"หน้าที่ของเราต้องทำ"
ถ้าร่างกายเราไปไหนไม่ได้
เราก็ต้องบำเพ็ญที่ห้องพักของเราก็ได้
อาจจะได้มากได้น้อยต่างกัน
เพราะอยู่ตามลำพังมันอาจจะไม่ขยัน
เหมือนกับเราอยู่กับคนอื่นก็ได้
แต่ถ้าเรารู้ว่าเป็นหน้าที่ของเรารู้ว่าเราต้องทำ
ต้องบังคับเรามันก็ไม่เป็นปัญหาไม่ว่าเราจะอยู่ที่ใด
แต่ที่ก็มีผลต่อการบำเพ็ญ
ถ้าเราอยู่ที่ที่มีการบำเพ็ญเข้มข้น
มีการควบคุมให้เราบำเพ็ญ
เช่นการอยู่ที่บ้านกับอยู่ที่วัดป่าบ้านตาดมันต่างกัน
ถ้าไม่อยู่วัดที่มีครูบาอาจารย์มาคอยคุมไม่มีระเบียบ
เราก็ปฏิบัติไปตามอารมณ์ ขยันก็ปฏิบัติมากหน่อย
อารมณ์ขี้เกียจก็ปฏิบัติน้อยหน่อย
แต่ถ้าอยู่ที่วัดป่าบ้านตาดถึงเวลาก็ต้องทำกัน
มันก็เลยทำให้มีผลที่แตกต่างกันได้
การปฏิบัติจึงต้องดูที่ความสัปปายะของสถานที่ด้วย
ว่าสัปปายะหรือไม่ บุคคลที่อยู่ด้วยสัปปายะหรือไม่
อาหารสัปปายะหรือไม่ อากาศสัปปายะหรือไม่
ถ้าสัปปายะมันก็จะทำให้การบำเพ็ญไปได้
อย่างราบรื่นง่ายดายและรวดเร็ว
ถ้าไม่สัปปายะก็ขรุขระติดตรงนั้นติดตรงนี้
มันก็ไปได้ช้า เช่นสังขารร่างกายที่ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย
กับสังขารร่างกายที่เจ็บไข้ได้ป่วยนี้
มันมีความแตกต่างกัน
ถ้าเกี่ยวกับการบำเพ็ญ เช่นการเดินจงกรม
หรือการนั่งอย่างนี้ มันอาจจะนั่งไม่ได้หรือเดินไม่ได้
ถ้านอนบำเพ็ญมันจะบำเพ็ญได้ไม่นาน
เพราะว่าจะหลับง่าย อันนี้ก็อาจจะต้องแก้
ด้วยการไม่รับประทานอาหาร แล้วก็นอนบำเพ็ญได้
เช่นเจ็บหลังนั่งไม่ได้ก็อดข้าวแล้วนอนสมาธิไปเลย
ดูซิว่ายังไม่หลับไหม
ถ้าหลับก็ถือว่าต้องรักษาให้หายก่อน
แล้วค่อยลุกขึ้นมานั่งสมาธิมาเดินจงกรม
บางทีก็เป็นเรื่องสุดวิสัยก็ทำเท่าที่ทำได้
ถ้านั่งไม่ได้เดินไม่ได้นอนได้
ภาวนาในท่านอนก็ภาวนาไป
ถึงจะได้ไม่มากภาวนาไปได้เดี๋ยวก็หลับไป
อันนี้มันก็เรื่องของสุดวิสัย
ทำได้เท่าไหร่ก็ทำไปเท่านั้นก่อน.
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
.................................
ธรรมะบนเขา
วันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๖
ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ