<<< "ที่มาของความฝันดีหรือฝันร้าย” >>>









“ที่มาของความฝันดีหรือฝันร้าย”

วันขึ้นปีใหม่ของชาวไทยเรียกว่าวันสงกรานต์

ในวันขึ้นปีใหม่ของชาวไทยเรานี้

เป็นธรรมเนียมของชาวไทยพุทธที่จะเข้าวัด

เพื่อมาสร้างบุญสร้างกุศลให้แก่จิตใจ

เพราะมีศรัทธามีความเชื่อ

ในพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า

 และจะไปรับผลบุญผลบาปที่เราได้ทำกันเอาไว้

ในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่

 เราจึงมาทำบุญมาละบาปกัน

 เพราะการทำบุญจะทำให้เรามีความสุขกัน

 การทำบาปจะทำให้เรามีความทุกข์กันนั่นเอง

 เราจึงพยายามที่จะไม่ทำบาปกันด้วยการรักษาศีล

 รักษาศีลแล้วก็พยายามทำบุญให้มากๆ

 เท่าที่เราจะทำได้ เพราะการทำบุญนี้

จะเป็นสิ่งที่จะปกป้อง

คุ้มครองใจของเราให้มีความสุข

การไม่ทำบาปก็จะป้องกันใจของเรา

ไม่ให้ทุกข์ไม่ให้รุ่มร้อน

ไม่ให้เดือดร้อนไม่ให้หวาดกลัว

นี่คือศรัทธาที่เชื่อว่าเราไม่ได้ตายไปกับร่างกาย

เราเป็นจิตใจที่มาเชื่อมต่อกับร่างกาย

 แล้วก็ใช้ร่างกายเป็นเครื่องมือ

ในการหาความสุขต่างๆ

 ทางตาทางหูทางจมูกทางลิ้นทางกาย

ใจของพวกเรานี้เป็นผู้รู้ผู้คิด

 และส่งกระแสการรับรู้

มาเกาะติดอยู่ที่ตาหูจมูกลิ้นกาย

 เพื่อที่เวลาที่ตาเห็นรูปใจก็จะได้เห็นรูปด้วย

 เวลาที่หูได้ยินเสียงใจก็จะได้ยินเสียงด้วย

 อันนี้คือความสัมพันธ์

ระหว่างร่างกายกับจิตใจของพวกเรา

 อยู่ตรงการเชื่อมต่อระหว่างใจกับร่างกาย

ด้วยตัวเชื่อมที่เรียกว่า วิญญาณ

วิญญาณนี้มีอยู่ ๕ เส้นด้วยกัน ๕ สาย

ทางตาก็เรียกว่าจักขุวิญญาณ

 ทางหูก็เรียกว่าโสตวิญญาน

 นี่คือเป็นการเชื่อมต่อระหว่างร่างกายกับจิตใจ

 ใจจึงเป็นเหมือนผู้รู้ผู้ใช้ร่างกายเป็นเครื่องมือ

 เหมือนกับสมัยนี้ เราใช้โทรศัพท์มือถือ

เป็นเครื่องมือในการที่เราจะติดต่อสื่อสารกับผู้อื่น

 เราต้องมีโทรศัพท์มือถือ

เราจึงสามารถที่จะติดต่อ

กับผู้อื่นที่มีโทรศัพท์มือถือได้

 แต่โทรศัพท์มือถือนี้ก็เป็นของที่ชั่วคราว

 ใช้ไปๆ มันก็จะชำรุดทรุดโทรม

 แล้วต่อไปมันก็จะใช้ไม่ได้

พอใช้ไม่ได้เราก็ทิ้งมันไปแล้ว

เราก็ไปซื้อเครื่องใหม่ที่ดีกว่าเครื่องเก่า

 เพราะทุกปีเขาจะมีการพัฒนา

เครื่องโทรศัพท์มือถือนี้ให้ดีขึ้นไปเรื่อยๆ

ร่างกายของพวกเราก็เหมือนกัน

ร่างกายของพวกเรานี้

ก็เป็นเหมือนโทรศัพท์มือถือ

ที่ใจของเราใช้ติดต่อกับร่างกายของคนอื่น

ถ้าใจไม่มีร่างกาย เช่น ร่างกายตายไป

ใจก็จะไม่สามารถติดต่อกับร่างกายของคนอื่นได้

เช่น คนที่เรารู้จักเวลาที่เขาตายไป

 เขาก็จะไม่สามารถติดต่อกับเราได้

 เพราะเขาไม่มีเครื่องมือ

 เขากำลังไปหาเครื่องมือเครื่องใหม่

 กำลังไปหาที่เกิดใหม่

 ไปหาร่างกายอันใหม่เท่านั้นเอง

 การตายก็มีเท่านี้เอง การตายของร่างกาย

ก็เป็นเหมือนกับ

การเสียโทรศัพท์มือถือไปเท่านั้นเอง

 แต่คนที่ใช้โทรศัพท์มือถือ

ไม่ได้เสียไปกับโทรศัพท์มือถือ

ฉันใด ผู้ที่ใช้ร่างกายก็ไม่ได้ตายไปกับร่างกาย

 ใจก็ยังอยู่ อยู่แบบไหน

ก็อยู่แบบตอนที่เรานอนหลับนั่นแหละ

เวลาที่เรานอนหลับนี้เราก็ไม่ได้ใช้ร่างกาย

ตอนนั้นร่างกายนอนอยู่เฉยๆ ก็เหมือนกับคนตาย

 เพียงแต่ว่ายังไม่ตายจริง ตายชั่วคราว

 ตายชั่วขณะที่พักผ่อนนอนหลับ

อยู่ประมาณหกเจ็ดแปดชั่วโมง

ช่วงนั้นใจยังอยู่แล้วใจยังทำกิจกรรมของใจต่อไป

 กิจกรรมที่ใจทำอยู่ในช่วงที่ไม่มีร่างกายนั้นก็คือ

กำลังฝันไป ใจเวลาฝัน

ก็ฝันได้สองรูปแบบด้วยกัน

ฝันดีก็ได้ ฝันร้ายก็ได้ ฝันไม่ดีก็ได้

อะไรทำให้ใจเราฝันดีฝันไม่ดีฝันร้าย

 พระพุทธเจ้าทรงค้นพบว่าใจที่ฝันร้ายนั้น

เกิดจากใจที่ไปทำบาปมา เพราะเวลาไปทำบาปมา

ก็เหมือนกับการไปบันทึกภาพ

ไปบันทึกเหตุการณ์ต่างๆ

เหมือนกับเรามีกล้องถ่ายรูปในเครื่องมือถือ

 ถ้าเราไปเจอเหตุการณ์ที่ไม่ดี

 เช่น มีการฆ่ากัน มีการทะเลาะวิวาทกัน

 มีการทำร้ายกัน มีอุบัติเหตุมีอุบัติภัยต่างๆ

 เราก็บันทึกภาพเหล่านั้นไว้

แล้วเวลาเรากลับมาบ้าน

เราก็เปิดดูเหตุการณ์เหล่านั้นได้

 ฉันใด ก็เป็นเหมือนเวลาที่เราเอากล้องบันทึกภาพ

บันทึกเหตุการณ์ต่างๆ ที่เราทำกัน

บางวันเราก็ทำเรื่องที่ดี

เราทำบุญเราก็จะบันทึกภาพบันทึกเหตุการณ์ที่ดี

 บางวันเราก็ไปทำบาป

 ไปมีเรื่องมีราวกับคนนั้นคนนี้

 ไปทะเลาะวิวาทกัน ไปชิงดีชิงเด่นกัน

ไปทำร้ายทำลายกัน เหตุการณ์ต่างๆ

 ที่เรากระทำกันในขณะที่เราตื่นนี้

ถูกบันทึกไว้หมดในใจของพวกเรา

 แล้วเวลาที่เรานอนหลับเราไม่ได้ใช้ความคิด

 ใจเราเลยใช้สิ่งที่เราได้บันทึกไว้มา

เป็นสิ่งที่มาแสดงให้เราเห็น

ก็เหมือนกับเราเปิดเครื่องมือถือ

ที่เราได้ไปถ่ายภาพถ่ายอะไรไว้

เราก็มาเปิดดูย้อนหลัง

 ฉันใด เวลาเราหลับ

เราก็จะฝันถึงเหตุการณ์ต่างๆ

 ที่เราได้ไปกระทำไว้ เพียงแต่ว่า

มันจะเปลี่ยนจากการกระทำของเรา

เป็นการถูกกระทำไป

เราไปทำอะไรเขาในฝันเรา

ก็จะฝันว่าเขาจะมากระทำอะไรกับเรา

 ถ้าเราไปทำดีไป

ช่วยเหลือเขาไปให้ความสุขกับเขา

 เวลาเราฝันเราก็จะฝันว่า

เขาจะมาให้ความสุขกับเรา

 มาช่วยเหลือเรา ถ้าเราไปทำร้าย

เขาไปทำให้เขาเดือดร้อนวุ่นวายเสียหาย

เวลาเราฝันเราก็จะฝันกลับกัน

 ฝันว่าเขามาทำร้ายเรามาทำลายเรา

มาสร้างความเดือดร้อน

สร้างความวุ่นวายใจต่างๆ ให้กับเรา

นี่แหละคือที่มาของความฝันดีหรือฝันร้าย

 เกิดจากการทำดีหรือทำไม่ดีของเรา

ในขณะที่เรามีชีวิตอยู่นั่นเอง

ในขณะที่เราตื่นในขณะที่เราไม่ได้นอน

เราก็ไปทำอะไรต่างๆ ในวันวันหนึ่งนี้

เรามีการกระทำสามรูปแบบด้วยกัน

 รูปแบบหนึ่งก็คือการกระทำ

ที่ไม่ได้เป็นบุญหรือเป็นบาป

 คือการกระทำที่ไม่ได้ไปทำให้คนอื่น

เขาเดือดร้อนเสียหายหรือได้ประโยชน์

 เราเรียกว่าเป็นการกระทำที่ไม่เป็นบุญเป็นบาป

เช่น วันวันหนึ่งส่วนใหญ่

เราจะกระทำกับกิจกรรมต่างๆ

ที่เกี่ยวข้องกับตัวเราเอง

เช่น เราต้องดูแลรักษาร่างกาย

 เราก็ต้องตื่นขึ้นมา

ก็ต้องเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าแปรงฟัน

 แต่งหน้าแต่งตัว รับประทานอาหาร ไปทำงาน

 กิจกรรมเหล่านี้เราเรียกว่าเป็นกิจกรรม

ที่ไม่ส่งผลทางบวกหรือทางลบ

 คือไม่ได้เป็นบุญหรือไม่ได้เป็นบาป

กิจกรรมที่จะเป็นบุญก็ต่อเมื่อ

เราได้ไปทำประโยชน์ให้แก่ผู้อื่น

 เช่น เราไปทำงานเราก็เอาขนมไปฝากเพื่อน

อย่างนี้เรียกว่าเราได้บุญ

หรือก่อนจะออกจากบ้านมีพระผ่านมาที่บ้าน

เราก็ตักบาตรใส่บาตร อันนี้ก็จะเป็นกิจกรรม

เรียกว่าการทำบุญ

เราจะบันทึกภาพกิจกรรมเหล่านี้

ไว้ในใจของเรา เวลาเราออกไปข้างนอกบ้าน

เราอาจจะไปทำอะไรที่เสียหาย

ก็เรียกว่าเป็นการทำบาป

 เช่น เราไปโกหกคนนั้นคนนี้

 ไปหลอกลวงคนนั้นคนนี้

 หรือไปโกงเอาทรัพย์ของเขามา

เวลาทำมาหากินบางครั้งบางคราว

เราก็อาจจะฉ้อโกง

 อันนี้ก็เป็นการทำบาป กิจกรรมต่างๆ

ที่เราทำในแต่ละวันนี้

ก็จะถูกบันทึกเอาไว้ในใจของพวกเรา

 แล้วเวลาที่เรานอนหลับ

กิจกรรมเหล่านี้ก็จะโผล่ขึ้นมาในฝันของพวกเรา

 นี่คือผลของการทำบุญหรือทำบาป

 หรือการกระทำที่ไม่เป็นบุญหรือเป็นบาป

 มันจะออกมาในรูปแบบของความฝัน

 ถ้าเรายังมีชีวิตอยู่เราก็จะฝันชั่วคราว

ฝันชั่วขณะที่ร่างกายนอนหลับ

 แต่ถ้าเราตายไปเราก็จะฝันอย่างยาว

เวลาร่างกายตายไปก็เหมือนกับนอนหลับ

 เพียงแต่ว่านอนหลับแบบไม่ตื่น

จะตื่นขึ้นมาอีกทีก็ต่อเมื่อเราได้ร่างกายอันใหม่

ได้กลับมาเกิดใหม่ ช่วงที่เราไม่มีร่างกายช่วงนั้น

เรามีแต่ดวงวิญญาณที่จะฝันดีหรือฝันร้าย

 ขึ้นอยู่กับอำนาจของบุญหรือของบาป

ที่เราได้ทำกันในขณะที่เรามีชีวิตอยู่นี่เอง

ช่วงนั้นน่ะคือเป็นช่วงที่เรา

จะไปสวรรค์หรือไปอบายกัน

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

..........................

ธรรมะบนเขา

วันที่ ๑๓ เมษายน ๒๕๖๑






ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 07 กรกฎาคม 2561
Last Update : 7 กรกฎาคม 2561 20:11:29 น.
Counter : 367 Pageviews.

0 comments
: รูปแบบของความว่าง : กะว่าก๋า
(18 เม.ย. 2567 04:00:35 น.)
: รูปแบบของการตระหนักในการรับรู้ : กะว่าก๋า
(15 เม.ย. 2567 05:37:45 น.)
: หยดน้ำในมหาสมุทร 35 : กะว่าก๋า
(13 เม.ย. 2567 05:51:40 น.)
: หยดน้ำในมหาสมุทร 31 : กะว่าก๋า
(9 เม.ย. 2567 05:58:44 น.)
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Poungchompoo.BlogGang.com

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]

บทความทั้งหมด