bloggang.com mainmenu search



สิทธิสตรี

รัฐบาลนาซีไม่สนับสนุนการเคลื่อนไหว เพื่อปลดปล่อยสตรีและลัทธิเฟมินิสต์ ด้วยเหตุผลว่า สิ่งเหล่านั้นเป็นการกระทำของชาวยิวและเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมสำหรับชาวเยอรมัน

พรรคนาซีได้สนับสนุนแนวคิดการปกครองฉันพ่อลูก ซึ่งจากแนวคิดดังกล่าวได้อบรมสตรีชาวเยอรมันว่า "โลกเป็นสามีของเธอ ครอบครัวของเธอ ลูกของเธอ และเป็นบ้านของเธอ"

ฮิตเลอร์ได้กล่าวว่าเพศหญิงที่ใช้แรงงานหนัก เหมือนกับเพศชายในช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ จะไม่เป็นผลดีต่อครอบครัว เนื่องจากว่าในตอนนั้น เพศหญิงจะได้รับอัตราค่าจ้างเพียง 66% เมื่อเทียบกับอัตราค่าจ้างของเพศชาย

จากคำแถลงดังกล่าว ฮิตเลอร์จึงมิได้พิจารณาขึ้นอัตราค่าจ้าง ให้แก่สตรีชาวเยอรมัน แต่บอกให้พวกเธออยู่กับบ้านแทน พร้อมกับที่ว่าขอให้สตรีชาวเยอรมัน ลาออกจากงานที่ทำนอกบ้านเสีย และให้สนับสนุนรัฐเกี่ยวกับกิจการสตรีอย่างแข็งขัน

ในปี 1933 ฮิตเลอร์ได้เลือกเอาเกอร์ทรุด ชอลทซ์-คลิงก์ ขึ้นเป็นผู้นำสตรีแห่งจักรวรรดิไรช์ ซึ่งเธอได้กล่าวถึงบทบาทหลักของสตรีในสังคมคือ การให้กำเนิดบุตร และสตรีควรจะมีหน้าที่รับใช้บุรุษ ดังที่เธอเคยกล่าวว่า

"ภารกิจของสตรีคือการทำนุบำรุงเรือนของตน และยอมรับความจำเป็นของชีวิต ตั้งแต่วินาทีแรกจนถึงวินาทีสุดท้ายของบุรุษ" ซึ่งแนวคิดนี้ยังมีอิทธิพลไปถึงสตรีชาวอารยัน ที่ได้แต่งงานกับบุรุษชาวยิวอีกด้วย

จึงทำให้เกิดเหตุการณ์การประท้วงโรเซนสเทรซเซ ที่สตรีชาวเยอรมันกว่า 1,800 คน (พร้อมทั้งญาติ 4,200 คน) เรียกร้องให้นาซีปล่อยสามีชาวยิวของพวกเธอ

การปกครองแบบนาซีส่งผลให้สตรีชาวเยอรมัน ไม่กล้าที่จะศึกษาหาความรู้ต่อในระดับมัธยมศึกษา วิทยาลัยและมหาวิทยาลัย จำนวนสตรีที่ศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย ลดลงอย่างรุนแรงในสมัยนาซีเยอรมนี ซึ่งลดลงจาก 128,000 คน ในปี 1933 เหลือเพียง 51,000 คน

ในปี 1938 จำนวนเด็กหญิงที่ศึกษาในระดับมัธยมศึกษาลดลงจาก 437,000 คน ในปี 1926 เหลือเพียง 205,000 คน ในปี 1937 อย่างไรก็ตาม เนื่องจากต้องบรรจุเพศชายเข้าสู่กองทัพเยอรมัน ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ทำให้จำนวนสตรีในระบบการศึกษานับเป็นจำนวนครึ่งหนึ่งของทั้งหมดในปี 1944

พรรคนาซีได้มีการจัดตั้งองค์กรขึ้นมาหลายองค์กรเพื่อสั่งสอนแนวคิดนาซีให้แก่สตรีชาวเยอรมัน อย่างเช่น ยุงมาเดิล (เยอรมัน: Jungmädel, หมายถึง "เด็กหญิง") ซึ่งเป็นโครงการยุวชนฮิตเลอร์สำหรับเด็กหญิงอายุ 10-14 ปี และ บุนด์ ดอยท์เชอร์ เมเดล (เยอรมัน: Bund Deutscher Mädel อังกฤษ: BDM, German Girl's League) สำหรับเด็กสาวอายุระหว่าง 14-18 ปี

แต่นาซีมีท่าทีที่แตกต่างระหว่างเรื่องเกี่ยวกับเพศสัมพันธ์ของสตรีกับการกำหนดบทบาทของสตรีในสังคม พรรคนาซีมีหลักเกณฑ์ที่เสรีเกี่ยวกับเรื่องเพศสัมพันธ์ และให้ความเห็นอกเห็นใจสตรีที่ต้องเลี้ยงบุตรนอกสมรส

การเลือนหายไปของจริยธรรมตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 19 กลับถูกเร่งให้เกิดเร็วขึ้นอีกในการปกครองของนาซีเยอรมนี บางส่วนหายไปจากการปกครองตามลัทธินาซี และบางส่วนหายไประหว่างสงคราม ความเลวทรามได้เพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่อสงครามดำเนินต่อไป

เหล่าทหารหนุ่มโสดมักจะมีความสัมพันธ์ในเชิงชู้สาว กับผู้หญิงหลายคนในเวลาเดียวกัน สตรีที่แต่งงานแล้วมักมีหลายความสัมพันธ์ในเวลาเดียวกัน ทั้งกับทหาร พลเรือนหรือแม้แต่ชนชั้นกรรมกร

"ภรรยาชาวไร่ในวึรท์เทมเบิร์กได้เริ่มมีใช้เพศสัมพันธ์เป็นสินค้า โดยใช้การตอบสนองทางเพศ เพื่อจ้างกรรมกรต่างด้าวให้ทำงานเต็มวัน" การแต่งงาน และการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างบุคคลจะถูกแบ่งระหว่างผู้ที่มีความสัมพันธ์ระหว่างเชื้อชาติ "อารยัน"

และผู้ที่นอกเหนือจากนั้นที่ถูกเรียกว่า "รัสเซนชันเดอ" (เยอรมัน: Rassenschande) ซึ่งถือเป็นความผิดและจะต้องโทษ (ชาวอารยันจะถูกส่งไปค่ายกักกัน และผู้ที่ไม่ใช่อารยันจะต้องโทษประหาร)

แม้ว่าบทบาทของสตรีในสังคมเยอรมันจะลดน้อยถดถอยลงไปมาก แต่สตรีบางคนก็ยังมีบทบาทสำคัญ ซึ่งได้รับการยกย่องสรรเสริญและประสบความสำเร็จในชีวิต อย่างเช่น ฮันนา ไรท์ช นักบินประจำตัวฮิตเลอร์ และเลนิ ไรเฟนสทฮัล ผู้กำกับภาพยนตร์และดารา

ตัวอย่างที่น่าเยาะเย้ยของความแตกต่างระหว่างคำสั่งสอนของลัทธินาซีและการปฏิบัติตนนั้นคือ ถึงแม้การมีเพศสัมพันธ์กันในค่ายของยุวชนฮิตเลอร์จะถูกห้ามอย่างชัดเจน

ค่ายของเด็กชายกับเด็กหญิงกลับถูกวางให้อยู่ใกล้กัน ราวกับจะต้องการให้เกิดเพศสัมพันธ์ขึ้น อีกทั้งสมาชิกของบุนด์ ดอยท์เชอร์ เมเดล มักจะตั้งครรภ์ (หรือมีผลกระทบไปถึงการสมรสในภายหลัง) เมื่อได้รับมอบหมายให้ทำงานที่เกี่ยวข้องกับชายที่ยั่วยุได้ง่าย


ขอขอบคุณ วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี


สิริสวัสดิ์จันทรวาร สิริมานรมเยศนะคะ
Create Date :31 มกราคม 2554 Last Update :31 มกราคม 2554 21:29:40 น. Counter : Pageviews. Comments :0