Group Blog
 
All blogs
 

จัดจำหน่ายหนังสือ'ยามเมื่อความรักเพรียกหา'

  หนังสือยามเมื่อความรักเพรียกหา


จัดจำหน่ายในราคา 430 บาท รวมค่าจัดส่งแบบลงทะเบียน หากต้องการให้จัดส่งแบบ EMS เพิ่ม 30 บาท

สั่งซื้อโดย โอนเงินมาที่บัญชี ธนาคารไทยพาณิชย์(SCB)

กฤชรัช บุญรวม ( kritcharatboonruam )

เลขบัญชี 089-253768-7

ออมทรัพย์

สาขาบางจาก

โอนเงินแล้วแจ้งเวลาโอนมาโดยละเอียดก็พอค่ะที่ kritcharat@hotmail.com

เนื่องจากเป็นหนังสือทำมือ จัดพิมพ์เองจึงมีจำนวนจำกัด สอบถามเข้ามาก่อนโอนเงินทุกครั้งนะคะ

ขอบพระคุณทุกท่านที่ชอบนิยายเรื่องนี้นะคะ

K.toon




 

Create Date : 18 พฤศจิกายน 2557    
Last Update : 18 พฤศจิกายน 2557 2:45:02 น.
Counter : 856 Pageviews.  

ยามเมื่อความรักเพรียกหา 15

ถึงจะเป็นเบอร์แปลกแต่โสรยาก็กดรับแต่โดยดีก็เผื่อคนที่โทรเข้ามาเขาโทรผิดเขาจะได้รู้

“แววใช่ไหม” เสียงคุ้นๆ

“แววพูดสายค่ะ”

“ลุงเอง” อ่อ…โสรยารู้แล้วว่าปลายสายเป็นใคร

“คุณลุงมีธุระอะไรกับแววหรือเปล่าคะ หรือมีอะไรให้แววรับใช้บอกมาได้เลยนะคะไม่ต้องเกรงใจ” เธอรักและเคารพลุงปกรณ์มากท่านเป็นพ่อของสรเป็นคนดีและเอ็นดูเธอมาก

“เรื่องมณีจ้ะ ลุงอยากจะฝากฝังให้ช่วยดูแลหนูมณีเขาหน่อย เขาเป็นเด็กดีมณีเป็นเด็กน่าสงสารยังไงแววก็เมตตามณีเขาหน่อยนะในช่วงที่มณียังอยู่ที่บ้านของแววลุงจะรบกวนโทรมาสอบถามเป็นระยะๆนะ”

“อ่อ ได้ค่ะ” โสรยารับคำแบบงงๆก็คุณลุงยิงยาวมาเป็นชุดเธอประมวลผลไม่ทัน

“ขอบใจมากนะ แล้วตอนนี้มณีอยู่แถวนั้นไหม สะดวกไหมถ้าลุงจะขอพูดสายกับมณี”

“สะดวกค่ะ รอสายสักครู่นะคะ”โสรยาเดินกลับไปที่โต๊ะอาหารฝั่งเด็กสาว

“ลุงปกรณ์” พูดเพียงเท่านั้นตอนยื่นมือถือให้เด็กสาวเมื่อได้ยินชื่อนี้เด็กสาวก็ตาเป็นประกายรีบรับมือถือไปก่อนจะหันหลังให้บอกเป็นนัยน์ว่าต้องการความเป็นส่วนตัวแต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้สนใจกลับไปนั่งทานอาหารต่อ

“สวัสดีค่ะลุงปกรณ์”

‘มณีอยู่สุขสบายดีไหม’ หนุ่มใหญ่อาทร

“มณีสบายดีค่ะ แต่มณี…อยากกลับเชียงใหม่” เด็กสาวพูดออกไปเบากว่าเบาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเกรงอะไรอาจจะเพราะไม่รู้ว่าคุณแววคิดยังไงกับเรื่องนี้เกิดพูดอะไรผิดหูก็จะพลอยทำให้เธออารมณ์เสีย

‘อดทนไปก่อนนะ ให้เรื่องบรรเจิดซาไปก่อน’

“คุณลุงรู้เรื่องนี้…” ทำไมคุณลุงถึงรู้เรื่องนี้เด็กสาวนึกฉงนในใจแต่ก็อาจจะเป็นได้ว่ารู้เพราะแม่ระพี หรืออาจจะรู้จาก ผอ.พินิจ

‘อดทนนะมณี ครอบครัวท่านสมชาติเป็นคนดี มณีจะปลอดภัยถ้าได้อยู่กับท่าน’

“ค่ะ” เด็กสาวเสียงอ่อยไม่กล้าขัดผู้ใหญ่

โทรศัพท์มือถือถูกนำไปวางคืนไว้ตรงหน้าเจ้าของใบหน้าเหงาหงอยไร้ความสุขที่หลายสิ่งไม่เป็นไปดั่งใจคิด เด็กสาวครุ่นคิดหนักใจหนึ่งก็อยากจะทำตามใจตนเองแต่อีกใจหนึ่งก็นึกเกรงในเหตุผลของผู้ใหญ่ที่เคารพเฮ่อ…

เมื่อวางสายจากมณีรัตน์ท่านปกรณ์ก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยจิตมีเมตตาทำให้ทั้งห่วงใยและเป็นกังวลไปกับเรื่องของเด็กสาว

“โทรหาใครเหรอคะคุณ” มนฤดีถามออกไปเมื่อเห็นโทรศัพท์บ้านแบบไร้สายคาอยู่ในมือสามี

“พินิจนะถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ” ท่านโกหก! ทำไม?

“อ๋อ ค่ะแต่อย่าบอกนะคะว่าคุณมีแผนจะขึ้นเชียงใหม่”คุณหญิงเสียงเข้มจิกสายตาใส่สามีน้อยๆแต่ก็แค่พองาม แม้นตอนนี้ปกรณ์จะเป็นหนุ่มใหญ่เข้าวัยเกษียณแล้วแต่ความหล่อเหลาในแบบคุณชายกลับยังมีครบสมบูรณ์ ดั่งยิ่งแก่ยิ่งดูดีด้วยซ้ำ

“ก็ว่าจะขึ้นไปตอนสิ้นเดือนไปร่วมฉลองงานปีกับชาวบ้านเขา อีกอย่างท่านปลัดคนปัจจุบันท่านสายตรงมาด้วยตัวเองจะขัดก็เกรงจะเสียน้ำใจกัน”

“ไปกี่วันคะ” น้ำเสียงขุ่นมัวไม่เก็บอาการ

“ก็คงจะสักอาทิตย์คุณหญิงไม่ต้องห่วงผมหรอกน่า ผมแก่จนจะลงโลงอยู่แล้วไม่มีสาวๆที่ไหนเขามาสนใจหรอก” ปกรณ์เข้าไปโอบกอดเอาใจภรรยา

“นี่คุณไม่รู้ตัวหรือไงคะว่าตัวเองดูดีกว่าหนุ่มๆบางคนเสียอีกและฉันก็ไม่อยากให้เกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอยตอนแก่ด้วย”

“แหมเรื่องมันก็นานมาแล้ว ทำไมคุณไม่ยอมลืมไปสักที”

“ก็เพราะฉันเจ็บไงคะเจ็บมากฉันถึงลืมมันไม่ได้”น้ำเสียงสั่นพล่าเจ็บปวดกับเรื่องราวในอดีต ที่ครั้งหนึ่งปกรณ์เคยนอกใจเธอ

“ผมขอโทษ”ปกรณ์กระชับกอดแนบแน่นเสียใจจริงๆกับเรื่องที่เกิดขึ้นแม้นจะผ่านมาเนิ่นนานแล้วแต่ความรู้สึกผิดนี้ก็ยังไม่เคยจางไปเลย ความรู้สึกผิดต่อผู้หญิงสามคน…จนวันนี้

นภัสรเดินออกไปเงียบๆเธอผ่านมาทันได้ยินคุณพ่อคุยกับแววและเด็กมณี พ่อโกหกแม่ โกหกทำไม?...

โสรยาเดินไปที่หน้าห้องเมื่อได้ยินเสียงเสียงเคาะประตูประตูเปิดออกโดยไม่คิดจะส่องตาแมวเพื่อความปลอดภัยเพราะเห็นว่าได้เวลาที่นัดหมายไว้กับป้าวารีพอดีและก็ไม่ผิดเมื่อเปิดประตูออกไปก็ได้พบป้าวารียืนถือข้าวของพะรุงพะรังเต็มมือ

“ได้ครบทุกอย่างเลยค่ะคุณแวว” ป้าวารีเดินเข้ามาในห้องจัดวางข้าวของบนโต๊ะ โสรยาเปิดถุงตรวจตราเพื่อให้แน่ใจว่ามีทุกสิ่งที่สั่งไปมณีรัตน์เดินมาสมทบเผื่อว่าตนจะช่วยอะไรได้บ้าง

“ของเธอ” โสรยายื่นถุงใบหนึ่งให้

“อะไรคะ” เด็กสาวยังไม่ยอมรับไป

“เอาไปดูเองซิ” เด็กสาวนัยน์ตาสลดวูบเมื่อเจอแววตาคมดุ รีบรับถุงไปถือไว้ เมื่อเปิดออกดูก็พาให้หน้าแดงเป็นลูกตำลึงสุกพูดอะไรไม่ออกก็สิ่งที่อยู่ในถุงคือ…ชุดชั้นใน

“ก็ไม่รู้ว่าจะพอดีหรือเปล่านะ” โสรยาพูดออกไปดั่งไม่มีอะไร แต่คนฟังนี่ซิเขินจนทำตัวไม่ถูก

“มณีขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะคะ” เด็กสาวรีบหลบฉากออกไป โสรยามองตามอมยิ้มในความไร้เดียงสาก่อนจะหันมาสนใจข้าวของตรงหน้า

“ค่าเสียหายเท่าไหร่คะป้า”

“2640 จ้ะ” โสรยาส่งเงินให้ไปจำนวนสามพัน

“ไม่ต้องทอนนะคะ”

“ป้าขอบคุณคุณแววมากค่ะ” ป้าวารีรับไปแบบไม่อิดออดเพราะคุณแววใจดีไม่เคยเปลี่ยน เธอก็แค่ตอบแทนความใจดีของคุณแววด้วยการดูแลคอนโดให้ดีและสนับสนุนคุณแววในทุกด้านเท่าที่ทำได้

เมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยป้าวารีก็ขอตัวกลับออกไปอีกครั้งที่สองสาวต้องอยู่ด้วยกันตามลำพัง

มณีรัตน์หน้าแดงกล่ำเมื่อใส่ชุดชั้นในที่ป้าวารีซื้อมาให้ก็ทำไมมันพอดิบพอดีแบบนี้ละ นึกสงสัยว่าใครเป็นคนเลือกไซส์ ป้าวารีหรือ…คุณแวว

หลังจากเสร็จสิ้นอาหารมื้อเช้าและส่งลูกๆไปทำงานหมดแล้วคุณหญิงจึงรีบสั่งให้ป้าศรีหยิบโทรศัพท์บ้านแบบไร้สายมาต่อสายถึงลูกสาวทันทีโสรยามองหน้าจอมือถืออมยิ้มเมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์ที่บ้านรู้สึกเหมือนตนเองกำลังเป็นผู้จัดการส่วนตัวให้เด็กมณีเพราะทุกสายที่เข้ามาตอนนี้ก็ไม่พ้นเรื่องของเด็กมณี

“แววค่ะ” โสรยากดรับสาย

“หนูมณีเป็นยังไงบ้างลูก” นั่นไงผิดจากที่คิดที่ไหน

“แววดูแลคนโปรดของคุณแม่อย่างดีค่ะ” โสรยาเอาดีเข้าตัว

“อย่าให้แม่รู้นะว่ารังแกน้อง”

“โหยคุณแม่เห็นแววเป็นคนยังไงคะ” ก็เพราะเขารู้ไงว่าเป็นคนยังไง

“แล้วน้องอยู่ไหนให้มาคุยกับแม่หน่อยซิ”โสรยามองหาคนที่แม่อยากคุยด้วยก็พอดีกับที่หล่อนเปิดประตูห้องน้ำออกมา

“คุณแม่จะคุยด้วย” เมื่อรู้ว่าเป็นคุณหญิงที่เคารพรักมณีรัตน์ก็รีบวิ่งไปรับมือถือมาแนบหูทันที

“มณีค่ะคุณหญิง”

“เป็นยังไงบ้างพี่แววเขารังแกอะไรหนูหรือเปล่า”มณีรัตน์เหลือบตามองคนที่ถูกพาดพิงถึง

“ไม่ค่ะ” เพียงเท่านั้น

“ดีละจ้ะถ้าหากพี่แววเขารังแกอะไรหนู หนูต้องบอกฉันนะฉันจะได้จัดการให้”

“ค่ะคุณหญิง” เด็กสาวตื้นตันน้ำตาคลอ ทำให้คนที่เงี่ยหูฟังอยู่ใกล้ๆพลอยซึ้งไปด้วย ว่าแต่แม่ของเธอกำลังลำเอียงอยู่ใช่ไหมเนี่ยและเห็นเธอเป็นยักษ์เป็นมารหรือไงถึงต้องฝากฝังแบบนั้น มือถือถูกส่งคืนเมื่อปลายสายวางไป

“รีบทานข้าวซะ เดี๋ยวเราจะออกไปข้างนอกกัน”

“ค่า” เด็กสาวตามน้ำ ก็เธอมันเด็ก มันคนไม่มีหัวนอนปลายเท้าเป็นคนที่ยังต้องอาศัยพึ่งพาเขาจะทำอะไรได้มากกว่านี้ละ

ท่านสมชาติมองภรรยาของตนด้วยสายตาเอ็นดูท่าทางแบบนี้แปลว่าโปรดมาก ท่านเองก็โปรดเด็กมณีไม่ได้น้อยไปกว่าคุณหญิงหรอกแต่ความไม่ชัดเจนเรื่องที่มาของเด็กสาวยังเป็นเรื่องที่ทำให้ต้องคิดหนักในเรื่องของการจะรับกันมาอุปการะเป็นเรื่องเป็นราว

เกสต์เฮ้าส์แห่งหนึ่งกลางเมืองหลวงถูกจัดเป็นที่ประทับที่ทางประเทศไทยได้จัดไว้ต้อนรับคณะเสด็จของสมเด็จพระนรราชวิษณุองค์แห่งสิกขาราพร้อมพระวรชายาฯและพระราชธิดา

“อย่าทรงวิ่งเพคะพระธิดา” เป็นเสียงที่ลอยมาไกลๆไล่หลังเด็กหญิงตัวน้อยวัย 5ขวบ เสียงหัวเราะเต็มเสียงออกมาจากพระโอษฐ์จนคนฟังใจคอไม่ดีเกรงว่าพระบิดาและพระมารดาจะมาเห็นเข้า

“พระธิดาจันทศรเพค้า” สร้อยลดาพระพี่เลี้ยงมีน้ำเสียงอ่อนใจในความดื้อรั้นและเหน็ดเหนื่อยกับการวิ่งไล่ตาม

“จ้างก็วิ่งตามเราไม่ทันแบร่”เด็กน้อยหันมาเยาะเย้ยพี่เลี้ยงที่มีวัยล่วงเลยเข้ากลางคนไปแล้วสังเกตได้จากผมที่ขาวโพลนแถมรูปร่างยังอ้วนตุต๊ะทำให้ทำอะไรได้ไม่คล่อง

“หยุด! จันทศร” เด็กน้อยตกใจถึงกับเบรกแตกถลาลงไปกองจุมปุกกับพื้นเมื่อได้ยินเสียงนี้เสียงของหม่อมแม่

“โถเป็นยังไงบ้างเพคะ” พระพี่เลี้ยงรีบเข้ามาประคองเด็กน้อยให้ลุกขึ้น

“หยุด! ไม่ต้องช่วย เมื่อล้มก็ต้องลุกให้ได้ด้วยตัวเอง”เมื่อได้ยินดังนั้นพระพี่เลี้ยงก็ต้องล่าถอยออกมามองดูพระธิดาตัวน้อยที่พยายามยันกายขึ้นด้วยท่าทีที่ทุลักทุเลแม้จะมีน้ำคลออยู่นัยน์ตาเพราะเจ็บหัวเข่าแต่ก็ไม่ยอมให้มันไหลออกมาเพราะแม่ไม่ชอบให้อ่อนแอ

เด็กน้อยยันตัวขึ้นมาได้สำเร็จรีบเดินเข้าไปโอบกอดผู้เป็นแม่หวังเอาใจกลบเกลื่อนความผิด

“คิดถึงเสด็จแม่จังเพคะ” เด็กน้อยถูไถใบหน้าไปที่ลำตัวของผู้เป็นแม่

“ถ้าลูกเข้าไปศึกษาวิชาประวัติศาสตร์ชาติไทยที่เป็นบ้านพี่เมืองน้องของเราตามกำหนดการลูกจะไม่มีเวลาคิดถึงแม่” พระมารดาลูบไล้ศีรษะด้วยความเอ็นดูแม้ทางวาจาจะเป็นการตำหนิ

“ก็…ลูก” เด็กหญิงเสียงอ่อย

“แม่หิวละ ไปรับของว่างกันดีกว่า” อยู่ๆพระมารดาโอนอ่อนใจดี

“หม่อมฉันก็หิวเพคะ”เด็กน้อยแหงนมองตื้นตันในพระเมตตาที่แม่ไม่ลงโทษ

“แต่หากมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก เรื่องที่แม่เห็นลูกวิ่งไม่สำรวมกริยาและเรื่องที่ลูกหนีกำหนดการ กลับไปแม่จะส่งเจ้าขึ้นไปอยู่กับนกหนูบนหอคอย” เด็กน้อยรู้ แม่พูดจริง!

“เพคะ” เด็กน้อยเสียงอ่อยเมื่อได้ยินคำว่าของว่างพระพี่เลี้ยงคนสนิทรีบส่งสัญญาณให้นางในรีบนำเครื่องเสวยตั้งโต๊ะทันที

ตอนนี้ภาพเบื้องหน้าที่ทุกคนเห็นคือแม่ลูกเดินจูงมือกันเข้าห้องไป

พระวรชายาชลลีหลางเดิมเป็นหม่อมเจ้าในตระกูลขุนนางชั้นผู้ใหญ่และได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระวรชายาฯจากการอภิเษกสมรสกับสมเด็จพระนรราชวิษณุมงกุฎราชกุมาร องค์รัชทายาทลำดับที่หนึ่งของสิกขาราประเทศเล็กๆที่อยู่ทางตะวันตกของประเทศไทย




 

Create Date : 07 มิถุนายน 2557    
Last Update : 7 มิถุนายน 2557 10:37:19 น.
Counter : 399 Pageviews.  

ยามเมื่อความรักเพรียกหา 14

สองเท้าน้อยๆที่ปวดระบมเดินเอื่อยๆไปทิ้งตัวลงบนโซฟากวาดสายตามองไปทั่วห้องก่อนจะปิดเปลือกตาลงในใจว่างเปล่าโหวงเหวงอดไม่ได้ที่จะนึกอิจฉาความสมบูรณ์พร้อมของคนรวยนึกอิจฉาครอบครัวที่อบอุ่นของท่านสมชาติอยู่ๆน้ำก็ไหลออกมาในขณะที่เปลือกตายังปิดสนิท โดยไม่รู้ตัวว่ามีหนึ่งสายตายืนมองดูอยู่ในใจพลอยเศร้าสลดว่าหล่อนกำลังทุกข์ใจเรื่องใดหนอก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องและทำเสียงดังส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายรับทราบเด็กสาวดีดตัวลุกขึ้นทันทีเมื่อได้ยินเสียงสองมือยกขึ้นปาดน้ำตาอย่างรวดเร็ว

“เข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าได้แล้วคืนนี้เราจะนอนที่นี่”

“ทำไมเราต้องนอนที่นี่ด้วยละคะ” เด็กสาวถามออกไปในที่สุด

“ก็เพราะว่านายเจิดอะไรนั่นมันดักรอฉุดเธออยู่ที่หน้าบ้านฉันไง” เด็กสาวใจหายวาบเมื่อได้ยินเรื่องแบบนั้น

“แล้วคุณแววพามณีมาที่นี่ทำไมคะทำไมไม่ให้มณีอยู่แก้ปัญหา” เด็กสาวแหวใส่ เอาเรื่องคนที่ทำอะไรที่เกี่ยวกับเธอแต่กลับไม่ยอมปรึกษาเธอบ้างอีกอย่างมันเป็นปัญหาของเธอ

“เอ่า…” โสรยามึนงงตามอารมณ์เด็กไม่ทัน ก็นี่เธอกำลังช่วยหล่อนอยู่นะแต่ทำไมหล่อนถึงทำให้เธอรู้สึกเหมือนเป็นคนผิด

“แล้วเธอจะเอาปัญญาที่ไหนไปแก้จะออกไปสู้กับผู้ชายตัวโตๆหรือไง หรือจะพึ่งกฎหมายให้มาจัดการกับคนที่มีเส้นสายใหญ่โตงั้นเหรอ” จุก เจ็บ เพราะโดนทุกดอก

“ถ้ามันแก้ไขอะไรไม่ได้มณีก็ไปกับคนพวกนั้นซะเรื่องมันจบมณีไม่อยากเป็นต้นเหตุสร้างความหมองใจให้กับคนในครอบครัวศิราณุวัฒน์สักนิดก็ไม่ต้องการ คุณแววเข้าใจไหมคะ” เด็กสาวน้ำตาคลอเมื่อนึกถึงน้ำใจที่คุณท่านและคุณหญิงมีต่อเธอ

“ก็นี่แหละ เหตุผลที่ฉันต้องพาเธอมาที่นี่เพื่อไม่ให้ใครต้องหมองใจเพราะเธอไง และเธอไม่รู้หรือแกล้งไม่รู้กันแน่ว่าพ่อกับแม่ฉันหลงเธอกันขนาดไหนถึงขนาดอยากจะรับมาเป็นหลาน” เด็กสาวนิ่งไปกับเหตุผลนี้ ใช่ซิ ไม่ใช่เพราะคุณแววเต็มใจ ความคิดกำลังเตลิดผิดประเด็นเพราะน้อยใจ

“ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าได้ละนี่ก็ดึกมากแล้ว”

“แต่…” แค่เท่านั้นนัยน์ตาหวานก็ต้องวูบหลบไป เมื่อได้เจอสายตาคมดุเจือความรำคาญไม่เก็บอาการมณีรัตน์เดินหลบฉากเข้าไปในห้องนอนเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า เมื่อรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายเดินตามเข้ามาจึงหันกลับไปมอง

“มณีไม่รู้จะเอาชุดไหน” เด็กสาวพูดออกมาด้วยความเกรงใจ ก็มันมีแต่เสื้อผ้าใหม่ๆดีทั้งนั้นเลย

“ถ้าถึงขนาดต้องให้ฉันเลือกเสื้อผ้าให้ฉันว่าฉันคงต้องอาบน้ำให้เธอด้วยซะละมั้ง” น้ำเสียงไม่มีแววล้อเล่นเล่นเอาคนฟังใจหายรีบหันไปเลือกเสื้อผ้าแบบลวกๆและรีบวิ่งเข้าห้องน้ำปิดประตูไปโดยไม่รู้ว่าคนมองเขาอมยิ้มด้วยความเอ็นดู แต่ก็ทำไปโดยไม่รู้ตัวเอง

เด็กสาวมองความโอ่โถงมีดีไซด์ของห้องน้ำด้วยความตื่นตาข้าวของถูกวางลง สองมือช่วยกันปลดเปลื้องเครื่องประดับและอาภรณ์ สองมือพยายามเอื้อมไปรูดซิบที่ด้านหลังแต่… ไม่ถึง!สภาพทุลักทุเลน่าดูแถมในใจยังนึกกลัวว่าหากทำรุนแรงไปจะทำให้ชุดเสียหายสุดท้ายประตูห้องน้ำจึงถูกเปิดออกทำให้คนที่นอนยาวเหยียดอยู่บนที่นอนยันตัวขึ้นมาดูด้วยความสงสัยเพราะมันเร็วผิดปกติยิ่งได้เห็นชุดสวยๆยังอยู่บนกายของเด็กสาวก็ยิ่งสงสัย

“คือ…มณีรูดซิบไม่ถึงค่ะ”เด็กสาวเสียงอ่อยเดินเข้าไปใกล้แบบกล้าๆกลัว ก็เธอไม่ชอบรบกวนคนอื่นโดยเฉพาะคนอื่นที่เป็นคุณแววคนที่มีอคติกับเธอ

“มาใกล้ๆซิฉันจะรูดซิบให้” น้ำเสียงราบเรียบไม่สื่ออารมณ์ใด เด็กสาวเดินไปใกล้ก่อนจะหันหลังให้หัวใจเต้นโครมครามเมื่อสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายเริ่มปฏิบัติการช่วยเหลือแล้วโสรยาเองก็ไม่ต่างกันเมื่อต้องมาใกล้ชิดกับเด็กสาวหน้าตาสะสวยแถมยังมีแผ่นหลังที่เรียบเนียนงดงามเมื่อรู้สึกได้ว่าซิบกำลังถูกรูดลง สองมือรีบกอดอกไว้แน่นเพื่อไม่ให้ชุดหลุดร่วงลงไปก็…เธอโนบรา

“ขอบคุณค่ะ” เด็กสาวละล่ำละลักขอบคุณเมื่อซิบรูดลงมาจนถึงสะโพกสองเท้ารีบก้าวยาวๆกลับเข้าห้องน้ำไปอีกครั้งที่รอยยิ้มอารมณ์ดีผุดขึ้นบนหน้าของโสรยา

มณีรัตน์เปิดประตูห้องน้ำออกมาสายตาเหลือบไปมองคนที่นอนเหยียดยาวอยู่บนเตียงเห็นว่าหล่อนเปลี่ยนชุดแล้ว ด้านนอกมีห้องน้ำอีกห้องคุณแววคงอาบที่นั่น

หลังจากอาบน้ำแล้วร่างกายก็สดชื่นแจ่มใสขึ้นมาความเหนื่อยล้าก่อนหน้านั้นก็เหือดหายไหลไปกับสายน้ำที่เย็นฉ่ำ เท้าน้อยๆค่อยๆเดินย่องออกไปจากห้องเพราะกลัวอีกฝ่ายจะตื่นเครื่องประดับถูกนำไปวางไว้บนโต๊ะ ส่วนชุดสวยถูกนำไปพาดไว้บนเก้าอี้

นิ้วเรียวกดเปิดทีวีก่อนจะเดินมานั่งที่โซฟาหยิบรีโมทขึ้นมาหรี่เสียงและกดเลือกช่องที่ตนสนใจ

“พระวรชายาชลลีหลางในสมเด็จพระนรราชวิษณุพร้อมคณะเสด็จเยือนประเทศไทย” เป็นเนื้อความจากข่าวต่างประเทศ มณีรัตน์มองดูข่าวอย่างสนใจ พระวรชายาชลลีหลางมีใบหน้าละม้ายกับผู้หญิงคนหนึ่งที่เธอรู้จักชื่อลินนี่เป็นอาสาสมัครเข้ามาดูแลเด็กที่มูลนิธิ ถึงจะไม่ได้มาบ่อยแต่เธอก็จำได้แม่นเพราะเห็นกันมาตั้งแต่เธอเริ่มรู้ความแต่ก็คงเป็นแค่คนหน้าคล้าย คุณน้าลินนี่ใจดีและและดีกับเธอมากนานมาแล้วที้ไม่ได้เจอ…คิดถึงจัง

“มณี” เสียงของหญิงสาวที่ชื่อลินนี่เรียกเด็กน้อยวัยห้าขวบที่ยืนอยู่กับพี่เลี้ยงประจำเด็กน้อยจำคุณน้าใจดีได้รีบวิ่งเข้าไปหาโถมตัวเข้าไปกอดอย่างแสนรัก อ้อมกอดที่แสนจะอบอุ่นนี้เธอไม่เคยลืมเลยกับความรู้สึกในใจที่โหยหาความรัก ความรักที่เธอต้องการเป็นเจ้าของและครอบครองได้อย่างแท้จริง

โสรยาเดินเข้าไปกดสวิตช์ปิดโทรทัศน์ก่อนจะหันมายืนมองเด็กสาวที่นอนเหยียดยาวหลับใหลอยู่บนโซฟาคิดในใจว่าทำไมหล่อนถึงต้องทำอะไรให้มันยุ่งยากแบบนี้ด้วยจะมานอนอะไรที่โซฟาทำไมไม่ไปนอนในห้อง

“มณี…” คำว่ามณีเข้าไปในโสตของเด็กสาวเสียงที่แสนจะไพเราะที่เธอจำมันได้ติดหูแบบมิมีวันลืมเลือน

“เป็นเด็กดีนะจ๊ะ น้าไปก่อนละ” เศร้าจัง ทำไมเธอถึงรู้สึกเศร้าอย่างนี้ในใจมันโหวงเหวงเบาหวิวเหมือนจะล่องลอยตามคุณน้าลินนี่ไป

ณ ที่แห่งหนึ่งมีอีกคนที่มีความฝันในแบบเดียวกันและก็เช่นกันกับในใจที่เศร้า เหงาลึกเกินบรรยาย

เมื่อเห็นเด็กสาวหลับลึกไม่ได้สติโสรยาจึงเดินกลับเข้าไปในห้องและกลับออกมาพร้อมผ้านวมผืนหนาจัดการห่มให้กับเด็กสาวก่อนจะเดินไปปรับแอร์และเดินกลับเข้าห้องไป เธอก็แค่มีน้ำใจ

บรรเจิดสะดุ้งตื่นลืมตาเมื่อมือถือที่วางไว้หน้าคอนโซลรถทั้งสั่นทั้งดัง มือหยาบกร้านหยิบมือถือขึ้นมาดูตายังปรือเพราะอยู่ในระยะปรับแสง

“ครับลุง

…

ครับๆ” จากนั้นสายก็ถูกตัดไปมือถูกโยนกลับไปที่คอนโชลบ่งบอกอารมณ์ขุ่นมัว

“กลับ!!” เสียงดังออกไปนอกรถ ไม่นานสมุนทั้งสองก็เข้ามานั่งในรถและขับออกไปบรรเจิดนั่งกัดฟันกรอดๆด้วยความโกรธเคืองที่ถูกลุงของตนด่าว่าในสิ่งที่ตนกับพวกกำลังคิดทำก็ไม่พ้นรับรู้เรื่องจากคนบ้านในนี้

เหอะ! ไม่ว่ายังไงมณีก็ต้องกลับเชียงใหม่และเมื่อถึงเวลานั้นใครก็อย่าคิดเข้ามาแส่ แม้แต่ลุงก็เถอะ

เมื่อวางสายจากหลานชาย ส..สมคิดก็เขวี้ยงโทรศัพท์มือถือไปบนโซฟาโกรธเกรี้ยวและเป็นกังกลกับความบ้าปิ่นเอาแต่ใจของเจ้าหลานตัวดีนี่ถึงขนาดหัวหน้าพรรคสายตรงมาด้วยตัวเองแสดงว่าคนที่เจ้าหลานตัวดีไปมีปัญหาด้วยต้องเป็นของแข็งที่คนสำคัญของประเทศยังต้องเกรงใจ

นิพาผ่านมาได้ยินลุงสมคิดพูดสายกับสามีของตนพอดีนัยน์ตาว่างเปล่าไร้ความรู้สึกใดเพราะคนที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีมีความหมายดั่งเป็นสุญญากาศทำไมหนาคนเลวๆแบบนั้นถึงไม่มอดไหม้หายไปจากโลกนี้เสียทีหญิงสาวเดินออกไปจากตรงนั้น เหม่อมองออกไปเบื้องหน้าดั่งไร้จุดหมายให้เป็นเธอก็ได้นะที่จะเป็นฝ่ายหายไปจากโลกนี้! เพราะทุกวันนี้มีเธอก็เหมือนไม่มีอยู่แล้วและเธอเองก็ไม่มีความหมายสำหรับใครเหมือนกัน


เด็กสาวพลิกตัวไปมามีความสุขอยู่กับอากาศเย็นๆของเครื่องปรับอากาศและอบอุ่นไปกับผ้านวมผืนหนา แต่… เด็กสาวลืมตาขึ้นเมื่อรู้สึกได้ถึงความไม่ปกติ แปลกใจกับผ้าห่มบนตัวที่คิดไปคิดมาก็คงจะเป็นใครไปไม่ได้หรอกที่เป็นคนนำมาห่มให้เธอนอกจาก…

โสรยาปรือตาลืมขึ้นขยับเนื้อตัวเพื่อขับไล่ความปวดเมื่อยแต่เมื่อนึกอะไรขึ้นได้ก็รีบดีดตัวลุกขึ้นเดินออกมาข้างนอกทันที สาดส่ายสายตาเพื่อหาบางสิ่งแต่ก็ไม่เจอใจหายวาบเมื่อนึกถึงเครื่องเพชรของคุณแม่ราคาเรือนแสนหากมันจะหายไปกับเด็กคนนั้น

“ตื่นแล้วเหรอคะ มณีเตรียมอาหารเช้าเรียบร้อยแล้วนะคะ” หญิงสาวร่างสูงหันไปมองที่ต้นเสียงเห็นเด็กสาวอยู่ในชุดเสื้อผ้าของตนแต่ก็ถูกคลุมทับด้วยผ้าขนหนูอีกชั้น แล้วทำไมต้องทำแบบนั้น มันหนาวมากหรือไง?

“เอาอะไรไปพันตัวไว้เยอะแยะทำไม” เมื่อสงสัยก็ต้องถาม

“คือมณี…” หน้าที่แดงกล่ำทำให้พอประติประต่อได้ว่าน่าจะเป็นเรื่องใด… เรื่องโนบรา

“ตอบมาซิ” รู้แต่อยากแกล้ง ก็แก้มขาวใสๆเวลามันแดงขึ้นมามันน่าดูจะตาย

“คุณแววอย่าสนใจเรื่องของมณีเลยค่ะ ไปล้างหน้าแปรงฟันแล้วไปทานอาหารเช้าเถอะนะคะมณีเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว”เด็กสาวเดินกลับเข้าไปที่โต๊ะอาหารแก้เก้อ อีกคนแทนที่จะไปแปรงฟันตามคำแนะนำกลับเดินตามเด็กสาวเข้าไปก็จะอาบน้ำค่อยแปรงพอกันเลยกับพี่สาวคนโตเพราะเก็บความลับกันเก่งนิสัยมักง่ายนี้แม่จึงไม่รู้ไม่อย่างนั้นคงจะหลังลายหายจากอาการขี้เกียจแปรงฟันไปนานแล้ว

บนโต๊ะมีอาหารอยู่2 อย่าง คือกระเพราหมูกรอบที่ป้าวารีปรุงและผัดมาให้เรียบร้อยแล้วแต่ก็ได้แยกใบกระเพราสดมาเพื่อใส่ตอนอุ่นอาหารอีกอย่างคือไข่เจียวที่มณีเห็นว่ามีไข่อยู่ก็เลยจัดการทอดให้ โสรยานั่งลงมองอาหารบนโต๊ะอย่างสนใจที่สำคัญตอนนี้เธอหิวมากเพราะลูกๆบ้านศิราณุวัฒน์ติดอาหารเช้ากันหมดทุกคน ข้าวร้อนๆถูกตักมาวางตรงหน้า แต่…

“คุณแวว…ยังไม่ได้ล้างหน้าแปรงฟันเลยนะคะ” เด็กสาวถามออกไปน้ำเสียงแผ่วเบาไม่มีพลังเพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะอยู่ในอารมณ์ไหนโสรยาพยักหน้าน้อยๆมือก็สาระวนกับอาหารตรงหน้าไม่สนใจจะตอบคำถาม

“ข้าวเธอละ”ถามออกไปเมื่อไม่เห็นมีจานข้าวอีกจานแถมเด็กสาวก็ยังยืนสงบเสงี่ยมดั่งกับเป็นคนรับใช้

“คุณแววทานก่อนเถอะคะ มณียังไม่หิว”เด็กสาวตอบไม่ตรงใจ ก็เธอวางตัวไม่ถูก

“ทานพร้อมกันเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวเราต้องออกไปข้างนอกกัน”เด็กสาวยังยืนนิ่งครุ่นคิดไม่ตกที่ก็ไม่รู้ว่าคิดอะไรรู้แค่ว่าอึดอัดเสมอเวลาที่ต้องอยู่ตามลำพังกับคุณแวว

“มณีขอรออยู่ที่นี่ดีกว่านะคะ จะได้ไม่ต้องไปเกะกะรบกวนคุณแวว” อันนี้ถือเป็นคำตอบที่ตรงใจตัวเอง ก็เธอไม่เคยทำอะไรถูกใจคุณแววเลยสักอย่างแล้วจะไปให้เกะกะสายตาคุณแววทำไม

“ใครเขาจะปล่อยให้เธออยู่ที่นี่คนเดียวเผื่อเธอพาพวกมายกเค้าห้องฉันก็แย่กันพอดี” เพ้อเจ้อพูดไปอย่างนั้นก็ความจริงมันทำได้แบบนั้นที่ไหนก็ถ้าไม่ใช่คนในโครงการจะเข้าจะออกที่นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายโดยเฉพาะการขนย้ายจะทำได้ก็ต่อเมื่อได้รับแจ้งจากเจ้าของห้องเป็นลายลักษณ์อักษรก่อนเท่านั้นเด็กสาวใจเจ็บแปลบกับคำพูดร้ายๆ

“งั้น…มณีขอร้องคุณแววอย่างหนึ่งได้ไหมคะ” เด็กสาวรวบรวมความกล้า

“อะไร” โสรยามองอย่างสนใจ

“คุณแววช่วยไปส่งมณีที่ขนส่ง และส่งค่ารถให้มณีกลับเชียงใหม่จะได้ไหมคะ” ใช่! จะได้ไหมตอนนี้เธอต้องการความเมตตาจากคุณแววโสรยานิ่งไปกับคำขอร้อง ในสมองสับสนวนไปมาระหว่างปล่อยเด็กคนนี้ออกไปให้หมดปัญหากับต้องดูแลรักษาไว้ให้ดีตามคำสั่งของพ่อกับแม่

“นะคะคุณแวว คุณแววจะได้ไม่ต้องมาวุ่นวายใจเพราะมณีอีก” เด็กสาววิงวอนทั้งทางสายตาและน้ำเสียงเล่นเอาผู้ใหญ่มือไม้อ่อนสมองเริ่มคล้อยตามแต่…โสรยาลุกขึ้นแบบดีดสปริงเมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือที่วางไว้บนโต๊ะในห้องรับแขกมณีรัตน์เพียงมองตาม ไม่ได้เดินตามไปเพราะรู้มารยาทดี




 

Create Date : 07 มิถุนายน 2557    
Last Update : 7 มิถุนายน 2557 10:36:26 น.
Counter : 811 Pageviews.  

ยามเมื่อความรักเพรียกหา 13

“ฉันเป็นห่วงหนูมณีจังเลยค่ะ” คุณหญิงพูดขึ้นเมื่ออยู่ตามลำพังกับสามี

“จะห่วงทำไม ก็มณีเขาอยู่กับแวว”

“ห่วงตรงนี้แหละค่ะ” คุณหญิงไม่อ้อมค้อม

“เจ้านั้นเขายิ่งดื้อแพ่งเก่งต่อต้านอยู่ด้วยฉันกลัวจะไปลงกับหนูมณี”

“แต่คุณหญิงก็อย่าลืมนะว่าลูกแววของเราเป็นคนจิตใจดีต่อให้ร้ายแค่ไหน ก็ยังอยู่บนพื้นฐานของการเป็นคนดี คุณหญิงไม่ต้องห่วงหรอกนะจ๊ะความน่ารักและอ่อนโยนของมณีจะเป็นเกราะหุ้มตัวของเขาเอง”ท่านสมชาติให้เหตุผล ก่อนจะเดินไปประคองกันไปนั่งลงบนเตียง

“นอนเถอะ พรุ่งนี้ค่อยโทรไปถามไถ่กันแต่เช้า”

“ค่ะ” คุณหญิงพยักหน้าน้อยๆทิ้งตัวนอนลงไปอย่างว่าง่ายโดยท่านสมชาติได้ลุกขึ้นยืนเพื่อห่มผ้าดูแลความเรียบร้อยให้จนเสร็จก่อนจะเดินไปนอนฝั่งของตัวเองและขยับเข้าหาโอบกอดเพื่อแบ่งปันไออุ่นและความรักไม่ว่าจะผ่านมานานแค่ไหน เราทั้งสองก็ยังมีความสุขกับการได้โอบกอดกันแบบนี้

โสรยาควานหามือถือที่กำลังสั่นอยู่แต่ก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไรเพราะกระเป๋าใบนิดเดียว

“จ้าสร

…

แววกลับออกมาแล้วจ้ะ พอดีมีธุระด่วนขอโทษทีนะที่ไม่ได้บอกก่อนและไม่ได้อยู่เป่าเค้ก

…

จ้ะ ขอให้สรมีความสุขมากๆตั้งแต่วินาทีนี้ ยาวจนตลอดไปเลยนะ

…

จ้ะ แล้วเจอกัน” สายถูกวางไปในใจเลื่อนลอยก่อนจะปลายตามองเด็กสาว…ตัวปัญหา

โสรยาหักพวงมาลัยเข้าไปในปั้มน้ำมันเพื่อเติมน้ำมันและเข้าห้องน้ำหลังจากเข้าห้องน้ำเสร็จมณีรัตน์ก็เดินเอื่อยๆมายืนรอข้างรถท่าทีอ่อนแรงเพราะหิวและเพราะนั่งรถมาระยะไกลหลายชั่วโมง

โสรยาเดินกลับมาที่รถพร้อมกับถุงร้านสะดวกซื้อใบใหญ่เมื่อเข้าไปในรถถุงก็ถูกนำไปวางไว้บนตักของอีกคน

“อะไรกันคะ” เด็กสาวถามออกไป

“น้ำ ขนมทานรองท้องไปก่อน” น้ำเสียงแม้จะราบเรียบเย็นชาแต่ก็พอจะมีไอของความอาทรอยู่บ้าง

“ขอบคุณค่ะ” ตอบกลับไปแต่ยังไม่มีท่าทีจะหยิบจับหรือสนใจกับข้าวของบนตัก

“แกะขนมให้หน่อย” โสรยาพูดขึ้นลอยๆ แต่เด็กสาวก็รู้งานยอมเปิดถุงที่อยู่บนตักออกดู

“จะทานขนมอะไรคะ”

“อะไรก็ได้”

“มณีดูทั่วแล้วไม่มีอะไรก็ได้ที่คุณต้องการค่ะ” หือ…โสรยาหันมองให้แน่ใจว่าเป็นเด็กสาวหน้าตาใสซื่อจริงๆที่พูดประโยคนี้

“แซนวิชแฮมชีส” เมื่อได้รับออร์เดอร์แล้วเด็กสาวจึงค้นหาอีกรอบและหยิบมันออกมายื่นให้

“เอาออกจากซองด้วยซิ” เสียงถอนหายใจดังออกมาแบบไม่เก็บอาการเพราะขัดใจแต่ก็จำต้องทำตามคำขอด้วยอ่อนวัยกว่า จากนั้นขนมก็ถูกยื่นส่งให้คนร้องขอ

“ไม่เห็นหรือไงว่าฉันขับรถอยู่” แล้วยังไง? เด็กสาวไม่แจ้งใจ

“ป้อนฉันด้วยซิ” หือ…

“เร็วๆฉันหิว” อีกครั้งกับการต้องทำอะไรที่ฝืนใจ แต่ขนมก็หอมเชียวเสียงท้องร้องทำให้โสรยาแอบอมยิ้มก่อนจะหันมาทำเข้มใส่ ขนมถูกยื่นไปที่ปากด้วยความระมัดระวังพยายามไม่ให้อีกฝ่ายเสียสมาธิในการขับรถ

“อร่อยดีนะ เธอก็ทานด้วยซิยังไม่ได้ทานอะไรเลยไม่ใช่เหรอ”

“ขอบคุณค่ะ” … เท่านั้น

“ถ้าฉันได้ยินเสียงท้องเธอร้องอีกฉันจะเอาแซนวิชยีหัวเธอ” คิดได้เท่านี้แหละคำที่แสดงว่าห่วงใยเด็กสาวข่มใจสุดกำลังกับคำพูดร้ายกาจ

“พอแล้ว ขอน้ำ” เด็กสาวจัดการเปิดขวดก่อนจะยื่นไปอำนวยความสะดวกให้

เมื่อดูแลอีกฝ่ายเสร็จเรียบร้อยแซนวิชที่เหลืออีกชิ้นจึงถูกหยิบขึ้นมาทานใช่ เธอกลัวคำขู่ ก็คุณแววใจร้าย!!

เมื่อหนังท้องตึงหนังตาก็หย่อนเกินจะต้านทานความง่วงเหงาเด็กสาวจึงหลับใหลลงไปในที่สุดนานแสนนานกับภาพความฝันวันเก่าๆที่ลางเลือน

ณ มูลนิธิเด็กบ้านไกลในวันวาน

“แม่ของมณีเป็นใครเหรอคะ” เด็กน้อยเจื้อยแจ้วถามพี่เลี้ยง นัยน์ตาใสซื่อพาให้ใจคนมองพลอยสลด

“แม่ของมณีเป็นนางฟ้าแสนสวยที่อยู่บนสวรรค์จ้ะ”

“มณีอยากไปหาแม่ที่สวรรค์” เด็กน้อยยังเจื้อยแจ้วไร้เดียงสาร่างเล็กของเด็กเจ้าคำถามถูกพี่เลี้ยงรวบเข้ามากอด เพื่อหวังเติมเต็มใจให้

“ได้ซิจ๊ะแต่มณีต้องทำความดีให้มากๆนะ เพราะคนที่จะไปสวรรค์ได้ต้องเป็นคนที่ดีมากๆเท่านั้น”

“มณีจะเป็นเด็กดีจะทำความดีค่ะ มณีจะได้ไปหาแม่ที่สวรรค์”เมื่อได้คำตอบที่ต้องการแล้วเด็กหญิงตัวน้อยวัย 4ขวบก็ผละออกไปจากอ้อมแขน เดินเก็บของเล่นที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วห้องเป็นการเริ่มต้นทำความดีเพื่อหวังจะได้ไปสวรรค์…ไปพบแม่

นารีมองเด็กน้อยโดยมีน้ำคลออยู่นัยน์ตามณีเป็นเด็กน่ารัก จิตใจดี แถมยังฉลาดมากๆด้วยเธอคาดหวังอยากให้มีครอบครัวดีๆสักครอบครัวรับเด็กน้อยคนนี้ไปอุปการะที่ผ่านมาก็ใช่ว่าจะไม่มีแต่เพราะท่านพินิจไม่เคยอนุมัติให้ผ่านเลยสักครั้งต่างหาก

โสรยาดับเครื่องลงเมื่อถึงที่หมายหันมองเด็กสาวเห็นว่าหลับอยู่กะว่าจะเดินลงไปปลุกแต่เสียงปิด เปิดประตูก็ไม่ได้ทำให้เด็กสาวตื่นขึ้นมาจากภวังค์แห่งการหลับใหล

“นางฟ้า มณี…” เสียงงึมงำๆอยู่ในลำคอทำให้โสรยาต้องเงี่ยหูเข้าไปใกล้ๆอย่างสนใจก็ทำไปโดยไร้สติเพียงเพราะชั่ววูบของความอยากรู้อยากเห็นและต่างใจหายเมื่อเด็กสาวลืมตาขึ้นมาเจอกับใบหน้าเนียนใสที่อยู่ในระยะลมหายใจเป่าถึง

“คุณแวว” เด็กสาวอุทานออกมา ต่างคนต่างถอยหน้าออกจากกันเป็นอัตโนมัติเพราะตกใจ

“ลงมาได้แล้ว” โสรยาทำเสียงเข้มกลบเกลื่อนเบี่ยงประเด็นเดินห่างออกไป แต่…

“คุณไปทำธุระเถอะค่ะมณีจะรออยู่ที่รถ” เด็กสาวยื่นมือไปปิดประตู เธอไม่ไปไหนกับคุณแววหรอกตัวอันตรายแบบนั้นโสรยามองเด็กสาวหน้ามึนผ่านกระจกก่อนจะเดินกลับมาด้วยความหัวเสียในความดื้อรั้น

“จะนั่งอยู่ในรถรอยามมาลากไปข่มขืนเหรอแล้วไม่เห็นหรือไงว่าตรงนี้มันทั้งมืด ทั้งปลอดสายตาคน”โสรยาก็พูดหลอกเด็กไปเรื่อยเพราะรู้ดีว่าระบบความปลอดภัยของที่นี่มาตรฐานสูงพอๆกับราคาที่สูงลิบลิ่วของคอนโดในโครงการมีกล้องวงจรปิดอยู่ทุกจุดในอาคารแห่งนี้ เด็กสาวมองไปรอบๆ ก็เห็นด้วยกับคำขู่

“ตามใจนะ” พูดจบก็หันเดินออกไป ตามใจจริงๆ อยากอยู่ตรงนี้ก็อยู่เธอเพลียมากอยากพักผ่อนจะแย่ละ

“รอมณีด้วยค่ะ” เด็กสาวจำใจต้องออกจากรถวิ่งตามไป เมื่อเห็นเด็กออกมาจากรถแล้วโสรยาจึงใช้รีโมทกดล็อครถและเดินนำเข้าตัวอาคารไปเด็กสาวเดินตามไปใจคอไม่ดีเลย ที่นี่ที่ไหน? แล้วคุณแววพาเธอมาที่นี่ทำไม?อยากรู้แต่ไม่กล้าถามกลัวคำพูดร้ายๆ จากคนใจร้าย

โสรยาเดินตรงไปยังลิฟต์สายตาปลายมองเด็กสาวเป็นระยะๆแอบอมยิ้มกับภาพความหวาดหวั่นและความไม่มั่นใจของหล่อนว่าแต่หล่อนจะกลัวอะไรเธอนักหนา ทั้งที่เธอเป็นคนช่วยเหลือตัวเองให้รอดพ้นจากปากเสือปากจระเข้แท้ๆก็คิดไปเรื่อยโดยลืมไปว่าเด็กสาวยังไม่รู้เรื่องนี้

ทางเดินเป็นทางยาวสองฟากฝั่งมีมากมายหลากหลายห้องโรงแรม! คำนี้ผุดขึ้นมาในหัวทำให้สองเท้าชะงักหยุดลงจะมีเหตุผลอะไรที่คุณแววจะพาเธอมาที่โรงแรม ถ้าไม่ใช่เพื่อ…

“หยุดทำไม” ร่างที่บางกว่าสะดุ้งเล็กๆ ความมั่นใจที่มีอยู่น้อยนิดหล่นหายไปจนหมดจากน้ำเสียงและแววตา

“มณี…” เด็กสาวเสียงอ่อยนัยน์ตาสับสนหากก้าวตามไปต่อก็สุ่มเสียงเหลือเกินกับเรื่องที่กลัว เรื่องรสนิยมของคุณแวว

หนี!! ใช่ หนี เด็กสาวตัดสินใจกลับตัววิ่งออกไปจากตรงนั้นไปตายเอาดาบหน้าซะดีกว่าที่จะยอมให้เกิดเรื่องแบบนั้น แต่เจ้าส้นสูงที่ใส่อยู่กำลังสร้างปัญหาเพราะเธอทั้งเจ็บทั้งปวดเท้าทำให้วิ่งได้ไม่เร็วต่างกับอีกคนที่คุ้นชินกับการใส่ส้นสูงอย่างโสรยาเพราะได้ใส่ไปทำงานทุกวันทำให้คล่องตัวมากกว่า สาวเท้าไม่กี่ก้าวก็ตามทันกัน

“ว้าย!!” ร่างที่บางกว่าถลากลับปะทะกับอกของคนดึง

“จะไปไหน” เด็กสาวร้อนรนหลบตาอย่างเอาเป็นเอาตายเพราะสัมผัสได้ถึงน้ำเสียงที่ขุ่นมัวและสัมผัสที่รุนแรง

“มณี… มณี” …

“เธอกลัวฉันมากเลยหรือไง” ร่างที่สูงกว่าเข้ามาจนชิดพวงแก้ม สนุกเขาละกับท่าทางตื่นกลัวของเด็กน้อย

“ค่ะ มณีกลัวคุณแวว” เด็กสาวเสียงเบาหวิวเพราะหวั่นไหว ตอบตรงอย่างใจคิด ก็เธอไม่ชอบโกหก

“กลัวฉันจะทำอะไรเธอเหรอ” ยัง ยังไม่เลิกแกล้งเด็ก

“…”

“สวัสดีค่ะคุณแวว” โสรยาปล่อยมือจากเด็กสาวก่อนจะหันไปมองต้นเสียง

“สวัสดีค่ะป้าวารี” โสรยานอบน้อมกับผู้ที่สูงวัยกว่า ไม่ถือตัวว่าป้าวารีเป็นแค่แม่บ้านที่รับจ้างดูแลคอนโดให้เธอ

“มากันเหนื่อยๆไปพักผ่อนที่ห้องกันก่อนเถอะค่ะ” ป้าวารีแย้มยิ้มนอบน้อม หลายปีมาแล้วที่เธอดูแลคอนโดแห่งนี้ให้คุณแววคุณแววใจดีและมีน้ำใจเล็กๆน้อยๆมาถึงเธอเสมอ

“ไปค่ะ” หญิงวัยกลางคนเดินนำออกไป ป้าวารีเป็นคนขายอาหารตามสั่งอยู่ใกล้ๆแถวนี้แม้ทำเลแถวนี้จะเป็นแหล่งท่องเที่ยวมีชื่อแต่ป้าแกกลับขายอาหารในราคาที่เธอเคยเปรียบเปรยว่าเป็นราคาหน้ารามเพราะราคาถูกมากหากเทียบกับทำเลที่ต่างกันอย่างมหาศาลระหว่างหน้ามหาวิทยาลัยรามคำแหงกับ ครัวริมทะเลหัวหิน โดยป้าให้เหตุผลมาว่าที่นี่ไม่ได้มีแค่นักท่องเที่ยวแต่ยังมีคนหาเช้ากินค่ำคนในพื้นที่ที่ไม่ได้มีรายได้มากนักปะปนอยู่ด้วย ป้าก็คิดแค่ช่วยๆกันไปก็ได้กำไรอยู่บ้าง

เธอมาพักที่คอนโดแห่งนี้ตอนเสร็จใหม่ๆและได้ไปอุดหนุนอาหารร้านป้าวารีหลายครั้งและได้พูดคุยกันมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ได้เห็นถึงความซื่อสัตย์และมีน้ำใจจึงติดต่อให้แกมาดูแลคอนโดให้ และแกเองก็ยินดี เพราะถือเป็นรายได้เพิ่มที่แลกจากแรงกายจากเวลาที่เหลือโดยไม่มีต้นทุน

ป้าวารีจัดการเปิดประตูห้องและเดินนำเข้าไป

“ป้าเอาข้าวสวยและกับข้าวของชอบคุณแวว4-5 อย่างแช่ไว้ที่ช่องแช่เข็งนะคะหิวเมื่อไหร่ก็แค่เอาออกมาเวฟ ข้าวของในห้องพร้อมใช้งานค่ะป้าดูแลให้หมดทุกอย่างแล้ว”

“ขอบคุณป้ามากค่ะ” อีกครั้งที่โสรยายกมือไหว้ เธอเห็นป้าวารีเป็นญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง

“แล้วหนูคนนี้ชื่ออะไรคะหน้าสวยอย่างกับดารา สวยคนละแบบกับคุณแวว”ป้าวารีชื่นชมจริงใจมองหญิงสาวรูปร่างสูงโปร่งทั้งคู่ไปมา เด็กสาวอายม้วนเอาหน้าหลบไปที่หลังของคนพามาทำไปโดยไม่รู้ตัว

“ชื่อมณี” เท่านั้น

“ขอบใจป้ามากนะคะ แววขอตัวพักผ่อนก่อน” อ่าว… เด็กสาวใจหายที่ได้ยินแบบนี้ก็มันหมายถึงเธอกับคุณแววจะต้องอยู่ด้วยกันตามลำพังแล้วนะซิ

“ค่ะพักผ่อนกันให้สบายนะคะ มีอะไรก็โทรเรียกใช้ป้าได้ตลอด”เมื่อประตูห้องปิดลงกลับมาสู่โหมดของการอยู่กันตามลำพังเด็กสาวก็ร้อนรนวอกแวกจนอีกฝ่ายดูออกแต่ก็ทำเป็นไม่สนใจเพราะกำลังอยู่ในโหมดของความเหนื่อยล้า รองเท้าส้นสูงถูกถอดออกไว้หน้าห้องกระเด็นกระดอนไร้ระเบียบก่อนขายาวๆจะก้าวเดินเข้าไปในห้องเด็กสาวได้เพียงมองตามตาปริบๆจนลับตาไปก่อนจะถอดรองเท้าของตนเองบ้างเพราะทรมานเท้าจะแย่แล้วแถมยังปวดขาแบบสุดๆ รองเท้าถูกนำไปวางไว้บนชั้นรองเท้า และก็อดไม่ได้ที่ต้องหยิบอีกคู่ไปวางให้เป็นระเบียบด้วย




 

Create Date : 29 พฤษภาคม 2557    
Last Update : 29 พฤษภาคม 2557 13:02:37 น.
Counter : 509 Pageviews.  

ยามเมื่อความรักเพรียกหา 12

ในขณะที่ทุกคนอยู่พร้อมหน้าบนโต๊ะอาหารเย็นจะขาดไปก็แต่

โสรยาเพราะไปงานวันเกิดเพื่อนกับมณีรัตน์ป้าศรีเดินเข้าไปยืนตรงกลางระหว่างคุณท่านกับคุณหญิง

“รปภ.แจ้งเข้ามาว่า มีกลุ่มชายฉกรรจ์วนเวียนอยู่หน้าบ้านบอกว่าคุ้นหน้าคล้ายกับกลุ่มคนที่เข้ามาพบท่านเมื่อวันก่อนค่ะ” ท่านสุชาติพยักหน้าน้อยๆเข้าใจเกมโดยง่าย

“โทรไปบอกแววว่าให้พาหนูมณีไปอยู่ที่อื่นก่อนเหตุการณ์ปกติเมื่อไหร่จะโทรไปบอก”

“ค่ะ” ป้าศรีรับคำสั่งก่อนจะเดินออกไปสองสามีภรรยามองหน้ากันก่อนจะหันไปสนใจทานอาหารดั่งไม่มีเรื่องราวใดๆลูกๆทุกคนก็เช่นกัน เพราะความมั่นใจในทุกสิ่งที่มี ที่เป็นทำให้ไม่มีใครหวั่นเกรงหรือหวาดกลัวอะไรใดๆ หากเรายืนอยู่บนความถูกต้องคนเลวต่างหาก ที่จะต้องกลัวเรา

โสรยาเดินนำเข้าไปภายในบ้านเธอคุ้นชินกับที่นี่ดีเพราะมาบ่อยสมัยที่เป็นนักศึกษาปกรณ์และมนฤดีนั่งรอรับแขกของลูกสาวอยู่ในห้องรับแขกเมื่อสมควรแก่เวลาก็จะออกไปร่วมสังสรรค์ด้านนอก

ปกรณ์ ในขณะนี้เป็นชายวัยเกินกลางคนเกษียณอายุราชการมาได้สักพักแล้วแต่ยังดำรงตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาให้กับสํานักงานปลัดกระทรวงยุติธรรมส่วนมนฤดีทำธุรกิจเกี่ยวกับความงามครบวงจรของสุภาพสตรี

“ท่านปกรณ์” เป็นเสียงของมณีรัตน์ เด็กสาวทรุดตัวลงและคลานเข่าเข้าไปหาทันทีส่วนโสรยาเพียงมองตามงงๆเพราะยังประมวลอะไรไม่ได้

“มณี! มาที่นี่ได้ยังไง”ปกรณ์ยิ้มเต็มหน้ายินดีกับการได้พบเจอเด็กสาวที่เห็นกันมาแต่อ้อนแต่ออก เพราะเมื่อตอนรับราชการใหม่ๆท่านได้ถูกส่งไปเป็นปลัดอำเภอประจำการอยู่ในท้องที่หนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่อยู่หลายปีและก็ได้กลับไปเยี่ยมเยียนอยู่ทุกปีเพราะผูกพันกับคนในพื้นที่

“มณีดีใจมากๆเลยค่ะที่ได้พบท่านค่ะที่นี่” เด็กสาวน้ำตาคลอท่านปกรณ์เป็นผู้ใหญ่ใจดีที่สนับสนุนมูลนิธิมาตลอดไม่เคยขาด แถมท่านยังเอ็นดูเธอมากๆและใจดีกับเธอเสมอโสรยาเดินเข้ามานั่งที่โซฟากล่าวสวัสดีผู้ใหญ่ทั้งสองเมื่อได้จังหวะยังงงงวยกับเหตุการณ์ตรงหน้า

“ใครกันคะคุณ” มนฤดีเลิกคิ้วงงงวยไม่ต่างกับโสรยา

“เด็กที่มูลนิธิเด็กบ้านไกลนะ มูลนิธิที่ผมให้เงินช่วยเหลืออยู่เสมอๆ” ปกรณ์ตอบออกไป มนฤดีพยักหน้าน้อยๆพอจะคุ้นหูอยู่บ้างแต่มูลนิธิเล็กๆในต่างจังหวัดแบบนั้นเธอไม่สนใจหรอกช่วยเหลือไปก็ยากที่จะเป็นข่าว สู้มูลนิธิใหญ่ๆในเมืองไม่ได้สำหรับเธอการให้ความช่วยเหลือกับมูลนิธิต่างๆก็คือการทำการตลาดอย่างหนึ่งด้านการส่งเสริมภาพพจน์ที่ดีที่มันจะมีผลต่อความน่าเชื่อถือทางธุรกิจ

“มณีกราบคุณหญิงเสียซิคุณมนเป็นภรรยาของฉัน” มณีรัตน์ก้มลงกราบงดงาม

“ไหว้พระเถอะจ้ะ” พูดส่งๆออกไปแบบรักษามารยาทเพราะมีโสรยาเพื่อนของลูกสาวนั่งอยู่ด้วย คนจรหมอนหมิ่นแบบนั้นไม่จำเป็นก็ไม่อยากจะเสวนา

“ไม่รู้มาก่อนเลยค่ะว่าคุณลุงรู้จักมณีด้วย” โสรยาได้โอกาสพูดบ้าง รู้สึกได้ว่าตนผิดคิวกับเรื่องนี้อยู่หลายอย่าง

“เอ่า!ทำไมแววจะไม่รู้ละ ก็ลุงยังเคยถามหนูแววเลยว่าสนใจจะสนับสนุนทุนการศึกษาเด็กไหมหนูแววก็บอกว่าสนใจและเอาเอกสารมาให้ลุงจนครบ” โสรยาคิดตามใช่! แต่มันนานมากจะเธอลืมไปแล้ว ก็ตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยมณีเองก็สนใจกับเรื่องนี้มาก

“แววจำได้แล้วค่ะ แต่ว่าแวว…”

“ทักทายกันนานจังนะคะ” เสียงของนภัสรดังเข้ามาทำให้การสนทนาต้องหยุดลง

“อาหารจะเย็นชืดหมดแล้วนะแวว” นภัสรไม่สนใจว่าก่อนหน้านี้ทุกคนกำลังคุยเรื่องอะไรกันอยู่เพราะเธอเองก็ไม่ต่างจากแม่ที่ไม่สนใจเรื่องของคนอื่นคนอื่นในที่นี้ก็คงจะหนีไม่พ้น…แขกไม่ได้รับเชิญ

“สรขอตัวแววก่อนนะคะคุณพ่อคุณแม่เพื่อนๆมากันหลายคนแล้ว” มือเรียวจับไปที่แขนเพื่อนสนิทดึงให้ลุกขึ้นเมื่อได้สัมผัสกับคนที่ตนแอบรักก็ทำให้หลงลืมไปได้ทุกอย่าง

“แววขอตัวก่อนนะคะคุณลุงคุณป้า” โสรยาละล่ำละลักร่ำลา

“แหม…เดี๋ยวคุณพ่อกับคุณแม่ก็ออกตามไปจ้ะ” นภัสรหมันไส้ในความไม่เป็นธรรมชาติของเพื่อนสาว โสรยาเพียงยิ้มแหยๆก่อนจะปลิวติดมือเพื่อนสาวออกไปลืมไปเลยว่ามีเด็กสาวมาด้วยมณีรัตน์มองตามนัยน์ตาว่างเปล่า

“มณีขอตัวก่อนนะคะท่าน” แม้จะอยากอยู่สนทนากับท่านปกรณ์ต่อแต่เพราะท่านไม่ได้อยู่เพียงลำพังและสังเกตจากแววตาคุณหญิงของท่านก็ไม่ได้มีไมตรีที่ดีนักอยู่ต่อไปก็รังแต่จะเป็นตัวทำลายบรรยากาศที่ดีๆ

“มณีจะพักอยู่ที่บ้านท่านสมชาติจนถึงเมื่อไหร่” เป็นความห่วงใยอยู่ลึกๆของผู้ใหญ่ที่มีเมตตาหากเป็นไปได้ก็อยากจะรับมาดูแลเสียเองเพราะเป็นคนคุ้นเคยแต่ก็ติดว่าจะเกิดปัญหากับคุณหญิง

“สักระยะค่ะ คือตอนนี้มีปัญหาบางอย่างทำให้มณียังกลับมูลนิธิไม่ได้” เด็กสาวเสียงอ่อยลำบากใจที่จะพูด

“ฉันเข้าใจหากมีอะไรฉันจะติดต่อไปที่บ้านท่านสมชาติแล้วกัน”

“ค่ะท่าน มณีลาก่อนนะคะ” เด็กสาวประนมมืองดงามกราบลา ก่อนจะคลานเข่าออกไป

มณีรัตน์มองผู้คนมากมายที่ต่างแต่งกายด้วยชุดที่สวยงามแปลกตาภาพแบบนี้เธอจะได้เห็นก็ต่อเมื่อที่มหาวิทยาลัยมีการจัดงานหรือมีงานแสดงเท่านั้นแหละ ขาเรียวยาวเป็นสง่าก้าวเดินออกไปสายตาสาดส่ายหาคนที่พาตนมาแต่ก็ไม่เห็น จึงเดินหลบเลี่ยงผู้คนไปนั่งอยู่ใกล้ๆรถที่ตนนั่งมา

โสรยายิ้มแย้มกับกลุ่มเพื่อนของนภัสรและเพื่อนที่เรียนมหาวิทยาลัยมาด้วยกันก็ไม่ได้ชอบนักหรอกกับบรรยากาศรื่นเริงกับผู้คนมากมายแต่เพราะมันจะเป็นเหตุผลให้เธอได้มาอยู่ใกล้ชิดกับสรแบบไม่ตะขิดตะขวงใจ

“พี่หนึ่งละ”โสรยาหันไปถามนภัสร

“เห็นมีสายเข้ามาแล้วพี่หนึ่งก็ขอตัวและเร่งรีบขับรถออกไปน่าจะเป็นเรื่องงาน” อ่อ เป็นแบบนี้นี่เองสรถึงได้หันมาสนใจเธอทำไมเธอจะดูไม่ออกว่าสรคิดยังไงกับพี่หนึ่งและเธอก็รู้ด้วยว่าพี่หนึ่งไม่ได้เอ็นดูสรเกินน้องสาวเพราะแบบนี้ไง เพราะสรยังไม่ได้คบหากับใครจริงจังเธอถึงยังบ้าบอตอแยสรอยู่ในใจเงียบๆแบบนี้

ครืดๆโสรยาสัมผัสได้ถึงแรงสั่นของมือถือในกระเป๋า เมื่อหยิบออกมาดูก็เห็นว่าเป็นเบอร์ของที่บ้าน

“ขอตัวแป็บนะสร”

“จ้ะ” นภัสรส่งยิ้มสวย

โสรยาก้าวเท้ายาวออกไปหามุมสงบไม่บ่อยนักที่เบอร์จากที่บ้านจะโทรเข้ามา

“ป้าศรีเองค่ะคุณแวว” ป้าศรีรีบรายงานตัวก่อนจะบอกเล่าเรื่องราวต่างๆที่ได้รับคำสั่งมา จากนั้นมือถือก็ถูกเก็บกลับในกระเป๋าเมื่อสายถูกตัดไปสมองวนเวียนถึงเรื่องที่ป้าศรีพูด แล้ว แล้ว แล้วทำไมต้องเอาเด็กคนนั้นมาเป็นภาระเธอเมื่อคิดถึงตรงนี้โสรยาก็นึกขึ้นได้สายตาสาดส่ายมองหาเด็กสาว ลืมไปเลยว่าเอามาด้วยมองหาจนทั่วก็ไม่เห็น แต่เมื่อถามไถ่เด็กรับใช้ในบ้านก็ได้คำตอบ และก็เป็นคำตอบที่ไม่ผิด

โสรยายืนมองเด็กสาวที่นั่งคุดคู้หงอยเหงาอยู่ข้างรถรู้สึกผิดเล็กๆที่ทอดทิ้งหล่อนไว้ตามลำพังในบรรยากาศที่มีแต่ผู้คนแปลกหน้า

“ทำไมมานั่งตรงนี้” เด็กสาวรีบยืนขึ้นยินดีเล็กๆอยู่ในใจที่ได้ยินเสียงคนที่พาตนมาอย่างน้อยก็ถือว่าเป็นคนรู้จัก

“ก็…มณีไม่รู้จักใคร” เด็กสาวเสียงอ่อยหลบตา

“แล้วทำไมไม่เดินตามหาฉัน”

“มณีไม่อยากรบกวน” ตานี้โสรยาจับน้ำเสียงได้ว่าหมางเมิน แต่ก็ไม่ใส่ใจอะไร

“กลับกันได้ละ” โสรยาตัดบทก่อนจะเดินไปขึ้นขึ้น

“เดี๋ยวค่ะ” หือ… โสรยาเลิกคิ้ว

“ทำไมจะรีบกลับละคะเพิ่งจะมาเอง” อยู่ๆเด็กสาวก็รู้สึกผิดขึ้นมาเพราะคิดว่าต้องเป็นเพราะตนแน่ๆที่ทำให้คุณแววหมดสนุกและรีบกลับ

“มณีนั่งอยู่ตรงนี้ได้นานๆไม่แบบไม่เบื่อไม่เมื่อยเลยค่ะคุณแววเข้าไปสนุกกับเพื่อนต่อเถอะค่ะ” เด็กสาวกลับไปนั่งลงที่เดิมสร้างความมึนงงให้คนมองเป็นอย่างมากคนแบบนี้ก็มีด้วย!

“จะบ้าหรือไงลุกขึ้นมาเดียวนี้ ฉันจะกลับแล้ว” เด็กสาวยังนั่งนิ่งไม่ใช่เพราะดื้อรั้นอะไรหรอก ตะคริวกิน

“จะลุกขึ้นดีๆหรือจะต้องให้ฉันเดินไปหิ้วเธอให้ลุกขึ้นฮะ” โสรยาชักมีน้ำโหเด็กสาวมองคนเจ้าอารมณ์น้ำตาคลอไปกับความรู้สึกที่หลากหลาย

“ลุกไม่ได้ค่ะตะคริวกินขา” น้ำเสียงสั่นพล่าที่ไม่รู้ว่าปวดขาหรือเพราะน้อยใจโสรยาเลิกคิ้วเดินเข้าไปใกล้เด็กสาวที่กำลังใช้มือนวดขาตัวเองอยู่

“โอ้ย!!” เด็กสาวเสียงหลง เมื่ออีกฝ่ายเอามือมาโดนขาข้างที่เป็นตะคริวโสรยาถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความรำคาญใจก่อนจะลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูฝั่งคู่คนขับและเดินกลับมาทำท่าจะประคองเด็กสาว

“ทำอะไรคะ” เด็กสาวงุนงง เบี่ยงตัวหนีเป็นอัตโนมัติ

“ว้าย!!” ร่างที่บางกว่าถูกยกตัวลอยขึ้นเพื่อพาไปที่รถ

“โอ้ย!!” เสียงร้องโอดโอยเมื่อขาข้างที่เป็นตะคริวได้รับความกระทบกระเทือนในที่สุดร่างบางก็เข้าไปนั่งในรถได้สำเร็จ แต่ก็ต้องน้ำตาตกเพราะเจ็บปวด

“ปวดมากเลยเหรอ” โสรยาถามออกไปนัยน์ตาใสซื่อเธอก็เคยเป็นตะคริวนะแค่ไม่เคยมีใครเหวี่ยงไปมาแบบนี้ตอนเป็นตะคริวคนเจ็บเมินหน้าหนีไม่ตอบกลับอะไรเพราะขุ่นเคืองจนคิดคำพูดอะไรไม่ออกก็ทำไมคุณแววต้องทำรุนแรงกับเธอด้วย เมื่อไม่ได้คำตอบคนหน้ามึนจึงเดินไปนั่งในตำแหน่งของตนและขับรถออกไป

สักพักอาการเป็นตะคริวก็ค่อยๆบรรเทาเบาบางลงจนหายไปแต่ความขุ่นเคืองในใจยังมีอยู่เต็มร้อยแต่… ถนนก็ออกจะโล่งทำไมถึงยังไม่ถึงบ้านอีกนะ

“ทำไมถึงยังไม่ถึงสักทีละคะ” โสรยาปลายตามองแต่ก็ไม่ได้ตอบกลับอะไร ทำให้เด็กสาวรู้สึกใจคอไม่ดีก็คุณแววไม่ชอบเธอ แถมคุณแววยังมีรสนิยมชอบผู้หญิง…เด็กสาวคิดไปต่างๆนานา

“ถ้าคุณแววมีธุระต่อเดี๋ยวมณีกลับแท็กซี่ก็ได้ค่ะ” ในที่สุดก็รวบรวมความกล้าพูดออกไปโสรยาปลายตามองก่อนจะหักพวงมาลัยเข้าข้างทาง

“ลงไปซิ” น้ำเสียงราบเรียบเย็นชา นัยน์ตาที่หันมองเป็นประกายท้าทายคนอวดดีมณีรัตน์มองเมินออกไปนอกตัวรถเห็นไฟบนไหล่ทางสว่างเจิดจ้าถนนออกจะกว้างใหญ่แต่กลับไม่ค่อยเห็นรถราเลยก็ไม่แปลกเพราะจุดนี้อยู่บนทางหลวงหมายเลข 4 กำลังมุงหน้าสู่จังหวัดเพชรบุรี

“ลงไปซิ” ซ้ำคำเดิม ใจก็แค่นึกสนุกหวังดูอาการมณีรัตน์หันมองคนใจร้ายก่อนจะทำใจแข็งเปิดประตูรถ

“มีเงินเหรอ” เด็กสาวชะงัก ใช่ ลืมไปเลยว่าเธอไม่ได้พกเงินมา ก็มันเป็นเงินค่ารถทัวร์ขากลับกลัวว่านำติดตัวมาด้วยจะเผลอไปใช้จ่ายเงินไม่พอค่ารถกลับก็แย่กันพอดี

“ไม่มีค่ะ” ประตูรถยังเปิดค้างอยู่ เพราะคิดว่าอีกฝ่ายจะมีเมตตาหยิบยื่นให้

“ไม่มีเงินก็ปิดประตูรถเสียเวลา เมื่อเห็นเด็กสาวยังนั่งนิ่งคงเพราะอึ้งอยู่โสรยาจึงยื่นมือพาดผ่านตัวเด็กสาวไปดึงประตูปิดก่อนจะขับรถออกไปเด็กสาวเพียงมองอีกฝ่ายตาปริบๆ จนทางที่จะไปต่อแผ่นหลังถูกทิ้งลงไปบนเบาะจำใจยอมสงบเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ของเด็กสาวดึงสายตาจากโสรยาให้ต้องมองก่อนจะกลับไปมีสมาธิกับการขับรถในใจผ่อนคลายกับเด็กสาวมากขึ้นอย่างน้อยเธอก็ได้รู้หล่อนไม่ได้โกหกว่าเป็นเด็กมาจากมูลนิธิ

บรรเจิดยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูในใจรุ่มร้อนกับการรอคอยก่อนหน้านั้นเขานึกกระหยิ่มยิ้มย่องที่เห็นเด็กสาวที่ตนหมายปองนั่งรถออกไปหลังจากที่เฝ้าดูมาทั้งวันเพราะแผนการรวบรัดจะได้ง่ายขึ้นแต่นี่มันก็ผ่านไปหลายชั่วโมงแล้วทำไมถึงยังไม่กลับเข้ามากันอีกหรือว่ารู้ตัวแล้ว!

“จะเที่ยงคืนแล้วนะพี่เจิด” สิงหาลูกน้องคนสนิทพูดขึ้น

“รอต่อไป คืนนี้ตราบใดที่ยังไม่ได้ตัวมณีกูจะไม่ไปไหนทั้งนั้น” น้ำเสียงเหี้ยมเกรียมจริงจังทำให้ผู้น้อยก็ต้องคล้อยตามอย่างเสียไม่ได้




 

Create Date : 27 พฤษภาคม 2557    
Last Update : 27 พฤษภาคม 2557 11:01:10 น.
Counter : 475 Pageviews.  

1  2  3  4  

writer_k toon
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




เป็นคนธรรมดาๆคนหนึ่งค่ะ ที่อยากเป็นคนดี
และเป็นคนเก่งขึ้นทุกๆวัน

ชอบดื่มกาแฟเป็นชีวิตจิตใจ โปรดสุดก็ Starbucks หากอยู่ในฤดูงบน้อย อะไรที่เป็นกาแฟดำ ได้หมด

ชอบอ่านหนังสือ แนวHowto และนิยายของคุณทมยันตี จนวันหนึ่งเกิดอยากจะเขียนหนังสือให้คนอื่นอ่านบ้าง โดยมีคุณทมยันตีเป็นต้นแบบ เป็นแรงบันดาลใจ

เริ่มต้นขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ไม่รู้ลงท้ายจะเป็นอย่างไร แต่หวังไว้ว่ามันจะดีกว่าที่หวัง

จะคุยได้นานกับคนที่มีฝัน มีเป้าหมายในชิวิต รักครอบครัว และคิดบวก

แอบหวังว่าคนที่เข้ามาที่Blogนี้จะออกไปอย่างมีความสุขนะคะ

Loveๆทุกคนค่ะ

ปล.ขอสงวนลิขสิทธิ์ข้อความและรูปภาพทั้งหมดใน blog นี้ตามกฎหมาย ห้ามนำไปใช้หรือเผยแพร่ก่อนได้รับอนุญาตนะคะ

New Comments
Friends' blogs
[Add writer_k toon's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.