรวจดูความเรียบร้อยและตระเตรียมไมโครโฟนให้พรพิสุทธิ์ยิ้มให้คนไม่จริงใจจากใจจริง ก่อนจะรับไมค์มาถือไว้และกล่าวขอบคุณ หยกมณีหยอดยิ้มแสนหวานก่อนจะเดินออกไปที่ติวเตอร์สาวสัมผัสได้ว่ามายา

"ตึ๊งตึ่ง…" เป็นเสียงแอพพลิเคชั่นไลน์จากโทรศัพท์ของผู้สอนเองจากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงหัวเราะโห่ฮาลั่นห้องเพราะศรย้อนกลับไปปักอกครู

“พี่กำลังแสดงให้เห็นถึงตัวอย่างที่ไม่ดีค่ะ เห็นไหมคะว่ามันรบกวนสมาธิทั้งของผู้สอนและผู้เรียนใครยังไม่ปิดรีบเอาขึ้นมาปิดนะคะ”ติวเตอร์สาวแก้เกี้ยวเอาตัวรอดไปได้

“เอาล่ะค่ะพี่ไม่ใช่ผู้วิเศษที่จะเสกคะแนนมาใส่ให้น้องๆได้ แต่มั่นใจอย่างเปี่ยมล้นว่าหลังจากที่น้องๆเดินออกจากห้องนี้ไป จะต้องมีคะแนนเพิ่มขึ้นมาอย่างแน่นอน จะมากน้อยก็อยู่ที่พื้นฐานของแต่ละคนคะแนนมีอยู่ในอากาศ สุดแต่ใจจะไขว่คว้าเอานะคะ"ติวเตอร์สาวกวาดสายตาสะดุดที่เด็กแก่แดดดุจดาวทำหน้าทะเล้นทั้งยังส่งสายตายียวนให้ สมกับเป็นเด็กประเดี๋ยวก็แกล้งถามอะไรยาวๆยากๆให้ได้ขายหน้าซะหรอก สายตาพาดผ่านไปต่อจนสุดมุมห้องด้านเดียวกันสะดุดตากับเด็กสาวหน้าตาดีมากคนหนึ่ง แล้วเข้ามาตอนไหนก่อนหน้านี้ทำไมไม่เห็นดูท่าทางจะตั้งอกตั้งใจมากเพราะไม่วอกแวกเลย แต่ก็เพียงเท่านั้นติวเตอร์สาวเอาความสนใจกลับมาที่ส่วนรวม

พรพิสุทธิ์เข้าสู่การปูพื้นฐานให้อรรถาธิบายกับน้องๆว่า

“อันภาษาก็คือการสื่อสารในชีวิตประจำวันอาจจะเต็มไปด้วยภาษาพูดและไม่เป็นทางการ (informal) มีศัพท์สแลงมากมายแต่ในข้อสอบจะเป็นภาษาที่เป็นระดับทางการที่เต็มไปด้วยกฎเกณฑ์(formal)

ภาษานั้นเกิดจากมนุษย์ย่อมมีความเป็นไปดังเช่นมนุษย์ เกิด/พัฒนา/เสื่อม/และตายคำใหม่เกิดขึ้นแทบจะทุกวันและมีพัฒนาการในตัวมันเอง

ภาษาที่ไม่พัฒนาจะถูกกลืนเข้าสู่ความเสื่อมไม่เป็นที่นิยมคนไม่ใช้และไร้การต่อยอด สุดท้ายภาษานั้นก็จะตายไปในที่สุด”

พรพิสุทธิ์กล่าวต่อว่า

“ภาษาไทยจะไม่มีวันตายเพราะไม่รู้จักแก่ มีพัฒนาการอยู่เป็นพลวัต”

ต่อด้วยทบทวนเรื่อง prefix และ suffix และติวเตอร์สาวมีกลเม็ดเด็ดพรายมากมายที่จะช่วยให้การเรียนมีอรรถรสไม่จืดชืดซังกะตาย

“ex- นำหน้าคำไหนคือ out ใช่ไหมคะ แล้วหากพี่ลองเติมตัว s ลงไปอีกตัวมันก็เป็น sex ลักษณะนี้เราเรียกว่า coin the word คือการประดิษฐ์คำขึ้นมาใหม่น้องๆรู้จัก frenemy ไหมคะ”

"เพื่อนเค้าชื่อ อิมี่ค่ะ"ดุจดาวแกล้งเย้า

"frenemy คือศัตรูที่ต้องมาเป็นเพื่อนค่ะเป็นคำใหม่ที่ฝรั่งนิยมใช้กันมากเมื่อสิบปีก่อนอาจจะยังไม่มีใครรู้จัก selfie แต่ในตอนนี้หากใครไม่มีรูปตนเองเป็นprofile ก็เชยแหลกนี่คือตัวอย่างของคำใหม่ๆ และแน่นอนว่าอีกห้าปี สิบปีข้างหน้าก็จะยิ่งมีคำใหม่เพิ่มพูนขึ้นมาเรื่อยๆตามการเปลี่ยนแปลงของโลกนั่นรวมไปถึงคำเดิมแต่ถูกนำมาใช้ในความหมายใหม่ๆด้วยค่ะ" พรพิสุทธิ์หันกลับไปจดคำศัพท์บนไวท์บอร์ด sexpert sexperience sexercise sexplicit sexplicate

“expert คือเชี่ยวชาญใช่ไหมคะ มีใครในห้องนี้เป็น sexpert เอิ่ม…ผู้เชี่ยวชาญทางเซ็กส์บ้าง"ดุจดาวที่ไม่ทันระวังตัวโดนเพื่อนสาวยกมือชูหราทั้งห้องหัวเราะกันครืน พรพิสุทธิ์อมยิ้มที่เห็นเด็กแสบทำหน้าเหวอ แบบว่าตั้งตัวไม่ทันเมื่อแก้ไขอะไรไม่ได้จึงหันไปเล่นงานเพื่อนแก้เก้อ

จากนั้นพรพิสุทธิ์ได้ให้นิยามของแต่ละคำพอท้วมๆแบบไม่ให้ติด เรทมากเกินไป

“ที่พี่สอนไปเมื่อกี้ต้องเก็บให้ดีนะคะเดี๋ยวผู้ปกครองจะมาโวยพี่เอาได้ แล้วก็ไม่ใช่ว่าจำกันได้แต่คำทะลึ่งนะคะ เพราะมันไม่มีในข้อสอบเป็นความรู้รอบตัวชวนหัวเฉยๆ"ก่อนจะตบท้ายติดตลก

พรพิสุทธิ์คล่องแคล่วลื่นไหลมากขึ้นเพราะชักเจนสนามแต่ด้วยการสอนที่เป็นภาคบังคับและเวลาอันมีจำกัด การกวดวิชาจึงเป็นไปในลักษณะ one-way communication คือการสื่อสารทางเดียว ที่ตัวผู้สอนเองก็ไม่ได้พอใจในรูปแบบนี้นักเพราะถือว่าเป็นกระบวนการเรียนรู้แบบโบราณมากแต่ก็ไม่รู้จะดัดแปลงยังไง

เวลาหมดลงไปอย่างรวดเร็วเพราะสนุกกันทั้งคนสอนและคนเรียนเป็นที่น่ายินดีกับติวเตอร์มือใหม่ที่เปิดใจและเข้าถึงใจเด็กๆได้ทำให้การเรียนการสอนราบรื่นและการเรียนรู้ก็เป็นไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อหมดเวลาเด็กๆก็พากันทยอยออกไปติวเตอร์สาวหันไปลบกระดานดูแลความเรียบร้อย แปลกใจเมื่อหันกลับมาแล้วพบดุจดาวนั่งอยู่แบบโดดเดี่ยว

“รออะไร"ปากถามออกไปแต่มือสาละวนเก็บข้าวของเตรียมจะปิดแอร์ปิดไฟออกจากห้อง

“ก็รอจะพาไปที่บ้านไง ห้ามคิดเบี้ยวเชียวนะไม่งั้นเขาจะเรียกผิดคำพูด ไม่ดีๆ"ดุจดาวดักทางและปิดทางเสร็จสรรพที่อีกฝ่ายก็ไม่ได้ว่าอะไร

พรพิสุทธิ์เดินเข้าห้องน้ำล้างมือสายตากวาดมองหาความผิดปกติ ดีที่ไม่มีเหตุการณ์ประหลาดอย่างเมื่อวาน ไม่ต้องเหนื่อยทะเลาะกับผีวันนี้แค่รับมือกับเด็กดาวก็เหนื่อยพอละ

เพ็ญพิสุทธิ์ทักทายหยกมณีเป็นมารยาทไม่สุงสิงอย่างวันก่อนๆก่อนจะเดินออกจากสถาบันไปหยกมณีเพียงมองตามรู้สึกได้ถึงความไม่เหมือนเดิมแต่ก็ยังไม่มีเวลาเคลียร์เพราะติดลูกค้าอยู่

แหม่ะ

ขี้นกร่วงหล่นเฉี่ยวหัวพรพิสุทธิ์ไปเพียงคืบเล่นเอาเจ้าตัวใจไม่ดีรีบเดินออกมาจากจุดนั้นแต่ดุจดาวกลับเห็นเป็นเรื่องขำขันหลุดหัวเราะออกมาไม่มีเกรงใจ

“เกือบไปแล้ว พี่แจนรีบไปซื้อหวยเลยนะรับรองถูกแน่ๆ"

“มากับเรานี่แหล่ะพี่ถึงได้หวิดซวย" พรพิสุทธิ์พูดไปเรื่อยกับเด็กสาวตรงหน้าแต่สมองกลับคิดไปถึงว่าเป็นฝีมือผีแม่ลูกหรือเปล่าเพราะเห็นชอบกลั่นแกล้งเธอแต่ก็ช่างยังไงก็ผ่านมันมาได้แล้ว เมื่อหันมองน้องน้อยที่เมื่อกี้ยังหัวเราะร่าแต่ตอนนี้หน้ากลับดูหงอยๆชอบกล

“ไม่แน่นะ ดาวอาจจะเป็นตัวซวยของพี่แจนจริงๆก็ได้นะ" ดุจดาวเสี่ยงอ่อย

“คิดมากอะไร เมื่อกี้พี่พูดเล่น"

“พูดแบบนี้แสดงว่าไม่เคยอ่านเรื่อง synchronicity สิ" ทฤษฎี synchronicity ‘ความเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงอย่างประหลาด’ แปลเป็นไทยให้เข้าใจง่ายๆได้ว่า ‘ความบังเอิญที่ไม่บังเอิญ’ นับเป็นเรื่องใหม่ที่น่าสนใจ บางเรื่องราวที่เกิดขึ้นมีความเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงถึงกันอย่างประหลาดทั้งๆที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ หรือ ไม่น่าจะเชื่อมโยงกันได้เลย โดยนักกระยาสาทรหรือนักไสยศาสตร์ และนักจิตศาสตร์ให้ข้อสรุปในประเด็นที่ยังต้องถกเถียงกันต่อไปเอาไว้ว่าความบังเอิญที่เกิดขึ้นแท้จริงแล้ว ‘ไม่ใช่’ แต่มีบางอย่างที่ ‘จงใจ’ให้เป็นไปในความรับรู้ของปุถุชนธรรมดาก็คือ พรหมลิขิต หรือ โชคชะตานำพา แต่ในทางพุทธศาสนาก็คือ‘กรรม’นั่นเอง

“รู้เรื่องนี้ด้วยเหรอ" พรพิสุทธิ์ออกอาการทึ่ง ก็เรื่องนี้ทั้งซับซ้อนและลึกซึ้งแม้แต่ผู้ใหญ่อย่างเธอยังยากจะเข้าใจ

“ดาวก็แค่อยากหาคำตอบให้กับบางเรื่องเผอิญเจอทฤษฎีนี้เข้าแต่มันก็ยากเกินกว่าที่เด็กอย่างดาวจะเข้าใจ ช่างเถอะ" เด็กสาวปิดประเด็นในเรื่องที่พรพิสุทธิ์ก็ไม่ได้ใส่ใจนักเรื่องยากๆไม่อยากปวดหัวคิดตอนนี้

ดุจดาวพาติวเตอร์สาวกลับบ้านโดยใช้บริการรถไฟฟ้าระหว่างที่กำลังโดยพรพิสุทธิ์ลอบสังเกตพฤติกรรมของผู้คนที่อยู่รอบกาย เห็นคนหลากวัยต่างกำลังก้มหน้าก้มตากันอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่กับเครื่องมือสื่อสารนานาชนิดบ้างก็มีความสามารถพิเศษในการทรงตัวชั้นยอดประดุจนักกายกรรมในการจิ้ม พิมพ์รับส่งข้อความกันทางออนไลน์บ้างก็อมยิ้มอิ่มใจอยู่กับมือถือ พฤติกรรมเหล่านี้เป็นการทำตัวให้กลมกลืน เป็นภาวะอิงอาศัยคนรอบข้างเพื่อจะได้ไม่เป็นจุดสนใจหรือไม่ต้องขวางหูขวางตากับพฤติกรรมของคนอื่น พรพิสุทธิ์หันมองคนมาด้วยกลับเห็นเด็กสาวนิ่งเฉยดั่งไม่สนใจโลกไม่แคร์ใคร ในมือก็ว่างเปล่าไร้เครื่องสื่อสาร หรือหล่อนเป็นพวก anti-social ในห้วงของคนช่างคิดที่กำลังเพลิดเพลินอยู่กับการวิเคราะห์คนรอบข้างมีสติขึ้นมาก็ตอนเห็นหน้าใสๆตาแบ๊วๆของเด็กแสบอยู่ในระยะลมหายใจเป่าถึง

“เค้าน่ารักใช่มั้ยล่ะ เห็นมองอยู่เป็นนานสองนาน” พลาดท่าเข้าทางเด็กแสบเข้าแล้ว

“เค้าล้อเล่นหรอกน่า เค้ารู้ว่าพี่แจนชอบแบบเนื้อ นมไข่ อย่างเจ๊อึ๊ม”เข้าเรื่องนี้อีกล่ะไม่รู้เด็กดาวติดใจอะไรประเด็นนี้นัก แต่ก็เหนื่อยจะต่อความ

“เสียใจใช่มั้ยล่ะ ที่เห็นเจ๊อึ๊มจูบกับสาวหล่อ” แล้วจะมาพูดเรื่องอะไรแบบนี้บนรถไฟฟ้าเล่ายัยเด็กแกแดดเอ้ยพอจะดุเด็กสาวก็แบ๊วใส่ ท่านี้ดุไปก็คงไม่รู้สึกรู้สา

“เค้าก็แค่ห่วงน่ะ กลัวว่าจะไม่มีกะจิตกะใจติวเพราะหัวใจไม่สมประกอบ”

“แต่หนูน้อยกำลังจะให้ติวเตอร์หัวใจไม่สมประกอบไปติวให้นะพี่ให้โอกาสเปลี่ยนใจ” พรพิสุทธิ์ได้ช่องหาเรื่องชิ่ง

“เค้ารู้หรอกน่าว่าพี่แยกแยะได้” เด็กสาวกลับลำคำตนได้หน้าตาเฉยปิดช่องอีกฝ่ายโดยปริยาย

เมื่อลงมาจากรถไฟฟ้าดุจดาวก็พาขึ้น taxi ต่อ

“พี่แจนเป็นคนแรกเลยนะ" อยู่ๆเด็กสาวก็พูดขึ้นระหว่างที่นั่งคู่กันมา คนฟังรู้สึกแปลกๆเหมือนตัวเองไปพรากพรหมจรรย์เด็กสาว

“พูดให้เคลียร์ซิ คนอื่นเขาจะเอาตีความผิดๆเอาได้ (misinterpret)” ออกตัวเสียงเข้มนิดหน่อยนึกเกรงคนขับแท็กซี่ที่นั่งฟังอยู่ด้วย

“ดาวหมายถึง พี่น่ะเป็นคนแรกที่ดาวพาเข้าบ้าน" แม้แต่ตัวเด็กสาวเองยังแปลกใจว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้นแปลกใจที่ตนวางใจอะไรติวร์เตอร์คนนี้นักหนา รู้แต่ว่าถูกชะตาเมื่อแรกเห็น เมื่อได้เจรจาปราศรัยก็เกิดความไว้วางใจและ…เหมือนมีบางสิ่งดลใจ ผลักเธอเข้าไปหาพี่แจน

“อ่อ แล้วอยากจะเก็บตำแหน่งคนแรกที่พาเข้าบ้านไว้ก่อนมั้ยล่ะเปลี่ยนใจยังทันนะ" เด็กน้อยหันมาจิกตาใส่ผู้ใหญ่ที่คิดแต่จะหาเรื่องชิ่ง

“มาขนาดนี้แล้วฝันไปเถอะว่าดาวจะปล่อยให้กลับชิส์" ผู้ใหญ่นึกขัน ทำอย่างกับจะมาบงการได้ถ้าเธอไม่เออออด้วย

“แล้ว…ทำไมถึงไว้ใจพี่ถึงขนาดพาเข้าบ้านทำไมถึงอยากให้พี่ติวให้นักทั้งที่ติวเตอร์มีเยอะแยะจนเกลื่อน" มันน่าสงสัยอยู่นะ แถมระยะเวลายังสั้นมากก็เพิ่งเจอกันแค่ 2 วัน

“ไม่รู้ซิคะ อาจจะเพราะถูกชะตาดาวก็เลยหาเรื่องเข้าหา” เด็กสาวบอกเล่าไม่เต็มเสียง ไม่แน่ใจว่ามันจะเป็นเหตุผลที่ดีแต่คนฟังเขารู้สึกดีนะ

จากนั้นพรพิสุทธิ์ก็ปฏิบัติการเปิดใจเด็กให้รวมตนเป็นพวกด้วยการเป็นฝ่ายตั้งคำถามเรื่องนานาจิตตังของเด็กสาวและไม่ว่าเด็กจะเจื้อยแจ้วอะไรมาก็ทำเป็นเข้าอกเข้าใจเออออไปกับเด็กทุกเรื่องหากเราปรารถนาจะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในโลกของวัยใสต้องเป็นไปในทางเข้าอกเข้าใจเขามิใช่ยัดเยียดแต่สิ่งที่เราเห็นดีเห็นงามและเมื่อเขารู้สึกสบายใจจนเป็นความไว้ใจเขาจะระบายอะไรต่อมิอะไรให้เราฟังเองและดูท่าเด็กแสบจะตกหลุมพรพิสุทธิ์เข้าแล้ว

สำหรับดุจดาวนานมาแล้วที่ไม่ได้รู้สึกแบบนี้ ความรู้สึกที่มีคนเข้าใจและรับฟัง

“ขอบคุณที่พยายามเข้าใจดาวนะคะ” พรพิสุทธิ์เข้าใจดุจดาวดีเพราะเธอรู้ว่าสิ่งที่เด็กในวัยนี้ขาดมากที่สุด…คือความเข้าใจและใส่ใจ

“พยายามที่ไหนกันเล่า พี่ก็วัยรุ่นคนนึงเหมือนกัน” เด็กสาวขำผู้ใหญ่ที่กำลังหาช่องลดวัยตัวเองพรพิสุทธิ์คงไม่รู้ว่านานมาแล้วที่ดุจดาวไม่ได้ขำจากอารมณ์ที่สุนทรีแบบนี้

“ลุงคะ หลังซ้ายมือข้างหน้านี้ค่ะ บีบแตรเรียกได้เลย” ดุจดาวบอกทางคนขับเมื่อถึงจุดหมาย

หืม… นี่มันบ้านหรือที่ว่าการอำเภอ ทำไมมันใหญ่โตขนาดนี้อันนี้แค่คิดในใจเพราะไม่อยากแสดงความบ้านนอกต่อหน้าเด็ก ดูจากรูปการละมีบ้านหรูหราใหญ่โตย่านสุขุมวิทถ้าไม่ใช่เศรษฐีมีมรดกหรือธุรกิจพันล้านก็ต้องเป็นผู้ดีมีตระกูลเก่าแก่จึงจะอยู่ละแวกนี้ได้

“เดี๋ยวพี่จ่ายค่าแท็กซี่เอง” มันเป็นหน้าที่ของคนที่สูงวัยกว่า

“ไม่ต้องค่ะ เดี๋ยวจะมีคนมาจัดการเอง” เมื่อรถจอดสนิทก็มีคนเดินมาเปิดประตูรถให้ เด็กสาวเจ้าของบ้านก้าวออกมาจากรถโดยมีแขกสาวตามออกมาจากนั้นก็เห็นมีคนมาจัดการค่าแท็กซี่และมีอีกหลายคนเข้าพินอบพิเทาเอาข้าวของไปถือนี่หล่อนมันคุณหนูไฮโซชัดๆ แต่ก่อนหน้านี้กลับทำตัวไก่กาติดดิน แล้วจะทำให้คนอื่นเข้าใจแบบนั้นทำไม?




Create Date : 19 ตุลาคม 2558
Last Update : 19 ตุลาคม 2558 19:15:18 น. 0 comments
Counter : 234 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

writer_k toon
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




เป็นคนธรรมดาๆคนหนึ่งค่ะ ที่อยากเป็นคนดี
และเป็นคนเก่งขึ้นทุกๆวัน

ชอบดื่มกาแฟเป็นชีวิตจิตใจ โปรดสุดก็ Starbucks หากอยู่ในฤดูงบน้อย อะไรที่เป็นกาแฟดำ ได้หมด

ชอบอ่านหนังสือ แนวHowto และนิยายของคุณทมยันตี จนวันหนึ่งเกิดอยากจะเขียนหนังสือให้คนอื่นอ่านบ้าง โดยมีคุณทมยันตีเป็นต้นแบบ เป็นแรงบันดาลใจ

เริ่มต้นขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ไม่รู้ลงท้ายจะเป็นอย่างไร แต่หวังไว้ว่ามันจะดีกว่าที่หวัง

จะคุยได้นานกับคนที่มีฝัน มีเป้าหมายในชิวิต รักครอบครัว และคิดบวก

แอบหวังว่าคนที่เข้ามาที่Blogนี้จะออกไปอย่างมีความสุขนะคะ

Loveๆทุกคนค่ะ

ปล.ขอสงวนลิขสิทธิ์ข้อความและรูปภาพทั้งหมดใน blog นี้ตามกฎหมาย ห้ามนำไปใช้หรือเผยแพร่ก่อนได้รับอนุญาตนะคะ

New Comments
Friends' blogs
[Add writer_k toon's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.