Group Blog
 
All blogs
 

รักนี้พรหมลิขิตจัดให้ 2

วันนี้คนมาถือศีลปฏิบัติธรรมไม่เยอะเพราะเป็นวันธรรมดาวัดเลยค่อนข้างดูโหวงเหวง พาให้ใจเราหวั่นไหวพอควรสมองเราก็ไปคิดถึงแต่ตำนานหลอนๆที่พี่ๆเพื่อนๆอาสาชอบเอามาเล่าสู่กันฟัง แต่ในที่สุดก็ผ่านพ้นวิกฤติของของความหลอนที่ใจเราปรุงแต่งมันขึ้นมาเองสองเท้าเดินไปข้างหน้าตามแสงที่ไฟฉายส่องสว่างผ่าความมืดไปยังศาลา

บนศาลาตอนนี้พระภิกษุกำลังทยอยเข้ามามีแม่ชีที่อยู่ประจำรวมพี่อรด้วยและคนที่มาถือศีลรวมกันไม่ถึงสิบคน เราชอบบรรยากาศที่ผู้คนบางตาแบบนี้เพราะมันไม่วุ่นวายดี

เราเข้าไปนั่งบนเบาะรองนั่งที่ทางวัดจัดเตรียมไว้ให้พร้อมกับหนังสือสวดมนต์เมื่อได้เวลาพระท่านก็นำสวดทำวัตรเช้าเสียงสวดมนต์ดังกึกก้องไปทั่วศาลาแต่กลับให้ความรู้สึกสงบอย่างประหลาด

เมื่อสวดมนต์เสร็จพระอาจารย์เหลือท่านได้เทศน์เรื่องการทำสมาธิท่านว่าจิตของคนทั่วๆไปที่ไม่เคยทำสมาธินั้นมักจะมีสภาพเหมือนม้าป่าพยศที่ยังไม่เคยถูกจับมาฝึกให้เชื่องมีการซัดส่ายไปในทิศทางต่างๆอยู่เป็นประจำ การทำสมาธินั้นก็เหมือนกับการจับม้าป่านั้นมาล่ามเชือกหรือใส่ไว้ในคอกเล็กๆไม่ยอมให้มีอิสระตามความเคยชินเมื่อตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ม้านั้นก็ย่อมจะแสดงอาการพยศออกมา โดยจะมีอาการดิ้นรนกวัดแกว่ง ไม่สามารถอยู่อย่างนิ่งสงบได้ ถ้ายิ่งพยายามบังคับควบคุมมากขึ้นเท่าไหร่ก็จะยิ่งดิ้นรนขัดขืนมากขึ้นเท่านั้น การจะฝึกม้าป่าให้เชื่องโดยไม่เหนื่อยมากนั้นต้องใจเย็นๆโดยเริ่มจากการใส่ไว้ในคอกใหญ่ๆแล้วปล่อยให้เคยชินกับคอกขนาดนั้นก่อน จากนั้นจึงค่อยๆลดขนาดของคอกลงเรื่อยๆม้านั้นก็จะเชื่องขึ้นเรื่อยๆโดยไม่แสดงอาการพยศอย่างรุนแรงเหมือนการพยายามบีบบังคับอย่างรีบร้อนเมื่อม้าเชื่องมากพอแล้วก็จะสามารถใส่บังเหียนแล้วนำไปฝึกได้โดยง่าย การฝึกจิตก็เช่นกันถ้าใจร้อนคิดจะให้เกิดสมาธิอย่างรวดเร็วทั้งที่จิตยังไม่เชื่อง จิตจะดิ้นรนมากและเมื่อพยายามบีบจิตให้นิ่งมากขึ้นเท่าไหร่จิตจะยิ่งเกิดอาการเกร็งมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งนั่นจะหมายถึงความกระด้างของจิตที่เพิ่มขึ้นโดยจิตที่เกร็งจะเป็นจิตที่กระด้าง ซึ่งต่างจากจิตที่ผ่อนคลายจะเป็นจิตที่ประณีตกว่าแล้วยังจะทำให้เหน็ดเหนื่อยอีกด้วย ถึงแม้บางครั้งอาจจะบังคับจิตไม่ให้ซัดส่ายได้แต่ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่าจิตมีอาการสั่นกระเพื่อมอยู่ภายในตลอดเวลา เหมือนการหัดขี่จักรยานใหม่ๆที่ถึงแม้จะเริ่มทรงตัวได้แล้วแต่ก็ขี่ไปด้วยอาการเกร็งซึ่งการขี่ในขณะนั้นนอกจากจะเหนื่อยแล้ว การทรงตัวก็ยังไม่นิ่มนวลราบเรียบอีกด้วยซึ่งจะต่างกันมากเมื่อเปรียบเทียบกับการขับขี่ของคนที่ชำนาญแล้วที่จะสามารถขี่ไปได้ด้วยความรู้สึกที่ผ่อนคลายอย่างสบายๆ ราบเรียบ นุ่มนวลไม่มีอาการสั่นเกร็ง

จากนั้นท่านก็นำทำสมาธิเนิ่นนานกับใจที่ถูกชักจูงให้ปล่อยวาง ใจที่สงบและเป็นสุข เราอยากจะนั่งสมาธิแบบนี้ไปเรื่อยๆแต่หากมันไม่ใช่สิ่งที่ดี เพราะใจเราไปยึดกับความสงบเป็นจิตที่ติดสุขเมื่อมีสติต้องรีบกำจัดมันออกไปและวางเฉยกับทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับเรายากเหลือเกินกับการทำสมาธิเพื่อให้เกิดผลสมบูรณ์คงเพราะมีทุนมาน้อย แต่แค่เราเริ่มต้นฝึกและมีใจฝักใฝ่มาทางนี้ก็ถือว่าเราโชคดีกว่าหลายคนมากแล้ว

เสร็จสิ้นกระบวนการทำวัตรเช้าเราก็เดินกลับมาที่ศาลาเอนกประสงค์จัดการเช็ดถูและเก็บกวาดใบไม้ด้านหน้าสมองพาลพาให้คิดถึงจูน ถ้าเป็นปกติจูนจะเกาะติดเราเป็นเงาตามตัวเลยแหละหากเราอยู่ด้วยกันไม่ว่าจะกิน เดิน นอน นั่ง หลับหรือตื่น แต่ก็นะจะคิดถึงให้มันได้อะไร เมื่อวันนี้ใจจูนไม่เหมือนเดิมแล้ววันนี้จูนไม่ได้มีแค่เราความรักก็มีสัจธรรมเหมือนกับทุกสิ่ง คือมีเกิดขึ้นและดับลงไปได้เช่นกันความเข้าใจจะเป็นเกราะป้องกันใจเราจากความรู้สึกผิดหวังและเศร้าตรมแต่ตอนนี้ความเข้าใจในใจของเรามีความเข้มข้นน้อยไปกว่าอคติในใจเพราะเรายังมีความรู้สึกผิดหวังและเศร้าหมอง

“พัสมาตั้งแต่เมื่อไหร่” ออยขับรถผ่านมาเห็นเราพอดี ออยเป็นสาวอีสานที่ตาคมโตเหมือนเราสูงพอๆกับเรา เกิดเดือนเดียวและปีเดียวกับเรา รถที่ออยขับเป็นรถกระบะตอนเดียวเป็นรถวัดที่สภาพดีที่สุด

“มาเมื่อวาน พี่โอ่งสวัสดีค่ะ” พี่โอ่งนั่งมาในรถกับออยน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับพี่อร

“ออยกับพี่โอ่งสบายดีรึป่าว”ออยกับพี่โอ่งเป็นสามีภรรยากัน แรกเริ่มคือพี่โอ่งมาบวชที่นี่ เกิดปีติมีใจเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาและเลื่อมใสในพระอาจารย์มุนีย์มากตอนที่พี่โอ่งสึกออกมาเป็นฆราวาสเป็นช่วงปีพ.. 2554 ที่เกิดอุทกภัยไปทั่วประเทศ พี่โอ่งจึงได้มีโอกาสติดตามรับใช้ใกล้ชิดพระอาจารย์มุนีย์ตอนที่ท่านออกบิณฑบาตไปทั่วประเทศเพื่อนำปัจจัยและข้าวของไปช่วยผู้ประสบภัยหลังจากนั้นพี่โอ่งจึงมีศรัทราอย่างแรงกล้าที่จะอยู่ติดตามรับใช้พระอาจารย์มุนีย์ออยเองก็มีความเป็นคนใฝ่ดีเป็นทุนอยู่แล้วจึงไม่ยากเลยที่พี่โอ่งจะชักจูงเข้ามาสู่ทางธรรม

“ก็เดิมๆไปทางเหนื่อยๆ” ออยตอบ ส่วนพี่โอ่งได้แต่ยิ้มเพราะไม่ถนัดพูด

“คู่หูไม่มาเหรอ” ออยหมายถึงจูน

“ไม่มา ทำงาน” เราตอบกลับยิ้มๆ

“ไปก่อนละเดี๋ยวไปเจอกันที่ศาลานะ” ออยหมายถึงศาลาที่พระท่านฉันท์เช้า เด็กวัดอย่างเราๆก็รอกินข้าวก้นบาตร

“จ้ะ”เรายืนมองรถของทั้งคู่เคลื่อนออกไปจนลับตารู้สึกยินดีกับทั้งคู่อยู่ในใจที่ทั้งคู่มีโอกาสได้ร่วมสร้างบุญกุศลร่วมกันอยู่ทุกวี่วันถ้าเรามีโอกาสเราก็อยากมีคนรักแบบนี้คนที่เข้าใจที่จะพากันร่วมสร้างสรรค์แต่สิ่งที่ดีๆ

“ไปกินข้าวกันได้แล้ว” เสียงพี่อรเราจัดการวางข้าวของในมือและวิ่งไปล้างมือก่อนจะเดินไปที่ศาลากับพี่อร คนในศาลาบางตาเพราะเป็นวันธรรมดาที่นี่จะมีคนมากในวันเสาร์ อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์เมื่อพระท่านพิจารณาตักอาหารเสร็จและเดินกลับมานั่งจนครบทุกรูปจากนั้นท่านก็ได้สวดมนต์ให้พรเสร็จสิ้นพิธีอุบาสกอุบาสิกาจึงทยอยกันลุกขึ้นไปตักอาหาร

เราชอบอาหารที่นี่เพราะถูกปากและมีประโยชน์โดยเฉพาะสารพัดน้ำพริกที่แม่ครัวของที่นี่หมุนเวียนจัดทำแกล้มกับสารพัดผักที่เก็บมาจากแปลงเกษตรที่เรามีโอกาสได้เข้าไปช่วยถากหญ้าเพาะปลูก รดน้ำ พรวนดิน

อาหารจะมี 2 ส่วนส่วนหนึ่งจากที่พระท่านออกไปบิณฑบาตอีกส่วนหนึ่งทำเพิ่มขึ้นจากโรงครัวเพื่อให้เพียงพอต่อพระสงฆ์บุคลากรในวัดและผู้ที่มาถือศีลภาวนาภาชนะที่ทางวัดเตรียมไว้ให้ใส่อาหารเป็นชามใบใหญ่ที่มีขนาดใกล้เคียงกะละมังทุกคนจะพิจารณาอาหารก่อนตักด้วยความสงบแต่หลายครั้งที่อยากจะพูดไปแต่พูดไม่ได้เพราะคงเป็นความไม่เหมาะสมคือช่วยพิจารณาอาหารกันเร็วๆหน่อยได้ไหม เพราะเรื่องกินไม่ใช่ปัจจัยหลักชีวิตยังมีเรื่องสำคัญให้พิจารณาอีกมากมาย

“รีบกินนะแกเดี๋ยวเต๋อจะเข้ามารับตอนเก้าโมงครึ่ง”พี่อรมานั่งด้วย เราพยักหน้ารับทราบก่อนจะก้มหน้าสนใจจัดการเอาอาหารในถาดใส่กระเพาะ

เต๋อขับรถเข้ามาจอดหน้าศาลาเอนกประสงค์เมื่อได้เวลานัดหมาย

“สวัสดีครับเจ๊” เต๋อยกมือไหว้พร้อมกล่าวสวัสดี เรานี้ยกมือรับไหว้แทบไม่ทันไม่ชินสักทีกับการรับไหว้เต๋อ ก็ความจริงแล้วเต๋ออายุมากกว่าเราตั้งสี่ปีแต่มันเริ่มต้นกันมาแบบนี้เราก็ไม่กล้าจะแก้ไขกลัวเต๋อจะรู้สึกเสียหน้า

ตอนแรกที่เจอกันเราก็นึกว่าเต๋อว่าเป็นรุ่นน้องจริงๆเพราะเห็นเต๋อพุ่งพรวดเดินเข้ามาสวัสดีอาจจะเป็นเพราะเห็นเราสนิทกับพี่อรเลยคิดว่าอายุเราน่าจะใกล้เคียงพี่อรแต่เราดูแก่แบบนั้นเลยเหรอ?

“สบายดีไหมเต๋อ”

“สบายดีครับ ตอนนี้ผมกำลังจะทำแพพอดีได้ที่มรดกติดแม่น้ำ”

“ว้าว สุดยอดมากๆไว้เจ๊จะไปอุดหนุนนะ”

“สำหรับเจ๊พัสน์ฟรีสถานเดียว” เต๋อส่งยิ้มจริงใจยิ้มของคนที่ใจดีมีเมตตา

“เจ๊จูนล่ะครับ”

“จูนไม่มา ทำงาน” เราไม่เบื่อที่จะตอบหรอกนะเวลาที่ใครถามถึงจูนเพราะอย่างน้อยในความรู้สึกของคนอื่นก็ยังเห็นว่าเรากับจูนสนิทกันมากและแทบจะไม่เคยห่างกันเวลามาที่นี่

“ไปกันได้แล้ว”พี่อรเดินออกมาจากห้องทำงานพร้อมข้าวของพะรุงพะรังในมือ

“สวัสดีครับพี่อร” เต๋อรีบเข้าไปช่วยถือของ

“ขอบใจ ฉันเก็บของชอบแกไว้ให้ด้วย”เต๋อตาเป็นประกายเปี่ยมสุขกับการได้รับความใส่ใจ

“ใสไส้เจ๊อ้อย”พี่อรเฉลยพร้อมยกถุงที่ใส่ใสไส้ขึ้นให้ดู

“ขอบคุณครับพี่ นึกอยู่เมื่อเช้าว่าอยากกิน”

“ก็บุญของแกเพราะเจ๊อ้อยแกก็หายไปนานสองนานเพิ่งจะทำของมาถวายเมื่อเช้านี้แหละ” ได้เห็นได้ฟังเรื่องแบบนี้เราก็พลอยมีความสุขไปด้วยสุขที่เห็นคนอื่นมีความสุขเป็นสุขที่ได้ยินดีกับความสุขนั้น

รถของเต๋อเป็นกระบะ4 ประตูพื้นที่กระบะก็กว้างขวางพอให้วางต้นกล้าได้นับร้อยและน้ำมันอีก 5แกลอน ก่อนออกเดินทางเราต้องช่วยกันขนต้นกล้าขึ้นรถพร้อมกับน้ำมันเหนื่อยนะแถมยังคันไปทั้งตัวเพราะต้องบุกป่าเข้าไปเอาต้นกล้าที่เพาะไว้นานแล้วแต่ใจกลับโคตรมีความสุขเลย สุขที่ได้ทำ ได้ช่วย

รถกะบะของเต๋อมุ่งหน้าสู่แม่น้ำน้อยซึ่งตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติไทรโยค เมื่อเข้าเขตอุทยานจะพบว่าถนนหนทางเป็นดินลูกรังเป็นหลุมเป็นบ่อเจอแอ่งน้ำขังเป็นระยะๆเพราะฝนตก

“เรื่องใหญ่ละ” เติ้ลพูดขึ้นเมื่อมองไปข้างหน้าทุกคนได้เห็นเหมือนกันว่ามีไผ่ลำใหญ่พาดขวางอยู่กลางทาง

“ต้องยกไผ่ขึ้นให้รถลอดไป”เรากับพี่อรมองหน้ากันต่างใช้ความคิด และต่างคิดออกอยู่ทางเดียวจากนั้นประตูรถถูกเปิดออกและทุกคนต่างลงจากรถ

“ 1 2 3 ” เสียงของเติ้ลและพี่อรดังเข้ามาในรถที่ฉันกำลังจะขับลอดไปแต่ก็ยากเย็นเพราะต้นไผ่ลำใหญ่น้ำหนักมากแถมพี่อรก็ช่วยเติ้ลได้ไม่มากเพราะตัวเล็กหันมองไปรอบกายท่ามกลางป่าเขาในเขตอุทยานฯแบบนี้ไม่เห็นที่พึ่งใดอีกแล้วนอกจากตนเองและพวกพ้องที่มาด้วยกัน

เมื่อยกต้นไผ่ขึ้นพาดกลางกระบะได้แล้วจากนั้นเติ้ลจึงขึ้นมาบนกระบะและยกต้นไผ่ดันออกไปให้พ้นหลังคารถ

“เย้!!”ทุกคนโห่ร้องด้วยความดีใจกันจนลั่นป่าเพราะรถผ่านไผ่ลำโตมาได้แล้วขากลับก็หวังว่าจะมีเจ้าหน้าที่หรือชาวบ้านที่ใช้เส้นทางนี้สัญจรกำจัดมันออกไป

เต๋อและพี่อรเข้ารถมาในสภาพเปียกชื้นเพราะฝนตกโปรยปรายอยู่ตลอดเวลา

“ดีนะที่วันนี้เจ้าพัสน์มาด้วยถ้าฉันมากับแก 2 คนนะเจ้าเต๋อคงได้พากันตายอยู่กลางป่าเพราะฉันขับรถไม่เป็นแถมแขนขาก็ยังสั้นมู่ทู่”

“จริงพี่” เต๋อคิดเห็นตรงกัน แต่ความจริงทั้งคู่ต้องขอบคุณจูนต่างหากก็ถ้าไม่เพราะจูนวันนี้เราก็คงไม่ได้มา เรามาทั้งที่งานยุ่งแสนยุ่งแต่เราก็เลือกทิ้งทุกอย่างเพื่อที่จะมาที่นี่เป็นที่เดียวที่จะทำให้ใจที่โดดเดี่ยวไม่รู้สึกไร้ค่าแถมเราจะได้ฆ่าเวลาที่เราจะเอาไปเศร้าซึมมาก่อให้เกิดประโยชน์

ฮัดชิ่ว! จิราพรหรือจูนดึงทิชชู่มาเช็ดน้ำมูกน้ำตาที่เกิดมาจากการจาม

“แสดงว่ามีคนคิดถึง” เพื่อนร่วมงานสาวรุ่นพี่เอ่ยแซว

“ฉันว่าไอ้สร้อยแน่ๆที่กำลังคิดถึงแก”เป็นคำแซวที่ออกจะแรงจากโบ๊ทเพื่อนชายใจสาว ตัวโจ๊กประจำแผนก

“บ้าซิ” จิราพรทำเป็นเขินแบบโอเวอร์กลบเกลื่อนทั้งที่ก็เขินจริงๆสายตาแลมองไปทางคู่กรณีที่เพื่อนพาดพิงถึง เห็นหล่อนมองกลับมานัยน์ตาเป็นประกายอ่อล้อบ้าจริง…เด็กบ้า! มันเป็นความสุขสมที่ปะปนอยู่ในความรู้สึกผิด…ผิดต่อพี่พัสน์แม้มันจะเป็นแค่ความคิดและการกระทำที่ไม่คิดจะจริงจังก็เถอะ แต่เธอก็รู้สึกผิด

เธอไม่ได้ปฏิเสธเรื่องที่ใจหวั่นไหวไปกับสร้อยทอมหน้าใสที่เพิ่งหลุดออกมาจากรั้วมหาวิทยาลัยสดๆร้อนๆเรื่องอายุแทบไม่อยากพูดถึงเป็นหลานเธอได้เลยทีเดียวสร้อยเป็นเด็กน่ารักช่างเอาใจเป็นน้องน้อยของแผนกที่พี่ๆทุกคนต่างเอ็นดูสร้อยแสดงออกชัดเจนว่าสนใจเธอด้วยการเข้ามาเทคแคร์ดูแลเธอเป็นพิเศษหลายเรื่องเธอก็ยินยอมเปิดทางให้สร้อยเข้ามาเติมเต็มใจบางเรื่องให้กับเธอในบางเรื่องที่พี่พัสน์บกพร่องไปคือความเอาใจใส่ ช่างเอาอกเอาใจและโรแมนติก ตลอดหลายปีที่คบกันมาพี่พัสน์มักจะอยู่กับเหตุและผลและมองทุกอย่างเป็นเรื่องปกติไปเสียหมดเมื่อนึกถึงคนรักมือเรียวจึงคลิกเข้าไปที่เฟสบุ๊คเพื่ออัพเดทมีรอยยิ้มผุดขึ้นมาในทันทีเมื่อเห็นรูปคนรักเนื้อตัวมอมแมมจากการขนย้ายต้นกล้าในป่าชื้นแฉะพี่พัสน์เป็นคนดีและมักจะนำพาเธอทำในสิ่งที่ดีๆเสมอ เธอรักพี่พัสน์มากรักมาตลอดเจ็ดปี

‘สุดยอดมากค่ะ’ เป็นคำที่เธอคอมเม้นในโพสน์ใต้รูปของพี่พัสน์อยากจะหวานกว่านี้แต่ก็ทำไม่ได้เพราะข้อตกลงระหว่างกันคือเราจะไม่บอกกับใครเรื่องความสัมพันธ์นอกจากครอบครัวและเพื่อนสนิทที่มีเพียงไม่กี่คนพี่พัสน์ให้เหตุผลว่าความรักแบบนี้จะเป็นอันตรายจากผู้คนที่ไม่เข้าใจและพี่พัสน์ห่วงเธอไม่อยากให้เธอถูกสังคมนอกบ้านเพ่งมองและวิจารณ์ที่เธอเองก็เห็นด้วยกับพี่พัสน์ทุกอย่างแม้จะมีบ้างที่อยากจะอวดแฟนกับใครๆ

ป่านนี้พี่พัสน์คงสนุกสนานและอิ่มสุขกับกิจกรรมทำความดีแต่เธอไม่เข้าใจเลยว่าทำไมครั้งนี้พี่พัสน์ถึงไปที่นั่นโดยไม่มีเธออยู่ในแผนนึกอยากจะไปก็ไปเลยแถมยังไปนานตั้งสองอาทิตย์ไม่รู้หรือไงว่าคนเขาคิดถึง

“โอวัลตินค่ะ” เสียงนี้ทำให้จิราพรหลุดออกมาจากภวังค์

“ขอบใจจ้ะสร้อย” ทั้งคู่ส่งยิ้มสวยให้กัน

“อิจฉาคนมีคนดูแลเอาใจเนอะ” โบ๊ทแซว

“เอาไหมพี่โบ๊ทเดี๋ยวสร้อยชงให้” โสภิตาหรือสร้อยเบี่ยงเบนความสนใจ

“ไม่อ่ะจ้ะ ขอบใจ พี่อยากได้จากหนุ่มๆมากกว่า”โบ๊ทพูดได้หน้าตาเฉย จากนั้นสร้อยก็เดินยิ้มๆกลับไปที่โต๊ะทำงานเปิดไลน์ขึ้นมาพิมพ์ข้อความส่งออกไป

“โอวัลตินที่ใส่หัวใจของสร้อยอร่อยไหมคะ”อดไม่ได้ที่คนรับข้อความจะต้องหลุดยิ้มออกมา

“เด็กบ้า”

“อย่าเผลอมาบ้ารักเด็กนะคะ”

‘ไม่เผลอหรอก’ คำนี้พูดอยู่ในใจของจิราพรสร้อยมีเพียงความน่ารักช่างเอาใจตามประสาเด็กแต่เธอมีความรักที่มากมายจนล้นใจให้กับอีกคนอยู่แล้วมาตลอดหลายปี…พี่พัสน์

“คิดถึงมากนะคะ” ประโยคนี้ถูกส่งออกไปจากเฟสของจิราพรไม่ได้ส่งถึงคนที่กำลังคุยกันอยู่แต่ส่งถึงอีกคนที่หล่อนรักสุดหัวใจ

เมื่อมาถึงที่หมายคือแม่น้ำน้อยเต๋อพยายามจอดรถให้ชิดริมแม่น้ำให้มากที่สุดเพื่อความสะดวกในการขนต้นกล้าและน้ำมันไปลงเรือที่จอดรออยู่แล้วเมื่อเครื่องยนต์ดับสนิทลงชายกลางคนรูปร่างผอมสูงใส่กางเกงเลสีเขียวขี้ม้ากับเสื้อเชิ้ตแขนยาวได้เดินมาที่รถ

“สวัสดีค่ะลุงแผ้ว” พี่อรเปิดกระจกและตะโกนออกไปยังคนที่ได้นัดหมายกันไว้สองมือยังสาละวนกับการรวบรวมข้าวของมีเอกสารหลายอย่างที่ต้องนำส่งพระอาจารย์กอบพระอาจารย์ที่ดูแลสถานปฏิบัติธรรมที่แม่น้ำน้อยโปรเจ็กต์ทำโป่งและปลูกป่าในครั้งนี้ก็เป็นของท่าน ท่านเห็นว่าชาวบ้านที่นี่ได้บุกรุกถางป่าเพื่อทำเกษตรและลักลอบล่าสัตว์ในพื้นที่ห้ามล่าอยู่เป็นประจำและมักจะมีเรื่องไม่ลงรอยกับเจ้าหน้าที่อุทยานฯเสมอท่านต้องการสร้างความเข้าใจและบ่มเพาะหัวใจแห่งความมีเมตตาต่อสรรพสัตว์และผืนป่าแห่งนี้ให้กับชาวบ้านท่านได้กล่าวกับลูกศิษย์คนสนิทว่า

‘แม้ผลที่ดีจะออกมาเพียงเสี้ยวธุลีดิน ก็ยังดีกว่าเมินเฉยอย่างคนไร้เมตตา’

“ชื่นฉ่ำอุราดีไหมละแม่อร”ลุงแผ้วหยอกเย้าตามประสาคนกันเอง

“ฉ่ำจนชื้นแฉะก็จะไม่ไหวเอานะลุง”

“ธรรมชาติเหนือเรา เราต้องปรับตัวที่จะอยู่กับเขา”

“ก็เข้าใจนะลุง แต่วันนี้ก็เกือบแย่เจอไผ่ลำยักษ์ขวางถนนเข้าแต่ก็ธัมมะจัดสรรให้ผ่านพ้นมาได้”

“คนดี เทวดาฟ้าดินท่านก็คอยคุ้มครอง”ได้ฟังแบบนี้ใจของคนอาสาก็พากันปีติยินดี

“สวัสดีค่ะ ลุงแผ้ว” “สวัสดีครับลุงแผ้ว” เรากับเต๋อก็พากันสวัสดีลุงแผ้ว

“ไหว้พระเถอะ อนุโมทนานะที่มาช่วยงานบุญ”ลุงแผ้วยิ้มเต็มหน้าดั่งคนมีเมตตาสูง

“สาธุค่ะ , ครับ”เรากับเต๋อรับอนุโมทนาพร้อมกัน

“เที่ยวเดียวหมดไหมลุง”พี่อรให้ลุงแผ้วพิจารณาของที่ขนลงไปบ้างแล้วกับที่ยังอยู่หลังรถเรือของแกเป็นเรือหางยาว

“สบายมาก” จากนั้นเราทุกคนก็ช่วยกันลำเลียงของลงเรือเมื่อขนเสร็จลุงแผ้วก็พาเราล่องเรือข้ามลำน้ำน้อยไปยังสถานปฏิบัติธรรม

ระหว่างการเดินทางเรากับพี่อรนั่งชิวกันอยู่บนหัวเรือส่วนเต๋อนั่งวิดน้ำอยู่ท้ายเรือตอนนี้เป็นช่วงน้ำขึ้นแถมฝนยังตกโปรยปรายอยู่ตลอด โชคดีที่พี่อรละเอียดลออเตรียมชุดกันฝนมาแจกจ่ายให้ทุกคนด้วยสภาพของทุกคนจึงไม่เลวร้ายนัก จะมีก็แต่ลุงแผ้วที่ทำเท่ไม่ขอรับเพราะไม่คุ้นชิน

ไม่นานเรือก็เทียบท่าเชือกบนหัวเรือถูกนำไปมัดอย่างแน่นหนากับต้นไม้ริมน้ำเมื่อมองขึ้นไปบนเนินก็ได้เห็นพระหลายรูปยืนรออยู่ คงจะมารอช่วยขนของนั่นเอง

“นมัสการเจ้าค่ะ” พี่อรกล่าว จากนั้นพระทุกรูปต่างลงมาช่วยกันหอบหิ้วของขึ้นไป‘คุณพระช่วย’ อีกแล้ว

สถานปฏิบัติธรรมตรงหน้านี้มีเพียงเสาและโครงหลังคาที่ปูกระเบื้องไว้กันแดดกันฝนข้างฝาทุกด้านยังเปิดโล่ง สถานที่แห่งนี้มีพระประจำอยู่เพียงสองรูป ส่วนรูปอื่นๆเป็นพระจากวัดสาขาเข้ามาช่วยงานจิปาถะตามแต่จะมีอะไรพร้อมให้ช่วยทำและจะกลับออกไปในตอนเย็น

ทุกอย่างล้วนต้องมีก้าวแรกและก้าวแรกนั้นก็คือการได้เริ่มต้นหลายวัดที่ก่อนจะเป็นวัดใหญ่โตโด่งดังเป็นที่รู้จักและศรัทราก็เริ่มจากเสาไม่กี่ต้นแบบนี้

ตรงชายเขาด้านหลังศาลามีกุฏิไม้หลังเล็กสำหรับจำวัดสร้างเรียงกันอยู่3 หลัง ถัดลงมาเป็นห้องน้ำเรียงกัน 5 ห้องสร้างเตรียมไว้รองรับการมาของผู้มีจิตศรัทราและเหล่าอาสาที่จะเข้ามาทำประโยชน์ต่อศาสนาชาวบ้าน และผืนป่าแห่งนี้

พี่อรถอดรองเท้าและเดินนำเข้าไปนำเรากราบพระประธานและกราบพระภิกษุตรงหน้า

“นมัสการเจ้าค่ะพระอาจารย์กอบ วันนี้พัสน์กับเต๋อมาช่วยขนย้ายต้นกล้ากับน้ำมันเจ้าค่ะ”เราทุกคนยกมือประนมไว้ตลอดขณะสนทนากับพระคุณเจ้า

“เจริญพร ขอให้เจริญๆกันนะกรอบของบุญกุศลที่หมั่นสร้างจะปกปักษ์รักษาและนำพาโยมทั้งหลายให้ได้ไปพบเจอแต่สิ่งที่ดีๆนะ”

“สาธุ” เรากับเต๋อกล่าวรับพรพร้อมกัน

“เอกสารจากทางอุทยานฯเจ้าค่ะ” พี่อรเข้าเรื่องสำคัญเพราะอยู่ได้ไม่นานยังมีงานอื่นๆรออยู่อีกมาก

“ทางอุทยานฯจะส่งเจ้าหน้าที่มา 3 คนเจ้าค่ะ มาช่วยนำทางและแนะนำการทำโป่ง”

“ขอไป5ไม่ใช่รึ”

“สะดวกแค่ 3 เจ้าค่ะต้องแบ่งไปกลุ่มที่จะเข้าไปทำโป่งที่ทุ่งใหญ่นเรศวรด้วยเจ้าค่ะทางนั้นเขากลุ่มใหญ่คนร้อยกว่าคนเจ้าค่ะ”

“อ่อ งั้นก็ฝากอรจัดเตรียมงานดูแลอาสาด้วยนะ เรือหามาได้ 10 ลำ 40 คน กระจายๆกันนั่งเที่ยวเดียวน่าจะพอไหม”

“พอไหมจ๊ะลุงแผ้ว” พี่อรหันไปถามต่อลุงแผ้วนั่งนับนิ้วอยู่ 2 3 รอบ

“น่าจะพอครับพระอาจารย์”

“อาตมาคิดว่าจะช่วยค่าน้ำมันชาวบ้านลำละ1000 บาทโยมอรจะว่ายังไงพอไหวไหม” พระคุณเจ้ากล่าวเชิงปรึกษาในเบื้องลึกท่านต้องการช่วยเหลือชาวบ้านให้มีรายได้และต้องการใช้โอกาสนี้ซื้อใจชาวบ้านไปในตัว

“ก็ต้องไหวแหละเจ้าค่ะ” แม้อรจะรู้ดีว่าการหาเงินหมื่นภายในระยะเวลาไม่กี่วันไม่ใช่เรื่องง่ายแต่ก็จะหามาให้ได้เพื่อสนองเมตตาพระอาจารย์

“ยังไงก็ฝากโยมอรด้วยนะ”

“เจ้าค่ะ โยมต้องกราบลาก่อนนะเจ้าคะ เพราะมีงานรออยู่อีกเยอะ”

“เจริญพร บุญรักษานะโยม” พวกเราก้มกราบพระอาจารย์กอบพร้อมกันก่อนจะกราบพระประธานอีกรอบและหันไปกราบพระรูปอื่นที่อยู่ในระยะที่สายตาเห็น

ลุงแผ้วขับเรือนำพาเรากลับมาเทียบท่าตรงจุดจอดรถโดย สวัสดิ์ภาพ

“ขอบคุณหลายๆนะลุง” พี่อรเป็นคนพูด

“ขอบคุณนะคะ,ขอบคุณนะครับ”เรากับเต๋อยกมือไหว้ลุงแผ้ว

“เก็บไว้ใช้นะลุง” พี่อรเอาเงิน 200 บาทยัดใส่มือลุงแผ้วเพราะรู้ดีว่าถ้ายื่นให้แบบธรรมดาแกจะเกรงใจไม่ยอมรับ

“ขอบใจมาก” สองตาที่เหี่ยวย่นของลุงแผ้วจากวัยที่ล่วงเลยไปไกลเป็นประกายแจ่มใสจากใจที่เปี่ยมสุขจากกัลยาณมิตรทางธรรม

“ไปก่อนนะลุงวันเสาร์เจอกัน” ร่ำลากันเสร็จก็แยกย้ายไปคนละทาง

“พี่อรจะเอาค่าน้ำมันมาจากไหน”เราถามพี่อรเมื่อรถเคลื่อนออกมาได้สักพัก

“ก็ขอกับทางวัดขาดเหลือก็เรี่ยไร”วิถีทางพุทธก็แบบนี้มีไม่กี่ทางให้เลือกหรอก แต่ต้นของทุกทางล้วนมาจากคำว่า ‘ศรัทรา’

เต๋อมาส่งพี่อรกับเราที่วัดแล้วก็ขอตัวกลับเลยเพราะใกล้ค่ำแล้วส่วนเรากับพี่อรก็แยกย้ายกันไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อไปทำวัตรเย็น

จิราพรนอนมองนาฬิกาด้วยสายตาเหงาหงอยอยากจะเร่งมันให้เดินเร็วขึ้นเพื่อเธอจะได้โทรหาพี่พัสน์จากประสบการณ์ที่เธอเคยไปวัดปฏิบัติธรรมกับพี่พัสน์ ทำวัตรเย็น ฟังพระเทศน์จะเสร็จประมาณสี่ทุ่มเมื่อได้เวลาก็ต่อสายถึงคนรักทันที จิราพรจดจ่ออยู่กับเสียงรอสายอยากได้ยินเสียงปลายสายใจจะขาด

“คิดถึงพี่พัสน์จัง” จิราพรพูดออกไปเมื่อปลายสายกดรับ

“จ้ะแต่คิดถึงพี่เวลาไม่คิดถึงใครก็ได้นะ” เราพูดติดตลกไปงั้น

“หือพี่พัสน์พูดอะไรแปลกๆ”

“เพลงไงไม่เคยฟังเหรอ คิดถึงฉันสักครั้ง เมื่อไม่ได้คิดถึงใคร ทำตัวตามสบายถ้าเจอกันในความฝัน มีเวลาดีๆ ก็บอกให้ฉันได้ฟัง ไม่มากเกินไปกว่านั้น ค่อยๆรักกันเบาเบา” เราร้องเพลงเบาๆ ของวงSingular

“นั่น! เผลอเหรอคะ พี่พัสน์ถือศีลแปดอยู่นะ”

“ไม่เผลอหรอกพี่สมาทานศีลห้าจ้ะไม่ได้สมาทานศีลแปด”

“อ่อ แล้วไปแล้วพี่พัสน์เหนื่อยไหม พี่อรเป็นยังไงบ้างสบายดีหรือเปล่า”

“เหนื่อยแต่ก็สนุกดีพี่อรแกก็คงสบายดีตามอัตภาพ จูนมีอะไรอีกไหมถ้าไม่มีพี่ขอตัวนอนก่อนนะพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า”

“งั้นพี่พัสน์ก็นอนเถอะค่ะจูนไม่กวนแล้วฝันดีนะคะ จูนรักพี่พัสน์นะ”

“จ้ะ ฝันดีนะ” ใจของต้นสายเคว้งคว้างแปลกๆเมื่อปลายสายตัดสายไป ทำไมดูพี่พัสน์เย็นชาห่างเหินจังแต่ก็คงจะเพราะเหนื่อยคิดได้แบบนั้นจิราพรจึงเอื้อมมือไปปิดไฟที่หัวเตียงอีกคืนที่เธอนอนคนเดียวโดยไม่มีพี่พัสน์ อยากจะชินแต่ก็ไม่ชินสักที

ส่วนเรายังไม่นอนอย่างที่บอกกับจูนแต่เรากำลังเปิดคอมเพื่อติดตามบางอย่าง ติดตามสิ่งที่จูนคุยกับแมวและก็เป็นอย่างที่คิดจูนยังดูมีความสุขเมื่อพูดถึงสร้อย น่าอิจฉาจังนะคนมีความรักเนี่ย เรายินดีเสมอนะกับการได้เห็นคนอื่นมีความสุขโดยเฉพาะคนที่รักและดูแลเรามาอย่างดีตลอดเจ็ดปี

รุ่งเช้าเราเข้าไปหาพี่อรในห้องทำงาน

“พรุ่งนี้พัสน์ต้องกลับแล้วพอดีมีปัญหาต้องกลับไปเคลียร์”

“แกมาให้ความหวังฉันนะยะว่าจะมาช่วยงานฉันสองอาทิตย์” พี่อรไม่จริงจัง เราได้เพียงยิ้มเป้ยๆรู้สึกผิดเล็กๆ

“อะไรที่มันค้างคาก็กลับไปเคลียร์ซะให้เรียบร้อยฉันอวยพรให้ทุกเรื่องของแกเป็นไปได้ด้วยดี”

“ขอบคุณค่ะพี่อร” อยู่ๆน้ำก็คลอขึ้นมาจากสองตา จากความรู้สึกที่หลากหลาย ซาบซึ้งตื้นตันและ…พ่ายแพ้




 

Create Date : 22 มกราคม 2559    
Last Update : 22 มกราคม 2559 10:21:34 น.
Counter : 501 Pageviews.  

รักนี้พรหมลิขิตจัดให้ 1

เราชื่อพัสนรี มีอาชีพอิสระเราจึงเหมือนดูมีเวลามากมายกว่าคนอื่นและมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆแต่เงินไม่ค่อยมีหรอกเพราะยังติดนิสัยทำทุกอย่างตามใจตัวเอง

ที่ที่เรามาวันนี้ เป็นวัดแห่งหนึ่งในจังหวัดกาญจนบุรีเรารู้จักวัดนี้จากการมาทำงานอาสา ปลูกป่าบ้าง ปลูกแฝกบ้าง ขนย้ายต้นกล้า ปัดกวาดเช็ดถูวัด และกิจกรรมอีกหลายๆอย่าง

เรานั่งรถตู้มาจากกรุงเทพฯ ต่อด้วยรถเมล์และโบกรถชาวบ้านเข้ามาระยะทางจากหน้าถนนเข้าไปถึงวัดประมาณ5 กิโล

“รีบๆเลยเจ้าพัสน์งานรอแกอยู่เพียบ” คนนี้ชื่อพี่อร เป็นรุ่นพี่อาสาที่ประจำอยู่ที่วัดแห่งนี้ เพราะเรามาช่วยงานที่วัดนี้บ่อยเลยได้สนิทกับแกพี่อรเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่เล็กจริงๆสูงไม่ถึง 150 เซนติเมตรแต่แกโคตรอึดแถมยังถึกมากเป็นคนที่มีจิตอาสาและเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาจึงรู้สึกเป็นบุญเสมอที่ได้มารู้จักกับคนแบบพี่อร

“จูนไม่ได้มาด้วยเหรอ” จูนคือคนที่มักจะมาที่นี่กับเรา

“ไม่มาค่ะ ทำงาน”

“จะอยู่กี่วัน”

“สองอาทิตย์”

“หือ…นานแต่ก็ดีจะได้มีแรงงานฟรีไปอีกเป็นอาทิตย์” อรยินดีที่จะได้คนมาช่วยงานเพราะลำพังงานก็ล้นตัวอยู่ทุกวี่วันโดยปกติคนช่วยงานก็พอมีบ้างแต่คนที่จะมาช่วยตามงานและรับผิดชอบจนเสร็จ โปรเจ็กต์เป็นศูนย์เพราะทุกคนเพียงแค่ผ่านมาเพราะอยากทำความดีและก็ผ่านไปกับความได้ทำแล้วได้รู้แล้วและวิ่งหาสิ่งใหม่ๆทำไปเรื่อยๆ

“กะจะประหยัดน้ำไฟที่บ้าน”

“ย้ายมาอยู่วัดเลยแก” อรต่อมุข

“อย่าชวน เดี๋ยวมา” คุยกันแบบนี้เสมอแหละประสาคนที่นับถือกันเป็นพี่น้อง

“เดี๋ยวไปขนฟางกับพี่นะ เอารถวัดไป” ไม่ให้ได้พักหายใจหายคอกันเลยทีเดียว แต่ก็ดีจะได้ใช้เวลาให้เกิดประโยชน์สูงสุด

“รถวัดคันไหน” ต้องขอรู้เพื่อทำใจสักนิดเพราะรถวัดที่เห็นแต่ละคัน ถ้าไม่ประตูหลุดก็หลังคาไม่มีสมเป็นรถวัดป่าเพราะสมถะเหลือแสน มีลูกเด็กเล็กแดงอย่าให้เฉียดใกล้เชียวบาดทะยักจะกินเอาพาให้ตายได้ง่ายๆคนท้องก็อย่าคิดอยากมานั่งหากอยากให้ลูกเกิดมาครบ 32 หรือไม่แท้งไปซะก่อนทั้งจากสภาพรถและจากสภาพถนน

“คันที่แกโอนเงินมาช่วยค่าซ่อมไง”

‘หือ…’ คือคันที่ถัดไปอีกสเต็ปก็แยกชิ้นส่วนไปขายเชียงกงได้แล้วนะเหรอ

“ซ่อมเสร็จแล้วเรอะ”

“อือ เสร็จเมื่อวาน โดนค่าซ่อมไป 20,000ฉันนี้ต้องไปหาเงินมือเป็นระวิง ยื้อกันจนนาทีสุดท้าย” เข้าใจแกนะ เพราะพี่อรแกเลื่อมใสพระอาจารย์มุนีย์ เจ้าอาวาสวัดแห่งนี้มากแกจึงปวารณาตัวเป็นโยมอุปัฏฐากดูแลจัดหาข้าวของให้หากมีสิ่งใดขาดตกบกพร่องที่เป็นประโยชน์ในทางพุทธศาสนาซึ่งในทางพุทธก็มีช่องทางหรอกในการหาเงินหรือข้าวของไม่กี่ทางหรอก หากไม่บอกบุญให้กับคนที่มีใจเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาก็ต้องใช้ปัจจัยส่วนตัว รถคันนี้มีญาติโยมนำมาถวายพระอาจารย์มุนีย์เห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับวัดและราคาซ่อมพอจะสู้ไหวจึงรับเอาไว้

“แกรีบเอาของไปเก็บเปลี่ยนชุดซะ เดี๋ยวจะได้ไปกัน”

“เคพี่ รอแป็บ”

จากนั้นก็แยกกับพี่อรเป็นการชั่วคราวเพื่อมากางเต็นท์เก็บข้าวของแล้วก็เปลี่ยนชุด ทุกครั้งที่มาก็แบบนี้แหละ เราจะกางเต็นท์นอนที่ศาลาเอนกประสงค์ไม่ได้เข้าระบบที่พักของวัดที่จัดให้กับคนที่มาถือศีลเจริญภาวนาเพราะเราไม่ได้มาถือศีล ภาวนา แต่เรามาทำงานอาสาที่รอบนี้ตั้งใจมาทำแปลงเกษตรเพื่อการเรียนรู้และเตรียมงานรออาสาที่จะมาทำประโยชน์คือเรามาเป็นเบื้องหลังนั้นเอง

“พร้อมแล้วค่ะพี่อรรถวัดจอดอยู่ไหน”ความเหน็ดเหนื่อยมาจากการเดินทางถูกหลงลืมไปเพราะมีสิ่งที่ตื่นเต้นสนุกสนานแถมยังเกิดประโยชน์รออยู่สำหรับเรางานอาสาไม่ใช่แค่การสละทุกอย่างเพื่อออกมาสร้างประโยชน์แต่งานอาสาได้สร้างคุณค่ามหาศาลให้กับตัวเรา ให้จิตที่รู้จักแบ่งปัน เสียสละจิตแห่งความมานะและอดทน

“รถวัดไปรอที่นู่นเลย”

“เอ่า! แล้วเราไปกันยังไง”

“เดี๋ยวเดินออกไปโบกรถ”

‘หือ…’ จะเป็นแบบวันนั้นไหมที่ไม่มีรถผ่านมาให้โบกเลยสักคันเลยต้องพากันเดิน 3กิโลเพื่อออกไปขึ้นรถโดยสารที่ถนนใหญ่

โชคดีที่วันนี้เราไม่โชคร้ายอย่างวันนั้นเพราะมีรถโยมอุปัฏฐากเข้ามาที่วัดพอดีและอาสาไปส่งให้ถึงที่

ปลายทางเป็นโรงงานอัดฟางที่พี่อรติดต่อซื้อไว้ส่วนรถของวัดล่วงหน้ามาก่อนแล้วกำลังเข้าคิวรอขนฟางขึ้นรถอยู่

“สวัสดีค่ะพี่เปี๊ยก” พี่เปี๊ยกเป็นคนขับรถของวัดเป็นลูกศิษย์ใกล้ชิดพระอาจารย์เหลือที่ดูแลสถานปฏิบัติธรรมสาขาที่เราจะเอาฟางไปลงนี่แหละ

“เออ ไหว้พระ”

“ไหว้พี่แหละ” กวนประสาทแกไปงั้นแหละ

“อร ฝากตบกะโหลกมันที แรงๆวันนี้พี่ทำเองไม่ได้พระอาจารย์พาสมาทาศีลแต่เช้า”พี่เปี๊ยกหาตัวช่วย

“แกจัดการเองไปเลย ไม่ผิดศีลห้าตบสั่งสอน ได้บุญ”


โห่ๆ ไม่คิดจะปกป้องน้องนุ่งบ้างเลยพี่อร”เราก็ทำเป็นคร่ำครวญให้ดูน่าหมันไส้ไปงั้น

“ถอยรถเข้ามาเลย” ถึงคิวพอดี พี่เปี๊ยกรีบกระโดดขึ้นรถแล้วขับเข้าไปข้างใน มองเข้าไปจะเห็นฝางอัดขึ้นรูปเป็นแท่งสูงเป็นกองพะเนิน จะมีแรงงงานผู้ชายรูปร่างบึกบึนบอกความแข็งแรงคอยเกี่ยวฟางขึ้นรถตามจำนวนที่คนสั่งซื้อส่วนพี่อรตอนนี้เดินเข้าไปหาเฮียเจ้าของโรงงานเพื่อทำธุรกรรมทางการเงินกัน คือแกไปจ่ายค่าฟางนั่นเอง

“ลดอีกหน่อยได้ไหมเฮีย วัดต้องใช้ฟางเยอะ” พี่อรต่อรองทีเล่นทีจริง เพราะรู้แก่ใจว่าเฮียแกเขี้ยวลากดิน

“อรซื้อที่ไหนได้ถูกกว่าเฮียเหรอ” นี่แหละคือคำตอบแล้วว่าจะลดให้อีกหรือเปล่า แต่ก็ต้องเข้าใจว่าเขาทำธุรกิจไม่ใช่การกุศล

“ไม่มีที่ไหนถูกกว่าเฮียหรอกค่ะและก็ไม่มีที่ไหนใจดีเท่าเฮียด้วย”ไม่ได้ผิดศีลอะไรเพราะไม่ได้โกหก แค่ปรับจิตให้คิดบวก

“รอบนี้เอาราคานี้ไปก่อนรอบหน้าค่อยลด” ‘ก็ยังดี’พี่อรคิดแบบคนวางลงปลงได้

“ขอบคุณเฮียมากนี่เงิน 8500” มีธนบัตรใบละ 1000 500 100และก็ ใบละ 20 ถุงเหรียญสิบอีกห้าถุง ถุงละ 500 บาท

“เศษเยอะขนาดนี้วันหน้าไปแลกที่เซเว่นให้เฮียหน่อยนะนับลำบาก”

“เซเว่นที่ใกล้วัดที่สุดคือ 30กิโลเฮีย” พี่อรให้เหตุผล จากนั้นเฮียแกก็นับไปบ่นไปจนเสร็จเงินที่เอามาซื้อฟางนี้ต้องเบิกออกมาจากบัญชีของวัด ในส่วนของวัดจะเบิกเงินไปใช้จ่ายอะไรทีก็ไม่ง่ายทั้งที่จำเป็นก็ไม่ใช่ว่าวัดไม่อยากจ่ายแต่เพราะวัดเป็นวัดใหญ่มีรายจ่ายหลายทางจึงต้องบริหารการเงินกันอย่างเข้มงวดรายได้ของวัดก็มีมาจากทางเดียวคือจากปัจจัยที่คนนำมาทำบุญ เราเห็นรายจ่ายวัดเยอะแบบนี้ก็อยากจะช่วยสมทบทุนสักแสนสองแสนติดอยู่หน่อยเดียว ตรงที่ไม่มีเงิน

ฟางที่ซื้อไปนี้ก็เพื่อเอาไปคลุมกล้าไม้ที่เราปลูกไว้บนเขาเพื่อรักษาความชุ่มชื้นที่สถานปฏิบัติธรรมสาขาที่พระอาจารย์เหลือดูแลอยู่

สถานปฏิบัติธรรมสาขาแห่งนี้ได้รับบริจาคที่ดินจากชาวบ้านเป็นจำนวนหลายร้อยไร่เป็นพื้นที่ติดกับเขา เมื่อกรมป่าไม้เห็นมีสถานปฏิบัติธรรมมาสร้างใกล้พื้นที่ของกรมป่าไม้จึงได้มีการฝากฝังให้ช่วยดูและอนุญาตให้สถานปฏิบัติธรรมใช้พื้นที่ป่าโดยรอบได้

เมื่อทีมพระวัดป่าและอาสาสมัครขึ้นไปสำรวจก็พบว่าป่าถูกบุกรุกมีการตัดไม้ทำลายป่าเสียหายไปมากพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นป่าเสื่อมโทรม ทางวัดจึงจัดกิจกรรมเพื่อให้คนที่มีจิตอาสามีใจรักษ์ป่า รักษ์ธรรมชาติมาช่วยกันปลูกป่า บวชป่าปลูกจิตสำนึกให้คนเห็นถึงความสำคัญของการอนุรักษ์ธรรมชาติ แต่เกือบทุกกิจกรรมของงานอาสาคือเมื่อมาร่วมทำกิจกรรมกันแล้วถึงเวลากลับก็ต่างแยกย้ายแต่มันยังมีหลังจากนั้นอีกที่แม่งานต้องจัดการเก็บกวาด ทำความสะอาด เก็บคืนอุปกรณ์ที่ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนไกล ก็หลวงพี่หลวงลุงที่จำวัดอยู่ที่นี่แหละกับลูกศิษย์ลูกหาคนสนิทแถมต้องตามขึ้นไปใส่ปุ๋ย รดน้ำ ช่วยกันคิดช่วยกันทำทุกทางเพื่อให้ต้นไม้ที่เหล่าอาสามาร่วมกันปลูกไว้เจริญเติบโตสืบต่อไปเพื่อว่าเวลาอาสาเขากลับมาเห็นว่าต้นไม้ที่เขาปลูกไว้เจริญเติบโตงดงามเขาจะได้มีความสุข

ตอนนี้ฟางพร้อมอยู่บนรถเรียบร้อยแล้วเงินก็จ่ายแล้ว ตานี้ก็กลับกันได้แล้ว แต่…เห็นสภาพรถละ

พี่อรกระโดดขึ้นไปก่อนด้วยความคล่องแคล่วส่วนเราค่อยๆไต่ สภาพคุณหนูขึ้นมาในบัดดลเมื่อเทียบกับคนอื่นๆ

“จับประตูไว้ด้วย ตัวล๊อคมันเสีย” พี่เปี๊ยกหันมาบอกก่อนจะออกรถ

“พูดจริงพูดเล่นเนี่ย” เราถึงกับคิ้วชนกัน สงสัยจริงๆ

“จริง เพราะจะซ่อมประตูต้องเพิ่มอีก 900 ฉันหาเงินไม่ทันเลยเอาไว้ก่อน” พี่อรช่วยยืนยัน

“เอ่า แล้วตอนมาใครจับประตู” เรายังไม่เคลียร์

“หลวงพี่กิจแต่ญาติท่านมานิมนต์กลับต่างจังหวัดไปแล้ว”

‘คุณพระช่วย’เป็นแบบนี้นี่เอง เราเพียงพยักหน้าเข้าใจจากนั้นจึงหันไปตั้งใจจับประตูอย่างจริงจังเพื่อเสถียรภาพของทุกคน

‘โอ่ว! แม่เจ้า แขนจะได้หลุดตามประตูไปแน่ๆ’ และเคยกันมะนั่งรถจนจุกความรู้สึกเหมือนดื่มน้ำเข้าไปเยอะๆแล้วออกวิ่งตอนนี้เป็นแบบนั้นเลยทั้งจุก ทั้งปวดตัว ปวดแขน ฝุ่นก็เข้าตาแถมเหม็นน้ำมันสุดๆเพราะด้านหน้าตรงที่เรานั่งมีแกลอนน้ำมัน 2 ถังที่รถกำลังใช้ดื่มกินอยู่ แม่เจ้า! ทำได้แค่โหวกเหวกในใจและอดทน อีกอย่างเกือบตลอดทางเรานั่งปิดปากกันเงียบ เพราะถ้าพูดมากฝุ่นเข้าปาก

ในที่สุดก็เอาฟางมาส่งถึงที่จนได้ผ่านพ้นไปอีกหนึ่งกิจกรรมและก็หมดเวลาทำงานแล้วด้วยเพราะใกล้จะห้าโมงเย็นละ ก่อนกลับพี่อรก็พาเข้าไปกราบพระอาจารย์เหลือและพระลูกวัดรูปอื่นๆแบบควบเลยคือกราบมาและก็กราบลา

“เจริญพรโยม”

“สาธุค่ะ”

จากนั้นพี่เปี๊ยกก็ขับรถมอเตอร์ไซด์ออกไปส่งปากทางเพื่อเราจะไปต่อรถเมล์กลับวัด

“แก”

“อะไรพี่”

“ฉันว่ารถมันน่าจะหมดแล้ว”

“เอ้าแล้วจะกลับยังไง 80 กิโลถ้าจะให้เดินก็เป็นอาทิตย์เลยนะ” พี่อรทำเราเหวออีกละ

“แกออกไปโบกรถไงคนสวยใครก็อยากรับ”

‘แหม่ พูดดี’ พูดแบบนี้โบกขาดใจเลย แต่… รถแต่ละคันวิ่งกันอย่างก๊ะติดจรวดจะรีบไปไหนกันเนี่ยแต่ในที่สุดก็รถหนึ่งคันที่จอด แต่…ไม่ใช่ผลงานเรา

“แกวิ่งเร็วๆ” พี่อรหันมาเรียกเพราะแกวิ่งนำไปไกลหลายช่วงตัวก็รถคันที่โบกคงขับมาเร็วมากถึงเบรกไกลเป็นโยด

รถคันนั้นเป็นรถจิ๊บเมื่อวิ่งไปใกล้ก็ได้เห็นผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ผิวดำแดงยืนรออยู่ข้างรถ

“โทษทีอร รถพี่มันแรง”

“โอ้ย ไม่เป็นไรเจอพี่เลิศก็ดีใจจะตายแล้วพี่ไปส่งที่วัดหน่อย” พี่อรพูดรัวทั้งที่หอบจนเหมือนจะขาดใจเราเองก็มีอาการไม่ต่างกัน

“ได้ซิไปขึ้นรถ”โอ่ว สวรรค์สำหรับเรา บุญส่งผลทันตาให้ได้นั่งรถสบายแล้ว แต่…เอาเข้าจริงๆรถพี่เขาก็เกวียนดีๆนี่เองช่วงล่างแบบ…เกินบรรยายแถมขับอย่างกับจะขึ้นไปดวงจันทร์คือเร็วมากอาจจะเพราะบุญเรายังพอมีแต่บารมียังไม่พอให้ได้สุขสบาย

“พี่เลิศคนนี้ชื่อเจ้าพัสน์จะมาช่วยงานอรที่วัดเดือนนึง”

“สวัสดีค่ะพี่เลิศ” เรานอบน้อมซึ้งในน้ำใจ

“เออ หวัดดีๆดีแล้วที่มาช่วยอร ให้อรเขาเป็นสะพานบุญช่วยส่งเสริมให้ได้ทำความดีพี่อนุโมทนาด้วยนะ ทั้งอรและพัสน์”

“สาธุค่ะ” สองสาวประสานเสียง

“แล้วพี่เลิศจะไปไหนต่ออีก” พี่อรชวนคุย

“กลับบ้านหน่ะต้องไปจัดของพรุ่งนี้พี่ต้องเอาอาหารแห้งเข้าไปส่งพระอาจารย์มิ่งท่านปักกลดอยู่ทุ่งใหญ่นเรศวรแถวเต่าดำ”

“ตอนนี้ช้างป่าแถวนั้นเป็นไงบ้างพี่” พี่อรชวนคุยต่อตามประสาคนคุ้นเคยเพราะรู้จักกันมาหลายปีเป็นกัลยาณมิตรทางธรรมและผูกสัมพันธ์เป็นพี่น้องกันทางโลก

“ก็เหมือนเดิม ยังมีลงไปรบกวนชาวบ้านหมูป่ายิ่งหนักมันเล่นสับปะรดของชาวบ้านซะเตียน ถูกล่าถูกยิงไปก็ไม่น้อยใกล้ป่าใกล้เขามีแต่นายพรานทั้งนั้น”

“ปัญหาโลกแตกจริงๆเนอะพี่เลิศ” พี่อรพูดอย่างคนที่รู้ในเรื่องเดียวกัน

“อืม…เมื่อสองเดือนก่อนลูกศิษย์ลูกหาออกไปบอกบุญได้เกลือมา100 กว่ากิโล พี่ช่วย แคลเซียมไป 10 กิโล พระอาจารย์มิ่งกับพระอีกสี่รูปและก็ลูกศิษย์ลูกหาอีกสิบกว่าคนช่วยกันขนของขึ้นไปทำโป่ง”

โป่งเทียม เป็นโป่งที่สร้างขึ้นเพื่อล่อให้สัตว์ป่ามากินโดยเลือกดูเนื้อดินในบริเวณที่จะทำโป่งเทียมให้มีลักษณะคล้ายกับดินโป่งธรรมชาติ และควรเลือกให้อยู่ฝนแหล่งที่เป็นด่านสัตว์หรือใกล้กับด่านสัตว์ที่มันต้องเดินผ่านเป็นประจำอยู่แล้วการทำโป่งเทียมก็คือการขุดดินในบริเวณที่เลือก ไว้ให้เป็นแอ่งแล้วเอาเกลือ(เกลือแกง)เทลงไปในแอ่งน้ำนั้นเมื่อมีฝนตกหรือความชื้นจากน้ำค้างเกลือก็จะละลาย ทำให้ดินบริเวณนั้นเค็มสัตว์ป่าต่าง ๆ ก็จะพากันมากินดินเหล่านี้และถ้าเราเลือกที่ทำดินโป่งเทียมได้เหมาะแล้ว สัตว์ต่างๆ ก็จะติดและมากินโป่งเทียมนี้แทบไม่ขาดเลย

“อรอนุโมทนาด้วยนะพี่ ของอรก็จะมีทำโป่งกับปลูกป่าวันเสาร์-อาทิตย์ที่จะถึงนี้ที่ที่แม่น้ำน้อย ตอนนี้หาของมาได้พอสมควรละ”

“พี่ช่วยแคลเซียม 10 กิโล เดี๋ยวพรุ่งนี้จะแวะเอามาให้ถ้าไม่เจอจะฝากไว้ให้”

“โห พี่เลิศสุดยอดมากอรกำลังบอกบุญหาสปอนเชอร์เกลือกับแคลเซียม”

“มันเป็นหน้าที่อดทนทำไปเถอะ อรมีโอกาสดีกว่าหลายคนที่คิดได้และมีโอกาสได้ทำบุญทำความดีอยู่ทุกวี่วัน”

“บางทีก็มีท้อนะพี่ตราบใดที่ยังต้องพบเจอผู้คน”เสียงพี่อรบอกความรู้สึกตามที่พูด

“ปกติ ที่เราจะต้องออกไปเจอ รักโลภ โกรธ หลง ของคนอื่น แต่ก็คิดเสียว่ามันเป็นบททดสอบที่เดี๋ยวมันก็เป็นอดีตไปหมดแล้ว” พี่อรไม่ได้ตอบกลับอะไร คงเพราะพิจารณาในสิ่งที่พี่เลิศพูดอยู่

ได้ฟังพี่เลิศพูดก็ได้สะท้อนกลับมาคิดถึงตัวเองเราเองก็ยังต้องอยู่ในวัฏสงสาร รัก โลภ โกรธ หลง ของคนอื่นอยู่และตราบใดที่เรายังรู้สึกกับสิ่งเร้าเหล่านั้นมันก็หมายถึงเราก็ไม่ได้ต่างจากคนพวกนั้น และตอนนี้เรากำลังเจ็บปวดหัวใจที่เป็นเหตุมาจากคนที่เรารักนี่แหละเหตุผลที่เราทิ้งทุกอย่างเพื่อมาช่วยงานพี่อร เราต้องการให้คนที่เรารักได้มีเวลาถามใจว่าเขาเลือกที่จะอยู่กับเราหรือจากไปกับคนใหม่

ณ ศาลาเอนกประสงค์ที่ตอนนี้ถูกทำเป็นสำนักงานและเป็นที่นอนเฉพาะกิจของพี่อรส่วนเรากางเต็นท์อยู่ข้างหน้า

“พรุ่งนี้ต้องขนน้ำมันกับต้นไม้ไปแม่น้ำน้อยนะ” พี่อรพูดขึ้นหลังจากที่แกทำวัตรเย็นเสร็จส่วนเราก่อนหน้านั้นก็นั่งทำงานหน้าคอมไปเรื่อยเปื่อย

“ไปยังไงรึ”เราถามออกไป

“เต๋อเขาเอารถมาช่วยขน” เต๋อก็อยู่ในกลุ่มเด็กอาสานี่แหละเป็นคนกาญจนบุรี เราพยักหน้ารับทราบ

“ไม่มีอะไรแล้วพัสน์ขอตัวไปพักก่อนนะพี่”

“ตามสบาย เจอกันตอนทำวัตรเช้า”

จากนั้นเราก็พาตัวเองกลับสู่โลกส่วนตัวคือเข้าไปในเต็นท์น้อยกลอยใจ แต่เรายังนอนไม่ได้ต้องติดตามบางเรื่องก่อน

เราจัดการเปิดคอมและเชื่อมโยงเครือข่ายอินเตอร์เน็ตจนสำเร็จเราได้เปิดเฟสบุ๊คขึ้นมา แต่มันไม่ใช่เฟสเราหรอก เป็นเฟสของจูนจูนเป็นแฟนของเราเองในกลุ่มอาสาไม่มีใครรู้เรื่องของเรากับจูนเพราะภาพของเรากับจูนเป็นภาพของเพื่อนสาวที่สนิทสนมกันมากเท่านั้นจูนเป็นผู้หญิงผมยาวเป็นสาวผิวสีน้ำผึ้งเหมือนเรานี่แหละอาจจะสีอ่อนกว่าเราสักหน่อยหน้าจูนจะออกหวาน ส่วนเราหน้าไม่หวานเหมือนจูนหรอก ตาเราคมโตออกไปทางดุแต่เวลายิ้มจะเป็นประกายสดใสคนรอบตัวมักจะบอกเราแบบนี้ ผมเรากับจูนยาวประมาณกันคือเลยหัวไหล่ลงไปหน่อย แต่เราสูงกว่าจูนเกือบสิบเซ็น

ก่อนหน้านี้เรากับจูนได้เลิกรากันไปเพิ่งกลับมาคืนดีกันได้สักสองอาทิตย์มั้ง ตลกจังนะที่เราอยู่กับจูนมาเจ็ดปีแต่เราไม่เคยรู้สึกว่ารักจูนเลยเราคิดมาเสมอว่าที่เราเลือกอยู่กับจูนเพราะจูนเป็นคนดีที่รักเรา แต่วันที่เรารู้สึกตัวว่าเรารักจูนกลับเป็นวันที่เราได้รู้ว่าจูน…นอกใจ

ประมาณหนึ่งอาทิตย์หลังจากที่เราคืนดีกับจูนเราได้เข้าไปในเฟสของจูนเพื่อสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ที่จูนล็อกอินผ่านเฟสเรากับจูนมีพาสเวิร์ดของกันและกันทุกอย่างเราไม่เคยมีความลับต่อกันแต่ที่ผ่านมาเราไม่ค่อยได้สนใจเรื่องของจูนเท่าไหร่ เราสนใจแค่โลกส่วนตัวของเราจูนเองก็เช่นกัน

แต่ในวันนั้นเหมือนมีบางสิ่งดึงดูดให้เราเข้าไปดูที่กล่องข้อความและเราก็ได้เห็นข้อความที่จูนคุยกับแมวเพื่อนสนิทของเขาถึงทอมรุ่นน้องที่ทำงาน

‘เราชอบสร้อยว่ะ’ ประโยคนี้ของจูนกระแทกใจเราอย่างแรง! จากนั้นเราก็ไล่อ่านข้อความต่างๆของจูนและก็ได้เซอร์ไพร้ส์กับหลายเรื่องและสร้อยก็ไม่ใช่คนแรกที่จูนปันใจจากเราเกิดปฏิกิริยาเซอร์ไพร้ซับซ้อนกับเราความรู้สึกของเราในตอนนั้นมันเคว้งคว้างเบาหวิวจูนเป็นใครกันนะ ใช่คนที่เคยพร่ำพูดว่ารักเราและจะมีแค่เราไหมแต่ทำไมวันนี้เราถึงกลับรู้สึก ว่าจูนเป็นใครสักคนที่เราไม่คุ้นเคยคล้ายเป็นคนแปลกหน้าที่เราคิดไปเองว่าคุ้นเคย

วันนี้… จูนยังไม่รู้ว่าเรารู้เรื่องที่เขาคุยกับแมวเรื่องสร้อย

ครืด ครืด

มือถือสั่นบอกเวลา2.45 . เราตั้งปลุกไว้เองแหละเพราะต้องไปทำวัตรเช้าที่ปกติก็ไม่ค่อยได้ตื่นขึ้นไปทำหรอกเพราะเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานอาสาในช่วงเช้าจนถึงค่ำบวกกับความเกียจคร้านในการตื่นเช้าแต่การมารอบนี้เราตั้งใจจะลุกขึ้นไปทำวัตรเช้าให้ได้ทุกวันเราหวังที่จะพึ่งพิงพระพุทธพระธรรม และพระสงฆ์ให้ช่วยชำระล้างจิตใจที่มันกำลังเศร้าหมอง

อดไม่ได้ที่จะเปิดดูเฟสบุ๊คมีความถึงเราจากจูน

“พักผ่อนเยอะๆนะคะพี่พัสน์และก็ทานข้าวให้ตรงเวลาด้วยคิดถึงนะคะ” นึกขอบใจในความมีน้ำใจและเสมอต้นเสมอปลายของจูนแม้ในวันที่จูนปันใจจากเราไปให้คนอื่นแล้วเราซาบซึ้งมากๆจริงๆ

มือถือถูกเหวี่ยงไปบนผ้าห่มก่อนที่มือเรียวจะหยิบไฟฉายมาส่องหาชุดขาวและสิ่งของที่จำเป็นในการชำระล้างกายา 




 

Create Date : 26 พฤศจิกายน 2557    
Last Update : 22 มกราคม 2559 9:44:26 น.
Counter : 416 Pageviews.  


writer_k toon
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




เป็นคนธรรมดาๆคนหนึ่งค่ะ ที่อยากเป็นคนดี
และเป็นคนเก่งขึ้นทุกๆวัน

ชอบดื่มกาแฟเป็นชีวิตจิตใจ โปรดสุดก็ Starbucks หากอยู่ในฤดูงบน้อย อะไรที่เป็นกาแฟดำ ได้หมด

ชอบอ่านหนังสือ แนวHowto และนิยายของคุณทมยันตี จนวันหนึ่งเกิดอยากจะเขียนหนังสือให้คนอื่นอ่านบ้าง โดยมีคุณทมยันตีเป็นต้นแบบ เป็นแรงบันดาลใจ

เริ่มต้นขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ไม่รู้ลงท้ายจะเป็นอย่างไร แต่หวังไว้ว่ามันจะดีกว่าที่หวัง

จะคุยได้นานกับคนที่มีฝัน มีเป้าหมายในชิวิต รักครอบครัว และคิดบวก

แอบหวังว่าคนที่เข้ามาที่Blogนี้จะออกไปอย่างมีความสุขนะคะ

Loveๆทุกคนค่ะ

ปล.ขอสงวนลิขสิทธิ์ข้อความและรูปภาพทั้งหมดใน blog นี้ตามกฎหมาย ห้ามนำไปใช้หรือเผยแพร่ก่อนได้รับอนุญาตนะคะ

New Comments
Friends' blogs
[Add writer_k toon's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.