ฮิตเลอร์ .. เข้ารับตำแหน่งมุขมนตรีเยอรมนี
เพลิงไหม้รัฐสภาไรช์สทักการรวมอำนาจ
หลังจากที่มุขมนตรีหลายคนก่อนหน้า ไม่สามารถรักษาอำนาจของตนไว้ได้ ในวันที่ 30 มกราคม ค.ศ. 1933 ฮิตเลอร์จึงเข้ารับตำแหน่งมุขมนตรีเยอรมนี
ในช่วงหลายเดือนแรกของปีเดียวกัน พรรคนาซีได้เริ่มกระบวนการระยะยาว เพื่อขับไล่ชาวยิวออกจากสังคมเยอรมัน อันเป็นแผนการซึ่งเป็นแก่นของ "การปฏิวัติวัฒนธรรม" ของฮิตเลอร์
อย่างไรก็ตาม พรรคนาซีมิได้ครองเสียงข้างมากในสภา แม้จะมีการสร้างพันธมิตรทางการเมืองแล้วก็ตาม ตามกฤษฎีกาประธานาธิบดี มาตราที่ 48 ของรัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐไวมาร์ ค.ศ. 1918
ประธานาธิบดีฮินเดนบูวร์ก จึงประกาศยุบสภา เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ และจัดการเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 5 มีนาคม ซึ่งในระหว่างนี้ พรรคนาซีได้ดำเนินการก่อการร้าย ต่อคู่แข่งทางการเมือง
ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ เกิดเหตุการณ์เพลิงไหม้รัฐสภาไรช์สทัก ซึ่งพรรคนาซี ใช้เป็นข้ออ้างในการจับกุมพวกสังคมนิยม และพวกคอมมิวนิสต์ พร้อมกับออกกฤษฎีกาว่าด้วยเพลิงไหม้รัฐสภาไรช์สทัก
ซึ่งถือเป็นการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน อย่างไม่มีกำหนดตลอดระยะเวลาการปกครองของนาซี อย่างไรก็ตาม ผลการเลือกตั้งใหม่เมื่อวันที่ 5 มีนาคม ปรากฏว่าพรรคนาซี ก็ไม่ได้รับเสียงข้างมากในรัฐสภาเช่นเดิม
และด้วยความช่วยเหลือของพันธมิตรทางการเมือง รัฐบัญญัติมอบอำนาจได้ผ่านความเห็นชอบของรัฐสภา เมื่อวันที่ 23 มีนาคม ทำให้ฮิตเลอร์ สามารถออกกฎหมายได้โดยไม่ต้องผ่านรัฐสภาเป็นเวลา 4 ปี
ภายในเวลาไม่กี่เดือน ฮิตเลอร์ได้ยุบพรรคการเมืองอื่นทั้งหมด จนกระทั่งประกาศตน เป็นรัฐพรรคการเมืองเดียวอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม ค.ศ. 1933 นอกเหนือจากนั้น ในปี ค.ศ. 1934 พรรคนาซีได้กำจัดคู่แข่งทางการเมืองทั้งหมดอย่างรุนแรง
ต่อมา ฮิตเลอร์ได้รับอำนาจเพิ่มขึ้นหลังจากบัญญัติ เกเซทสอือแบร์เดนนอยเอาฟโบเดสไรช์ (เยอรมัน: Gesetz über den Neuaufbau des Reichs: บัญญัติแห่งการสร้างจักรวรรดิใหม่)
มีการยุบรัฐสภาสหพันธรัฐ และโอนสิทธิของรัฐและการบริหารไปยังรัฐบาลกลางที่กรุงเบอร์ลิน รัฐบาลท้องถิ่นได้ถูกแทนที่ด้วยคณะรัฐบาลนาซี ไรช์ซสทัททัลเทอร์ (เยอรมัน: Reichsstatthalter) พร้อมกับการที่รัฐบาลเข้าเป็นเจ้าขององค์กร และสโมสรเกือบทุกแห่งในประเทศ
เช่นเดียวกับกองทัพบก ซึ่งพอใจกับพรรคนาซี เพียงแต่ไม่ต้องการมีฐานะเป็นรองหน่วยเอสเอ ความขัดแย้งระหว่างกองทัพบกกับหน่วยเอสเอ นำไปสู่เหตุการณ์คืนแห่งมีดเล่มยาว (Night of the Long Knives) เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 1934
ซึ่งได้มีการสังหารหมู่บุคคลระดับผู้นำ ของหน่วยเอสเอจำนวนมาก เช่นเดียวกับศัตรูทางการเมืองทั้งในและนอกพรรคนาซี
ในวันที่ 2 สิงหาคม 1934 ประธานาธิบดีฮินเดนบูวร์ก ถึงแก่อสัญกรรม ฮิตเลอร์ได้รวมเอาตำแหน่งประธานาธิบดี และมุขมนตรีเข้าด้วยกัน อีกทั้งกองทัพบก ยังได้ปฏิญาณที่จะเชื่อฟังฮิตเลอร์ อย่างไม่มีเงื่อนไข
ฮิตเลอร์ได้ใช้อำนาจเผด็จการในการปกครองประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการจับกุมพวกคอมมิวนิสต์ พวกสังคมนิยมและชาวยิว การใช้อำนาจอย่างเด็ดขาดของรัฐบาล ส่งผลให้รัฐบาลปราศจากผู้ต่อต้าน
ซึ่งคาดว่าจนถึงปี ค.ศ. 1945 มีชาวเยอรมันราว 3 ล้านคนถูกส่งไปยังเรือนจำ ด้วยเหตุผลทางการเมือง
การรวมอำนาจของพรรคนาซี ยังรวมไปถึงการควบคุมระบบการศึกษา วิทยุ และสถาบันทางวัฒนธรรม ผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลจะถูกปลดออกจากตำแหน่ง
โจเซฟ เกิบเบิลส์ ให้ความสำคัญกับธุรกิจภาพยนตร์เยอรมนี ซึ่งได้มีการกดดันให้ภาพยนตร์ ทำการโฆษณาชวนเชื่อแก่ชาวเยอรมัน ภายในเวลาไม่นานนัก การจัดระเบียบทางสังคมก็เสร็จสิ้น
ฮิตเลอร์จึงเริ่มฟื้นฟูฐานะของเยอรมนีในเวทีโลกต่อไป
ขอขอบคุณ วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
สิริสวัสดิ์จันทรวาร เปรมปรีดิ์มานรมณีย์นะคะ