<<< "ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้เป็นธาตุหมด” >>>









“ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้เป็นธาตุหมด”

คนฉลาดที่จะมารู้ว่าร่างกายที่ไม่มีตัวตนนี้

ไม่มีใครอยู่ในร่างกาย มีแต่ดินน้ำลมไฟ

 ทั้งที่ความจริงผู้ที่มาเกาะร่างกายนี้

มาคิดมาหลงผิด มาคิดว่าร่างกายเป็นตัวเราของเรา

จึงเป็นปัญหาไง เพราะว่าพอมีอะไรเป็นของเราแล้ว

เราก็จะรักจะหวงจะห่วงขึ้นมาทันที

แล้วก็จะเสียใจเวลาที่เราต้องสูญเสียสิ่งที่เรารักไป

 นี่คือบ่อเกิดของความทุกข์ของพวกเรา

ทุกข์เพราะไปเห็นผิดไปเห็นสิ่งที่ไม่ใช่เป็นของเรา

ว่าเป็นของเรา ไปเห็นสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเราว่าเป็นตัวเรา

 เนี่ยเราทุกข์กันมาตลอดกับเรื่องร่างกายนี้

 และจะทุกข์อย่างนี้ต่อไป

ถ้าเราไม่เอาความรู้ที่แท้จริงนี้

มาสอนใจเรา ถึงแม้ตอนนี้เราจะได้ยินได้ฟัง

แต่มันยังไม่เข้าใจ มันยังไม่ถึงใจ มันยังไม่ปล่อย

 ถ้ามันเห็นอย่างถึงใจมันเข้าใจมันจะปล่อย

 แต่มันเพียงแต่ฟังนี้มันยังไม่ถึงใจ

 เหมือนสิบปากว่ายังไม่เท่าหนึ่งตาเห็น

มันจะต้องเอาไปพิสูจน์อีกทีหนึ่งด้วยการปฏิบัติ

 ด้วยการเอาไปปล่อยร่างกาย เอาไปทิ้งร่างกาย

 อย่าไปบังคับให้ร่างกายเราบังคับให้ใจ

ปล่อยร่างกายให้ได้ ตอนนี้มันเกาะติดร่างกาย

เหนียวยิ่งกว่ากาวตาช้าง กาวตาช้างเสียอีก

 กาวตราช้างที่ว่าเหนียว อุปทานที่ใจมีเกาะติด

กับร่างกายนี้มันเหนียวยิ่งกว่ากาวตาช้างเสียอีก

 ถึงแม้จะมีคนสอนคนบอกว่ามันไม่ใช่เราของเรา

 มันก็ยังไม่ปล่อย ถ้าอยากจะให้มันปล่อยนี้

ต้องไปหาที่บังคับให้มันต้องปล่อย

 เช่นให้มันมีเหตุการณ์ที่บังคับ

มีเหตุการณ์ที่จะทำให้มันเห็น

ว่าร่างกายนี้จะต้องตายไป

 ตอนนั้นน่ะมันจะเริ่มรู้แล้ว

ว่าถ้าไปยึดไปติดกับร่างกายนี้

มันจะทรมาน ถ้ายังไปคิดว่ามันเป็นตัวเราของเราอยู่

 พอเวลาร่างกายจะตายนี้มันจะทุกข์มาก

 เช่นเวลาไปหาหมอแล้วหมอบอกว่าเป็นมะเร็งงี้

 รักษาไม่ได้แล้ว ขั้นสุดท้าย เหลืออีกสามเดือน

 ทีนี้แหละมันจะได้รู้กันว่าปล่อยหรือไม่ปล่อย

ถ้าทุกข์ก็แสดงว่ายังไม่ปล่อย ยังไม่ยอมรับ

ว่าร่างกายไม่ใช่ตัวเราของเรา

 แต่ถ้าปล่อยคือยอมตาย เมื่อมันไม่ใช่ตัวเราของเรา

เราจะไปทุกข์กับมันทำไม

 มันจะตายก็ปล่อยมันตายไป

ทำไมร่างกายคนอื่นเวลาเขาจะตายทำไมเราปล่อยได้

 ทำไมเราไม่ทุกข์ ก็เพราะเราปล่อย

 แต่ร่างกายของเรานี้จะปล่อยไม่ปล่อย

เราจะรู้ตอนนั้นแหละ ตอนที่เวลาเราทุกข์กับมัน

แล้วถ้าเราฉลาดพอที่จะเอาความรู้

ที่พระพุทธเจ้ามาสอนเรานี้มาสอนใจเราอีกทีว่า

 เฮ้ยมันไม่ใช่ตัวเรานะ

 เรากำลังทุกข์กับดินน้ำลมไฟนะ

 เหมือนกับไปทุกข์กับรถยนต์

 เหมือนกับไปทุกข์กับกระดาษ

เห็นไหมเงิน ๕๐๐,๐๐๐ มันก็เป็นแค่กระดาษ

พอมันหายไปพอมันจะหายไป

นี่โหยมันทุกข์ขึ้นมาทันที

 มันก็เป็นแค่กระดาษเท่านั้นเอง

กระดาษแล้วก็ปั๊มเขียนป้ายเขียนเบอร์ติดไว้

ว่าจำนวนเท่าไหร่ มันก็เป็นแค่ธาตุเท่านั้นเอง

ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้เป็นธาตุหมด

ธาตุดินส่วนใหญ่ ของที่เราใช้กันนี้เป็นธาตุดินทั้งนั้น

 ของแข็งนี่ก็ถือว่าเป็นธาตุดิน

ของเหลวก็เรียกว่าเป็นธาตุน้ำ

ของที่มีความร้อนก็เรียกว่าธาตุไฟ

ของที่มีอากาศผสมอยู่ก็เรียกว่าธาตุลม

น้ำอัดลมเห็นไหม น้ำอัดลมก็มีฟองฟองอากาศ

มันเป็นธาตุทั้งนั้นน่ะ ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้

ที่เราใช้กันกินกันบริโภคกันนี้มันเป็นธาตุทั้งนั้น

 ไม่มีเราอยู่ในสิ่งเหล่านี้เลย

 ไม่มีเราอยู่ในร่างกายนี้เลย

 แต่ความคิดของเรานี่เองความหลงผิด

 เหมือนคนโบราณที่คิดว่ามันโลกนี้แบน

บอกยังไงก็ไม่มีใครเห็นว่ามันไม่แบน

 มองยังไงมันก็แบนอยู่นั่นแหละ เราเห็นร่างกายทีไร

มันก็เป็นตัวเราของเราอยู่นั่นแหละ

ฉะนั้น วิธีที่เราจะแยกมันนี้มันก็มี ๒ วิธี

วิธีแรกก็คือเราต้องดึงใจเขา

ใจออกจากร่างกายชั่วคราว

 ร่างกายเราส่งกระแสมาเกาะมันที่ร่างกาย

 กระแสที่มาเกาะร่างกายนี้เราเรียกว่าวิญญาณ

มาเกาะที่ตาก็เป็นจักขุวิญญาณ

 เกาะที่หูก็เป็นโสตวิญญาน มันก็มีชื่อของมัน

มีอยู่ ๕ เส้นด้วยกันที่มาเกาะติดกับร่างกาย

เพื่อจะได้ครอบครองร่างกาย สั่งการใช้ร่างกายได้

 รับรู้เหตุการณ์ต่างๆที่มาสัมผัสทางร่างกายได้

 ถ้าใจไม่มีวิญญาณมาเกาะใจจะไม่รู้

ว่าร่างกายกำลังเห็นอะไร กำลังได้ยินอะไร

กำลังได้ดมกลิ่นอะไร กำลังลิ้มรสอะไร

แต่พอมีวิญญาณมาเกาะตาหูจมูกลิ้นกาย

ใจก็จะรับรู้ทันที พอรับรู้ก็เลยไปคิดว่า

ร่างกายเป็นใจ เป็นส่วนเดียวกัน

 ความจริงเป็นส่วนที่มาเสริมมาต่อ

มาต่อจากวิญญาณที่มาเกาะ

 ฉะนั้น ถ้าเราอยากจะแยกร่างกายเราก็ต้องถอนสาย

 ถอนสายคือวิญญาณทั้ง ๕ สายนี้

 ออกจากร่างกายชั่วคราว วิธีที่จะถอนก็คือนั่งสมาธิ

 เวลาเรานั่งสมาธิแล้วเราบริกรรมพุทโธๆ

หรือดูลมหายใจเข้าออกเนี่ย

เป็นการถอนวิญญาณออกจากร่างกาย

 เพราะเราจะไม่รับรู้รูปเสียงกลิ่นรส

ที่มาสัมผัสกับตาหูจมูกลิ้นกาย

 เราจะรู้อยู่กับพุทโธคำเดียว

 เราจะไม่ไปรับรู้กับรูปเสียงกลิ่นรส

 พอเราพุทโธๆมันจะค่อยๆถอนออกมา

 ถอนออกจากร่างกาย พอมันถอนออกมาได้เต็มที่

 มันรวมกันก็เหลือแต่ผู้รู้ ผู้คิดก็หยุดคิด

 พุทโธก็หยุดไป ตอนนั้นก็จะรู้จักตัวจิต

 ว่านี่แหละคือตัวจิต ก็คือตัวรู้นี่เอง

 ตอนนี้ตัวรู้ก็ไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น

 ร่างกายก็หายไปจากการรับรู้

อันนี้ก็เป็นการแยกกายแยกจิตขั้นแรก

 ให้เราเห็นว่าจิตคือผู้รู้ ร่างกายก็คือธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟ

ที่นั่งอยู่เฉยเฉยๆที่ไม่รับรู้ที่ไม่รู้เรื่องอะไรทั้งสิ้น

 รูปเสียงกลิ่นรสที่มาสัมผัสกับร่างกาย

ร่างกายมันไม่รู้ว่ามี ว่าเป็นรูปเสียงกลิ่นรส

 อันนี้พอเราแยกใจออกจากร่างกายได้

 รู้แล้วว่าร่างกายก็คือธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟ

 ใจก็คือธาตุรู้ คือผู้รู้ พอมันกลับเข้ามารวมกัน

 เวลาออกจากสมาธิ กระแสวิญญาณมันก็จะกลับมา

เกาะติดอยู่ที่ตาหูจมูกลิ้นกายใหม่

 แล้วก็มารับรู้รูปเสียงกลิ่นรสใหม่

แล้วก็มาคิดว่าร่างกายเป็นตัวเราของเราใหม่

ตอนนี้เราก็ต้องเริ่มใช้ปัญญาของพระพุทธเจ้า

มาสอนใจ ว่าร่างกายนี้มันเป็นเพียงธาตุ ๔

 เป็นเพียงอาการ ๓๒ ไม่มีใครอยู่ในร่างกายนี้

 ไม่มีพ่อไม่มีแม่ ไม่มีสามีไม่มีภรรยา

ไม่มีบุตรไม่มีธิดา ไม่มีใคร มีแค่อาการ ๓๒

 ไม่เชื่อผ่าศพออกมาดูสิตรงไหนมีพ่ออยู่ตรงไหนบ้าง

มีแม่อยู่ตรงไหนบ้าง ไม่มี มีแต่อาการ ๓๒

อันนี้เราต้องทำเราต้องวิเคราะห์ต้องพิจารณา

ให้มันเห็นชัดๆกับตาเราว่า

ร่างกายนี้มันมีแค่อาการ ๓๒

 ผู้รู้ผู้คิดไม่ได้อยู่ในร่างกาย ผู้รู้ผู้คิดอยู่ในธาตุรู้

 ที่ส่งกระแสวิญญาณมาเกาะติดเพื่อที่จะได้รับรู้

รูปเสียงกลิ่นรสที่มาสัมผัสกับร่างกายเท่านั้นเอง

 ถ้าเรารู้อย่างนี้แล้วต่อไปเราก็จะไม่ตกใจไม่กลัว

ว่าเวลาอะไรเกิดขึ้นกับร่างกายมันไม่ได้เกิดขึ้นกับผู้รู้

 ผู้รู้นี้ไม่มีอะไรจะไปกระทบมันได้

 เพราะมันไม่มีรูปร่างหน้าตาไม่มีขนาด

ไม่มีเป้าให้สิ่งที่ต้องการจะไปกระทบกระทบได้นั่นเอง

 ร่างกายนี้มันเป็นเป้า อะไรก็มากระทบได้

ลูกปืนก็มากระทบได้ มีดก็มากระทบได้

 รถยนต์ก็มากระทบได้ ตายได้

 แต่ใจมันไม่มีรูปร่างเหมือนร่างกาย

ลูกปืนก็เข้าไม่ได้ ลูกปืนก็ไม่รู้ว่าจะไปยิงที่ไหน

ถึงจะเข้าไปที่ใจได้ ใจไม่มีรูปร่างมีดก็แทงไม่เข้า

 ลูกปืนก็ไม่เข้า เพราะมันไม่มีที่รับ

ไม่มีที่รับลูกปืน ไม่มีที่รับมีด ไม่มีที่รับรถยนต์

เวลารถยนต์จะชนนี้มันชนร่างกายมันไม่ได้ชนใจ

 แต่ร่างกายมันไม่ได้ตกใจ ไอ้ที่ตกใจกลับเป็นใจ

 เพราะร่างกายมันไม่รู้อะไร

ร่างกายมันก็เป็นเหมือนรถยนต์

รถยนต์ชนกับรถยนต์มันไม่รู้ว่ามันชนกัน

 แต่คนขับรถเนี่ยมันรู้ คนขับรถเนี่ยที่ตกใจ

ก็คือคนขับรถ แต่รถยนต์มันไม่รู้เรื่อง

 ร่างกายก็เป็นเหมือนรถยนต์

 อะไรมากระทบกับมันมันไม่รู้เรื่อง

 แต่ตัวที่รู้ก็คือใจ ที่ไปตกใจเพราะ

ไปคิดว่าร่างกายเป็นใจนั่นเอง

 ถ้าเรามาฝึกสมาธิแล้วเราเริ่มเห็นแล้วว่า

 ร่างกายไม่ใช่เป็นใจ แล้วพอออกจากสมาธิ

เราก็ต้องหมั่นเตือนหมั่นสอนใจอยู่เรื่อยๆว่า

 เฮ้ยร่างกายไม่ใช่เรานะ อะไรมากระทบกับร่างกาย

มันก็แค่กระทบที่ร่างกายเท่านั้นแหละ

มันไม่มาถึงเราหรอก ให้คิดอย่างนี้ให้สอนอย่างนี้

 แล้วต่อไปใจมันจะไม่ตื่นเต้นตกใจไปกับเหตุการณ์

ที่เกิดขึ้นกับร่างกาย เพราะใจจะรู้ว่าใจปลอดภัยเสมอ

ใจไม่มีใครที่จะมาทำลายทำร้ายใจได้

นอกจากความโง่ของใจเองเท่านั้นเอง

 ที่ไปหลงคิดว่าเป็นร่างกาย ก็เลยตื่นเต้นตกใจ

ไปกับความเป็นความตายของร่างกาย

นี่แหละเป็นสิ่งที่เราจะต้องฝึกฝนอบรมสั่งสอนจิตใจ

ขั้นต้นเราไม่รู้เราก็ต้องอาศัยผู้รู้สอนเราก่อน

 สอนให้เรารู้ความจริง ว่าร่างกายนี้เป็นใครกันแน่

เป็นอะไรกันแน่ เมื่อเราได้ยินได้ฟัง

จากพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์แล้ว

เราก็จะได้รู้ว่าเราเป็นใครร่างกายเป็นใคร

พอรู้ว่าขั้นที่ ๒ เราก็ต้องนำเอาไปปฏิบัติเอาไปพิสูจน์

 การฟังเฉยๆนี้ยังเป็นเหมือนกับ

สิบปากว่าไม่เท่าหนึ่งตาเห็น.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.................................

ธรรมะบนเขา

วันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๖๑






ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 20 กรกฎาคม 2561
Last Update : 20 กรกฎาคม 2561 7:11:08 น.
Counter : 390 Pageviews.

0 comments
봄 처녀(Virgin spring) by 홍난파(NanPa Hong) ปรศุราม
(17 เม.ย. 2567 10:09:12 น.)
เรื่องนี้ไม่ง่าย แต่คนมักชอบอะไรที่มันง่ายๆ 121 235 เขาถาม - ตอบกัน 450 > คำถาม : ทำอย่างไ สมาชิกหมายเลข 7881572
(16 เม.ย. 2567 09:58:49 น.)
: รูปแบบของการตระหนักในการรับรู้ : กะว่าก๋า
(15 เม.ย. 2567 05:37:45 น.)
: หยดน้ำในมหาสมุทร 33 : กะว่าก๋า
(11 เม.ย. 2567 05:15:42 น.)
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Poungchompoo.BlogGang.com

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]

บทความทั้งหมด