Group Blog
 
All blogs
 

รักนี้...ที่หัวใจเรียกหา Yuri 15

แม้ว่าพี่ชายของเค้าจะย้ายออกไปจากบ้านหลังนี้แล้วแต่เค้าก็ยังวนเวียนกลับมาที่นี่อยู่บ่อยๆ เกือบทุกครั้งก่อนที่เด็กหญิงคนนี้จะเข้านอนเค้าจะมานั่งสงบอยู่ข้างๆฟังการสวดมนต์จากเด็กหญิงมารับการแผ่เมตตาที่เด็กหญิงเผื่อแผ่ให้กับทุกสรรพสิ่งในส่วนลึกเค้ารู้สึกได้ถึงใยผูกพันระหว่างกันนอกจากพี่ชายกับคนรักคือแก้วกัญญาที่เค้าติดตามปกป้องสุดกำลังในทุกภพทุกชาติตอนนี้ก็มีเด็กหญิงคนนี้อีกคนที่เค้าอยากปกป้อง

ปรายตะวันสุกสว่างสมชื่อตะวันผุดผ่องทั้งในกายและในใจออร่ารอบตัวเธอเป็นสีขาวอมฟ้าบ่งบอกว่าเป็นคลื่นพลังของเบื้องสูงเป็นลักษณะของผู้มีบุญมากเค้ากับเธอคนนี้มีใยสัมพันธ์ต่อกันแม้ไม่รู้ที่มาของความสัมพันธ์แต่ตัวจิตภายในย้ำให้เค้ามั่นใจแบบนั้น

“และที่เจ้าต้องเรียกข้าว่าพี่ เพราะข้าตายเป็นผีอยู่มาหลายร้อยปีแล้ว”

“ถ้าอย่างนั้นเรียกว่าพี่จะน้อยไปนะ เราเรียกเธอว่าตาเลยดีไหม” อนพมองเด็กหญิงตาเขม็งนึกอยากจะโกรธที่บังอาจจะมาเรียกเค้าว่าตาแต่พอเห็นแววสุกใสไร้เดียงสาก็พาให้โกรธไม่ลง

“เรียกพี่ก็พอแล้ว ข้าตายตอนเด็กไม่ใช่ตอนแก่คุยกับเจ้ามากข้าเหนื่อยละเจ้าเองก็เข้านอนได้แล้วเหลือเวลาฟ้าจะสางอีกไม่มากข้าไปล่ะ” เด็กน้อยอวบอ้วนกระโดดลงจากเตียงทำท่าจะเดินออกไปพาลให้เด็กหญิงใจหายเมื่อรู้สึกถึงการจากลา

“พี่ชาย” ผีน้อยหยุดกึกเต็มตื้นกับคำว่าพี่ชายก่อนจะหันมาเห็นแววเศร้าในตาของน้องสาวสดๆร้อนๆ

“พี่ชายจะมาอีกเมื่อไหร่ ถ้าน้องปรายอยากเจอพี่น้องปรายต้องทำยังไง”

“แค่คิดถึงพี่ก็พอ ถ้ามาได้จะมา” พูดจบเด็กน้อยตัวอ้วนพลีก็หันเดินกลับไปทางเดิมอมยิ้มสุขใจผลุบหายไปในฝาผนังเด็กหญิงมองตามด้วยความตื่นตายิ้มน้อยๆอย่างมีความสุขเธอปรารถนาอยากมีพี่ชายมานานแล้วเพราะเธอมีพี่สาวแล้วถึงแม้พี่สาวคนนี้จะไม่รักไม่เอ็นดูเธอแต่เธอก็รักพี่สาวคนนี้มากและคุณแม่ก็มักพร่ำสอนเธอเสมอว่าให้รักพี่สาวคนนี้ให้มากๆเพราะเรามีกันแค่สองพี่น้องเด็กหญิงยิ้มอิ่มใจเมื่อคิดถึงอารดา พี่อัยเป็นพี่สาวที่สวยมากไม่ว่าใครมาเห็นก็ต้องคิดแบบเธอและพี่อัยยังเป็นผู้หญิงที่เก่งมากด้วยพ่อกับแม่บอกกับเธอเสมอเธอภูมิใจในตัวพี่สาวคนนี้ที่สุด

กฤติยานั่งสงบนิ่งอยู่ข้างเตียงในขณะที่อารดากำลังสวดมนต์ตามคำแนะนำของพระอาจารย์พรตและไม่ว่าจะเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าเพียงใดอารดาก็ไม่เคยที่จะว่างเว้นจากการสวดมนต์แม้แต่ตอนที่เธอประสบอุบัติเหตุในยามมีสติเธอก็นอนสวดมนต์จนครบตามจำนวนคนอย่างอารดาให้ความสำคัญกับคำพูดของตัวเองเสมอและให้ความสำคัญกับคำมั่นสัญญาที่ให้กับผู้อื่นที่สุดโดยเฉพาะกับพระอาจารย์พรตรุ่นพี่คนสนิทที่มีจิตผูกพันต่อกันเสมอคนในครอบครัว

หากแต่ในเบื้องลึกของความสัมพันธ์นี้ย่อมมีที่มาซึ่งพระอาจารย์พรตรู้แจ้งแล้วก่อเกิดหลากหลายทางความรู้สึกแม้นท่านจะอยู่ในเพศบรรพชิตมีฌานอยู่ในระดับสูงแล้วก็ตามแต่สิ่งที่ได้รับรู้ก็กระทบความรู้สึกไม่น้อยในแวบแรก จากนั้นความรู้สึกจึงค่อยๆเบาบางลงจนปลงได้และมองทุกเรื่องอย่างเข้าใจกรรมก่อเกิดได้ในทุกขณะจิต แม้เพียงมีจิตที่คิดดีหรือร้ายก็ก่อเกิดกรรมได้แล้วหากแต่เค้ากับอารดานำพาให้เกิดการสูญเสียมากมายแม้นโดยไม่ตั้งใจแต่ก็เพราะจิตใจที่เอนเอียงก่อเกิดบาปหนายากจะแก้ไขจนทุกวันนี้

ในทุกวาระของการเกิดเค้ากับอารดาจะเกาะเกี่ยวติดตามกันไปทุกภพทุกชาติกรรมเก่าก็รอการชดใช้กันไปกรรมใหม่ก็เกิดขึ้นมาตลอด เมื่อคิดถึงตรงนี้พระอาจารย์พรตก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่พาจิตเข้าสู่สมาธิคือหยุดคิดและวางทุกอย่าง

อารดาจบการสวดมนต์ด้วยบทแผ่เมตตาก่อนจะก้มลงกราบหมอนสามครั้งด้วยความละเมียดละไมเพราะถูกปลูกฝังจากมารดามาเป็นอย่างดีหล่อนก้าวขาลงจากเตียงบิดขี้เกียจไล่ความปวดเมื่อยหญิงสาวร่างสูงยิ้มในตาเมื่อเห็นแม่ผีสาวจอมจุ้นนอนหลับเอาแขนหนุนหัวอยู่ที่ขอบเตียงคงเพราะรอนาน

‘เป็นผีก็ยังจะง่วงอีกนะ ยัยเพี้ยนเอ๊ย

“สอง สอง” อารดาเดินเข้าไปใกล้ตีแขนผีสาวเบาๆกฤติยาปรือตามองยิ้มละไมก่อนจะยื่นมือไปจับแขนคนตรงหน้า

“พี่หนึ่งพาสองไปนอนหน่อย” พูดจบหล่อนก็ปิดเปลือกตาลงไปอีกครั้ง

“หือ?” อารดายืนมองงงๆตอนนี้ไม่มีสัญญาณตอบกลับใดๆจากผีสาวคงเพราะหลับลึกไปแล้วอารดายืดตัวขึ้นกอดอกมองผีสาวอย่างใช้ความคิดจะให้หล่อนนอนแบบนี้ไปทั้งคืนมีหวังเมื่อยตายแน่ๆ ถึงจะเป็นผีก็เถอะแต่ก็เป็นผีไม่เหมือนผีก็เห็นกันอยู่ทุกวันหล่อนแทบไม่มีอะไรที่ต่างไปจากคนปกติเลย และลึกๆเธอก็ไม่ค่อยอยากใกล้ชิดกับหล่อนด้วยไม่รู้ทำไมอยู่ใกล้กันทีไรรู้สึกแปลกๆทุกที รู้สึกตัวรุมๆอุ่นๆ บางทีก็รู้สึกร้อนๆหรือบางทีก็ทำตัวไม่ถูกทั้งที่ปกติเธอเป็นคนไม่สนใจไม่แคร์ใครและก็อีกหลายๆความรู้สึกเลยที่เธอไม่สามารถตีความออกมาเป็นคำพูดได้

อารดาถอนหายใจเฮือกใหญ่สุดท้ายสาวร่างสูงก็ต้องยอมจำนนต่อเหตุผลหล่อนตัดสินใจเข้าไปยกตัวแม่ผีสาวขี้เซาเพื่อพาหล่อนขึ้นไปนอนสบายๆบนเตียงเมื่อรู้สึกถึงมือแข็งแรงสอดเข้ามาประคองที่เอวกฤติยาก็ตีความไปโดยไร้สติว่าเป็นมือของพี่สาวตนหล่อนจึงโอบกอดเกาะเกี่ยวอีกฝ่ายแน่นหวังส่งต่อและเรียกร้องสัมผัสที่อบอุ่นระหว่างพี่น้องเธอกับพี่หนึ่งโอบกอดแบ่งปันความรักกันเป็นปกติ แต่คนที่ไม่ปกติตอนนี้คงเป็นอารดาอารดายืนตาค้างทำตัวไม่ถูก แม่ผีสาวทำหัวใจเธอเต้นแรงอีกแล้วสาวร่างสูงคิดหนักใจแต่เมื่อสติเริ่มทำงานอารดาจึงรีบประคองผีสาวให้ขึ้นไปนอนบนเตียงแต่ก็เก้ๆกังๆน่าดู

“โอ้ะ!!”อารดาร้องเสียงหลงเมื่อเสียหลักพากันล้มลงไปบนเตียงโดยตนเองทาบทับอยู่ด้านบนเวลานี้เหมือนทุกอย่างรอบตัวหยุดเคลื่อนไหว

เมื่อรู้สึกถึงบางสิ่งที่ทาบทับอยู่บนตัวทำให้กฤติยาลืมตาขึ้นและได้สบตากับคนนัยน์ตาดุเข้าพอดีอีกแล้วเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาอีกแล้วทั้งสองสาวต่างคิดสับสนตรงกันอยากจะถอยห่างหรืออยากจะสัมผัสใกล้ชิดหรือแม้แต่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งที่กำลังคิดสับสนกันอยู่นี่มันคืออะไร

“สอง” อารดายันตัวขึ้น

“ค่ะ คะ” ผีสาวตอบรับตะกุกตะกักสองสายตายังคงสบกันแววนัยน์ตาของทั้งคู่เริ่มแปรเปลี่ยนไปตามต้องการทางกายที่ทั้งคู่ไม่รู้ที่มาที่ไป

“ฉันจูบเธอได้ไหม” อารดามีสติคิดได้ว่าตัวเองพูดบ้าอะไรออกไปแต่ความต้องการทางกายทำให้หล่อนโพล่งพูดออกไปอย่างนั้นไม่มีสัญญาณใดๆตอบกลับมาจากร่างบางนอกจากนัยน์ตาที่หวานซึ้งดั่งเชิญชวนที่อารดาตีความไปเองว่าหล่อนไม่ปฏิเสธและก็เป็นจริงดังนั้นร่างบางหลับตาพริ้มเพื่อลดอาการขัดเขินเมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังจะโน้มหน้าลงมาผีสาวใจเต้นแรงลุ้นกับสิ่งที่กำลังจะเกิดลมหายใจของอีกฝ่ายค่อยๆใกล้เข้ามาใกล้เข้ามา

ครืดครืด ครืด

อารดาชะงักสติกลับมาโดยพลันเพราะเสียงสั่นของโทรศัพท์ที่ดังมาจากโต๊ะทำงานภายในห้องนอนร่างสูงเด้งตัวขึ้นมาเดินตรงดิ่งไปหยิบโทรศัพท์กดรับและเดินออกไปคุยข้างนอกห้องแก้เก้อกฤติยาดีดตัวขึ้นตามมานั่งมองตามร่างสูงที่เดินออกไปรู้สึกร้อนผะผ่าวไปทั่วตัวสองมือถูกยกขึ้นมากุมหน้าหวังคลายความร้อน กฤติยาคิดเขินปนสับสนว่าทำไมเธอถึงหวั่นไหวกับผู้หญิงคนนี้นักนะถึงขั้นปล่อยตัวปล่อยใจอีกต่างหาก

‘บ้าจริง!! เกิดเรื่องแบบนี้อีกแล้ว’

อารดาวางสายจากวารินหลังจากแน่ใจแล้วว่าคุยกันไปก็ไม่รู้เรื่องเพราะเธอไม่มีสมาธิเลยสมองวนเวียนถึงแต่เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นร่างสูงเดินออกไปที่ระเบียงทอดสายตามองไปไกล ที่ผ่านมาเธอไม่เคยสนใจอยากมีรักหรืออยากได้ความรักจากใครเกือบจะในทุกความสัมพันธ์มีเพียงเพื่อนไม่กี่คนที่เธอยอมเปิดใจยิ่งความรักฉันท์ชู้สาวเป็นสิ่งที่เธอไม่เคยฝันถึง อาจจะเพราะความเป็นคนโลกส่วนตัวสูงและมีมาตรฐานที่ติดเพดานทำให้ไม่มีใครสามารถทลายกำแพงสูงเข้ามาได้แม้แต่ความหวั่นไหวก็ไม่เคยเกิดขึ้นในใจเธอเลย แล้วทำไมตอนนี้ถึงเป็นแบบนี้ ทำไมแม่ผีเพี้ยนนั่นถึงทำเธอหวั่นไหวเสมอเมื่ออยู่ใกล้คิดถึงเสมอเมื่ออยู่ไกล ทำไม? ทำไม?

อนพยืนมองพี่ชายในอดีตที่ตอนนี้มีร่างเป็นสาวสวยในแต่ละภพชาติพี่ชายของเค้าแปรเปลี่ยนเพศไปตามบุญกรรมตามคำขอหากฐานของบุญเพียงพอที่จะเอื้อส่งให้สมหวัง

ในทุกชาติไม่ว่าพี่ชายของเค้าจะเกิดในเพศไหนก็มักจะเลิศเลอด้วยรูปกายมีผิวพรรณที่ผ่องใสสวยงาม มีสติปัญญาที่เป็นเลิศ จากบุญเก่าที่เกื้อกูลพุทธศาสนาลักษณะที่มีรูปโดดเด่นดูดีเกินเผ่าพันเกินผู้คนในท้องถิ่นสืบเนื่องมาจากการนำพาบอกบุญให้ผู้คนได้ร่วมสร้างบุญสร้างกุศลไม่ว่าจะต่อพุทธศาสนาต่อพระมหากษัตริย์หรือต่อชาติบ้านเมืองและชุมชนบ้านเกิดและก็มีอีกสิ่งที่ติดตามพี่ชายของเค้าไปในทุกภพชาติคือความรักที่ไม่สมหวังเป็นเพราะแรงสาปแช่งจากหญิงนางหนึ่งที่เคยมอบกายใจให้พี่ชายของเค้าและต้องตรอมใจทุกข์ทนไร้ความสุขในจิตใจจนวาระสุดท้าย

ความรักและภักดีมากมายแปรเปลี่ยนเป็นความเคียดแค้นชิงชังเศษกรรมจากพี่ชายที่ก่อเกิดความเจ็บช้ำแก่ผู้อื่นแม้จะโดยไม่ตั้งใจเหวี่ยงกระจายไปทั่วถึงกับทุกคนที่พี่ชายรักไม่เว้นแม้แต่เด็กไร้เดียงสาอย่างเค้า

กรรมเก่าก่อเกิดเป็นกรรมใหม่เรื่อยมาเพราะจิตที่ไม่รู้เท่าทันกฎแห่งกรรมความเจ็บช้ำในชีวิตของคนเราอาจจะเกิดทางกายหรือทางใจ ทั้งหลายทั้งปวงก็ล้วนส่งผลมาจากสิ่งต่างๆที่เราเคยทำในอดีตวันเวลาที่ผันผ่านไม่อาจย้อนคืนกลับไปแก้ไขหากเรารู้เท่าทันเราจะเรียนรู้ที่จะยอมรับและอยู่กับกรรมเหล่านั้นอย่างเป็นสุขและพยายามที่จะไม่ก่อกรรมใหม่เพิ่ม

“อนพอยากให้คุณพี่หลุดพ้นบ่วงกรรมเสียที อนพรักคุณพี่นะคะ”หยาดน้ำตาไหลรินออกมาจากตาดวงสวยของเด็กน้อยเมื่อคิดถึงเรื่องราวในอดีตระหว่างตนกับพี่ชาย

“คุณย่าเจ้าขา”นายตัวน้อยคลานเข่าเข้าไปหาหญิงชราผู้เป็นประมุขของบ้านที่ทุกคนรักและเค้ารพยิ่งด้วยพระเดชพระคุณที่มากล้น

“ว่าอย่างไรเจ้าอนพ วันนี้จะมาอ้อนเอาอะไรจากย่าอีก”เด็กน้อยยิ้มตาหยีจนทางเพราะถูกรู้ทัน

“ขนมกลีบลำดวนที่คุณย่าทำวันนั้นอร่อยนักเจ้าค่ะคุณย่าทำแบบนั้นให้อนพหน่อยได้ไหมเจ้าคะ อนพจะนำไปฝากแม่หญิงแก้วกัญญา”หญิงชราเลิกคิ้วแปลกใจเมื่อหลานชายเอ่ยถึงธิดาในเรือนของมหาอำมาตย์เทพนเรนทรผู้ซึ่งไม่ใคร่จะชอบใจอัครเดชหลานชายของเธอนักกับอัครเดชเองก็ตั้งท่าไม่ยอมโอนเอนโดยง่ายเพราะขัดแย้งรุนแรงด้านความคิดและการวางตัวของมหาอำมาตย์

“เจ้ารู้จักกับแม่หญิงแก้วกัญญาได้อย่างไรรึ”

“แม่หญิงแก้วกัญญาเป็นมิตรกับอนพเจ้าค่ะ อนพชอบแม่หญิง แม่หญิงดีกับอนพนักอนพอยากตอบแทนนางบ้างเจ้าค่ะ”หญิงชราพยักหน้ายอมจบเรื่องราวสาวความกับเด็กก็คงไม่ได้เรื่องเท่าใดนักไว้เจอเจ้าหลานชายคนโตค่อยซักไซ้เอาความอีกที

“เดี๋ยวย่าจะจัดการให้ในวันพรุ่งนะ”

“คุณย่าใจดีที่สุดเลยเจ้าค่ะ”เด็กน้อยโผเข้ากระชับกอดโดยรู้ดีว่าคุณย่าก็เป็นอีกคนที่รักตนปานดวงใจ

“เบาๆซิเจ้าอนพ ตัวไม่ใช่เล็กๆแล้ว ย่ากระดูกกระเดี้ยจะหักเอา”เด็กน้อยแหงนหน้ามองยิ้มหวานเอาใจ

“อนพรักคุณย่าเจ้าค่ะ”หญิงชราลูบหัวหลานตัวน้อยยิ้มอิ่มใจอัครเดชเป็นความภาคภูมิใจเป็นที่ยึดเหนี่ยวให้เกาะเกี่ยวทางใจให้ไม่ต้องห่วงสิ่งใดเพราะเขาจะสามารถจัดการและดูแลทุกอย่างได้ดี ส่วนหลานตัวน้อยคนนี้เป็นความสุขเป็นความเบิกบานในบั้นปลายชีวิตของเธอ บ่าวไพร่ทั้งหลายมองย่าหลานคู่นี้ด้วยความปีติสำนึกขอบคุณโชคชะตาที่นำพาให้ได้มาเป็นบ่าวไพร่ดูแลรับใช้เจ้านายเรือนนี้ พระเดชพระคุณเป็นศาสตร์และศิลป์อย่างหนึ่งในการบริหารปกครองคนหากมากหรือน้อยจนขาดความพอดี ย่อมไม่เป็นผลดีกับทั้งผู้ปกครองและผู้ถูกปกครอง

ก๊อกๆๆเสียงเคาะประตูห้องทำให้กฤติยาสนใจหันมองเพราะตลอดระยะเวลาที่เธออยู่ที่นี่ในฐานะผู้อาศัยเธอไม่เคยเห็นใครมาที่นี่เลยอัยก็ไม่ค่อยออกไปไหนวันๆเอาแต่ทำงานอยู่หน้าจอคอมไม่รู้จักเบื่อจักหน่ายส่วนเธอก็แทบจะไร้ตัวตนเพราะขาดบางคนมาสนใจชิส์ ผีสาวคิดเคืองสาวร่างสูงอารมณ์ติสกฤติยามองอารดาเดินออกมาจากห้องตรงไปที่เปิดประตูและเปิดมันออกเลยโดยไม่ส่องที่ตาแมวดูก่อนว่าเป็นใครอยู่ๆผีสาวก็ลุกขึ้นจากโซฟาเดินทะลุประตูกระจกออกไปที่ระเบียงหน้าหงิกงอดั่งถูกขัดใจสาเหตุคงไม่พ้นเรื่องแขกที่มาเยือน

เตมิกายิ้มสวยเมื่อเพื่อนสาวเปิดประตูรับแต่ก็ต้องขุ่นใจที่เห็นใบหน้าที่ซีดหมองอิดโรย

“อัย ตัวเป็นซอมบี้หรือไงทำไมถึงได้โทรมขนาดนี้และนี่ได้กินอะไรบ้างหรือยัง”เจ้าบ้านส่ายหน้าเบื่อๆดึงเพื่อนสาวเข้ามาก่อนจะปิดประตู

“ไม่ต้องมาทำหน้าเบื่อเค้าเลยเพราะรักหรอกนะถึงได้บ่นถ้าเป็นคนอื่นจะไม่สนใจเลย”

“ค่า…คุณเพื่อนที่รักและเคารพว่าแต่มีอะไรมาให้กินบ้างชักหิวละ”อารดาเอามือลูบท้องเบาๆรู้สึกได้ถึงความปั่นป่วนเพราะร่างกายมันคงประท้วงเธออยู่ตานี้เป็นเพื่อนสาวบ้างที่ส่ายหน้าทำท่าเบื่อๆ

“บอกมาเดี๋ยวนี้นะอัยว่าที่กำลังหิวเนี่ย หิวมื้อไหน” เตมิกาคาดคั้นเอาความเพราะตอนนี้มันเวลาบ่ายสามแล้วเธอรู้จักเพื่อนคนนี้ดีหล่อนมักจะทำงานจนลืมวันลืมคืน ลืมกินลืมนอนเสมอ

“มื้อไหนก็ช่างเถอะน่า มีอะไรมากินบ้างเอาออกมาเร็วๆ” อารดาทำมึนปิดทางไม่ให้ป้าแก่ในความคิดเธอบ่นต่อเตมิกาก็ยอมรามือโดยง่ายเพราะเซ้าซี้หาความไปก็เท่านั้นคนอย่างอัยสนใจฟังใครบ้างที่ไหนไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเธอถึงหลงรักคนที่ทั้งดื้อทั้งมึนแบบนี้ได้นะในใจก็บ่นไปเรื่อยมือก็หยิบกล่องอาหารออกมาของส่วนใหญ่จะเป็นอาหารญี่ปุ่นที่เธอลงมือทำเองกับมือทั้งหมดและที่ตั้งใจทำมากกว่าอย่างอื่นคือสลัดสาหร่ายไข่กุ้งซึ่งเป็นของที่อัยโปรดที่สุดรองจากข้าวผัดปลาแซลมอน

“น่ารักเสมอเลยนะเตเนี่ย” อารดาชมเชยพอเป็นพิธีก่อนจะดึงตะเกียบออกจากห่อพลาสติกและลงมือจัดการกับอาหารตรงหน้าเพราะหิวจนตาลายไปหมดแล้วท่าทางแบบนี้เตมิการู้ทันทีว่าต้องเป็นอาหารมื้อแรกในวันนี้ของหล่อน

“เตน่ารักสำหรับอัยก็ตอนมีของกินมาให้เท่านั้นแหละชิส์” เตมิกาทำท่าแสนงอนแต่ก็ไม่ได้จริงจังเพราะรู้จักคนตรงหน้าดีหล่อนไม่สนใจเรื่องอะไรแบบนี้หรอกคนอย่างอัยไม่เคยสนใจว่าใครจะรู้สึกยังไงเค้าเคยบอกกับเธอว่าทุกคนควรจะรับผิดชอบความรู้สึกของตัวเองผีสาวนั่งตัวแข็งทื่อปล่อยจิตให้ไหลไปกับความคิดของแขกสาวผู้มาเยือนผู้หญิงคนนี้รักอัย!! แล้วอัยล่ะรู้สึกยังไง?

ผีสาวแปลกใจกับอาหารที่อยู่ๆก็ปรากฏขึ้นมาบนโต๊ะทั้งหมดเป็นอาหารของยัยหน้าสวยนั่นแต่ทำไมถึงมาอยู่ตรงนี้ได้

‘กินด้วยกันนะยัยผีเพี้ยนแล้วก็อย่าไปซนที่ไหนไกลฉันล่ะ’ เสียงของอารดาดังเข้ามาในมโนจิตและอยู่ๆอาหารทั้งหมดบนโต๊ะก็ค่อยๆจางหายไปพาให้กายและจิตของเธอค่อยๆอิ่มเอม

“คนบ้า!! คุณซิเพี้ยน” กฤติกาตอบกลับแต่ก็มิอาจส่งไปให้ถึงอีกฝ่ายอารดาไม่ได้มีฌานสูงในระดับที่จะรับการสื่อสารทางจิตเว้นเสียแต่หล่อนจะอยู่ในสภาวะเชื่อมต่อกับความเป็นและความตาย

โชคนทีถูกเชิญให้เข้าไปพบคุณวิวัฒน์เมื่อถึงเวลานัดหมาย

“สวัสดีครับคุณวิวัฒน์”

“สวัสดีครับ เชิญนั่งก่อน” ทั้งคู่เคยได้พบปะพูดคุยกันหลายครั้งแล้วเพราะโชคนทีมีหน้าที่ดูแลติดต่อกับวิทยากรที่จะเข้ามาบรรยายที่วิทยาลัยโดยตรง

“คุณมีธุระอะไรกับผมเหรอครับ” วิวัฒน์ไม่แสดงว่ารู้แจ้งในเรื่องราวเรื่องตัวรู้ที่มีอยู่ในตัวพูดออกไปก็จะพาให้คนมางมงายหวังมาพึ่งในทางที่ผิดจากหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าคือปลงไม่เป็นวางไม่ลงและยึดเอาทุกอย่างมาเป็นตัวตนจนสิ้น

“คือผมมีเรื่องอยากจะขอรบกวนถามหน่อยครับคือว่าเพื่อนของผมติดต่อกับวิญญาณตนหนึ่งได้เท่าที่พูดคุยก็พอจะให้เชื่อได้ว่าเพื่อนไม่ได้แต่งเรื่องโกหกหรือเพ้อไปเองคือวิญญาณของหญิงสาวตนนี้ได้ออกมาจากร่างทั้งที่ร่างกายยังมีลมหายใจนอนนิ่งเป็นเจ้าหญิงนิทราอยู่ที่โรงพยาบาลครับเพื่อนผมเล่าว่าเธอไม่รู้ว่าจะทำยังไง ไม่รู้จะไปไหนไม่ทราบว่าคุณวิวัฒน์พอจะแนะนำกรณีแบบนี้ได้ไหมครับ”

“วิญญาณเป็นสะสารไร้รูปที่เห็นเป็นตัวเป็นตนได้ก็เพราะจิตยังยึดติดอยู่กับรูปกายเดิมปรุงแต่งจนเกิดเป็นตัวตนขึ้นส่วนเรื่องที่วิญญาณออกจากร่างแล้วแต่ตัวตนยังมีลมหายใจก็เพราะยังไม่หมดวาระจิตสำนึกยังคงทำงานเลี้ยงดูร่างกายเป็นปกติในช่วงที่จิตเบื้องลึกหลุดลอยออกมาทั้งหลายทั้งปวงก็เกิดมาจากบ่วงกรรมทั้งสิ้น”

“เอ่อ… แล้วพอจะมีวิธีพาวิญญาณกลับเข้าร่างไหมครับ”โชคนทีเจาะตรงประเด็นในใจส่วนลึกเป็นห่วงผีสาวที่กำลังจะถูกปลดปล่อยให้เป็นผีโดยสมบูรณ์

“มีหนุ่มใหญ่ตอบสั้นตรงประเด็นสร้างความหวังให้คนฟัง

“ถ้าวิญญาณดวงนั้นยังไม่ถึงถึงฆาต”

“แล้วจะต้องทำยังไงครับ”

“ผมยังบอกคุณตอนนี้ไม่ได้ แต่ขึ้น 13 ค่ำก่อนกลางเดือนหน้าคุณมาหาผมอีกที”

“เอ่อ…” โชคนทีไม่กล้าซักไซ้ทั้งที่ต้องการคำตอบโดยเร็วเพราะกลัวใจครอบครัวของผีสาวที่ว่าจะไม่ยื้อหล่อนไว้

“อย่างที่บอกไปแล้วว่าถ้าวิญญาณตนนั้นหากยังไม่ถึงคาดก็หมายถึงว่าย่อมมีโอกาสที่จะกลับเข้าร่างได้ เดี๋ยวผมขอตัวก่อนนะครับเพราะมีประชุม”

“เอ่อ…ครับต้องขอบพระคุณคุณวิวัฒน์มากเลยนะครับที่จะช่วยให้คำแนะนำ”

“ไม่เป็นไร คุณเองก็อย่ามุ่งแต่กรรมฐานจนทิ้งการภาวนาล่ะเพราะสติบางขณะก็ต้องการกำลังจากการภาวนา”

“ครับ ขอบพระคุณอีกครั้งนะครับ”โชคนทีลุกขึ้นกล่าวลาและเดินออกไปหลังจากบานประตูปิดลงหนุ่มใหญ่ก็ทอดถอนหายใจ ทุกอย่างใกล้เข้ามาแล้วกรรมย่อมดำรงความยุติธรรมตอบแทนทั้งดีชั่วที่เคยก่อกันมาถึงวันนั้นอะไรก็มิอาจช่วยเราได้นอกจากกรรมดีที่จะเป็นบุญห่อหุ้มตัวเราอาจจะช่วยทิ้งระยะหรืออาจจะช่วยลดแรงเสียดทานได้บ้าง

ระหว่างที่เดินออกมาโชคนทีนึกเอะใจว่าทำไมอยู่ๆคุณวิวัฒน์ก็เตือนเรื่องการภาวนากับตนเพราะจริงอย่างที่ท่านพูดช่วงนี้เค้าหย่อนยานการภาวนาไปมากเพราะงานที่รัดแน่นและเพราะจิตที่คิดว่าแค่กรรมฐานก็เพียงพอ ชายหนุ่มรู้สึกยินดีคุณวิวัฒน์ไม่ธรรมดาแถมยังยินดีช่วยเรื่องที่เค้าร้องขอถือเป็นโชคดีจริงๆ

อารดาเดินมาส่งเตมิกาที่หน้าประตูก่อนหน้านั้นเพื่อนสาวอิดออดไม่อยากกลับอยากจะอยู่ดูแลเธอแต่เธอไม่ต้องการแบบนั้นเธอรู้สึกอยู่ลึกๆว่าเธอไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวอย่างแต่ก่อนและเธอก็ควรจะให้ความเป็นส่วนตัวกับอีกฝ่ายด้วย

“ขอบคุณอีกครั้งนะเตเดี๋ยวหายป่วยแล้วจะพาไปเลี้ยงชุดใหญ่เลย” อารดาพูดเอาใจเธอมองออกว่าหล่อนกำลังน้อยใจที่เธอไม่ยอมให้อยู่ต่อ

“อื่อ… เรากลับก่อนนะ” เตมิกากำลังจะเดินออกไปท่าทางไม่สดใสดั่งตอนมาหล่อนชะงักเมื่อรู้สึกถึงสัมผัสที่ข้อมืออารดาดึงเตมิกาเข้ามากอดแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยถ้าเป็นฝนก็คงจะตกลงมาแบบไม่มีตั้งเค้า

“อุ่ย!!” เตมิกาตกใจที่ปนอยู่ในความรู้สึกพอใจ

“เรารู้ว่าเตน้อยใจไว้ให้อะไรๆมันเข้าที่เข้าทางก่อนนะเราจะให้เตดูแลเราได้เต็มที่เลย” อารดาคลายอ้อมกอดและส่งยิ้มสวยสำทับไปอีกเตมิกาเป็นหนึ่งในไม่กี่คนหรอกที่เธอแคร์เธอรู้และสัมผัสได้ว่าหล่อนห่วงใยเธอจากน้ำที่อยู่ในใจจริงๆเตมิกาพยายามเก็บอารมณ์เขินอายสุดกำลังที่ถูกคนที่ตนพอใจกอดเธอรู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ได้คิดกับเธอลึกซึ้งเกินคำว่าเพื่อน

“จ้ะ อัยก็ดูและตัวเองดีๆเราเป็นห่วงมากนะเรากลับก่อนละ” หญิงสาวหันเดินกลับออกไปด้วยใจที่อิ่มสุข

อารดาปิดประตูลงกลอนก่อนจะเดินกลับเข้ามามองหาผีสาวจอมจุ้นเพราะตั้งแต่เตมิกามาหล่อนก็ไม่ปรากฏตัวให้เห็นเลยเดินไปดูในห้องก็ไม่มีที่ระเบียงก็ไม่มีไปไหนนะอุตส่าห์นักย้ำหนาว่าไม่ให้ไปไหนไกลเธอทำไมถึงไม่ยอมเชื่อฟังกันเจอตัวเมื่อไหร่คงต้องมีมาตรการไว้ควบคุมหล่อนบ้างแล้วดื้อไม่เข้าท่าทั้งที่มันเป็นประโยชน์กับตัวเองอารดาผลักความรู้สึกออกนอกตัวไม่ยอมรับว่าแท้ที่จริงเพราะตนเองเป็นห่วงหล่อนมากต่างหากในส่วนลึกที่อารดาไม่ยอมรับ ผีสาวมีผลต่อจิตใจเธอ...มากจนเกินจะหาเหตุผลว่าเพราะอะไร




 

Create Date : 22 ตุลาคม 2555    
Last Update : 30 พฤษภาคม 2556 15:00:57 น.
Counter : 1961 Pageviews.  

รักนี้...ที่หัวใจเรียกหา Yuri 14

สามพ่อแม่ลูก ครอบครัวอาจดำรงค์ ต่างกระชับมือกันแน่นมองร่างบางที่นอนสงบนิ่งมานานหลายเดือนมีเพียงลมหายใจเท่านั้นที่บ่งบอกว่ายังมีชีวิตอยู่และคุณหมอเจ้าของไข้ก็มิได้ให้ความหวังใดๆอีกต่อไปแล้วเหลือเพียงปาฏิหาริย์เท่านั้นที่ครอบครัวนี้หวังพึ่งพิง

ทรงกรตและกมลวรรณสองสามีภรรยาตั้งใจจะออกบวชเพื่อบำเพ็ญภาวนาขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ท่านเมตตาคืนชีวิตที่สมบูรณ์ให้กับบุตรสาวหากแต่หลังจากนั้นยังคงไม่มีอะไรดีขึ้นทั้งสองก็ได้ตัดสินใจแล้วว่าจะปล่อยสองไปอย่างสงบเพราะเมื่อสุดมือแล้วก็ต้องปล่อยไปดึงรั้งกันไว้ต่างก็จะทุกข์ทรมานกันไม่จบสิ้น

กัญญาใจหายเมื่อคิดถึงน้องสาวที่แสนรักจะต้องหลุดลอยลับไปเป็นนิรันดร์แต่ในส่วนลึกเธอเห็นด้วยกับการตัดสินใจครั้งนี้ของพ้อกับแม่ เพราะดึงรั้งกันไว้ก็พาลพากันทุกข์ทรมานกันไม่จบสิ้นและเรื่องการตัดสินใจครั้งนี้ของพ่อกับแม่ก็ไม่ควรมีใครได้รับรู้อีกเพราะเธอไม่ต้องการฟังเสียงคัดค้านไม่เว้นแม้แต่ทินกรและเขาเป็นคนที่ไม่ควรรู้ที่สุด!!

ในคอนโดหรูใจกลางกรุงเทพรายได้ในระดับนางเอกแนวหน้าไม่ยากเลยที่จะได้มาซึ่งสิ่งหรูหราฟุ่มเฟือยกรกนกเดินออกมาจากห้องนอนในชุดเสื้อคลุมบางเบาที่มิอาจปกปิดสิ่งใดในกายหญิงสาวหยุดยืนมองตัวเองอยู่หน้ากระจกหลุยส์สีทองเนื้อกระจกพ่นทรายลวดลายดอกลีลาวดีสีหวานบานยาวถึงสองเมตร มันถูกติดตั้งอยู่ในห้องรับแขกเป็นของตกแต่งราคาสูงสำหรับอวดสายตาคนที่แวะเวียนมาเยี่ยมเยือน

เธอรู้สึกทั้งสุขสมและปวดร้าวลึกกับภาพตรงหน้าตอนนี้เธอเห็นผู้หญิงสวย รูปร่างอ้อนแอ้นอรชรน่าทะนุถนอมผิวขาวละเอียดแทบจะไร้ไฝฝ้า แต่หากย้อนกลับ 5 ปี 10 ปี หรือ 20 ปีที่แล้ว ทุกคนจะเห็นเพียงเด็กหญิงขี้โรคหน้าตาบ้านๆไม่มีอะไรที่โดดเด่นน่าสนใจเลยสักนิด

ต่างกันกับเพื่อนสาวคนสนิทโดยสิ้นเชิงสองเป็นเด็กหน้าตาน่ารักเฉลียวฉลาด โตมาก็เป็นสาวสวยและหล่อนมักจะทำทุกอย่างได้ดีเสมอมีหนุ่มๆมาขายขนมจีบไม่เว้นแต่ละวัน ผู้ชายทุกคนที่ต้องการเข้ามาเกี่ยวข้องกับหล่อนล้วนใช้เธอเป็นสะพานเพื่อทอดไปหาสองทั้งสิ้น

สองเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดเสมอมาดีมากเสียจนเธอเองยังนึกซึ้งใจในน้ำใจที่งดงามของหล่อน แต่!! เธอเกลียดที่สองดีกับเธอ เกลียดที่สองรักและห่วงใยเธอเธอรู้สึกผิดในความรู้สึกเกลียดในความจริงใจของเพื่อนคนนี้จนเกินจะกลับตัวกลับใจและสิ่งที่เธอเลือกทำคือการหนีปัญหา

เธอแลกกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอมีเพื่อใบหน้าที่สะสวยรูปร่างที่สวยงามพาตัวเองขึ้นเขียงนับสิบครั้งเพื่อตัดออกในสิ่งที่เกินเพิ่มในสิ่งที่ขาดหวังเพียงอยากจะเอาชนะเพื่อนสาวคนนี้คนที่ไม่รู้ตัวอะไรเลย และวันนี้เธอมาไกลจนเกินฝันทุกสิ่งรอบตัวเธอล้วนสมบูรณ์รวมถึงของรักของเพื่อนรัก หญิงสาวปรายตามองไปที่ประตูห้องนอนใช่!! เขาอยู่ในนั้น คงไม่ต้องเดาว่าก่อนหน้านั้นเธอกับเขาทำอะไรกันเมื่อคิดถึงตรงนี้กรกนกก็ยิ้มเยาะในใจ เธอชนะแล้วเพราะชายที่เป็นดั่งดวงใจของเพื่อนรักอยู่ในกำมือของเธอ

ทินกรนอนหลับใหลหมดเรี่ยวแรงร่างกายเปล่าเปลือยอยู่ภายใต้ผ้านวมผืนใหญ่บนเตียงขนาดคิงไซส์ที่สภาพยับยู่ยี่เพราะกรำศึกมาอย่างหนักเปลือกตาที่ปิดสนิทเผยให้เห็นขอบตาดำคล้ำ ใบหน้าซูบเซียวทั้งยังไร้สติและความรู้สึกใดๆอาการแบบนี้เกิดขึ้นแบบเป็นๆหายๆตอนนี้แม้แต่หญิงที่เคยเป็นหนึ่งเดียวในหัวใจเขาก็หลงลืม

กฤติยานั่งมองแสงไฟที่สะท้อนอยู่ในน้ำเกลียวคลื่นที่มาจากแรงลมและการกระเพื่อมของน้ำจากแรงต้านของเรือส่งให้สีสันของแสงไฟที่สะท้อนในน้ำยิ่งดูแปลกตาหางตาบ่งบอกว่ามีบางสิ่งปรากฏขึ้นดึงความสนใจให้ต้องหันมอง

“อนพ เธอหายไปไหนมาอีกแล้ว ฉันคิดถึงเธอแทบแย่รู้ไหม”หญิงสาวโน้มตัวเข้าไปกอดเด็กน้อยด้วยความคิดถึงอย่างสุดซึ้งเด็กน้อยเองก็ปล่อยตัวไม่ได้ขัดขืนใดๆ เขารู้ดีว่าสิ่งที่หล่อนผู้นี้แสดงมันออกมาจากในใจที่แท้จริงๆไม่ว่าภพชาติใดหล่อนก็ไม่เคยเปลี่ยนใช้หัวใจทำในทุกสิ่งและจริงใจในทุกสิ่งที่ทำ

“ตอนเราไม่อยู่เจ้าดูแลคุณพี่ดีหรือไม่” ผีสาวคลายอ้อมกอดทำหน้าแสนงอนบอกความรู้สึกภายใน

“ฉันจะดูแลอะไรคุณพี่ของเธอได้ คนร้ายกาจแบบนั้น”

“ขัดใจคุณพี่อีกแล้วซิ”

“หือ… ใครเขาจะไปขัดใจคุณพี่ของเธอ คนร้ายกาจแบบนั้นมีแต่จะทำร้ายจิตใจคนอื่นซิไม่ว่า” ผีสาวมองเหม่อไปเบื้องหน้าเมื่อคิดถึงอีกคนที่อยู่ในห้องก็ก่อเกิดหลากหลายอารมณ์เด็กน้อยตัวอ้วนพลีปีนขึ้นไปนั่งบนตักผีสาวหวังเอาใจและก็ได้ผลดีจริงๆเพราะหญิงสาวพอใจกับสัมผัสแบบนี้มาก กฤติยากระชับกอดเด็กน้อยหวังบรรเทาความรู้สึกที่สับสนที่หลากหลายอยู่ในใจ

“ตัวเธอหอมจังนะ กลิ่นดอกไม้ใช่ไหม”

“ใช่ กลิ่นดอกปีบ” หญิงสาวพยักหน้ารับรู้ เธอรู้จักดอกปีบแต่ไม่รู้จักกลิ่นของมันเพิ่งได้รู้วันนี้แหละแต่แปลก!! เธอกลับรู้สึกคุ้นชินกับกลิ่นนี้

“คุณย่าทำน้ำอบโดยใช้ดอกปีบที่ออกดอกมากในรั้วบ้าน ท่านพรมตัวให้เราทุกวันเพราะรู้ว่าเราชอบและเราก็จะไปเกลือกกลิ้งพันตัวคุณพี่ส่งต่อกลิ่นหอมเจ้าอาจจะคุ้นจากเหตุนี้”กฤติยาฟังอย่างสนใจแม้จะไม่รู้เรื่องอะไร

“เออ? ทำไมเธอถึงเรียกอัยว่าคุณพี่ล่ะ”กฤติยานึกได้ในสิ่งที่สงสัยจึงรีบสักถามเด็กน้อยทันที ก่อนที่เขาจะหายไปอีก

“ก็เขาเป็นพี่ของเรา” เด็กน้อยตอบสั้นตรงคำถามไม่คิดจะขยายความ

“แล้ว...”

“ยัยผีเพี้ยนนั่งพูดอะไรอยู่คนเดียว” ผีสาวหันมาจิกตาใส่คนตัวสูงที่อยู่ๆก็โผล่มาและก็พูดอะไรร้ายๆไม่น่าฟังเลยสักนิด

“คุณนะซิคะที่เพี้ยนทำแต่งานจนเพี้ยนไปแล้ว” ผีสาวเถียงกลับไม่ยอมลดราวาศอกให้

“แต่ฉันก็ไม่เคยพูดคนเดียวอย่างเธอนะ” อารดาสนุกที่ได้ต่อล้อต่อเถียงทำหน้ายืนยันจริงจังในคำพูดของตนท่าทางขัดใจผีสาวมาก

“พูดคนเดียวที่ไหนกันเล่าก็นี่ไง” ผีสาวหันมาหาคู่สนทนาตัวน้อยเพื่อจะยืนยันกับอีกฝ่ายและก็ต้องแปลกใจที่เขาไม่อยู่แล้ว

“อ้าว!!ไปไหนแล้ว” หญิงสาวสอดส่ายสายตาไปรอบๆพาลนึกเคืองไปหมดทั้งเด็กน้อยและทั้งคุณพี่จอมปากคอเราะร้ายของเขา

“ก็ฉันบอกแล้วว่าเธอเพี้ยน…” อารดาส่ายหน้ายิ้มๆลากเสียงเย้ยหยันหวังก่อกวนประสาทก่อนจะเลื่อนปิดประตูและเดินเข้าไปในครัวอย่างอารมณ์ดีหล่อนเดินตรงไปหาเครื่องชงกาแฟหวังเติมคาเฟอีนเพื่อให้สมองปลอดโปร่ง

“หยุดเลยนะ คุณนั่นแหละเพี้ยนดึกป่านนี้แล้วยังจะดื่มกาแฟอีกมันไม่ดีต่อสุขภาพไม่รู้หรือไง” อารดาหันมองผีสาวเคืองๆหล่อนทำให้เธอตกใจอีกแล้ว ผีสาวทำเป็นไม่สนใจสายตาคมดุของอีกฝ่ายจัดการกดปิดสวิตช์เครื่องชงกาแฟและยืนกันท่าทำหน้าอวดดีอยู่ตรงนั้น

“เธอคิดว่าเธอเป็นใคร รู้ตัวไหมว่าวุ่นวายมากไปแล้วหลบไป!!” คนตัวสูงทำตาดุเสียงเข้มหวังให้แม่ผีสาวตรงหน้าเกรงกลัว

“ฉันรู้ดีว่าฉันเป็นใคร ฉันเป็นผีและฉันก็เป็นห่วงคุณด้วย เข้าใจไหมว่าเป็นห่วงหน่ะและคุณก็อย่าดื้อกับฉันให้มากนักเข้าใจไหมเพราะฉันคงอยู่กวนใจคุณไม่นานหรอกรบกวนอดทนหน่อยก็แล้วกัน”พูดจบผีสาวก็หันเดินกลับออกไป อารดามองตามหลังผีสาวไปแบบงงๆ ก่อนจะหันกลับมามองเครื่องชงกาแฟช่างใจว่าจะเอายังไงแต่สุดท้ายก็ตัดใจเดินไปเปิดตู้เย็นรินน้ำเปล่าขึ้นมาดื่มแทน

“สะกดจิตตัวเองว่าน้ำเปล่าเป็นกาแฟไปก็แล้วกัน เผื่อจะช่วยทดแทนกันได้บ้าง” อารดานึกปลงกับชีวิต และไม่คิดต่อเพื่อหาเหตุผลว่าทำไมตนถึงแคร์ผีสาวจอมจุ้นนักในอีกมุมผีสาวกำลังยิ้มอิ่มใจมีความสุขที่หล่อนไม่ดื้อรั้นขัดใจเธอและเธอก็คิดเข้าข้างตัวเองไปแล้วด้วยว่าเพราะที่หล่อนยอมเพราะหล่อนแคร์เธอ

ขุนอัครเดชเดินกลับมาที่ต้นมะขามริมน้ำเพื่อรับเจ้าน้องตัวเล็กแต่ก็ต้องแปลกใจที่พบเพียงความว่างเปล่า

“ท่านขุนอัครเดชใช่หรือไม่ขอรับ” ขุนอัครเดชก้มมองเด็กหนุ่มที่นั่งคุกเข่าอยู่เบื้องหน้า

“ใช่”

“คุณหนูแก้วกัญญาฝากความถึงท่านว่าได้พาน้องชายท่านกลับไปที่เรือนให้กระผมถามท่านว่าท่านจะไปรับน้องชายด้วยตนเองหรือจะให้นำไปส่งที่เรือนขอรับ”

“ข้าจะไปรับน้องข้าเอง เจ้านำข้าไปที” เด็กหนุ่มยกมือไหว้เหนือหัวและลุกขึ้นเดินนำออกไป

ชายหนุ่มผู้มีศักดิ์ยืนครุ่นคิดแก้วกัญญาเป็นบุตรสาวของมหาอำมาตย์เทพนเรนทรคนสนิทติดตัวที่เหนือหัวให้ความไว้วางใจมากแต่สำหรับเค้ากลับรู้สึกขัดแย้งและมองต่างมุมกับเหนือหัวหรือกับหลายๆคนที่ถือข้างมหาอำมาตย์ในส่วนลึกของเค้ามหาอำมาตย์เทพนเรนทรเป็นเฒ่าเจ้าเล่ห์ที่ไม่น่าไว้ใจและสิงห์เฒ่าผู้นี้แจ้งใจดีว่าเค้ารู้สึกเช่นไร

แก้วกัญญานั่งมองเด็กน้อยที่ง่วนอยู่กับขนมหลากสีสันตรงหน้าท่าทีหิวโซเพราะห่างมื้อกลางวันมามาก

“เจ้าชอบหรือไม่ อนพ” เด็กน้อยเงยหน้าขึ้นมองแม่หญิงคนงามยิ้มจนตาหยีเขาพยักหน้าน้อยๆก่อนก้มลงไปสนใจขนมตรงหน้าต่อ เด็กน้อยทานได้มากเพราะขนมที่นี่รสชาติอร่อยไม่แพ้ที่เรือนเลย

“ลองขนมช่อม่วงซิพี่ข้าทำเองกับมือทั้งสวยทั้งอร่อยเลยนะ” แก้วกัญญาหยิบขนมยื่นให้ เด็กน้อยไม่ได้ใช้มือรับไปแต่ใช้ปากมางับขนมไป

“เจ้านี่ไม่รักษากิริยาเลยเดี๋ยวแม่ข้ามาเห็นเข้า ข้าก็จะพลอยโดนดุไปด้วย”หญิงงามตำหนิเด็กน้อยเบาๆกวาดสายตาไปรอบๆเกรงว่าจะมีใครมาเห็นและนำไปฟ้องมารดาเด็กน้อยยื่นหน้าเข้าไปกระซิบกระซาบหัวเราะคิกคัก

“ข้ามองก่อนแล้วถึงทำ แบบนี้หากคุณย่าข้ามาเห็นข้าก็คงได้โดนไม้ดีดปากแน่ๆ” คู่หูต่างวัยต่างพากันหัวเราะชอบใจในเรื่องที่รู้กันอยู่สองคน

“เจ้าสองคนขันอะไรกันรึ” แก้วกัญญาและเด็กน้อยเงยหน้ามองทั้งคู่เห็นชายหนุ่มรูปงามท่าทางสำอางแต่ก็แฝงไปด้วยพลังและความหนักแน่นเด็กน้อยยิ้มเป็นมิตรส่งไปให้ต่างกับหญิงสาวที่วางหน้านิ่งเฉยซึ่งเป็นท่าทีที่ชายหนุ่มชินเสียแล้ว

“ข้าทำเจ้าสองคนหมดสนุกรึ” ชายหนุ่มทำเป็นไม่เข้าใจ ทั้งที่รู้แก่ใจ

“พ่อข้าอยู่บนเรือนใหญ่ เชิญท่านที่นั่นเถิด ข้าอยากอยู่เป็นส่วนตัวกับเด็กน้อย” แก้วกัญญาไล่ชายหนุ่มตรงๆไม่คิดรักษาน้ำใจแต่อีกฝ่ายก็ไม่คิดเคืองเพราะเข้าใจในนางดี

“ท่านอินทร” เสียงใสๆดังมาจากทางหนึ่งดึงความสนใจจากทุกคนพลอยกัญญาเดินตรงเข้ามาหากลุ่มสนทนาช่างถูกที่ถูกเวลานักในความรู้สึกของแก้วกัญญา

“ดีจริงที่พี่พลอยมา ท่านอินทรกำลังต้องการคนนำทางไปเรือนใหญ่อยู่พอดีเนื่องจากข้าไม่สะดวกติดต้องดูแลเด็กน้อย” พลอยกัญญามองไปที่เด็กน้อยอ้วนพลีที่กำลังง่วนอยู่กับขนมตรงหน้า

“ลูกเต้าเหล่าใครรึ”

“บุตรในเรือนเจ้าพระยาพิเศกไกรสรเขาเป็นมิตรกับข้า” พลอยกัญญามองเด็กน้อยด้วยสายตาเอ็นดูจังหวะเดียวกับเด็กน้อยเงยหน้าขึ้นมายิ้มเป็นไมตรีให้กลับไปยิ่งถูกใจหญิงสาว

“แม่หญิงเป็นคนทำขนมช่อม่วงใช่หรือไม่”

“ใช่จ่ะ ทำไมรึ”

“อร่อยถูกปากนักเจ้าค่ะ” ทั้งหมดเอ็นดูในความเฉลียวฉลาดช่างเอาใจของเด็กน้อยแต่ในรอยยิ้มของชายหนุ่มแฝงไปด้วยความกังขาเด็กน้อยผู้นี้เป็นบุตรในเรือนเจ้าพระยาพิเศกไกรสรก็ต้องมีความเกี่ยวข้องกับอัครเดช ถึงเค้ากับอัครเดชจะเป็นศิษย์อาจารย์เดียวกันแต่ก็ไม่เคยก้าวล้ำเรื่องส่วนตัว อัครเดชไว้ตัวเพราะถือชาติกำเนิดในตระกูลขุนนางมองเค้าเป็นเพียงลูกพ่อค้าวานิชถึงตอนนี้เค้าจะมีตำแหน่งเทียบเท่าแต่ก็ไม่เคยอยู่ในสายตา

“พี่พลอยพาท่านอินทรไปหาท่านพ่อเถิด ท่านอินทรเสียเวลามามากแล้ว” แก้วกัญญาผลักไสชายหนุ่มทางอ้อมส่วนพลอยกัญญาก็พาซื่อด้วยไม่รู้ความในจึงรีบเชื้อเชิญอนาคตน้องเขยออกไปอย่างยินดีชายหนุ่มจึงต้องเดินตามไปอย่างเสียไม่ได้

“ข้าขอตัวก่อนนะแก้วกัญญา ข้าไปก่อนนะเจ้าหนูน้อย” แก้วกัญญายิ้มตอบเป็นมารยาทส่วนเด็กน้อยก็เลิกสนใจพวกผู้ใหญ่กลับไปสนใจกับขนมตรงหน้าต่อ เพราะยังไม่หายหิวเมื่อเสียงฝีเท้าไกลออกไปแก้วกัญญาถึงเงยหน้าขึ้นมองทั้งคู่ที่เดินลับตาไปก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ทำไมคนที่เขาหมายปองถึงไม่เป็นพี่พลอยนะ

“คุณหนูขอรับ ท่านขุนอัครเดชรออยู่ที่ข้างรั้วหน้าเรือน สั่งให้กระผมนำน้องชายออกไปส่งให้ขอรับ” เมื่อได้ยินชื่อพี่ชายเด็กน้อยถึงกับตาวาวละมือจากขนมจุ่มสองมือน้อยๆของตนในอ่างล้างมืออย่างเร่งรีบเพราะอยากไปหาพี่ชายเต็มที

“ทำไมเอ็งไม่เชิญเขาเข้ามา”

“เชิญแล้วขอรับ ท่านบอกว่าไม่สะดวกเพราะต้องไปที่อื่นต่อ” แก้วกัญญาพยักหน้าเข้าใจ ยิ้มน้อยๆเมื่อเห็นเด็กน้อยอยู่ในท่าเตรียมพร้อม

“ข้าอิจฉาพี่ชายเจ้านักที่มีน้องเช่นเจ้า” เด็กน้อยยิ้มตาหยีเดินเข้ามานั่งบนตักหญิงสาวและโอบกอดเอาใจ

“ข้าเป็นน้องของท่านด้วยก็ได้ แต่ท่านต้องสัญญากับข้าว่าจะไม่ขัดใจคุณพี่นะ” เด็กน้อยมีเงื่อนไขที่ทำให้หญิงสาวนึกขันในความแก่แดดแก่ลม

“คนอย่างข้านะรึที่ขัดใจพี่ชายเจ้า ไม่ใช่เพราะพี่ชายเจ้าน่ะหรือชอบยั่วโมโหข้า” เด็กน้อยอมยิ้มคิดในใจว่าพอกันทั้งคู่นั่นแหละ

“รีบพาข้าไปส่งเถิด ข้าไม่อยากให้คุณพี่รอนาน” แก้วกัญญายิ้มน้อยๆก่อนจะลุกขึ้นและเดินจูงเด็กน้อยออกไปโดยมีบ่าวสาวคนสนิทเดินตามหลังไปด้วย

เมื่อเห็นพี่ชายเด็กน้อยปล่อยมือจากหญิงสาวแล้วถลาเข้าไปหาผู้เป็นพี่ทันที

“แม่หญิงแก้วกัญญาช่างดีกับอนพนักเจ้าค่ะ อนพอยากให้คุณพี่ตอบแทนนางบ้าง” เด็กน้อยแหงนเงยบอกกล่าวพี่ชายตีท่าเป็นผู้ใหญ่เพราะเขาได้รับการสั่งสอนมาว่าใครดีด้วยต้องดีตอบขุนอัครเดชขันในท่าทางของน้องชายและมองไปที่หญิงสาวที่ยืนมองเขากับน้องอยู่ด้วยความสนใจและเมื่อสายตาสบกันทำให้ต้องรีบเบี่ยงสายตาหลบกันแทบไม่ทันเพราะขัดเขิน

“ข้าเป็นหนี้บุญคุณเจ้าที่เจ้าเป็นภาระดูแลน้องให้ข้าในวันหน้าหากเจ้าต้องการให้ข้าช่วยเหลือสิ่งใดก็โปรดอย่าได้เกรงใจ”

“ข้าจะจดจำคำมั่นของท่านเอาไว้ในวันหน้าหากข้ามีสิ่งใดให้ช่วยข้าก็จักมิเกรงใจ” หญิงสาวรับในคำมั่นโดยไม่รู้เลยว่าในอนาคตด้วยคำมั่นสัญญานี้จะนำพาให้ชีวิตของทั้งคู่ต้องพันผูกกันจนวันนี้

ชายหนุ่มรูปงามที่ชื่อขุนอัครเดชหญิงสาวคนงามที่ชื่อแก้วกัญญา กับเด็กน้อยที่ชื่ออนพอยู่ในความคุ้นชินเพราะพบเจอกันอยู่บ่อยๆในความฝัน ภาพของทั้งสามค่อยๆเลือนลางไป ปรากฏภาพใหม่ขึ้นมาเธอเห็นหญิงงามที่งามไม่แพ้แก้วกัญญา งามกว่าเสียด้วยซ้ำ

“ลูกไม่แต่งเป็นตายยังไงลูกก็จะไม่แต่งหากท่านพ่อบังคับลูก ลูกจะฆ่าตัวตาย” หญิงสาวดื้อรั้นยื่นคำขาดเพราะไม่เห็นด้วยกับบิดาก็อะไรกันอยู่ๆจะให้เธอออกเรือนไปกับใครก็ไม่รู้ แม้หน้าก็มิเคยเห็น

“ไม่ได้!!เจ้าต้องแต่งอยากให้พ่อเสียคำสัตย์รึ”โกเมศผู้เป็นพ่อไม่ยอมลงให้แม้ว่าที่ผ่านมาจะรักและตามใจบุตรสาวคนนี้เพียงใดเนื่องด้วยคำมั่นที่ให้ไว้กับเพื่อนรักว่าหากเค้ามีบุตรสาวก็จะยกให้แต่งงานกับบุตรชายของเขา

“พ่อสัญญากับเขาพ่อก็แต่งเองซิคะไม่เห็นเกี่ยวกับลูก”หญิงสาวยังดื้อดึง ด้วยรู้ว่าผู้เป็นพ่อรักมากเพราะเธอเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวถูกตามใจจากบิดามารดามาตลอด

“อิสริยา เจ้าจงฟังพ่อให้ดีพ่อของเจ้าคนนี้ถือคำสัตย์เหนือสิ่งอื่นใดและที่สำคัญพระยาพิเศกไกรสรมีบุญคุณกับพ่อมากมายนักพ่อหวังให้เจ้าได้ออกเรือนไปกับบุตรชายของเขา อย่างน้อยก็เพื่อตอบแทนบุญคุณเขาแทนพ่อบ้างเจ้าจะทำเพื่อพ่อไม่ได้เชียวรึ” หญิงสาวนิ่งเงียบคิดคำตอบโต้แต่ก็จนทางเพราะหากเธอปฏิเสธก็เป็นดั่งลูกอกตัญญูแต่หากเธอตอบตกลงก็ไม่รู้ได้เลยว่าชีวิตในภายภาคหน้าของเธอจะเป็นเช่นไรกับการออกเรือนไปกับชายแปลกหน้า

“อัครเดชเป็นหนุ่มรูปงาม เป็นขุนน้ำขุนนางอยู่ในรั้วในวังเหมาะสมคู่ควรกับลูกสาวพ่อทุกอย่างเจ้าอย่าดื้อรั้นไปเลยพ่อรักลูกและเลือกสิ่งที่ดีให้ลูกเสมอ” หญิงสาวยังคงนิ่งด้วยจนทางแล้วจริงๆผู้เป็นพ่อลอบยิ้มด้วยมั่นใจว่าสมหวังแน่แล้ว

ปรายตะวันเด็กหญิงวัยห้าขวบย่างหกขวบหันซ้ายหันขวาไม่มีสมาธิกับการอ่านหนังสือตรงหน้าเลยเพราะรู้สึกถึงบางสิ่งที่เคลื่อนไหวอยู่ในห้องของตน เด็กหญิงหันขวับไปที่ตู้เก็บของที่เป็นไม้ทึบสีเข้มมีความสูงเลยศีรษะเธอขึ้นไปเล็กน้อยมีเสียงกุกกักดังออกมาในนั้น หนูเหรอแต่จะเป็นไปได้ยังไง ห้องนี้ไม่เคยมีหนูนะ ไม่ใช่ซิบ้านนี้ไม่เคยมีหนูต่างหากเพราะแม่ของเธอถือทั้งตำแหน่งคุณนายสะอาดและคุณนายระเบียบท่านไม่ยอมให้มีสัตว์สกปรกแบบนี้มาอยู่ในบ้านแน่ๆและเสียงกุกกักดังขนาดนี้ต้องไม่ใช่หนูแน่ๆ

“อะไรอยู่ในนั้น!! ออกมาเดี๋ยวนี้นะ” เด็กหญิงไร้เดียงสากระฟัดกระเฟียดลุกออกจากโต๊ะเขียนหนังสือด้วยอารมณ์ขุ่นเคืองในบางสิ่งที่ทำให้เสียสมาธิเธอหวังจะได้เจอกับสิ่งนั้นและจัดการมันซะ!!

“ออกมาเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นเราจะไปฟ้องคุณพ่อ” เด็กหญิงพยายามเงี่ยหูฟังเสียงตอบจากภายในแต่เสียงภายในตู้ก็เงียบไปตอนนี้บรรยากาศรอบตัวเงียบเสียจนเด็กน้อยได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเอง ในใจของเด็กหญิงเริ่มนึกหวาดกลัวขึ้นมาเมื่อคิดได้ถึงเหตุและผลของความไม่ปกติเพราะจะมีใครเข้ามาในห้องของเธอได้อย่างไร ในเมื่อห้องของเธอมันล็อคอยู่เป็นกฎเข้มงวดจากคุณพ่อที่เธอต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัดว่าต้องล็อคห้องก่อนนอนทุกครั้งเพื่อป้องกันไม่ให้คนเข้ามาทำอันตรายถ้าพ่อกับแม่จะเข้าไปจะเรียกหรือจะไขกุญแจเข้าไปเอง แต่หากเป็นคนอื่นมาเรียกในยามวิกาลห้ามเปิดประตูเด็ดขาดเมื่อคิดได้ถึงตรงนี้เด็กหญิงก็ค่อยๆก้าวถอยหลังเพื่อให้ห่างจากตู้

“ว้าย !!” เด็กหญิงร้องเสียงหลงเมื่อรู้สึกได้ว่าด้านหลังสัมผัสได้กับบางสิ่ง

“เบาๆซิ เดี๋ยวชาวบ้านชาวช่องเค้าก็แตกตื่น” เด็กผู้ชายผมจุกตัวอ้วนพลียกนิ้วชี้ขึ้นจุ๊ปาก กระซิบกระซาบตำหนิเด็กหญิง

“เธอเป็นใคร์? เข้ามาห้องเราได้ยังไง? เป็นผีเหรอ?” เด็กหญิงถามไร้เดียงสาแต่ก็ไม่ได้นึกกลัวเพราะเห็นว่าเป็นเด็กเหมือนกัน

“ใช่!ข้าเป็นผี เจ้าไม่กลัวข้ารึ”

“ไม่หรอกเธอน่ารักดี ว่าแต่ทำไมเธอถึงเป็นผีล่ะ” ปรายตะวันใคร่รู้จริงจังตามแบบเด็กฉลาดที่ถูกสั่งสอนให้มีความสงสัยใคร่อยากรู้ในสิ่งใหม่

“ก็ต้องตายก่อนซิถึงจะเป็นผีได้”

“แล้วเธอเป็นอะไรตายเหรอแล้วเธอเจ็บไหม เธอกลัวไหมก่อนเธอจะตาย เธอ?...”

“พอ พอ พอได้แล้วแม่สาวน้อยร้อยคำถาม เก็บเอาไว้ถามวันหน้าบ้างเถอะถามเยอะเดี๋ยวก็ได้หมดเรื่องคุยกันพอดี” เด็กน้อยอ้วนพลีปีนขึ้นไปนั่งแกว่งเท้าไปมาอย่างสบายใจบนเตียงลายดอกไม้สีหวานกวาดสายตามองไปรอบๆห้องอย่างไร้จุดหมายเป็นภาพที่น่ามองสำหรับเด็กหญิง ปรายฟ้าเดินตามขึ้นไปนั่งข้างๆเว้นระยะห่างกันไว้หนึ่งฝ่ามือ

“เธอล่ะชื่ออะไรเหรอ?” ปรายตะวันเอียงคอถามผีเพื่อนใหม่

“ข้าชื่ออนพ แก่กว่าเจ้าหลายร้อยปี เจ้าต้องเรียกข้าว่าพี่ชายเจ้าเข้าใจที่ข้าพูดหรือไม่ปรายตะวัน”

“ทำไมเธอถึงบอกว่าแก่กว่าเราหลายร้อยปี ก็ตัวเธอใหญ่กว่าเราหน่อยเดียวเองแล้วเธอรู้ชื่อเราได้ยังไง” อนพหันมองเด็กขี้สงสัยยิ้มใจดีจนตาหยีสร้างอารมณ์ขันให้กับเด็กหญิง

“ข้าเห็นเจ้าตั้งแต่เจ้ายังเป็นเด็กน้อยตัวแดงๆ” เด็กน้อยอ้วนพลีรำลึกย้อนถึงความหลังในตอนนั้นเค้าแปลกตากับเด็กน้อยตัวแดงสมาชิกใหม่ของบ้านหลังนี้เมื่อหลายปีก่อน

เค้าฝันอยากมีน้องน้อยน่ารักอย่างนี้อยากถูกเรียกว่าพี่บ้างอยากจะดูแลปกป้องใครสักคนบ้างเหมือนกับที่เค้าได้รับจากพี่ชายเค้าเฝ้ามองการเจริญเติบโตของเด็กหญิงคนนี้พยายามจะแสดงตัวหลายต่อหลายครั้งแต่ก็เหมือนว่าจะไม่เป็นผลเพราะไม่มีการสนองตอบเลยและหลายครั้งที่อยากจะดุว่าพี่ชายเสียให้สำนึกที่เขาเย็นชาใส่เธอ เค้าอยากจะเข้าไปปลอบโยนเด็กหญิงคนนี้แต่ก็ทำไม่ได้พระอาจารย์บอกว่ายังไม่ถึงเวลา




 

Create Date : 21 มีนาคม 2555    
Last Update : 30 พฤษภาคม 2556 15:00:29 น.
Counter : 516 Pageviews.  

รักนี้...ที่หัวใจเรียกหา Yuri 13

แม้อารดาจะใช้แขนเพียงข้างเดียวแต่ก็ไม่รู้ทำไมหล่อนถึงมีเรี่ยวแรงมากมายนัก สาวร่างสูงใช้มืออีกข้างตรึงท้ายทอยแม่ผีสาวจอมดื้อดึงเพื่อไม่ให้เบี่ยงหน้าหนีหวังสูบเอาทุกคำพูดร้ายๆออกจากปากของหล่อนเสียให้หมดและก็ได้ผลดีจริงๆเพราะตอนนี้ไม่มีคำใดๆได้เล็ดรอดออกมาจากปากหล่อนได้อีกแล้วมีเพียงเสียงอึกอักที่พยายามจะประท้วงเธอดังอยู่ในลำคอ 

แต่เพียงไม่นานปฏิกิริยาที่ต่อต้านขัดขืนกันก็ลดกำลังลง ความคุ้นเคยของสัมผัสที่ห่างหายในส่วนลึกเข้ามาแทนที่ หัวใจเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะของทั้งคู่พาให้ปฏิกิริยาทางกายเปลี่ยนไป จากที่หวังเพียงลงโทษกันให้หลาบจำตอนนี้กลับแปรเปลี่ยนเป็นสัมผัสอันแสนหวานที่ทั้งคู่พากันชี้ชม เรียวปากนุ่มนิ่มของทั้งคู่คลอเคลียแลกเปลี่ยนสัมผัสกันไปตามจังหวะของอารมณ์ที่ต่างก็ไม่รู้ที่มา 

อารดาถอนริมฝีปากออกมามองหญิงสาวตรงหน้าด้วยสายตาเชื่อมหวานโดยไม่รู้ตัว กฤติยาค่อยๆลืมตาขึ้นเมื่อรู้สึกถึงริมฝีปากที่ห่างหายออกไป ทันได้เห็นแววหวานจากดวงตาของคนนัยน์ตาดุพาเอาใจอ่อนยวบไร้เรี่ยวแรงที่จะดื้อดึง เมื่อเห็นว่าผีสาวหน้าสวยไม่มีท่าทีขัดขืน อารดาจึงโน้มหน้าลงไปหาริมฝีปากบางแดงอีกครั้งเพื่อความแน่ใจในอะไรก็ไม่รู้ สองแขนของสองสาวต่างใช้โอบกระชับกัน ถ่ายทอดความรู้สึกรื่นรมย์ในความสับสนและไม่เข้าใจ 

จนพอใจอารดาจึงถอนริมฝีปากออกมาพร้อมกับสติที่ตามกลับมาด้วย เอาละซิ! ร่างสูงเริ่มทำตัวไม่ถูกจะปล่อยมือจากผีสาวก็เกรงว่าหล่อนจะรูดไหลลงไป เพราะรู้สึกได้ถึงการประคองรับน้ำหนักของหล่อนเต็มๆ แล้วเธอทำอะไรลงไปเนี่ย จูบ จูบ จูบ จูบกับผู้หญิง แถมเป็นผู้หญิงที่เป็นผีอีกต่างหาก เอะ!! หรือว่าจริงๆแล้วเป็นเธอเองที่เพี้ยน 

“ปะ ปล่อย” เมื่อสติของตัวเองกลับมาบ้างผีสาวหน้าสวยจึงพยายามดันตัวเองออกมาจากอ้อมกอดของสาวร่างสูง ก้มหน้างุดหวังหลบสายตาเป็นประกายที่แม้จะแฝงไปด้วยความสับสนแต่ก็ทำเธอประหม่าไม่น้อย

‘บ้าจริง เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ยังไง’ผีสาวคิดเขินอยู่ในใจ

อารดายอมคลายอ้อมแขนปล่อยให้ผีสาวเป็นอิสระก่อนจะหันเดินเข้าไปในครัว ส่วนผีสาวก็หันเดินกลับเข้าไปในห้องนอน

ตอนนี้สองสาวต่างอยู่เงียบๆในมุมของตนสมองคิดวนเวียนถึงแต่เรื่อง...จูบ ทำไมเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้นะผีสาวคิดสับสนเอะใจกับความหวั่นไหวในเบื้องลึก แต่เธอไม่ใช่แบบนั้นนะ เธอไม่ได้ผิดปกติ แต่...เธอกลับไม่รู้สึกรังเกียจสัมผัสจากหล่อนเลยสักนิด ไม่เลย…

ผีสาวหน้าร้อนผะผ่าวเมื่อย้อนคิดถึงครั้งแรกที่อัยจูบเธอบนโซฟา หล่อนคงไม่รู้ตัวว่าเป็นตนตัวร้ายที่พรากจูบแรกของเธอไปโดยไม่คิดขออนุญาตถึงเธอจะไม่ใช่สาวแรกรุ่นแต่พ่อกับแม่ก็สอนให้เธอก็รักนวลสงวนตัวไม่ปล่อยตัวปล่อยใจก่อนเวลาอันควรเพราะเป็นผู้หญิงมีแต่ขาดทุน พ่อกับแม่ยังพร่ำสอนเธออีกว่า ผู้ชายที่ดีจะไม่เรียกร้องอยากล่วงเกิน ถ้าเขารักเราจริงเขาต้องอดทนและรอได้แม้แต่ทินกรชายคนรักที่หวังฝากชีวิตก็ไม่เคยได้รับสิทธิ์นี้ 

เธอรู้สึกขอบคุณตัวเองเหลือเกินที่ยึดมั่นและเชื่อฟังในคำสอนของพ่อแม่ไม่ยอมใจอ่อนให้กับผู้ชายพรรค์นั้น พอคิดถึงทินกรสมองก็พาย้อนคิดถึงเรื่องราวในวันที่เกิดอุบัติเหตุ แปลก... ที่เธอไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดอย่างเคย

อารดาทำฟอร์มว่าหมกมุ่นอยู่กับการทำงานแต่สมองกลับไม่มีสมาธิกับเรื่องงานเลยจนตัวเองนึกหงุดหงิด สมองวนเวียนคิดถึงแต่เรื่องที่จูบกับแม่ผีสาว เธอจูบหล่อนจูบกับผู้หญิงและที่สำคัญหล่อนเป็นผี นี่เธอเป็นโรคจิตผิดปกติอะไรหรือเปล่า? หลายครั้งที่สมองพาย้อนไปคิดถึงตอนที่ริมฝีปากประกบกันแนบแน่น คิดถึงสัมผัสที่ลูบไล้ไปบนกายของหล่อน คิดถึงกลิ่นกายยามอยู่ใกล้ชิดกัน หญิงสาวสะบัดหัวแรงๆหวังให้ความคิดที่พาให้สับสนกระเด็นหลุดออกไป โดยไม่กล้าที่จะยอมรับว่าในส่วนลึกตนพอใจกับเรื่องที่มันเกิด


โชคนทีวางสายจากกฤษฎาเพื่อนนายตำรวจยศพันตรีหลังจากฝากฝังให้ช่วยค้นแฟ้มคดีการประสบอุบัติเหตุของผีสาว เพราะจากที่คุยกันวันนั้นมีหลายเรื่องที่เค้าและอัยแคลงใจ ส่วนคุณวิวัฒน์ที่เค้าหวังจะขอคำปรึกษาเรื่องตายแล้วทำไมไม่ไปไหนหรือไม่รู้จะไปไหนของผีสาวคนสวย ท่านก็มีภารกิจมากจนล้นมือทำให้ต้องนัดล่วงหน้านานเป็นอาทิตย์ ซึ่งก็ทำอะไรมากไปกว่าการรอทั้งๆที่ร้อนใจมากเพราะเกรงว่าผีสาวจะกลายเป็นผีไปจริงๆโดยสมบูรณ์ 

ชายหนุ่มนั่งเคาะโทรศัพท์เบาๆสมองครุ่นคิดต่อ ทำไมช่วงนี้ถึงมีเรื่องแปลกๆเกิดขึ้นเยอะนักนะและทุกเรื่องล้วนมีอัยเข้ามาเกี่ยวพันด้วยทั้งสิ้น เพราะอะไร? ทำไม? ยังมีอีกสิ่งที่สะดุดใจ อัยดูสนใจห่วงใยคุณผีสาวคนสวยมากกระตือรือร้นขอให้เค้าช่วยเหลือซึ่งผิดวิสัยเพื่อนคนนี้มาก 

หลายปีที่คบกันมา อัยไม่เคยสนใจอะไรโดยเฉพาะเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตัวเอง แต่!! หรือเรื่องของผีสาวจะเกี่ยว แล้วไหนจะเรื่องหลวงพี่พรตอีกทำไมท่านถึงต้องทำตัวลึกลับเหลือเกิน หมายจะปรึกษาขอความช่วยเหลือท่านก็เงียบหายแบบไร้ร่องรอยให้ตามตัวได้ แล้วไหนจะฝันแปลกๆอีกหลายครั้ง ที่มักจะมีชายหนุ่มในยุคโบราณหนึ่งในนั้นชื่อว่าขุนพิราชภักดีซึ่งมีใบหน้าละม้ายคล้ายเค้ามาก กับชายหนุ่มอีกคนที่มักจะอยู่ในฝันแปลกๆของเค้าเสมอชื่อว่าขุนอัครเดชราชบดี  ขุนอัครเดชราชบดี โชคนทีทบทวนชื่อนี้ไปมา เขาหันหน้าเข้าหาจอคอมเปิดหน้า Google พิมพ์ชื่อนี้ไปที่ช่องค้นหา ในใจลุ้นระทึกจะแปลกเกินไปไหมหากชายชื่อนี้จะมีตัวตนอยู่จริงๆ และข้อมูลก็ปรากฏแก่สายตา 

‘ขุนอัครเดชราชบดี ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในพระเจ้าแสนฟ้าแห่งพระนครคีรี’


ในห้องพระที่สมบูรณ์ไปด้วยสิ่งศักดิ์สิทธิ์ โดยมีพระพุทธรูปองค์ใหญ่วางเป็นประธานอยู่ตรงกลาง ดร.วิวัฒน์ หนุ่มใหญ่วัยกลางคนค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้นเพื่อออกจากสมาธิ สายตามองตรงไปที่พระประธานตั้งจิตให้สงบเพื่อถามจิตภายในว่าเค้าควรลงไปยุ่งกับเรื่องนี้หรือไม่ เรื่องที่เห็นในนิมิตบอกถึงเรื่องราวที่อาจจะผิดไปด้วยไฟแห่งความเคียดแค้นชิงชังของวิญญาณหลายดวง วิญญาณที่กักขังตัวเองด้วยความผิดของอีกคน 

การเข้าไปยุ่งกับกรรมของคนอื่นก็ไม่ใช่เรื่องฉลาด แต่การได้ไปรู้ไปเห็นก็ทำให้อดไม่ได้ที่จะต้องเข้าช่วยเหลือเพราะจิตที่เมตตา เหนือเหตุผลใดๆคือจิตที่ผูกพันกันมา

ภาพอารดาในภพชาติก่อนได้เกิดเป็นชายและเป็นสหายกับเค้า เราได้ชักชวนกันไปร่วมสร้างพระประธานบุญใหญ่ในครั้งนั้นส่งผลนำพาให้เค้าเจริญรุ่งเรืองทั้งทางโลกและทางธรรมในภพปัจจุบัน ตำแหน่งคนสนิทของพระสังฆราชไม่ใช่จะได้มาโดยง่าย หากไม่เพราะบารมีจิตที่สูงเกินคนทั่วไปจากบุญเก่าและบุญใหม่ที่เค้าเร่งสร้างอย่างสม่ำเสมอ ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายแล้วที่เค้าจะขอเกิดเป็นมนุษย์ บ่วงกรรมทั้งหมด ต้องได้รับการคลี่คลาย และการได้มาอยู่ในปกครองของผู้มีบารมีสูงส่งผลให้เค้าปฏิบัติธรรมและสำเร็จได้โดยง่าย หากอารดาไม่ติดวนอยู่ในบ่วงกรรมเขาคงได้มายืนเคียงคู่อยู่ในตำแหน่งเดียวกันกับเค้าแต่ผลบุญมิอาจลบล้างหนี้กรรมได้ ที่ทำได้มากที่สุดก็คือทอดเวลาออกไปเท่านั้น นิพพานคือทางเดียวของทางออกหากคิดตัดกรรม แต่อารดาก็ยังไกลเกินคำนั้นด้วยติดสัญญาและด้วยจิตที่ผูกพันหวังปกป้องดูแลใครสักคนทุกชาติไป 

ดร. หนุ่มใหญ่หลับตาลงไปอีกครั้งหวังได้เจรจาต่อรองกับเจ้ากรรมนายเวรของอารดา แต่ไม่มีสัญญาณใดๆตอบกลับมาเลย นั่นคือคำตอบว่าไม่ต้องการเจรจา แต่ด้วยบารมีที่สูงทำให้เหล่าวิญญาณไม่สามารถแสดงเดชให้มีผลสะท้อนทางร้ายกลับมา หากแต่วิญญาณทุกตนล้วนยิ้มเยาะสะใจ หากจะคิดจักเสือกกับกรรมของใครอย่าหวังเลยว่าจะทำได้สำเร็จ  


อารดานั่งอ่านบทประพันธ์บางบทบางตอนไปมาเหล่าตัวหนังสือตรงหน้าก็พาให้ฉงนในใจ เพราะเนื้อเรื่องมันย้ำๆซ้ำๆอยู่ในส่วนลึก เมื่อนึกไปนึกมาก็พบว่าเธอเคยได้รู้ได้เห็นเรื่องราวต่างๆจากความฝัน แต่บางเรื่องราวในบทประพันธ์ก็ขัดแย้งอยู่ในส่วนลึก

‘ขุนอัครเดชราชบดี นำพาให้เกิดความเข้าใจผิด ก่อเกิดโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ คร่าชีวิตผู้จงรักภักดีต่อตนไปมากมาย’ เมื่อพิจารณาดีๆ ความในตอนนี้ขัดแย้งกับในหลายๆตอนแม้แต่กับตอนจบก็ไม่สัมพันธ์กัน มันต้องมีบางจุดที่ผิดพลาด และก็มีเรื่องให้ต้องฉงนในใจอีกว่าทำไมก่อนหน้านี้เธอถึงไม่เอะใจกับประเด็นพวกนี้ทั้งๆที่เธอก็อ่านมันมาหลายรอบ 

นึกย้อนไปถึงในวันที่พบกับหญิงชราเจ้าของบทประพันธ์ ในวันนั้นเพราะสายตาของหญิงชราผู้นี้ทำให้เธอใจอ่อนยวบ ยอมรับงานนี้แต่โดยดี เป็นสายตาที่ยากจะอธิบาย วิงวอน ร้องขอ รวมๆแล้วก่อให้เกิดความรู้สึกในใจลึกๆว่ามันคือสิ่งที่เธอควรทำ และอยู่ๆประโยคหนึ่งของหญิงชราก็ผุดขึ้นมา

‘ฉันเขียนเรื่องนี้ เพราะอยากแก้ไขผิดบาปของบรรพบุรุษ ท่านไม่ได้เป็นดั่งคำกล่าวหา’ อารดาครุ่นคิดหนักชักมึนกับบทประพันธ์ หญิงสาวเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มือกดหาคนสนิท ไม่นานปลายสายก็ตอบกลับมาเสียงใส

‘จ่ะอัย’

“พี่ริน อัยอยากเจอเจ้าของบทประพันธ์ เรื่องฤาเพียงแค่ภาพฝัน พี่รินนัดให้อัยหน่อยได้ไหม”

‘เห็นว่าท่านออกไปถือศีลแบบไม่มีกำหนดอยู่นะ เพราะคุณชายท่านก็อยากเจอเหมือนกัน’

“อืม...พอดีอัยเพิ่งสังเกตเห็นหลายบทหลายตอนหลักๆมันไม่สัมพันธ์กัน โดยมารยาทต้องให้เจ้าของบทประพันธ์เป็นคนปรับแก้และค่อยส่งมาที่คนเขียนบท”

‘และอัยจะให้พี่ทำยังไง’

“อัยไม่รู้ แต่อัยทำงานต่อไม่ได้”

คำตอบของอารดาทำวารินปวดหัวจี๊ด เพราะแค่หล่อนประสบอุบัติเหตุก็พากองถ่ายยืดการถ่ายทำมาหลายอาทิตย์และอยู่ๆก็มาบอกอีกว่าทำงานต่อไม่ได้

‘เอ่อ!พี่ว่าอัยค่อยๆดู ค่อยๆทำไปดีไหม’

“ทำไม่ได้ค่ะในเมื่อเนื้อเรื่องมันไม่สัมพันธ์กันจะทำต่อได้ยังไง อัยว่าพี่ควรเอาปัญหานี้ไปคุยกับคุณชายก่อนได้เรื่องยังไงพี่ค่อยมาบอกอัยอีกที่ อ่อ...อีกอย่างอัยรู้ดีว่าพี่ลำบากใจเรื่องเงินหากเกิดปัญหาถ้าอัยทำงานนี้ต่อไม่ได้อัยจะคืนเงินทั้งหมดและจะชดเชยส่วนของพี่ให้ แค่นี้ก่อนนะคะ”

‘ตืดๆๆ’วารินเอาโทรศัพท์ออกจากหูถอนหายใจเฮือกใหญ่ รวบรวมพละกำลังทั้งหมดและกดโทรออกอีกครั้ง หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ได้แต่อธิฐานขอให้ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี เพราะมีเรื่องเงินก้อนใหญ่ระหว่างเธอกับคุณชายที่อารดาไม่รู้ และเงื่อนไขในเงินก้อนนั้นคือ การนำพาอารดาให้รับเขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้ให้สำเร็จให้ได้

อารดาละออกมาจากคอมพิวเตอร์เดินออกมานอกห้องมองหาผีสาว แต่เดินดูจนทั่วก็ไม่เห็น

‘ไปไหนนะ? ก็บอกแล้วว่าอย่าไปไหน’ ร่างสูงนึกขัดใจที่หล่อนไม่เชื่อฟังลึกๆในความขัดใจคือความรู้สึกห่วงใย

“สองเธออยู่ไหน สอง” ร่างสูงหมุนไปรอบเรียกหาผีสาว แต่ก็ไม่มีสัญญาณใดตอบกลับมาหารู้ไม่ว่าหล่อนยืนยิ้มทำหน้าเจ้าเล่ห์อยู่ข้างๆตัว

‘แกล้งเสียให้เข็ดอยากบ้างานดีนัก’

“สอง ถ้าเธอไม่ออกมาตอนนี้ ก็ไม่ต้องออกมาตลอดไปเลยนะ” ร่างสูงทำเป็นเลิกสนใจ แต่พอหันมาอีกทางก็ใจหายวาบเมื่อเจอกับผีสาวหน้าสวยยืนหน้าทำหงิกอยู่

“เก่งเหลือเกินนะ ไอ้เรื่องพูดทำร้ายจิตใจคนอื่นเค้าน่ะ”

“ตกใจหมด จะโผล่มาก็ให้สุ่มให้เสียงกันบ้างซิ”

“ชิส์” ผีสาวสะบัดหน้าเดินออกไปที่ระเบียง ร่างสูงมองตามงงๆ แต่ก็เดินตามออกไป มีสติไม่บ้าจี้คิดเดินทะลุประตูอย่างหล่อนที่ก่อนหน้านั้นพลั้งเผลอพาให้เจ็บตัวอยู่บ่อยๆ

“เป็นอะไร?” ผีสาวสะบัดหน้าพรืดกลับมา สีหน้าบอกว่าขัดใจ

“ก็คุณน่ะ เอาแต่ทำงานไม่สนใจฉันบ้างเลย ฉันทั้งเหงาทั้งเบื่อคุณรู้บ้างไหม” ร่างสูงเลิกคิ้วนิดๆไม่เข้าใจว่าตัวเองผิดอะไร เพราะเธอก็ทำอย่างที่เคยทำมา เป็นอย่างที่เคยเป็น หล่อนเองต่างหากที่เป็นสิ่งแปลกปลอม

“ใจร้ายที่สุด” เมื่อได้ยินความคิดของอีกฝ่ายผีสาวก็ถึงกับน้ำตารื่น 

“ใช่ซิ ฉันมันสิ่งแปลกปลอม เป็นส่วนเกิน ถ้าไม่มีฉันคุณก็จะสบายใจใช่ไหมล่ะ” อารดาออกอาการไปไม่เป็นเมื่อถูกผีสาวตัดพ้อ ถึงลึกๆจะนึกโกรธที่หล่อนรู้ความคิดแต่ก็รู้สึกผิดแล้วที่คิดออกไปแบบนั้น

“ฉันออกไปจากชีวิตคุณก็ได้ คนใจร้าย” ผีสาวตัดใจกะไปตายเอาดาบหน้า ทำท่าจะหันเดินออกไปแต่ก็ต้องถลากลับมาทางเดิมเพราะแรงดึงที่ข้อมือจากคนใจร้ายในความคิด

“จะไปไหน?” อารดาส่งสายตาคมดุ หมายจะปรามเด็กดื้อที่เอาแต่ใจ

“ปล่อย มันเรื่องของฉันคุณจะสนใจทำไม”

“ก็ลองไปซิ ฉันแช่งเธอแน่ เธอคงไม่รู้ซินะว่าวิญญาณถ้าถูกแช่งจะไม่ได้ผุดได้เกิดตกนรกหมกไหม้” อารดาพูดไปส่งเดชหวังหยุดความคิดที่จะไปของเด็กดื้อ ผีสาวครุ่นคิดตามหลงกลคนตัวสูง นี่ถ้าหล่อนรู้ว่าเป็นผีแต่โดนคนหลอกคงรู้สึกเสียเชิงแย่

“แล้วคุณจะมาแช่งฉันทำไม ก็อยากให้ฉันไปพ้นๆไม่ใช่เหรอ”

“ใช่ ฉันอยากให้เธอไป แต่ต้องไปในทางที่ฉันแน่ใจแล้วว่ามันเป็นทางที่ดีเท่านั้น”ผีสาวจ้องมองคนตัวสูงพยายามตีความในสิ่งที่หล่อนพูด 

“คุณเป็นห่วงฉันเหรอ คุณเป็นห่วงฉันใช่ไหม”ผีสาวคลี่ยิ้มยินดีกระตุกแขนคนตัวสูงคาดคั้นอยากได้คำตอบจากปากคนที่ชอบพูดชอบคิดอะไรร้ายๆเสมอ

“นี่!ถ้าเธอยังไม่เลิกเซ้าซี้ ฉันได้จับเธอไปถ่วงน้ำแน่ๆ” อารดาพยายามแกะมือที่เหนียวเป็นตุ๊กแกออกจากแขนตน พูดเฉไฉไปเรื่อย พอสลัดผีสาวหลุดไปได้หล่อนก็หันหลังเดินอมยิ้มกลับเข้าไปในห้อง ผีสาวมองตามหลังสาวร่างสูงเข้าไปด้วยหัวใจที่เต็มตื้น


“อัย ได้ความคืบหน้าเรื่องอุบัติเหตุแล้ว”อารดาแนบโทรศัพท์ให้ชิดกับหูมากขึ้นอีกตั้งใจฟังในข้อมูลที่ปลายสายกำลังถ่ายทอด

“สถานีตำรวจในท้องที่ ที่คุณสองประสบเหตุลงบันทึกประจำวันไว้แค่เป็นอุบัติเหตุโดยสุดวิสัย ไม่มีคู่กรณี เลยไม่มีการตรวจสอบอะไร”

“อืม” อารดายังไม่เคลียร์ใจกับเรื่องที่ได้ยิน

“แต่สองบอกรถเบรกไม่อยู่ แกว่ามันจะเป็นเรื่องบังเอิญเหรอ”

“ไม่กล้าคิดว่ะ ว่าจะเป็นเรื่องไม่บังเอิญ”

“โชค จะรบกวนแกเกินไปไหมถ้าฉันอยากให้แกช่วยตรวจสอบเรื่องรถของสอง เราต้องรู้ว่าที่มันเบรกไม่อยู่มันเกิดจากอะไร เราต้องรู้ว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญ หรือจงใจ” อารดาครุ่นคิดมองไกลปลายสายเองก็ครุ่นคิดหนักไม่แพ้กัน

“ฉันรู้สึกว่าแกดูสนใจห่วงใยคุณสองเขามากเลยนะ”

“ฉันก็แค่อยากเคลียร์ทุกอย่างให้มันจบๆไป และส่งหล่อนไปในที่ที่ควรไปก็เท่านั้นชีวิตฉันจะได้หมดเรื่องวุ่นวายเสียที”

“เหรอ”โชคนทีทำน้ำเสียงยืดยาวล้อเลียนคนปากแข็ง คบกันมานานทำไมเค้าจะไม่รู้นิสัยของเพื่อนคนนี้ เย็นชาเป็นที่หนึ่ง ไร้มนุษยสัมพันธ์ขั้นรุนแรงและไม่เคยกินอุดมการณ์ใดๆนอกจากทำทุกอย่างตามความพอใจ และจะไม่แตะต้องเลยไม่ว่าเหตุผลจะมากมายก่ายกองขนาดไหนกับสิ่งที่ไม่พอใจ 

“เออ” อารดาเน้นเสียงหนักกลับไปหาคนที่กำลังทำเป็นรู้ดี

“เออ!!อัย...มีอีกเรื่อง ตอนนี้ครอบครัวของคุณสองกำลังตัดสินใจว่าจะยื้อยุดเธอไว้หรือจะปล่อยเธอให้ไปสบาย” อารดาใจหายกับสิ่งที่ได้ยิน

“แกรู้เรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”

“สองวันที่แล้ว”

“อ้าว!!แล้วทำไมแกเพิ่งมาบอก”

“ฉันพยายามติดต่อหาแกนะอัย แต่ก็ติดต่อไม่ได้เลยโทรศัพท์แกมีปัญหาหรือเปล่าทั้งเบอร์บ้านทั้งเบอร์มือถือเลย”

“ไม่นี่ ฉันก็คุยงานกับพี่รินอยู่ตลอด” ตอนนี้ทั้งคู่ต่างเงียบเพราะรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล เรื่องมันต้องมีอะไรมากกว่าที่คิดกันไว้แน่ๆ

“แล้วทำไมวันนี้แกติดต่อมาได้”

“แกอย่าว่าฉันงมงายนะ ฉันอธิษฐานจิตขอกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก่อนจะโทรหาแกและก็โทรติดและแกก็รับ” ทั้งคู่ต่างเงียบกันไปอึดใจกับเรื่องราวที่พามึน

“โชค”

“ว่ามาอัย ฉันฟังแก”

“ฉันไม่เคยคิดเชื่อเรื่องสิ่งเร้นลับหรืออะไรที่พิสูจน์ไม่ได้เลยจนฉันได้มาเจอสอง และฉันว่าเรื่องนี้คงไม่ได้มีแค่เราแล้วหล่ะ อาจจะมีอีกหลายสิ่งที่มองไม่เห็นเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วยและสิ่งเหล่านั้นไม่ปรารถนาดีกับสองแน่ๆ”ตานี้ทั้งคู่ยิ่งพากันครุ่นคิดหนักว่าจะถอนตัวหรือเดินหน้าต่อไป

หลังจากวางหูจากโชคนที อารดาก็เดินกลับเข้ามาในห้องยืนมองผีสาวที่นอนหลับตานิ่งอยู่ เธอเคยสงสัยว่าเป็นผียังต้องนอนอีกเหรอ เมื่อถามผีสาวไปหล่อนก็ตอบกลับมาว่าไม่รู้ รู้แต่ว่าตนง่วงเหนื่อยและอยากนอนเป็นปกติ ยิ่งฟังก็ยิ่งงงพาให้สับสนในจิต เพราะอะไรๆมันดูกลับตาลปัดกับสิ่งที่เคยรู้เคยได้ยินมา 

หากแต่แท้จริงแล้วเพราะจิตของกฤติยายังยึดอยู่กับตัวตนของการเป็นมนุษย์อยู่อย่างสมบูรณ์ จึงไม่เกิดความแตกต่างใดๆในโลกหลังความตาย ในระหว่างรอการนำพาไปในอีกภพภูมิมีวิญญาณมากมายที่เสียชีวิตไปก่อนเวลาอันควร และดำเนินชีวิตอยู่เป็นปกติในบ้านหลังเดิมที่เดิมๆ จะต่างจากเดิมก็ตรงที่อยู่ในโลกของวิญญาณที่ทับซ้อนกันกับโลกมนุษย์ จึงมีคนไม่น้อยที่ได้พบเห็นวิญญาณในขณะที่คลื่นบังเอิญตรงกัน

อารดาขมวดคิ้วจนแทบจะผูกโบได้ หนักใจกับเรื่องของผีสาวหน้าสวย จะวางเฉยก็ขัดแย้งกับความรู้สึกเหลือเกินที่ลึกๆแล้วเธอเป็นห่วงหล่อนมากไม่รู้ทำไม แต่เท่าที่พอจะหาเหตุผลให้กับตัวเองได้ คือหล่อนคงจะน่าสงสารมากหากจะต้องวนเวียนอยู่ในโลกที่ไม่คุ้นชินเพราะสิ้นชีวิตก่อนเวลาอันควร และที่สำคัญมันเป็นโลกที่เธอไม่อาจจะเข้าไปถึง





 

Create Date : 30 ตุลาคม 2554    
Last Update : 30 พฤษภาคม 2556 14:59:35 น.
Counter : 618 Pageviews.  

รักนี้...ที่หัวใจเรียกหา Yuri 12

อารดาเผลอหลับอยู่บนโซฟาสมองและร่างกายยังรู้สึกอ่อนล้าเธอรู้สึกถึงความนุ่มนิ่มของโซฟาและกลิ่นหอมอ่อนๆที่คุ้นเคย

“คุณพี่เจ้าขา ดอกปีบริมหน้าต่างห้องของอนพออกดอกบานสะพรั่งเต็มต้นเลยเจ้าค่ะ”เด็กน้อยยื่นดอกปีบที่ตนเอื้อมไปเด็ดมาแตะไปที่ปลายจมูกของพี่ชายยืนยันในสรรพคุณขุนอัครเดชยิ้มน้อยๆด้วยเอ็นดูเจ้าน้องชายตัวเล็กนัก อนพเป็นลูกหลงที่เป็นความยินดีของทุกคนในบ้านแม้ต้องแลกด้วยชีวิตของแม่เค้าเพราะให้กำเนิดบุตรเมื่ออายุมากแต่เค้าก็เข้าใจในธรรมชาติไม่คิดกล่าวโทษสิ่งใด

หลังจากที่มารดาของเค้าเสียบิดาก็ตรอมใจด้วยจิตที่ผูกพันกันมากท่านจึงละทิ้งทางโลกเข้าสู่ทางธรรมเพื่อสร้างบุญส่งเสริมให้กับภรรยาผู้ล่วงลับถึงเค้าจะเคยนึกตำหนิที่บิดาอ่อนแอและมัวเมาในความรักจนเหมือนขาดสติแต่เพราะคุณย่าได้ให้สติและชี้ให้เห็นถึงหัวใจรักที่พ่อมีต่อแม่ว่ามันยิ่งใหญ่และบริสุทธิ์เพียงใดจึงทำให้เค้าเข้าใจในบิดาและยอมรับในการตัดสินใจของท่านด้วยจิตที่เป็นสุขอย่างแท้จริงสำหรับเค้าในตอนนี้มีสองสิ่งที่เกาะกุมหัวใจคือคุณย่าที่เคารพรักและน้องน้อยเจ้าตัวเล็กคนนี้

“หอมนัก” ขุนอัครเดชทำท่าสูดดมกลิ่นดอกไม้เข้าไปจนเต็มปอดเพื่อเอาใจน้องชาย

“หอมค่ะ หอมติดตัวอนพเลย” เด็กน้อยเกลือกกลิ้งไปที่ตัวพี่ชายอวดกลิ่นหอมจากกาย

“เจ้านี่นะ เป็นเด็กผู้ชายแท้ๆทำไมถึงได้สนใจเครื่องหอม ดอกไม้นัก” ขุนอัครเดชส่ายหน้าน้อยๆว่าระอาใจแต่ก็ไม่ได้จริงจังด้วยรู้ว่าอนพเป็นเด็กอ่อนโยนและจิตใจดี

“อนพรักคุณพี่ รักคุณย่า รักหลวงพ่ออนพชอบเครื่องหอมดอกไม้และแม่หญิงแก้วกัญญาคนงาม” เด็กน้อยทำแววตาล้อเลียนพี่ชาย

“แก่แดดแก่ลมใหญ่แล้วนะเรา” เด็กน้อยยิ้มจนตาหยีเพราะรู้ว่าพูดถูกใจพี่ชายแน่ๆขุนอัครเดชทำเพียงส่ายหน้าเบาๆไม่คิดตอบโต้สิ่งใด หากจะพูดตรงกับใจก็คงไม่เหมาะหากจะต้องกล่าวโกหกก็ไม่ใช่วิสัย

บ่าวไพร่ที่อยู่แถวนั้นต่างอมยิ้มให้กับความน่ารักของพี่น้องต่างวัยเพราะโดยปกติไม่บ่อยนักที่จะได้เห็นท่านขุนยิ้มเต็มหน้าแบบนี้

ภาพฝันในความรู้สึกของอารดาลางเลือนไปและมีภาพใหม่ซ้อนทับเข้ามา

ณตลาดยามเช้านอกกำแพงเมืองขุนอัครเดชและทหารติดตามนอกเครื่องแบบอีกสองคนเดินออกตรวจตราความเรียบร้อยโดยตำแหน่งแล้วสูงเกินที่จะต้องลงมาทำอะไรเช่นนี้แต่เพราะเขาต้องการรู้เห็นทุกข์สุข ของประชาชนด้วยสายตาตนเองเพื่อนำไปประกอบในการบริหารบ้านเมืองในหน้าที่ที่ตนดำรงอยู่

แต่การออกตรวจตราครานี้ต่างไปจากทุกครั้งเพราะบนบ่าของขุนอัครเดชมีเด็กน้อยร่างอ้วนท้วนหลับใหลหมดสภาพอยู่เพราะตื่นผิดเวลาเด็กน้อยขอตามออกมาเพราะเห็นเป็นเรื่องสนุกด้วยว่ารักน้องชายขุนอัครเดชจึงยอมตามใจ

“เจ้านี่หนา… ตอนจะมาก็เหมือนไก่จะบินและดูเจ้าตอนนี้ซิยังกับไก่ป่วยก็ไม่ปาน”ผู้เป็นพี่บ่นพึมพำกับตัวเองแต่ก็ไม่ได้จริงจังอะไรชาวบ้านที่เดินชมตลาดต่างหันมองหนุ่มรูปงามกับเด็กน้อยร่างอ้วนท้วนด้วยสายตาเอ็นดูจนขุนอัครเดชชักเริ่มกระดากคิดหาทางออกที่จะให้น้องได้นอนสบายและตัวเองก็ไม่ต้องเสียงาน

“ท่าน” เสียงเสนาะหูของคนเคยคุ้นดึงความสนใจจากชายหนุ่มเขาหันมองและเป็นดังคาดหล่อนคือแก้วกัญญาหญิงปากกล้าที่สร้างอารมณ์ดีได้ทุกครั้งที่คิดถึง

“ข้าเห็นใจเด็กน้อยนักอยากให้ได้นอนสบายตรงริมน้ำด้านนู้นมีต้นไม้ใหญ่ท่านพาน้องชายไปนอนตรงนั้นก่อนเถิด ข้าจะให้บ่าวปูผ้าให้” แม้นในใจลึกๆไม่ได้อยากจะเจรจาด้วยนักเพราะยังขัดใจเขาไม่หายแต่ด้วยเห็นใจเด็กน้อยที่เธอนึกถูกชะตาขุนอัครเดชตีหน้านิ่งเก็บซ่อนความรู้สึกปีติไว้มิดชิด

“ไม่เป็นไร เพราะข้าต้องเดินตรวจตราคงเสียเวลารอเจ้าน้องขี้เซาไม่ไหวเดี๋ยวอีกสักพักข้าก็จะปลุกเขาแล้ว ขอบใจเจ้ามากที่หวังดี” ชายหนุ่มก้มหน้าเป็นการขอบคุณหญิงน้ำใจงามก่อนจะเดินออกไปแต่ก็มีเหตุให้ต้องหยุดชะงักเพราะหญิงสาวเร่งฝีเท้ามายืนขวางเขาไว้

“คือ...ข้าจะดูแลน้องท่านให้เมื่อท่านเสร็จการแล้วค่อยมารับไป” ขุนอัครเดชเลิกคิ้วถึงจะซึ้งในน้ำใจแต่ก็นึกเกรงใจ

“ข้าไม่รบกวนเจ้าหรอกอีกอย่างกว่าข้าจะเดินตรวจตราเสร็จคงกินเวลาอีกค่อนวันจะเสียเวลาเจ้าเปล่าๆ”

“ไม่หรอกวันนี้ข้าไม่มีกิจใด อีกอย่างเด็กน้อยผู้นี้ผูกเป็นมิตรกับข้าแล้วมิตรช่วยมิตรย่อมไม่เห็นว่าเป็นการรบกวน” ขุนอัครเดชนึกขันในใจที่นางพยายามกันตนไม่ให้มีส่วนร่วมในไมตรีครั้งนี้

“ก็ได้ เมื่อเจ้าต้องการเช่นนั้นข้าก็ไม่ขอเกรงใจ โปรดนำทางไปเถิด” แก้วกัญญาคลี่ยิ้มสมหวังด้วยอยากใกล้ชิดกับเด็กน้อยอ้วนพลีหวังได้กอดฟัดให้สาใจด้วยความเอ็นดู โดยไม่รู้ตัวเลยว่ารอยยิ้มนี้ติดตรึงใจชายหนุ่มนัก

ต้นมะขามลำต้นกว้างใหญ่ขนาดเท่ากับสามคนโอบบอกได้ว่ายืนต้นมายาวนานแผ่กิ่งก้านสาขาให้ร่มเงามาหลายชั่วอายุคนใบแห้งและกลีบดอกปลิวร่วงโรยลงมาเป็นระยะๆเพราะแรงลม ผ้าผืนหนาถูกปูรอโดยบ่าวสาวคนสนิทแก้วกัญญานำลงไปนั่งพับเพียบเพื่อรอรับเด็กน้อยขุนอัครเดชวางน้องชายของตนลงด้วยความระมัดระวังเกรงว่าน้องจะตื่นและเกรงว่ามือหนาของตนจะไปเตะต้องล่วงเกินหญิงสาวเข้าเด็กน้อยนอนหนุนอยู่บนตักนุ่มนิ่มของหญิงสาวเขาพลิกกายให้อยู่ในท่าที่สบายและแน่นิ่งไปอย่างเป็นสุข

ขุนอัครเดชขันในท่าทางของน้องชายนักก่อนจะเหลือบตามองหญิงสาวอย่างสนใจเรือนผมที่ถูกเกล้าขึ้นสูงและปล่อยหางม้ายาวลงมาจนถึงกลางหลังเปิดใบหน้าผ่องใสให้เห็นแจ่มชัด ผิวนวลเนียนขาวอมชมพูที่เค้าพอมองออกว่าเป็นเนื้อแท้ไร้การแต่งแต้มวงหน้าเรียวยาวก้มลงมองน้องน้อยของเค้าอย่างสนใจมือเรียวลูบไปที่ศีรษะเบาๆด้วยความเอ็นดูหล่อนผู้นี้ไม่เหมือนหญิงใดที่เค้าเคยพบพาน แก้วกัญญาฉลาดกล้าเกินหญิงจิตใจอ่อนโยน กิริยางดงามและท่าทางของหล่อนที่แสดงออกว่าเอ็นดูเจ้าตัวเล็กช่างถูกใจเค้านักแก้วกัญญาเงยหน้าขึ้นมองแก้มแดงระเรื่อเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มเหม่อมองมาที่ตนทำให้ต้องรีบก้มหน้าหลบตาลงไป

“ท่านยังไม่ไปอีก เดี๋ยวก็ได้เสร็จกิจค่ำหรอก” ขุนอัครเดชเสสายตาไปทางอื่น ด้วยรู้ตัวว่าจ้องมองหล่อนจนเกินงาม

“ข้าขอบใจเจ้าอีกครั้งข้าต้องขอตัวก่อนและจะรีบกลับมา” หญิงสาวทำเพียงก้มหน้าน้อยๆเสียงฝีเท้าที่เดินไกลออกไปทำให้หล่อนกล้าเงยหน้าขึ้นมองนึกฉงนในใจว่าทำไมหัวใจของตนต้องเต้นแรงเพราะสายตาของเขาด้วยนะ

“คนบ้า” เหมือนจะเอ่ยวาจาออกไปแบบไร้เหตุผลเพราะ ณ ที่แห่งนั้นก็ไม่เห็นว่าจะมีผู้ใดเป็นดั่งที่นางเอ่ยมะเฟืองบ่าวคนสนิทอมยิ้มเมื่อมองท่าทีที่ไม่ปกติของนายหญิงคุณหนูของเธอมิเคยแลหรือไยดีกับชายใดแม้แต่กับคู่หมั้นหมายเธอก็มิเคยแล

อารดาค่อยๆปรือตาขึ้นเมื่อรู้สึกถึงโซฟาช่วงเอวมันยวบลงหล่อนเห็นผีสาวนั่งอยู่ข้างๆจ้องมองมาที่ตน

“มีอะไร?”

“ฉันเห็นคุณหลับไปนานเลยเป็นห่วง คุณเป็นอะไรไปหรือเปล่า”

“เธอห่วงฉันเหรอ?” อารดานอนมองผีสาวรอฟังคำตอบอย่างสนใจ

“ก็ใช่ซิ ถ้าคุณเกิดมาเป็นผีเหมือนกับฉัน ฉันก็แย่ซิเพราะไม่มีใครทำบุญให้” อารดายิ้มน้อยๆมองออกว่าหล่อนไม่ได้คิดจริงจังอย่างที่พูด

“ก็ถ้าเธอไม่ดื้อไม่ซน ฉันก็จะทำบุญให้สม่ำเสมอไง” คนป่วยอารมณ์ดีหยอกเย้ากลับ

“บ้าจริงคุณนี่ ฉันไม่ใช่เด็กๆนะจะได้ดื้อจะได้ซน” กฤติยานึกขัดใจสะบัดหน้าหนีไปอีกทางอารดาอมยิ้มกับท่าทางแสนงอนของผีสาวแต่ก็เพียงนิดเท่านั้นไม่ทันให้หล่อนได้เห็น

“สอง” กฤติยาหันกลับมามองคนที่เรียกชื่อเธอด้วยสายตาเป็นคำถาม

“อย่าไปไหนไกลฉันนะ” ผีสาวเลิกคิ้วแปลกใจระคนตื้นตันใจที่ในโลกว่างเปล่าดายของเธอในตอนนี้มีคน คนนี้คอยเป็นห่วงและใส่ใจ

“คุณเป็นห่วงฉันเหรอ?”

“รับปากกับฉันซิว่าเธอจะไม่ไปไหนไกลฉันอีก” อารดาไม่ตอบคำถามกลับทบทวนคำพูดเดิมและขอสัญญา ในโลกที่เธอเข้าไปไม่ถึง เธอไม่ต้องการให้แม่ผีสาวอ่อนประสบการณ์ออกไปเผชิญในส่วนลึกเธอเป็นห่วงหล่อนจากใจจริง ด้วยเหตุผล ด้วยผูกพันด้วยอะไรหลายๆอย่างที่เธอเองก็มิอาจเข้าใจ

รมิดาหญิงวัยกลางคนโยนหนังสือพิมพ์ออกไปไกลตัวในความรู้สึกที่หลากหลายผิดหวัง เสียดาย หรืออะไรอีกเยอะแยะมากมาย ถึงไม่อยากจะปักใจเชื่อแต่รูปก็ฟ้องชัดหนุ่มสาวร่างกายเปลือยเปล่านอนซบอิงกันอยู่ในโรงแรมหรูและหนุ่มคนนั้นก็คือคิมหันต์คนที่ตนหมายมั่นให้ได้มาเคียงคู่กับบุตรสาวคนสวย เพราะคิมหันต์พร้อมไปด้วยฐานะชาติตระกูล นิสัยใจคอ ทั้งยังรูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าก็หล่อเหลาไร้ที่ติแต่แล้วทำไม? ทำไม?

“คุณผู้หญิงคะ คุณหญิงพรประภาต้องการเรียนสายค่ะ” กระจิบเด็กรับใช้เดินเข้ามารายงานคุณหญิงพรประภาคือมารดาของคิมหันต์นั่นเอง

“บอกไปว่าฉันตรอมใจตายไปแล้ว” รมิดาตะโกนออกไปไม่เกรงว่าปลายสายจะได้ยินเด็กรับใช้ทำหน้าลำบากใจและเดินไปบอกปลายสายอย่างที่ได้รับคำมาและรีบวางสายทันทีฝ่ายปลายสายร้อนวูบวาบไปทั้งหน้ากรี๊ดออกมาเสียงดังไม่เก็บกิริยาลืมไปไปเลยว่าตนมีศักดิ์เป็นคุณหญิงประราชทานคุณหญิงพรประภาทั้งโกรธทั้งอายที่โดนหยามศักดิ์ศรีแบบไม่เห็นหัวจากคนที่เคยรักใคร่สนิทสนมแต่ก็โทษเขาฝ่ายเดียวก็ไม่ได้ ไอ้คนของเราก็ทำงามหน้านัก

“ตาคิมกลับมารึยัง” คุณหญิงกระชากเสียงจนบรรดาคนรับใช้ผวาไม่มีใครกล้าสู้หน้าด้วยเกรงลมพัดลมเพ

“ยังไม่กลับตั้งแต่เมื่อคืนค่ะ”

“ตาคิมนะตาคิมกลับมาแม่จะตีให้หัวแตกเลย ฮึ่ม!!” คุณหญิงมาดร้ายบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนถึงจะนึกแปลกใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันไม่ใช่วิสัยของบุตรชายเลยคิมหันต์สำอางค์และถือตัวมากจนเธอยังเคยแอบคิดว่าลูกชายวิปริตผิดเพศเป็นเกย์หรือเปล่าแต่ก็ไม่ใช่เพราะลูกชายของเธอปักใจรักอยู่กับหนูเตลูกสาวของคุณรมิดาด้วยเธอเห็นว่าตระกูลทางแม่เป็นผู้ดีเก่าและตัวของหนูเตเองก็เรียบร้อยน่ารักการศึกษาก็ดีมีหน้ามีตาในสังคมทำให้ความแตกต่างเรื่องฐานะตกไปแต่อยู่ๆก็มีภาพลูกชายของเธอนอนเปลือยอยู่กับผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้คุณหญิงยกมือกุมขมับปวดสมองกับเรื่องที่กำลังเกิด ดีหน่อยที่สามีไปราชการที่เมืองนอกกำหนดกลับอีกอาทิตย์ไม่อยากจะคิดเลยว่าต้องหมดเงินไปอีกเท่าไหร่เพื่อจะปิดปากสื่อ

คิมหันต์ทรุดตัวลงบนเตียงในคอนโดหรูของตนทบทวนสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นอยู่ๆเขาก็ตื่นขึ้นมาในโรงแรมแห่งหนึ่งในสภาพเปลือยเปล่าเมื่อสำรวจดูข้าวของก็ไม่มีสิ่งใดหายไปมีเพียงมือถือไอโฟนที่ถูกปิดและเมื่อเปิดมันขึ้นมาก็พบข้อความในไลน์จากเพื่อนๆคนสนิทหลายคนเป็นคำถามเหมือนๆกันว่าเกิดอะไรขึ้นพร้อมกับแนบรูปมาด้วยหัวใจเค้าเกือบหยุดเต้นเมื่อได้เห็นรูปพวกนั้น มันเป็นรูปชายหญิงกำลังพลอดรักกันสภาพเนื้อตัวเปล่าเปลือยใบหน้าผู้หญิงเห็นไม่ชัดเท่าไหร่แต่ผู้ชายนี่ซิเต็มๆ!!คือเค้าเอง

ชายหนุ่มทอดถอนใจก่อนจะทิ้งตัวลงนอนยิ่งคิดก็พาให้ยิ่งสับสนจนปวดหัวผู้หญิงคนนั้นเป็นใครแม้หน้าก็ไม่เคยเห็นและเค้าเองไปอยู่ที่นั่นได้ยังไง?รูปน่าอายพวกนั้นแพร่กระจายออกไปแล้วหลังจากนี้เค้าควรทำยังไง?แล้วผู้หญิงที่เค้ารักล่ะจะคิดยังไงกับภาพพวกนั้นชายหนุ่มดีดตัวขึ้นมาและกดโทรออกหาเตมิกาหวังอธิบายเพื่อปรับความเข้าใจแต่… ปลายสายไม่ว่างตลอดโดยรู้ได้ทันทีว่าเป็นการตั้งระบบไม่รับสายชายหนุ่มทิ้งตัวนอนลงไปอีกครั้งสมองมึนตื่อหมดทาง

เตมิกาเดินถือดอกลิลลี่ช่อใหญ่เข้ามาในร้านและส่งให้พนักงานนำไปจัดแจกันด้วยอารมณ์ที่เบิกบานก่อนจะเดินหายเข้าไปที่หลังร้าน

เตมิกานั่งลงที่โต๊ะทำงานหยิบหนังสือพิมพ์ฉบับวันนี้ขึ้นมาดูสนใจดูในสิ่งที่รู้อยู่แล้วหญิงสาวกระตุกยิ้มที่มุมปากสะใจกับสิ่งที่เห็น เธอพูดแล้วเตือนแล้วไม่ยอมฟังก็ต้องเจอแบบนี้แหละคิมหันต์จะมาว่าเธอใจร้ายไม่ได้นะเพราะเธอก็อดทนมานานหลายปีแล้วเหมือนกัน เตมิกาเอื้อมมือล้วงเอาโทรศัพท์ในกระเป๋าออกมาเมื่อได้ยินเสียงเตือนว่ามีสายเข้าเมื่อเห็นว่าเป็นใครก็กดรับสายทันที

‘ขอบคุณมากนะคะ ฉันเห็นเงินที่โอนเข้ามาแล้ว’

“ไม่เป็นไร ฉันพอใจมาก ไปกบดานดีๆเพราะเธอโดนตามตัวแน่ และหลังจากนี้เธอห้ามติดต่อมาหาฉันอีกไม่อย่างนั้นเธอได้มีศัตรูรอบด้านแน่”

‘เข้าใจค่ะ’ สายถูกตัดไปสาวสวยปลายสายเข้าใจในความหมายดีว่าผลของคนพลาดคืออะไร

เตมิกามองไกลวันนี้เธอเอาก้างในชีวิตออกไปได้แล้ว เธอเป็นอิสระแล้ว หญิงสาวมีแววตามุ่งมั่นอยากเอาชนะซ่อนอยู่ในแววหวานมิดชิด

พระพรตอยู่ในสมาธิจิตวิ่งไปเห็นภาพของเตมิกาโดยไม่ตั้งใจเมื่อรู้ถึงจิตภายในใจของหญิงสาวก็วาบลึกอยู่ในใจเรื่องราวซับซ้อนลึกซึ้งกว่าที่คิดไว้มาก ตัวรู้ของท่านค่อยๆผุดเรื่องราวต่างๆขึ้นมาแต่ก็ไม่ชัดเจนต้องนำมาตีความและประติดประต่อเรื่องราวเอาเองซึ่งต้องใช้จิตพิจารณาอย่างถี่ถ้วนเพราะภาพบางภาพก็พาให้หลงทางไปหลายต่อหลายครั้งคลื่นแห่งความต้องการที่สวนทางนำพาไปให้เสียเวลากรรมสัมพันธ์ซับซ้อนลึกซึ้งจนหลายครั้งทำให้เหนื่อยใจท้อแท้อยากยอมแพ้เลิกติดตามแล้วปล่อยเรื่องราวทุกอย่างให้เป็นไปตามวิถีแต่ก็ทำไม่ได้เพราะการแก้ไขคือทางออกที่ดีที่สุดไม่อย่างนั้นกรรมจะเกี่ยวพันกันไปไม่จบไม่สิ้น

กรกนกยืนมองเพื่อนรักที่นอนไม่ได้สติอยู่บนเตียง กับเพื่อนคนนี้ก่อเกิดความรู้สึกที่หลากหลายอยู่ในใจรักและผูกพัน อิจฉาและพ่ายแพ้หลายครั้งที่เธอเองรู้สึกแย่กับความคิดร้ายๆที่มีต่อเพื่อนคนนี้สองเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดในชีวิต เธอรู้เพื่อนคนนี้รักและจริงใจจากหัวใจแต่เธอไม่ชอบใจเลยที่เพื่อนคนนี้ทำอะไรได้ดีไปเสียทุกอย่างจนเธอเคยสงสัยว่ามีอะไรบ้างไหมที่เพื่อนคนนี้ทำได้ไม่ดีไม่ว่าเธอจะพยายามเพียงใด ก็ไม่เคยเอาชนะได้ หรือแม้จะทำได้ดีเทียบเท่าก็ไม่เคยแต่อย่างน้อยตอนนี้เธอก็เหนือกว่าเพื่อนคนนี้แล้วเรื่องหนึ่งหญิงสาวนึกเยาะอยู่ในใจเพราะเธอได้ครอบครองชายอันเป็นหัวใจของหล่อนแล้วทินกรชายหนุ่มที่เธอเฝ้ามองด้วยความเสน่หาตลอดมาและตอนนี้เธอก็ได้เขามาสมใจ กรกนกปรายตามองหนึ่งฤทัยผู้หญิงคนนี้ก็เป็นอีกคนที่ทำให้เธอรู้สึกด้อยค่าเสมอเมื่ออยู่ใกล้สำหรับทินกรหากลำดับความสำคัญในใจเขาแล้ว ที่หนึ่งคือสองที่สองก็คือพี่หนึ่งสำหรับเธอเหรอมีตัวตนเป็นแค่กาฝากเกาะพี่น้องสองคนนี้เท่านั้น

“พี่หนึ่งทำใจให้สบายนะคะ นกเชื่อว่าสองจะดีขึ้นค่ะ” หญิงสาวตีหน้าเศร้าเข้าไปปลอบโยนพี่สาวเพื่อนกัญญาน้ำตาเอ่อมองน้องสาวที่หลับใหลอยู่บนเตียงด้วยความสงสาร

“นก หมอบอกว่าโอกาสที่สองจะฟื้นกลับมาเป็นปกติน้อยยิ่งกว่าน้อย หมอบอกให้ครอบครัวเราตัดสินใจยอมแพ้” เรื่องราวที่ได้ยินสร้างความตื่นเต้นยินดีให้คนฟังเกินบรรยาย

“แล้ว...คุณลุง คุณป้าว่ายังไงบ้างคะ” กรกรนกทำเสียงตื่นตกใจ แต่ในใจกลับลิงโลดลุ้นในคำตอบ

“เรายังไม่ได้คุยกันเรื่องนี้” กัญญาหันมองไปทางอื่นบอกเป็นนัยว่าไม่ต้องการพูดถึงเรื่องนี้อีก เธอเหน็ดเหนื่อยและเจ็บปวดทุกครั้งที่ต้องคิดถึงมัน

กรกนกหันมองคนป่วยนิ่งนาน

‘ฉันรักแกนะสอง รักมากพอๆกับที่ฉันเกลียดแกขอให้แกไปดีไวๆนะ’

อารดายังอยู่ในสภาวะที่ร่างกายและจิตใจยังไม่แข็งแรงมากนักและโดยไม่รู้ตัวเองเลยว่าตนสามารถที่จะพาจิตเข้าสู่ภวังค์ได้โดยง่ายจากบุญเก่าที่ปฏิบัติธรรมสะสมมาแต่ปางก่อนซึ่งเป็นสภาวะที่ร่างกายและจิตใจผ่อนคลายในระดับเธต้าสมองมีคลื่นความถี่ละเอียดมากอยู่ในช่วงเข้าสมาธิแบบลึกสามารถพาจิตไปเชื่อมโยงหรือติดต่อกับสิ่งที่มีความละเอียดหรือความถี่ที่ใกล้เคียงกันได้และหนึ่งในความถี่นั้นคือโลกของวิญญาณ

เสียงกดคีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์ดังออกมาไม่ขาดสายผีสาวนั่งมองไปที่ต้นเสียงด้วยอารมณ์ที่ขุ่นมัว ก็ดูหล่อนซิเอาแต่นั่งคร่ำเคร่งอยู่กับตัวหนังสือมากมายบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ทั้งที่ตัวเองยังป่วยอยู่แท้ๆจะบ้างานไปถึงไหนนะพิลึกคนจริง

“คุณ!! จะสี่ชั่วโมงแล้วนะที่คุณนั่งทำงานอยู่หน้าคอมเนี่ยไม่คิดจะพักสายตาบ้างเลยเหรอไงเดี๋ยวก็ได้เป็นยายแก่ใส่แว่นหนาเตอะก่อนวัยอันควรหรอกและอีกอย่างคุณก็ป่วยอยู่นะ ลืมตัวหรือไง” ผีสาวโพล่งพูดออกไปอย่างอดไม่ได้เพราะนั่งทนดูมาหลายชั่วโมงแล้วโดยลืมนึกไปว่าคนตรงหน้าเป็นสาวโลกส่วนตัวสูงสุดกู่และไม่ชอบให้ใครมารบกวนเวลาทำงานอารดาสะดุดในอารมณ์หยุดมือหันมองแม่ผีสาวปากกล้าที่นั่งจีบปากจีบคอต่อว่าเธออยู่บนเตียง

“ถ้าเธอไม่ยอมสงบปากสงบคำฉันจะจับเธอไปถ่วงน้ำ” เมื่อขู่ผีสาวเสร็จอารดาก็หันกลับมามีสมาธิกับการทำงาน

อารดาเลิกคิ้วสูงเพราะได้ยินเสียงสะอึกสะอื้นที่มาจากด้านหลังทำให้ต้องหันมองและเธอเห็นแม่ผีสาวซบหน้าอยู่กับหัวเข่าเนื้อตัวสั่นเทิ้มมีเสียงสะอื้นดังออกมาเป็นระยะๆอารดามองภาพนั้นด้วยความไม่เข้าใจ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะต้องเดินไปดู

“เป็นอะไรไปอยู่ดีๆก็ร้องไห้เป็นเด็กๆ” สาวร่างสูงทรุดนั่งลงข้างๆผีขี้แยที่อยู่ๆก็ร้องไห้ขึ้นมา และนี่เธอควรจะทำยังไงกับหล่อนดีก็เธอปลอบใจใครเป็นที่ไหนกันเล่า ส่วนใหญ่จะใช้วิธีด่าเรียกสติซะมากว่า

ผีสาวไม่ได้ตอบกลับอะไรยังซบหน้าสะอึกสะอื้นต่อไปด้วยควบคุมตัวเองไม่ได้นึกสงสัยว่าทำไมจิตใจตัวเองถึงอ่อนแอนักนะ บ้าจริง!โดยไม่รู้ตัวเลยว่าไอ้อาการแบบนี้มันคืออาการ ‘น้อยใจ’

“สอง!ถ้าเธอไม่บอกฉันว่าเป็นอะไรฉันจะจับเธอไปถ่วงน้ำเดี๋ยวนี้แหละ” อารดาทำเป็นเสียงเข้มหยอกผีสาวหวังเรียกอารมณ์ดีจากหล่อนแต่ก็เหมือนจะผิดคิว เพราะผีสาวหน้าสวยเงยหน้าขึ้นมองทำตาขวาง คราบน้ำตาเกรอะกรังไปทั่วหน้าทำอารดานึกขันกับสภาพสาวสวยแต่หน้าตามอมแมม

“ใจร้ายที่สุดเลย” ผีสาวตัดพ้อทำคนถูกว่าออกอาการเหวอ

“ฉันใจร้ายอะไร?” อารดาส่งสายตาเป็นคำถามแคลงใจเป็นที่สุด

“เพราะคุณเห็นว่าฉันไม่มีใครและหมดทางไปใช่ไหมล่ะ คุณถึงชอบพูดทำร้ายจิตใจและก็คิดจะรังแกกันอยู่ตลอดเวลา” อารดาได้เพิ่มรอบเหวอ ก็เธอเนี่ยนะใจร้ายและคิดรังแกหล่อนนี่หล่อนคงเพี้ยนไปแล้วจริงๆ

“ยัยผีเพี้ยน” ร่างสูงโพล่งใส่ผีสาวไม่คิดเกรงใจหวังเรียกสติหล่อนให้กลับคืนมา

“เลอะเทอะ” สาวร่างสูงส่ายหน้าเบาๆเบื่อหน่ายความคิดไร้สาระก่อนจะลุกขึ้นเดินออกไปจากห้องเพื่อไปหาน้ำดื่มตานี้เป็นผีสาวบ้างที่เหวอมองตามประตูห้องที่ปิดลงอะไรกันไม่รู้สึกผิดอะไรบ้างเลยหรือ ไม่มีหัวใจเลยหรือไง

กฤติยาของขึ้นลุกเดินทะลุประตูตามออกไป

“คนใจร้าย! คนใจดำ! บ้าที่สุด!ใจร้ายที่สุด กฤติยาเดินตามไปจนทันพร่ำพูดตัดพ้อคนตัวสูงไปตลอดทาง

“โอ๊ะ!!” ผีสาวกระแทกหลังคนตัวสูงอย่างจังเพราะหล่อนหยุดแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ก่อนจะหันกลับมาหาทำเอาผีสาวใจหายวาบเพราะตอนนี้ใบหน้าของหล่อนใกล้ชิดกับเธอมากแปลก! ที่เธอสัมผัสได้ถึงลมหายใจของหล่อน

“เธอจะหุบปากเองดีๆหรือจะให้ฉันช่วยหุบให้!!” ร่างสูงชักหัวเสียเพราะแบบนี้แหละเธอถึงไม่อยากยุ่งหรืออยากไปวุ่นวายกับใครเพราะมันจะวุ่นวายแบบนี้ เมื่อเห็นผีสาวนิ่งไปอารดาจึงหันเดินออกไปยังเป้าหมายเดิมเพราะคิดว่าเรื่องคงจบแล้วแต่ไม่เลย…

“คนใจร้าย ใจร้าย ใจร้าย” กฤติยาดื้อแพ่งประท้วงอีกฝ่ายไม่เลิกทีกับแม่เพื่อนคนสวยไม่เห็นหล่อนจะใจร้ายเย็นชาแบบนี้เลยผีสาวคิดพาลไปเรื่อยยิ่งนึกถึงภาพที่สาวหน้าหวานจูบหล่อนก็ยิ่งจี๊ดในใจไม่รู้เพราะอะไร

“จะไม่หยุดใช่ไหม?” อารดาทำเสียงเข้มหวังให้หล่อนเกรงกลัวบ้างและเธอก็ชักจะหงุดหงิดกับความเอาแต่ใจไร้สาระของหล่อนแล้วด้วย

“ไม่หยุด คนใจ ร่ะ...อุ๊บ!!” กฤติยาในตาเบิกโพรงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นเกินคิดฝันเมื่อเธอถูกคนตัวสูงกระชากเข้าไปหาตัวพร้อมกับแนบประกบปิดริมฝีปากของเธอบดเบียดเอาแต่ใจไม่นุ่มนวลอ่อนหวานเลยสักนิด

“อื้อ...” พาลให้น้อยใจยิ่งดิ้นรนประท้วง แต่อีกฝ่ายกลับยิ่งกระชับกอดให้ร่างกายได้สัมผัสกันแนบแน่นขึ้นอีก 




 

Create Date : 26 ตุลาคม 2554    
Last Update : 30 พฤษภาคม 2556 14:58:09 น.
Counter : 520 Pageviews.  

รักนี้...ที่หัวใจเรียกหา Yuri 11

โชคนทีวางหนังสือในมือลงเมื่อเห็นว่าเพื่อนรักขยับกายรู้สึกตัว

“เป็นยังไงบ้างอัย” อารดามองนิ่งม่านตากำลังถูกปรับให้ชินแสง ภาพเพื่อนรักก็ค่อยๆชัดขึ้น คอที่แห้งผากทำให้เสียงที่เปล่งออกมาเบายิ่งกว่าเบา ชายหนุ่มพอดูออกจึงรีบไปรินน้ำมาให้ จับหลอดไปจ่อให้ที่ปากของคนป่วยด้วยความอ่อนโยน

“ขอบใจนะ” อารดากวาดสายตามองไปรอบๆห้องแต่เธอก็ไม่เห็นมีใครอีกแล้ว ‘ยัยผีจอมจุ้นไปไหน’

“เตกลับบ้านไปแล้วแม่โทรตามพรุ่งนี้จะมาแต่เช้า ส่วนคุณลุงคุณป้าเพิ่งกลับไปตอนหมดเวลาเยี่ยม”

“อืม” โชคนทีเลิกคิ้วแปลกใจ เมื่อยังเห็นเพื่อนทำท่าเหมือนมองหาอะไรอยู่อีก

“มองหาอะไรวะอัย” อารดาหันมาทางชายหนุ่ม ชั่งใจว่าควรพูดดีไหม

“โชค...” อารดารวบรวมสติเพื่อเรียบเรียงคำพูด 

“แกจำเรื่องผีที่คอนโดฉันได้ไหม ที่ฉันเคยเล่าว่าเขาตายแล้วแต่ไม่รู้จะไปไหน”

“อื่อ...จำได้”

“หล่อนตามฉันไปทุกที่อยู่กับฉันตลอด โดยที่ไม่มีใครเห็นนอกจากฉัน”อารดาส่งสายตาเป็นคำถามนำไป

“แก…เชื่อที่ฉันพูดไหมวะ”

“เชื่อ” เป็นคำสั้นที่หนักแน่นโชคนทีโพล่งออกมาโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการพิจารณาทางความคิดเลย

“เพราะฉันก็เจอเรื่องไม่น่าเชื่อด้วยตัวเองมาหลายเรื่องเหมือนกัน” สองเพื่อนรักมองเข้าไปในตาของกันและกันดั่งว่าเป็นผู้ร่วมชะตาเดียวกัน

“ฉันมีบางอย่างอยากให้แกช่วย บางเรื่องที่ฉันคาใจ”

“แกว่ามาอัย ถ้าช่วยได้ ฉันยินดี”

“ผีที่ฉันพูดถึงเป็นผู้หญิง เธอชื่อกฤติยา อาจดำรงค์ มีชื่อเล่นว่าสอง เดิมเป็นเจ้าของห้องชุดที่ฉันซื้อ” โชคนทีรอฟังอย่างใจเย็นเพราะรู้ว่าเพื่อนไม่อยู่ในสภาพที่พร้อมจะเล่าเท่าไหร่นัก แต่ด้วยเรื่องแปลกๆหลายอย่างที่เกิดขึ้นทำให้เค้าร้อนใจอยากรู้ว่าจะมีสิ่งใดเกี่ยวข้องกันหรือเปล่า

“เธอบอกกับฉันว่าตอนนี้ร่างของเธอนอนนิ่งเป็นเจ้าหญิงนิทราอยู่ที่โรงพยาบาลซึ่งมันก็หมายความว่าเธอยังไม่ตาย แกว่ามันพอจะเป็นไปได้ไหมที่เรื่องราวทั้งหมดมันคือความผิดพลาดบางอย่างที่รอการแก้ไข คือเธอยังมีโอกาสฟื้น” โชคนทีคิดตามสิ่งที่เพื่อนพูด แต่คิดด้วยเหตุและผลอย่างไรมันก็ไม่น่าที่จะเป็นไปได้เรื่องมันเหลือเชื่อเกินไปและในตำราที่เค้าร่ำเรียนมาก็ไม่มีบอกเสียด้วย แต่!! มีบางอย่างแวบเข้ามาในหัว

“มีคนหนึ่งที่อาจจะให้คำตอบได้”

“ใคร?”

“คุณวิวัฒน์ ผู้เป็นติดตามคนสนิทของพระสังฆราช ฉันได้พูดคุยกับท่านบ่อยๆในช่วงที่ท่านมาเป็นวิทยากรบรรยายเรื่องตายแล้วไปไหน” โชคนทีตื่นเต้นที่ตนพบทางให้เดินต่อ

“ใช่!! ท่านบรรยายหัวข้อตายแล้วไปไหน ฉะนั้นท่านก็อาจจะรู้ว่าการตายแล้วไม่ไปไหนมันเพราะอะไร” แววตาของคนป่วยมีชีวิตชีวาขึ้นโดยไม่รู้ตัวเลยว่าทำไมตัวเองถึงสนใจติดตามเรื่องของแม่ผีสาวจอมจุ้น หากแต่ความละเอียดในจิตใจที่ต้องอาศัยการตีความที่อารดายังไม่เข้าใจหรือแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ คือความรู้สึกลึกๆที่มีต่อผีสาว หล่อนพาให้สุขใจได้เสมอเมื่ออยู่ใกล้ พาให้คิดถึงเสมอเมื่อห่างหาย ทุกเรื่องทุกข์ใจของหล่อนก็มักจะทำให้เธอกระวนกระวายใจตามไปด้วยทุกครั้ง วันนี้หากมีทางช่วยเหลือให้ปัญหาของหล่อนคลี่คลายเธอก็ยินดี

“ตอนนี้ผู้หญิงคนนั้นอยู่ที่นี่ไหมฉันอยากได้รายละเอียดเพิ่มหน่อย” คนป่วยกวาดสายตามองหานึกหงุดหงิดที่กำชับแล้วว่าอย่าไปไหนไกลเธอ อารดาร้องเรียกผีสาวอยู่ในใจ 

‘สองเธออยู่ไหน สอง’ เสียงเรียกก้องกังวานไปไกล

ก่อนหน้านั้นดวงจิตของกฤติยาถูกดึงดูดให้มา ณ ที่แห่งหนึ่ง บรรยากาศโดยรอบเคว้งคว้างเต็มไปด้วยหมอกควันและไอเย็น 

“อนพ อนพ เธออยู่ไหน” หญิงสาวหมุนมองไปโดยรอบร้องหาคู่หูหวังพึ่งพา ความวังเวงก่อเกิดความหวาดกลัวและหวาดระแวงขึ้นในจิต

“เจ้าจะร้องเรียกหาผู้ใดแก้วกัญญา ไม่มีใครได้ยินเจ้าหรอก ณ ที่แห่งนี้อยู่เหนือกาลและเวลา” กฤติยามองหาต้นเสียงแต่ก็มองไม่เห็นผู้ใดหากแต่ก็สะดุดใจกับคำว่า ‘แก้วกัญญา’

“อย่าคิดอะไรออกไกลตัวเลยแก้วกัญญา หญิงที่มากไปด้วยปัญญาเช่นเจ้าไม่จนกับปัญหาใดได้นานหรอก หากแต่จิตที่เอนเอียงของเจ้าต่างหากที่พาจน”

“ใคร? เสียงใคร?”

“ข้าเป็นความผิดที่ติดอยู่ในใจเจ้าอย่างไรเล่าแก้วกัญญา ข้าอยู่ในใจเจ้าอยู่ในนั้นมาเสมอไม่ว่าเจ้าจะคิดหนีไปให้ไกลแสนไกลเพียงใด ข้าก็จะอยู่ในนั้น” กฤติยาพยายามคิดตามเสียงนั้นแต่ก็ไม่ได้คำตอบใด

“เจ้าดูนั่นแก้วกัญญา” แสงสีขาวโพลนเบื้องหน้าก่อเกิดภาพเคลื่อนไหว ชายฉกรรจ์นับสิบนุ่งจูงกระเบนเปลือยท่อนบน มือถูกมัดแขวนด้วยโซ่ตรวน เท้าแตะพื้นอยู่เพียงนิด เนื้อตัวพุพองด้วยถูกเหล็กเผาไฟนาบไปตามร่างกาย มีควันพวยพุ่งออกมาทุกครั้งที่เหล็กร้อนสัมผัสโดนลำตัว  ผิวหนังไหม้สุกส่งกลิ่นคาวเลือดคาวเนื้อคละคลุ้งกระจายไปทั่วน่าสะอิดสะเอียน เสียงกรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดดังไปทั่วบริเวณเป็นภาพที่น่าหดหู่ใจยิ่งนัก กฤติยายกมือขึ้นปิดตาเกินจะทนดูต่อไป 

“เอาออกไปฉันไม่อยากเห็น เอาออกไป” หญิงสาวร้องตะโกนออกไปสุดเสียงอย่างคนสติแตก ทรุดตัวลงนั่งหมดเรี่ยวแรง เกิดความรู้สึกสับสนขึ้นในใจ ความรู้สึกผิดกำลังกัดกินหัวใจเธอ

“มันคือผลจากการกระทำของเจ้าทั้งสิ้น“อีหญิงแพศยา”” วลีปิด

ประโยคถูกเน้นย้ำบ่งบอกอารมณ์โกรธเกรี้ยว กฤติยาสะดุ้งสุดตัวเปิดตามองไปเบื้องหน้า นัยน์ตาสั่นระริกด้วยความรู้สึกหวาดหวั่น สัมผัสได้ว่าเสียงนั้นค่อยๆใกล้เข้ามามากขึ้นทุกที และภาพเบื้องหน้าค่อยๆชัดขึ้นมันเป็นเงาดำร่างยักษ์ค่อยๆใกล้เข้ามาที่เธอ หญิงสาวพยายามจะขยับกายหนีแต่ก็เหมือนถูกตรึงไว้ด้วยบางสิ่งที่มองไม่เห็นทำให้ไม่สามารถขยับเขยื้อนร่างกายได้ ในตาเบิกค้างด้วยความตื่นกลัวสุดขีด

‘สอง สองเธออยู่ไหน’ เสียงของอารดาดึงจิตของผีสาวออกไปจากพันธนาการเกินที่ร่างดำทะมึนจะทัดทานด้วยแพ้แรงแห่งกำลังบุญ

เหมือนล่องลอยไปยาวนานในห้วงที่เธอไม่สามารถรับรู้ได้ถึงกาลเวลา เมื่อลืมตาขึ้นมาก็พบว่าตัวเองยืนอยู่ ณ ที่แห่งใดแห่งหนึ่ง เตียงนอนเป็นตัวบอกได้เป็นอย่างดีว่าที่นี่คือห้องนอนของใครสักคน ความแปลกตาทำให้อดไม่ได้ที่อยากจะเดินสำรวจ กฤติยาเดินมาที่เตียงนอนลูบไล้มือไปบนที่นอนเหมือนอยากจะซึมซับความนุ่มนิ่มของฟูกไหมและกลิ่นหอมจากผืนผ้าที่สกัดมาจากเกสรดอกไม้ หญิงสาวนึกแปลกใจกับความรู้สึกนึกคิดของตนเธอกำลังคิดในเรื่องที่ไม่เคยรู้ และที่แปลกกว่านั้นคือเธอรู้สึกคุ้นเคยกับข้าวของเครื่องใช้ในสถานที่แห่งนี้ทั้งที่มั่นใจได้ว่าเธอไม่เคยมาที่นี่แน่นอน 

เสียงก๊อกแก๊กที่หน้าประตูบ่งบอกว่าประตูกำลังจะถูกเปิดออก ไม่ทันแล้วที่จะหลบหนีไปไหนเพราะประตูถูกดันให้เปิดออกแล้ว เธอเห็นหญิงสาวคนหนึ่งเดินเร็วๆเข้ามาโดยไม่สนใจเธอเลยสักนิดหล่อนมีใบหน้าที่สะสวย ผิวพรรณดีแต่ในตากลับแดงกล่ำ หล่อนตรงมานั่งบนเตียงและซบหน้าลงบนหมอนร่ำไห้ดั่งปานจะขาดใจ กฤติยายกมือขึ้นกดที่หน้าอกเธอรู้สึกเจ็บที่หัวใจ 

เด็กน้อยยืนมองหญิงสาวทั้งคู่ที่อยู่ต่างมิติกันอย่างเข้าใจ สิ่งที่เคยเกิดขึ้นแล้วไม่อาจลบล้างแม้ว่าวันนี้เราจะไม่ใช่คนเดิมแล้วก็ตามแต่กรรมดีและกรรมชั่วที่เราเคยทำจะติดตามเราไปไม่จบสิ้นจนกว่าจะได้รับการชดใช้

วิลาสิณีมองอาหารมื้อแรกของวันที่กำลังจะได้ทานในเวลาบ่ายสาม แปลกใจที่มันเยอะเกินปกติ

“อันนี้ที่คุณหมอสั่งค่ะ ส่วนอันนี้มีคนฝากไว้ให้คุณหมอค่ะ” หมอสาวย่นคิ้วเข้าหากันมองถุงที่มีโลโก้ร้านสะดวกซื้อ 

“ใครฝากมาเหรอ”

“หน่อยถามแล้วค่ะ แต่เธอบอกว่าไม่ต้องบอกค่ะเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆหน้าใสๆค่ะ”

“ใส่เสื้อสีขาวอมชมพูหรือเปล่า”

“อ๋อ...ใช่ค่ะใช่ หมอรู้จักเหรอคะ” วิลาสิณียิ้มๆบนใบหน้าไม่ได้ตอบอะไร เป็นที่คุ้นชินสำหรับทุกคนที่นี่อยู่แล้ว คุณหมอวิลาสิณีจะประหยัดคำพูดเสมอและไม่ชอบคุยเรื่องส่วนตัวไม่ว่าจะเรื่องของตัวเองหรือของใคร

เมื่อพยาบาลเดินให้หลังไปคุณหมอไม่รอช้าที่จะเปิดดูของต่างๆที่อยู่ในถุงอย่างตื่นเต้น ก็แหมคนที่หมายตามาให้ความสนใจมันน่าตื่นเต้นน้อยอยู่เสียเมื่อไหร่ ในถุงมีกล่องข้าวบนฝามีกระดาษโน้ตแผ่นสีฟ้าแปะมาด้วย ข้อความว่า

‘เป็นห่วงคนไข้น่ะค่ะ เกรงว่าถ้าคุณหมอป่วยด้วยโรคขาดสารอาหาร หรือโรคกระเพาะจะมีผลกระทบกับคนไข้ตาดำๆ’ วิลาสิณีอมยิ้มกับคำเสียดสีของคนหน้าหวานในถุงยังมีนมรสช็อคโกแลตและซาลาเปาไส้ครีมอีก 2 ลูก 

‘จะขุนเธอหรือไงนะ’ คุณหมอคิดหยอกเย้าตัวเองและทำไปเป็นอัตโนมัติคุณหมอสาวเลื่อนของที่ตนสั่งออกไป สนใจแต่ของฝากของคนหน้าหวานเท่านั้น


กฤติยาค่อยๆเงยหน้าขึ้นไม่รู้ได้เลยว่าเธอกลับมานั่งคุดคู้อยู่ที่นี่ได้อย่างไร ผีสาวลุกขึ้นและเดินไปที่เตียงคนไข้ยืนมองดูคนป่วยที่นอนหลับตาอยู่ การได้อยู่ใกล้หล่อนช่วยให้เธอได้อุ่นใจ 

ผีสาวใจหายเล็กๆที่อยู่ๆหล่อนก็ลืมตาขึ้นมา

“เธอไปไหนมา ฉันบอกเธอแล้วใช่ไหมว่าไม่ให้ไปไหนไกลฉัน” อารดาตำหนิหล่อนทันที เพราะหล่อนเป็นเหตุให้เธอนอนไม่หลับถึงลึกๆจะไม่ยอมรับว่าเพราะว่าเป็นห่วงหล่อนก็เถอะ

“ฉันไปไหนมาบ้างก็ไม่รู้ คุณรู้ไหมว่าฉันควบคุมตัวเองไม่ได้เลย ฉันกลัวมาก กลัวไม่ได้กลับมาที่นี่อีก” ผีสาวเสียงสั่นเครือบ่งบอกถึงความสับสนปนหวาดกลัว พาให้อารดานึกกลัวไปด้วยเพราะเธอรู้สึกได้ว่าโลกที่หล่อนอยู่ไร้แก่นสารและไม่แน่นอน หากวันหนึ่งหล่อนถูกกลืนหายไปเธอจะไปตามหาหล่อนได้จากที่ใด

“เล่าให้ฉันฟังซิว่าเธอไปไหนมาบ้าง” อารดาปรับน้ำเสียงให้อ่อนโยนเพราะดูท่าเหตุการณ์ที่หล่อนไปเจอมาคงจะเลวร้ายมากพอดูอยู่แล้ว

กฤติยาพร่ำพูดถึงสิ่งต่างๆที่ได้เจอมาอย่างออกรสออกชาติเพราะเป็นประสบการณ์ตรงและเพิ่งเกิดขึ้นมาสดๆร้อนๆ ส่วนอารดาก็นอนฟังเงียบๆพยักหน้าเป็นระยะๆ แต่เธอแทบไม่เข้าใจเรื่องที่ผีสาวถ่ายทอดเลย อีกอย่างแต่ละเรื่องก็เหลือเชื่อหลุดโลก

“และอยู่ๆฉันก็กลับมาที่นี่ และตอนที่ฉันกำลังจะแย่เสียงที่คุณเรียกฉันช่วยฉันไว้” ดั่งเดิมสำหรับอารดาคือไม่เข้าใจ แต่ในเหตุของผลนี้คือกำลังบุญนำพาจิตของอารดาผูกไว้กับผีสาวโดยไม่รู้ตัว ด้วยบุญกรรมสัมพันธ์และบุญของอารดาช่วยปกป้องหล่อนได้

โชคนทีปรือตาขึ้นเมื่อได้ยินเสียงของอารดา เขายันตัวลุกขึ้นนั่งมองเพื่อนสาวที่หันมองไปอีกทางซึ่งก็คือกำแพงว่างเปล่า เขารู้สึกขนหัวลุกขึ้นมาทันทีเมื่อคิดถึงสิ่งเล็กๆที่เรียกว่าผี

“อัย แกคุยอยู่กับใครวะ” ถึงจะกลัวแต่ความเป็นห่วงเพื่อนมีมากกว่า อารดาหันมองโชคนทีและหันกลับไปที่ผีสาวที่ตอนนี้หล่อนมีแววสงสัยเพราะปกติจะเป็นสาวหน้าหวานที่เป็นคนเฝ้าไข้

“สอง โชคเพื่อนฉันที่ฉันจะไหว้วานให้ช่วยเรื่องของเธอ” ผีสาวมองคนป่วยสมองคิดสับสนว่าหล่อนคิดหวังดีหรืออยากจะผลักไสเธอกันแน่ 

“โชคแกต้องการข้อมูลอะไรบ้างถามมาได้เลย เธออยู่ตรงนี้แล้ว” โชคนทีส่งยิ้มไปที่กำแพงที่ว่างเปล่าไร้สิ่งใด เค้าคิดไปเองว่าผีต้องเห็นรอยยิ้มของเค้าอย่างน้อยๆผูกมิตรกันไว้ก็น่าจะเป็นเรื่องดี กฤติยาก็แย้มยิ้มเป็นมิตรกลับไปเพราะเขามีน้ำใจคิดช่วยเธอ อารดานอนทำหน้าที่เป็นดังร่างทรงส่งผ่านข้อมูลจากผีสาวไปสู่เพื่อนรัก โชคนทีสะดุดใจกับเรื่องการประสบอุบัติเหตุของผีสาว

“คุณผีบอกว่าตอนประสบอุบัติเหตุเห็นชายแก่วิ่งมาตัดหน้ารถทำให้รถเสียหลักลงข้างทาง แต่เวลาตีสองกับจุดเกิดเหตุมันไม่น่าจะมีคนแก่มาเดินนะ”อารดาหันมองผีสาวเห็นหล่อนส่ายหน้าไปมาเพราะไม่รู้เรื่องอะไร แต่ก็พยายามนึกย้อนไป

ในวันนั้น…

เธอตั้งใจขับรถไปหาคนรักที่ถ่ายละครอยู่ต่างจังหวัดตั้งใจอยากจะไปเซอร์ไพร้ส์เขาเพราะเป็นวันคล้ายวันเกิดแต่สุดท้ายกลับเป็นเธอเองที่ต้องเซอร์ไพร้ส์เพราะเธอเห็นชายหนุ่มที่รักกำลังพลอดรักอยู่กับเพื่อนสนิทที่คบหากันมาตั้งแต่เด็ก หลังจากนั้นเธอก็ผลุนผลันขับรถออกมาด้วยอารมณ์ผิดหวังและเสียใจแทบเสียสติ ทำให้เธอขับรถออกมาด้วยความเร็วจนมาถึงจุดเกิดเหตุ

“ตอนนั้นฉันตกใจคนแก่ก็จริงนะแต่ก็ไม่ถึงกับคุมสติไม่ได้ สาเหตุที่รถลงข้างทางเพราะฉันตกใจที่รถมันเบรกไม่อยู่” อารดาส่งต่อเรื่องราวไปสู่โชคนทีทั้งคู่ต่างนิ่งกันไปเพราะรู้สึกถึงเรื่องราวที่มันซับซ้อนมากขึ้น 

“ทำไมเบรกไม่อยู่” โชคนทีรำพันกับตัวเอง อารดาเองก็คิดตาม ผีสาวทำได้แค่มองทั้งคู่ตาปริบๆสมองคิดเกินจากเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้ 

“ต้องไปดูสำนวนบันทึกประจำวันที่โรงพักว่าได้ลงเรื่องเบรกแตกและสืบสวนหาที่มาหรือเปล่า”

“ถ้าเป็นการฆาตรกรรมล่ะ” ตานี้เป็นอารดาที่รำพันออกมา สองเพื่อนรักมองเข้าไปในตาของกันและกันชักหนักใจกับเรื่องนี้


อาการของอารดาดีวันดีคืนจนสามารถกลับไปพักรักษาตัวที่บ้านได้ ความเจ็บป่วยทางกายแทบหายเป็นปกติแล้ว อาจจะมีเสียวแปลบๆบ้างแต่ก็ไม่ได้มากมายอะไร หล่อนปฏิเสธทุกการช่วยเหลือจากทุกคนเพราะไม่อยากรบกวนใครและไม่ชอบให้ใครมาวุ่นวายในพื้นที่ส่วนตัว ถึงแม้จะยกเว้นเตมิกาก็เถอะแต่คราวนี้ก็เกรงใจเกินจะรบกวน แค่หล่อนมาเฝ้าเธอตลอดในช่วงที่อยู่โรงพยาบาลเธอก็เกรงใจจะแย่อยู่แล้วโดยไม่รู้เลยว่าการที่ปฏิเสธเพื่อนสาวไปทำหล่อนน้อยใจขนาดไหน

พร้อมพงษ์ขับรถมาส่งอารดาที่คอนโด เค้าเลือกที่จะมาส่งคนเดียวด้วยรู้ปมในใจของลูกที่มีต่อครอบครัวใหม่ 

“มีอะไรก็โทรหาพ่อนะลูก” พร้อมพงษ์สั่งเสียก่อนจะเดินออกไปนานกว่านานที่อารดานั่งนิ่งอยู่บนโซฟาหลังจากมองพ่อเดินออกไป พ่อลอยไกลไปจากเธอและแม่นานแล้ว

กฤติยานั่งนิ่งสงบปากสงบคำเพราะไม่รู้ว่าอารดาอยู่ในอารมณ์ไหน เธอไม่อยากได้ยินคำร้ายๆจากหล่อนเวลาที่ถูกขัดใจ อารดาเป็นหนังสือเล่มหนาที่ซับซ้อนแถมยังมีปมในใจมากมาย นี่แค่จากที่เห็นด้วยตาโดยไม่ได้เข้าไปสัมผัสลึกซึ้ง อารดาวางเกราะป้องกันตัวเองทุกทางคงเพราะกลัวความเจ็บปวดที่มากับความสัมพันธ์ เธอมั่นใจอารดามีปมลึกที่ทำให้ขาดความมั่นใจในการคบหาหรือให้ใจกับใคร แต่เมื่อนึกถึงตรงนี้ใจก็รู้สึกหงุดหงิดโดยไม่รู้สาเหตุเพราะสาวหน้าหวานคนนั้นอยู่ในข้อยกเว้นนี้ อารดายอมให้หล่อนเข้ามาใกล้ตัวและยังให้ความสนิทสนมมากๆด้วย ชิส์ ผีสาวกระฟัดกระเฟียดเดินออกไปจากตรงนั้น 


โชคนทีเคาะประตูห้องสามครั้งลุ้นกับเรื่องราวหลังจากนี้ ประตูถูกเปิดออกโดยหญิงสาวที่อยู่ในห้อง กัญญามองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยแววตาสงสัย

“มีธุระอะไรหรือเปล่าค่ะ” โชคนทีเหม่อค้างเหมือนอยู่ในภวังค์ เขารู้สึกคุ้นเคยกับผู้หญิงคนนี้

“คุณคะ”

“เอ่อๆ...” ชายหนุ่มยังตื่อเพราะสติยังไม่กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว

“คุณเป็นอะไรหรือเปล่าคะ” กัญญายิ่งไม่เข้าใจในท่าทีแปลกๆ

“คือผมเป็นเพื่อนสองครับ” เมื่อมีสติชายหนุ่มรีบเดินตามจุดประสงค์ทันที กัญญามองชายหนุ่มตรงหน้าที่ท่าทางไม่น่าไว้ใจ และอยู่ๆก็มาบอกว่าเป็นเพื่อนน้องสาวเธอ ถ้าเป็นเพื่อนของสองจริงเธอต้องรู้จักซิ

“ฉันรู้จักเพื่อนของสองทุกคน แต่ทำไมฉันถึงไม่เคยเห็นคุณ” กัญญาไม่เชื่อง่ายๆ

“ผมเป็นเพื่อนทางธรรมของสองครับ เราบังเอิญเจอกันทางออนไลน์”โชคนทียื่นนามบัตรส่งให้หญิงสาวเค้าเตรียมตัวมาพร้อมอยู่แล้วและพอรู้นิสัยใจคอของผู้หญิงคนนี้มาบ้างจากคำบอกเล่าของผีสาว กัญญารับนามบัตรมาอ่านแต่ก็ยังไม่ปักใจเชื่อ

“แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าสองรักษาตัวอยู่ที่นี่” เพราะมีเพื่อนสนิทของสองเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้

“ผมเห็นสองเงียบไปนาน โทรเข้ามือถือก็ไม่ติด ผมเป็นห่วงเธอมากจึงโทรไปที่ทำงานและก็ได้รู้ว่าสองประสบอุบัติเหตุและพักรักษาตัวอยู่ที่นี่” กัญญามองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างพิจารณาอีกครั้งท่าทางของเขาก็ดูภูมิฐานน่าเชื่อถือดี และอีกอย่างสองไม่ให้เบอร์ส่วนตัวกับใครง่ายๆถ้าเขามีเบอร์สองจริงๆแสดงว่าที่เขาพูดมาก็เชื่อถือได้

“น้องสาวฉันเบอร์โทรอะไร” คำถามนี้ทำชายหนุ่มยิ้มน้อยๆเมื่อนึกถึงน้องสาวที่รู้จักพี่สาวของตัวเองดีจึงเตรียมการทุกอย่างให้เขามาเป็นอย่างดี โชคนทีหยิบมือถือขึ้นมากดหาเบอร์และยื่นให้หญิงสาวที่กำลังทำตัวเป็นโคนันสอบสวนเค้าอยู่ได้ดู เมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์น้องสาวจริงๆท่าทีของหล่อนก็เปลี่ยนไปรีบเชื้อเชิญชายหนุ่มเข้ามาในห้อง

“ต้องขอโทษด้วยนะคะ ฉันแค่อยากแน่ใจ”

“ไม่เป็นไรครับผมเข้าใจ ผมแค่อยากรู้ว่าเพื่อนเป็นอย่างไรบ้างก็เท่านั้นเอง” โชคนทียืนมองหญิงสาวที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงมีสายระโยงระยางเต็มตัวหล่อนไปหมด

“คุณหมอว่าอย่างไรบ้างครับ สองมีโอกาสกลับมาเป็นปกติหรือเปล่า”คำถามของชายหนุ่มพาใจคนเป็นพี่สาวหดหู่ยิ่งนัก กัญญามองน้องสาวด้วยในตาเศร้าดูจากท่าทางก็พอจะรู้คำตอบ

“หมอเพิ่งบอกกับเราว่า เราอาจจะดึงเค้าไว้ได้แค่ลมหายใจ ทุกอย่างอาจจะไม่มีวันกลับมาเป็นเหมือนเดิม”


โชคนทียืนมองสาวร่างบางที่นอนป่วยอยู่บนเตียง ‘สวย’ คำนี้เหมาะกับหล่อนที่สุด ขนาดใบหน้าซีดเซียวไร้การแต่งแต้มแถมยังจะมีสายระโยงระยางเต็มไปหมดแต่ก็มิอาจบดบังเค้าโครงของความงามเดิม คงน่าเสียดายหากเธอผู้นี้ต้องจากโลกนี้ไปก่อนวัยอันควร

“และครอบครัวของคุณตัดสินใจกันยังไงครับ” โชคนทีหันมองทางร่างบางที่มีใบหน้าละม้ายคนที่นอนอยู่เพราะหล่อนก็ดูซีดเซียวไม่แพ้คนบนเตียง

“เรายังไม่ได้คุยกันเรื่องนี้ค่ะ เราไม่กล้าที่จะคุยกัน” หญิงสาวมีท่าทีซีดสลดไปกว่าเดิม

“อ่อ” โชคนทีพยักหน้าน้อยๆ หันกลับมามองที่ร่างบางบนเตียงไม่ได้ถามอะไรต่อเพราะเห็นถึงความไม่สมควร แต่สมองก็ครุ่นคิดต่อว่าคงมีเวลาไม่มากแล้วสำหรับการหาทางช่วยผู้หญิงคนนี้ เพราะหากครอบครัวหล่อนถอดใจที่จะดึงดัน ร่างนี้ก็จะไร้วิญญาณโดยสมบูรณ์


หลังจากที่ออกมาจากห้องผู้ป่วยโชคนทีก็รีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อส่งต่อข่าวสารทันทีแต่ปลายสายกลับบอกว่าไม่สามารถติดต่อได้ ชายหนุ่มกดโทรออกอีก แต่คราวนี้เสียงปลายสายกลับเป็นเสียงคลื่นแทรกคล้ายเสียงซ่าของวิทยุช่วงปิดสถานี ถึงจะแปลกใจแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก ก็ไม่แปลกหากจะเกิดปัญหากับเครื่องมือสื่อสาร ชายหนุ่มคิดง่ายๆแค่ว่าไว้ค่อยโทรหาอีกที 

โชคนทีเดินไกลออกไปจนลับตา หากแต่เบื้องหลังก่อเกิดกลุ่มเงาดำทะมึนมีเสียงอื้ออึงที่ยากจะจับใจความออกมาจากกลุ่มเงานั้น ความต้องการที่สวนทางกันกำลังก่อเกิดขึ้นอีกแล้ว





 

Create Date : 20 ตุลาคม 2554    
Last Update : 30 พฤษภาคม 2556 15:02:04 น.
Counter : 667 Pageviews.  

1  2  3  

writer_k toon
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




เป็นคนธรรมดาๆคนหนึ่งค่ะ ที่อยากเป็นคนดี
และเป็นคนเก่งขึ้นทุกๆวัน

ชอบดื่มกาแฟเป็นชีวิตจิตใจ โปรดสุดก็ Starbucks หากอยู่ในฤดูงบน้อย อะไรที่เป็นกาแฟดำ ได้หมด

ชอบอ่านหนังสือ แนวHowto และนิยายของคุณทมยันตี จนวันหนึ่งเกิดอยากจะเขียนหนังสือให้คนอื่นอ่านบ้าง โดยมีคุณทมยันตีเป็นต้นแบบ เป็นแรงบันดาลใจ

เริ่มต้นขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ไม่รู้ลงท้ายจะเป็นอย่างไร แต่หวังไว้ว่ามันจะดีกว่าที่หวัง

จะคุยได้นานกับคนที่มีฝัน มีเป้าหมายในชิวิต รักครอบครัว และคิดบวก

แอบหวังว่าคนที่เข้ามาที่Blogนี้จะออกไปอย่างมีความสุขนะคะ

Loveๆทุกคนค่ะ

ปล.ขอสงวนลิขสิทธิ์ข้อความและรูปภาพทั้งหมดใน blog นี้ตามกฎหมาย ห้ามนำไปใช้หรือเผยแพร่ก่อนได้รับอนุญาตนะคะ

New Comments
Friends' blogs
[Add writer_k toon's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.