Group Blog
 
All blogs
 

เจ้าหญิงยิ้มยาก Yuri ตอน6


ยู้ฮู




มาลงเพิ่มให้แล้วค่ะ 


Loveๆจร้าา 


--------------------------------- 



 ก๊อก ก๊อก

ขออนุญาตเจ้าค่ะ” ประตูถูกเปิดออกภาพตรงหน้าทำเอาหัวใจของสกุณาเกือบจะหยุดเต้นเมื่อเห็นพระองค์หญิงกับแม่นางอัญญาณีกำลัง....

อัญญาณีดึงหน้าออกมาเชื่องช้าส่งแววหวานให้กับหญิงที่รักโดยไม่สนใจคนมาใหม่ เมื่อเห็นว่าสติของทิวารีเริ่มเติมเต็มทรงตัวได้ด้วยตัวเองแล้วหล่อนจึงยอมคลายอ้อมกอด และหันหลังเดินออกจากห้องไปทิวารีมองตามแผ่นหลังของอีกฝ่ายจนลับตาทำไมหญิงสาวผู้นี้ถึงสร้างความสับสนให้เธอมากมายนักนะ

สกุณาเดินเข้าไปหาพระองค์หญิงอันเป็นที่รักยิ่งตื้นตันจนน้ำตาคลอเมื่อเห็นพระองค์ฟื้นคืนสติ

“หม่อมฉันดีใจเหลือเกินที่พระองค์ทรงฟื้นขึ้นมา” สกุณาทรุดตัวลงซบหน้าลงไปที่ข้อพระบาทร่ำไห้ด้วยความยินดีทิวารีเองก็ยินดีไม่แพ้กัน ก้มลงประคองนางในคนสนิทให้ลุกขึ้น

“ลุกขึ้นเถิดสกุณาเราก็ยินดีไม่แพ้เจ้า แต่จากนี้ไปเจ้าจงเล่าเรื่องราวทุกอย่างในระหว่างที่เราหลับใหลให้เราฟังทั้งหมด” ทิวารีนั่งฟังเรื่องราวทุกอย่าง อย่างสงบ ‘ใช่ซินะเราเป็นสมบัติของหล่อนแล้ว หล่อนถึงกล้าล่วงเกินเธอครั้งแล้ว ครั้งเล่า’ ทิวารีนึกน้อยใจรู้สึกถึงความไร้ศักดิ์ศรีทั้งที่เธอมีศักดิ์เป็นถึงองค์หญิง แต่กลับถูกยกให้กับคนอื่นราวกับเป็นผักเป็นปลา

ทิวารีเดินออกมาจากห้องกวาดสายตาไปรอบๆเคหสถานแห่งนี้ข้าวของเครื่องใช้เกือบทุกชิ้นแทบจะไม่ต่างไปจากในพระราชวังเลย บางอย่างดูแปลกตาล้ำค่ามากกว่าด้วยซ้ำต้องร่ำรวยมหาศาลเท่านั้นแหละถึงจะมีของเหล่านี้ได้

“พระองค์ทรงชอบที่นี่หรือไม่เพคะ” ทิวารีหันมองเจ้าของเสียงที่โปรยยิ้มหวานมาแต่ไกลด้วยสายตาที่เย็นชา

“เรียกเราทิวารีเถอะ ตอนนี้เราก็เป็นสามัญชนเยี่ยงเจ้าแล้ว เพราะอยู่ในศักดิ์ที่เป็นสมบัติของเจ้าไม่ใช่องค์หญิงดังเดิม”อัญญาณีเลิกคิ้วสงสัย

“เหตุใดพระองค์ทรงตรัสเช่นนั้นพระองค์ก็ยังคงถือศักดิ์องค์หญิงอยู่ครบทุกประการหม่อมฉันต่างหากที่จะได้เพิ่มศักดิ์ของตน เพราะได้สร้างคุณงามความดี”

“ก็เสร็จพ่อยกเราให้กับเจ้าแล้ว” ทิวารีน้ำเสียงสั่นเครือน้อยพระทัยในพระบิดาเมินหน้าหนีเพราะไม่อยากอ่อนแอให้อีกฝ่ายเห็นน้ำตา

“ไปกันใหญ่แล้ว” อัญญาณีเดินเข้าไปหาจนชิดตัวดึงนางอันเป็นดวงใจเข้ามากอดปลอบประโลม

“พระองค์ทรงรู้หรือไม่ว่าพระราชาทรงรักพระองค์ปานดวงใจ”

“ไม่จริง เสด็จพ่อไม่ทรงโปรดเรา มักจะตำหนิเราเรื่องไม่มีรอยยิ้มพระองค์มักมองเราด้วยสายตาเหนื่อยหน่ายอยู่เสมอ” พระองค์หญิงซบอิงอยู่ที่อกของอีกฝ่ายสะอึกสะอื้นลืมตัวว่าขัดเคืองหล่อนอยู่

“คิดไกลไปใหญ่แล้ว พระองค์หญิงของหม่อมฉัน” อัญญาณีกระชับกอดราวกับปลอบโยนเด็กน้อย

“พระองค์คงไม่เคยรู้ ว่ารอยยิ้มของพระองค์สร้างความร่มเย็นให้กับราษฎรได้”

“หมายความว่าอย่างไร องค์หญิงดันตัวออกมาแหงนมองคนตรงหน้าส่งสายตาเป็นคำถาม

“ก็หมายความว่ารอยยิ้มของพระองค์ สร้างเม็ดฝนให้โปรยปรายลงมาจากฟากฟ้าได้หน่ะซิเพคะ”ทิวารีฉงนในใจ ไม่เข้าใจในเรื่องราว

“ทรงเคยสังเกตหรือไม่ว่าเท่าพระชนมายุของพระองค์ไม่มีหยาดฝนแม้เพียงนิดโปรยปรายลงมาในเมืองนี้เลยหากแต่พระราชาไม่ทรงบอกเรื่องนี้แก่พระองค์เพราะเห็นว่าทรงทุกข์ใจมากอยู่แล้วและที่พระราชามีทีท่าเข้มงวดกับพระองค์ก็เพราะทุกข์ใจที่ไม่สามารถสร้างรอยยิ้มให้กับพระองค์ได้และต้องทนเห็นความเดือดร้อนของราษฎร”

“เราเป็นต้นเหตุให้ราษฎรเดือดร้อนเราไม่เคยรู้มาก่อนเลย” องค์หญิงมีสีหน้าชีดสลดด้วยเนื้อในเป็นคนจิตใจดีไม่เคยคิดอยากเป็นต้นเหตุให้ใครต้องทุกข์ใจเศร้าหมองเพราะตน

“พระองค์อย่าทรงเป็นกังวลเรื่องนี้เลยเหตุมันเกิดจากความไม่ตั้งใจ ความทุกข์ยาก คือกรรมที่เขาเหล่านั้นควรได้รับ คนที่มีกรรมเสมอกันก็จะมาอยู่รวมกันเพื่อรับผลกรรมของตนในคราวเดียวกันมันเป็นความยุติธรรมดีแล้ว”

“แต่...” ทิวารียังไม่คลายความรู้สึกผิด

“รอยยิ้มของพระองค์แก้ไขทุกอย่างแล้วทรงสบายใจเถิด” ทิวารีเริ่มคล้อยตาม และตอนนี้มีสติคิดได้ว่าอยู่ในอ้อมกอดของอีกฝ่ายจึงเกิดอาการขัดเขินและพยายามดันตัวออกมา แต่อีกฝ่ายก็ไม่ยอมคลายอ้อมแขน

“ปล่อยซิ”

“พระองค์รังเกียจหม่อมฉันเหรอ” อัญญาณีพยายามที่จะมองตา แต่ทิวารีกลับเบี่ยงสายตาหลบอย่างเอาเป็นเอาตายด้วยความที่รู้สึกขวยเขิน

“ตอบหม่อมฉันมาซิเพคะ”

“เราไม่รู้”

“ไม่รู้แปลว่าไม่รังเกียจ” ทิวารีแหงนหน้ามองคนที่กำลังตีความเอาแต่ใจอัญญาณีมองกลับสายตานั้นอย่างไม่หวั่นเกรง แถมยังส่งแววหวานแถมไปให้ด้วยทำเอาองค์หญิงต้องก้มหน้างุดลงไปอีกครั้ง

“เจ้ากับเราเป็นหญิงเหมือนกัน” องค์หญิงกำลังคิดหาเหตุผล

“แล้วยังไงเพคะ”

“แล้วจะรักกันได้อย่างไร”องค์หญิงมีท่าทีสับสนกับความคิดที่มันสวนทางกับความรู้สึก

“ได้ซิเพคะความรักคือความรู้สึกที่เกิดขึ้นในหัวใจไม่ใช่เหตุผลหรือความถูกต้องที่คนอื่นเป็นคนกำหนด” ทิวารีนิ่งไปคิดตามที่หล่อนพูด แต่จิตภายในก็ยังไม่คลายความสับสน

“มองตาหม่อมฉันซิเพคะแล้วถามใจตัวเองว่าพระองค์ทรงหวั่นไหวหรือเปล่า”

“เรา”

“หม่อมฉันจะให้อิสระพระองค์หากทั้งหมดหม่อมฉันคิดไปเองฝ่ายเดียว”

“เจ้าคิดอย่างไรบ้าง” ทิวารีเงยหน้าขึ้นสบตากับอีกฝ่ายมีคำถามกลับบ้าง

“หม่อมฉันเสน่หาในพระองค์เพคะในฐานะคนรัก” อัญญาณียืนยันคำพูดของตนจากแววตาและสัมผัสจากอ้อมแขนที่กระชับมากขึ้น

“หม่อมฉันปรารถนาสัมผัสลึกซึ้งทุกอณูในกายของพระองค์”ทิวารีรู้สึกถึงเลือดในกายมันสูบฉีดทำงานหนักเกินปกติเมื่อคิดตามในสิ่งที่อีกฝ่ายพูดยิ่งแววหวานกรุ่มกริ่มในตาของหล่อนยิ่งทำเธอหวั่นไหว

เพราะจิตที่เสน่หาผูกพันกันมาบวกกับพรที่ได้รับทำให้อัญญาณีกระตุ้นคืนความทรงจำให้แก่คนรักได้ไม่ยากจากนี้ยาวไปจนชั่วนิรันดร์ทั้งคู่ก็จะมีกันแบบนี้กัลปาวสานยาวนานเพียงใดหากแต่รักในหัวใจของทั้งคู่ ยาวนานกว่านั้น

“เจ้าเป็นพวกถ้ำมองหรอกหรือสกุณา” นางใน นัยน์ตาดุสะดุ้งสุดตัว เพราะรู้ว่าตนทำในสิ่งที่ไม่สมควร

“คือข้า” หญิงสาวก้มหน้างุด สีหน้าซีดสลด

“เจ้าไม่ต้องแก้ตัวใดๆหรอกข้าไม่ได้จะมาเอาความเจ้า แค่จะมาทวงสัญญา”

“สัญญาอันใดหรือเจ้าคะ” หญิงสาวฉงนในใจ

“ก็สัญญาที่เจ้ากล่าวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อแลกกับการที่องค์หญิงฟื้นคืนสติอย่างไรเล่า”

“ที่ข้าพูดออกไปแบบนั้นเพราะท่านแนะนำและเพราะจิตที่ปรารถนาให้พระองค์หญิงฟื้นมิได้ต้องการให้เป็นไปตามนั้น หมดธุระแล้วข้าขอตัว”หญิงสาวจะเดินเลี่ยงออกไปแต่ก็ต้องหยุดชะงักเพราะชายหนุ่มก้าวออกมาขวางไว้

“สัจจะที่ให้กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์สำคัญยิ่งเจ้าทำเป็นเรื่องเล่นได้อย่างไร”อิสราทำสายตาตำหนิ

“ข้ามิได้เห็นเรื่องเล่นหากแต่ข้าเป็นเพียงบ่าวรับใช้มิอาจตีตนเสมอนายเช่นท่านเป็นเรื่องง่ายๆที่ข้าควรคิดได้ด้วยตัวเอง อีกอย่างท่านจะต้องการเรียกร้องสิ่งใดหากท่านต้องการบ่าวอย่างข้าไปเป็นนางบำเรอปนเปรอให้ความสุขแก่ท่านข้าก็คงมิอาจขัดขืนสุดแต่ท่านจะบัญชามาเถิด”สกุณากล่าวทุกอย่างดังใจคิดเธอรับรู้ถึงชีวิตที่ไร้อิสระนับตั้งแต่วันที่ก้าวเข้ามาเป็นนางในแล้ว

“ข้าต้องการเจ้าในฐานะภรรยาเคียงคู่กับข้าไปจนแก่เฒ่าเจ้าจะเป็นหญิงนางเดียวที่ได้ครอบครองหัวใจข้า”

“ท่านพูดอะไรออกมา” สกุณาไม่คิดเชื่อในสิ่งที่ได้ยินแต่สายตาของชายหนุ่มตรงหน้ากลับทำให้หัวใจสั่นไหว

“ข้าพอใจในเจ้าและข้าไม่สนในสถานะหรือชาติกำเนิดใดๆทั้งนั้นข้าสนเพียงหญิงนางนั้นคือเจ้าเท่านั้นสกุณา”

“ท่าน” หญิงสาวรู้สึกเต็มตื้นเกินบรรยาย มองเช้าไปนัยน์ตาของชายหนุ่มค้นหาความจริงใจอิสราดึงร่างบางเข้ามากอด ตอกย้ำว่าทุกอย่างคือความจริง

“เหตุใดท่านจึงรักข้า”สกุณาฉงนในใจยิ่งนัก ยังไม่อยากเชื่อกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น

“เจ้าอย่าใคร่อยากรู้ถึงเหตุผลเลยเพราะข้าขี้เกียจคิดหาคำตอบ รู้เพียงแค่ข้ารักเจ้าและจะรักตลอดไปก็พอแล้ว” สกุณาตื้นตันสมองทำงานเชื่องช้าเกินจะคิดคำใด ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปในส่วนลึกเธอพึงใจชายผู้นี้ตั้งแต่แรกเห็นเขางามด้วยรูปลักษณ์ สง่าด้วยท่าทางขี้เล่นหยอกเย้าก่อกวนอารมณ์เธอเสมอ แต่ก็พาให้เธอสุขใจไปด้วยทุกครั้งหากแต่ศักดินาที่ต่างกันราวฟ้ากับเหวทำให้เธอคิดเจียมตัว

กลิ่นหอมของความรักกระจายไปทั่วอาณาบริเวณลอยไกลไปถึงสรวงสวรรค์ เหล่าทวยเทพต่างยินดีกับความรักของมิตรอีกไม่นานทั้งสี่ก็จะได้กลับขึ้นมาพำนักอยู่บนสรวงสวรรค์ดังเดิม

ข่าวการฟื้นพระชนม์ชีพขององค์หญิงถูกส่งไปถึงพระราชาและพระราชินีสร้างความยินดีให้กับทั้งสองพระองค์ยิ่งนัก พร้อมด้วยจดหมายจากพระธิดาที่เขียนเล่าเรื่องราวการดำรงอยู่อย่างมีความสุขและแจ้งกำหนดการที่จะเดินทางมาเข้าเฝ้า

พระราชาประคองกอดราชินีที่โอบอุ้มพระโอรสตัวน้อยที่กำลังหัวเราะร่าเพราะมีความสุขเต็มตื้นสุขใจเกินบรรยายเพราะสุขที่สุดของพระองค์คือการได้เห็นคนในครอบครัวและราษฎรมีความสุข


จบแล้วค่า 

ขอบคุณที่อ่านจนจบนะคะ ^^







 

Create Date : 02 ตุลาคม 2554    
Last Update : 14 ธันวาคม 2556 16:36:47 น.
Counter : 1581 Pageviews.  

เจ้าหญิงยิ้มยาก Yuri ตอน5


โอ่ววว!!


ตอน5 มาได้ยังไงเนี่ย


ยังจบไม่ได้อีกแล้ว 


ขอใส่นิยายไปในนิทานสักหน่อยนะคะ


ตอนหน้าจะปล่อยพลังกับฉาก สวีท 



เงาตะคุ่มๆที่ผลุบหายไปทางประตูดึงให้อิสราต้องสนใจคงจะเสียเชิงแย่หากมีใครคิดจะล้วงคองูเห่า เค้าค่อยๆสะกดรอยตามเงานั้นออกไปจนถึงคอกม้าเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่รู้ตัวจึงเข้าไปรวบจับเอาไว้

“เสร็จข้าแล้วเจ้าหัวขโมย” คนร่างบางที่อิสราคิดว่าเป็นหัวขโมยดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมกอดท่ามกลางแสงจันทร์ในคืนเดือนหงายส่องสว่างไปทั่วบริเวณ อิสรากระชากผ้าคลุมหน้าออกหมายจะเห็นหน้าเจ้าหัวขโมย

“เจ้า!!” อิสราแปลกใจเมื่อเจ้าคนที่เค้าคิดว่าเป็นหัวขโมยกลับเป็นนางในร่างบางนัยน์ตาดุที่ชอบดุเค้ากับอัญญาณีเสมอหากเป็นเรื่องเกี่ยวกับพระองค์หญิงของนาง

“ปล่อยข้าได้แล้ว” ร่างบางดิ้นขลุกขลักเรียกร้องอิสระ

“ข้าจะปล่อยเจ้าได้อย่างไรเมื่อเจ้าทำตัวมีพิรุธเช่นนี้”

“ข้าไม่จำเป็นต้องบอกอะไรแก่ท่านและข้าก็ไม่ได้ทำสิ่งใดที่เป็นความผิดด้วย”

“ถ้าเจ้าไม่บอกข้าก็จะไม่ปล่อยจะปล้ำกอดเจ้าแบบนี้ไปเรื่อยๆ”

“ท่าน!!” ร่างบางแหงนคอส่งตาขวางขัดเคืองใจยิ่งนัก

“ข้าจักไปริมผาคืนนี้พระจันทร์เต็มดวงข้าจะไปขอพรจากพระจันทร์ ให้พระองค์หญิงของข้าตื่นจากการหลับใหล”

“น้ำใจเจ้าช่างประเสริฐนักสกุณาข้าขอโทษที่ล่วงเกินเจ้า” ชายหนุ่มยอมคลายอ้อมกอดแต่โดยดี

“ข้าจะไปกับเจ้าเพื่ออารักขาและร่วมขอพรช่วยเจ้าอีกแรง” สกุณามองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป อ่อนโยนและเป็นมิตรมากขึ้นอิสรายิ้มละไมรับในไมตรีอย่างไม่ถือตัว ในส่วนลึกสกุณามีหลายสิ่งที่ถูกใจ

“ข้าขอบใจท่านมาก” หญิงสาวเดินนำออกไปราตรีอันยาวนานนี้พาหัวใจของสองหนุ่มสาวสุขใจยิ่งนัก

ทะเลหมอกเบื้องหน้าบนผาสูงพาใจให้สงบเยือกเย็นยิ่งนักทิวารีทอดมองไปไกลคิดถึงใครคนหนึ่งสัมผัสจากสองแขนสอดเข้ามาโอบที่เอวบางเรียกรอยยิ้มละไม

“ข้าคิดถึงเจ้าทิวารี”

“ปากพร่ำว่าคิดถึงข้าแต่ใยท่านห่างหายไม่มาพบข้า น่าน้อยใจนัก”

“ข้าอยากจะมาหาเจ้าใจจะขาดทิวารีแต่ข้าติดด้วยภารกิจที่พ่อข้ามอบหมาย” หญิงสาวพร่ำพูดแจกแจง ส่วนจมูกก็ถูไถคลอเลียอยู่ที่ซอกคอขาว

รอยยิ้มละไมผุดขึ้นที่ใบหน้าของคนที่หลับสนิทความรู้สึกรื่นรมย์เกินบรรยาย ทิวารีค่อยๆขยับกายเปิดเปลือกตาขึ้นมาและกระพริบถี่ขึ้นมองไปโดยรอบเห็นถึงความไม่คุ้นเคยและเมื่อรู้สึกถึงว่ามีสิ่งใดสิ่งหนึ่งพาดอยู่บนลำตัว

“ ว้าย!!” ทิวารีกรีดร้องตกใจเมื่อเห็นว่าเป็นท่อนแขนอัญญาณีสะดุ้งตื่นตกใจในเสียงร้องระคนยินดีที่คนรักฟื้นขึ้นมาแล้ว

“เป็นอะไรไปรึ”

“ท่านเป็นใคร” ทิวารีมองคนตรงหน้าผ่านความมืด

“ก็เป็นคนทำให้พระองค์เกิดรอยยิ้มอย่างไรเล่าพระองค์จำได้หรือไม่” อัญญาณีแกล้งยื่นหน้าเข้าไปใกล้จนลมหายใจกระทบพวงแก้มของอีกฝ่าย

“นี่!!ทำไมต้องใกล้ชิดเราขนาดนี้ด้วย” ทิวารีเบี่ยงหน้าหนีใจสั่นเพราะหวั่นไหวในคนตรงหน้า ทำไมเธอต้องรู้สึกแบบนี้ด้วยนะเพราะเป็นหญิงเหมือนกัน

“นี่ก็ดึกมากแล้วทรงบรรทมก่อนเถิดเพคะพรุ่งนี้มีอะไรค่อยว่ากันนะ” แขนเรียวรวบดันร่างบางให้นอนตามลงไปและกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นแต่ก็ไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกอึดอัดทิวารีนอนนิ่งอยู่ในอ้อมกอดของคนที่ไม่คุ้นเคย อยากจะผลักใสแต่ก็ไม่กล้าไม่รู้ทำไมและเหตุใดเธอถึงได้มานอนร่วมห้องกับหล่อนได้นะ

อัญญาณีสัมผัสได้ถึงหัวใจที่เต้นแรงของอีกฝ่ายทำให้รู้ว่านางยังไม่หลับ หล่อนจึงแกล้งซุกหน้าไปที่ซอกคอขาวทำทีว่าหลับไม่ได้สติ แต่แค่เท่านี้ก็พาเจ้าของซอกคอขนลุกสติกระเจิดกระเจิงไปไหนๆร่างบางพยายามขยับหนีลมหายใจอุ่นๆของอีกฝ่าย อย่างเกรงว่าหล่อนจะตื่น อัญญาณีอมยิ้มอยู่ในความมืดแต่ตอนนี้เธอก็ง่วงจนไม่เหลือแรงคิดแกล้งหล่อนแล้วและไม่นานสองสาวก็หลับใหลไปในอ้อมกอดของกันและกัน

อิสรานั่งลงเคียงคู่กับสกุณาเพื่อร่วมอธิฐานขอพรทั้งๆที่เค้ารู้อยู่แก่ใจว่าอย่างไรทิวารีก็ต้องฟื้น แต่ที่นั่งทนเมื่อยก็เพื่อให้ได้อยู่ใกล้ชิดกับนางและในที่สุดสกุณาก็ยอมลุกขึ้น

“เดี๋ยวก่อนสกุณา” หญิงสาวหันมองชายหนุ่มที่ยังไม่ยอมลุกขึ้น

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าหากต้องการให้คำอธิฐานสัมฤทธิ์ผล ต้องมีการแลกเปลี่ยน”

“อย่างไร”

“ก็แลกเปลี่ยนกับอะไรที่มันเป็นเรื่องใหญ่ในชีวิตเช่นการแต่งงานอย่างไรเล่า”

“ข้าไม่ใคร่แจ้งใจนัก”

“ก็เช่นเจ้าอธิฐานขอพรให้องค์หญิงฟื้นโดยแลกกับการแต่งงานกับข้าไง”

“ทำไมข้าต้องอธิฐานแบบนั้น”

“ก็เพื่อแลกกับสิ่งที่เป็นไปไม่ได้อย่างไรเล่าหากคำอธิฐานทำให้พระองค์หญิงฟื้นขึ้นมาได้มันก็เป็นเรื่องดีไม่ใช่หรือ หรือถ้าไม่ เจ้าก็มิได้เสียอะไรแต่ก็ตามใจเจ้านะข้าแค่แนะนำด้วยความหวังดี” หญิงสาวชั่งใจ คิดตามที่ชายหนุ่มพูด ทางใดที่อาจจะทำให้พระองค์หญิงฟื้นเธอจะลองทำ

“ได้ข้าจะทำอย่างที่ท่านแนะนำ” ชายหนุ่มลอบยิ้มที่หญิงสาวหลงกลสกุณากลับลงนั่งที่เดิมและทำการขอพรอีกครั้ง

“เจ้าต้องเปล่งเสียงออกมาดังๆเพื่อสิ่งศักดิ์จะได้รู้กันโดยทั่ว” ชายหนุ่มหมายให้นางมัดตัวเองกับตนด้วยคำพูด

หญิงสาวลังเลเพียงนิดก่อนจะเปล่งเสียงอธิฐานออกมาดั่งลั่นป่าชายหนุ่มรื่นเริงในหัวใจเมื่อคิดถึงว่าจะได้ครอบครองนางผู้นี้ผู้ที่มีกลิ่นกายที่ทำให้เค้าใจสั่น สัมผัสเพียงนิดจากเมื่อครู่ตรึงใจเค้านัก

ร่างบางขยับกายน้อยๆเปลือกตาค่อยๆเปิดขึ้น เมื่อมีสติก็รีบหันมองคนที่นอนเคียงข้างทันที แต่ก็เห็นเพียงความว่างเปล่าทิวารียันกายลุกขึ้น เอื้อมมือไปลูบไล้หมอนที่หล่อนหนุนนอน ทำไมเธอถึงรู้สึกคุ้นชินกับการได้ชิดใกล้กับหล่อนแบบนี้นะ

ทิวารีก้าวลงจากเตียงพลันหางตาแลไปเห็นหญิงนางหนึ่งยืนอยู่ริมหน้าต่างทอดมองออกไปไกลลมที่พัดเข้ามาพาผมทียาวสลวยของนางพลิ้วไหวลู่ลม เมื่อรู้สึกถึงว่ามีการเคลื่อนไหวอัญญาณีจึงหันมามอง และเธอเห็นหญิงงาม

เมื่อหลายร้อยปีก่อนทิวารีจะได้รับพรจากประมุขแห่งสรวงสวรรค์ให้เป็นเทพธิดาผู้มีรูปกายงดงามที่สุดในสามโลกเพราะในขณะที่มีชีวิตอยู่นางงดงามจากในใจ กตัญญูต่อบิดามารดาและผู้มีพระคุณงามด้วยวาจา ความคิดและการกระทำ ทำบุญส่งเสริมพระพุทธศาสนามิได้ขาดประณีตในการจัดทำของที่จะนำไปถวายพระปลูกสวนดอกไม้ให้ความสวยงามและกลิ่นหอมภายในรั้ววัด

“พระองค์ทรงหลับสบายดีหรือไม่เพคะ”

“เรามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” ทิวารีไม่ตอบคำถาม แต่ถามกลับในสิ่งที่ตนใคร่รู้

“ที่พระองค์มาอยู่ที่นี่เพราะพระองค์เป็นสมบัติของหม่อมฉันแล้ว”

“หมายความว่าอย่างไร”

“ก็หมายความว่า หม่อมฉันทำให้พระองค์เกิดรอยยิ้มพระองค์ก็ต้องอภิเษกกับหม่อมฉัน” อัญญาณีเดินเข้าไปใกล้ร่างบางที่ตอนนี้มีสีหน้าสับสน

“เราจะอภิเษกกับเจ้าได้อย่างไร ในเมื่อเจ้าเป็นหญิง” อัญญาณียิ้มละไมเดินเข้าไปใกล้พระองค์หญิงมากขึ้นอีก

“ได้ซิเพคะ ถ้าพระองค์ทรงรู้สึกหวั่นไหวหากอยู่ใกล้ชิดหม่อมฉัน”ทิวารีแก้มแดงระเรื่อเมื่อ อีกฝ่ายโน้มหน้ามากระซิบที่ข้างหูแผ่วเบาอยากจะถอยหนี แต่ก็ทำไม่ได้อย่างใจ เพราะขามันไม่ยอมขยับเขยื้อนตามใจคิดอัญญาณียิ้มชอบใจเมื่อเห็นทิวารีมีอาการหวั่นไหวหล่อนจึงรุกต่อโดยพาปลายจมูกไปคลอเคลียที่แก้มใส ก่อนจะดึงหน้าออกมาและจงใจมองเข้าไปในตาของแม่กวางน้อยที่ม่านนัยน์ตาเบิกกว้างเพราะกำลังตื่นตระหนก

“โดยคำสัตย์พระองค์บอกหม่อมซิเพคะว่ารังเกียจที่หม่อมฉันทำแบบนี้หรือเปล่า”

“เรา” ทิวารีเบี่ยงหลบสายตายิ่งโดนรุกเร้าจิตก็ยิ่งสับสนหนักขึ้นอีก พึงใจหรืออย่างไร อยากผลักไสหรือดึงรั้งอัญญาณียิ้มน้อยๆพอใจในท่าทีของหญิงอันเป็นที่รัก หล่อนพาริมฝีปากเข้าไปใกล้ๆริมฝีปากบางสวยของพระองค์หญิงแต่เว้นระยะไว้ยังไม่รุกล้ำเข้าไป ส่งสายตาเป็นคำถามให้ร่างบางได้ถามใจว่าเต็มใจกับสัมผัสที่เธอกำลังจะมอบให้หรือไม่ และคล้ายดั่งต้องมนต์อีกแล้วทิวารีมองคนตรงหน้าที่ใบหน้าอยู่ห่างกันแค่กระดาษกั้นเท่านั้น ไม่รู้ตัวเลยว่าแววหวานไร้เดียงสาของตนจะทำให้คนตรงหน้าหมดความยับยั้งชั่งใจอัญญาณีโน้มแนบริมฝีปากบางของตนเข้ากับริมฝีปากอวบอิ่มของหญิงอันเป็นที่รัก ถ่ายทอดความนุ่มนวลอ่อนหวานสองมือโอบกระชับเอวบางดึงร่างให้มาชิดใกล้ และก็ไร้ซึ่งการขัดขืนใด ทิวารีโอนอ่อนโดยง่ายถึงจะตื่นกับสัมผัสจากอีกฝ่ายแต่สมองก็เชื่องช้าเกินจะคิดดิ้นรนผลักไสปล่อยกายใจเคลิ้มไปกับสัมผัสอันแสนหวาน




 

Create Date : 27 กันยายน 2554    
Last Update : 14 ธันวาคม 2556 16:34:35 น.
Counter : 831 Pageviews.  

เจ้าหญิงยิ้มยาก Yuri ตอน4

พระองค์หญิงถูกนำไปที่แท่นพระบรรทมทุกอย่างสายเกินจะแก้ไข พิษไหลเข้าสู่กายแพร่กระจายไปทั่วร่างอย่างรวดเร็วพระราชากอดประโลมพระราชินีให้บรรเทาความโศกเศร้าที่ต้องเสียบุตรของตนเพื่อแลกกับความเป็นสุขของราษฎร อัญญาณียืนมองพระองค์หญิงที่นอนหลับตานิ่งอย่างสงบ

‘พรของข้ากำลังจะสัมฤทธิ์ผลแล้ว’

ถึงแม้อัญญาณีจะเป็นเหตุทำให้พระองค์หญิงสิ้นพระชนม์แต่คุณงามความดีที่ทำให้พระองค์หญิงเกิดรอยยิ้มส่งผลให้ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาลประชาชนได้ร่มเย็นพ้นทุกข์ ความผิดจึงถูกลบล้างกันไปและพระราชายังมีบำเหน็จตอบแทนในคุณงามความดีครั้งนี้

“เราจะให้ในสิ่งที่เจ้าต้องการอัญญาณีเจ้าพูดมาเถิด”

“หม่อมฉันไม่ต้องการทรัพย์สมบัติใดเพคะหากแต่สิ่งที่หม่อมฉันจะขอ คือร่างอันไร้วิญญาณขององค์หญิงพระองค์โปรดประทานแก่หม่อมฉันได้หรือไม่เพคะ” พระราชาและพระราชินีมองหน้ากันฉงนใจในหญิงสาวตรงหน้า

“เจ้าต้องการร่างไร้วิญญาณของบุตรเราไปเพื่อการใด” พระราชินีต้องการให้แถลงไข

“เพราะหม่อมฉันยึดในราชโองการเพคะที่กล่าวไว้ว่าหากผู้ใดสามารถทำให้พระองค์หญิงมีรอยยิ้มคนผู้นั้นจะได้อภิเษกกับพระองค์หญิง และตอนนี้หม่อมฉันก็ทำทุกอย่างตามเงื่อนไขแล้วจึงอยากจะขอร่างของพระองค์หญิงไปเป็นสมบัติของหม่อมฉันเพคะ”

“เจ้าแปลกคนนักอัญญาณีแต่ที่เจ้าพูดมาก็มิมีสิ่งใดผิดเพี้ยนเราเองลั่นวาจาไปแล้วก็ควรจะทำตามสัญญาตกลงเราให้ในสิ่งที่เจ้าร้องขอ จากนี้ไปร่างของทิวารีคือสมบัติของเจ้า”

“ขอบพระทัยเพคะ” อัญญาณียิ้มในตาเมื่อแผนในขั้นนี้สำเร็จลงด้วยดี

อิสราจุดธูป108 ดอก นำออกมาปักที่ลานโล่งสวดมนต์คาถาชุมนุมเทวดา และสวดคาถาบูชาเทพด้วยความที่มีบุญเก่าติดตัวมามากและไม่ขาดเรื่องการถือศีลบำเพ็ญภาวนาทำให้จิตเบาบางและสื่อส่งไปถึงเทพชั้นฟ้าได้โดยง่ายเขาอธิฐานจิตขอความเป็นธรรมแต่ประมุขแห่งสรวงสวรรค์บอกเล่าความทั้งหมดที่เกิดขึ้นความนี้ทำทั้งสวรรค์ชั้นฟ้าสั่นสะเทือนโกลาหลไปทั่ว เหล่าเทพเทวดาถูกเรียกมาชุมนุมโดยพร้อมหน้ากันทันที

“เจ้าจะว่าอย่างไรเทพภูชิตกับสิ่งที่อารียาร้องเรียนต่อข้า”

“มิเป็นความจริงแต่ประการใดพะยะค่ะการที่ทิวารีถูกอสรพิษกัด ก็เป็นเพราะกรรมของนางเองไม่เกี่ยวกับข้า” เทพภูชิตมิสะท้านกับคำกล่าวหามีสีหน้าเชื่อมั่นในคำตอบของตน

“อย่างนั้นหรือเทพภูชิต” เทพอินทรโพล่งพูดขึ้นมา

“เทพอินทรท่านเห็นแย้งประการใดให้รีบแถลงมา”

“ข้าแด่ผู้เป็นประมุขแห่งสรวงสวรรค์ในวันที่ทิวารีถูกอสรพิษกัดจนสิ้นชีพ ข้าก็อยู่ ณ ที่แห่งนั้นด้วย” ถึงจะตกใจกับเรื่องที่ได้ยินแต่เทพภูชิตก็เก็บอาการได้ดี

“แล้วยังไงต่อไป”

“ข้าเห็นเทพภูชิตอยู่ณ ที่นั้นด้วย”

“ข้าอยู่ในที่นั้นแล้วอย่างไรเพราะข้ามีสิทธิ์จะไปที่ใดก็ได้ในสามโลก”ตอนนี้เหล่าเทพธิดาต่างสนใจในเทพทั้งสอง

“ก็ใช่เรื่องว่าท่านจะไปที่ใดก็ได้ แต่ข้าสังเกตเห็นรอยยิ้มเยาะนัยน์ตาของท่านตอนทิวารีถูกอสรพิษกัดท่านจะอธิบายว่าอย่างไร”

“ข้าแด่ผู้เป็นประมุขแห่งสรวงสวรรค์เทพอินทรกับอัญญาณีถือสายเลือดเดียวกันความใดๆที่มาจากปากของเทพอินทรย่อมไม่ยุติธรรมแก่ข้า”

“ขออนุญาตพะยะค่ะพระองค์ที่ท่านพูดมาก็ถูก เพราะข้าอาจจะเอนเอียงเข้าข้างน้องข้า หากแต่มีผู้หนึ่งที่จะแถลงความเรื่องนี้ให้ท่านทั้งหลายได้แจ้งใจ” และร่างของเทพอสรพิษก็ปรากฏกายขึ้นทำหัวใจเทพภูชิตกระตุกอย่างแรง

“ความจริงเป็นสิ่งที่เทพอย่างเรายึดมั่นถือมั่นข้าขอให้ท่านเล่าความจริงที่เกิดขึ้นทุกประการ”

“ท่านจะพูดอะไรควรคิดให้ดีก่อนนะเทพอสรพิษ” เทพภูชิตส่งสายตาที่รู้กันส่งแก่เทพอสรพิษ

“ข้าแด่ผู้เป็นประมุขแห่งสรวงสวรรค์ที่ทิวารีโดนอสรพิษกัดเป็นฝีมือของหม่อมฉันเองพะยะค่ะ” เสียงอื้ออึงดังไปทั่วบริเวณเมื่อได้ยินเรื่องไม่คาคคิด

“เหตุใดเจ้าจึงทำเช่นนั้นเจ้าเคยหมางใจกับนางรึ”

“หาไม่พะคะ แต่เพราะเทพภูชิตไหว้วานข้า”

“เจ้าพูดอะไรออกมา!!” เทพภูชิตออกอาการโกรธเกรี้ยวระคนตกใจ

“ใจเย็นๆก่อนเทพภูชิตผิดถูกอยู่ที่พระองค์เป็นผู้ตัดสิน ท่านอย่าเพิ่งร้อนตัวไปเลย” เทพอินทรทำเป็นปลอบประโลมท่าทางและน้ำเสียงขัดใจเทพภูชิตนัก

“เทพอสรพิษเหตุใดท่านต้องทำเช่นนั้น ท่านก็รู้มิใช่เหรอว่าการรวบรัดตัดกรรมคนอื่นเป็นเรื่องที่ผิดมหันต์”

“ข้าทราบดีหากแต่ครั้งหนึ่งข้าเคยทำผิดกฎแห่งสรวงสวรรค์สับเปลี่ยนที่จุติแก่บุตรีให้ได้ดีและสมบูรณ์พร้อมกว่าและเรื่องราวนี้รู้ถึงเทพภูชิต หากแต่เทพภูชิตช่วยปิดบังไม่แพร่งพรายข้าจึงเหมือนติดหนี้บุญคุณและการครั้งนี้เทพภูชิตได้ทวงถามถึงบุญคุณนั้นและให้ข้าทดแทนโดยการทำตามบัญชาคือพรากชีวิตทิวารี”

“ไม่จริงเจ้าโกหก พวกเจ้ารวมหัวกันใส่ร้ายข้า”

“หยุดเถิดเทพภูชิตข้าจะตัดสินเรื่องนี้เอง เทพแห่งอดีต นำอ่างศักดิ์สิทธิ์ที่มีบันทึกอดีตของเทพทุกตนมาเดี๋ยวนี้” ไม่นานอ่างศักดิ์สิทธิ์ก็ถูกนำมาวางตรงหน้าประมุขแห่งสรวงสวรรค์ เพียงคิดถึงสิ่งที่สงสัยและกวาดมือไปเหนืออ่างน้ำภาพทุกอย่างก็จะปรากฏเทพภูชิตถึงกับเข่าอ่อนทรุดลงไปด้วยความจริงทั้งหมดจะถูกเปิดเผยจากในอ่างศักดิ์สิทธิ์นั้น

“ข้าผิดไปแล้วขอพระองค์โปรดประทานอภัย”

“ท่านไม่ได้สำนึกจริงอย่างที่พูดหรอกเพียงเพราะท่านเกรงกลัวต่อความผิดเท่านั้น จิตใจหมองดำเต็มไปด้วยอิจฉาริษยาอาฆาตมาดร้ายเช่นท่านไม่ควรได้เสพสุขอยู่บนสรวงสวรรค์แห่งนี้”

“แต่พระองค์ข้ามีคุณงามความดีมากมายแม้ไม่อาจทดแทนความผิดแต่ก็ผ่อนหนักให้เป็นเบาได้”

“ใช่ท่านพูดถูก โทษที่เบาที่สุดในตอนนี้คือให้ท่านไปสำนึกผิดอยู่ใต้ยอดเขาพระสุเมรเป็นเวลา1000 ปีเทพแห่งความยุติธรรมนำตัวเทพภูชิตไปจองจำเดี๋ยวนี้” หมดทางไม่คิดขัดขืน เพราะรู้ว่าทำไปก็ไร้ประโยชน์

“ขอประทานอนุญาตช้าก่อนเทพยุติธรรม” เทพอินทรเดินไปใกล้เทพภูชิต

“มีความจากน้องข้ามาถึงท่านก่อนที่นางจะไปจุติบนโลกมนุษย์ว่านางมิได้มีเจตนาแย่งทิวารีไปจากท่านหากแต่นางและทิวารีมีใจเสน่หาตรงกันและนางขออโหสิกรรมจากท่านและอโหสิกรรมให้ท่านในทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยผิดใจกันหรือเคยล่วงเกินกัน” เทพภูชิตนัยน์ตาแดงกล่ำด้วยสำนึกผิดจิตใจที่งดงามของอัญญาณีแทรกลึกเข้าไปในใจของเค้า

“หากมีโอกาสฝากบอกนางด้วยว่าข้าเสียใจและข้าอโหสิกรรมแก่นาง” เทพภูชิตถูกนำตัวออกไป

อัญญาณีและอิศรายื่นมองร่างบางที่หลับตานิ่งอยู่บนเตียง

“ข้าเดาได้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเทพภูชิตต้องมาดร้ายข้ากับทิวารีแค่ไม่รู้ว่าจะด้วยวิธีใดเท่านั้น ก่อนที่ข้าจะลงมาจุติบนโลกมนุษย์ข้าจึงได้ไหว้วานอินทรพี่ข้าให้ช่วยจับตาดู”

“และหลังจากนี้เรื่องควรเป็นเช่นใด”

“เจ้าอย่าห่วงเลยอิสราทิวารียังไม่ถึงวาระเบื้องบนต้องรับผิดชอบเรื่องนี้อีกอย่างข้าได้รับพรให้ได้ครองคู่เคียงนาง ไม่มีสิ่งใดแยกเราออกจากกันได้แน่แม้แต่ความตายเพราะจิตของเราก็จะเกาะเกี่ยวติดตามกันไปเสมอ”

“ข้ามารับผิดชอบในส่วนของข้าแล้ว” ทั้งสองหันมองเสียงของผู้มาใหม่

“ท่านเทพแห่งความเป็นความตาย”

“ใช่!! ข้าเอง องค์ประมุขแห่งสรวงสวรรค์สั่งให้ข้านำดวงจิตของทิวารีมาคืนสู่ร่าง”

“ข้ายินดียิ่งและขอขอบใจในท่านมาก” เทพแห่งความเป็นความตายเดินไปยืนข้างเตียง กวาดมือไปบนอากาศเหนือร่างบาง ท่องมนต์งึมงำที่ไม่มีใครจะสามารถจับใจความได้

“จากนี้อีกสามชั่วยามนางจะฟื้นคืนสติข้าขอตัวก่อน ขอให้ท่านทั้งสองโชคดี” พูดจบเทพแห่งความเป็นความตายก็หายวับไปโดยไม่รอล่ำลาให้ยืดเยื้อ

“เห็นไหมอิสราว่าที่ข้าคิดไว้ไม่ผิด แต่เรื่องต่อไปนี้นี่ซิเป็นงานยักษ์ที่รอข้าอยู่คือการต้องทำให้นางเข้าใจกับความรักในรูปแบบนี้ที่นางอาจจะยังไม่เคยรู้จักในโลกนี้”

“ขอประทานอภัยค่ะได้เวลาการดูแลพระองค์หญิงแล้ว ขอเชิญท่านทั้งสองออกไปก่อน”

“ข้าก็อยู่ไม่ได้รึ” อัญญาณีเลิกคิ้วฉงนใจ

“ไม่ได้เจ้าค่ะหากไม่ได้รับอนุญาตจากพระองค์หญิง” สกุณาคนงามนางในคนสนิทกางปีกปกป้องศักดิ์ศรีของพระองค์หญิงอันเป็นที่รักยิ่งแม้พระองค์จะสิ้นพระชนม์ไปแล้วก็ตาม เธอก็ขอทำหน้าที่ดูแลพระองค์ให้ดีที่สุดจนนาทีสุดท้ายอิสราอมยิ้มขันในท่าทางของนางในร่างบางคนนี้

“ก็ได้ข้ายอมเจ้า ด้วยเห็นว่าจงรักภักดีต่อองค์หญิงแต่คืนนี้ข้าจะนอนร่วมห้องกับองค์หญิงไม่ว่าเจ้าหรือใครก็มิอาจห้ามข้าได้” เมื่อพูดจบสองพี่น้องก็พากันเดินออกจากห้องไปสกุณามองทั้งคู่จนลับตาไปก่อนจะเดินตามมาปิดประตูนึกสงสัยว่าทำไมคืนนี้แม่นางอัญญาณีถึงจะนอนร่วมห้องกับองค์หญิงแต่เมื่อไม่ได้คำตอบใดจึงหยุดความคิดไว้ที่เท่านั้นและลงมือทำหน้าที่ของตน

อัญญาณีล้มตัวลงนอนข้างๆทิวารีตะแคงข้างหันมาโอบกระชับร่างไร้สติ นานเท่าใดแล้วที่เราไม่ได้ใกล้ชิดกันแบบนี้ทิวารีหญิงสาวยื่นหน้าไปจุมพิตแผ่วเบาที่หน้าผากมนปลาบปลื้มชื่นชมในใบหน้าอันสวยงามของนาง

“ข้ารักเจ้า ‘ทิวารี’” น้ำเสียงและแววหวานทางสายตาเป็นสื่อของหัวใจรักที่หล่อนต้องการส่งถึงนางอันเป็นที่รัก




 

Create Date : 27 กันยายน 2554    
Last Update : 14 ธันวาคม 2556 16:32:24 น.
Counter : 821 Pageviews.  

เจ้าหญิงยิ้มยาก Yuri ตอน3

 ทิวารีนั่งสงบนิ่งอยู่ที่แท่นพระบรรทมน้อยใจในพระบิดาพระมารดานัก ทั้งสองพระองค์เห็นเธอเป็นสิ่งใดกัน ที่จะพาให้สมสู่กับผู้ใดก็ได้ทำไมถึงหมิ่นน้ำใจเธอยิ่งนัก พระองค์หญิงคิดเคืองน้อยใจจนน้ำตาคลอ

ผู้เข้าร่วมแข่งขันต่างหมอบก้มหน้าจนชิดกับพื้นเพื่อรับฟังราชโองการ

“เงื่อนไขในการครั้งนี้คือให้ผู้เข้าร่วมต้องงัดกลวิธีต่างๆเพื่อเรียกรอยยิ้มจากพระองค์หญิง โดยใช้เวลาหนึ่งกะลาจมน้ำและทุกคนมีสิทธิ์แค่เพียงหนึ่งครั้งเท่านั้น โดยตลอดเวลาพระองค์หญิงจะอยู่ข้างหลังม่านมิให้ผู้ใดได้ยลโฉมเพราะเป็นกฎมนเทียรบาล” มีเสียงอื้ออึงวิพากษ์วิจารณ์แต่ก็มิมีใครกล้าคัดค้านอะไร

สามวันมาแล้ว นับตั้งแต่วันที่เริ่มแข่งขันหากแต่ยังไม่มีผู้ใดสามารถเรียกรอยยิ้มจากพระองค์หญิงได้เลยสักคน จนมาถึงคนสุดท้ายหากก่อให้เกิดเสียงอื้ออึงไปทั่วทั้งท้องพระโรงเพราะคนที่เดินเข้ามานั้นเป็นหญิงงามในชุดของบุรุษดูทะมัดทะแมงทิวารีนั่งมองหญิงสาวผู้นั้นอยู่หลังม่านด้วยความสนใจ

“ถวายบังคมเพคะ” พระราชามองลงมาด้วยความฉงนใจ

“เจ้าไม่รู้หรอกหรือว่าในการครั้งนี้หากผู้ใดทำให้ธิดาของเราเกิดรอยยิ้มได้ ผู้นั้นจะได้อภิเษกกับนาง”

“หม่อมฉันทราบดีเพคะ”

“แล้วทำไมเจ้าจึงยังมาทั้งๆที่ถึงแม้เจ้าจะเรียกรอยยิ้มจากธิดาของเราได้ ก็มิอาจครองคู่”

“ได้หรือไม่ได้สุดแต่ใจของพระองค์หญิงจะดีกว่าเพคะอีกอย่างในราชโองการไม่ได้ระบุถึงเพศของผู้เข้าร่วม ฉะนั้นแล้วหม่อมฉันย่อมมีสิทธิ์ได้รับโอกาส”

“ตกลงเราจะให้เจ้าได้ลองดู” พระราชาโปรดประทานโอกาสด้วยไม่เห็นว่าจะมีอันใดเสียหายเพราะนางผู้นี้บอกเองถึงเรื่องอภิเษกว่าสุดแต่ใจธิดาของตนและนางก็เป็นความหวังสุดท้ายแล้วด้วยขอเพียงทิวารีมีรอยยิ้มไม่ว่าอะไรก็ยอมได้ทั้งนั้น

“ขอบพระทัยเพคะแต่เนื่องด้วยหม่อมฉันเป็นหญิง มิอาจสร้างความเสื่อมเสียแก่พระองค์หญิงได้หม่อมฉันขอได้โปรดทรงประทานโอกาส ให้หม่อมฉันได้แสดงความสามารถต่อหน้าพระองค์หญิงโดยไร้ซึ่งสิ่งกำบังเพคะ” เสียงอื้ออึงดังขึ้นอีกครั้งซึ่งคนส่วนใหญ่เห็นพ้องว่าไม่สมควร

“ได้เปิดม่านออก” พระราชาออกคำสั่งด้วยตนเองชอบใจในความกล้าของหญิงสาวผู้นี้

เมื่อม่านถูกเปิดออกอัญญาณีเดินเข้าไปใกล้ทิวารีผู้เป็นหญิงนางเดียวในหัวใจ

“ถวายบังคมเพคะพระองค์หญิง” อัญญาณีถอนสายบัวถวายความเคารพท่าทีนอบน้อมแต่ในท่าทีนั้นมีสิ่งหนึ่งที่ทิวารีไม่เห็นพ้อง คือแววตาที่หล่อนสบตรงกับเธอโดยไม่นึกเกรงสำหรับอัญญาณีหล่อนตั้งใจที่จะสบตากับพระองค์หญิงเพราะความที่ผูกพันกันมาสามารถถ่ายทอดได้ทางสายตาแววหวานนัยน์ตาของอัญญาณีทำให้องค์หญิงประหม่าเขินอาย และเบี่ยงหลบโดยไม่รู้ตัวนึกแปลกในใจกับความรู้สึกแบบนี้

“เชิญเสด็จพระองค์หญิงไปที่อุทยานได้หรือไม่เพคะ” อัญญาณีถามตรงกับพระองค์หญิงสายตายังคงจับจ้องทำงานอย่างแข็งขันสร้างความประหม่าหวั่นไหวให้กับทิวารียิ่งนัก

“เหตุใดเราจึงต้องทำตามที่เจ้าขอ”

“เพราะหากไม่กลัวว่าเกล้ากระหม่อมจะทำให้พระองค์เกิดรอยยิ้มได้พระองค์ก็ควรจะไปเพคะ” ทิวารีลุกขึ้นจากพระแท่นทันทีขัดเคืองที่ถูกท้าทายเป็นพระองค์เองที่เดินนำออกไป อัญญาณียิ้มนิดๆที่แผนการณ์ดำเนินไปได้โดยง่าย

อุทยานที่เต็มไปด้วยแมกไม้ และดอกไม้นานาชนิดส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลกระจายไปทั่วบริเวณมองทุกครั้งเธอก็ว่ามันสวยทุกครั้ง และเธอก็พอใจในสิ่งเหล่านี้แต่ทำไมหนอเธอกลับไม่สามารถดื่มด่ำถึงสุนทรีที่เกิดขึ้นจากความงดงามเหล่านี้ได้เลย

“พระองค์หญิงระวัง!!”

“ว้าย!!” ทิวารีหวีดร้องโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งที่ต้องระวังคืออะไรและด้วยความตกใจไร้สติยั้งคิดถึงความควรไม่ควร พระองค์หญิงโผเข้าหาคนที่อยู่ใกล้ที่สุดซุกซบหน้าอยู่กับอกของเขาและเธอรู้สึกได้ถึงอ้อมกอดหลวมๆจากอีกฝ่ายดั่งเป็นการปลอบขวัญเหล่าข้าราชบริพารต่างช่วยกันมองหาสิ่งที่อาจจะเป็นภัยแก่พระองค์หญิงแต่ก็ไม่เห็นมีเลย

เมื่อทุกอย่างอยู่ในความสงบพระองค์หญิงจึงค่อยๆดึงหน้าออกมาแหงนมองเจ้าของอ้อมกอดนั้นที่ยังเกาะเกี่ยวเอวของเธอไว้ไม่ยอมปล่อยแววตาวิบวับและรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ทำให้พระองค์หญิงรู้เท่าทันว่าตนได้เสียรู้เสียแล้ว

“เจ้ากล้าหลอกเรารึ” พระองค์หญิงดันตัวออกมายิ่งขัดเคืองใจในหญิงสาวผู้นี้

“หม่อมฉันหลอกสิ่งใดกับพระองค์กันแค่หม่อมฉันเห็นมดตัวเล็กเดินอยู่ก็เกรงว่าพระองค์หญิงจะพลั้งเผลอไปเหยียบมันเข้าก็เท่านั้น”

“เจ้า!!” ยิ่งได้ฟังเหตุอันหาสาระมิได้ก็ยิ่งสร้างความขุ่นใจให้กับทิวารี

“พระองค์หญิงอย่าโกรธหม่อมฉันเลยมดหนึ่งตัวก็คือหนึ่งชีวิต คงไม่ดีแน่หากมันต้องสูญเสียชีวิตเพราะพระองค์” ถึงจะเห็นด้วยกับเหตุผลแต่ก็ยังขัดเคืองใจไม่หายทิวารีสะบัดหน้าเดินลิ่วๆนำหน้าไป อัญญาณีอมยิ้มเอ็นดูในท่าทางแสนงอนที่เจ้าตัวแสดงออกโดยไม่รู้ตัว

ทิวารีเงี่ยหูฟังเสียงผิวปากเป็นทำนองเพลงบาๆจากปากของหญิงสาวที่ชอบก่อกวนอารมณ์เพียงไม่นานเธอเห็นเหล่าแมงปอและผีเสื้อโบยบินมาห้อมล้อมอยู่ที่หญิงสาวผู้นั้นทิวารีมองภาพตรงหน้าทั้งทึ่งและนึกฉงนในใจ

“เจ้าทำได้อย่างไรกัน” ทิวารีตื่นตาตื่นใจยิ่งนักอัญญาณียังคงผิวปากเบาๆสาวเท้าเข้าไปใกล้ๆองค์หญิงพาลพาให้เหล่าแมงปอผีเสื้อโบยบินตามไปด้วย

ตอนนี้มวลหมู่แมงปอและผีเสื้อโบยบินอยู่รอบตัวของหญิงสาวทั้งสองอัญญาณีจ้องเข้าไปนัยน์ตาของพระองค์หญิงสื่อความรู้สึกมากมายทางสายตา ครานี้ทิวารีมิอาจหลบหลีกสายตาจากหญิงผู้นี้ได้อย่างใจคิดดั่งต้องมนต์เสียงผิวปากเงียบลงไปแล้ว แต่เหล่าผีเสื้อก็ยังไม่โบยบินหนีไปไหน

“พระองค์หญิงคงไม่รู้ว่าเกล้ากระหม่อมรักผู้หญิงคนหนึ่งสุดหัวใจ”

“ข้าไม่รู้” ทิวารีตอบคล้ายละเมอ

“มองเข้ามานัยน์ตาของเกล้าระหม่อมซิเพคะเพราะนางอยู่ในนั้น”ทิวารีมองเข้าไปนัยน์ตาของหญิงสาวตรงหน้าโดยไม่สามารถบังคับสายตาตัวเองได้และพระองค์เห็น...ตัวเอง

“ว้าย!!” ทิวารีสะดุ้งสุดตัวและหวีดร้องออกมาอัญญาณีใจหายวาบเมื่อเห็นอรพิษตัวเขื่องเลื้อยหนีเข้าพงหญ้าไปร่างบางทรุดตัวลงโชคดีที่อัญญาณีรับไว้ได้ทันก่อนที่จะลงไปกองกับพื้นเหล่าข้าราชบริพารต่างพากันแตกตื่นโกลาหล

“รีบไปตามหมอหลวงมาพระองค์หญิงถูกงูกัด” อัญญาณีตะโกนออกไปจนสุดเสียงและกลับมามองหญิงสาวในอ้อมกอดที่หายใจรวยระรินด้วยสายตาที่เป็นกังวล

“แข็งใจไว้นะเพคะอย่าหลับเด็ดขาด”

“เจ้าชื่ออัญญาณีใช่หรือไม่” ทิวารีพยายามที่จะเปล่งเสียงเพื่อสื่อสารกับคนตรงหน้า

“ใช่หม่อมฉันชื่ออัญญาณี”

“เจ้ารู้ไหมว่าเราประหลาดใจนักที่หัวใจของเรารื่นรมย์เสมอเมื่อได้อยู่ใกล้เจ้า

“ไม่เลยเพคะหม่อมฉันไม่ประหลาดใจเลยสักนิด” ถึงจะไม่เข้าใจที่อีกฝ่ายพูดนักแต่ก็หมดเรี่ยวแรงเกินจะหาเหตุ

“ข้าคงต้องตายด้วยพิษงูและข้าอยากตอบแทนเจ้าด้วยรอยยิ้มของข้า” พระองค์หญิงค่อยๆคลี่ยิ้มพยายามที่จะฉีกปากให้กว้างมากขึ้นแต่ด้วยพิษร้ายที่ไหลเข้าสู่กระแสเลือดอย่างรวดเร็วทำให้กล้ามเนื้อทั่วทั้งกายอ่อนแรงลงและรอยยิ้มบนใบหน้าของพระองค์หญิงค่อยๆคลายลง เปลือกตาปิดสนิทลงในที่สุด อยู่ๆสายฝนก็โปรยปรายลงมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยเสียงโห่ร้องดีใจดังไปทั่วพระนคร หากแต่ในอีกมุมหนึ่งเทพภูชิตมองหญิงสาวทั้งคู่ด้วยความสะใจ” เมื่อข้าไม่สมหวัง พวกเจ้าก็อย่าฝันจะได้สมหวังเลยเมื่อเหลือเพียงนางเดียวแล้ว ความสุขก็จักมิวันเกิด สะใจข้ายิ่งนัก ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เทพภูชิตหัวเราะด้วยความปีติระคนสะใจ




 

Create Date : 26 กันยายน 2554    
Last Update : 14 ธันวาคม 2556 16:28:49 น.
Counter : 911 Pageviews.  

เจ้าหญิงยิ้มยาก Yuri ตอน2

อัญญาณีคุกเข่าอยู่ต่อหน้าประมุขแห่งสรวงสวรรค์ หญิงสาวถูกจองจำนับได้200 ปีหากแต่หล่อนกลับมีใบหน้าผ่องใสโดดเด่นเกินเหล่าเทพธิดาที่อยู่ในสถานที่แห่งนี้เพราะตลอดเวลาที่ถูกจองจำนั้นหมดไปกับการถือศีลภาวนา

“ข้าให้อิสระแก่เจ้าแล้วอัญญาณีความผิดที่เจ้าเคยทำเทียบไม่ได้เลยกับจิตที่บริสุทธิ์ของเจ้า ณ ตอนนี้”

“ขอบพระทัยเพคะหากแต่หม่อมฉันขอแลกคุณงามความดีทั้งหมดที่ทำมากับพรจากพระองค์หนึ่งข้อได้หรือไม่เพคะ”

“เทพอัปรีย์ทำผิดกฎสวรรค์เช่นเจ้ามิควรได้รับพรใด” เทพภูชิตโพล่งค้านขึ้นมาในทันใด

“เทพที่มีรักแท้เช่นข้าหน่ะหรือที่ท่านว่าอัปรีย์ผิดแล้วเทพภูชิต เทพที่ไม่ประมาณตนว่าไม่เป็นผู้ได้รับความพอใจต่างหากเล่าที่อัปรีย์และน่าสมเพชยิ่งนัก”

“เจ้า!!”

“หยุดเดี๋ยวนี้เจ้าทั้งสอง” ประมุขอ่อนใจที่เทพในปกครองดำรงตนเยี่ยงเด็กไร้เดียงส

“ข้าจะให้พรแก่เจ้าอัญญาณีเจ้าว่ามาในพรนั้นเถิด”

“ข้าแด่ประมุขแห่งสรวงสวรรค์แห่งนี้พรที่หม่อมฉันต้องการคือกัลปาวสานของหม่อมฉันขอนางเดียวอันเป็นดวงใจทิวารีร่วมคู่ชีวิตเพคะ”

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า...พรที่เจ้าขอทำข้าฉงนใจนักอัญญาณีในเมื่อเจ้าถือกายเป็นหญิงดั่งเดียวกับทิวารีใยเจ้าจึงเสน่ห์หาในนาง”

“ทิวารีคือดวงใจของหม่อมฉันเพคะ หมายถึงคือของที่สำคัญที่สุดไม่ว่านางจะอยู่ในรูปกายใดแต่นางก็ยังคงคุณค่าเฉกเช่นดวงใจของหม่อมฉันร่ำไป นางเป็นความรักที่หม่อมฉันหาเจอได้จากในดวงใจของตัวเองเพคะ”

“ฮ่า ฮ่า ฮ่าข้าเข้าใจที่เจ้าพูดได้อัญญาณี ข้าจะมอบพรนี้แก่เจ้า จากนี้ไปอัญญาณีและทิวารีนางทั้งสองจะเคียงคู่ร่วมชีวิตกันตามแต่บุญกรรมจะนำพาไปในรูปแบบใด”

“แต่พระองค์” เทพภูชิตสติแตกควบคุมตัวเองไม่ได้โพล่งคัดค้านออกไปด้วยความแค้นเคืองเพราะหมดสิ้นแล้วศักดิ์ศรีที่ต้องมาแพ้อัญญาณีอยู่ร่ำไปและยังต้องเสียนางที่หมายให้มาเป็นดวงใจไปชั่วนิจนิรันด์

“ท่านว่ามาเทพภูชิตข้าจะรับฟังและให้ความยุติธรรมกับท่าน”

“โทษมิสามารถลบล้างได้สิ้นเพราะถือเป็นสิ่งที่เคยเกิดขึ้นแล้ว เพราะฉะนั้นคนเคยทำผิดมิควรได้รับพร”

“หม่อมฉันขออนุญาตเพคะพระองค์” เทพอัญญาณีหันมองทางเทพภูชิตด้วยใบหน้าที่ผ่องใสเปี่ยมสุข

“ผิดแล้ว ท่านเทพภูชิตท่านลืมไปแล้วหรือว่าข้าคือธิดาแห่งเทพอัศนัยผู้ที่ไม่มีวันต้องถือความผิดใดในทุกการกระทำ ในทั้งสามโลกเมื่อสองร้อยปีก่อนที่ข้ายอมรับการถูกจองจำก็เพื่อรักษาหน้าในท่านและเพื่อยุติธรรมกับทิวารีที่ต้องลงไปรับโทษทัณฑ์บนโลกมนุษย์ข้ามิอาจนิ่งดูดายเห็นนางต้องทุกข์ตรมเพียงลำพัง”

“เจ้าพูดอะไรเจ้าว่าเพื่อรักษาหน้าข้าหาได้เป็นความจริงไม่”

“จริงซิท่านเทพภูชิตชายที่หญิงงามไม่แลเช่นท่านถูกทิ้งร้างไม่ใยดีหน่ายหนีไปกับคนอื่นมันน่าอับอายนักไม่ใช่หรือ หากวันนั้นข้าไม่ยอมรับโทษทัณฑ์คนที่เจ็บแค้นแสนสาหัสก็คือท่านนั่นแหละ”

“เทพภูชิตถึงกับหน้าชาเหลียวมองเหล่าบรรดาเทพธิดาทั้งหลายที่มุ่งสายตามายังตน”

“เจ้าเพ้อเจ้ออะไรอัญญาณี”

“ท่านต่างหากที่เพ้อเจ้อที่พยายามกอบกำน้ำให้เต็มมือทั้งๆที่ไม่มีวันเป็นไปได้”

“เจ้าทั้งคู่หยุดได้แล้วและขอให้จบเรื่องนี้ที่ตรงนี้ ส่วนเจ้าอัญญาณีเจ้าจะได้ไปจุติบนโลกมนุษย์เพื่อถอนคำสาบให้กับทิวารีแต่ด้วยข้าคิดเห็นตรงกับเทพภูชิตเรื่องความผิดไม่อาจลบล้างได้ฉะนั้นข้าจะไม่ให้พลังวิเศษใดแก่เจ้าเจ้าต้องใช้สติปัญญาของเจ้าต่อสู้เพื่อให้ได้เคียงคู่กับนางในดวงใจ” เทพภูชิตกระหยิ่มในใจหวังแก้แค้นในยามที่นางเป็นมนุษย์สามัญ มนุษย์จะมาต่อกรกับเทพผู้มากฤทธิ์ได้อย่างไร

“เพคะหากแต่หม่อมฉันขออารียาไปเป็นเพื่อนคู่คิดได้หรือไม่เพคะ” อัญญาณีหันมองไปทางอารียาเพื่อนรักที่มีไมตรีที่ดีต่อกันมายาวนาน

“ว่าอย่างไรอารียาเจ้าต้องการไปตามคำขอของอัญญาณีหรือไม่”

“เพคะคำขอของเพื่อนแท้มิอาจมีสิ่งใดมาทัดทานได้เพคะ”

“ตกลงตามนั้นตอนนี้เจ้าทั้งสองจงหลับตาและเมื่อเจ้าตื่นลืมตาขึ้นเจ้าจะกลายเป็นมนุษย์มิมีฤทธิ์ใดนอกสติปัญญาที่ก่อเกิดขึ้นมาจากกำลังบุญที่เจ้าทั้งสองเคยบำเพ็ญเพียรมา”

“ตื่นได้แล้วเจ้าคนเกียจคร้าน” เสียงคนเคยคุ้นเข้ามาในโสตประสาทของคนที่ยังอยู่ในอาการง่วงงุนร่างบนเตียงดึงหมอนที่หนุนขึ้นมาทับไว้บนหัว หวังให้เสียงรบกวนจางไป

“อัญญาณีเจ้าลงมาบนโลกมนุษย์ก็เพื่อทำตามความต้องการของหัวใจนะไม่ใช่มานอนเกียจคร้านเช่นนี้” ร่างบนเตียงมีสติคิดได้หล่อนจึงดันหมอนออกจากหัวและลุกขึ้นมานั่งในสภาพผมเผ้ากระเซอะกระเซิง หันมองไปโดยรอบหลายสิ่งหลายอย่างดูแปลกตาแต่ก็เต็มไปด้วยของดีมีราคาทั้งสิ้นและสายตาหล่อนก็มาหยุดอยู่ที่คนตรงหน้า

“คือเจ้าหรืออารียา” อัญญาณีมองชายหนุ่มรูปงามที่ยืนอยู่ตรงหน้าและรีบกลับมาสำรวจตัวเองทันทีว่าอยู่ในร่างใด และก็ผ่อนลมหายใจเบาๆโล่งใจว่าตัวเองยังถือร่างหญิงอยู่ ชายหนุ่มส่ายหัวเบาๆกับแววฉงนของเพื่อนรักเขาจึงเดินไปที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งและหยิบกระจกส่องเงามาส่งให้

“ดูเสียเจ้าจะได้สบายใจว่างามไม่แพ้เทพธิดาองค์ใดบนสรวงสวรรค์” อัญญาณีรับกระจกมาส่องยิ้มพอใจหากแต่ก็ยังแคลงใจ

“และเหตุใดเจ้าถึงอยู่ในร่างชายหนุ่มเล่าอารียา”

“ก็เพราะข้าต้องการที่จะปกป้องเจ้ายังไงร่างกำยำบึกบึน ย่อมมีพละกำลังมาก เจ้าก็รู้ดีนี่ว่าข้าไม่เก่งใช้สมองอีกอย่างที่ผ่านมาแม้ว่าข้าจะถือกายเป็นหญิง แต่ภายในจิตใจของข้ากลับปรารถนาร่างกายที่คล่องแคล่วแข็งแรงและที่สำคัญข้าก็ปรารถนาในอิสตรีเช่นเดียวกันกับเจ้าและในโลกมนุษย์ข้าก็ใช้ชื่ออิสราด้วย” อัญญาณีพยักหน้าน้อยๆตอนนี้ความทรงจำในโลกมนุษย์และความรู้สึกคุ้นเคยในสิ่งรอบตัวค่อยๆเข้าที่เข้าทางมากขึ้น

“แล้วเจ้าเข้ามาในห้องข้าได้อย่างไรเพราะหญิงชายไม่ควรใกล้ชิด โดยเฉพาะในที่ระโหฐานเช่นนี้”

“ฮ่า ฮ่า ฮ่าก็เพราะข้าถือศักดิ์เป็นน้องชายของเจ้าอย่างไรเล่า”

“จริงรึมิน่าเล่าเจ้าถึงได้รูปงามนัก เพราะถือเป็นสายเลือดเดียวกับหญิงงามเช่นข้านั่นเอง ฮ่าฮ่า ฮ่า” สองพี่น้องเล่นหัวขบขันกันรับอรุณ

อัญญาณีคุ้นเคยกับทุกสิ่งรอบตัวดั่งกับเติบโตมาพร้อมกับสิ่งเหล่านี้เธอเป็นบุตรของเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองนี้และมีอำนาจมากขนาดพระราชายังต้องยำเกรงไม่ต้องอะไรมากแค่พื้นที่ในเมืองนี้เกือบครึ่งเป็นของครอบครัวเธอพ่อกับแม่ของทั้งคู่ละทางโลกเข้าถือเพศบรรพชิตไปเมื่อหลายปีก่อนเพราะซาบซึ้งในรสพระธรรม

“มีราชโองการออกมาแล้วว่าถ้าใครสามารถทำให้พระองค์หญิงทิวารียิ้มได้ จะได้อภิเษกเคียงคู่พระองค์หญิง” ชายหนุ่มบอกเล่าเรื่องราวที่ได้รับข้อมูลมาทั้งคู่สบตากันอย่างรู้ความเป็นมา

“แต่ตอนนี้ข้ากับเจ้าไม่มีพลังวิเศษใดเหนือมนุษย์ทั่วไปแล้วเจ้าคิดจะทำอย่างไรต่อไป” ชายหนุ่มมีท่าทีเป็นกังวลแต่ก็ต้องเลิกคิ้วแปลกใจเมื่อเห็นแววเล่ห์ร้ายนัยน์ตาเพื่อนรัก

“อิสราเจ้าลืมไปแล้วหรือว่า ข้าคือเทพอัญญาณี ผู้ได้รับพรให้เป็นผู้ปราชญ์เปรื่องทางปัญญาก่อนที่ข้าจะขอพรกับประมุขแห่งสรวงสวรรค์ข้าได้คิดการเพื่อแก้คำสาปแก่ทิวารีมาแล้ว”

“โอ่วว!!อัญญาณีความปราชญ์เปรื่องของเจ้าทำข้าแปลกใจเสมอ ทีนี้ข้าก็จักได้วางใจหากเจ้ามีสิ่งใดไหว้วานข้า ก็อย่าแม้สักนิดที่จักเกรงใจ ข้ายินดีช่วยเจ้าเสมอ”

“ขอบใจเจ้ามากอิสรามิตรภาพอันสวยงามจากใจเจ้างดงามอยู่ในหัวใจข้าเสมอ เจ้าโปรดจำไว้เถิดข้าจะเป็นมิตรที่ดีที่สุดสำหรับเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายใดข้าก็จักอยู่เคียงข้างเจ้าเสมอ” สองพี่น้องโผเข้ากอดกันเป็นภาพที่บ่าวคนรับใช้ในบ้านเห็น และมองอย่างชื่นชมในความรักของทั้งคู่

ภาพเพื่อนรักที่กำลังโอบกอดกันก็อยู่ในสายตาของเหล่าบรรดาเทพบนสรวงสวรรค์ด้วยเช่นกันมิตรแท้จากเนื้อในใจ หาใช่จะหาเจอกันได้ง่ายๆทั้งหมดซาบซึ้งยินดีในมิตรภาพของทั้งสอง หากมีเพียงเทพภูชิตเท่านั้นที่หยามเหยียดกับมิตรภาพตรงหน้า

‘ยินดีกันไปเถิดไม่นานข้าจะนำพาให้ได้โศกเศร้า’ รอยยิ้มเหยียดและแววตามาดร้ายอยู่บนใบหน้าหารู้ไม่ว่าตนก็อยู่ในสายตาของเทพอีกองค์เช่นกัน

ราชโองการถูกป่าวประกาศออกไปว่าก็มีผู้คนหลั่งไหลเข้ามาเสนอตัวกันมากมายเพราะต่างหวังได้ครองคู่กับพระองค์หญิงโฉมงาม

พระราชา และพระราชินียืนมองออกไปนอกกำแพงเมืองเห็นผู้คนคับคั่ง สองมือกระชับสอดประสานหมายให้มีสักคนที่ช่วยถอนคำสาปและเหมาะสมเคียงคู่กับพระธิดาของตน




 

Create Date : 24 กันยายน 2554    
Last Update : 14 ธันวาคม 2556 16:31:13 น.
Counter : 1009 Pageviews.  

1  2  

writer_k toon
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




เป็นคนธรรมดาๆคนหนึ่งค่ะ ที่อยากเป็นคนดี
และเป็นคนเก่งขึ้นทุกๆวัน

ชอบดื่มกาแฟเป็นชีวิตจิตใจ โปรดสุดก็ Starbucks หากอยู่ในฤดูงบน้อย อะไรที่เป็นกาแฟดำ ได้หมด

ชอบอ่านหนังสือ แนวHowto และนิยายของคุณทมยันตี จนวันหนึ่งเกิดอยากจะเขียนหนังสือให้คนอื่นอ่านบ้าง โดยมีคุณทมยันตีเป็นต้นแบบ เป็นแรงบันดาลใจ

เริ่มต้นขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ไม่รู้ลงท้ายจะเป็นอย่างไร แต่หวังไว้ว่ามันจะดีกว่าที่หวัง

จะคุยได้นานกับคนที่มีฝัน มีเป้าหมายในชิวิต รักครอบครัว และคิดบวก

แอบหวังว่าคนที่เข้ามาที่Blogนี้จะออกไปอย่างมีความสุขนะคะ

Loveๆทุกคนค่ะ

ปล.ขอสงวนลิขสิทธิ์ข้อความและรูปภาพทั้งหมดใน blog นี้ตามกฎหมาย ห้ามนำไปใช้หรือเผยแพร่ก่อนได้รับอนุญาตนะคะ

New Comments
Friends' blogs
[Add writer_k toon's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.