Group Blog
 
All blogs
 

รักษาตัว

พยับแสงรำไพยามเช้าวิภาสสาดส่องลอดช่องวิหารร้างเข้ามาแยงยอนพระเนตรปิดสนิทเจ้าศศิธรกัญญาจึ่งรู้สึกพระองค์ตื่นจากบรรทมทรงรู้สึกวิงเวียนแลปวดพระเศียรราวกับโดนถ่วงด้วยศิลาก้อนใหญ่เจ้านางน้อยทรงลุกขึ้นมาประทับนั่ง ร่างของชมนาฏที่ยังหลับใหลอยู่เบื้องพระบาทอกกระเพื่อมไหวยุบหนอพองหนอตามแรงหายใจเข้าแลออกห่างไปวาหนึ่งนางโขมพัสตร์ยังนอนคู้อยู่เช่นกัน

เจ้าศศิธรกัญญาทรงโน้มพระวรกายแลพระพักตร์พินิจเนื้อนวลปรางของชมนาฏชิดใกล้พระหัตถ์เกลี่ยเส้นผมเล็กละเอียดที่ปรกหน้าธวัลออก

ความต้องพระเนตรต้องพระทัย เปนปฐมเหตุให้หมายว่าจักครอบครองจุมพิตพระโอษฐ์จวนเจียนยิ่งจะประทับลงบนแก้มระเรื่อแต่แล้วเสียงพลิกตัวของโขมพัสตร์เปนชนวนให้พระองค์น้อยทรงชะงัก

พระสำนึกนำฝ่ายดีกระตุ้นเตือนพระสติเจ้าศศิธรกัญญาทรงขยับถอนพระพักตร์ออก ทรงนำแพรส่วนพระองค์มาห่มดองให้นางสนองฯแลเดินออกมารับขยลพญาพาฬราชองค์รักษ์จำเพาะกิจจากจรไปแล้ว ทรงนึกขอบพระทัยแลฉงนสนเท่ห์ ฤๅว่าจักเปนเทพาอารักษ์จำแลงแปลงร่างมาทรงดำเนินไปไม่พ้นเขตวัดร้าง เจ้าศศิธรกัญญาทรงร้อนวูบวาบตลอดพระวรกายพยายามเปล่งพระสุรเสียงเรียกหานางสนองฯแลกลับมิสำเร็จ

“วูบบบบ..” ลงท้ายทรงล้มสิ้นพระสติเสีย ณ ตรงนั้น…

ชมนาฏตื่นขึ้นเมื่อไม่แลเห็นเจ้านายพระองค์น้อยจึ่งรีบเดินออกมาดูหน้าวิหารตกใจยิ่งที่เจ้าศศิธรกัญญาทรงสิ้นพระสติล้มองค์อยู่ตรงด้าวดินนางสนองฯรีบรุดเข้ามาดูพระอาการแลร้องเรียกโขมพัสตร์ที่นอนแอ้วแซ่วให้มาช่วยกัน

สัมผัสแรกที่มืออ่อนของนางสนองฯต้องข้อพระหัตถ์บางนั้นร้อนวาบชมนาฏอังมือไล่ไปที่พระกร พระศอแลพระนลาฏ ร้อนดั่งไฟฟอนทั่วพระวรกายการต้องทรงประทับอยู่ในไพรวัน ผิดลมผิดน้ำเยี่ยงนี้น่าจักเปนข้อใหญ่องก์นำให้ทรงประชวรเสีย

“พระองค์..พระองค์ผู้จำเริญเพคะ” ชมนาฏทูลเรียกเต็มเสียงเปนห่วงเจ้าศศิธรกัญญายิ่งนัก หากเปนได้นางขอจับไข้แทนเสียเองหลังจากเขย่าพระองค์น้อยแต่เบามือครั้งหนึ่งราชนิกูลพระร่วงเจ้าทรงเปิดเปลือกพระเนตรเนิบช้าเมื่อทรงทอดพระเนตรว่าเปนชมนาฏจึ่งตรัสด้วยพระสุรเสียงแหบพร่า

“พี่ชมเจ้า”

“เพคะ”

“น้ำ..ข้ากระหายน้ำเหลือเกิน”

“ปล่อยเปนหน้าที่ข้าเถิดข้าจักได้หาเสบียงอาหารมาในคราวเดียว” โขมพัสตร์ที่ยืนอยู่ไม่ห่างขันอาสาไร้เสียงทัดทานนางน้อยจึ่งคว้าเอามีดอีเหน็บแลพร้าที่เจ้าศศิธรกัญญาทรงกำชับให้นางทั้งสองพกติดตัวมาด้วยกระวีกระวาดออกไปนับเปนพระอัจฉริยภาพที่ทรงเล็งทอดพระเนตรการณ์ไกล กินน้ำเผื่อแล้ง

“ทรงประทับยืนไหวไหมเพคะ เสด็จเข้าไปข้างในกันเถิด กลางแจ้งเช่นนี้ลมแรงเพียงวูบเดียวอาจทำให้พระอาการทรุดได้เพคะ” พระธิดาจอมราชย์พยักพระพักตร์รับมิวายทรงตรัสเปนเชิงบ่น

“ข้าบอกกับพี่ชมเจ้าเปนครั้งที่ร้อยได้กระมังให้ใช้คำแลปฏิบัติต่อข้าดั่งไพร่สามัญ” ชมนาฏเพียงปรายยิ้มถวายมิทูลต่อคำแล้วจึ่งประคองเจ้านายน้อยให้เสด็จกลับเข้ามาด้านในเจ้าศศิธรกัญญาทรงรู้สึกวิงเวียนพระเศียรนักทอดพระเนตรเห็นพื้นพสุธาซ้อนเหลื่อมกันจากดวงพระเนตรสองข้าง มากกว่านั้นดาราบถยังครึ้มสลัวคล้ายเครือว่าเปนยามสนธยา ทรงดำเนินโคลงเคลงเหมือนแม่ปูเดินมิตรงทางต่อเมื่อประทับนั่งในวิหารแล้ว นางสนองกราบบังคมทูล

“พระองค์น้อยผู้มีพักตร์ดุจพระรามแลมีบุญญาธิการเปนที่สุดในสุวรรณภูมินี้ แม้นว่าพระองค์ทรงสละฐานันดรดั่งตรัสไซร้แต่พระองค์ยังทรงเปนเจ้าหญิงในดวงมน ในดวงตา ในทุกลมหายใจ ในสติ ยามหลับแลตื่นยามชาติภพนี้แลจักเปนนิจนิรันดร์ ดั่งคำมั่นของเราเพคะ”ชมนาฏทูลจากก้นบึ้งของดวงจิต น้ำตาพานจะไหล แต่กลับมีบางสิ่งทัดทานมันไว้ได้

เสียงกุกกักเจี๊ยวจ๊าวดังขึ้นมาอีกคำรบ คราวนี้มิใช่เสียงริปูไพรี ฤๅพญาพาฬดังเก่าก่อนหากแต่เปนวานรพนัสแก้ม(ก้น) แดง 2-3 ตัว

“ลิงป่าตีกันหรือไรนั่น”พระองค์น้อยตรัสแต่ทรงไร้เรี่ยวแรงชะเง้อชะแง้พระพักตร์ทอดพระเนตรชมนาฏละจากเจ้านาย คว้าท่อนไม้ตรงรี่ออกมาดู ลิงค่างนั้นพอประมือพอฟัดพอเหวี่ยงกันนางมิกลัวเกรงดอก

หมู่วานรลากเอากล้วยมาเครือหนึ่งมองหน้าพิไลแฉล้มของชมนาฏแลเดินยักย้ายก้นแดงจรลีจรจาก

“มิใช่ลิงตีกันดอกเพคะพระองค์มันเอาผลหมากรากไม้มาถวาย” ชมนาฏทูลตอบ เนื้อเต้นแลขนลุกชันแม้นเจ้าศศิธรกัญญามิทรงได้สำแดงกฤดาภินิหารด้วยองค์เองแต่สิ่งรอบข้างที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าล้วนเปนข้อพิสูจน์ทราบสิ้น…

โขมพัสตร์กุลีกุจอตัดกระบอกไม้ไผ่เพื่อเปนภาชนะกักเก็บน้ำเหลือบแลเห็นหน่ออ่อนจึ่งตัดติดมือมาด้วย นางเดินดุ่มๆมาที่ริมฉทึงธารใสดุจแก้วมณีเห็นท้องน้ำใต้นั้นมีกรวดหินกระแสชลาสินธุ์ไหลริน มือน้อยวักมาดอมดมแลทดลองดื่ม พินิจลักษณะแล้วเห็นว่าสะอาดปลอดภัยดีนางค้อมตัวลงตักน้ำใส่กระบอกไม้ไผ่ ตาคมสีน้ำตาลเข้มชำเลืองเห็นวัตถใหญ่ทะมึนลอยตามน้ำมา จึ่งได้ถอยหนีโดยพลันจากสัญชาตญาณคิดไปว่าอาจจะเปนสัตว์ร้าย

..แต่มิใช่วัตถุนั้นเปนร่างมนุษย์ เมื่อจดจ้องให้แน่ชัด แลเห็นเปนสามีนางเสียด้วย

“ท่านขุนโขมพัสตร์ตกใจสุดประมาณร้องลั่นไพรก่อนจะได้สติโจนลงไปกลางน้ำคว้าร่างขุนพิทักษ์โยธาที่ไร้สติตะเกียกตะกายพาเข้าฝั่งชนิดที่ว่านางจวนเจียนจะเปนตะคริวเสียให้ได้

“โอย..ท่านนี้ตัวหนักเปนบ้าเปนหลัง”ภรรยาเจ้าของขุนมีชื่อบ่นกะปอดกะแปด หายใจหอบถี่ นางพักพอให้ได้แรงคำรบใหม่โขมพัสตร์จึ่งเขย่าตัวขุนพิทักษ์โยธาที่นอนฟุบคว่ำหน้าอยู่

“ท่านขุนๆ” ร่างที่เล็กกว่าพลิกตัวคนสลบให้หงายขึ้น

“ว๊าย”ทันทีที่เห็นแผลฉกรรจ์อารามตกใจนางร้องออกมาแทบไม่เปนภาษาคน

“ไม่นะข้ายังไม่อยากตกพุ่มหม้าย เจ้ายังมิได้ตบแต่งตามธรรมเนียมแลไปสู่ขอข้าเลย”โขมพัสตร์น้ำตารื้น ทำใจอยู่ชั่วลมหายใจหนึ่งรวบรวมความกล้าเอามือน้อยอังไปที่ปลายจมูก

“ฟู่...”นางน้อยโล่งใจนักที่คู่ครองตนยังมีสัญญาณชีพนิ้วหัวแม่โป้งกดทับไปที่ชีพจร มันอ่อนแลช้านานมาก นางละสายตาจากขุนมีชื่อ ทอดเพ่งไปที่ลำน้ำประหนึ่งใช้กำลังความคิดเยียวยา

“ข้าสั่งเจ้านะ เข้มแข็งเข้าไว้ข้าจักไปตามนางชมมาช่วย”เมื่อเห็นว่าตัวคนเดียวมิอาจเคลื่อนย้ายร่างที่ใหญ่กว่าได้แลประเมินถึงสวัสดิภาพหากอริราชตามมาเจอจึ่งรีบวิ่งกลับมาที่วิหารร้างครู่หนึ่งก็กลับมาพร้อมชมนาฏที่วิ่งหน้าตาตื่นนางเองนั้นผูกพันกับราชองค์รักษ์มิน้อยด้อยกว่าใครฝ่ายเจ้าศศิธรกัญญาทรงบรรทมด้วยซมจากพิษไข้

โขมพัสตร์แลชมนาฏถูลู่ถูกังพาร่างสลบไสลของขุนพิทักษ์โยธากลับมาที่วิหารชมนาฏพิเคราะห์อาการของขุนมีชื่อแล้วท่าจักสิ้นชื่อขาดใจในไม่ช้านานกล่าวกับเมียบ้านป่า

“แผลฉกรรจ์นักแลเลือดยังมิหยุดไหลข้าเกรงว่า..” นางปากไวเช่นเคยต่อเมื่อฉุกคิดได้จึงยั้งๆคำร้ายไว้

“จักแช่งผัวข้าเหรอ”โขมพัสตร์แหวสุดเสียง เปนชนวนให้เจ้าศศิธรกัญญารู้สึกพระองค์

“อ้าวบ๊ะแล้วต่อหน้าครั้งยังมีสติสมประดีข้าเห็นเจ้าร้ายกับผัวนัก”

“นางชมเจ้าช่างโง่นัก..ที่ข้าร้ายก็เพรารักดอก” ชมนาฏเยาะหยันที่ยินคำสารภาพจะอ้าปากต่อคำเชือดเฉือนแต่ขัตติยะนารีชิงตรัสเสียก่อน

“พอแล้วๆเพลานี้ยังมีแก่ใจขัดแย้งกัน ช่างน่าขันนัก”พระองค์น้อยที่ดำเนินเข้ามาใกล้ตรัสประชดเปนเชิงประทานโอวาท

“ขอประทานอภัยเพคะ”ชมนาฏทูลเสียงอ่อยก้มหน้าธวัลหลุบสายตา เจ้าศศิธรกัญญาทรงให้ความสำคัญกับคนเจ็บทอดพระเนตรแผลแลทรงมีพระราชวินิจฉัย

“ตามตำราที่ข้าเคยอ่านจากห้องทรงพระอักษรของเสด็จพ่อเรื่องนิทานพระรามตอนพระลักษมณ์ต้องหอกโมกศักดิ์” โขมพัสตร์ถวายน้ำให้ทรงเสวยพระองค์น้อยจึ่งเว้นช่วง เห็นหน้าของนางสนองฉงนฉงายตาโตจึ่งตรัสความต่อ

“เอาเถอะหากเล่าเสียตอนนี้พี่เขมเจ้าได้ม้วยต่อหน้าพวกเราเปนแน่ตามท้องเรื่องได้บอกถึงวิธีการรักษาให้ใช้สังกรณีแลตรีชวาคู่กันส่วนอีกตำราหนึ่งให้ใช้สาบเสือรักษาแผลสด ทั้งสองจงไปช่วยกันค้นหาสามสิ่งนี้”เจ้าศศิธรกัญญาทรงแสดงพระปรีชา ชมนาฏยังอ้อยสร้อยพิรี้พิไร

“คือหม่อมฉันปัญญาพร่องเขลานัก มิรู้จักเพคะ”โขมพัสตร์หัวเราะเย้ยหยัน

“พิโธ่..ก็เจ้าวันๆอยู่แต่ในวังหูตามืดบอดรู้เห็นสิ่งอันใดบ้างเล่า”

“ฉลาดเก่งกาจนักไยผัวเจ้าจึ่งไม่ฟื้นต้องรอพระองค์ห๊ะ”ชมนาฏควันออกหูหาเรื่องกับโขมพัสตร์มิลดละชะรอยสองอะเคื้อต่างถิ่นคงจักไม่ลงรอยแลลงเอยไม่สวยเปนแน่

“เอาๆ”เจ้าศศิธรกัญญาทรงห้ามทัพอีกคำรบทรงเอียงพระศอแลเอาพระหัตถ์ประคองพระพักตร์ไว้ด้วยรู้สึกหนักที่พระเศียรพระองค์เองทรงโดนพิษไข้เล่นงานเสียงอมพระราม ชมนาฏรีบพาเจ้านายพระผู้ทรงเปนยอดพธูเสด็จพักสัมผัสพระวรกายร้อนรุมกว่าเดิมก็ให้ยิ่งตกให้เปนห่วงหนัก

“ไปเถอะพี่เจ้าข้ายังไหวใจยังสู้”

“แล้วตำรับยารักษาพระอาการของพระองค์เล่าเพคะทรงห่วงพระองค์บ้าง”

“พี่ชมเจ้าจงไปหาฟ้าทลายโจรแต่หากมิได้จงหาบัวหลวงมาแทน” ชมนาฏรับสนองพระราชดำรัสแลหันมากล่าวกับเมียท่านขุน

“ข้าขอสงบศึกกับเจ้าชั่วคราวผสานพลังนางวังแลนางบ้านป่า ช่วยเหลือคนที่รักของเราสอง”ว่าแล้วจึ่งเดินตีคู่โขมพัสตร์ออกไป เจ้าศศิธรกัญญาทรงบรรทมไปอีกครั้ง...

ราวเที่ยงวันตะวันตรงหัว สองกระลาพินจึ่งกลับมาพร้อมสมุนไพรสามสิ่งมากกว่านั้นโขมพัสตร์ยังได้ติดเอาดอกทองกวาวสีแสดสดมาด้วยโขมพัสตร์เร่งนำใบสาบเสือมาบดขยี้ พอกแผลให้ขุนพิทักษ์โยธาที่ยังไร้แววฟื้นคืนสติ

ชมนาฏให้บังเอิญโชคดีหาหม้อดินได้สองใบจากหลังวิหารแล้วจึ่งก่อไฟลงมือต้มตำรับโอสถตามรับสั่ง ดอกบัวหลวงนั้นใช้เกสร ดอกแลรากได้ทีชิม รสฝาดหอม นางโขมพัสตร์นั้นเล่าต้มดอกทองกวาวตามติดอีกหม้อหนึ่งเปนสังกรณีแลตรีชวาทั้งต้นต้มกับน้ำครั้นได้ที่นางแลชมนาฏช่วยกันกรอกยาให้กับขุนพิทักษ์โยธาเสร็จแล้วจึ่งแย่งกันนำโอสถไพรมาถวายพระราชธิดา

“ของข้าดีกว่าเปนไหนๆ ตำรับวังอันสืบทอดมาแต่โบราณ”ชมนาฏจีบปากจีบคอพูดเกทับด้วยมั่นใจในสูตรพระองค์น้อย

“ของข้าก็ล้ำนัก ตำรับยาบ้านป่ามิต้องพึ่งหมอหลวงสืบมาหลายชั่วคนเช่นกัน” โขมพัสตร์แยกเขี้ยวแย้งย้อน

“พวกเจ้านี่ยังชิงดีชิงเด่นกันไม่เลิกส่งมาให้ข้าทั้งสองตำรับนั่นแล” เจ้าศศิธรกัญญาทรงกริ้ว ครั้นเสวยแล้วจึ่งทรงบรรทม

“แค๊กๆๆ..” ขุนพิทักษ์โยธาไอจนร่างลอยขึ้นมาเหนือพื้นโขมพัสตร์ที่นั่งเฝ้าอาการอยู่ไม่ห่างรีบเข้ามาประคองเปลือกตาข้างขวาของขุนมีชื่อเปิดขึ้น เรียกรอยยิ้มขืนๆจากเมียสาวได้บ้าง

“ท่านขุนฟื้นแล้วรึ”โขมพัสตร์กรอกโอสถซ้ำอีกขนาน ขุนพิทักษ์โยธาทำท่าจะเบือนหน้าหนีคราวนี้เขาพ่ายแพ้ศิโรราบต่อร่างเล็ก

“เจ้าอย่าได้ดิ้นไปเลยตำรับนี้เจ้านางสั่งปรุงจำเพาะเปนยาแก้อักเสบซ้ำยังบำรุงกำลังชั้นเลิศขมหน่อยแต่มันจะเยียวยาแผลได้ชะงัดนัก ต่อเมื่อเจ้าแข็งแรงดีค่อยมาเอาคืนกับข้าย่อมมิสาย” นางปลอบได้เพียงเท่านี้ขุนพิทักษ์โยธายังมีแก่ใจต่อความ

“เจ้าเรียกข้าว่าท่านขุน ฟังแล้วชื่นน้ำใจข้านัก”

“เจ็บหนักปางจักสิ้นลมอย่าได้ริพูดมากพักผ่อนเสียเถิด ข้าจักไปดูพระอาการองค์หญิงหน่อย” โขมพัสตร์ย่นจมูกแสร้งต่อว่าเสกล่าวรีบลุกหนีฉากออกมา

ตกเพลาราตรีเงียบสงัดหมู่ผกายธุวดารา กฤตติกาแลดาวประจำเมืองเปล่งแสงรัศมีแข่งกับศศิขัณฑ์ข้างแรมอากาศในพงไพรยะเยือกสะท้านไหว พญาพาฬเดินองอาจมาถวายอารักขาที่หน้าวิหารเช่นเคยเจ้าศศิธรกัญญาทรงเพ้อจากพิษไข้ ทั้งพระวรกายยังสั่นเปนระยะๆพระเสโทผุดเปนเม็ดเขื่องราวดอกเห็ดทั่วทั้งพระพักตร์ พระนลาฎ พระจุฑามาศไรพระศกแลตลอดพระวรกาย ทรงรู้สึกบัดเดี๋ยวร้อน บัดเดี๋ยวหนาวสลับกันชมนาฏชุบน้ำพอหมาดประณีตซับพระองค์ให้แลนั่งเฝ้าเจ้านายน้อยมิเปนอันหลับนอน...

หนึ่งราตรีแลสองวันถัดมาอาการของเจ้านางน้อยทุเลาลงจนหายเปน ปรกติ ทรงลุกดำเนินได้คล่องแคล่วแต่พระวรกายยังรุมๆบ้างขุนพิทักษ์โยธานั้นอาการดีขึ้นเปนลำดับกินอยู่ลุกนั่งมิได้ทุกข์ร้อนอนาทรต่อพิษแผล โขมพัสตร์พัดวีกรอกยาหม้อแลพอกสมุนไพรนานาจนแผลเริ่มแห้งลงแล้ว

“หากเปนเช่นนี้อีกราวสามวันไม่เกินเราน่าจะเดินทางต่อได้” เจ้าศศิธรกัญญาทรงมีพระดำริคิดอ่านหาทางหนีให้ไกลจากทั้งศัตรูริปูแลพวกพ้องเดียวกัน

“พระองค์มีพระราชประสงค์เสด็จไปที่ใดเพคะ”

“ข้ายังมิแจ้งเลยพี่ชมเจ้าลางทีอาจต้องไปอาศัยในหัวเมืองมอญ” เจ้าศศิธรกัญญาทรงมีพระราชวินิจฉัยในชั้นต้นหัวเมืองมอญ ณ เพลานั้นยังมีความสัมพันธ์แลไมตรีที่ดีกับสุโขทัยนับเนื่องบุญคุณจากพระร่วงเจ้าที่ทรงประทานความช่วยเหลือแก่พระภูบาลรามัญไว้เปนอันมาก

“ว่าแต่พี่ชมเจ้าเถิดเฝ้าไข้ข้านานเนิ่น มิพักบ้างเกิดติดไข้ข้าขึ้นมาจักทำประการใด”

“ติดไข้เสียก็ดีเพคะพระองค์จักได้ถ่ายพระอาการประชวรมาที่หม่อมฉันทั้งหมด”

“คำพี่เจ้าประหนึ่งว่าถ่ายไข้จากข้าไปเสียเกือบค่อนแลอีกที่เหลือคงได้เพราะหยูกยาลูกไพรจากฝีมือปรุงของพี่เจ้า ผลงานเปนเลิศแลปากหวานช่างจำนรรจาข้าจักตกรางวัลเสีย..ดีหรือไม่”เจ้าศศิธรกัญญาตรัสแล้วจึ่งยื่นพระพักตร์มาใกล้ดวงสมรชมนาฏทูลเอาตัวรอด

“อายเขานะเพคะ”

“อย่างนั้นเราเดินไปสูดอากาศพิสุทธิ์ข้างนอกเถิดพี่เจ้าจักได้มิต้องอายผู้ใด”ธิดาจอมราชย์ทรงจูงนางสนองฯออกไปแลทรงปรายพระเนตรสบเข้ากับขุนพิทักษ์โยธาที่นอนทำตาปริบๆ

“ข้าว่าพระองค์น้อยกับนางชมดูแปลกๆสายพระเนตรเพลาที่ทอดพระเนตรจ้องนางชมมิใช่เปนดั่งนายกับบ่าว”ขุนทหารสอบสืบเอากับเมียรัก โขมพัสตร์นึกขันแลยังงำความไว้

“ถ้าเช่นนั้นคืออะไร”

“ข้าไม่รู้”โขมพัสตร์ได้ที หาเรื่องต่อว่าตามถนัด

“เสียดายข้าเลือกเจ้าเปนผัวมีตาแลปัญญาหามีแววเฉลียวสักกระผีกไม่”

“เอ้า..เอะอะก็ลงที่ข้า เจ้ารู้ดอกหรือ”

“พิโธ่!..ใครเขาก็แจ้งกันทั้งเมือง เจ้านางทรงมีจิตปฏิพัทธ์ต่อนางชม”โขมพัสตร์จำยอมเฉลยความ

“มิน่าเล่า..”ขุนพิทักษ์โยธาแจ้งรู้ถึงแผนแลพระราชประสงค์ซ่อนเร้นเบื้องลึกที่เจ้าศศิธรกัญญามิเต็มใจเข้าพิธีอภิเษกแลต้องการหนีออกจากเมืองเปนนอกจากเรื่องบ้านเมืองแล้วหากเพราะนางสนองนี่เองคือมูลเหตุสำคัญโขมพัสตร์ตีเข้าที่แขนใหญ่แต่เบามือให้รู้สึกตัว

“เจ้าเองก็เถอะ รีบหายรีบแข็งแรงที่นี่หาได้ปลอดภัยพาลได้นานเนิ่น”

“ข้ารู้ดอกแต่พิษบาดแผลไซร้มิสาหัส ตกสะเก็ดแล้วเห็นหรือไม่ พิษรักสุมทรวงกลัดหนองข้านี้หนายากนักจักถอน.. โขมเอ๋ยโขมจ๋า เจ้ารู้หรือไม่ยามที่ข้าจวนเจียนขาดใจแดดิ้นสิ้นลมนั้น เพียงข้านึกถึงใบหน้าธวัลของเจ้าอกอิ่มที่เคยกกกอดของเจ้าแลพระพักตร์จำเริญของพระองค์น้อยข้าจึ่งได้แรงชีวิตหายใจได้ต่อ”ขุนพิทักษ์โยธาสารภาพความในหมดสิ้น โขมพัสตร์คลี่ยิ้มเต็มวงหน้าพิไล กระนั้นก็ดีนางยังมิพอใจในคำรัก

“ดังเจ้ากล่าวมาว่าเหมือนจักดีแต่ทำไมไยต้องมีพระองค์อีกหนึ่งในใจ”ขุนมีชื่อใช้มือใหญ่แข็งแรงช้อนใต้คางมนของเมียสาว แจงสี่เบี้ยอย่างจริงใจ

“พระองค์คือผู้ประเสริฐแลมีบุญญาธิการสูงส่งเปรียบประดุจองค์เทพลงมาจุติ การณ์อัศจรรย์ใจนับครั้งไม่ถ้วนเจ้ายังมิแจ้งดอกหรือพระองค์อยู่ในใจข้านั้นเปนด้วยเพราะข้าคือบ่าวผู้จงรักส่วนเจ้านั้นคือเยาวมาลย์เพียงหนึ่งเดียวของข้า..โขมพัสตร์”นางน้อยฟังดังนั้นจึงเข้าใจ ลุกหนีไปเตรียมข้าวปลาอาหาร...

นาราธิปแห่งสุโขทัยทรงทราบความฝ่าละอองธุลีพระบาทเรื่องพระราชธิดาทรงถูกโจรป่าชิงตัวไปกองราชองค์รักษ์อันมีขุนพิทักษ์โยธาเปนนายกองเข้าแก้แลพ่ายแตกกลับมาตัวขุนมีชื่อหายไปตัวบัดเดี๋ยวนี้ยังตามหามิพบ

พระองค์มีพระราชกระแสรับสั่งขบวนเสด็จเบนเข็มมุ่งกลับสุโขทัยเพื่อตั้งหลักเสด็จออกมหาสมาคมในพระที่นั่งประชุมไต่สวนแลรับสั่งให้เหล่าเสนามหาอำมาตย์ทั้งปวงจัดแจงกระบวนพลมหาชนออกเที่ยวค้นหาทุกแห่งหนตำบลตลอดขอบขัณฑสีมาถึงเจ็ดวันเจ็ดราตรีก็มิพบพระองค์เจ้าศศิธรกัญญา

การข่าวบ้างก็ว่าถูกโจรป่าไร้สังกัดลักพาพระองค์บ้างก็ว่าถูกล้านนาลักพาตัวไปกระทั่งข่าวกระพือหนาหู ขุนพิทักษ์โยธาถูกกล่าวหาข้อฉกรรจ์แปรพักตร์ไปเข้ากับอริราช

สมเด็จพระเจ้ากรุงสุโขทัยทรงเปนทุกข์โทมนัสสาหัสมิทรงเปนอันเสวยแลบรรทม ความรักในพระราชธิดาองค์น้อยนั้นเปนข้อหนึ่งแลการสูญเสียเจ้าศศิธรกัญญาเปรียบประดุจดั่งเสียเมืองสถานการณ์สุโขทัยนั้นล่อแหลมยิ่งนัก

ที่ประชุมอำมาตย์เสนานำโดยออกญาพิชัยรณฤทธิ์ผู้บิดาของขุนพิทักษ์โยธาลงความพ้องกันว่าสมเด็จพระเจ้ากรุงสุโขทัยควรทูลความต่อกษัตริย์แห่งอโยธยาเสียพร้อมทั้งแต่งกลลงความผิดไปที่ล้านนาประเทศ การนี้เท่านั้นสุโขทัยจึ่งได้พ้นภัย

ครั้นได้ปรึกษาด้วยมุขมนตรีเช่นนั้นแล้วองค์ภูมินทร์จึ่งรับสั่งให้พระอาลักษณ์แต่งพระราชสาสน์ถึงกรุงศรีอโยธยารามเทพฯทูลแด่ยุวกษัตริย์พระบรมไตรโลกนาถบพิตรใจความว่าพระราชธิดาองค์น้อยถูกเจ้าแคว้นล้านนากระทำการอุกอาจหมิ่นพระเกียรติชิงตัวไปเสียก่อนเข้าพระราชพิธีถวายตัว ข้าพระองค์แลพสกนิกรสุโขทัยยังตั้งมั่นอยู่ในสัจจานุสัจมิเคยคิดแข็งข้อแต่งคณะราชทูตไปถวายพร้อมเครื่องจำเริญพระราชไมตรีต้นไม้เงินต้นไม้ทองแลช้างเผือกเชือกหนึ่งเปนพระราชบรรณาการ

ทั้งนี้ยังมีพระบรมราชโองการประกอบพระราชพิธีประเวศพระนครแลเฉลิมพระราชมณเฑียรเพื่อแก้เคล็ดอีกประการหนึ่ง...

เชิงอรรถท้ายบทสิบเอ็ด

ในทางการแพทย์แผนไทยมีการใช้ยาสมุนไพรจำพวกที่มีรสขมรักษาอาการไข้อักเสบ สมุนไพรรสขมมีฤทธิ์เย็น ช่วยลดไข้ บำรุงโลหิตและน้ำดีช่วยในการเจริญอาหารและย่อยอาหาร ช่วยให้นอนหลับและขับถ่ายได้ดีสารรสขมที่พบส่วนใหญ่เป็นสารในกลุ่มอัลคาลอยด์ (alkaloid) และกลุ่มเทอร์ปีนส์ รวมถึงกลุ่มกลัยโคไซด์ (glycoside) และฟลาโวนอยด์แต่มีส่วนน้อย 

สารรสขมทำหน้าที่ในการกระตุ้นไขกระดูกผลิตเม็ดเลือดขาวออกมากินเชื้อโรคที่เม็ดเลือดแดงคือทำหน้าที่กวาดล้างสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย เป็นการเพิ่มภูมิคุ้มกันให้ร่างกายต่อสู้กับเชื้อโรคได้ถ้ารับประทานรสขมมากก็จะส่งผลให้เม็ดเลือดขาวมากเกินไปจนไปกินเม็ดเลือดแดงได้ทำให้มีปริมาณเม็ดเลือดขาวมากกว่าเม็ดเลือดแดงจึงห้ามใช้ยารสขมติดต่อกันเป็นระยะเวลานานเกิน 7 วัน

-สังกรณีตรีชวา นิทานพระรามตอนหนุมานตามล่าหาสังกรณีตรีชวา

ตามท้องเรื่องคร่าวๆคือพระลักษมณ์พลาดท่าต้องหอกโมกศักดิ์เข้าไประหว่างการรบพิเภษณ์โหรหลวงฝ่ายพระราม (ซึ่งจริงๆแล้วเป็นยักษ์และเป็นน้องทศกัณฐ์ที่แปรพักตร์มาอยู่ฝ่ายดี) คำนวณหาทางแก้ไขว่าต้องมีผู้ไปนำยาซึ่งเป็นสมุนไพรสองชนิดจากเขาสรรพยาก่อนพระอาทิตย์ตกดิน

หนุมานจึงขันอาสาโดยเร่งไปเจรจากับพระอาทิตย์ก่อนว่าให้หยุดรถม้าอย่าให้กาลเวลาล่วงผ่าน กว่าที่หนุมานชาญสมรจะจับเจ้าสังกรณีตรีชวาได้ก็เล่นเอาล่อเอาเถิดเสียนานก่อนจะนำมารักษาองค์พระลักษมณ์ให้ฟื้นได้ทัน




 

Create Date : 16 มีนาคม 2559    
Last Update : 16 มีนาคม 2559 11:39:01 น.
Counter : 646 Pageviews.  

ไยต้องเรียกร้องโหยหา

พญาพาฬเดินสืบเท้าอย่างสามขุมดุจเดียวกับมนุษย์ข้ามธรณีประตูวิหารร้างใกล้เข้าๆมันคงได้กลิ่นคาวอ่อนไท้อันแถ้งกายหอมถึง 3 นาง

เจ้าศศิธรกัญญาทรงประทับยืน แววพระเนตรนิ่ง พระอาการสงบมิทรงสำแดงถึงความกลัวเกรง ชมนาฏแม้นหวาดปานชีวาวายร่างสั่นเทาดุจมัชชารน้อยต้องน้ำนางหยีตากลั้นใจบังพระวรกายพระองค์น้อยเอาไว้หากเสือร้ายจะเขมือบเนื้อมนุษย์ไซร้จงข้ามศพนางเสียก่อนโขมพัสตร์ที่เคยคุ้นกับวิถีพนาจำต้องถอยกรูดธิดาจอมราชย์ใช้พระหัตถ์น้อยฉวยเอาปิ่นปักผมของนางสนองฯ

“พระองค์จะทำอะไรเพคะ”เจ้าศศิธรกัญญามิทรงตอบ กลับใช้ปิ่นนั้นกรีดลงบนข้อพระหัตถ์

“พระองค์อย่าเพคะชมนาฏร้องเสียงหลงมืออ่อนพยายามปัดป่ายห้ามไว้แต่มิทันเสียแล้ว..

“จักกินเลือดข้าจงเข้ามาอย่าได้ช้ามาตรว่าได้ลิ้มรสแล้วก็จงไปเสีย” เจ้านางพระทัยเด็ดเดี่ยวตรัสกับพญาเสือ

คมของปิ่นเฉือนข้อพระหัตถ์แฉลบเปนรอยลึกพระโลหิตหลั่งเปนสีน้ำเงินวาบเรืองแสงน่าอัศจรรย์ใจเกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ชมนาฏเองเพิ่งเห็นอิทธิเดชกระจะตาเลือดขัตติยาเปนเช่นนี้เอง ครั้นได้สติจึ่งคว้าเอาปิ่นนั้นกลับมา

“ทำไมทรงท้าทายมันเยี่ยงนั้นเพคะ”ชมนาฏไม่เคยคิดแลตรองไปมิอาจหยั่งพระหฤทัยพระองค์น้อยว่าทรงห้าวหาญถึงเพียงนี้ภาษาบ้านๆเขาเรียก มุทะลุแลบ้าบิ่นนัก

“โฮกกกก!!..” พยัคฆ์ร่างใหญ่คำรามลั่นแยกเขี้ยวคมประหนึ่งว่ามันโมโหหนักเดินใกล้กระชั้นเข้ามา

“ฮือ..พระองค์ หม่อม..หม่อมฉันกลัว” ชมนาฏเสียงสั่นเครือเกาะกุมพระหัตถ์ไว้ เจ้านางผู้มีพักตร์อันจำเริญตรัสด้วยพระสุรเสียงเรียบดวงพระเนตรจ้องไปที่พญาเสือ

“ไม่เปนไรดอกพี่ชมเจ้าดีเสียอีกได้ตายพร้อมๆกัน เกิดชาติหน้าภพภูมิใดเราจักได้มิต้องแยกจาก”

ทุกผู้นามย่อมมีความกลัวสถิตในเนื้อตนเมื่อใดที่ก้าวข้ามมันไปได้ เราจักเปนผู้ท้าทายที่น่าเกรงขามยิ่งของมัน

หากพยัคฆ์ตัวนี้เปนเช่นทูตนรกถูกแต่งมาไซร้เจ้าศศิธรกัญญาทรงรับเปนพระราชอาคันตุกะสมเกียรติ

การณ์กลับตาลปัตรเมื่อพญาพาฬสยบหมอบแทบเบื้องพระบาท

“อย่าเพคะ”อีกคำรบที่นางสนองฯทูลแลรั้งพระกรห้าม แลเปนอีกคราวเช่นกันที่เจ้าศศิธรกัญญามิทรงเชื่อทรงยื่นพระหัตถ์ลูบหัวมันเปี่ยมด้วยพระเมตตาชมนาฏกับโขมพัสตร์ถอยร่นกระเจิงไปที่มุมวิหารเพียงครู่เดียวพญาพาฬแสนรู้เดินเยื้องย่างออกไปนอกวิหารนั่งหน้าถมึงหลังตรงอยู่ที่หน้าปากทวารราวกับเปนสิงห์ปูนปั้นหน้าพระอุโบสถ

“ท่าทางพี่เสือเจ้าจักอาสาเปนพลเฝ้ายามให้แก่ผองเรากระมัง”

“กินอิ่มดีรึเปล่ามิรู้เกิดหิวขึ้นมาจักลอบมาขย้ำเราเอานะเพคะลงอีหรอบนี้ได้ตาสว่างค้างแข็งมิเปนหลับนอนแน่” ชมนาฏยังไม่คลายกังวลเจ้าศศิธรกัญญาเริ่มกริ้ว ทรงเอ็ดให้

“ก็หากยังไม่หลับไปเสียด้วยกันข้าจักสั่งมันให้ตะปบพี่ชมเจ้าบัดเดี๋ยวนี้” นางสนองห่อไหล่ก้มหน้านวลหลุบสายตาจ้าวป่าฤๅจักสู้เจ้าของหัวใจชมนาฏเหลือบหางตามองเจ้าเสือทีลอบมองเจ้านายน้อยสองทีจึ่งได้ล้มตัวลงนอนนารีทั้งสามบรรทมแลคุดคู้อยู่ข้างกัน ด้วยความเพลียเปนกำลังไม่นานจึ่งสลบเหมือด

..ล่วงเพลาเกินกว่ามัชชิมยามเข้ากาลดึกสงัดเสียงลิงค่างร้องเย็นยะเยือกอากาศเย็นกอปรกับพื้นปูนของวิหารร้างเปนเหตุให้องค์หญิงเชื้อพระร่วงบรรทมไม่สบายองค์นักชมนาฏรู้สึกตัวตามจังหวะการขยับพระวรกาย นึกสงสารพระองค์น้อยจับจิตทรงเลือกสละฐานันดรสูงส่ง ระเห็จออกจากพระราชวังรโหฐานสำราญรื่นฤดีพลับพลาพระที่นั่งเตียงตั่งแสนสบายจำทนลำบากพระวรกายเพื่อความหวังที่มิอาจเกิดขึ้นได้

..มันจักเปนเช่นนี้ไปอีกนานเท่าใด

“กึกๆๆๆ..”ชมนาฏต้องสะดุ้ง ละเสียจากความคิดตนเมื่อยินเสียงขวักไขว่ของฝีเท้าแลเกือกของพลเท้าพลม้าที่ยังมิละเลิกการไล่ล่าพระราชธิดากรุงสุโขทัย เจ้าศศิธรกัญญารู้สึกพระองค์เช่นกันชมนาฏส่งสัญญาณให้ทรงเงียบแลบังคับให้ลมหายใจให้แผ่วเบาไร้เสียงทหารอริราชส่องคบไฟวาบวูบเปลวแสงลอดเข้ามาในวิหารราชนิกูลพระร่วงเจ้าพระทัยแทบมลายหายวาบอากาศที่เย็นก่อนหน้ายิ่งยะเยือกสะท้านทรวง เสืออาจปราณีเพราะเสวาพาทีมิรู้ความแต่กับปัจจามิตรเหล่านี้ย่อมไม่ฟังคำแลเมตตา

“โฮกกกกก!..”เจ้าแห่งพงไพรแยกเขี้ยวคำรามขู่กองทหารติดตามเห็นเช่นนั้นจึ่งมิกล้าย่างกรายเข้ามา

“เฮ้ย! เสือโว้ย เผ่นๆๆๆ”

เจ้าศศิธรกัญญาทรงเป่าพระโอษฐ์แลทรงถอนพระปัสสาสะยาวชมนาฏโล่งใจเฉกกันเพียงแต่ทูลปลอบ

“พระองค์ผู้ประเสริฐทรงเปี่ยมด้วยบุญญาธิการเพคะ กระทั่งต้องราชภัยในพงพนายังมีพญาพาฬเปนราชองค์รักษ์”

“บุญแลบาปเปนคนละส่วนกันนะพี่ชมเจ้ามีดีย่อมต้องมีร้ายปะปน แลยามร้ายเช่นเมื่อครู่เราผ่านมาได้ก็จริง แต่มันย่อมไม่เกิดเพียงครั้งหญิงจักโชคดีเยี่ยงนี้ทุกคราวไปหรือไม่”เจ้าศศิธรกัญญาทรงตรองถึงการณ์แลกาลภายหน้า พระพักตร์หม่นทรงปริวิตกยิ่งนัก...

ขุนพิทักษ์โยธารู้สึกตัวฟื้นขึ้นมือหนาใหญ่กุมที่บริเวณแผลที่เลือดยังไหลไม่หยุดรับรู้ถึงความเจ็บปวดสาหัสที่สุดในชีวิตสายตากวาดไปมองดูกองอสุภของเหล่าทหารหาญใต้บังคับบัญชายิ่งให้เศร้าอาดูรเขาประณตน้อมประนมมือ ตั้งจิตแผ่เมตตาอุทิศกุศลให้แก่ดวงวิญญาณเหล่านั้น

ขุนพิทักษ์โยธาใช้กั้นหยั่น(มีดสองคมปลายแหลม) อันเปนของพระราชทานจากเจ้านายพระองค์น้อยทุลักทุเลกรีดผ้าเพื่อกดซับเลือดแลอีกผืนหนึ่งเปนแนวยาวพันแผลเอาไว้จากนั้นใช้ดาบยันกายให้ยืนขึ้น ล้มลุกล้มหงายเปนนานกว่าจะตั้งตัวได้เขาย่างอ่อนระโหยปากคอแห้งผากไปเพียงสองก้าวกลับล้มตึงอีกครั้ง

ปะเหมาะเคราะห์ยังดีเมื่อเห็นหญ้าดอกขาว(สาบเสือ) ขึ้นเป็นพุ่มอยู่ริมทาง ขุนทหารยังมีสติเต็มขั้นแลกระหวัดถึงบางอย่างเขาใช้วิชาครูพักลักจำเอาจากพ่อหมอหลวง ที่ใช้ใบวิเศษคุณนี้ห้ามเลือดรักษาแผลสดได้ชะงัดนักขุนพิทักษ์โยธายังจำได้เลาๆว่าพืชดอกสีขาวแลม่วงไร้กลิ่นนี้ยังใช้ถอนพิษน้ำเหลืองแก้อักเสบ แลตาฟาง

ขุนทหารบาดเจ็บเอื้อมมือยาวเด็ดเอาใบของมันมาขยี้แลพอกไปที่แผลของตนกลิ่นของมันช่างสาบสางนักประดุจดั่งกลิ่นสาบของเสือร้ายเช่นนี้เองชาวบ้านจึ่งได้เรียกขานมันว่าต้นสาบเสือบ่าวในจวนที่เปนพรานพนาเคยเล่าว่า หากเจอพญาพาฬไซร้ให้เข้าไปหลบภัยในพุ่มดงหญ้าดอกขาวนี้ ด้วยเพราะเสือร้ายจักมิได้กลิ่นคาวมนุษย์

ขุนมีชื่อมิยอมเอาชื่อมาทิ้งไว้กลางทางกัดฟันแลรวบรวมพละกำลังทั้งมวล กระเสือกกระสนรอนแรมเพื่อไปยังลำน้ำเบื้องหน้าจนได้

“พระองค์น้อยของข้านางโขมเมียรัก ข้าขอโทษที่มิอาจปกป้องคนทั้งสองได้ ฟ้าแลดินแลน้ำจงเปนพยานหากข้าสิ้นชีพลงเมื่อใด วิญญาณข้าจักตามไปคุ้มครองทั้งสอง”ขุนพิทักษ์โยธาหายใจรวยริน รำพันพร่ำถึงพระองค์น้อยแลแม่แขไขโขมพัสตร์ได้เพียงนั้นสติสุดท้ายจึ่งขาดผึงลง โลกามืดสนิทราวคืนเดือนดับ แรม 15 ค่ำ

“ตูมมมม..”ร่างกำยำกลิ้งตกจากตลิ่ง จมดิ่งดำลงไปในกระแสธารนั้นเอง...

**************************************************************************

ที่ร้านหนังสือเช่า

“กริ๊งงงงงงๆๆๆๆๆ”เสียงกดออดจากมือปริศนาดังเป็นระวิง

“เด็กที่ไหนมือบอนวอนแต่เช้าว้า..”ปัณณพรที่ง่วนอยู่กับการซ่อมหนังสือหัวเสียพอประมาณเมื่อคืนเธอฝันอีกแล้วคราวนี้เป็นการจมน้ำบุ๋งๆรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาสำลักน้ำมูกน้ำลายจวนเจียนจะขาดใจและไม่กล้านอนต่ออีกอารมณ์จึงไม่ใคร่เอ็นจอยนัก

เธอเหลือบแลดูนาฬิกาบนฝาผนังเข็มสั้นชี้ที่เลขเจ็ด แน่นอนว่าร้านยังไม่เปิดทำการจะว่าเป็นเพื่อนรักก็ไม่น่าจะใช่ เพิ่งคุยไลน์กันเมื่อครู่เองร่างเปรียวเดินมาเปิดประตูเหล็ก

..ทันทีที่มันถูกรูดขึ้นปรากฎเป็นดวงหน้าพิไลของแม่ดารา อิงอร

“แฟนเธอไม่อยู่ที่นี่หรอก”เสียงตุ่นๆพ่นออกมาพร้อมกับประตูกระจกที่เปิดออกสีหน้านิ่งๆที่ส่วนลึกเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองด้วยเจ้าของร้านคนงามไม่อยากต้อนรับเลย

“อรตั้งใจมาหาพี่นี่ๆมีของฝากด้วย” ดาราหน้าหวานจำนรรจา ยื่นถุงขนมส่งให้

“แผนตื้นเขินไปทำอะไรผิดมาอีก ถึงได้เอาของมาเซ่น ฉันไม่ใช่ศาลพระภูมินะ”ปัณณพรพูดดักทางอย่างเท่าทัน อิงอรเล่นหูเล่นตาโต้ตอบสนุกปาก

“พระภูมิท่านกินเหรอเค้กส้มน่ะ ของโปรดใครก็ม่ายรู้..” ร่างเล็กเดินไปที่ข้างร้านเสนอตัวเป็นพรีเซนเตอร์รักษ์โลก ทำทีจะหย่อนถุงขนมลงถังขยะปัณณพรร้องห้ามเสียงหลงคีย์

“เอ้าๆจะทำอะไร” เจ้าของร้านหนังสือเช่าเหวอรับประทานเมื่อแม่ดาราโศภิตผิว่ากล้าจะทิ้งของชอบได้ลง

“ก็คนรับเขาไม่ต้องการ..รออะไร ทิ้งสิคร้า”

“เอามานี่”

“ม่ายห้ายยย”ดาราหน้าหวานส่งเสียงและท่าทางสุดยียวน ปัณณพรแย่งถุงขนมมาไว้ในกรรมสิทธิ์ทีแรกวืดวาดคว้าเอาได้แต่ลม ยื้อยุดกันสองสามจังหวะอิงอรมั่นใจแล้วว่าชนะเกมนี้จึงได้ส่งให้แต่โดยดี

“..ก็แค่เสียดายน่ะหัดรู้คุณค่าของเงินบ้าง” คนรักหนังสือพูดแถเป็นมารยามารยาทก่อนจะหมุนร่างสะองเดินนำเข้ามาในร้านเพราะไม่อยากให้แม่ดาราเห็นนัยน์ตาพิรุธอิงอรวิ่งแจ้นเป็นกุมารีคะนองฉวยเอาถุงขนมจากมือปัณณพร

“เดี๋ยวอรทำให้เอง”ปัณณพรมองไล่หลังจะอ้าปากว่าก็ใช่เรื่อง ความรู้สึกของตัวเองนั้นเล่า มันเจือกัน ระหว่างเอ็นดูแกมหมั่นไส้..เด็กหนอเด็ก

..มินาเล่ายัยพักตร์ถึงได้หลงหัวปักหัวปำหน้าคะมำทิ่มบ่อติดบ่วงเช่นนี้

อิงอรจัดแจงเอาเค้กส้มใส่จานเล็กเปิดเครื่องชงกาแฟอย่างรู้งาน ตาคมปรายไปเห็นกองหนังสือระเกะระกะอยู่ในลังบ้างสุมพะเนินอยู่ที่พื้นบ้างดังว่ารอสะสาง

“หนังสือเข้าเหรอ”

“เซ้งต่อจากคนรู้จักน่ะเขาเลิกกิจการก็เลยเลือกๆเอามา”

“ก็..” ด้วยความเคยชินอิงอรเกือบปากไวใจเร็ว ลืมไปสนิทว่าเธอกำลังอยู่กับจอมโหดเดินถือจานเค้กมาให้ปัณณพรที่นั่งประจำการตรงโต๊ะกาแฟดาราสาวยังไม่ละความสนใจจากหนังสือนั้น หวนกลับไปนั่งยองๆหยิบจับแต่เบามือความที่เป็นดาราต้องอ่านบทละครนั่งจึงปลูกฝังให้เธอรักตัวหนังสือที่ร้อยเรียงเป็นเรื่องราวไม่น้อยเพียงแต่อาจเป็นไปโดยไม่รู้ตัว

หลังจากรื้อค้นจนจำแนกได้ว่าอะไรเป็นอะไร เป็นไปตามคาด pocket book ทั้งหมดคือนวนิยายจำพวกตบจูบลูกกวาดหลากสี และการ์ตูนตาหวาน อย่างหลังนี้พอเข้าใจได้ ก็เคยผ่านวัยใสมาก่อนเด็กสาวๆชอบทุกคนแหล่ะ

“ทำไม๊ทำไมมีแต่นิยายประโลมโลกตบตีแย่งผัวเมีย เมื่อไหร่จะมีแนวแหวกๆมาให้อ่านบ้างคนเขียนนี่เขาไม่เบื่อบ้างหรือไงนะ”

“ผ่านบทมาก็เยอะเธอก็น่าจะเข้าใจสังคมดี”

“อรก็แค่นักแสดงตัวเล็กๆคนหนึ่งจะไปเข้าใจอะไร ยิ่งเวลาเล่นละครรีเมคนะ กดดันสุดๆบีบหัวใจมาก คำชมมีมากกว่าด่าคนดูก็ไม่รู้จะเปรียบเทียบทำไม” อิงอรบ่นออกมาดังๆใครว่าเป็นดารากินหมู ไม่นับคลื่นลูกใหม่ที่รอแจ้งเกิดเป็นคู่แข่งรายวันฝีไม้ลายมือในการแสดงก็มีผลต่องานต่อๆไปเช่นกัน

“ภาษาคนทำงานคนทำบทเขาเรียกว่าwhat to say คือคุณจะบอกอะไรจากพล็อตเดิมๆเล่าอะไรด้วยสำนวนกลบทแบบไหน ประเด็นมันอยู่ตรงนั้น แม่นาค คู่กรรม ดาวพระศุกร์มนต์รักลูกทุ่ง คนอ่านคนดูย่อมรู้อยู่ว่าเรื่องเป็นอย่างไรจบแบบไหนอีกจำพวกหนึ่งคือคนที่ต้องการเสพงานแบบ how to say เป็นงานเชิงวรรณศิลป์รักในความวิจิตรของการร้อยถ้อยคำซึ่งมีน้อยกว่าน้อยพูดแบบการตลาดนักเขียนหรือผู้ผลิตส่วนใหญ่จึงจับ mass ยังไง

นี่คือการเสพงานบันเทิงแบบไทยๆง่ายๆ ตรงไปตรงมา ว่าแต่เธอเถอะจะบอกพี่ตรงๆได้หรือยัง ลมอะไรหอบมาแล้วต้องการสิ่งใด” ปัณณพรแจงยิบ อิงอรสนใจฟังอย่างซึมซับ ฉงนฉงายแปลกใจตนเองหากคนพูดเป็นพี่พักตร์แล้ว เธอจะเถียง เถียงและเถียง

“แหะๆพี่ปัณฉลาดจุง” ผู้ถูกชมไม่ยินดียินร้าย เธอต้องการแก่นมิใช่คำป้อยออันเป็นเพียงเปลือก

“ก็..อรอยากชวนพี่ ไม่สิต้องบอกว่าขอร้องเลย ให้ไปขอโทษยัยนางแบบพลาสติกแบบว่าประชด เอ้ยแบบว่าประนีประนอมน่ะนะ” ปัณณพรจ้องหน้าคนพูดอย่างไม่เชื่อหูอิงอรพูดสมทบต่อ

“อรพูดจริงๆเรื่องจะได้จบๆไปแม้จะค้างคาก็เถอะ สงครามย่อมจบลงด้วยการเจรจามิใช่หรือ”

“ใช่..แต่ประเด็นคือทำไมไม่ไปกับยัยพักตร์ล่ะ”

“เหอๆ..พี่พักตร์น่ะเหรอ ได้เจ้ากี้เจ้าการสั่งให้อรต้องทำแบบนั้นแบบนี้ไม่พ้นปากประตูได้ทะเลาะกันก่อนแน่ อีกอย่างวันนี้พี่พักตร์ยุ่งมว๊ากกกก”อิงอรเจื้อยแจ้วบอกเหตุผล ปัณณพรรับฟังเหมือนว่าเชื่อทั้งๆที่ความจริงเธอน่ะรู้แต่ไม่พูดท้วง วัชรพักตร์ไม่มีธุระปะปังกับใครเลยปัณณพรปล่อยผ่าน ยกประโยชน์ให้จำเลย อย่างน้อยเด็กมันตั้งใจดี

“ดูเธอไม่ค่อยสนิทใจกับยัยพักตร์นะ”ปัณณพรยิงคำถามตรงๆ แววตานิ่งจ้องหน้า จะจับผิดดาราต้องใช้ความสามารถเยอะหน่อย

“เป็นแฟนกันย่อมต้องเหลือพื้นที่ส่วนตัวบ้าง”อิงอรพูดน้อยต่อยหนักเข้าเป้าเน้นๆ

“เคยพูดตรงๆหรือเปล่าล่ะ”ดาราหน้าหวานทำหน้าเด๋อด๋า มิใช่เดียงสา เปลี่ยนประเด็นตามถนัดแต่ก็ไม่ได้ไกลจากเรื่องเดิมนัก

“หากพี่พักตร์เข้าใจอรบ้างไรบ้างก็ดีสิ”

“แล้วไยต้องเรียกร้องโหยหาด้วยไอ้ความเข้าใจน่ะ” ปัณณพรพยายามประหยัดวจีเธอไม่อยากเอาตนเองเข้าไปพัวพันกับความสัมพันธ์ง่อนแง่นของคู่นี้เลยมาตรว่าจะเชียร์สุดลิ่มให้วัชรพักตร์เลิกกับแม่ดารานี่ก็เถอะแต่มาถึงขั้นนี้แล้วต้องเอาให้จบความ กลั้นใจขอพูดอีกนิดให้สะกิดใจ

“อย่างน้อยที่สุดยัยพักตร์ก็เป็นคนที่รักเธอ..มากเสียด้วย ปฏิบัติต่อเธออย่างดีและสม่ำเสมอไม่เคยขาดตกบกพร่อง”

“รักไม่ใช่เกมจะได้รักมารักตอบไม่โกง” อิงอรโต้ทันควัน ข้อนี้ปัณณพรมิอาจแย้งย้อนและไม่ซอกแซกถามต่อ

“งั้นรอก่อนแล้วกันจะไปเปลี่ยนชุด”

“เย้ๆๆพี่ปัณใจดี๊ใจดี” อิงอรเผลอเข้ามากระแซะอารามดีใจ เป็นปัณณพรที่ใจคอไม่ค่อยดีสลัดแขนอ่อนให้หลุดรีบวิ่งจู๊ดขึ้นชั้นบนไป อิงอรถึงกับหน้าเสีย ตัวชาแปลกๆหน่วงที่อกข้างซ้าย…

ระหว่างทางในรถวัชรพักตร์โทรเข้ามาแต่อิงอรเลือกจะกดสายทิ้งปัณณพรเพียงเขตาสุดขอบแอบๆมองเท่านั้น

จังหวะที่ก้มเสียบโทรศัพท์เข้ากับสายชาร์จพลันที่เงยหน้าขึ้นมา รถของเธอจ่อก้นกระบะคันข้างหน้าที่เบรกกะทันหัน

“เฮ้ยยย!..” อิงอรต้องกระแทกเท้าที่แป้นเบรกเสียจมมิดปัณณพรที่ไม่ทันระวังตัวถึงกับหัวทิ่มดีที่เข็มขัดนิรภัยช่วยยั้งตัวไว้ได้

แม้อิงอรจะไม่ได้ขับขี่ด้วยความรวดเร็วแต่ด้วยระยะที่กระชั้นชิดเกินไป ต่อให้พี่วินดีเซลมาขับก็ไม่อาจแก้สถานการณ์ฉุกละหุกนี้ได้

“กึกกกก..” รถของดาราสาวจูจุ๊บเข้ากับบั้นท้ายอวบของกระบะเข้าจนได้ ไม่แรงแต่ก็ไม่เบา

“แม่ม..ขับรถภาษาไรแว๊” อิงอรโวยเต็มเสียง หน้าออกไปทางเกรี้ยวกริ้วมือน้อยละจากพวงมาลัยปลดเข็มขัดนิรภัยเตรียมมีเรื่อง

“คุณอิงอรเสียงเย็นเฉียบที่ร้องทักเป็นเหตุให้ดาราสาวหันมายิ้มแหยๆแหยงๆ เธอจะเยอะเหวี่ยง วีนกับใครก็ได้ เว้นคนข้างๆไว้คน

“เดี๋ยวพี่จัดการเอง”

“แต่..”

“ฉลาดคิดหน่อยแม่คุณจุดเดือดต่ำแบบนี้เป็นได้มากกว่าแค่รถชนกันสิวๆแน่” ปัณณพรเป็นฝ่ายลงจากรถสำรวจความเสียหายไม่มากเป็นแค่รอยสีไม่กินถึงเนื้อเจรจากับคู่กรณีที่เป็นผู้ชายวัยกลางคน เพียงไม่นานเขาผู้นั้นก็ยิ้มแย้มและโค้งคำนับให้สาวเจ้าอิงอรที่ลุ้น อยู่ในรถอึ้งและทึ่งมาก

“ทำอีท่าไหน” ยังไม่ทันจะนั่งประจำที่เรียบร้อยดี อิงอรร้อนใจใคร่รู้ปัณณพรหันมายักคิ้วและยิ้มที่มุมปากเก๋ไก๋ให้ครั้งหนึ่ง

“ก็ท่าที่เห็นเขาน่ะผิดเต็มประตูสิ เบรกกะทันหัน ส่วนฝ่ายเราเองหากว่ากันตามกฎจราจรแล้วก็ผิดไม่รักษาระยะห่าง อะลุ่มอล่วยเจ๊าๆกันไปเจี๊ยะทั้งคู่คนอื่นก็ไม่ต้องเดือนร้อนด้วย”

“พี่ปัณนี่จอมเจ้าอหิงสาเลยนะแถมยังฉลาดต่อรองพลิกเรื่องได้แค่ไม่กี่คำถ้าอรดื้อลงไปคงได้เป็นข่าวอีก”อิงอรชื่นชมทั้งยังยอมรับความเป็นคนอารมณ์ร้อนของตน

“เข้าใจความหมายของมันดีแล้วเหรอ”

“เอะอะก็เข้าใจๆ” อิงอรบ่นอุบเธอเข้าใจดีเพราะวิชาพุทธศาสน์สมัยมัธยมสอนไว้ว่าคือ การไม่เบียดเบียน การละเว้นจากการทำร้ายประทุษร้ายทั้งกาย วาจาและใจ

“วิถีวิธีคิดของชีวิตมันก็เหมือนบทละครถ้าอ่านไม่แตก ก็เล่นได้ไม่สมบาทบาท สเกลใหญ่กว่านั้นคือบางครั้งชีวิตมันต้องดูขอบของเหรียญด้วย” ปัณณพรเป็นพาลีสอนน้อง

กูรูผู้รู้ส่วนใหญ่ชอบพร่ำบอกให้พินิจถึงเหรียญอีกด้านหนึ่งลืมไปหรือไม่ว่าทรงนูนต่ำนี้มันมีขอบให้พิจารณาด้วย อิงอรชื่นชมปัณณพรในความแยบคายแต่แสดงออกมากไปเดี๋ยวยิ่งได้ใจ

“เจ้าหลักการฟอร์มจัดๆแบบเนี๊ยะถึงหาแฟนบ่ได้”

“ไม่หาต่างหากย่ะ”ปัณณพรแค่นเสียง อหิงสาจะมาแตกเอาเมื่อถูกจี้ใจดำนี่เอง

“รึว่า..พี่ปัณเพ้อๆ รอใครคนนั้นมาเดินชนกันในร้านหนังสือแล้วแบบว่าอุ๊ย..ชอบหนังสือเล่มเดียวกันเลยใจเราช่างตรงกันอะไรโบๆใช่ป่าว” อิงอรแซวหนักหยิบยืมมุกยอดฮิตในละครมาใช้เปรียบเปรยปัณณพรเห็นว่าตัวเสียเชิงจึงเงียบไปเจตนาไม่ตอบเพียงเบี่ยงหน้าคมมองไปนอกกระจกกลั้นยิ้มไว้ไม่อยู่...




 

Create Date : 14 มีนาคม 2559    
Last Update : 14 มีนาคม 2559 16:34:58 น.
Counter : 441 Pageviews.  

ผจญไพร

ข้าศึกถาโถมประชิดเข้ามาใกล้ทุกขณะจิตทุกทิศทางในระยะไม่ถึงยี่สิบวากองราชองค์รักษ์แม้นว่าจักกระเดื่องเรืองนามว่ามากฝีมือชาญณรงค์รอนก็มิอาจต้านทานด้วยจำนวนที่มากกว่าได้ทแกล้วทหารสุโขทัยบาดเจ็บแลล้มตายเปนเบือต่อหน้าพระพักตร์ ธิดาพระนรินทร์แลนางสนองผู้หนึ่งเสด็จหนีมาทางป่าอ้อฝ่าสายฝนห่าใหญ่ที่ตกไร้เค้า โลหิตแดงฉานปะปนไปกับน้ำจากเบื้องโพยมานเจ้าศศิธรกัญญาทรงสลดสังเวชพระทัยนัก พระอัสสุชลไหลหลากแข่งกับสายพรรษนั้น

ระหว่างที่หนีนางสนองฯสะดุดเข้ากับขอนไม้ ล้มลงไปจ้ำเบ้า สีหน้าเหยเกแสดงความเจ็บปวดนักแลมิอาจลุกขึ้นได้เอง

“โอย”เจ้าศศิธรกัญญาทรงคุกพระชานุลงทอดพระเนตรอาการแลตรัสด้วยทรงวิตก

“ข้อเท้าเจ้าแพลง”

“พระองค์โปรดเสด็จหนีไปก่อนเถิดเพคะทิ้งหม่อมฉันไว้ที่นี่เสีย”

“ไม่!!”พระสุรเสียงราชกุลกัลยากร้าว แววพระเนตรขึ้ง

“พระองค์ผู้ประเสริฐของหม่อมอย่าทรงดื้อดึงเลยเพคะ หากพระองค์ทรงโดนจับกุมไปใครเล่าจักเปนหัวเรี่ยวหัวแรงกอบกู้พระราชอาณาจักรหม่อมฉันมิได้หวาดเกรงต่อความตายสักนิดน้อย การนี้หม่อมฉันได้ถวายอุทิศตนเพื่อสุโขทัยแลพระองค์แล้วเพคะ”นางสนองทูลให้เหตุผลแลเตือนพระสติ ธิดาจอมราชย์ทรงตรองอยู่ชั่วอึดใจหนึ่งหัวหมู่ทะลวงฟันของศัตรูตะลุยดะ ไล่ล่ากระชั้นเข้ามาจวนเจียนจะถึงพระองค์แล้ว

“ถูกของเจ้าจงรักษาตัวด้วย หากเจอขุนพิทักษ์โยธาแล้วไซร้ จงบอกให้เร่งไปรับตัวข้าที่หมู่บ้านนมช้องให้เร็วที่สุด”ทรงรับสั่งแลฉวยเอาห่อผ้าเครื่องราชูปโภคติดพระหัตถ์

พระองค์น้อยทรงวิ่งสุดฝีพระบาทแลทรงตรองถึงทางหนีทีไล่ไปพลาง ชัยภูมิเปนทุ่งโล่งกว้างไพศาลสุดพระเนตรเยี่ยงนี้หากหนีแบบสุ่มสี่สุ่มห้าไร้กระบวน รังเสียแต่ว่าจักสิ้นแรงแลโดนจับกุมเมื่อเพลาใดเท่านั้นดำริเช่นนั้นจึ่งทรงแหวกกอหญ้าสูงเทียมพระเศียร เข้ามาหลบเร้นพระวรกายเจ้าศศิธรกัญญาทรงประทับที่พื้นปลดเปลื้องฉลองพระองค์แลมวลเครื่องประดับรวบใส่ห่อผ้ามิดชิดทรงทำองค์เปนอย่างสามัญชนเพื่อมิให้เปนที่ต้องสังเกตเด่นชัด

เสียงพลทหารศัตรูแหวกกอหญ้าเดินเพ่นพ่านทั่วทุ่ง พลันจวนตัวยิ่งยวด เจ้าศศิธรกัญญาทรงระลึกถึงพระคาถากำบังตนที่พระคุณเจ้าทรงประธานไว้

พระองค์น้อยทรงตั้งดวงจิตมั่นปิดเปลือดวงพระเนตรแลตั้งนะโม 3 จบ
“นะโมตัสสะ...

ล้อมก็ไม่เจอเดินผ่านไปก็ไม่เห็น
พุทธัง บังจักขุ มะอะอุ ไม่เห็นอิตัวกู
ธัมมัง บังจักขุ มะอะอุ ไม่เห็นอิตัวกู
สังฆัง บังจักขุ มะอะอุ ไม่เห็นอิตัวกู
ฆะเตสิท อะหังปิตตัง นะชานามิ
โจรา โจวา โจวา ปะรายันติ”
สิ้นพระสุรเสียงร่ายมนต์กลับมีเสียงของฝ่ายศัตรูกู่ร้องกับพวก

“เฮ้ยข้าว่าทางนี้ไม่มีหรอกว่ะ ย้อนกลับไปอีกทางจักดีกว่า” เหล่าทหารศัตรูเดินผ่านพระองค์น้อยไปอย่างน่าอัศจรรย์ใจ

“ด้วยเดชะบุญญาบารมีของสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งพระนครปกข้านี้จึ่งมิต้องภัยพาล” พระทุหิตาแห่งวงศ์พระร่วงทรงแหงนพระพักตร์ขึ้นแลรำพันแล้วจึ่งทรงรีบออกเดินทางหลบราชภัยฝ่าพายุวัสสะมุ่งไปหมู่บ้านนมช้องด้วยความอ่อนล้าเปนกำลัง

ต่อเมื่อพลาหกซาเม็ดแลหยุดลงเจ้าศศิธรกัญญาเสด็จพระราชดำเนินพ้นป่าหญ้าเข้าสู่เขตป่าละเมาะแสงอุษณรศมัยภายหลังพรรษสาดมิสดใสนัก เนื่องด้วยเข้าเพลาสนธยาเสียแล้วทรงคำนวณระยะทางแจงในพระหฤทัย อันจุดมุ่งหมายเปนด้วยยังอีกไกลนักมิพ้นจำต้องอ้างแรมกลางทางกลางพนาไพรนี้เปนแม่นมั่น

“แปร้นนนน”เสียงแผดกังวานไปทั้งไพรสณฑ์ของคชสารป่าตัวหนึ่ง เปนเหตุให้ธิดาจอมราชย์ทอดพระเนตรร่างใหญ่แต่เดินเท้าเบามุ่งตรงมาที่หน้าพระพักตร์ของเจ้าศศิธรกัญญาประหนึ่งว่าแสดงตนเปนจ้าวแห่งอรัญญิกนี้

“ขอพี่เจ้าอย่าได้ขุ่นเคืองใจไปเลยข้าเพียงอาศัยเดินทางเท่านั้นดอก มิได้ก้ำเกินในสิทธิ์ของพี่เจ้า”พระองค์น้อยทรงมีพระราชปฏิสันถารด้วยทรงถือว่าหัสดีนี้เปนสัตว์สูงปัญญาเทียมมนุษย์ ผิว่าพูดมิได้เท่านั้นดอกมันเดินมาหยุดหน้าพระพักตร์ ดวงตาคู่ดำขลับแยงยลพระองค์น้อยผู้ประเสริฐแลหมอบนิ่งอยู่อย่างนั้น

“พี่เจ้าประสงค์ในสิ่งใดฤๅ อันตัวข้านี้น้อยนักเรี่ยวแรงแลปัญญาจักหาภักษาให้พี่เจ้าเปนไม่สามารถได้”เจ้าศศิธรกัญญาพยายามสื่อสาร มหากุญชรเพียงแต่สะบัดงวงเบี่ยงมาที่หลัง

“พี่เจ้าจักให้ขึ้นหลัง..อย่างนั้นรึ”มันทำซ้ำเปนคำตอบ เจ้าศศิธรกัญญาจึ่งไม่ทรงรอรี ปีนพระองค์ขึ้นหลังจ้าวพนา

“จักไปส่งข้าหรือไร มันไกลนักนะพี่เจ้า”สัตว์สูงปัญญาเพียงยันร่างใหญ่ยืนตรงแลออกเดินไปประหนึ่งว่ามุ่งมาดถวายเปนราชพลีคำทักท้วงใดก็มิยังผล

“หมู่บ้านไผ่แดง จากนี้คงราวเกือบสามโยชน์พี่เจ้ารู้จักหรือไม่” พญาช้างป่าแสนรู้สะบัดงวงงอนขึ้นสูงตอบรับ

“ข้าจักเรียกพี่เจ้าว่าพลายอารีดีไหมเล่า”มันแผดร้องขานรับ พลางเอางวงตวัดฉวยเอาฟอนหญ้าสดเข้าปากสบายอารมณ์

“เห็นทีหากข้าได้กลับเข้าสถานิยเมื่อใดจักขึ้นระวางพี่เจ้าดีหรือไม่” พระราชธิดาทรงสัญญาตกรางวัลล่วงหน้า พลายอารีหยุดฝีเท้าเสียอย่างนั้นสำแดงว่าขุ่นเคืองแลปฏิเสธกลายๆ

“อ้อ..ข้าลืมข้อสำคัญไปสิ้นต้องขออภัยพี่เจ้าด้วย พี่เจ้าเปนจ้าวแห่งตำบลนี้แลคงมิพึงใจสมัครรักใคร่อยู่ในวังเวียง

เฉกข้าเปนคนของสุโขทัยถึงได้กระเสือกกระสนดิ้นรนมิตกเปนคนของนคราต่างถิ่น”

อันมนุษย์แลเวไนยสัตว์ย่อมมิแตกต่างในข้อนี้รักถิ่นที่อยู่ภูมิลำเนาแลรักอิสระอยู่ในกมลสันดาน

มาตรว่าจักทรงตกระกำลำบากแต่เจ้าศศิธรกัญญาทรงแย้มพระสรวลโสมนัสได้อันเนื่องจากความเกษมศานต์ในอิสรภาพของพระองค์...

ขุนพิทักษ์โยธาที่ซุ่มดักรอกระทำการชิงตัวตามแผนอยู่ณ จุดนัดพบ ครบคำรบเกินเลยจากเวลาเนิ่นนานไปก็ให้ปริวิตกนัก พลันทันใดนั้นมีม้าเร็วมาแจ้งข่าวร้าย

“ท่านขุนแย่แล้วๆ” พลนำสารวิ่งกระหืดกระหอบหน้าตาตื่นลนลานกว่าจะสื่อกันรู้ความก็เสียเวลาไปไม่น้อย

“พระองค์เจ้าน้อยรอข้าก่อน พระองค์ทรงปราดเปรื่องเรืองปัญญา ทรงต้องปลอดภัยแคล้วคลาดพระแม่ย่าแลพระร่วงเจ้าในพระบรมโกศขอทรงคุ้มครองพระองค์น้อยด้วยเถิดพะย่ะค่ะ”ขุนมีชื่อแจ้งเหตุฉุกละหุก จึ่งรีบนำกองจรยุทธ์ควบม้าสุดฝีเท้าหมายว่าจะเข้าแก้เจ้าศศิธรกัญญาออกมา

ฝ่ายไพร่พลสุโขทัยที่เหลือรอดเพียงไม่กี่นายแตกฮือไร้ทิศทาง

“ย๊ากกกก!!”ขุนพิทักษ์โยธาตะบึงม้าชักดาบออกมาแลเข้าตะลุมบอนกลางวงล้อมข้าศึกเปนสามารถแต่กำลังน้อยย่อมมิอาจต่อกรฝ่ายตรงข้ามได้ลงท้ายความทหารผู้ทรงกิติศักดิ์โดนรุมแลตกกระดอนคว้างจากหลังอาชา

“ฉึกกก..”ราชองค์รักษ์โดนคมหอกจ้วงเข้าที่ชายโครงแผลหนึ่ง ลึกแลสาหัสเอาเรื่องอยู่เลือดไหลทะลักล้นเปนลิ่มเต็มหน้าท้องจากร่างกำยำ

“เฮ...”หมู่ริปูร้องโห่ฮา วิ่งกรูเข้ามาหมายจะกระหน่ำซ้ำให้แดดิ้น

อันการถึงแก่ปรลัยดูคล้ายเล่มดาบต่อเมื่อสิ้นคมเสียแล้ว แม้จักลับด้วยศิลาสักกี่หนก็ยากยิ่งนักจักฉวัดเฉียบได้ดั่งเก่าก่อน

ขุนพิทักษ์โยธามิได้หวั่นเกรงต่อการไปเยือนแดนสุขาวดีฤๅทุคตินารกเพียงแต่เพลานี้หน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์ที่เขาแบกบนบ่าไว้จำต้องปฏิบัติเสียให้ลุล่วง

อันความกล้าแลบ้าบิ่นนั้นแยกกันเด็ดขาดชัดเจน

เพลานี้ขุนมีชื่อต้องรู้รักษาตัวรอดเปนยอดคนเล่ห์กระเท่ห์ผุดจากก้านสมองนำมาใช้ทันท่วงที ขุนพิทักษ์โยธาจำแกล้งขาดใจตายด้วยรู้ตายปิดเปลือกตาแลตัวอ่อนนอนมรณาอยู่ข้างศพเพื่อนทหารหาญนั้น

ศัตรูนายหนึ่งใช้ดาบเขี่ยตามเนื้อตัวขุนพิทักษ์โยธาแลพลิกหงายดูมันเงื้อดาบจะจ้วงแทง

“ไม่ต้องหัวหมู่ร้องห้ามไว้ได้ทันแลพูดต่อ

“มันตายสิ้นแล้วทิ้งไว้อย่างนี้ บัดเดี๋ยวแร้งแลหมาในก็มาตะกรามตะกรุมทึ้งแทะอสุภเสียเองพวกเราจงไปเร่งตามหาพระราชธิดาแห่งสุโขทัยกันเถิดใครได้ตัวพระนางไปถวายพ่อเมืองแห่งนครพิงค์ได้คงได้เลื่อนยศถาเปนขุนเปนพระยาก็คราวนี้แหล่ะโว้ยฮ่าๆๆๆ”

แผนตายประชดป่าช้าได้ผลเท่านั้นเหล่าทหารฝ่ายเหนือจึ่งถอนกำลังได้จากไป

ขุนพิทักษ์โยธาเปิดเปลือกตาขึ้นเขาได้ยินข้อใจความสำคัญทั้งหมด มือที่อ่อนแรงกำแน่นเกร็งด้วยความเจ็บแค้นสุมในอก

“ที่แท้เจ้านครพิงค์จักชิงตัวพระองค์นั่นเอง พระอาญาไม่พ้นเกล้าข้าจักต้องแก้เอาพระองค์มาเสียให้จงได้ ขอให้บังเกิดอริยปาฏิหาริย์แด่พระองค์น้อยผู้มากด้วยบุญญาธิการด้วยเถิด..”สิ้นเสียงแหบพร่า ขุนทหารจึ่งสิ้นสติไปพร้อมกับคำมั่น...

ล่วงเข้ามัชชิมยามราตรีกาลนภดลยังพอหาความสว่างได้จากบุหลันกลมโตข้างแรมอ่อนที่สาดแสงนวล ชะนีพนัสร่ำร้องหวนไห้หาคู่เรไรขับขานขับกล่อมเสมือนเปนการถวายต้อนรับพระองค์น้อย

เจ้าศศิธรกัญญาทรงพญาช้างพลายอารีสารมาใกล้หมู่บ้านนมช้อง

“ใกล้แล้วๆพี่พลายเจ้าขอจงเร่งฝีเท้าอีกสักน้อยเถิด ข้าใจร้อนคิดถึงพี่ชมจักแย่”เจ้าศศิธรกัญญาทรงเว้าวอน แต่เหมือนทรงรู้สึกองค์ว่ายิ่งเร่งจ้าวพนาสณฑ์ยิ่งผ่อนฝีเท้าดึงให้ช้าอ้อยสร้อยร่ำไร

“พี่พลายเจ้ารู้หรือไม่พี่ชมนางเปนคนสำคัญของข้า เปนสุดยอดดวงใจ เปนแก้วกับตน เปนกาล ทั้งอดีตปัจจุบันแลอนาคตของข้านี้” ธิดาจอมราชย์ตรัสแนวเพ้อพร่ำวงพระพักตร์ล้อมด้วยรอยสรวล แววพระเนตรฉ่ำฉาบหวานแต่มันกลับเปนอยู่มิได้นาน

“แปร้นนนนน..” พลายอารีส่งเสียงร้องแลหยุดก้าวเดิน หมอบต่ำลงที่พสุธา

“มีสิ่งอันใดฤๅ” เจ้าศศิธรกัญญาทรงลงจากหลังคชสารเสด็จพระราชดำเนินมาเสียด้วยพระองค์เอง เมื่อพ้นชายป่ารอยต่อพะเนินทุ่งเขตหมู่บ้านพระองค์น้อยทรงตกพระทัยแทบสิ้นพระสติ

สิขานลลุกท่วมโชนชัชวาลตลอดทั้งตำบลแสงแดงโร่ของเปลวอัคคีพวยพุ่งเต็มเวหาสสว่างดุจกลางวัน ร่องรอยแห่งไฟโหมยังกรุ่นหมู่บ้านนมช้องโดนปล้นแลเผาเหี้ยนราพณาสูรเมื่อครู่นี้เอง

“พี่ชม โขมพัสตร์”เจ้าศศิธรกัญญาทรงออกวิ่งตามหานางสนองแลเมียสาวขุนพิทักษ์โยธาทั่งทุกซอกหลืบทุกหลังคาเรือนที่บ้างไฟมอดแล้วเหลือแต่เสาเรือนเปนตอตะโก บ้างยังมีไฟโหมติดตับจาก

“พี่ชมโขมพัสตร์ ได้ยินข้าไหม” พระองค์น้อยทรงร้องตะโกนมิหยุดหย่อนพระทัยหายคิดในทางร้ายไปร้อยแปด ไม่ว่าพี่ชมจักโดนฉุดลากกระทำย่ำยีโดนจับเปนเชลยเปนทาส ฤาถึงขั้นปรลัย

“พระองค์ของนม..”สุ้มเสียงระโหยแลแผ่วเบายิ่งนักลอดสอดมาจากใต้กองซากปรักหักพังควันไฟสีเทาตัดกับความมืดยังพวยพุ่งพระองค์มิรอช้าทรงกระโจนเข้าไปในนั้นแลทรงรือกองไม้ด้วยสองพระหัตถ์ชนิดมิกลัวมือลวกมือพอง

“แค่กๆ..”เจ้าศศิธรกัญญาทรงสำลักควันเขม่าขมุกขมัวเปื้อนพระพักตร์แฉล้มจนหม่นหมอง ทรงประคองร่างนมช้องที่หายใจรวยรินแนบพระอุระ

นมช้องนับเนื่องเปนพระนมเพียงนางหนึ่งนางเดียวของเจ้าศศิธรกัญญาแต่ในเวียงวังนั้นเล่าเต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดี

เด่นนักมักเปนภัย

นมช้องมิพ้นจากสัจพจน์ข้อนี้นางถูกใส่ไคล้ป้ายสีด้วยข้อหาฉกาจฉกรรจ์จึ่งได้ถูกพิพากษาแบบศาลเตี้ยโดยกรมวังที่รับอามิส ให้เนรเทศพ้นบุรินทร์กาลนับแต่นั้นสืบมาพระองค์น้อยทรงปฏิเสธน้ำนมจากเต้าหญิงอื่น

ครั้นพอเจ้าศศิธรกัญญาทรงเจริญพระชันษาแลทรงทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทจึ่งมีพระราชกระแสรับสั่งให้ขุนพิทักษ์โยธาออกตามหาแม่นมผู้มีพระคุณผู้หนึ่งนั้นจนกระทั่งพบตัวหากพระองค์น้อยมิสบโอกาสเสด็จเยี่ยม รำลึกพระคุณกษิรธาราทรงเสวยจนกระทั่งปีกลาย

“นมนมของหญิงทำใจดีๆไว้นะ” พระธิดาจอมราชย์ทรงกุมพระหัตถ์น้อยกับมืออดีตแม่นมทรงมุ่งหวังถ่ายทอดพลังชีวิต แม้นทรงตระหนักในพระกมลดีว่าการยื้อยุดกับพญามัจจุราช ฝ่ายใดจักปราชัย

“พระองค์ผู้ประเสริฐวิไลลักษณ์หม่อมดีใจมากเพคะที่ได้มีโอกาสรับเสด็จอีกครั้ง นมขอถวายพระพรขอพระองค์จงจำเริญสวัสดิ์พูนผลสมบูรณ์ในสิ่งที่ทรงปรารถนา แลหม่อมขอพระราชทานอภัยหม่อมมิสามารถช่วยการของพระองค์หญิงจนล่วงไปได้ หม่อม..” ยังมิทันสิ้นคำหญิงชราข้าเก่าเต่าเลี้ยงผู้จงรักหายใจเฮือกใหญ่สองครั้งสุดท้ายแลท้ายสุด พิราลัยแนบพระอุระ

“ไม่นะ! นม นมของหญิง ฟื้นสิฟื้น หญิงสั่งได้ยินไหม ”เจ้าศศิธรกัญญาทรงร้องเรียกฟูมฟายหนัก กันแสงหนักแทบเปนสายโลหิตพระอัสสุชลไหลหลากจนขอบพระเนตรช้ำบวม โทมนัสแทบจะขาดพระทัยตาม

พระราชธิดาแห่งกรุงสุโขทัยทรงทอดอาลัยเปนนานต่อเมื่อพระสติคืนมา ทรงลูบพระหัตถ์ปิดเปลือกตาให้แม่นมช้อง

“บุญหญิงช่างน้อยนักมิทันจักทดแทนพระคุณนมเลย ซ้ำหญิงยังเปนตัวการ นำภัยร้ายมาให้ หญิงชังตัวเองนัก”ราชนิกุลแห่งวงศ์พระร่วงทอดพระเนตรไปรอบๆองค์บ้านเรือนบัดนี้หลงเหลือเพียงกองซากแลเถ้าจากพระเพลิง อสุภดาษดื่น บ้างจมกองเลือดบ้างโดนไฟลวก ยิ่งให้สลดสังเวชพระหฤทัยนัก

“ข้านำความพินาศมาสู่หมู่บ้านอันสงบฤๅนี่คือการลงทัณฑ์ที่ข้าฝืนชาตาฝืนลิขิตโองการมรุตวาน”

อดีต สายธารกาลกลแลน้ำคำ ผ่านไปมิอาจหวนคืนได้ฉันใด ลมหายใจที่สิ้นสูญแล้วก็มิอาจต่อได้ใหม่ฉันนั้นชีวิตของคนที่ยังอยู่ จักต้องดำเนินไปตามครรลอง

อดีตมิเคยไล่ล่าปัจจุบันกาลได้สักคราวเว้นเสียแต่กรรมเท่านั้น

เจ้าศศิธรกัญญาทรงประทับยืน ทรงยกพระหัตถ์ขึ้น ปาดอัสสุชลมิให้บดบังดวงพระเนตรแลเสด็จพระราชดำเนินออกค้นหาจนถ้วนทั่วหมู่บ้าน มิพบพานนางสนองพระโอษฐ์แลโขมพัสตร์

“พี่ชมเจ้าอยู่หนไหนหนอหญิงคิดคำนึงถึงพี่เจ้านัก จักเปนตายร้ายดีมิรู้แจ้ง” พระองค์น้อยทรงรำพันพร่ำถึงเยาวมาลย์ทอดพระเนตรพลายอารีหลังไวๆเดินจากจรอันตรธานไปในพนาไพรเสมือนว่าหมดภาระหน้าที่

“ขอบน้ำใจพี่เจ้านัก”ราชสุดาตรัสให้หลังแลกะปลกกะเปลี้ยยวรยาตรอย่างไร้จุดหมายไร้ทิศ ที่ทรงวาดหวังเอาไว้มิทันจักพ้นขั้นตอนแรกกลับมาพังครืนลงไม่เปนท่า

นับจากนี้ไปจักคิดอ่านทำประการใดดี..

เจ้าศศิธรกัญญาเสด็จพระราชดำเนินอย่างระโหยโรยแรงอ่อนล้านักทั้งพระวรกายแลพระหฤทัย ทรงทรุดพระวรกายลงประทับอยู่ที่ใต้ต้นศรีมหาโพธิ์แผ่กิ่งก้านใหญ่บริเวณพุทธสถานร้าง ณ ที่แห่งนี้คงปลอดภัยจากสิงสาราสัตว์ โจรป่าแลดัสกรทรงตรองดังนั้นแล้วจึ่งปิดเปลือกเนตรทรงพักผ่อนพระอิริยาบถ

มิทันชั่วเคี้ยวหมากจืดพระองค์น้อยทรงสดับเสียงคุ้นเคยเรียกขาน

“พระองค์..พระองค์ผู้ทรงเปนเมธาเพคะ”เจ้าศศิธรกัญญายังมิทรงเบิกพระเนตร ด้วยมีพระราชวินิจฉัยว่ากำลังอยู่ในพระสุบิน

“พิโธ่!..นี่ข้าคงคิดถึงพี่ชมเจ้ามากไป”

“ไม่ใช่พระสุบินเพคะ”ชมนาฏคลานเข้ามาข้างพระที่ กระซิบกระซาบเพ็ดทูล

“ถ้าเปนเช่นนั้นพี่ชมก็เปนผี” เจ้าศศิธรกัญญาทรงเบิกพระเนตรโพลงเบื้องพระพักตร์เปนนางสนองวงหน้าศุภรแฉล้มแลยิ้มไฉไล

“ชมยังเปนๆ มิตายน้อมือยังอุ่นอยู่เลยเพคะ” นางสนองฯยื่นมือน้อยมาให้เจ้านายน้อยทรงสัมผัส ความที่ทรงซุกซนเปนทุนรอนแลอารามดีใจเจ้าศศิธรกัญญาทรงยื่นพระหัตถ์จับที่ปทุมถันฟูอิ่มนิ่มนุ่มแลอุ่นจังเบอร์

“ว๊าย!..พระองค์พระหัตถ์ไวพระทัยเร็วเช่นเคยนะเพคะ” ชมนาฏร้องลั่นแลบ่นออดแอดแต่ยังมิคลายยิ้มสิ้นคำพระราชธิดาแย้มพระสรวลพลางโผเข้ากอดชมนาฏแน่นตรึงดั่งว่าจะมิยอมให้สิ่งใดพรากทั้งสองได้อีก

โขมพัสตร์ที่ยืนถัดออกไปราวสองวายิ้มชอบอกชอบใจที่เห็นเจ้านายน้อยแลชมนาฏแสดงความรักความผูกพันต่อกันมิต่างจากบุรุษแลหญิงมารศรีพลันที่คิดวงหน้ากลับสลดลง ท่านขุนมักมากป่านฉะนี้ไยไม่มารับตามพระบัญชาเล่าใจคอจักทิ้งเมียสาวแลเจ้านายได้ลงเทียวฤๅ

สองนายบ่าวละอ้อมกอดจากกันแลพาพระองค์น้อยเสด็จมาประทับในวิหารเก่าหลังคาที่เปิดโล่งรับแสงจากดวงแขจึ่งมิจำต้องก่อกองไฟเพื่อเปนที่สะดุดตากับสิ่งที่ไม่พึงต้อนรับสามอะเคื้อสนทนากันจนแจ้งความ สิ่งที่ชมนาฏสงสัยนั้นกลายเปนจริง

“กองทหารที่บังอาจชิงตัวพระองค์คือทหารหัวเมืองล้านนาชมว่าแล้วเพคะ การข่าวที่รั่วไหลมาจากนางคลิ้งนี่เอง ที่เขาว่าไว้ข้าสองเจ้าบ่าวสองนายไว้ใจมิได้”

“ช่างมันเถิดพี่ชมเจ้าบ่นไปก็เท่านั้น คิดเอาเสียว่าเปนกรรมแลอุปสรรคที่เราจักต้องฟันฝ่าร่วมกัน”

“ทรงหนีกลับเข้าพระนครไหมเพคะ”

”ไม่! ข้าเด็ดเดี่ยวจากจรมาไกลนักแลบังเกิดความสูญเสียมากมายเช่นนี้แล้วอีกประการหนึ่ง ข้าศึกจากล้านนานี้สมเด็จพ่อจักทรงใช้เปนข้อสมอ้างแก่ทางอโยธยาซึ่งเข้าทางข้ายิ่งแล้ว”

“อย่างไรเพคะ”

“พี่ชมเจ้าจงฟังต่อแต่นี้ไปข้าไร้ซึ่งความเปนราชนิกุลแต่เดิมมา ไร้ซึ่งยศถาบรรดาศักดิ์ห้ามพูดราชาศัพท์กับข้าอีก แลจงประพฤติต่อข้าดั่งสามัญชน”

“เพคะ” เจ้านางผู้เพิ่งสละพระยศทอดพระเนตรค้อน ดุด้วยสายพระเนตรขึ้ง

“เจ้าค่ะ”

“พักผ่อนกันเสียเถิดต่อเมื่อสุริยันสาดส่อง นกกาออกหากิน เราจักค่อยเดินทางตาม หาพี่เขมกัน” เจ้าศศิธรกัญญารับสั่ง ชมนาฏจึ่งเร่งปัดกวาดพื้นแลนำแพรมาปูถวาย

“ทรงอดทนลำบากแลระคายเคืองพระฉวีพอดูนะเพคะ”

“พี่ชมนี่ราชกัลป์ยานีทรงเอ็ดอีกคำรบ

“ขอพระราชทานอภัยอุ่ย..ขอโทษเจ้าค่ะ ชมยังมิคุ้น” ชมนาฏทำหน้าแป้นแล้นแก้ตัว

“พี่ชมแลโขมพัสตร์ยังนอนได้ไยข้าจักนอนมิได้เล่า”

“โฮกกกกก!..” เสียงคำรามกึกก้องของจ้าวแห่งไพรตัวจริงทำให้สายพระเนตรแลสายตาทั้งหกหันมาจดจ้องอย่างพร้อมเพรียง

พญาศารทูลแยกเขี้ยวคมพิบูบลย์วาวสะท้อนแสงจันทร์ยืนนิ่งอยู่หน้าวิหารท่าจะไม่ได้นอนเสียแล้ว...

เชิงอรรถท้ายบทเก้า

ราพณาสูรเป็นคำสนธิ แปลว่ายักษ์ผู้มีนามว่า "ราวณะ"หมายถึง ทศกัณฐ์ อีกนัยหนึ่งมีความหมายว่า ราบคาบหรือสูญราบด้วย ซึ่งน่าจะเป็นการเล่นคำพ้องเสียงของคนโบราณคำว่า"ราพ/ราบ" กับคำว่า "สูร/สูญ"

เรื่องเล่นคำที่มุ่งเน้นเอาความหมายตามเสียงนี้ยังมีอีกคำที่คุ้นหูคือ "เด็ดสะมอเร่" อันแปลว่าตาย การพ้องเสียงมาจากชื่อเพลงฮิต(ในยุคนั้น)คือ That's amore (นั่นแหละคือความรัก) เป็นการพ้องเสียงแบบไทยๆระหว่าง"Dead" กับ "That" นั่นเอง

ชั่วเคี้ยวหมากจืด เป็นสำนวนที่ใช้บอกเวลาโดยเทียบกับระยะเวลาในการเคี้ยวหมาก 1 คำ คือตั้งแต่เริ่มเคี้ยวหมากจนหมากจืดหมดคำ การเคี้ยวหมากของคนแต่ก่อนเรียกว่ากินหมาก แต่ไม่ได้กินจริง ส่วนมากจะนำหมาก ใบพลูที่บ้ายปูนแล้วเคี้ยวรวมไปกับเกล็ดพิมเสน กานพลู สีเสียด ใบเนียม และเครื่องหอมอื่น ๆ เคี้ยวไปพอหมากพลูผสมกับน้ำลายกลายเป็นน้ำหมากสีแดงก็บ้วนทิ้งเสียครั้งหนึ่งแล้วเคี้ยวต่อไป. พอมีน้ำหมากก็บ้วนน้ำหมากทิ้งทำอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ จนหมากหมดรส เรียกว่า หมากจืด จึงคายชานหมากทิ้ง. คนโบราณกะระยะเวลาที่เคี้ยวหมากคำหนึ่ง ๆ จนจืด ซึ่งเป็นเวลาประมาณ 20-30 นาที มาใช้อธิบายช่วงเวลาหนึ่ง ในสมัยโบราณยังไม่มีนาฬิกาบอกเวลาจึงมักคำนวณเวลาด้วยการเปรียบเทียบกับสิ่งที่ทำอยู่เป็นประจำ สำนวนชั่วเคี้ยวหมากจืด ปัจจุบันคนที่ไม่เข้าใจจึงใช้แผลงว่า *ชั่วเคี้ยวหมากแหลกซึ่งไม่ถูก : ที่มา website สำนักงานราชบัณฑิตยสภา




 

Create Date : 02 มีนาคม 2559    
Last Update : 2 มีนาคม 2559 15:06:56 น.
Counter : 534 Pageviews.  

ต้องราชภัย

เมื่อเห็นว่าเข้าแผนเข้าล็อควัชรพักตร์ลอบยักคิ้วหลิ่วตากับปัณณพรครั้งหนึ่งเธอทำเป็นว่าออกไปหาซื้อของและเลยไปธนาคารด้วยตั้งใจอย่างยิ่งทิ้งคนรักไว้ให้ครูไหวใจร้ายกำราบ แรกทีเดียวอิงอรจะขอไปด้วยต่อเมื่อวัชรพักตร์ที่คิดดักทางไว้แล้วสมอ้างสารพัดว่าต้องเดินตากแดด ฝ่าฝูงชนร้อนอบอ้าวและคิวเยอะ ดาราหน้าหวานจึงเปลี่ยนใจพลัน

ทนอยู่อยู่ทนกับพี่ปัณจอมไว้ท่ายังดีเสียกว่า

อิงอรง่วนอยู่กับโทรศัพท์มือถือเช่นเคยขณะที่ปัณณพรหยิบเอาหนังสือนิยายยูริมาอ่าน เห็นว่าลูกค้ารีเควสกันมาอื้ออึง

..มันมีดีตรงไหนหนา??..

ผ่านไปห้านาที..ศรศิลป์ที่ไม่กินกันยังเงียบกริบไม่มีใครปริปากเสวนากันบรรยากาศค่อนไปในทางอึมครึม ต่างคนต่างพยายามอยู่ในพื้นที่ส่วนตัว

อิงอรรู้สึกอึดอัดแปลกๆจะเป็นว่ารังเกียจก็ไม่ใช่ แต่จะเป็นด้วยเรื่องใดไม่แจ้ง ดาราสาวกระสับกระส่ายร้อนรนในดวงจิต

..ท้ายที่สุดจึงยอมเป็นฝ่ายเอ่ยปากก่อน

“อรต้องขอโทษพี่ปัณด้วยที่อาละวาดหนักเมื่อวันก่อน”อิงอรจงใจไม่สบดวงหน้าขาว เช่นกันที่ปัณณพรเพียงตอบสั้นๆไม่วางสายตาจากตัวอักษรตรงหน้า ขนมพอสมน้ำยาจริงๆ

“เรียกร้องความสนใจจากยัยพักตร์สิไม่ว่า”

“พี่ปัณรู้อิงอรสะดุ้งตกใจ นึกหยั่งไปไม่ถึงว่าจอมเฮี๊ยบจะทันเหลี่ยมพรายของเธอ

“เธอต้องขอโทษออกสื่อ”ปัณณพรละสายตา วางหนังสือ เปลี่ยนอิริยาบถเป็นยืนขึ้น พูดเชิงสั่งแกมบังคับ

..แต่จะสั่งอะไรอาหารหรือว่าน้ำมูก

“ทำไมอรต้องทำ”ดาราหน้าหวานย้อนรอย ส่งสีหน้าเหมือนกับต่อบทล้อนางร้าย ปัณณพรปฏิเสธบท ขอเป็นนางเอกผู้เจนจัดสอนมวยเข้าให้

“การจะเป็นที่ชื่นชมของคนหมู่มากต้องหัดส่งคำพูดสรรเสริญเยินยอเสนาะหูหอมหวานปานมธุรสและแฝงด้วยอารมณ์ขันอ่อนโยนทำให้ผู้คนคิดร้ายก็ไม่สำเร็จ การอ่อนน้อมถ่อมตนเล่า เพียงลงทุนนิดๆหน่อยๆการที่กลับจวนเจียนจะเสียทีก็ไม่ถึงกับเสียหายมากแทนที่จะเป็นเช่นนั้นเธอกลับเลือกจะเป็นสาวปากตะไกรเที่ยวจิกกัดคนไปเรื่อยการมีปากเสียง ทุ่มเถียง ด่าทอผรุสวาทด้วยคำพูดเกรี้ยวกราดบาดทำร้ายจิตใจคนฟังยิ่งกว่าคมมีดคมดาบ ผู้คนที่ชังน้ำหน้าเป็นทุนก็ยิ่งให้เกลียดการที่จวนเจียนจะเสียทีก็เสียหายหนัก”

“พูดเป็นภาษาหนังสือเชียว”อิงอรได้แต่เบี่ยงประเด็นเสียงอ่อน จนด้วยเหตุผลทั้งมวล

“คนไทยน่ะใจอ่อนลืมง่ายและพร้อมให้อภัยกับคนสำนึกผิดแล้วเสมอ พี่พูดได้เท่านี้ ของมันร้อน หากไม่เชื่อยังจะกล้าๆหยิบจับด้วยมือน้อยเปล่าเปลือยก็รังเสียแต่จะมือพองเท่านั้น”ปัณณพรเพียงชีแนะชี้นำลุ่มลึก แต่ไม่ตัดสินและบังคับเหมือนกับวัชรพักตร์ผู้ฟังที่ไม่ใคร่จะฟังใครอย่างอิงอรสะดุดหูสะดุดใจในทุกถ้อยคำจำนรรจา

..มากกว่านั้นพี่ปัณดูแตกต่างจากพี่พักตร์ราวกลางวันกับกลางคืน

พี่พักตร์คือกลางวันเป็นแสงสุริยันส่องสว่างให้เธอเป็นแต่ยืนอยู่กลางแจ้งกลับร้อนไหม้แผดเผา

พี่ปัณกลับเย็นหวิวไหวเป็นราตรีกาลทั้งน่ากลัวทั้งลึกลับ แต่ชวนให้เดินเข้าใกล้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ

..เธอไม่ได้ท่องจำบทละครตอนไหนๆรู้สึกและสัมผัสได้กับตัว

ปัณณพรชี้ช่องเมื่อเห็นว่าจอมแสบครุ่นคิดหนัก

“ถ้าอายนักหรือไม่อยากให้สัมภาษณ์ก็ทำคลิปสิ”เท่านั้นคนหน้าหวานจึงดีดตัวผึง ยิ้มแป้นเต็มวงหน้าผ่องแผ้ว ยื่นสมาร์ทโฟนส่งให้ปัณณพร

“งั้น..ช่วยอรถ่ายหน่อยสิ” ปัณณพรยังนิ่งวางฟอร์มน้อยหนึ่ง เธอไม่ใช้ผู้รับใช้ใคร

“ฝีมือระดับนี้แล้วเทคเดียวผ่านหรอกน่า” อิงอรเว้าวอนตามแบบฉบับ จะให้แหววๆน่ะเลิกคิดปัณณพรหมดทางโยกโย้ รับโทรศัพท์มือถือมาอย่างเสียมิได้

ดาราสาวเริ่มต้นด้นสดไร้script แต่มันติดขัดตะกุกตะกัก สายตาหลุกหลิกท่าทางงึกๆงักๆไม่เป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง

“ว้า..ไม่เอาๆ ขอใหม่ได้ป่ะ ไม่ผ่านอย่างแรงงงงง” อิงอรบ่นตัวเองไร้ซึ่งความมั่นใจ ปัณณพรรู้แจ้งถึงข้อติดขัดนี้ดี

“มันสำคัญอยู่ที่เราน่ะสำนึกผิดจริงหรือเปล่าไม่ได้สำคัญที่แอ็คติ้ง” อิงอรทำหน้าเซ็งเป็ดเซ็งห่านที่ปัณณพรเท่าทัน

..ก็พยายามอยู่นะที่จะรู้สึกผิดแต่มันบิวท์ไม่ขึ้น

“ถ้ามันยากนักก็ทำเป็นตลกรับประทานก็ย่อมได้” เจ้าของร้านหนังสือสวมบทผู้กำกับติวเข้มให้

อิงอรคล้อยตามพูดตลกตามประสา เสร็จแล้วจึงขอโทรศัพท์คืน ดาราสาวดูคลิปแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เธอจัดการอัพโหลดลง Facebook & Instagram ของตนเอง..เท่านี้ก็เรียบร้อย

“แล้วพี่ปัณจะไปสุโขทัยกับพี่พักตร์ด้วยป่าว”จู่ๆดารานางรองก็ลมเพลมพัดโพล่งถามขึ้นมา แอบลุ้นในใจเล็กๆ

..ว่าแต่จะลุ้นทามมายยย

“ไม่รู้เลยถ้าไม่มีคนเฝ้าร้านก็ชวด” ปัณณพรตอบไปตามสภาพการณ์แต่ต้องมู่หน้าเมื่อเด็กมันยียวนเอา

“ปิดๆไปเห๊อะอรไม่เห็นว่าจะมีลูกค้าสักเท่าไหร่”

“เด็กสมัยใหม่อ่านแต่Heading word อย่างเธอไม่เข้าใจถึงหัวจิตหัวใจคนรักหนังสือหรอกตัวอักษรที่ร้อยเรียงในหนังสือนั้นน่าหลงใหลกว่าสิ่งใดๆบนโลกนี้”

“น่าหลงใหล??”อิงอรเอียงคอ ขมวดหัวคิ้วเข้มชนกัน

“เวลาเธอเล่นละครเคยชอบบทของเรื่องนั้นๆไหมเล่า”ดาราสาวพยักหน้ารับ

“งานประพันธ์นั้นยิ่งกว่าเสียอีกบทบรรยายที่นักเขียนบรรจงรังสรรค์ให้เราได้อ่านให้เราได้จินตนาการตามระหว่างบรรทัดอาจมีอะไรซ่อนอยู่ เด็กอย่างเธอจะเข้าใจไหม คำว่า readbetween the line น่ะ”

“สรุปว่าพี่ปัณจะแต่งงานกับหนังสือว่างั้น”อะไรที่ไม่รู้ก็ตีเนียนนิ่งเฉยเสีย ใครๆเขาก็เป็นแบบนี้ทั้งนั้น

“ทุกวันนี้ก็ทำแบบนั้นอยู่แล้วย่ะในหนังสือในละครอ่านและดูไปเพียงครู่ก็คาดเดาได้ว่าใครดีใครร้าย แต่ชีวิตจริงๆของคนมันร้ายนักจิตมนุษย์เกินที่จะชั่ง ตวง วัดและหยั่งได้ หน้าใสๆไว้ใจได้กาหน้านิ่งๆที่จริงฟาดเรียบ และอีกหลายๆหน้า” คนแอนตี้ความรักร่ายยาวจัดเต็มไปหมดทั้งสีหน้าและท่าทางอิงอรรู้ตัวว่าโดนแขวะทั้ง จุกและเจ็บ เถียงกับคนโวหารจัดๆจะชนะก็แปลกซ้ำดาราสาวยิ่งชื่นชมในความคิดอ่านของปัณณพรเผลอไผลจ้องจอมวางท่าเสียเป็นนานสองนาน

“มองอะไร”ปัณณพรถามด้วยเสียงนิ่งๆโทนต่ำ สวนกระแสกับแม่ดาราที่เล่นเสียงสูง

“ของหายากระดับvery rare item ไงคร้าเบิ่งให้เต็มตาก่อนจะถูกอันเชิญเข้ากรุ..เอ้ยเข้าพิพิธภัณฑ์”ปัณณพรเพียงยิ้มไม่ต่อความ เป็นจังหวะที่วัชรพักตร์กลับเข้ามาเห็นว่าทั้งเพื่อนและแฟนสาวยิ้มให้กันอยู่ก็ดีใจเป็นไปตามคาดว่าม้าพยศได้ถูกปราบเสียแล้ว

วัชรพักตร์เดินตรงไปที่ด้านหลังแกะถุงก๋วยเตี๋ยวใส่ชาม กลิ่นน้ำซุปและมะนาวเตะจมูกอิงอรยั่วน้ำลายสอ อดใจไม่ได้จึงเดินตามมาดูเห็นก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็กต้มยำน้ำขลุกขลิก เครื่องเต็มชามมีถั่วลิสง กุ้งแห้งคั่วกากหมู เกี๊ยวทอด หมูสับรวน ถั่วฝักยาวซอย ใบมะกรูดซอยและไข่เป็ดต้มยางมะตูมลูกโต

“น่ากินจังเลยทำไมมีใส่เครื่องเคราเยอะแบบนี้คะ”

“ก๋วยเตี๋ยวสุโขทัยค่ะ”

“อะไรๆก็สุโขทัยพี่พักตร์อินไปป่าว อีกหน่อยคงลงเรียนปริญญาอีกใบที่ ม. สุโขทัยฯซื้อบ้านอยู่ที่ถนนสุโขทัย” อิงอรแซวหนักหน่วงวัชรพักตร์อารมณ์ดีเย้าตอบ

“จะอะไรก็ตาม..พี่มีแฟนชื่ออิงอรค่ะ” คราวนี้อิงอรได้แต่เม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรง นิ่งเงียบไม่ต่อความ หลุบตาหลบหน้ารีบยกชามก๋วยเตี๋ยวออกมา

ระหว่างที่เอร็ดอร่อยกับรสจัดจ้านจี๊ดจ๊าดของก๋วยเตี๋ยวปัณณพรเปรยขึ้นสีหน้าชี้ชัดว่าเป็นเรื่องใหญ่อย่างกับลงเสาเอกบ้าน

“พักตร์ฉันมีข่าวดีจะบอก”

“แกว่ามาเลยฉันขี้เกียจเดาอ่ะคนมองโลกมุมบวกอย่างแกอะไรๆก็ข่าวดีโหม้ดดด”

“เชอะ! เค้าอุตส่าห์หาคนมาเฝ้าร้านได้แล้ว งั้นเปลี่ยนใจไม่ปงไม่ไปมันละ”เท่านั้นวัชรพักตร์แทบทิ้งตะเกียบไม่ทันหันมาชูไม้ชูมือปรีดา

“จริงดิ วู้วววว ดีใจๆ” อิงอรเบี่ยงหน้าแอบมาลอบยิ้มลิงโลดใจแบบเงียบๆงงๆอยู่คนเดียว

..นั่นสิ ดีใจทำไม เพื่ออะไรเมื่อตอบๆไม่ได้ก็ไม่ต้องตอบ อิงอรเพียงเปรยขึ้นกับวัชรพักตร์ในสิ่งที่ตนปรารถนา

“อรก็มีข่าวดีเหมือนกันค่ะพี่พักตร์”

“หือ อะไรน้า” วัชรพักตร์ทำทีตื่นเต้นในใจภาวนาว่าน้องน้อยอย่าได้คิดอะไรแผลงๆให้ต้องปวดเฮดอีกเล้ยยยย

“อรเปลี่ยนใจแล้วขอไปสุโขทัยด้วยนะคะ”

“พี่ดีใจจังค่ะมันต้องเป็นงานที่สนุกแน่ๆ ไปครบองค์ประชุมอย่างนี้” แม้จะประหลาดใจและไม่เข้าใจระบบความคิดของคนรักแต่ขอคิดเข้าข้างตนเองว่าน้องน้อยต้องการอยู่กับเธอ...

**************************************************************************

รุ่งอรุโณทัยแห่งวันเสด็จมาถึงชมนาฏจัดแจงแต่งฉลองพระองค์ถวายเจ้าศศิธรกัญญาเต็มพระอิสริยยศ ทรงเกล้าพระเกศาเส้นเล็กละเอียดแลหอมขึ้นมวยบนพระเศียรแล้วจึ่งทรงสวมล้อมพักตร์หมู่เครื่องประดับพระวรกายอันกอปรด้วย พาหุรัด พระปั้นเหน่ง พระธำมรงค์ พระกุณฑล ทองพระกรล้วนเปนเครื่องชมพูนุทฝีมือช่างสุโขทัยเปนเอกลักษณ์แลงามวิจิตร ประพรมน้ำปรุงถวายแลนั่งลงสวมฉลองพระบาททรงงอน

“พระองค์น้อยของกระหม่อมทรงพระสิริโฉมงามยิ่งนักเพคะ” ชมนาฏเพ็ดทูลแลเอื้อนลูกคอขับทำนองเสนาะเปนเชิงชมพระสิริโฉม

“พักตร์เนื้อนวลพระธิดาผ่องใส เห็นแล้วอิ่มใจนักหนา

พระฉวีผุดพรรณดุจจันทรา ลักขณาบรรเจิดเพริศนาน

กิริยาจรรยาพิไลล้ำ ถ้อยคำจำนรรช่างแสนหวาน

แลทรงธรรมย้ำในการ คือยอดนงคราญของดวงแด”

“พี่ชมเจ้าก็เช่นกันดูซิ นานทีปีหนกระมัง ใส่เสื้อแล้วงามสะพรั่งพิไลลักษณ์” เจ้าศศิธรกัญญาตรัสชมแลทอดพระเนตรชมนาฏกายท่อนบนของนางสวมเสื้อผ้าฝ้ายทอมือแขนกระบอกสีเขียวแมลงทับมันวาวอร่ามตาจรดข้อมือบางท่อนล่างนุ่งผ้าซิ่นยาวครึ่งแข้ง รัดกลีบซับซ้อนมากชั้น มีเข็มขัดเงินขนาดใหญ่คาดทับประดับด้วยลวดลายละเอียดประณีตมาก ทิ้งชายผ้าเป็นกาบขนาดใหญ่ตรงด้านหน้า

“พิศเนื้อเกลี้ยงนมเพียงเต่งตรึงตรา

พิศตาดุจดาราพริ้งเพรา

พิศคิ้วโก่งนัยน์ตาเย้า

พิศโอษฐ์พี่เจ้าข้าจับจอง”เจ้าศศิธรกัญญาทรงแสดงพระปรีชาในด้านเจ้าบทเจ้ากลอนบ้าง

“ไปต่างบ้านต่างเมืองจักให้ชมเดินโทงๆนุ่งลมห่มฟ้าก็กระไรอยู่นะเพคะ”นางสนองทูลแก้เกี้ยว

“ใช่ ข้านั้นเคืองใจทุกครั้งเพลาที่มีไอ้หนุ่มลอบมองหน้าแลจดจ้องปทุมถันพี่เจ้า” ชมนาฏขวยหน้าแดงให้ยิ่งอายหนัก

“พอแล้วเพคะประเดี๋ยวสายชมได้โดนพระราชอาญาลงแส้ลงหวายเสีย”

“ข้าจักลงรอยจูบแก่พี่ชมเจ้าเสียก่อน”เจ้าศศิธรกัญญาตรัสแลทรงจุมพิตที่หน้าผากเนียนของชมนาฏ ประทับรอยตีตราจอง...

เจ้าศศิธรกัญญาเสด็จพระราชดำเนินมายังหน้าพระหลักเมืองรายรอบพร้อมด้วยประตูคูหอรบ พระราชนิเวศน์มณเฑียรสถาน พระอารามหลวงพระลานหลวงแลสถานรัถยาใหญ่น้อย ฉางพระคลัง สระสถาน ราชอุทยานหลวงมีการจัดขบวนพยุหยาตราพร้อมด้วยท้าวพระยาอำมาตย์เสนา ข้าราชบริพาร ยานุมาศราชรถ โหราราชบัณฑิตแต่งขาวทำพิธีอย่างพราหมณ์ถวายการอำนวยพระพร พระสงฆ์สมณศักดิ์ชั้นราชาคณะมาร่วมสวดบทถวายพระพรสมเด็จพ่ออยู่หัวฉลองพระองค์อย่างกษัตริย์จอมราชย์เต็มยศ ทรงประทับบนพลายจุมพลช้างพระที่นั่ง มีไพร่แลขุนทหารตามเสด็จประมาณพันเศษประกาศให้รู้โดยนัยว่าการครั้งนี้พระองค์เสด็จเยี่ยงกษัตริย์จอมราชย์ราชันด้วยกระบวนมโหฬารระทึก

ฝ่ายริ้วขบวนของเจ้าศศิธรกัญญากอปรด้วยพลเพียงร้อยหนึ่งเปนไพร่เลวเสียมากกว่ามากเสด็จประทับบนพระวอเปนขบวนตามหลัง

“พี่ขุนองค์รักษ์ของเจ้าไปไหนเสียเล่า”พ่ออยู่หัวตรัสถามถึงขุนพิทักษ์โยธาราชองค์รักษ์

“ลูกแต่งให้เปนกองระวังหลังคุมพลร้อยหนึ่งเพคะ”พระองค์น้อยทรงตอบฉะฉาน

“เจ้านี่ช่างเจ้าจี้เจ้าการนักรับสั่งแทนข้าเทียวรึ”

“การอันใดจักผ่อนพระกรณีกิจเสด็จพ่อลูกนั้นเต็มใจยิ่งเพคะ”

พ่ออยู่หัวจอมราชันทรงสดับดังนั้นแล้วจึ่งทรงส่งสัญญาณให้เสด็จพร้อมด้วยสุรโยธาหน้าหลังทวนธงไชยาฉัตรแดงปลาบจามรี ฆ้องกลองแตรสังข์กรรชิงฉัตรอื้ออึงคะนึงนาถทั่วทั้งพระนคร

“พระองค์ผู้ประเสริฐของชมผู้ทรงมีพระสติปัญญารู้รอบราชกิจขัตติยะประเพณีแลจรรยาพระอัธยาศัยเสงี่ยมงามพร้อมอีกทั้งน้ำพระทัยดุจฝนชโลมทิพย์แก่ปวงราษฎร์ ตั้งบำเพ็ญเพียรอยู่ในสุจิตธรรม โปรดทรงดูแลรักษาองค์ให้ดีนะเพคะ”ชมนาฏถวายห่อพระกระยาหารแลน้ำดื่มส่งเสด็จขึ้นประทับที่พระวอแล้วจึ่งถวายบังคมลาด้วยอาลัยยิ่งเจ้าศศิธรกัญญาทรงแย้มพระสรวลแต่น้อยแม้นทรงรู้สึกพระทัยหายแต่เพลานี้จักอ่อนแอเสียมิได้ เลือดขัตติยาตรัสแก่นางสนองฯคู่พระทัย

“พี่ชมเจ้าเองก็เช่นกันต่อเมื่อสายัณห์เราจักเจอกันอีกคราวที่บ้านนมช้องฝากดูแลโขมพัสตร์แทนพี่เขมด้วยนางยังอ่อนต่อโลกนักขอเจ้าจงเอ็นดูเปรียบดั่งน้องร่วมอุทร”

“เพคะ”ชมนาฏรับสนองพระดำรัส ขบวนเสด็จจึ่งได้ยาตราออกไปนางสนองพระโอษฐ์ยืนจ้องจนลับสายตา เมื่อพลิกตัวจะไปรับนางโขมพัสตร์ที่จวนขุนพิทักษ์โยธาลอบสังเกตว่านางคลิ้งหายหัวไปเช่นเคยแลมิได้ร่วมขบวนเสด็จไปด้วย

'มันชักจะแปลกๆนางนี่ไยต้องมาหายตัวเอาตอนสำคัญทุกคราว..'

ชมนาฏเพียงเอะใจแต่มิใช่เวลาตามหาตัวชมนาฏจึ่งรุดไปรับโขมพัสตร์แลเร่งเดินทางไปที่หมู่บ้านนมช้องตามอุบายของเจ้านายน้อย...

“นี่ๆช้าๆหน่อยสิพวกเจ้า เดินตามโคตามกระบือเยี่ยงนี้ข้าเวียนหัวนัก”เจ้าศศิธรกัญญาทรงออกเล่ห์แสร้งกริ้วมิเพียงรับสั่งให้พลโยธาแบกหามอ้อยสร้อยค่อยๆนวยนาดไคลคลาพระวอพระองค์ผู้ทรงมีพระสติปัญญาเฉียบแหลมยังรับสั่งทำเปนแวะพักชมสกุณาแลบุปผชาติรายทางเสียบ่อยครั้งเพื่อประวิงกาล

จนกระทั่งมั่นในพระทัยแล้วว่า..ทิ้งช่วงห่างขบวนพยุหยาตราของพระนฤบดีสมเด็จพ่ออยู่หัวราวหลายโยชน์

คคนางค์ยามบ่ายไร้มวลเมฆามาบดบังจึ่งเปนเหตุให้แสงภาสกรร้อนขะแข้นแผดเผาธาษตรีเปนไอระอุ มาลุตนิ่งสงัดบรรยากาศแลดูให้วังเวงใจนัก

หลังจากเจ้าศศิธรกัญญาเสวยพระกระยาหารกลางวันแล้วจึ่งได้รับสั่งมีพระประสงค์เสด็จต่อพลโยธาแบกพระวอผ่านหมู่บ้านตามทางเกวียน การเปนไปด้วยเรียบร้อยดีขบวนเสด็จมาได้เกินครึ่งทาง ณ ตำบลหนึ่ง เจ้าศศิธรกัญญาทรงชะโงกพระพักตร์ออกมานอกพระวิสูตรแลทรงตรองคำนวณในพระหฤทัยทรงแจงด้วยนิ้วพระหัตถ์

'เลยบ้านดอนตาลสักราวสองร้อยเส้น อีกไม่กี่ชั่วอึดใจ พี่เขมจักลงมือแล้วปะไร

..พี่ชมเจ้าป่านฉะนี้จักถึงตำบลไหนแล้วหนอ'เจ้านางพระองค์น้อยทรงรำพันพร่ำถึงนางสนองฯทรามสงวนนางอันเปนยอดดวงแด

เพลานั้นเองธิดาจอมราชย์ทรงสดับเสียงโห่ฮาป่าดังอึงคะนึงมาจากเบื้องพระพักตร์พระองค์แย้มพระวิสูตรทอดพระเนตรเหตุการณ์

“ข้าศึกบุกคุ้มกันพระองค์น้อยยิ่งชีวาวายเสียงของราชองค์รักษ์ร้องขึ้นขบวนเสด็จหยุดอยู่กับที่ เหล่าทหารหาญเข้ามารายล้อมพระวอแน่นหนาชักดาบออกจากฝักยืนจังก้าถวายการคุ้มกันในระดับสูงสุด

ฝ่ายตรงข้ามวิ่งกรูเข้ามาเปนกองพันปะทะกับหน่วยหน้าของขบวนเสด็จ เสียงโลหะของ ฝุ่นตลบโกลาหลนักในระยะที่เจ้าศศิธรกัญญาทอดพระเนตรเห็นชายฉกรรจ์นุ่งกางเกงแดงถือธงที่ไม่ทรงคุ้นสายพระเนตรมาแต่ก่อนเก่า

ผิดจากที่ตกลงไว้กับขุนโยธาพิทักษ์ราวหน้ามือเปนหลังมือจำเดิมจักลอบแต่งเปนกองโจรหลีกเลี่ยงการปะทะกันซึ่งหน้าสุ่มเสี่ยงต่อการสูญเสียเยี่ยงนี้

..เห็นทีว่าจักเปนศัตรูเข้าจริงๆศัตรูที่ไม่ทรงทราบฝ่าย

“ไม่ใช่พี่เขมเจ้านี่”เจ้าศศิธรกัญญาทรงเล็งว่าราชภัยมาเยือนด้วยกำลังฝ่ายศัตรูแลดูมีมากกว่าถึงสามสี่เท่าตัวพระองค์น้อยจึ่งเสด็จลงจากพระวอ รับสั่งให้องค์รักษ์นายหนึ่งขึ้นควบอาชา รีบนำความไปบอกขุนพิทักษ์โยธาโดยพลัน




 

Create Date : 29 กุมภาพันธ์ 2559    
Last Update : 29 กุมภาพันธ์ 2559 15:43:23 น.
Counter : 391 Pageviews.  

อุบายใหม่

ติดตามกันต่อเลยค่าา


..................................



“มิได้ๆๆ หัวเด็ดตีนขาดเปนตายร้ายดีข้าไม่มีวันส่งพี่ชมของข้าไปไหนเสีย” เจ้าศศิธรกัญญาทรงส่ายพระพักตร์ไหวๆแลทรงฉวยเอามือนิ่มของนางสนองฯมาเกาะกุมไว้แน่นตรึง ชมนาฏพยายามเพ็ดทูลโน้มน้าวพระทัย


“แต่..” ราชกัลยานีทรงเอาพระดรรชนีกดลงที่ริมฝีปากของชมนาฏ ปรามมิให้เอื้อนเอ่ย


“เราสัญญากันแล้ว พี่ชมเจ้าลืมคำมั่นเพียงสองวันเท่านั้นฤๅ ช่างน่าน้อยใจนัก” เจ้านางน้อยตรัสเปนเชิงพ้อ


ขุนมีชื่อดูทรงแล้วให้ฉงนฉงายแปลกๆแปร่งๆ แต่มิได้กล่าววจีอันใด บ่าวนายหนึ่งเอาหมากม่วงห่ามจากสวนท้ายจวนใส่ชะลอมขึ้นมา ชมนาฏจึ่งปลีกตัวออกมาจัดแจงเฉาะหมากม่วงอย่างรู้งาน เพียงครู่หนึ่งจึ่งนำ       ลฆุโภชน์นั้นมาถวาย


เจ้าศศิธรกัญญาทรงเคี้ยวกร้วมเต็มพระกำโบล รสหวานแกมเปรี้ยวกระตุ้นประสาทรูป พระมัตถลุงค์วาบความคิด ผุดแผนใหม่ขึ้นมาพลัน


“ข้าจักเข้าพิธีส่งตัว”


“ทรงเปลี่ยนพระทัยแล้วรึเพคะ” ชมนาฏทูลถามด้วยสลดใจ แลเสียใจเจ็บปวดอยู่ในส่วนลึก


“ใช่ แต่ข้าจักต้องถูกชิงตัวระหว่างทาง” นางสนองฯแลขุนทหารหันมามองหน้ากันเลิกลั่กมิแจ้งในพระดำริแยบคาย เจ้าศศิธรกัญญาจึ่งทรงสำแดงกลต่อ


“พี่เขมเจ้าจงแต่งกองทหารจรยุทธ์ฝีมือเปนเลิศสักซาวนาย ทำทีเปนโจรป่าชิงตัวข้าระหว่างทางบูรพาทิศไปสองแควพระพิษณุโลก ก่อนถึงเมืองสามโยชน์ ณ จุดข้ามลำน้ำ ชัยภูมิตรงนั้นเปนทางเล็กเหมาะเหม็งอย่างยิ่ง เมื่อพี่เขมเจ้าชิงตัวข้ามาได้แล้วให้มุ่งลงไปทางหรดีทิศราวเกือบโยชน์หนึ่ง ที่นั่นมีท่าเทียบเรือเล็กๆตรงคุ้งน้ำหากไม่สังเกตจักมิเห็น เราจักล่องตามลำน้ำลงมา ราวสามโยชน์จึ่งพบหมู่บ้านของนมช้อง พี่ชมเจ้ากับโขมพัสตร์ให้ไปรออยู่ที่นั่น”


“หลังจากนั้นเล่า พระราชบิดาของพระองค์จักต้องทรงมีรับสั่งให้ทหารทั้งกองทัพพลิกแผ่นดินหาตัวพระองค์เปนแน่พะย่ะค่ะ” ขุนพิทักษ์โยธาที่มั่นใจว่าตนเองเชี่ยวกรำการยุทธ์มากกว่าพระองค์น้อย แม้นทรงพระปรีชาหากอยู่แต่ในวังเวียง ทูลทักท้วงเปนไปในทางไม่คล้อยตาม


“ข้าจักปลอมตัวอย่างชาวบ้านสามัญ เช่นนั้นแล้วก็หาได้มีใครจับกุมตัวข้าได้ไม่ หลังจากนั้นจึ่งค่อยคิดโยกย้าย นมช้องนั้นเปนคนเก่าแก่แลกว้างขวางนัก”


เจ้าศศิธรกัญญาทรงตั้งพระทัยเด็ดเดี่ยว ด้วยทรงเชื่อว่าของยิ่งใหญ่แค่ไหนมนุษย์ก็สามารถล้มได้ ชายฉกรรจ์ตัวใหญ่ยักษ์กว่าพี่เขมนักเปรียบมวยกันก็ล้มตึงสิ้นท่ามาแล้ว มิใช่ขุนพิทักษ์โยธาเอาชำนะด้วยแรง หากเปนได้ด้วยยุทธวิธี


..ที่สำคัญที่สุดคือแพ้อะไรก็แพ้ได้แต่ห้ามความคิดว่าจักปราชัยทั้งๆที่ยังมิได้ออกรบ


“มันสุ่มเสี่ยงอยู่นะเพคะ หมู่บ้านของนมช้องออกใกล้พระนครแลเมืองรายทางนัก” ชมนาฏสมทบว่าออกจะไม่เห็นด้วย ขุนพิทักษ์โยธาคราวนี้มิออกความเห็น ขบตรองความตาม


“ตามพิชัยสงครามหลายสำนักกล่าวเปนข้อความตรงกัน ข้อนี้พี่เขมเจ้ารู้แจ้ง”


“ที่ใดอันตรายที่สุด ณ ตำบลนั้นคือที่ที่ปลอดภัยที่สุดในการหลบภัย” ขุนพิทักษ์โยธาตอบแทนพระองค์น้อย


“ฤๅพี่ชมเจ้ามีแผนดีเด็ดดวงกว่านี้หรือไม่” นางสนองฯคู่พระทัยเม้มปากสนิทเปนเส้นตรง ใครจักไปปรีชาเท่าเจ้าศศิธรกัญญาผู้เลอพระโฉมแลพระสติปัญญา


“เอาเช่นนี้แล พี่เขมเจ้าถนัดการบู๊เปนทุนมิใช่ดอกหรือ” ขัตติยนารีเชื้อพระร่วงเจ้าทรงสบพระเนตรกับขุนทหาร


ขุนพิทักษ์โยธาฟังความถ้วนถี่แลยิ้มกว้างชอบใจในอุบายเจ้านายพระองค์น้อยคิดอ่านการเปนหลักแหลมนัก ทั้งยังรู้ใจใช้คนถูกกับงาน เขามันขาลุยมาแต่กำเนิด 


“สวบบบบ..” ระหว่างนั้นมีเสียงกุกกักๆอยู่ด้านล่างจวน


“ใครบังอาจมาลอบฟัง!!” ชมนาฏร้องลั่นรีบแจ้นลงมาดู เห็นหลังไวๆเปนเงาตะคุ่ม วิ่งหนีเข้าป่าไผ่ไปทางท้ายจวน ขุนพิทักษ์โยธาที่ตามลงมาต่อว่านางสนองฯเสียยกใหญ่


“หูเอ็งฟั่นเฟือนแลตาฝาดเสียกระมัง เรือนข้านี้มิมีผู้ใดกล้าเหยียบจมูกหรอกนางชมเอ๋ย” แรกทีเดียวว่าจะตามไปดูเสียให้รู้ แต่ยินคำหนักแน่นเช่นนี้ชมนาฏจึ่งขึ้นมาบนจวน


เจ้าศศิธรกัญญาทรงซักซ้อมแผนการจนเข้าใจต้องตรงดีแล้ว อีกพักหนึ่งจึ่งมีรับสั่งประสงค์เสด็จกลับ


ขุนพิทักษ์โยธาส่งเสด็จพ้นบริเขตจวนแล้วจึ่งกระโจนขึ้นเรือน หมายเชยชมพวงแก้มระเรื่อเมียแต่งพิไลหมาดๆสักสองสามฟอด แต่โขมพัสตร์กลับไม่สนองคุณ ตีหน้ายักษ์แยกเขี้ยวใส่


“เจ้าอย่าได้มาใกล้ข้านะ”


“ทำไมเล่า ผัวจักจูบแก้มเมียสักน้อยหนึ่งมิได้เทียวรึ”


“วันนี้ข้ามีรอบเดือน” โขมพัสตร์มุสาส่ง หาเรื่องบ่ายเบี่ยง ขยับกายหนี


“ก็เรื่องของเจ้า ข้ามิรังเกียจดอก” ขุนพิทักษ์โยธาทำเปนว่าไม่ใส่ใจ สืบเท้าเข้าประชิดแลโผเข้ากอดเต็มรัก


“เจ้าคนมักมาก!!” โขมพัสตร์หาได้ยอมไม่ ดิ้นสุดกำลังแลแจกขนมตุบตับไปหลายชิ้นอยู่ ขุนพิทักษ์โยธาเห็นว่านางน้อยเอาจริงจึ่งได้แต่ละวงแขนใหญ่


“เราก็ได้แต่งกันเปนเมียผัวแล้ว ไฉนเจ้าจึ่งยังทุบตีไม่ยั้งมือแลปากร้ายใส่ข้าลงเล่า”


“พระองค์น้อยทรงมิได้ห้ามข้าใช้กำลังแลก่นด่าเจ้านี่” เมียสาวเล่นลิ้น อ้างพระดำรัสเบื้องสูง มิยำเกรงร่างใหญ่ตรงหน้า


“อ้าวบ๊ะแล้ว..” ขุนทหารถึงกับอึ้ง ไฉนคดีพลิกเยี่ยงนี้


“เจ้าจงจำไว้ เปนชายชาติทหารหาญจักต้องเคารพแลเชื่อฟังปรนนิบัติเมีย หากเจ้าข่มเหงน้ำใจข้า แม้นเปนเพียงชายตามองก็ดี ข้าจักทูลฟ้องพระองค์น้อย ไปหาข้าวมาให้ข้ากินเสีย เอาน้ำพริกแลผักต้ม” โขมพัสตร์ได้ทีรุกไล่ สั่งเอาไม่หยุดด้วยลำพองใจ


“จวนจะนอนแล้วยังมีแก่ใจอยากกินอีกนะเจ้า หมากม่วงนี่ก็มีเหลืออยู่”


“ก็ข้าอยากกินนี่ เอาใจเมียหน่อยไม่ได้หรือปะไร” ขุนทหารเกาหัวแกรก หากเปนสตรีคงเรียกได้เต็มปากว่ามองค้อน จำยอมแต่โดยดีถือว่าไถ่โทษที่ล่วงเกินนาง ลงจากจวน ครั้นจักเรียกบ่าวไพร่ก็ให้เกรงใจ


ชายชาตรีลงมือทำข้าวปลาตามมีตามเกิด มาตรว่าติดเตาอั้งโล่ยังยากเย็น ขุนพิทักษ์โยธางกเงิ่น จักให้เขาทำน้ำพริกให้ควบม้าออกไปล่าไก่ป่าเสียยังง่ายกว่า ลงท้ายคว้าของใกล้ตัวทำปลานึ่งแลต้มไข่ ขุนทหารมีชื่อยกใส่สำรับมาบนจวน


“เจ้าเก็บไว้ให้หมาแมวมันเถิด เพลานี้ข้าไม่หิวแล้ว” โขมพัสตร์ตีหน้าซื่อบอกปัดเสียอย่างนั้น


“เจ้านี่มัน..”


“อ้อ..เจ้าจักต้องมีข้าเปนเมียเอกเพียงหนึ่งเดียว อย่าได้สับปลับในคำมั่นที่ให้ไว้แก่พระองค์น้อย” โขมพัสตร์ข่มขู่เอาตามอำเภอใจ เดินสะบัดก้นหายเข้าไปในห้องนอน ขุนพิทักษ์โยธาให้เจ็บแค้นเปนกำลัง แต่มิอาจกระทำอันใดได้ ด้วยรับปากให้คำมั่นแด่เจ้านายน้อยไว้


เกินจักหาคำบนโลกมาเปรียบ อันว่าร้ายใดก็มิเท่ามีภรรยาเจ้าแสนโหด...


ในราตรีสุกดิบก่อนวันเสด็จ ท้องฟ้าโปร่งไร้เมฆา แสงจันทราแห่งคืนวันเพ็ญครองนภมณฑล เปนศุภวารดิถีอันดียิ่งตรงตามที่ท่านพระคุณเจ้าให้ฤกษ์ยามไว้


ในห้องบรรทม บนพระแท่นสิริไสยาสน์ประดับประดาด้วยหมู่มวลดอกไม้แลสุคนธมาลา ชมนาฏนวดฟั้นคั้นหัตถ์ตลอดพระวรกายปรนนิบัติบำรุงบำเรอพระองค์น้อยมิได้ห่าง  เจ้าศศิธรกัญญาทรงพระเกษมสำราญ แลนึกครึ้มพระทัยทรงสัมผัสกลิ่นเนื้อนางที่พวงแก้มใสของชมนาฏด้วยพระโอษฐ์


“อุ๊ย..พระองค์ทำอันใดเพคะ” ชมนาฏสะดุ้งตกใจ ตาโตเปนไข่ห่าน


 “แก้มพี่ชมนี้หนา นุ่มนิ่มราวกับเด็กแรกเกิด หอมเสียยิ่งกว่ามวลบุปผาแลน้ำปรุงใดๆบนโลกนี้ หญิงมิอยากจากไปไกลต้นดอกร่ำดอกรัก กลัวจักมีคนเขาลอบเด็ดพี่ชมเจ้าไปเชยเสีย”


“พระองค์ตรัสเปนอย่างกับ..” เกินจักสู้พระพักตร์แฉล้มได้ไหว นางสนองฯคู่พระทัยม้วนตัวหนีด้วยขวยนัก


“กับอะไร” เจ้าศศิธรกัญญาแย้มสรวลน้อยหนึ่ง รุกเร้าหนัก


“ทรงบรรทมเถิดเพคะ พรุ่งนี้จักต้องเสด็จพระราชดำเนินไปไกลนัก” ชมนาฏทำทีจะฉากหนีเสีย แต่เจ้าศศิธรกัญญาทรงรู้แกว ฉุดร่างบางเอาไว้


“เรื่องบิดพลิ้วไม่มีใครเกินพี่เจ้า หากยังมิตอบหญิงจักทำมากกว่าเมื่อครู่” รู้เต็มอกว่าเจ้านายน้อยมิใช่เพียงขู่แต่จักทรงลงมือเข้าจริงๆ ชมนาฏรีบเพ็ดทูล


“อย่างกับทรงเปนชายหนุ่มเกี้ยวสาวปะไร มิรู้ขุนพิทักษ์โยธาถ่ายทอดกระบวนยุทธ์มาแต่หนไหน ฤาที่นิยมลักลอบเข้าห้องทรงพระอักษรด้วยเปนเพราะตำรับตำราที่ทรงอ่านได้บอกไว้” ราชกัลยานีแย้มพระโอษฐ์โสมนัส


“แล้วพี่ชมเจ้าชอบหรือไม่”


'ชอบสิเพคะ..' นางเพียงคิดดังๆแต่มิกล้าทูล เฉไฉเข้าอย่างถนัด


“อีกประการเราเพียงห่างกันแค่ชั่วครึ่งวันเท่านั้นดอกเพคะ ใครเลยจักลอบทำเยี่ยงนั้นได้”


“หญิงใจคอไม่ดีเอาเลย แต่ไหนแต่ไรมาเรามิเคยต้องห่างกัน” พระพักตร์เจ้านางน้อยหม่นลงไปพลัน ดวงพระเนตรฉายแววแห่งความประหวั่นพรั่นพรึง


“การจักต้องเรียบร้อยดีเพคะ ขอพระองค์อย่าได้ปริวิตกแลโศกาลัยในการนิราศเพียงไม่กี่ชั่วยามนี้เลย ทูลเชิญพระองค์ทรงเข้าบรรทมเถิด หม่อมฉันจักพัดให้”


“ข้ายังมิง่วงเลย ขอพี่ชมเจ้าออกไปเดินเล่นด้วยกันสักหน่อยจักดีกว่า” ตรัสเท่านั้นแล้วจึ่งเสด็จลงจากพระตำหนักมาทอดพระเนตรเจ้าบุญหลง สมันทรงเลี้ยงปุ๋ยหลับไปแล้ว


เพลาราตรีภาคมัชชิมยาม ณ อุทยานรุกขชาติลดาดาษเครือวัลย์  องค์หญิงสะคราญสิริโฉมทรงพระดำเนินคลอเคลียนางชมนาฏชมบุปผชาติส่งกลิ่นรัญจวน


 “หม่อมฉันแลเห็นว่านางคลิ้งไม่อยู่” ชมนาฏเปรยขึ้นแต่พระองค์น้อยมิทรงวินิจฉัยว่าเปนเรื่องใหญ่สำคัญ


“ไม่มีอะไรให้ต้องวิตกกระมัง นางคงไปเที่ยวเล่นตามตำหนักอื่นหาเพื่อนเท่านั้นดอก”


“หม่อมฉันเกรงแต่เพียงว่านางคลิ้งจักไปลอบเปนชู้กับผัวชาวบ้านเท่านั้น นาง        ลอกแลกแลไม่น่าจะตั้งอยู่ในสุจริตธรรมเพคะ”


“พี่ชมเจ้าแคลงใจได้ ทว่าอย่าได้ใส่ความใครอันเกิดจากอคติเลย”


กลิ่นสุคันธชาติหอมเมื่อยามนิศากาลกำจรกำจายไปทั่วบริเวณ อันมีดอกเล็บมือนางสีชมพูจัดออกแดง พวงดอกราตรีสีเหลืองทอง ดอกพุดตะแคง ลอยตามลมเคล้าเส้นผมหอมของนางสนองพระโอษฐ์ ราชกัลยานีแห่งวงศ์พระร่วงทรงเก็บดอกกระดังงาสีเหลืองอันเพิ่งร่วงจากต้นมาแนมเสียบผมวิไลของชมนาฏ


 “พี่ชมเจ้า รักเรานี้กอปรด้วยอานุภาพแรง ทั้งกุศลใจดีเยี่ยงนี้ ไว้จบการยุ่งยากเมื่อใด ข้าจักทูลเสด็จพ่อให้พระราชทานยศแด่พี่เจ้าเสมอชั้นพระยา” เจ้าศศิธรกัญญาดำริถึงกาลภายหน้า นางสนองฯคู่พระทัยยิ้มหวานนวลละอองปลาบปลื้มนัก หากมันเปนเพียงครู่หนึ่ง


..นางต้องอยู่กับโลกแห่งความจริง


ความรู้สึกปฏิพัทธ์ระหว่างนายน้อยพระผู้มีอิสริยยศเทียมเจ้าฟ้ากับบ่าวเปนสิ่งต้องห้าม


จำเพาะในอีกระดับชั้นที่บ่าวนั้นเปนสตรีเพศด้วยเล่า ยิ่งนับเปนเรื่องวิปลาสเทียว


“พระองค์ผู้เปนหน่อเนื้อพระร่วงเจ้าพิสุทธิ์ ผู้มีพักตร์อันจำเริญ พระฉวีผ่องผุดพรรณดุจดาราฉาย พระสติปัญญาสว่างใสดุจดวงแก้วรัตนมณี การตรัสเช่นนี้มิบังควรเลย     เพคะ” เจ้าศศิธรกัญญาทรงส่ายพระพักตร์มิทรงลงความวินิจฉัยว่าเห็นด้วย


“พระคุณเจ้าท่านก็ว่าแล้วว่ามิผิด แลข้ามิใส่ใจต่อคำติฉินสักเพียงน้อย ตาข้ามองแต่เพียงพี่เจ้า หูข้าก็รอฟังแต่คำหวานเท่านั้น กายก็เปนของข้า จักแนบอิงเคียงหมอนกับสตรีก็มิมีผู้ใดจักห้ามได้”


“แต่หม่อมฉันเปนเพียงนางบ่าวนะเพคะ”


“ข้าไม่เคยมองพี่ชมเจ้าว่าเปนเช่นนั้น สำหรับข้าแล้ว พี่ชมเปนพี่สาว เพื่อน หม่อมแม่ แล..”


“แล..อันใดเพคะ” ชมนาฏกลั้นใจทูลถาม ความรู้สึกคละเคล้าระหว่างยินดี สับสนแลผิดบาป


“คนรัก..” เจ้าศศิธรกัญญาตรัสเต็มพระสรุเสียง แววพระเนตรสุกใส


..ทรงชัดเจนเถรตรงต่อความรู้สึก


เรไรร้องก้องสนั่นดั่งเปนพยาน สายลมรำเพย น้ำค้างพร่างพรม แสงจันทร์นวลกลมโต บรรยากาศเปนใจยิ่งหากจิตผ่องแผ้ว


เจ้าศศิธรกัญญาแลชมนาฏประทับเคียงกัน หัวใจของทั้งสองเย็นวูบพาให้อารมณ์อ่อนไหว


มีเพียงอ้อมกอดที่ให้ความอบอุ่นแก่กัน พระอัสสุชลหลั่งไหลกำสรวลโหยไห้ สุดระทมหมองไหม้หัวใจแทบขาดรอน โทมนัสในพระชาตา...


**************************************************************************


ที่สำนักงานเช่าย่านรัชดาภิเษกของวัชรพักตร์


โมเดลลิ่งคนสวยง่วนอยู่กับการทำบัญชีตั้งแต่เช้า กิจการเล็กๆเจ้าของคนเดียวจึงต้องทำมันเองทุกอย่าง ตั้งแต่เป็นแอดมินรับโทรศัพท์ โต้ตอบ   e-mail ทำใบวางบิล invoice กระทั่งไปรอรับเช็คเอง ฯลฯ แต่เธอกลับชอบ


แม้จะไม่ born to be แต่เชื่อมั่นเต็มหัวใจว่าคนเราสามารถฝึกเอาได้และเก่งขึ้นได้เช่นกัน ขี้เกียจก็คืออด ทำไปส่งๆคือฟ้องถึงความไม่ละเอียดของงาน อะไรที่ไม่รู้ต้องขวนขวาย มิใช่แค่รู้ต้องลึกและกว้าง ความผิดพลาดแม้เพียงครั้งหมายถึงความเสียหายที่ส่งผลกระทบต่อตัวเธอเอง


จากการทำมาปีกว่า เธอสรุปได้ว่าบางครั้งความรู้ในห้องเรียนและตำรานั้นไม่พอ ชั่วโมงบินและการแก้ปัญหาเฉพาะหน้ากลับนำมาใช้มากกว่ามาก ไม่แปลกใจเลยที่บริษัทใหญ่ๆยอมจ้างคนมีประสบการณ์ แต่เธอขอยึดหลัก small is beautiful จิ๋วแจ๋วครองโลก ทำเองมันเสียหมด


สิ้นเดือนเหมือนสิ้นใจ วัชรพักตร์มองดูบัญชีรายจ่ายยาวเหยียด ทั้งค่าเช่าสำนักงาน เงินเดือน ค่าสาธารณูปโภค และอื่นๆจิปาถะ นี่คือต้นทุนที่มองเห็นและตีออกมาเป็นตัวเลขได้ ยังมีต้นทุนแฝงและ opportunity cost อีกมาก จริงดั่งคำของปัณณพร ร้านเช่าหนังสือไม่มีต้นทุนมากนัก กับธุรกิจของเธอแล้ว แค่ค่าโทรศัพท์ก็บานทะโร่


งานของเธอเป็นงานที่ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว คนภายนอกคิดว่าใครๆก็ทำได้ ซึ่งมันก็จริง แต่จะทำได้ดีหรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง งาน modeling พูดอีกนัยหนึ่งมันคืองานแก้ปัญหา ไม่นับคู่แข่ง ความต้องการของลูกค้าที่เป็น infinity การบริหารความสัมพันธ์กับมนุษย์ด้วยกันถือว่าเป็น โจทย์ใหญ่ยิ่ง ผู้หญิงหลายที่มาร้อยพ่อพันธุ์แม่รวมตัวกันย่อมเกิดการชิงดีชิงเด่น อิจฉาริษยาวิทยาด้วยเล่า ความร้ายกาจนั้นชนิดที่ว่า นิยายในร้านหนังสือของยัยปัณต้องชิดซ้ายเลยทีเดียว


เวลาที่เท่ากันอาจไปทำอะไรที่ ยุ่งยากน้อยกว่าและผลตอบแทนที่มากกว่า


.. ทว่า สิ่งนั้นคืออะไรหล่ะ


ช่วงสายๆวัชรพักตร์มีนัด brief งานกับน้องๆ pretty MC ที่ออฟฟิศ อิงอรแวะมาเซอร์ไพรส์ ในขณะที่เล่าประวัติของอาณาจักรโบราณอยู่จึงร่วมวงไพบูลย์ด้วย ดาราหน้าหวานนั่งไขว่ห้างเอกเขนกตรงโซฟาพลางเล่นโทรศัพท์รอตามประสามนุษย์ก้มหน้า


“พี่พักตร์คะ หนูเห็นว่าเดี๋ยวก็เรียกพระร่วงๆ ตกลงว่ามีพระร่วงกี่พระองค์กันแน่คะ” น้อง MC หน้ามนนางหนึ่งถามขึ้นมา วัชรพักตร์ยิ้มอารีเล่าความแบบอารมณ์ร่วมมาเต็ม


“คำว่าพระร่วงเจ้าตามความเข้าใจของคนทั่วไปอาจหมายถึงพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ส่วนในบันทึกก็ดี ศิลาจารึกก็ดี หรือนักประวัติศาสตร์ก็ดีให้หมายความรวมๆว่าเป็นองค์พระมหากษัตริย์ของสุโขทัยพระองค์ใดก็ได้”


“แล้วพระร่วงมีที่มาอย่างไรคะ” วัชรพักตร์ยิ้มแย้ม อย่างน้อยๆยังมีเด็กวัยรุ่นสนใจเรื่องราวประวัติศาสตร์อยู่บ้าง


หากไม่รู้เรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์เท่ากับเราตาบอดเสียข้างหนึ่ง แต่รู้แล้วเชื่อทั้งหมดโดยปราศจากการสอบทานข้อมูลนั้นเสมือนว่าตาบอดสนิททั้งสองข้าง


“เรื่องมันยาวมากเลยค่ะน้อง เอาเป็นว่าคือตำนานสัก 70 เปอร์เซ็นต์และจากศิลารึก 30 เปอร์เซ็นต์เนาะ กล่าวถึงตำนานพระร่วงผู้มีวาจาสิทธิ์ไว้สองสถาน ซึ่งล้วนเป็นกฤดาภินิหารทรงอานุภาพเลิศล้ำเป็นที่ยำเกรงของบรรดารัฐต่างๆ ถ้าหากสนใจก็ยืมหนังสือเล่มนี้ไปอ่านต่อได้จ้ะ” วัชรพักตร์เพียงตอบในภาพรวมพลางชูหนังสือ pocket book เกี่ยวกับอาณาจักรสุโขทัยเล่มไม่หนาไม่บางที่หยิบยืมมาจากปัณณพรอีกทอดหนึ่ง เสร็จจากเรื่องสรุปงาน น้องๆจึงขอตัวกลับ


“พี่พักตร์เก่งจุง เล่าเรื่องได้เป็นคุ้งเป็นแควเลย” อิงอรที่ฟังบ้างเล่นเกมไปบ้างหันมาชมคนรัก วัชรพักตร์ไม่รับไว้ ยกประโยชน์และเครดิตให้เพื่อนสาวเต็มๆ


“ยัยปัณต่างหากที่เก่ง พี่ก็แค่จำขี้ปากนางเล่ามา”


“เพื่อนกระจอกแบบนี้ทำไมพี่พักตร์ยังทนคบอยู่คะ นี่ถ้าบอกมาก่อนว่าจะมาเจอยัยพี่ปัณจอมโหด อรไม่มาเสียให้ยากหรอก” อิงอรแค่นเสียงทำทีเป็นกระฟัดกระเฟียด ความจริงเธอก็มิได้รังเกียจรังงอนปัณณพรแต่อย่างใด ปากร้ายกลบเกลื่อนไปเสียอย่างนั้นเอง ดาราสาวเกรงในความผิดหลายๆกระทงของตน วัชรพักตร์เก็บเอกสารเข้าที่ หย่อนกายลงนั่งเคียงข้างยอดยาหยี สุดอ่อนอกอ่อนใจในระบบความคิด


“เมื่อไหร่หนูจะเลิกดูถูกคนอื่นเสียทีคะ”


“ก็อรเป็นดาราเป็นนางฟ้านี่”


“ดาราก็เป็นคนนะคะไม่ใช่นางฟ้ามาจากสวรรค์วิมานชั้นไหน แล้วรู้เปล่าเมื่อก่อนดารานี่แหล่ะที่โดนดูถูกเสียเองว่าเป็นพวกเต้นกินรำกิน” วัชรพักตร์พยายามพูดตะล่อมให้คล้อยตามด้วยเสียงเย็นๆ อิงอรยังสวมบทงิ้วเช่นเคย ในกระบวนคนที่ไม่เข้าใจเธอมากที่สุดก็คือพี่พักตร์นี่เอง เธออยากเป็นคนสำคัญ เป็นที่หนึ่งเสมอและพี่พักตร์ต้องยอม เข้าใจไหม!!


“เอะอะก็อ้างคำเก่าคร่ำครึ ตกลงแฟนอรเป็นคนหลงยุคใช่ป่าว”


“ของเก่านั้นดีมีอยู่ออกแยะไปค่ะ ไม่เห็นต้องรังเกียจนี่”


“พี่พักตร์พูดมาก็ดีเลย อรไม่ไปกับพี่นะสุโขทัยรำลึกน่ะ ไปเที่ยวสิงค์โปร์ดีกว่า เจริญหูเจริญตากว่ากันเป็นไหนๆ”


“ตามใจหนูสิ” วัชรพักตร์ดั่งว่ารู้คำตอบล่วงหน้า อิงอรสุดจะหยั่งถึงห้วงอารมณ์ เธอยื่นมือเรียวสวยมากุมมือวัชรพักตร์ไว้ ส่งแววตาหม่นแปลกๆ คล้ายเครือว่าสำนึกผิด


“คนๆนี้ร้ายก็ร้าย แปรปรวนยิ่งกว่าปรอท ทำไมพี่พักตร์ถึงทนกับอรได้” คนฟังประหลาดใจนัก จ้องใบหน้าหมดจดว่ากำลังแปรปรวนดังเช่นว่าหรือไม่


“รู้ตัวด้วยเหรอ..” อิงอรพยักหน้ารับเพียงนั้น


เงียบกันไปสักพักแบบอึมครึม วัชรพักตร์จึงเป็นฝ่ายที่พูดต่อ


“หนูรู้ไหมคะ บางครั้งพี่ก็คิดนะ คิดว่าพี่รักอรเพราะอะไร ความวูบวาบหวามไหวเป็นครั้งคราวของรักวัยรุ่นมันช่างยั่วยวนใจจนเกินหักห้ามนั้นจริงอยู่ แต่ความสม่ำเสมอนี่มักจะเป็นสิ่งที่ไม่มีในรักฉาบฉวย ที่ตอบหนูแบบนี้ได้ต้องใช้ประสบการณ์สอนตัวเอง เหมือนเพลง.. มนต์รักระริน เปรียบดังนกน้อยบินเหินลอยไปสู่เวหา ความรักก็คือบุปผาผลิดอกที่ตา แล้วมาบานเบ่งที่ใจ” วัชรพักตร์คลอเพลง ขอทำตามความรู้สึก แม้ปัณณพรสหายรักจะค่อนขอดว่าเธอจัดอยู่ในประเภท 'รักหัวทิ่มบ่อ' นางมักคัดค้านสุดลิ่มบอกให้เธอยุติความสัมพันธ์เช้าค่ำ แต่เธอกลับมองต่าง


 ชีวิตรักนั้นไม่มีดีที่สุด มันคือเพ้อฝันคืออุดมคติ ถ้าคิดเช่นนั้นก็มองอยู่แต่ปัจจุบันและจบลงแค่นั้น


รักที่ดีที่สุดคือ ดีเท่าที่ตนเองทำได้ และมันจะดีกว่าเป็นไหนๆหากเธอและอิงอรยังได้ร่วมเดินเคียงกันไปในเส้นทางสายนี้.. มันคือการมองแบบปัจจุบันไปสู่อนาคต


“โบมากอ่ะ พี่พักตร์ดีกับอรอย่างไม่มีข้อแม้เลย” อิงอรถึงกับหัวเราะลั่น


“กลัวว่าจะไม่รักสิไอ้คนดีเนี่ย” วัชรพักตร์พูดออกมาตามที่รู้สึกล้านเปอร์เซ็นต์


..ที่ว่าดีหนักหนา สุดท้ายไม่พ้นนอนเอกาเช็ดน้ำตาอยู่คนเดียว นิยายเช่าของยัยปัณกี่สิบเรื่องแล้วที่ลงอีหรอบนี้


“แหมๆ นอกจากงานอรก็อยู่ติดพี่พักตร์เป็นตังเมนี่แหล่ะค่า” ดาราสาวตอบเอาใจ แม้นว่าส่วนลึกรู้สึกผิดจับจิตต่อคนตรงหน้า


ถึงเธอจะดูเป็นสมบัติล้ำค่าของพี่พักตร์ แต่พี่สาวคนสวยคงลืมไปว่า..สมบัติชิ้นนี้เปราะบางแตกหักง่ายเพียงไร


วัชรพักตร์ฉวยโทรศัพท์ขึ้นมาดูเมื่อเห็นว่าล่วงเวลานัดหมายกับเพื่อนพิไลมาพักใหญ่


“ยัยปัณบอกว่าจะมาช้าหน่อย ทนหิวนิดนะคะ” เข้าทางคนหาเรื่องชิ่ง อิงอรทำหัวฟัดหัวเหวี่ยงแบบไร้เหตุผล


“นัดแล้วไม่เป็นนัด คนอารายไม่รู้จักเวล่ำเวลา อรจะกลับแล้ว”


“จะไปไหนเล่าคุณน้องที่ไม่รัก” ปัณณพรเดินสวนเข้ามา รังสีความโหดแผ่รัศมีเป็นออร่ากระทบถึงอิงอรเข้าจังๆจนดาราสาวถึงกับจ๋อยเจื่อน...





 

Create Date : 25 กุมภาพันธ์ 2559    
Last Update : 25 กุมภาพันธ์ 2559 11:05:58 น.
Counter : 378 Pageviews.  

1  2  3  

writer_k toon
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




เป็นคนธรรมดาๆคนหนึ่งค่ะ ที่อยากเป็นคนดี
และเป็นคนเก่งขึ้นทุกๆวัน

ชอบดื่มกาแฟเป็นชีวิตจิตใจ โปรดสุดก็ Starbucks หากอยู่ในฤดูงบน้อย อะไรที่เป็นกาแฟดำ ได้หมด

ชอบอ่านหนังสือ แนวHowto และนิยายของคุณทมยันตี จนวันหนึ่งเกิดอยากจะเขียนหนังสือให้คนอื่นอ่านบ้าง โดยมีคุณทมยันตีเป็นต้นแบบ เป็นแรงบันดาลใจ

เริ่มต้นขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ไม่รู้ลงท้ายจะเป็นอย่างไร แต่หวังไว้ว่ามันจะดีกว่าที่หวัง

จะคุยได้นานกับคนที่มีฝัน มีเป้าหมายในชิวิต รักครอบครัว และคิดบวก

แอบหวังว่าคนที่เข้ามาที่Blogนี้จะออกไปอย่างมีความสุขนะคะ

Loveๆทุกคนค่ะ

ปล.ขอสงวนลิขสิทธิ์ข้อความและรูปภาพทั้งหมดใน blog นี้ตามกฎหมาย ห้ามนำไปใช้หรือเผยแพร่ก่อนได้รับอนุญาตนะคะ

New Comments
Friends' blogs
[Add writer_k toon's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.