"วันทุกข์ วันสุข"
คนที่อยู่ในศาลาถ้าไม่ต้องการให้ฝนตก
ต้องการให้ฝนหยุดก็จะเดือดร้อนใจขึ้นมา
แต่ถ้า ไมได้ต้องการฝนจะตกก็ปล่อยตกไป
เพราะว่าไปห้ามเขาไม่ได้ ใจก็จะไม่เดือดร้อน
อย่างตอนนี้ พวกเรานั่งอยู่ในศาลา
เราก็ไม่เดือดร้อนกับการตกของฝน
ฝนจะตกก็ปล่อยตกไป
ถ้าเราอยากจะให้เขาหยุดเราก็จะเดือดร้อน
ดังนั้น เราต้องฝึกทำใจให้รับรู้เฉยๆ
เพราะนี่คือ ธรรมชาติของใจ
ที่จะทำให้ใจไม่เดือดร้อน ทำให้ใจไม่ทุกข์
ไม่วุ่นวายกับเรื่องราวต่างๆ
คือ สักแต่ว่ารู้ เท่านั้นเอง
สักแต่ว่ารู้เฉยๆ อย่าไปรู้แล้ววิพากษ์วิจารณ์สิ่งที่รับรู้
แล้วก็เกิดความอยากตามมา
เช่น รับรู้แล้ววิพากษ์วิจารณ์ว่า ดีอย่างนั้น ดีอย่างนี้
ก็จะเกิดความอยากให้เป็นอย่างนั้น
หรือเป็นอย่างนี้ขึ้นมา ก็จะเกิดความวุ่นวายใจขึ้นมา
เกิดความเดือดเนื้อร้อนใจขึ้นมา
ปัญหาของใจก็คือ การรับรู้เฉยๆ
คือ การปล่อยวาง รับรู้แล้วปล่อยวาง
เห็นแล้วก็ปล่อยวาง ได้ยินแล้วก็ปล่อยวาง
สิ่งที่เกิดเขาเกิดแล้วเขาก็ผ่านไป
สิ่งที่ดับเขากับแล้วก็ผ่านไป
แต่ผู้รับรู้ก็ยังอยู่เหมือนเดิม ผู้รับรู้คือ ใจ
ไม่มีวันดับ ไม่มีวันตาย แต่มีวันสุขหรือวันทุกข์
วันสุขคือวันที่ใจปล่อยวาง
ใจไม่มีความอยากให้เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้
วันทุกข์คือ วันที่ใจเกิดความอยากขึ้นมา
อยากให้เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้
พอไม่ได้ดังที่ใจอยากก็จะเกิดความทุกข์ใจขึ้นมา
ดังนั้น ถ้าเราอยากจะมีแต่วันสุข ไม่มีวันทุกข์
เราต้องสอนใจให้รู้เฉยๆ
ไม่ต้องไปวิพากษ์วิจารณ์ว่าดี หรือ ไม่ดี
เขาจะดีก็เป็นเรื่องของเขา
เขาจะไม่ดีก็เป็นเรื่องของเขา
เขาไม่มีวันที่จะทำร้ายเราได้
เขาไม่มีวันที่จะทำให้เราดีขึ้นมาได้
เขาไม่มีวันที่จะทำให้เราเลวลงไปได้
สิ่งที่จะทำให้เราเลวหรือดีขึ้นไป
คืออยู่ที่ตัวของเราเอง อยู่ที่ว่า
เราหยุดความวิพากษ์วิจารณ์ได้หรือเปล่า
หยุดความอยากได้หรือเปล่า
ถ้าเราหยุดได้เราจะดีเราจะสบาย
ถ้าเราหยุดไม่ได้เราจะทุกข์ เราก็จะวุ่นวายใจ.
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
..............................
ธรรมะบนเขา
วันที่ 20 ก.ค.2556
ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าชองภาพค่ะ